Last posted
Total of 1000 posts
>>109 ถ้าอายุยังน้อยแนะนำให้ลองทำงานประจำ+ทำงานเดิมเป็นงานเสริมแบบกูมั้ย เพราะงานประจำจะลองทำได้ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้น พอแก่ตัวแล้วไม่เคยทำงานประจำมาก่อนเลยถึงตอนนั้นจะไปหางานประจำทำก็หายากแล้ว คิดว่าทำแบบนี้ตอบโจทย์ที่สุด มีความมั่นคงจากงานประจำ แต่ก็ยังรักษาคอนเนคชั่นงานเสริมเอาไว้ เผื่อวันไหนไปต่อกับงานประจำไม่ไหวก็ยังมีงานเสริมเอาไว้ทำเป็นฟรีแลนซ์ต่อไป แต่ข้อเสียคือเหนื่อยมากทำงาน 7 วัน เวลาท้อๆ บางทีก็จะถามตัวเองว่าจำเป็นต้องเหนื่อยขนาดนี้มั้ยเนี่ย โสด ตัวคนเดียว ภาระอะไรก็ไม่มี จะไปเที่ยวไหนไม่ค่อยได้ไปเลย ติดทำงานเสริมนี่แหละ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้รับปากเค้าไว้แล้ว ทุกอย่างมันก็มีดิวของมัน เดือนไหนมีวันหยุดนักขัตฤกษ์เยอะๆ หน่อยถึงพอได้หายใจหายคอชิลล์กับเค้าบ้าง
>>109 ตอนนี้เป็นฟรีแลนซ์ได้อยู่ก็เป็นไปก่อน ได้ทำงานที่ชอบยังไงก็ยั่งยืนกว่า ไม่ว่างานประจำหรือฟรีแลนซ์ต่างก็ไม่มั่นคงกันทั้งนั้นแหละ ที่ต่างกันกูว่าคือสวัสดิการต่างๆ ซึ่งถ้างานฟรีแลนซ์มึงโอเคมึงก็สามารถจัดหาสวัสดิการให้ตัวเองได้ เช่นการซื้อประกัน ส่วนเรื่องความคิดเห็นที่บ้าน เขาก็ห่วงนั่นแหละ คาดหวังว่าบริษัทจะช่วยดูแล(จริงๆ ก็ไม่หรอก) มึงก็ต้องทำให้เขาเห็นว่ามึงดูแลตัวเองได้ ทำแล้วมีเงินเก็บ(ถือซะว่าเป็นโบนัส) มีประกันสุขภาพ(ดีกว่าประกันสังคมอีก) และให้แบบสวยหรูเลยมึงก็บอกเขาไปว่าที่ทำๆ ฟรีแลนซ์อยู่เนี่ยก็กำลังสะสมทั้งประสบการณ์และเงินทุนเพื่อเปิด บ.ของตัวเองไง พอพ่อแม่เห็นมึงมุ่งมั่น โอเค เขาก็วางใจแล้ว
ถ้ากูทำฟรีเเลนซ์ไปซักปี-สองปีเเล้ว รายได้เท่าเดิมควรจะไปหางานบ.เเล้วสินะ เพราะน่าจะไม่เหมาะละ ทำบ.เงินเดือนขึ้นทุกปี
>>113 ลองดู กูว่าเหนือกว่าเรื่องเงินคือพฤติกรรมการทำงานร่วมกับคนอื่นมากกว่า อย่างกูนิเข้า บ.สายตลอด ทำงานกลางคืนทำงานคนเดียวจะมีสมาธิและประสิทธิภาพมากกว่า และมักจะหงุดหงิดเวลาคนอื่นทำสิ่งนึงไว้ไม่ดี(ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่มันไม่ยอมทำให้เต็มที่ ทำไปวันๆ)โดยที่รู้ว่ากูสามารถทำเองได้ดีกว่า หรือการหัวเสียกับตรรกกะเพี้ยนๆ ของคนแผนกอื่น รู้สึกเหมือนกำลังโดนกล่อมเกลาให้ทำงานส่งๆ ไปวันๆ ตามพวกเขาแล้วทำให้กูรู้สึกแย่กับตัวเอง อะไรเหล่านี้กูคิดว่ากูเหมาะกับการเป็นฟรีแลนซ์มากกว่า ก่อนนี้ก็ทำได้สองสามปีอยู่ จนพี่ที่เคารพรักดึงมาร่วมทีมเลยทนสภาพแวดล้อมมาได้ 2 ปีละ มันก็ดีในแง่เงินมั่นคงในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ แต่ถ้าพี่เขาออกเมื่อไหร่แน่นอนกูออกแน่ รู้ตัวเลย
>>109 ถ้าสามารถทไงานประจำควบฟรีแลนซ์ได้มันก็ดีนะ ลดงานฟรีแลนซ์ลงจะได้ไม่เหนื่อยมาก แต่ยังมีคอนเนคชั่นอยู่ เผื่ออยากจะเปลี่ยนงานหรือออกจากงานมาทำฟรีแลนซ์อีกรอบ
บริษัทเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ค่อยมั่นคงแหละว่ะ ยกเว้นมึงจะทำงานดีและเก่งพอจะอยู่บ. ใหญ่ได้นานๆ แต่อย่างน้อยเข้าบริษัทมันก็มีคอนเนคชั่นเพิ่มมากขึ้น ได้เก็บปสก การทำงานด้วย เผื่อในอนาคตอยากจะเลิกทำฟรีแลนซ์แล้วก็ยังมีทางไปต่อได้
>>114 นั่นแหละคือข้อดีข้อนึงของการทำงานประจำ ต้องมาอดทนกับพวกตรรกะเพี้ยนๆ กับอะไรอีกมากมาย กูว่าวุฒิภาวะและความอดทนกูดีขึ้นเยอะเลย สมัยทำงานฟรีแลนซ์กูต้องรับมือแค่กับลูกค้าอย่างเดียว อย่างอื่นกู manage เองได้หมด พอมาทำงานบริษัท ต้องทำงานเป็นทีม ต้องประสานงานกับแผนกอื่น ลูกค้าก็ต้องรับมือ เจออะไรบัดซบเยอะดี ถือเป็นประสบการณ์และฝึกความอดทน ฝึกสกิลการจัดการที่กว้างขึ้น การแก้ไขปัญหาทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว แต่ถ้าใครชอบไม่ชอบก็แล้วแต่นะ กูก็มีทั้งโมเมนท์ที่คิดว่ามันก็ดีที่ทำให้ตัวเองโตขึ้น เก่งขึ้น กับทั้งโมเมนท์ท้อๆ ว่าทำไมกูต้องมาประสาทแดรกกับพวกhereนี่ด้วย กลับไปทำฟรีแลนซ์เหมือนเดิมดีกว่ามั้ย
ไม่รู้ว่าถูกมู้มั้ย กูเพิ่งมารู้ตอนมีอายุนี่แหละ ว่ากูใช้เงินเป็น...........เป็นเบี้ยเลยว้อย
สมัยเด็กๆ กูมีเงินเก็บเยอะมากนะ แบบที่บ้านไม่ให้ซื้อไรเลย
แต่พอเริ่มทำงาน กูก็เริ่มใช้เงินเดือนไปซื้อของไม่จำเป็น
ตอนนี้ เกม ของเล่น หนังสือ นี่ แทบจะเต็มห้องกูโดยที่กูไม่ได้เล่น/อ่าน
กูก็พอรู้ว่า ซื้อมาดองไม่ค่อยจะดี แต่บางทีกูก็แบบ shopping therapee อ่ะ รู้สึกดีที่ได้ซื้อของที่อยากได้ตอนเด็ก
แต่มันจะมาเชี่ยตอนปลายๆ เดือนแบบนี้แหละ 555
>>120 เชี่ยยยย มึงกับกูนี่เหมือนกันมาก
พอกูทำงานหาเงินเองนี่กลับไม่มีเงินเก็บเลย กูแบบตั้งใจทำงานหาเงิน เครียดกับงานแล้วพอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เงินเดือนออก กูก็ไปคลายเครียดด้วยการช็อปปิ้ง จากที่เครียดแทบตายคือฟินยิ้มหน้าบาน วนลูปไปเรื่อยๆ
ยิ่งกูหักใจไม่ไปซื้อของข้างนอกนะ เว๊งงง กูช็อปในแอปมือถือก็ได้ อิแอปสีส้มๆนี่ตัวดูดเงินกูเลย เอามือเลื่อนหาไปหามา จากที่ไม่จำเป็นกูก็กดเข้าตะกร้า กดชำระเงิน นั่งยิ้มรอของมาส่งที่บ. พอของมาถึงกูก็กุมขมับ กูทำอะไรลงไป๊----- /ตีมือตัวเอง
>>120 กูก็เป็นจ้า ใครแม่งบอกวะว่าพอทำงานเองแล้วจะไม่อยากใช้เงิน โอโห โคตรไม่จริง กูนี่ซื้อของมากองไว้ในห้องเยอะมาก หนังสือ เกม ซื้อมาแล้วก็ไม่ได้แตะซักที วางดองไว้จนฝุ่นเกาะไปหมดแล้ว กูว่าจริงๆ กูแค่มีความสุขเวลาได้จ่ายเงินซื้ออะมึง ก่อนจะซื้อก็อยากได้มาก แต่พอเป็นเจ้าของจริงๆก็เฉยๆ ละ รู้สึกดีสุดตอนได้จ่ายเงินแล้วรู้ว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นเจ้าของนั่นแหละ แย่ชิบหายเลยโว่ย
>>121 กูด้วย สมัยเรียนประถม-มัธยม พ่อแม่ให้เงินน้อยจนทุกวันนี้ยังคิดอยู่เลยว่าเค้าคิดอะไรของเค้าอยู่วะ
คือน้อยแบบวันไหนข้าวโรงเรียนกินไม่ได้ก็ไม่มีเงินซื้อน้ำหวาน เพราะเงินวันนึงก็พอแค่ซื้อข้าวไข่ดาวจานเดียว
ขึ้นมหาลัยก็ไปอยู่ชานเมือง แล้วไม่มีรถจะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ ยังดีที่มีเพื่อนฐานะพอๆกันสุมหัวด้วยกัน
ทำงานแรกๆก็ไม่กล้าใช้เงินนะ รู้ตัวอีกทีก็ผลาญเงินเป็นว่าเล่นไปแล้ว
ทุกวันนี้ไม่ถึงกับใช้เดินชนเดือน พอมีเหลือเก็บเดือนละนิดๆหน่อยๆ แต่พอเก็บเงินได้ประมาณนึงก็เอาไปเที่ยวหมด
ของนี่ซื้อมาดองแม่งทุกอย่าง นิยาย เกมส์ การ์ตูน กองเต็ม แต่ก็ยังไปซื้อมาสุมเพิ่มทั้งที่ของเก่ายังไม่ได้เอาออกจากถุง
ยังดีว่าไม่ติดซื้อของออนไลน์
เงินอีกส่วนเลยหายไปเป็นค่าอาหาร+ค่าเหล้า ช่วงที่หนักๆซัก 2 ปีก่อนนี่ข้าวกลางวันกินร้านแพงๆตลอด เลิกงานไปกินเหล้าทุกวัน
แต่ถึงจุดนึงต้องเลิกเพราะอ้วนซะงั้น
อ่านของเพื่อนโม่งหลายๆคนแล้วอดคิดไม่ได้ว่า การที่พ่อแม่ให้เงินน้อยๆเพื่อสอนให้เรารู้จักการประหยัด ดันทำให้เด็กเกิดใช้เงินมือเติบเพื่อตอบสนองในความต้องการวัยเด็กรึเปล่าวะ
>>127 กูประหยัดตอนเด็กจนเป็นนิสัยโตมาก็ใช้เงินเยอะขึ้นแต่ก็ประหยัดมากเทียบคนรายได้เท่ากันเงินเก็บกูนี่เกินครึ่งของรายได้นะ จะจ่ายกะเกมส์ซะส่วนมาก คอมก็เก่าๆใช้จนเสป็คมันเล่นเกมส์ไม่ได้ถึงเปลี่ยน กูว่าสร้างนิสัยมันก็ช่วยได้นะแต่ต้องสอนเหตุผลและขึ้นกับตัวลูกด้วย
>>127 มันเป็นนิสัยที่ดีนะ การให้เงินน้อยตั้งแต่เด็กช่วยให้ไม่ใช้เงินเกินตัว ที่บอกว่าโตแล้วใช้เงินเยอะๆได้ กุว่ามันใช้เงินไม่เป็น ใช้วันนึงก็หมดไปพรุ่งนี้หาใหม่ มันไร้สาระถ้ารู้จักใช้เงินแต่ละวันให้เป็นกุว่าใครๆก็มีตังเก็บทั้งนั้นแหละ เป็นคนประหยัดดีอยู่แล้วแค่ต้องหัดคุมเงินด้วย โตมาแล้วใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายมีถมเถไป
>>127 ถ้าถามกูคือมันต้องมีความพอดีด้วย เหมือนที่คนรายได้น้อยมากๆจะไม่ค่อยเก็บออมหรือลงทุนเพราะมองไม่เห็นอนาคตนั่นแหละ
อย่างกูเงี้ยไม่มีโมเม้นเก็บเงินซื้อของที่อยากได้เองเหมือนเด็กคนอื่นเลย
เพราะค่าขนมที่ได้น้อยจนถึงไม่ใช้เลยก็ต้องเก็บ 2-3 ปี ถึงจะพอซื้อ ถึงกูจะไม่ค่อยใช้เงิน
ถึงเวลาเก็บได้ของที่อยากได้มันก็เอาท์แล้วอะไรแบบนี้ เลยไม่ซื้ออยู่ดี เด็กๆเลยเป็นพวกอยากได้อะไรก็ช่างแม่งไป
มีอีกเคสที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินเท่าไหร่ คือญาติกูห้ามลูกกินขนมหรือ junk food จนเด็กเก็บกดอยากกิน
จะได้กินเฉพาะเวลาญาติพาไปเที่ยงแล้วพ่อแม่ไม่อยู่ด้วยเท่านั้นเลย กลายเป็นคนชอบของพวกนี้ไปเลย
โตขึ้นมาก็แอบไปซื้อกินลับหลังพ่อแม่จนอ้วน ยังดีที่ถึงจุดนึงเริ่มโตห่วงเรื่องหน้าตาเลยค่อยๆเลิกไปได้เอง
สรุปสำคัญที่สุดคือความพอดี ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยากชิบหาย
https://pantip.com/topic/38205493
เห็นว่าโลตัสจ้างออกทั้งประเทศ คิดว่าไงกันวะกับอนาคตสภาพเศรษฐกิจไทย
>>131 แบ่งเป็น 2 ประเด็นนะ
- จ้างออก ด้วยการจ่ายเงินชดเชย *10-*17 ตามกฏหมายแรงงาน จะว่าก็ไม่ได้มันไม่ผิด
- จะว่าเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย ก็ไม่ถูกนักเพราะสาเหตุที่จ้างออกเพราะบริษัทแม่ขาดทุนหนัก เลยปรับโครงสร้างใหม่
ถ้าบริษัทแม่ไม่สั่ง โลตัสไทยอยู่ได้นะเพราะมันติด top 10 บริษัทที่ทำรายได้สูงในไทย และมันก็แก้เกมทยอยเดินแผนย่อยสาขาเป็นร้านสะดวกซื้อไปบางส่วนแล้ว แต่ล่าสุดบริษัทแม่ไม่ยอมเดินเกมแบบสายป่านยาวเหมือนแต่ก่อน อันนี้แบบสายฟ้าแลปเลย
ส่วนเรื่องนี้ จะว่าไงล่ะเป็นกันทั้งโลกนะ สภาพนี้ธรุกิจไหนเอามาขาย online ได้ก็ใช้คนน้อยลง
ร้านค้าขนาดใหญ่ ที่ไม่อยู่ในตัวเมือง ความจำเป็นก็ลดลงเป็นธรรมดา เพราะคนสั่งให้เอาของมาส่งที่บ้านได้ พวกธุรกิจการเงิน ธนาคารอันนั้นก็กระทบหนักยุปสาขาเป็นว่าเล่น
ปล. เรื่องยุบสาขาเดี๋ยวมีอีกเยอะ เพราะมีอีกเรื่องที่กระทบทั่วโลกคือการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ เกมโยนตังค์สลับกระเป๋าขนาดใหญ่นี้ ตัวเล็กตัวน้อยชิบหายหมด
ไปขายออนไลน์บ้างดีมั้ยเนึ่ย เห็นเพื่อนขายครีมออนไลน์อะพเตตัสชีวิตดี๊ดี
>>127 ไม่นะ สมัยเรียนแม่ให้เงินกูน้อยมาก เดือนละ 4,000 บาทเอง ตอนนี้กูเพิ่งจบทำงาน ก็ยังติดนิสัยประหยัดอ่ะ ประหยัดกว่าตอนเรียนอีก ร้านแพงๆ บุฟกูไม่กินเลย ใช้เงินแค่กับของกินพื้นๆ มีซื้อเครื่องสำอางค์นิดหน่อย เดือนนึงกูเก็บเงินได้อย่างน้อยประมาณ 70% ของรายรับ
แต่คือกูมีเป้าหมายการเก็บเงินไปเรียนต่อไง
>>127 แล้วแต่คนว่ะ อย่างกูเนี่ย ตอนเด็กๆ ได้เงินน้อยมาก มหาลัยได้เดือนละสี่พันงี้ พอหาเงินได้ก็ใช้เยอะนะ แต่ไม่เคยชนเดือนเลย กูใช้ในขอบเขตที่กูหาได้อะ ได้เงินมาปุ๊บ กูแบ่งไปฝากธนาคารเลยครึ่งนึง ที่เหลือกูถือว่ากูมีเงินเก็บแล้ว จะใช้กับอะไรก็ได้เงี้ย แล้วส่วนมากมันจะไปลงอยู่สามอย่าง กิน เที่ยว ซื้อของ สองอย่างแรกเนี่ย โอเค ส่วนซื้อของอะ บางทีกูแค่มีความสุขเพราะได้จ่ายเงินจริงๆ ว่ะ 5555
ถ้าบริษัทนึงให้เงินเดือนจูเนียร์ 40 สตาฟ 45 ซุป 50
1.คิดว่าระดับเมเนเจอร์บริษัทนี้จะให้ประมาณเท่าไหร่?
2.เงินเดือนห่างกันประมาณนี้คือปกติไหม? ความรู้สึกเราคือบริษัทนี้สตาร์ทสูงพอสมควร แต่ระยะห่างของแต่ละตำแหน่งทำไมมันต่างน้อยจัง เพราะอย่างจูเนียร์สตาร์ท 40 ทำงานไปเงินเดือนมันก็ขึ้นทุกปีใช่ปะ พอได้ปรับตำแหน่งเป็นสตาฟ เอาจริงๆ เงินเดือนที่ปรับประจำปีมามันก็แทบจะไปชนกับเงินเดือนเริ่มต้นของระดับสตาฟอยู่ดีแล้วอะ -_-" กลายเป็นเหมือนปรับเงินเดือนประจำปีเฉยๆ หรือมันเป็นเรื่องปกติ? พอดีไม่เคยทำงานที่อื่น
>>139 ถ้างาน office ที่กูเจอทั่วไปไม่เฉพาะทาง ถ้าเด็กใหม่สตาท 20k สตาฟ มี ปสก ราวๆ 25-30k ซีเนียร์ก็ 30-45 แล้วแต่อายุ หัวๆขึ้นไป 60k - 100k ยาวไปไดเรคเตอร์ก็สัก 2-300 k (มโนเอาแต่น่าจะประมาณนี้เห็นโม้ว่าโบนัส 4.5 เดือนได้หลักล้าน) แต่มันก็แล้วแต่สายงานด้วยละพูดยาก ถ้าเห็นก็ gap พอๆกัน 5-10k แต่ถ้าของมึงเริ่ม 40k ไอ 5k มันเลยดูน้อยไงคิดเป็น %
เห็นราคาบ้านในเมืองแล้วท้อใจชิบหาย ถึงจะเป็นมนุษย์เงินเดือนจนๆก็อยากมีบ้านนะ ทุกวันนี้อาศัยคนอื่นเค้าแม่งก็รู้สึกเหมือนเป็นประชากรชั้นสอง จะซื้อบ้านเองก็ไม่ไหว แถมทำงานในเมือง ให้ไปซื้อบ้านนอกเมืองมันก็ไม่สะดวก ทำไงดี มีใครมีทางออกให้กูมั่งมะ
กูสมัครงานไม่ผ่านอีกแล้วอ่า ฮือออออ คือเจอ Assesment Test กุตอบตามตรงไปทุกข้อเลย ละไม่ผ่านคือเค้าแค่ไม่อยากได้คนแบบกู หรือกูควรตอบให้มันโปรกว่านี้วะ (,__,
*วางแผน
ฉันคิดจะทนให้นานแต่นานกว่านี้คงไม่ไหว
>>143 เช่าแล้วรู้สึกไม่คุ้มค่า กูจะสามสิบแล้วอยากมีสมบัติเป็นของตัวเองบ้าง อย่างน้อยถ้ามีบ้านเป็นของตัวเองมันก็มีที่ให้กลับไป มีสถานที่ที่เป็นของตัวเองจริงๆ เช่าเค้าอยู่เหมือนลงเงินไปแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย กูอยากได้บ้านของตัวเองอยผุ่ระยะยาวไม่ใช่ที่อยู่อาศัยชั่วคราว
>>145 >>147 >>148 สายอาชีพกุไม่มีอยู่ในต่างจังหวัด กุเลยจำเป็นต้องทำงานในเมือง ถ้าซื้อบ้านชานเมือง กูจะต้องเสียเวลาเดินทาง ค่าโดยสาร ถ้าซื้อรถเองก็จะมีภาระเรื่องรถอีก แล้วรถก็ติดชิบหาย อย่างน้อยถ้ายังอยู่ในเมืองชีวิตมันก็ง่ายกว่า เพราะอย่างที่บอกว่าสายงานกูมันมีงานแค่ในกรุงเทพ
แล้วที่อยากได้เป็นบ้านหรืออาคารพาณิชย์มากกว่าเพราะกูอยากจะวางแผนทำธุรกิจในอนาคตควบคู่ไปกับงานประจำด้วย คอนโดมันมีไว้แค่อยู่แต่ทำอะไรไม่ค่อยได้ จะเลี้ยงหมา ปลูกผัก ทำสวนหรือขยับขยายอะไรก็ไม่ได้ ถ้าเป็นบ้านกูอาจจะทำอย่างอื่นได้มากกว่าแค่อยู่เฉยๆ แต่ยังไงก็ไม่คิดจะออกจากงานประจำแน่ๆ เลยต้องหาในเมืองเพราะตั้งใจว่าจะปักหลักอยู่ที่นี่แล้ว
ส่วนบ้านต่างจังหวัดมันก็มีอยู่แล้ว เป็นบ้านมรดกเนี่ยแหละ แค่ต่างจังหวัดมันไม่มีงานไง ก็จบ เดินทางตั้ง 12 ชม. ชิบหาย
>>152 ก้นั่นแหละที่หาอยู่ ดันเสือกทำงานในตัวเมืองเลย แถวๆอารีย์เงี้ยะ แล้วราคคาที่ก็แพงสัส เอาออกมาจากอารยืหน่อยๆก็ยังแพงชิบหายอยู่ดีถ้าเอาแบบยังพอหายใจได้บ้างก้นุ่นเลย ดอนเมือง ซึ่งแม่งก้ไกลและกว่าจะมาถึงที่ทำงาน รถก้ติดเหี้ย รถไฟฟ้าก็ไม่มี คือเดินทางยากเวอร์
เอาแค่ผ่อนคอนโดแถวนี้ ราคาแม่งก็สี่ห้าล้านละ กุท้อใจ
>>153 มึงไม่ลองดูพวกบ้านมือสองบ้างล่ะ กูซื้อบ้านตั้งแต่อายุ 24 คือทำงานมาปีนึงก็ตัดสินใจกู้ธนาคารซื้อบ้านเลย ซื้อเป็นทาวน์โฮมมือสองแนวรถไฟฟ้า แต่ไม่ใช่ใจกลางเมือง ราคากูรับได้ กูก็ทำงานในตัวเมืองก็อาศัยนั่งรถไฟฟ้าเอา ซึ่งกูว่ากูโอเคกว่าการไปซื้อบ้านหรือคอนโดที่ใจกลางเมือง เพราะราคาที่ดินมันแพงเวอร์เกินไปที่กูจะรับไหว เดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็แป๊บๆ ถ้ามันไม่งี่เง่าเสียบ่อยๆน่ะ
บ้านที่ภูเก็ตก็แพง กู 3x แล้วยังต้องเช่าเขาอยู่ เศร้า อาการเดียวกับ 151 ตรงที่ถ้าไม่ใช่ กทม.หรือจังหวัดหัวเมืองก็ไม่มีงานสายนี้ให้ทำ กูอุตส่าห์หนีกรุงเทพมาแล้ว ที่นี่แม่งเสือกค่าครองชีพสูงกว่าตอนอยู่กรุงเทพอีก(แต่อยู่สบายใจกว่า) จริงๆ ราคาคอนโดก็พอผ่อนได้อยู่หรอก แต่กูดันมีแมวติดมาด้วยนี่สิ
>>159 อยู่ซื้อในซอยที่ติดกับรฟฟแบริ่ง แถวนั้นขายบ้านกันเยอะอยู่ เดินหาเอาตามซอยใหญ่ๆเลย หรือลองเปิดหาตามเว็บรับฝากขายบ้านน่ะ พยายามลองดุที่ชอบ ราคาโอเค แล้วไปดูบ้านจริงก่อน เพราะพวกนี้บางหลังประกาศขายแต่เจ้าของบ้านยังอาศัยอยู่ มึงจะได้ติดต่อเจ้าของบ้านได้โดยตรงไม่ผ่านนายหน้าเสียเงินเปล่าๆ หรือบางหลังเค้าไม่ลงประกาศตามเว็บ แต่ติดป้ายขายหน้าบ้านแทน ตอนกูซื้อกูก็ทำแบบนี้แหละ อาศัยเดินดูตามซอย แล้วหาอันที่โอเค ติดต่อเจ้าของโดยตรงเอา
มึงง กูไม่อยากทำงานขายเลยอ่าา กูไม่ชอบการต้องไปนั่งตื้อชาวบ้านหรือว่าโฆษณาอะไรหลายๆ รอบเลย นี่นายกูให้โปรโมตอีเว้นท์แล้วมันไม่มีคนเข้า กูก็ส่งเมล์ / ไลน์ส่วนตัวอะไรมาหลายรอบแล้วกูเกรงใจเค้าอ่ะ แบบอีนี่แม่งตื้อจังเลยว้อยกูไม่สนๆๆๆ ไรงี้ กูก็กลัวเขารำคาญ รอบนี้มีลดราคากูก็ส่งไปอีกนะแต่กูรู้สึกไม่ดีเลย หลายๆ คนก็บอกว่าก็มีอัพเดทส่งไปใหม่ก็ไม่เห็นเป็นไรแต่ทำไมกูไม่เห็นรู้สึกอะไรแบบนั้นได้เลย กูก็เลยทำๆ ให้มันจบไปพอ นี่กูต้องรู้สึกไม่ดีแบบนี้ไปจนกว่าถึงงานอีเว้นท์เลยสินะ Y Y ไปทำงานต่อละกูมาบ่น กูเครียดจัง
กูนี่ไม่เครียดเรื่องงาน แต่เครียดเรื่องเพื่อนร่วมงานว่ะ
คือกูทำงานให้กับบริษัทที่บ้านอะนะทำมาจะ 3 ปีแล้ว แล้วเมื่อปีที่แล้วเนี่ยน้องสาวกูเพิ่งเรียนจบมาเลยมาช่วย แต่กลายเป็นว่านางเอางานทั้งหมดกูไปทำจนกูไม่มีงาน แล้วมาบ่นว่ากูไม่ยอมช่วยงานซะงั้น ซ้ำร้ายก็คือพี่สาวกูที่เป็นเจ้าของบริษัทเริ่มมองกูว่าไม่มีประโยชน์แล้วว่ะ สังเกตได้ชัดเลยว่างานกูมีน้อยลงจนทุกวันนี้กูว่างไม่มีอะไรทำกันเลย
คือไม่ได้มาบ่นว่าไม่พอใจกับงานนะ แต่มันรู้สึกอึดอัดคล้ายกับว่าอยู่ทำงานไปก็ไม่ได้อะไรอะ แล้วไอ้ความรู้สึกนั้นก็ติดหัวกูอยู่ตลอดเลย แม้ว่าตอนนี้กูไปเรียนต่อในวัน เสาร์-อาทิตย์ แล้วยังไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย เจอแบบกูควรทำไงดีวะ?
>>162 ข้อแรกทำตัวสบายๆ งานไม่ต้องทำมีคนทำแทนอยู่แล้ว ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ กูว่าสักวันคงมีคนพูดแหละว่าไม่ทำไรเลย
ตอนนั้นค่อยตอบกลับไปว่าก็มึงไม่ให้กูทำไรเลย อยากให้ช่วยทำไรก็บอก
ข้อสอง ไหนๆก็สบายๆงานไม่เยอะแล้ว เอาเวลาไปเรียนเพิ่มในวันปกติ หรือหางานนอกรับเพิ่มประสบการณ์ไปอีกที
กู >>162 นะ
เพราะหางานอื่นไม่ได้นี่ล่ะเลยต้องทำงานกับ บ.ที่บ้านแทน แถมปัจจุบันกูก็อายุจะเลข 3 แล้วด้วย คงหางานยากเว้นแต่กูบังเอิญสอบตั๋วทนายผ่าน
จะว่าไปตอนนี้กูอยากหาอะไรเรียนเพิ่มเหมือนกัน แต่ตอนนี้กูกำลังเรียนบัญชีอีกใบในวันเสาร์-อาทิตย์นี่สิ ถ้าจะลาออกมาเพื่อไปเรียนอย่างเดียวมันจะคุ้มมั้ยวะ?
มันต้องมีเหตุผลว่าทำไมน้องมึงเอางานไปทำหมด ที่ทำงานกุมีรุ่นพี่คนนึง อายุมากกว่า อยู่มานานกว่า แค่ตำแหน่งเท่ากัน สะเพร่ามาก ชุ่ยมาก ทำงานอะไรง่ายๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็ผิด เวลาผิดแล้วกุต้องเข้าไปช่วยไปแก้ปัญหาเพราะถึงจะไม่ใช่งานในสโคปกุ แต่ result มันเชื่อมโยงมาถึงงานกุด้วย เดี๋ยวนี้กุเลยอยากให้พี่แกนั่งหายใจทิ้งไปวันๆ ยังจะถือว่ามีพระคุณมากกว่าอีก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ให้นางทำอะไรเลยนะ พยายามให้ทำงานที่ง่ายที่สุด งานที่ผิดแล้วจะมีผลกระทบน้อยที่สุด นางก็ดราม่าว่าทำไมให้พี่ทำแต่งานไม่สำคัญ นางคงคิดว่าเด็กๆ ในทีมจะเอาหน้า จะเกทับนาง จริงๆ ไม่ใช่โว้ย ทุกคนเหนื่อยกับการต้องตามแก้ปัญหาที่นางก่อจนทำเองดีกว่า
ปล อย่าดราม่านะ ไม่ได้ว่ามึง แค่อยากเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเพื่อให้เห็นว่าเหรียญมันมีหลายด้าน ลองพิจารณาประกอบดู
กูไปถามในพันทิปแม่งโดนแซะรัวๆ คือพวกมึงเป็นอะไรกะรัฐบาลมากป่าววะ คือกูไม่ได้แซะ กูก็แค่ถามดีๆ สงสัยแค่ว่า
พอมีคนมาโพสว่าขายของไม่ได้ร้านเจ๊งเศรษฐกิจไม่ดี ก็จะมีคนมาบอกไม่ปรับตัว ไปขายออนไลน์สิ
ทีนี้พอมันบอกให้ไปขายออนไลน์กันหมด กูก็คิดว่าอ่าวถ้าไปขายของเหมือนๆกันหมด ยังงี้มันก็วัดกันแค่ราคาแล้วป่ะ
ซึ่งคนที่ทำราคาถูกสุดได้ก็คือผู้ผลิต ถ้าเป็นยังงั้นรายย่อยไปขายออนไลน์แม่งก็ตายอยู่ดีป่ะวะ
เหมือนแค่ป้องรัฐบาลเฉยๆ คือไปขายออนไลน์มันแก้ปัญหาได้ไม่จริงไงในรายย่อย
>>167 มึงพูดมาก็ถูกนะ แต่กรณีของกูนี่กูมั่นใจว่ากูทำงานได้ดีกว่าน้องกู เพราะทุกอย่างที่มันทำกูก็ทำมาก่อนมันทั้งหมดละ
แต่จะมีแค่บางอย่างที่กูทำแบบมันไม่ได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการรับลูกค้า กับการเข้างานเร็วเท่านั้น แต่เรื่องความละเอียด ความถูกต้องนี่กูดีกว่าหมด แถมกูทำบัญชีด้วย
>>169 กูว่าพวกแนะนำมันไม่ได้ขายเองมั้ง
แต่คิดว่าคนขายน่าจะเพิ่มขึ้นจริงๆนะ พันทิพ(รวมถึงทุกที่)บางทีก็ไม่น่าฟังทุกอย่างที่มีคนพิมพ์อ่ะ
โม่งก็มีความเห็นไม่น่าฟังเยอะ แต่เพราะเป็นโม่งเราเลยมี filtered กรองคนโทรลทิ้งอัตโนมัติ
ความเห็นส่วนตัวคือ เศรษฐกิจมันไม่ดีแหละ แต่มันก็ไม่ดีมานานมากละ ตั้งกะยุคฟองสบู่เลยมั้ง
แต่คนขายของออนไลน์เยอะขึ้นจริงๆ นะ
ลูกค้า(ไม่ใช่ลูกค้าหรอก แต่ถ้าพูดรายละเอียดเดี๋ยวโม่งแหก)ของกู แม่ง เป็นขายของออนไลน์เพิ่มขึ้นจากช่วง 4-5 ปีก่อน พอสมควร เมื่อก่อนแทบไม่มี เดี๋ยวนี้เจอราวๆ 40%
>>169 จริงๆ มันก็ไม่ถูกต้องไปซะทั้งหมด ผู้ผลิตที่ไม่ขายรายย่อยก็มี / เอาจริงๆ กูคิดว่าที่มึงมาบ่นๆ เนี่ย เพราะอยากจะแซะรัฐบาลแต่ดันมาปกป้องก็เลยหัวเสียซะมากกว่า แต่ถ้ากูเข้าใจผิด แล้วมึงอยากรู้รายละเอียดเรื่องการขายของออนไลน์ หรือการที่เป็นผู้ผลิตแล้วปรับตัวขยายตลาดออนไลน์ ก็ค่อยมาถกกันอีกทีโดยตัดประเด็นเรื่องพันทิพและรัฐบาลออกไปนะ พอดีที่นี่มันซาลารี่แมน
บ่นเพิ่มนิด ขอบอกเลยว่าในฐานะคนทำบัญชีให้ บ. แล้วกูปวดกะบาลกับการทำงานของพี่และน้องกูมาก
คือแม่งจ่ายกันแบบไม่มีการคำนวณอะ จะจัดจะจ้าง organize แม่งก็จ่ายแบบไม่คำนึงถึงกำไร-ขาดทุนเลย ซึ่งไอ้คนที่เห็นตัวเลขอย่างกูนี่เห็นแล้วถึงกับสะดุ้งจนต้องไปเตือนว่านี่มันฟุ่มเฟือยเกิน
แต่เชื่อมั้ย? พอเตือนแล้วแม่งก็ไม่ฟังยังทำเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือใบเสร็จไม่รับ แถมบางอันก็ไม่กรอกด้วยว่าจ่ายไปเท่าไรอีกต่างหาก จนตอนนี้ทำบัญชีไปก็เท่านั้นเพราะแม่งไม่รู้รายจ่ายที่แท้จริงเป็นยังไง
>>177 มึงนิ่งจนมันไม่ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นมึงไงถึงความคิดเห็นมึงจะถูกก็เหอะ
กูโดนอยู่ใน บ. เนี่ยคือกูมีประสบการณ์มากกว่า ทำงานสายงานนี้มาเยอะกว่า 10 ปีแล้ว แต่กูเข้า บ. มาทีหลังแม่งไง แล้วแม่งเป็นผญ.แรงๆ อีโก้สูงๆแบบไม่ยอมใคร แถมเป็นลูกรักเมเนเจอร์ด้วย ประสบการณ์ในสายงานต่ำเตี้ย แล้วงานที่แม่งทำขาดทุนตลอด ดีเลย์มั่ง ซื้อของเกินมั่ง ผิดมั่ง
กูเห็นแม่งทำงานไม่มี procedure กูก็เตือนไปเฮ่ยงานมึงจะไม่ทันนะ มึงต้องเช็คของยังงี้นะ กูแนะนู่นนี่ให้สรุปไม่ฟัง ไม่เอากูจะทำแบบเดิมๆ
สรุปโปรเจ็คแม่งก็เจ้งแบบเดิมๆ พอประชุมสรุปกันก็โทดนู่นนี่ ไม่โทดตัวเอง
ตอนนี้มึงระวังถ้า บ.มึงขาดทุนไว้ล่ะกันมันจะหาแพะ
>>177 กูโม่งกงสีเหมือนกัน กูก็ไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกในครอบครัวมึงนะว่าเป็นยังไง
แนะนำว่ามึงก็ลองเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่นอกจากบัญชีบ้าง ต้องเข้าใจว่ามึงเป็นเจ้าของเพราะฉะนั้นมึงก็ควรจะรู้รายละเอียดงานส่วนอื่นของในบริษัทให้ได้ทั้งหมด พี่มึงอาจจะคิดว่าเอาน้องมาฝึกงานกับมึงให้น้องมันทำเป็น ส่วนมึงก็ให้ไปเรียนรู้งานในส่วนอื่น ต่อไปพี่น้องจะได้ช่วยกันทำบริษัทก็ก้าวหน้า อันนี้ในกรณี good end
ส่วนกรณี bad end ก็คือ เขาก็เตรียมเฉดหัวมึงออกจากกงสี กูก็ไม่รู้ว่ามึงมีปัญหาอะไรในครอบครัวรึเปล่า หรือมีเรื่องอะไรเบื้องหลัง แต่กำหนดเส้นตายก็คือวันที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่ ถ้าผู้ใหญ่ยังอยู่เขาก็เกรงใจผู้ใหญ่กันไม่อยากให้พี่น้องทะเลาะกัน ถ้าจบ bad end จริงมึงก็โดนลอยแพ
ที่นี่มีโม่งเป็นซาลารี่แมนที่ญี่ปุ่นไหม กูอยากปรึกษาไรด้วยหน่อย
เข้าไปทำงานวันแรกแต่เสือกโง่ทำพลาดไปหน่อยนึง ฮือๆ ขอกำลังใจให้กูที
มึงจะพลาดอีกหลายเรื่องไม่ต้องคิดมาก เป็นเด็กใหม่ไม่มีทางเป้ะร้อยเปอหรอก เขาเข้าใจ
งายเหล่าซาลารี่แมนจะปลายปีแล้วช่วงนี้เป็นไงมั่งวะ บ.กูโดนไม่จ่ายโบนัสกลางปีแล้ว+เพดานเงินเดือนใหม่ เงินเดือนใครชนเพดานแล้วเงินเดือนไม่ขึ้นนะฮะ
แล้วพอถามหาเพดานมันเท่าไหร่ HR บอกฟามลับบ.ฮ่ะ อิอิ...
แล้วพอถามอ้าวยังงี้ HR บอกตันแล้วคือตันแล้วตรวจสอบอะไรไม่ได้เลยหรอ HR บอกตามนั้นแหละฮ่ะ อิอิ...
ควย
>>184 โบปรกติเงินเดือนขึ้นปรกติ แต่ปรกติกูขีดเส้นไว้ถ้าทำงานแล้วเงินขึ้นน้อยกว่า 10% กูชิ่งล่ะ
ปัจจุบันทำที่เดิมมาหลายปีแล้วเพราะมันขึ้นเกิน 10% ทุกปี แต่ปีนี้ปริ่มๆ อาจจะอยู่เป็นปีสุดท้าย เพราะหลังจากหัวหน้ากูออกไปปีนึง กลายเป็นเหี้ยอะไรไม่รู้ยัดงานมาให้ยังกะกูกลายเป็น HM กลายๆ เรื่องอะไรก็ให้กูตัดสินใจหมด กูผมเครียสจนผมร่วงแล้วนะฮือ จะลาก็ลาไม่ได้ทั้งที่วันลากูสะสมจนสามารถลาได้ 2 เดือนด้วยซ้ำ ;_;
เบื่อทำงานวันเสาร์ แบตกูหมดแล้วจ้า อยากอยู่บ้านพักผ่อนใจจะขาด วันนี้ทีไรได้ทำงานอย่างเบลอๆทุกที
ถามโม่งวัยทำงานหน่อย พวกพี่ๆมีวิธีรับมือกับการทำงานบรรยากาศกดดันๆกันยังไงอะ ทั้งจากคนกับจากงาน
>183 พอดีกูกะว่าจะไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่ญี่ปุ่น คำนวนจากอายุกู + เรียนภาษา +เรียนต่อป.โท = 30ขวบ จะยังหางานทำที่นู่นได้อยู่ป่าว
สมมุติเรามีวุฒิป.โทของญี่ปุ่น ได้ TOEIC 700+ ประสบการณ์ทำโรงงานในไทยแต่เป็นแบรนด์ดังมากๆที่ญี่ปุ่น
ยุ่น อยู่ยากจะตายตอนนี้ มึงจะไปอยู่อีกเนยอะแถม ไกจิน นี่โครตต่ำพอๆกะจัณฑาณ
แล้วในนี้มีใครทำอยู่สิงค์โปร์บ้างมั้ย บอกทีน่าตามไปหรือเปล่า
เพื่อนโม่งอายุ 30 ควรได้เงินเดือนเท่าไหร่ดี
>>196 คือหมายถึงตอนนี้ยังไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยเหรอวะ ถ้างั้นกูว่ามึงไปจีนดีกว่ามั้ย ยุ่นถ้ามึงไม่มีพื้นเลยแล้วต้องไปฟาดกะพวกเก่งเมพภาษาแม่งยากอยู่นะ ส่วนถ้าจีนศก แม่งโตขึ้นทุกวันอะ บริษัทขยายเรื่อยๆ โอกาสได้งานมีมากกว่า แล้วถ้าทำงานในพวกบ ต่างชาติที่จีนนี่อย่างน้อยยังเจอต่างชาติเยอะ อาจจะปรับตัวง่ายกว่าสังคมยุ่นก็ได้
ฮาปปุก็มีหลายแบบ ถ้าเป็นฮาปปุแบบเกิดไทยโตไทยภาษาญี่ปุ่นกระท่อนกระแท่น เค้าก็ไม่นับมึงเป็นพวกเดียวกับเค้าอยู่ดี ที่บริษัทกูมีทั้งฮาปปุและไกจินเดินกันให้ว่อน ถ้าคนไหนพูดญี่ปุ่นแบบไกจินก็จะโดนมัดรวมอยู่ในกลุ่มไกจิน ไม่ถึงขั้นชนชั้นจัณฑาล แต่ยังไงก็ถูกปฏิบัติแบบคนวงนอกอยู่ดี แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ไม่ต้องแคร์ ยิ่งถ้าทำบ.อินเตอร์ยังไงก็มีเพื่อนต่างชาติอยู่แล้ว
>>204 ขอบใจมากมืง กูเป็นฮาปปุเกิดไทยโตไทยแหละ แต่มีญาติอยู่ที่ญี่ปุ่น เลยวางแผนว่าทำงานเก็บเงินอีกสักปีจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นละตั้งต้นทำงานใช้ชีวิตอยู่นู่นไปเลย เป็นเพราะหลังๆมานี้กูเบื่อชีวิตในประเทศกูมีว่ะ เหมือนทำงานจ่ายภาษีทิ้งเปล่าๆ อยู่นู่นกฎเกณฑ์มันเยอะงานหนัก ทำงานแบบเดือนชนเดือนไม่เห็นดวงตะวันกูว่ากูรับได้นะ เพราะคิดว่าไงๆชีวิตนี้คงทำงานเป็นซาลารี่แมนจนแก่แหละ อย่างน้อยเวลามีครอบครัวก็มีครอบครัวในสังคมที่มันโอเคขึ้นมาหน่อย
พรุ่งนี้ สัมภาษณ์งานครั้งแรก ปกติเค้าสัมกันกี่นาทีอะ
สังคมทำงานญี่ปุ่นเป็นไงไม่รู้ แต่เพื่อนไปทำงานเยอะมาก เงินเดือนตีเป็นไทยตก 5-6 หมื่น เห็นแฮปปี้กันดีนะ รวมถึงคนที่แอบปิ๊งด้วย 55555 ถ้าโม่งบอกที่โน่นกีดกันจะภาวนาให้เบื่อกลับไทยมาอยู่กับเราซักที 5555
อันนี้อาจไม่เกี่ยวกับงาน เเต่อยากถามอะไรหน่อยว่ะ
คือกูมีญาติกูที่เเบบชอบถามชอบเสือกว่า ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไร ชีวิตเป็นไงมั่งอะไรเเบบนี้ตลอดทุกครั้งที่เจอกัน
เเล้วที่เเย่คือไอญาตินี่เเม่งก็ชอบเปรียบเทียบ เเบบทำมาปีนึงเเล้วเงินเดือนขึ้นนิดเดียวบลาๆ ดูลูกสิดูพี่คนนู้นนี่นั่นไรงี้ กูเลยรู้สึกโคตรรำคาญมาก เเต่ก็ไม่อยากอะไรกับญาติผู้ใหญ่
อันนี้อยากถามเป็นสกิลหน่อยว่ะ ถ้าสมมุติมีคนชอบถามเเบบนี้ ควรจะเลี่ยงตอบอย่างไรให้ไม่น่าเกลียดวะ เเบบตอบเเล้วผู้ฟังจะไม่อยากถามต่อหรือไม่ดูถูก เรื่องเงินเดือนนี่มันก็เรื่องSensitiveด้วยใช่ปะ ปกติกูก็ไม่ได้บอกใครนะ บอกเเค่เพื่อนสนิทๆที่ไว้ใจได้
>>213 ไม่มีทางที่จะรักษาน้ำใจด้วยและเราพอใจด้วย ปากเค้าเป็นอย่างงั้น ยังไงก็หาเรื่องมาข่มอยู่ดี งาน -> เงิน -> บ้าน -> รถ -> แฟน -> แต่งงาน -> ลูก ->ไปเรื่อยๆ คือหาอะไรมาข่มได้ก็จะคุยอันนั้นไม่หยุดอะ
กูมีญาติคนนึงเว้ย timeline แกแม่งฮามาก
มันเริ่มที่ประมาณม.ต้น กูเรียนรร.ตจว ลูกแกก็ตจว กูชอบอ่านการ์ตูน - ด่ากูทุกวัน อ่านทำไมการ์ตูน ไร้สาระ
เกรดกูออกมาเท่าๆกับลูกแก - เลิกพูดเรื่องเกรด แขวะกูเรื่องไม่ค่อยมี activity นอกบ้านแทน
กูเข้าม.ปลายดังในกทมได้ - เลิกถามเรื่องเรียน
ลูกแกต่อนอก - กลับมาข่ม (ข่มทำไมวะ ก็แค่เอาเงินเก็บมาจ่ายค่าเทอมแพงๆ ใครๆก็ทำได้ป้ะ?)
กูเข้าม.รัฐคณะค่อนข้างดังได้ - อวดน้อยลง
กูจบ ทำงาน ลูกแกยังไม่จบ - เงียบกริ๊บ
time skip มาตอนลูกแกได้ปั๋วรวย - ชั้นภูมิใจกับลูกคนนี้เหลือเกินนนน
ม.ต้นกูเหม็นแม่งมาก เครียดมาก แต่ประมาณม.5กูเริ่มบรรลุ แล้วก็อืมๆกับแกมาตลอดตั้งแต่บัดนั้น ยาวๆไป
แต่มึงควรไปถามใน มู้ปรึกษาปัญหา&นินทาญาติพี่น้องมากกว่านะ
โทษทีว่ะ งั้นเปลี่ยนเป็นถ้าเป็นคนในบ.ชอบถามกันเรื่องเงินเดือนนี่ทำไงวะ
>>217 กูบอกปัดว่าตามกฎบ.เขาไม่ให้พูดเงินเดือน
แรกๆกูก็โดนถามบ่อยอะ พอกูไม่บอกก็ทายกันใหญ่เลยเด้อ เท่านี้ใช่มั้ย เท่านี้ใช่มั้ย บางทีก็ทายกันซะเวอร์ซะจนกูเกือบหลุดบอกไปแล้วว่าไม่ถึงขนาดนั้น แค่...ต่างหาก ดีนะกัดฟันเบรกไว้ทัน ถ้าปฏิเสธหนักแน่นเข้าไว้พอผ่านไปนานๆเขาก็ไม่ถามกันละ ขี้เกียจถาม
อีดอก กูเจอทิ้งบอมป์ทิ้งงานไว้ให้กูทำว่ะ แล้วไม่ใช่ธรรมดา คืออีนี่คนโปรดเมเนเจอร์ ทำงานฟิลเดียวกะกูแต่ไม่ชอบขี้หน้ากู
คืองานกูมันก็มี procedure ของมันอยู่ต้องทำอะไรมั่ง ทีนี้อีนี่ดันไปคุยกะเมเนเจอร์ว่าให้พวกกู+มันทำนู่นนี่นั่นเพิ่ม เมเนเจอร์เออออบอกดีๆ ทำเยอะๆ
พวกกูไม่เห็นด้วย คือแม่งโคตรเยอะทำไม่ทันแน่ๆ แต่อีนี่กระต่ายขาเดียวว่าทันๆ ไม่มีปัญหา พวกกูตะงิดๆ คือมึงก็ไม่น่าทำทันป่ะ
มาถึงบางอ้อวันนี้ คือแม่งขอเมเนเจอร์ย้ายไปทำส่วนอื่น ส่วนพวกกูเจองานหนักโคตร แล้วแม่งย้ายแบบไม่บอกใคร ควยเหอะมึง
ส่งสัยถึงเวลาลาออกแล้วล่ะว่ะ ขอกูหางานใหม่ก่อนเหอะสัด
ถามหน่อยพวกบริษัทใหญ่ๆหรือทั่วไปก้ได้นี่ถ้ารับคนเข้าทำงานเขาดูโหงวเฮ้งกันป่ะวะ พอดีจะทำเคสสตัดดี้เกี่ยวกับความเชื่ออ่ะ ละบริษัทนี่มีคนจีนมะหรือเชื่อกันต่อๆมา ขอบคุณมากก
มีใครเบื่องานแต่ยังไม่ออกซักทีเพราะไม่อยากเสียเพื่อนในที่ทำงานมั้ยวะ แม่งงี่เง่าเกินป่าววะ(กู) ยิ่งอยู่ยิ่งเกลียดบริษัท แต่ยังอยากมากินข้าวเม้าท์มอยไปเที่ยวตจว.กินหมูกระทะกันบ้างกับเพื่อนที่สนิทๆ ในแผนก เพื่อนสมัยมหาลัยก็ห่างกันจนเลิกคบกันไปหมดแล้ว ถ้าไม่มีแก๊งค์นี้อีกกูคงจะเหงา เฮ้อ..
>>225 บ.เก่า กูเกลียดหัวหน้า เกลียดเพื่อนร่วมงาน เกลียดสวัสดิการ เกลียดทุกอย่าง ยกเว้นลูกค้ากับพวกคนจากบ.อื่นที่ดีลงานด้วย คือไปๆมาๆกูดันได้กำลังใจจากคนนอกบ.แทนซะงั้น สุดท้ายเลยกัดฟันอยู่จนงานสุดท้ายจบถึงได้ออก ได้บอกลาคนรู้จักอย่างสบายใจ ส่วนบ.บ้านั่นกูภาวนาขอให้แม่งย่อยยับ ซึ่งมารู้ตอนหลังว่าได้ยับสมใจ 55555555555
บางทีแค่กูสัมภาษณ์ก็รู้สึกได้เลยนะ ว่ากูจะไม่ชอบหัวหน้าคนนี้ แอคเหลือเกิน รักองค์กรเว่อๆ
ช่วงนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว เพื่อนโม่งได้โบนัสเท่าไหร่กัน เราได้แค่สามเดือนเอง น้อยกว่าปีที่แล้ว เซง!!!!
โบนัสปีนี้ของกุ กุจะถือซะว่ามันคือเงินชดเชยเลิกจ้างละกัน...ลาก่อย
โบนัสคืออะไรวะ
เพื่อนโม่งซาลารี่แมนคิดจะรีไทร์ตัวเองตอนกี่ขวบแล้วคิดว่าควรมีเงินเก็บเท่าไรดี หรือเก็บเงินก้อนไปตายเอาดาบหน้าประเทศอื่นตอนอายุเท่าไร
ถ้าอยากลองอะไรแปลกๆ ให้รีบทำก่อน 30 เพราะถึงมึงหมดตัว อายุเท่านี้รอบตัวมึงก็ไม่มีเงินกันเยอะแยะไม่แปลกอะไร สำคัญคือห้ามทำแล้วหนี้สินล้นพ้นตัวเด็ดขาด
แต่ถ้าอายุมากกว่านั้น มีภาระ มีครอบครัว ขอตอบเลยว่า
การเก็บเงินก้อนไปตายเอาดาบหน้า คือ ความคิดโง่ๆ ที่รักสบายชั่ววูป ว่าทำงานประเทศอื่นแล้วดีกว่าเก่า ไปจริงแล้วปากกัดตีนถีบกว่าเดิมเยอะจนมึงคิดเสียดายเลย คนประสบความสำเร็จมีแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่เหลือล้มเหลวกับทรงตัวแย่กว่าเดิมเยอะ ถ้าอยากไปทำต่างประเทศไม่ใช่ออกมั่วซั่ว แต่คือมึงต้องหางานต่างประเทศที่มั่นคงได้แล้วไปทำด้วยตัวเองมากกว่า
ส่วนถ้าคิดอยากจะรีไทร์ตัวเอง แนะนำให้มึงลองเปลี่ยนงานดีกว่า รีไทร์ไว้ใช้ตอนมึงแก่ทำงานไม่ไหว แต่ถ้าคิดออกมาทำธรุกิจตัวเองก็คือมึงต้องได้เงินจากธุรกิจนั้นจนมั่นคง แล้วทำงานคู่กับงานปรกติแล้วเสียโอกาส มากกว่าที่ทะลึ่งออกโดยไม่คิดอะไร ถ้าคิดหวังน้ำบ่อหน้ามึงได้ออกมาแล้วเป็นนีท และกลับไปทำงานประจำตอนเงินหมดแทนแน่นอน
เพื่อนโม่ง กูถามหน่อยดิ ลูกค้าส่งของมาให้แล้วติดกรมศุลกากรอยู่ตอนนี้ ถ้าเกิน 20,000 บาทต้องทำอะไรบ้างวะ คือแค่เอาใบเขียวไป declare กับที่กรม ? ใครมีประสบการณ์ด้านนี้มั้ยมึง วันนี้กูลองโทรไปหาที่กรมละ พูดจาหมาไม่แดกมาก
>>ขอบใจมากมึง ตอนนี้กู26ละ กำลังคิดว่าจะเอาไงต่อกับชีวิตดีแม่งโคตรสับสนมากๆ กูเข้าช่วง Midlife crisis ไวไปป่าววะ
อยากลาออกกลับไปทำฟรีแลนซ์เหมือนเดิม แต่ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้มันเสี่ยงเกินไป ติดกับดักเงินเดือนเข้าแล้ว
>>243 นึกว่าร่างแยกกูมาพิมพ์ แต่กูว่ากูไม่ไหวแล้วว่ะ แค่จะอดทนอยู่ในถึงวันโบนัสออกยังต้องข่มใจแทบทุกวัน จะเดินไปเอาใบลาออกกับ HR หลายรอบละ พยายามท่องคำว่าอดทนไว้เพื่อเงินแสน กะว่าต้นปีหน้าจะออกมาซักพัก เคลียร์งานที่รับมาหมดให้เรียบร้อย(อดีตเป็นงานฟรีแลนซ์ ปัจจุบันเป็นงานเสริม อนาคตคงเป็นงานฟรีแลนซ์อีกรอบ) อาจจะไปเที่ยวตปท.ใกล้ๆ ที่ไม่แพงมากซักที่ แล้วค่อยกลับมาหางานใหม่และทำฟรีแลนซ์ไปพลางๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้
>>244 มันก็ส่วนนึงแหละที่กูมองเพื่อนอัพชีวิตดีลงโซเชี่ยลแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ แต่งานในปัจจุบันก็ไม่ได้แย่อะไรมีเส้นทางเติบโตชัดเจน
ตอนนี้กูมีหนี้คือผ่อนบ้านให้แม่แค่นั้น ถ้าจะดาวน์รถออกมาขับก็สบายๆแต่ขี้เกียจผ่อนเพราะขี่มอไซค์ไปทำงาน15นาทีถึงและ แต่กำลังกูสับสนในอนาคตอยู่ว่าทำงานกินเงินเดือนเรื่อยๆปีหน้าเรียนป.โทเพิ่มบวกทำงานไปด้วยกลับมาอัพตำแหน่งอัพเงินขึ้นไปอีกแต่สโคปงานก็คงเดิมๆไปเรื่อยๆจนแก่หรือทำงานเก็บเงินเก็บโอทีเยอะๆไปเลยสักไม่เกินสองปีแล้วไปเรียนต่อต่างประเทศหาลู่ทางทำงานต่อซึ่งในสายงานกูมันก็พอไปได้อยู่และถ้าไปกูก็มีภาษีดีตรงได้สามภาษาหางานคงได้งานเงินพอใช้ได้อยู่ อารมณ์ตอนนี้มันแบบจะเลือกทางสบายๆค่อยๆเป็นค่อยๆไปในประเทศตัวเอง หรือเลือกไปท้าทายสิ่งใหม่ๆในประเทศอื่นดีกว่าวะ ซึ่งตัวกูมีคำตอบอยู่ในใจละว่าอยากไปข้อสอง แต่บางทีก็กลัวตัดสินใจพลาดแล้วมันแก้ไขไรไม่ได้ว่ะ
>>248 ขอบคุณนะ แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะเอาเวลาตอนไหนไปลาดี ทั้งงานประจำและงานเสริมช่วงนี้โหลดมาก ถ้าได้ลาไปพักคงรู้สึกดีขึ้น แต่พอกลับมาทุกอย่างก็คงเหมือนเดิม เหมือนเดือนตุลาที่มีวันหยุดเยอะหน่อย รู้สึกดีมาก ได้พัก รู้สึกมีแรงมาก ตอนนั้นคิดว่าเอาวะ เราอาจจะสู้ต่อไหว แต่พอกลับมาทำงานเท่านั้นแหละ ความรู้สึกเดิมๆ ก็กลับมา เพราะทุกอย่างมันเหมือนเดิม
กูอยากถามความเห็นหน่อยได้ไหม กูเป็นเด็กเพิ่งจบมา2ปี ตอนนี้ทำฟรีเเลนซ์ส่วนตัว กูมีรายได้ฟรีเเลนซ์ประมาณ 7000-40000 กูมีความสุขกับชีวิตดีเพราะว่ามันจัดสรรเวลาได้ง่าย อยากทำอะไรก็ทำพอได้เเต่ข้อเสียคือรายได้มันไม่คงที่ บางเดือนไม่มีลูกค้าเลย บางเดือนก็ได้เยอะมากๆ เเล้วเเต่เดือน บางเดือนเยอะบางเดือนน้อยกูเคยทำงานประจำปีนึงรายได้ประมาณ 18000 บวกรวมๆเเล้วได้สองหมื่นกว่าๆ เเต่กูรู้สึกว่ามันเหนื่อยเเละเครียดมาก รู้สึกไม่ชอบเลย บางวันงานไม่มีก็รู้สึกว่านั่งเสียเวลาไปวันๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ เเต่ฟรีเเลนซ์ที่ทำนี่จัดสรรเวลาตื่นนอนเองได้ มีเวลาทำอะไรหลายๆอย่าง
เเต่พอเริ่มเเก่ๆขึ้น 25 26 กูก็รู้สึกว่ามันเหมือนต้องเลือกสักทาง คือถ้ากูทำงานประจำมันคงมีเวลามาทำฟรีเเลนซ์น้อย เเถมเงินเดือนขึ้นทุกปี มีโบนัส
กูอยากถามพวกพี่ พวกมึงหน่อย ว่าถ้ามีความคิดจะทำงานฟรีเเลนซ์นี่ควรจะได้รายได้คงที่ +เยอะกว่างานประจำใช่ไหมถึงควรจะทำ เพราะไม่งั้นมาลองคิดดูถึงความก้าวหน้า ถ้าเงินเดือนมันเเกว่งๆเยอะเเบบนี้ถึงจะได้เยอะบางเดือน ได้สุขภาพจิต เเต่ว่าสวัสดิการ ความมั่นคงอะไรมันไม่มีเลย..
กูอายุ 26 เงินเดือนสองหมื่น ทำงานอารีย์ จะซื้อบ้านแถวๆนนทบุรี ราคาประมาณล้านห้าถึงสองล้าน แล้วซื้อรถด้วยเพื่อขับเข้ามาทำงานในอารีย์ หรือจะซื้อบ้านในเมืองซึ่งราคาอยู่ที่ห้าล้านกับบ้านกากๆ แต่ไม่ต้องซื้อรถ
แบบไหนจะดีและคุ้มค่ากว่ากันวะเพื่อน
>>252 ถ้ากะอยู่ในเมืองและไม่ไมน์รถติดก็เอาบ้านในเมือง ส่วนตัวออกเร็ว ๆ รถไม่ติดได้บ้านดี ๆ มันก็โอเคนะ เรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่คิดเยอะ ๆ สุดท้ายแล้วให้มึงลองนึกภาพมึงต่อจากนี้ดูนะ มึงบอกเงินเดือนสองหมื่น ผ่อนอย่างต่ำเดือนละหมื่นไม่รวมรถ ค่าน้ำมันเอยอะไรเอย แต่ข้อดีคือมึงไปไหนก็ได้ บ้านไม่กาก ถ้ารถไม่ติดสภาพชีวิตมึงจะดีมาก
ส่วนอันหลังห้าล้านก็ตามนั้นไม่ต้องมีรถบ้านกาก ๆ แต่ห้าล้านกว่าจะผ่อนหมด
>>252 นอกจากรสนิยมฝั่งมึง มึงควรศึกษาอีกฝั่งด้วย
สินเชื่อที่อยู่อาศัย 1.6M ผ่อน 30 ปี(max) ตกเดือนละ 9-10K ขึ้นอยู่กับดอกของแต่ละธนาคาร
ประเมินความสามารถในการผ่อน = เงินได้ต่อเดือนหลังหักยอดผ่อนอย่างอื่นที่มีอยู่แล้ว *30%
แปลว่าคนที่ไม่มีผ่อนรถหรือผ่อนหนี้อย่างอื่นอยู่ ต้องมีรายได้ประมาณ 30K เพื่อที่จะผ่อนคอนโด 1.7-2M ขึ้นอยู่กับจ่ายดาวน์ไปแล้วเท่าไร
ถ้าไม่ถึงก็กู้ร่วม ไม่ก็พนักงานต้องทำเอกสารให้มึงประมาณนึงเลยถึงจะผ่าน ลองเอาโปรไฟล์มึงไปลองคุยเล่นดูก่อน
ถ้างานการก้าวหน้าตลอดเกินปีที่สิบก็ชิวๆแล้ว
คอนโดกับบ้านโครงการจัดสรรแบบที่ค่าส่วนกลางโหดๆคือที่อยู่ที่กูไม่อยากจะจ่ายเลยจริงๆ ที่อยู่เหี้ยไรซื้อมาได้เองละต้องมานั่งจ่ายทีเดือนๆนึงเหมือนค่าเช่าหอพัก บางทีอยู่ไปอยู่มากลายเป็นสลัมแนวตั้ง แถมยังต้องมาจ่ายแพงอีก แค่นั้นไม่พอ ต้องมาปากหวานใส่นิติด้วยเพื่อให้เค้าดูแลห้อง/บ้าน เราให้ดีๆ โจรขโมยขึ้นห้องถามหน่อยเหอะว่าค่าส่วนกลางที่จ่ายๆไปมันช่วยให้กูได้รับเงินชดเชยไหมก็ไม่ ยาม รปภ. มีตามตึกมันไม่ต่างจากมีตำรวจโง่ๆไทยมาเดินไปเดินมาก็เท่านั้นอ่ะ นี่ยังไม่นับถึงที่อยู่โดนโกงวัสดุ ฝนตกเจอรั่วซึม ไฟฟ้าลัดวงจรจนใช้งานไม่ได้อีกนะ ถ้ากูมีรายได้ร้อยล้านพันล้านกูยอมซื้อนะ แต่กับรายได้ไม่ถึงแสนกูไม่อินจริงๆ
ค่าส่วนกลางที่มึงจ่ายๆ ไปนั่นมันจะเอาไปลงก็จำพวกค่าบำรุงฟิตเนส บำรุงสระว่ายน้ำ ค่าจ้างยามหน้าหมู่บ้านอะไรทำนองนี้ ถ้าไม่อยากมีค่าพวกนี้มึงก็ต้องหาบ้านเดี่ยว หรือไม่ก็ทาว์เฮ้าส์ที่ไม่ได้สร้างในโครงการหรือหมู่บ้าน
เรื่องจ่ายค่าบ้านนั้นเท่าที่ฟังมาผู้ใหญ่กูสอนว่าอย่าให้เกิน 40% ของเงินเดือน ไม่งั้นจะลำบาก
แต่เรื่องจะเลือกคอนโดหรือบ้านนั้นขึ้นอยู่หลายปัจจัยอะ คนรู้จักข้างบ้านกูก็เคยซื้อคอนโดมาเพราะคิดว่าจะอยู่คนเดียว แต่พอ 30+ ปุ๊บเขาแต่งงานแล้วมีลูกไง เลยขายคอนโดแล้วซื้อบ้านในหมู่บ้าน เพราะจะได้อาศัยกันทั้งครอบครัว ซึ่งถ้ามึงคิดจะครองโสดไปตลอดกาลหรือไม่คิดจะมีลูก คอนโดก็เป็นหนึ่งในคำตอบที่ไม่เลว แต่ถ้าอยากจะปักหลักสร้างครอบครัวก็ซื้อบ้านเถอะ
กูรู้สึกว่าคอนโดมันชั่วคราวว่ะ แค่ช่วงไม่เกินสิบปีที่ต้องทำงานอยู่ในเมือง เพื่อความสะดวกในการทำงาน พอหลังจากนั้นถ้าตั้งตัวได้แล้วก็ขายออกไปอยู่รอบนอก(พร้อมรถ) แบบไม่ใช่วัยที่ต้องตอกบัตรเข้างานให้ตรงเวลาแล้วอ่ะ ไม่ก็ปลูกบ้านต่างจังหวัดแบบมีกิจการของตัวเองไปเลย
แนะนำซื้อที่เล็กๆ แถบชานเมืองหรือต่างจังหวัด เอาแบบพอปลูกบ้านได้ ราคาไม่กี่แสน ซื้อเก็บไว้พอวันนึงมีเงินพอ ก็ปลูกบ้านย้ายออกมาอยู่นอกกรุงเทพ
>>265 เออจะว่าไป มีพี่ที่ออฟฟิศคนนึงแกมีคนโดปล่อยเช่า ส่วนตัวแกก็ไปเช่าคนอื่นอยู่อีกที แต่เป็นบ้านเช่านะ เพราะแกเลี้ยงแมวด้วยแหละเลยอยู่คอนโดไม่ได้ เห็นว่าต่อให้ขายคอนโดแกก็เอามาซื้อบ้านไม่ได้ แกเลยปล่อยเช่าคอนโดมาเป็นค่าเช่าบ้านคนอื่นอยู่อีกที ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคุ้มกันมั้ย
มีคนเป็นครูบ้างมั้ย อยากรู้ว่านักเรียนเขาอะไรกับการติ่ง การเป็นสาววายของครูไหมวะ กูหวีดได้แต่ 2D นะบอกไว้ก่อน เผื่อพวกมึงกลัวกูเป็นภัยสังคม กังวลว่ะ เด็กสมัยนี้เซนส์ดีจนกูตามไม่ทันแล้ว โรงเรียนที่กูไปฝึกสอนขนาดไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับรสนิยม เขายังรู้อะว่ากูชอบผู้หญิง รู้ได้ไงวะ นี่ก็กำลังจะไปบรรจุละ กลัวความลับแตก กังวลเกินไปละมั้ยนี่
พอมึงบรรจุ มึงจะยุ่งจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้ - -"
ปล.จากโม่งเพิ่งบรรจุที่ต้องไปรร.มา 14วันรวด.......
อาชีพครูข้าราชการสมัยนี้นี่ทำงานกันยังไงวะรีวิวหน่อย?
นายฝรั่งกูเรียกประชุมปลายปีบอกว่าตอนนี้ บ.เราอยู่ในสภาวะต้มกบนี่คือกูต้องเตรียมลู่ทางแล้วช่ะ -*- แม่ง 30 กว่าแล้วงานยิ่งหายากๆอยู่
โห้ ทำไมกูเห็นเงินเดือนพวกมึงหมื่นอัพกว่าๆง่ายจังวะ แถวบ้านกูอยากจะต่อขึ้นเป็นหมื่นนึงหืดแทบขึ้นคอ
พวกมึ้ง ถ้าบ.ที่พวกมึงทำงานอยู่มันรับงานมาทำโดยที่บ.มึงไม่ชำนาญแต่ต้องรับเพราะไม่มีโปรเจ็คแล้วไม่มีเงินเลี้ยงพนักงาน
แล้วมึงมีประสบการณ์ทำงานด้านนี้มาก่อนมึงดูออกว่าบ.มึงพลาดเจ๊งยับแน่ๆ
โดยที่มึงโดนประเมินแย่ทั้งๆที่โปรเจ็คที่มึงทำก็ไม่มีปัญหา ทำกำไรได้ถึงจะงานเล็ก โบนัสน้อย ขึ้นเงินนิดเดียว
เป็นมึงมึงจะเข้าไปเตือนไม้วะว่าควรทำยังไง คือกูอยู่ในโปรเจ็คนี้ด้วยแหละ กูสามารถตามน้ำทำตามที่สั่งจนจบโปรเจ็คได้แต่เจ๊งยับแน่นอน
หรือทำตามที่บนๆสั่งมาโดยหางานใหม่รอเลย
บริษัทกูต้องเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบ ของก็จะชอร์ต ปกติก็ขาดทุนอยู่แล้ว ยิ่งต้องเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบต้นทุนยิ่งสูงอีก จากปกติขายของไปตปทตู้นึงขาดทุนหนักสุด 4-5 แสน แม่งจะหนักขึ้นอีก ก่อนนี้บริษัทแม่เคยประชุมกันเรื่องนี้ นายกูมาสรุปผลให้ฟังว่า "เราตกลงที่จะทำธุรกิจนี้ต่อ" (อ่าวไอ้เหี้ยคือไร ประชุมเรื่องเลิกกิจการหรอ) กำลังโดนเคลมมูลค่าความเสียหายสามร้อยล้าน(บาท) ยังรอสรุปผลอยู่
แต่บริษัทกูรักคนมาก ไอ้เหี้ยทำโอทีกันจนเสียภาษีเรต 20% (ลืมตัวโวยวายหาว่าบุคคลคิดภาษีผิดกูเลยรู้)
กูก็ลังเลนะ ทำๆไป เลียนแบบคนอื่นๆขยันรีดหน่อย เก็บเงินเรื่อยๆ รอแม่งเจ๊งเอา 10 เดือน ยังไงมันก็ต้องจ่ายเงินเรา
แต่อีกใจแม่งก็อยากออก เบื่อสังคม เบื่อการเห็นคนนั่งเล่นเน็ตจนสี่ทุ่มห้าทุ่มแล้วบ่นว่างานเยอะๆ
จะไปบริษัทใหม่ ก็อยากได้ใหญ่ๆมั่นคง แต่เขาไม่เรียกกูเลยว่ะ ที่เรียกมีแต่พวกเล็กๆบ้าง เพิ่งตั้งบ้าง เรียกไปทำตำแหน่งอื่นบ้าง ไม่ก็นอกเขตที่อยากได้ เพื่อนกูก็แขวะว่าหางานนานแล้วคงไม่ได้ออกแล้วล่ะ
อันนี้บ่นเฉยๆ กูคงหางานไปเรื่อยๆแหละ ได้ก็ไป ไม่ได้ก็ทำไปก่อน
บอสัทกูจ้างคนมาเล่นโปรแกรมหาเงินสุดท้ายแม่งไม่จ่ายเงินเดือนสองเดือน เพราะเอาเงินลูกน้องไปลงโปรแกรมหมด มาสารภาพเอาทีหลังไม่มีเงินจ่ายบลาๆ เฮ้ยสัสไม่เมคเซ้นควารับผิดชอบอยู่ไหนวะแถมยังจะใช้ให้พวกกูทำงานใหม่เพื่อหาเงินเข้าบริษัท อย่าให้คนอื่นมารับผิดชอบความผิดพลาดของมึงดิวะ กูออกเลยจ้ะกูไม่สนใจด้วยแม่งโคตรเซ็ง
กูขับรถไม่เป็น กะว่าจะไปเรียนขับรถแล้วไปทำใบขับขี่
แต่กำลังคิดอยู่ว่าวิชาที่กูเรียนมามันทำงานนั่งโต๊ะเป็นส่วนใหญ่
ลงทุนเรียนขับรถจะคุ้มมั้ย เพราะในความเข้าใจของกู
ถ้าไม่มีรถ ต่อให้ไปเรียนขับรถก็ได้แค่พื้นฐานอยู่ดี
แต่ประสบการณ์ออกถนนใหญ่นี่ต้องมีรถให้ขับทุกวันอ่ะ
ก็หาคนสอนฟรีดิ ขับเป็นค่อยไปสอบ รถมีไหม
เหนื่อยว่ะ ช่วงใกล้สิ้นปีแทนที่จะชิวๆดันงานหนักทั้งที่กูอยู่บริษัทคนไทยแท้ๆ
ได้งานใหม่ที่ท้าทาย โอกาสทอง เงินเดือนเยอะกว่าแต่รู้ว่างานโหดมาก ซีเนียริตี้สูง กับอยู่ที่เดิม เงินธรรมดา ใกล้บ้าน สังคมดี อันไหนดีกว่ากันวะ
กูเบื่องานเลี้ยงบริษัทสัดไอเหี้ยยยยยยย คนออก คนเข้า เทศกาล ห่า ควยไรแม่งเลี้ยงกันอยู่นั่นตังกูก็ไม่ได้เยอะ ไม่ไปก็ไม่ได้เดี๋ยวแม่งมองว่าไม่เข้าสังคมเพื่อนร่วมงาน ไม่มีส่วนร่วม ไอสัดดดด แถมแดกกันแพงเหลือเกินตกหารทีไร 500-800 ทุกทีควย
>>297 นึกถึงโม่งที่ต้องไปงานเลี้ยงปีใหม่เพราะได้งบจาก HR เลยว่ะ >>>/lifestyle/5047/878-883
เราเป็นเซลล์ที่ไม่ต้องทำยอดเหมือนกัน แต่ทำงานขาขวิดตลอดทั้งปี (อยู่บริษัทญี่ปุ่น) เมื่อก่อนอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นก็แบบ...ทำไมตัวละครที่อยู่แผนกเอเกียวต้องกลับรถไฟเที่ยวสุดท้ายไม่ทันตลอด มาอยู่เองซึ้งเลยจ้าา ถถถ ว่าแต่บริษัทส่วนมากปิดยอดกันธันวาเหรอ ไม่ได้ปิดตาม fiscal year เหรอ? ของเราอะไรๆ จะไปประดังประเดโหดสัสรัสเซียตอนมีนาโน่นแหละ ตาม fiscal year ของญี่ปุ่นอะนะ ช่วงสิ้นปีนี่ก็ทำงานขาขวิดตามปกติไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ดีหน่อยตรงวันหยุดเยอะดี
https://mobile.twitter.com/Colorangest/status/1062709269265440768
มีใครเจอแบบนี้มั่ง
>>301 ไม่มีนะ ของเราปิดงบสรุปยอดทุกอย่างตอนสิ้นเดือนมีนาอะ และถ้ามีเครดิตเดบิตอินวอยซ์อะไรก็จะต้องเคลียร์ให้จบภายใน 31 มีนาเท่านั้น ห้ามเลทเด็ดขาดเพราะมันจะข้าม fiscal year จะกลายเป็นมหากาพย์ยุ่งยากสุดๆ ส่วนเรื่องสรรพากรนี่ไม่แน่ใจ สงสัยอันนั้นจะเกี่ยวข้องกับบัญชีแต่ไม่เกี่ยวกับเซลล์มั้ง แต่ย้อนกลับไปประเด็นแรก ไม่ว่าจะปิดงบตอนไหน เราก็ไม่เคยต้องมาเร่งทำยอดก่อนปิดงบอยู่ดีอะนะ
บริษัทฝรั่งที่กูเคยอยู่จะเน้นเร่งยอดให้ทันประเมินพนักงานประจำปี อย่างช้าก็เสร็จไม่เกิน 15 ธันวา
หลังจากนั้นก็สบายๆ แล้วค่อยมาปวดหัวต่อหลังกลับมาจากหยุดปีใหม่
บ.ที่เปิดรับคนช่วงสิ้นปีเอามาแทนคนที่ลาออก เค้าจะเรียกสัมภาษณ์ช่วงไหนอะ
พี่โม่ง กูเรียนจบมาเเล้วยังไม่เคยทำงานบ. จบช้าไปปีนึง ซึ่งกูก็ทำงานฟรีเเลนซ์อยู่บ้าน(ไม่ตรงตามสายที่เรียน)รอรับปริญญาเเล้วเพิ่งจะรับไปเเล้ว ทีนี้ปีหน้ากูจะเริ่มสมัครงานบ.ละ งานฟรีเเลนซ์ที่ทำเป็นงานพวกงานอาร์ตศิลปะ,ทำพวกคอมมิชชั่น อะไรพวกนี้ ซึ่งโคตรจะเเหวกเเนวจากสายที่เรียนกูจบคอมไซ กูไม่ได้ชื่นชอบพวกIT programmingเท่าไร ชอบงานฟรีเเลนซ์ที่ทำอยู่
มีคำถามสอบถามเกี่ยวกับศิลปะการตอบสัมภาษณ์งานในฐานะจบใหม่(เเละจบช้า)หน่อย
-กูควรบอกไหมว่าทำงานฟรีเเลนซ์อยู่บ้านที่ไม่ตรงตามสายที่เรียนในช่วงเวลาที่ผ่านมา เเล้วอธิบายงานคร่าวๆหากเขาถาม(เเต่มันไม่น่าจะมีประโยชน์ต่อสายงาน) หรือ ควรจะบอกว่าตกงานอยู่ครึ่งปี อันไหนดีกว่า
-หากมีคำถามว่า อยากทำงานที่นี่เพราะอะไร กูอยากจะตอบว่าอยากได้ประสบการณ์ เเต่หากข้อเเรกกูตอบว่าทำงานฟรีเเลนซ์ไป น่าจะมีคำถามย้อนกลับมาว่าทำไมถึงเลิกฟรีเเลนซ์มาทำงานบ. เเต่ถ้าตอบข้อสองว่าตกงานไม่น่าจะมีอะไรเเต่ตกงานมันจะดูขี้เกียจไปหน่อยไหม คือถ้าดิ้นยังไงมันก็น่าจะหางานได้เเหละเด็กจบใหม่
ส่วนถ้าตอบว่าทำงานฟรีเเลนซ์อยู่ มันก็น่าจะมีคำถามมาอีกคือเจ้าของก็น่าจะลังเลละว่าจะรับดีรึเปล่า ทำไมเลิกฟรีเเลนซ์ เเถมงานฟรีเเลนซ์ก็ไม่ตรงสาย มันส่อถึงว่าไม่มีความกระตือรือร้นในสายที่เรียน บลาๆ (หรือกูกังวลไปเอง) หรือเฟคคำตอบไป เบื่อ ทำเเล้วดูไม่มีความก้าวหน้า พยายามตอบเเนวที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน บลาๆ
กูไม่ได้สนเงินเดือนบ.ด้วยซ้ำ เเต่อยากได้ประสบการณ์ล้วนๆเพราะกูไม่เคยสัมผัสงานบ.เลยอยากลองทำงานสายที่จบมาดู กูควรตอบคำถามเเบบโปร่งใสไหม หรือเฟคๆหน่อย
ขอคำเเนะนำเรื่องศิลปะการสัมภาษณ์งานหน่อยพี่โม่ง
ปล.งานฟรีเเลนซ์ที่ทำอยู่คิดว่ากูได้เงินเยอะกว่าเด็กจบใหม่หน่อยนึงนะ เเต่กูอยากได้รายได้สองทางคืออยากได้เงินเดือนบ.ด้วย ทำฟรีเเลนซ์ด้วยเเต่จะทำน้อยลง +คิดว่าถ้าไปทำงานบ.น่าจะได้สังคม,ฝึกความอดทน,ได้มีประสบการณ์ติดตัวเป็นโปรไฟล์ติดไว้
>>311 กูไม่ใช่สายเดียวกับมึง กูเลยไม่รู้ว่าปกติสายงานนี้คนสัมภาษณ์จะประมาณไหนนะ แต่ถ้าเป็นกู กูจะตอบตามนี้
- ปกติเราไม่จำเป็นต้องสมัครหรือเคยทำงานตรงตามสายที่ตัวเองเรียนมาเป๊ะๆ อยู่แล้ว เพราะงั้นบอกไปเลยว่าทำฟรีแลนซ์อะไรมาบ้าง ถึงประสบการณ์การทำงานจะไม่ตรงกับสายงานจริง แต่ยังไงก็เป็นประโยชน์ อย่างน้อยฟรีแลนซ์ก็มีประสบการณ์การดีลกับลูกค้าโดยตรงแหละ
- อย่าตอบว่าหาประสบการณ์ ถ้ากูเป็นคนสัม ตอบแบบนี้กูจะคิดไว้ก่อนเลยว่าบ. กูเป็นทางผ่านเฉยๆ แป๊บๆ มึงก็คงออกไปหางานที่ใหม่แล้ว อย่างน้อยก็ลองดูว่าบริษัทที่จะไปสมัครมีอะไรน่าสนใจบ้าง มีอะไรให้มึงพูดถึงได้มั้ย
- ทำฟรีแลนซ์ไม่ได้เกี่ยวกับความไม่กระตือรือร้นกับสายที่เรียนมาว่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้ามึงบอกเค้าว่าจะยังรับฟรีแลนซ์ไปด้วย โอกาสที่เขาจะไม่รับก็มีนะ หลายบริษัทจะมองว่ามึงไม่มีเวลาทุ่มเทให้กับงานเขา หรือถ้าบางสาย งานมันดัน overlap กันก็ทำไม่ได้อีก เป็นกูคงตอบเชิงแบบ มั่นคงกว่า ได้ฝึกทีมเวิร์ค เรียนรู้นู่นนี่
แต่รอคำแนะนำจากคนอื่นอีกทีก็ดี
>>311 กูเป็นกราฟิกที่กำลังเรียน ป.ตรีอีกใบคอมไซ กูคิดว่ากูน่าจะพอเข้าใจสถานการณ์นะ
ก่อนอื่นสิ่งที่อยากให้รู้ก่อนคือ ส่วนใหญ่ บ.ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเด็กจบใหม่ขนาดนั้น มาเป็นแรงงานไม่ได้คาดหวังประสบการณ์อะไร
เกี่ยวกับเรื่องเคยทำอะไรมาก่อน ตอนนี้ทำอะไรอยู่ จะอยู่นานมั้ย เรื่องนี้ HR (บางที่)สนใจมากกว่าหัวหน้างานด้วยซ้ำ
- บอกไปเถอะว่าทำฟรีแลนซ์มาก่อน บางคนแคร์ บางคนไม่ แต่มันมีภาษีดีกว่านั่งว่างๆ อยู่แล้ว
- บอกไปก็ได้ว่ายังทำฟรีแลนซ์อยู่ และบอกไปให้แน่ใจด้วยว่าไม่เอางานฟรีแลนซ์มาทำในเวลางานหรือให้กระทบงานประจำแน่นอน ถ้าเขาสนใจมากขึ้นว่างานที่ทำอยู่เป็นยังไง ก็ค่อยเล่า จะเอื้อประโยชน์กันหรือเปล่าปล่อยให้หัวหน้างานตัดสินใจเอง เช่น อาจจะวางตำแหน่งให้รับงานต่อจากดีไซน์เนอร์เพราะเห็นว่ามีพื้นฐานงานอาร์ตอยู่เป็นต้น ก็เรื่องของเขา เราให้ข้อมูลตัวเองเฉยๆ
- ถ้าถูกถามว่ามาทำงานที่นี่เพราะอะไร แล้วตอบว่า มาหาประสบการณ์ ก็เป็นเบสิคทั่วๆ ไปของเด็กจบใหม่ HR จะเผื่อใจไว้ส่วนนึงแล้วว่ามันอาจอยู่ไม่นาน ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ถ้าอยากได้ราคาเด็กจบใหม่ก็ต้องยอมรับตรงนี้อยู่แล้ว / ถ้าจะตอบให้ดูดีขึ้นมาอีกนิด ก็บอกไปว่า อยากนำความรู้ที่ได้เรียนจนจบมาใช้ประโยชน์ อันนี้ดูมีแพชชั่นในสายงานตัวเองนิดนึง / คำตอบที่กูคิดว่าดีที่สุด คือไปหาข้อมูล บ.มาก่อนว่าทำอะไรบ้าง แล้วก็บอกว่า สนใจเนื้อหางานที่บริษัททำ นอกจากประสบการณ์การทำงานจริงแล้ว ก็อยากได้ความรู้ในส่วนเนื้องานนี้เพิ่มจากที่ได้เรียนมาด้วย / ซึ่งคำตอบพวกนี้จะมีเปอร์เซ็นความจริงในตัวมึงอยู่แค่ไหน มึงชั่งน้ำหนักเอาเลย เอาที่ไม่ขัดหรือผูกมัดกับตัวเองมากเกินไป
ส่วนตัวแล้วสองสายงานนี้จะว่าใกล้กันมันก็ได้อยู่นะ แล้วแต่ว่าจะทำงานสายไหน ถ้าไประบบ เน็คเวิร์คไรงี๊ก็โอเคไม่เกี่ยวกันเลย
แต่สมมติเป็นทางเว็บ แอพ เกม อะไรแบบนี้มันก็มีความเกี่ยวกันอยู่นะ ถ้าถามว่าเอื้อประโยชน์กันมั้ยกูว่ามันก็พอจะอ้อมๆ กันได้อยู่
มองๆ บริษัทไว้ยังอ่ะว่าจะไปสมัครงานประมาณไหน
เพิ่งเริ่มทำงานได้ครึ่งปี แต่งานหนักมากๆ เงินเดือนก็น้อย หันไปมองรุ่นเดียวกันเข้าพร้อมกันที่อยู่คนละแผนกได้แต่งานง่ายๆ ชิลๆ นั่งเล่นเฟสในเวลางานไปวันๆดันเงินเยอะกว่า โอทีไม่ทำแต่ได้ทุกเดือน
ทุกวันนี้เหมือนโดนเป่าหู ให้ทำงานเยอะๆ ทำงานให้เป็นหลายอย่าง วันข้างหน้าจะได้สบาย โหยย กูจะตายก่อนอะดิ แล้วงานที่เยอะนี่ก็จุกจิก ไม่ได้ต้องใช้ทักษะ หรือฝึกคิดอะไรเลย มองดูก็เหมือนจะเสียเวลาพักผ่อน เวลาไปพัฒนาตัวเอง
รู้สึกแย่ว่ะ แล้วก็ยอมรับตรงๆเลยว่าอิจฉาเพื่อน มีเวลาพักไปรับจ็อบ มีเงินเก็บเยอะ ทุกวันนี้ไปทำงานแล้วรู้สึกไม่ดี เหมือนตัวเองโง่ ทำอะไรที่ทรมาน เสียสุขภาพจิต มีวิธีคิดหรือคำแนะนำให้รู้สึกดีขึ้นหน่อยมั้ย เผื่อจะปลอบใจตัวเองที่ต้องทนทำงานราชการห่วยๆให้ได้อีกสักปีนึง ก่อนจะลาออกได้
มีใครเคยทำงานที่ CHINA PETROLEUM PIPELINE มั่งไม้วะหรือว่าพึ่งมาเปิดที่ไทยกูหาข้อมูลไม่เจอเลย รู้แต่เคยสร้างโรงงานให้ PTT อยู่หรอก
คืองี้กูสาย piping หางานอยู่แล้วกดส่งไป บ.นี้เมื่อเดือนที่แล้ว แล้วเมื่อวานมีเมลล์มานัดสัม ตอนกูส่งไม่ได้หาข้อมูลบ. พอตอนนี้มานั่งหารู้แต่ว่าบ. epc ใหญ่สุดของจีนแค่นั้น คือมันยังไม่เคยเปิดในไทยช่ะ กูอยากรู้เรื่องสวัสดิการกับสภาพการทำงานน่ะ
อยากถามพี่โม่งว่าเด็กจบป.ตรี ภาษาอังกฤษ ผลการเรีบนกลางๆ ไม่มีไรโดดเด่นสักเท่าไร ไม่มีเส้นสายอะไร พอจะมีโอกาสได้งานข้าราชการในกทม.บ้างมั้ย
พวกงานสายน้ำมันที่เป็น contract มันมั่นคงขนาดไหนวะ ตอนนี้ทำงานประจำอยู่มีรีคู้ทชวนไปสมัครทางนี้ แต่ถามถามแล้วอึกอักๆตอบกั๊กๆ เลยปัดไป
ใจก็อยากลอง แต่ดูไม่จริงจังไงไม่รู้ว่ะ
นั่งเซ็งชิบ
คือกูทำงานให้อย่างดี ทุ่มเทเต็มที่ในสิ่งที่กูทำได้มาตลอดเกือบสามปี แต่อีกฝ่ายกลับมองว่าการเข้างานสายของกูเป็นปัญหาซะงั้นว่ะ
กูก็ไม่ได้อยากสายนะ แต่ร่างกายแม่งไม่ไหวอะ มีโรคประจำตัวคือความดันต่ำ พอเช้าตื่นมาความดันไม่ขึ้นก็ลุกไม่ได้จนไปทำงานสายอีก
>>ไปหาหมอ ขอใบรับรองแพทย์ เอาไปยื่นกับ HR กับ หัวหน้า ขอเป็นข้อยกเว้นให้เข้าสายได้บางวันโดยอาจจะยอมเลิกงานช้าตามเวลาที่สาย
บางคนแม่งตัดสินใจอะไรเองไม่ได้เลยหรอวะ ทำไมจะต้องมาถามความเห็นไปหมดซะทุกเรื่อง งานอะไรไม่ใช่ของเราก็ยังอยากจะให้เราเข้าไปมีส่วนร่วมไปกับมันด้วย เห็นอะไรยาก ๆ หน่อยนี่เริ่มละ ให้กูทำ
หัวหน้ากูจะออกสิ้นเดือนนี้ คนที่ผู้ใหญ่บอกว่าจะมาแทนยังไม่โผล่มา transfer งานเลย
หัวหน้าเก่าเลยลองไปถามเจ้าตัว เหมือนเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
กูเห็นแววหายนะรำไรละ...
>>331 กูว่าการเมืองข้างใน เป็นไปไม่ได้หรอกตำแหน่งใหญ่ๆจะไม่รู้อะไรเรื่องอะไรเลย โดนจับยัดมากกว่า
เหมือนแผนกกูตอนอยู่บ.เก่า คนเก่าทำงานดีๆโดนย้ายไปทำอย่างอื่น แล้วย้ายเด็กเค้ามาคุมแทน ไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยจ้า เอ๋อๆงงๆ สิ้นปีคนลาออกกันรัวๆ
แผนกจะชิบหายจนข้างบนต้องโยกให้คนอื่นที่พอเป็นมาทำแทน
ปล. ตอนนี้บ.กู นายฝรั่งก็บอกว่าบ.เรากะลังโดนต้มกบอยู่นะ ลางชิบหายรำไรเหมือนกัล
>>326 กูก็ความดันต่ำ โดนเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ของกูเขามองว่ามันเป็นเรื่องของกูเองกูต้องดูแลตัวเองว่ะ ความดันต่ำก็รีบๆนอน ตื่นเผื่อเวลาไปอีก มันก็จริงเขานะ รู้ว่าสุขภาพไม่ดีก็ต้องดูแลตัวเองว่ะเอามาอ้างไม่ได้ กฏเขามีเมิงก็ต้องทำตามกฎ(ตอนนี้กูออกแล้ว)
ความดันกูต่ำแบบถ้าไปหาหมอตอนเช้าจะวัดไม่ขึ้นเลย ก็ไปรักษาไปตรวจอย่างอื่นก่อน ค่อยกลับมาวัดความดันอีกที
หมอบอกออกกำลังกายแล้วดีขึ้นได้นะ เมิงลองดู
>>332 บริษัทกูโดนอยู่ ย้ายคนของประธานคนปจบมา แม่งตีกับคนอื่นชิบหาย คนไทยอยู่ไม่ได้ออกรัวๆ
เวลาออกจากงานด้วยเหตุผลแบบนี้เมิงบอกบริษัทใหม่ว่ายังไงวะ กูบอกไปว่าเหตุผลภายใน พอแม่งถามต่อกูก็บอกไปตรงๆว่าไม่ชอบที่เขาขัดขากันเองคนปจบก็จะเด้งแล้วกูเลยเด้งบ้าง นี่ยังหางานไม่ได้เลย 5555
อ่านประกาศงานอันหนึ่งแล้วรู้สึกสงสัย
คือเนื้องานตามประกาศใช้ภาษาไทยทำทั้งหมด ไม่มีการติดต่อกับต่างประเทศ แต่กำหนดคุณสมบัติผู้สมัครว่าต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้
อันนี้ HR เผื่อไว้เฉยๆเพื่อกรองคนรึยังไงวะ
ประมาณว่าอยากได้ผู้รับสมัครที่คุณสมบัติดีๆใช้ภาษาอังกฤษได้ ถึงเนื้องานจะใช้แต่ภาษาไทยก็เถอะ
>>334 เผื่อดีร้ายมันอาจจะต้องใช้ไงมึง กูเนี่ยเคยไปทำที่นึง มีโทรศัพท์สายอังกฤษเข้า แอดมินที่ต้องรับโทรศัพท์ไม่มีใครพูดได้สักคน สรุปต้องตามตัวกูมาคุย เสียเวลาชิบหาย
ที่ทำงานเดี๋ยวนี้ใครเก่งอังกฤษหน่อยก็อาจจะโดนใช้งานเกินหน้าที่จ้า ที่ทำงานต่อมาของกูมีน้องจบจากอักษรอินเตอร์ โดนใช้ทั้งแปลงานจากฝั่ง mktg pr เวลามีคนมาสัมงานกับนายฝรั่งน้องก็ต้องเข้าไปแปล สรุปงานการตัวเองไม่ได้ ต้องไปช่วยงานคนอื่น นางขอย้ายไปแผนกอื่นหัวหน้าก็ไม่ให้ย้าย จนเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ น้องถึงได้ย้ายไปตำแหน่งอื่น กูนี่สงสารชิบหาย
>>335-336 ก็งี้แหละมึง คนเดี๋ยวนี้อยากได้ของถูกและคุณภาพเกินตัวด้วย คิดดูนะกูทำงานแค่เด็กเสิร์ฟละพอมีลูกค้าเจ๊กๆ ฝรั่งๆที่พอพูดอิงค์ได้หน่อยกูต้องรับหน้าแทนเลยจ้า เทียบกับที่ทำงานที่อื่นในเขตเมืองๆหน่อยละทำงานแนวนี้เหมือนกันแต่รายได้เค้าเยอะกว่าเพราะได้ภาษา กูนี่เศร้าใจชิบ
แต่บอกตรงๆว่าภาษาอังกฤษดีแม่งต่อเงินเดือนได้นะมึง ที่ทำงานที่สองตอนแรกเจ้านายจะให้กู 20K กูเลยบอก hr ไปว่า เห็นแก่คะแนน IELTS Speaking Brand 7.5 ด้วยค่ะ ยิ่งในออฟฟิศต้องใช้ภาษาอังกฤษ 60% ด้วย ถ้าให้แค่นั้นกูไม่เอา สรุปได้มา 25k อาจไม่เยอะมาก แค่กูจบได้แค่ปีเดียว ถือว่าโอเคละ
กูไม่เคยสอบวัดระดับภาษาอังกฤษอะไรเลยว่ะ กูจบมาเป็นสิบปีแล้ว ปัจจุบันทำงาน บ.ฝรั่ง ใช้ภาษาอังกฤษบ้างกับเพื่อนร่วมงาน ไม่เคยต้องติดต่อกับลูกค้าฝรั่งโดยตรง แบบนี้กูควรไปสอบไว้บ้างมั้ยวะโทอิกไอเอลนิ ถ้าสุดท้ายเอามาขอเงินเดือนเพิ่มไม่ได้ก็รู้สึกเสียดายตังค์ไปติวไปสอบจัง
>>346 กูไม่เคยสอบอะไรพวกนี้เลย เลยไม่รู้ว่าคะแนนจะวัดเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในการทำงานจริงๆได้แค่ไหน
ส่วนข้อสอบของบริษัมเองมันก็แล้วแต่ที่ด้วย
ที่เจอมาสอบภาษาอังกฤษบางที่ก็ดีเวอร์ๆ แบบข้อสอบข้อเขียนที่ดูแบบถามอะไรสมเหตุสมผล มีสอบฟัง สอบพูด
ข้อสอบบางที่ก็แย่ๆ อย่างเช่นข้อสอบตัวเลือกไม่กี่ข้อที่เอาคำแปลกๆที่คนทั่วไปไม่ได้ใช้มาถาม แล้วมีการมาโฆษณาว่าฝรั่งออกข้อสอบนะอีก
>>341 ทั้งที่มึงก็รู้ว่าไม่ใช่ทุก บ.จะขึ้นเงินเดือนให้เพราะการสอบมึงก็ยังจะใช้คำพูดแบบนั้นตอบกู(340)เนี่ยนะ ที่ถามเนี่ยเพราะ บ.ที่กูทำอยู่แม่งไม่สนเลย สอบไปก็ไม่ขึ้นเงินให้ ไอ้สเปนกับรัสเซียที่กูทำงานด้วยยังภาษาอังกฤษแย่กันอยู่หลายคนเลย กูไม่ได้ถามโม่งเรื่องขึ้นเงิน บ.ตัวเอง แต่อยากรู้ว่า "มันเป็นบรรทัดฐานใหม่ของยุคนี้แล้วหรือเปล่าที่ต้องมีผลสอบไว้ยื่นสมัครงาน" เพราะกูก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล กูหมายถึง ในกรณีที่สอบแล้วไม่มีผลกับเงินเดือน(ปัจจุบัน)ถ้ามันไม่ได้จำเป็นเพื่อการไปสมัครที่อื่นแล้ว ก็จะเสียดายตังค์ไง /มึงใช้คำพูดไม่ดีเลยนะ แต่กูให้อภัยเพราะกูโม่งอยู่
>>348 ใน >>340 มึงไม่ได้ถามอะไรที่จะสื่อถึงที่มึงพูดถึงใน 348 เลยซักนิดเลยว่ะ
มึงแค่บอกว่าถัาบ.ตัวเองไม่ให้ก็ไม่ค่อยอยากสอบ คือมึงดูไม่ขวนขวายอะว่ะ กูตอบแบบนั้นจงใจแขวะแหล่ะ เพราะกูตีความเจตนามึงได้แบบนั้นไง มึงถามไม่เคลียร์เอง
ส่วนเรื่องอื่นที่มึงถามเพิ่มใน 348 มึงคงได้คำตอบจากเม้นอื่นแล้ว (ซึ่งมีเม้นกูในนั้นด้วย)
กูเอง >>334 เอง คือกูไปอ่านเจอประกาศของ กลต ไง
ตำแหน่งด้านกฎหมาย ทำงานเกี่ยวกับคดีอะไรพวกนี้ ซึ่งอ่านแล้วเนื้องานมันก็ใช้แต่ภาษาไทยแหละ
เพราะถ้าเป็นร่างสัญญาภาษาต่างประเทศคงบอกในเนื้องานไปแล้ว
แต่กูสงสัยตรงคุณสมบัติว่าต้องใช้ภาษาอังกฤษในระดับสื่อสารได้
พอไปดูประกาศภาพรวมก็บอกว่าทุกตำแหน่งต้องยื่น TOEIC 670 ขึ้นไป
กูเลยสงสัยว่า กลต พยายามคัดคนรึเปล่า ประมาณว่าต่อให้เป็นงานที่ติดต่อกับคนไทย
แต่ก็อยากได้คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ด้วย
>>350 อาจจะก็ได้นะ เหมือนเค้าอาจจะตั้งคุณสมบัติสูงกว่าเนื้องานนิดๆเพราะจะได้คัดคนเก่งๆงี้
อย่างเรื่องภาษาอังกฤษนี่ถึงมันดูไม่เกี่ยวกับงาน แต่คนสมัยนี้ก็ควรได้ภาษาอังกฤษกันอยู่แล้ว เพราะงั้นเลยใส่ไปในคุณสมบัติซะเลย
อีกอย่าง ถ้าได้ภาษาอังกฤษมันก็อาจจะมีประโยชน์กว่าคนที่ได้ภาษาไทยแค่อย่างเดียว เผื่อมันอาจจะมีสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ พนักงานจะได้จัดการสถานการณ์นั้นได้เองเลย ไม่ต้องรอให้คนอื่นที่ได้ภาษาอังกฤษมาช่วย หรือต้องเสียเวลาเทรนภาษาอังกฤษให้พนักงาน ไรงี้ปะ
เบื่องาน จะลาออกหัวหน้าก็ไม่ยอม
คือเข้าใจหัวหน้าแหละ เพราะตอนนี้ทำงานราชการอยู่ ถ้าอยากลาออกมันควรมีเหตุผลที่ดีพอ แถมกูไม่มีงานรองรับด้วย
แต่ตอนนี้ความคิดกูคือ ถ้าอยู่แล้วลำบากใจกูก็ไม่อยากอยู่ แค่นั้นแหละ
กูทำงานมาปีนึงยังรู้สึกว่าทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างเลยนี่มันเรื่องปกติป่าววะ
รำคาญคนในที่ทำงานวะ ไม่รู้เป็นเหี้ยไรเหวี่ยงใส่คนอื่นได้ทุกวัน อีห่า น่าเบื่อแต่เช้าเลยวันนี้
ปีใหม่นี้หยุด 28ธันวา เพิ่ม หรือ 2มกรา เพิ่มดีฟระ
ตอนนี้อาชีพเสริมอะไรรุ่งมั่งกะทำเสาว์อาทิตย์
กูเบื่อ บ. กูชิหายเลยว่ะ ฝ่ายวางแผนคิดแต่แผนที่ฝ่ายปฏิบัติงานโครตลำบาก แล้วก็อยากเก็บคนเก่งๆไว้แต่เสือกให้เงินเดือนต่ำติดดิน (ติดดินจริงๆเพื่อนโม่ง) เรื่องการรับคนกูก็ไม่มีสิทธิเลือกอีกทั้งๆที่กูเป็นหัวหน้างาน แต่ถ้าใครเป็นลูกรักของนาย กูห้ามไปอะไรกับแม่งนะไม่ว่าแม่งจะไร้ประโยชน์ขนาดไหนก็ตาม และก็ต่อให้กูทำดีแค่ไหนแม่งก็แค่เสมอตัว แต่พอผิดกูกากเลยว่ะ ทั้งๆที่กูก็เพิ่งจะเข้ามาใหม่ไม่ถึงปี ตอนเข้ามาก็ไม่มีใครบอกไม่มีคู่มือเป็นลายลักษณ์อักษรใดๆทั้งสิ้น (กูต้องตรัสรู้เอง) กูจะทนจนอายุได้อายุงานก่อนหลังจากนั้นกูไม่ทนและไอ้สัด เบื่อชิบ
กูก็เบื่อ บ.ชิบหาย กะจะรอดูต้นปีหน้าว่าเงินเดือนจะขึ้นมั๊ย(เดาไว้อยู่แล้วว่าแม่งจะขึ้นอย่างมากก็ 3% อย่างที่มันเคยเป็นมา) กะว่าจะเอาอัตราที่แทบจะไม่เติบโตนี้เป็นเหตุผลในการลาออก เมื่อคืนมีงานสต๊าฟปาร์ตี้ ก็ไปเมากัน พี่ในทีมตอนเมาๆ ก็หันมาบอกรักบอกขอบคุณกันและกัน เต้นกันเป็นบ้า หัวเราะกันน้ำตาเล็ด ไอ้เหี้ยเอ้ย กูรักทีมนี้จริงๆ นั่นแหละ แต่บริษัทมันเหี้ยไง ไปไปมามาอายุงานกูจะเข้าสู่ปีที่สี่ก็เพราะเสียดายทีมอีกมั้ยเนี่ย
>>362 อายุงานใกล้เคียงกัน ส่วนกูรักบริษัท สวัสดิการดี ค่าตอบแทนดี มั่นคง เคารพเจ้านายใหญ่ เฉยๆ กับเพื่อนร่วมงานแต่ก็ถือว่าโอเค แต่เหตุผลที่ทำให้กูท้อคือหัวหน้าทีม ... ช่างเถอะ ทนอีกเดือนกว่าๆ โบนัสก็ออกละ ทนมาได้ตั้งสามปี ทนอีกนิดเดียวทำไมจะทนไม่ได้ เหตุผลในการลาออกกูก็มีละ ทนไม่ปริปากมาได้ตั้งสามปี ตอนลาออกกูจะไม่พาดพิงใครทั้งนั้น กูรู้ว่าที่กูทำงานกับเขาไม่ได้มันเป็นปัญหาของกูเอง attitude กูไม่ดีเอง กูยอมแพ้ กูจะไปเอง ขอแค่ชาตินี้ชาติหน้าอย่าได้มาพบพานกันอีกเลย _/\_
กูยื่นใบลาออกเพราะเบื่อระบบงาน แต่โดนหัวหน้าขอให้อยู่ต่อ แกบอกว่าลาออกแล้วจะไปทำอะไร คืองานตอนนี้ถึงจะปัญหาเยอะแต่ค่าตอบแทนมันสูงว่ะ กูยอมรับว่าตอนแรกรู้สึกน้อยใจและอึดอัดหลายอย่างเลยอยากลาออกเพื่อหนีออกมาจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ
แต่ก็โดนหัวหน้ายั้งไว้
ปัญหามันเลยเหมือนจะหนักขึ้น เพราะถึงหัวหน้า(และเพื่อนร่วมงาน)รู้ว่ามีคนในทีมเริ่มทนไม่ไหวจนจะลาออกได้รู้ว่า เฮ้ย แม่งระบบมีปัญหาจริงๆนะ แต่การที่กูยังอยู่ต่อพวกเค้าก็จะมองกูไม่ดีอีก เพราะเหมือนให้คนที่หมดใจหมดไฟกับองค์กรไปแล้วมาอยู่กินเงินเดือนๆ
ตอนนี้กูทำได้แค่ตั้งใจทำงานดีๆให้ข้อผิดพลาดมันน้อยลง ทำงานให้เก่งขึ้นจนถึงขั้นวันที่กูพร้อมจะลาออกจริงๆเค้าต้องเสียหายและยอมรับว่าคนแบบกูสมควรไปที่อื่นแล้วจริงๆ
>>362 โอ๊ะ เหมือนกูเลยแฮะ จำนวนปีก็ใกล้ๆ กันด้วย งานกูแม่ง เงินเดือนขึ้นน้อย แถมฐานก็ไม่ได้สูงอะไรตั้งแต่ต้นด้วย อยู่แล้วไม่เห็นความก้าวหน้าในชีวิตเลย กูก็เลยตัดสินใจออก ตอนออกก็เสียดายทีมเหมือนกันเพราะกูรู้สึกว่าเข้ากับทีมได้ดีมาก แต่กูว่าก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนไปหาอะไรใหม่ๆ มันน่าจะดีกว่าว่ะ ถึงออกแล้วกูก็ยังไปเจอ นัดกินข้าวกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน ถือว่าจบโอเคเลยแหละ
บริษัทกูมันจะมี JD ไปเพื่อไรวะ ในเมื่อหน้างานจริงแม่งใช้งานกูอย่างจับฉ่ายมาก ทำตั้งแต่งานช่าง ยันงานของโอเปอเรเตอร์
แล้วพวกผูบริหารฝ่ายบนๆก็ชอบเหลือเกินกับการประชุมโดยที่ไม่รู้จะประชุมเรื่องอะไรกัน โปรเจคเดิมๆเอามาพูดกัน2-3วาระแล้ว
ไม่รวมกับวิสัยชอบลดพนักงาน ต้นปีสั่งลดคนประจำ ท้ายๆปีพอพวกเซลล์จะสต๊อคของก็รับพนักงานรายวันเข้ามารัวๆๆ เสียเวลานั่งสอนงานอีก
เบื่อชิบหัย แต่ก็ได้แต่บ่นแหละ
ทำไมใบสมัครงาน ถึงถามละเอียดชิบหายเลยวะ ข้อมูลพ่อแม่พี่น้องถามหมด โครงสร้างองค์กรณ์เก่า ข้อมูลบ.เก่า
ทำไมที่ทำงานกูมารยาทแย่่จังวะ คุยงานอยู่ก็พูดแทรก หรือคุยโทรศัพท์อยู่ก็มาถามแทรก ทั้งๆที่คำตอบที่ต้องการก็ไปถามเองได้หรือรู้ไปก็ไม่ได้เอาไป
ทำอะไรต่ออยู่ดี บางครั้งเจอเข้ามาถามพร้อมกัน 3 คน คนนึงกูคุยทางโทรศัพท์อยู่ อีกคนเดินมาถาม อีกคนตะโกนถาม เจอแบบนี้ไปสมองกูเอ๋อแดกเลย
เพื่อนโม่งกูถามหน่อยดิ คือกูมีหน้าที่ต้องไปรับ-ส่ง หัวหน้างานญี่ปุ่น จากโรงแรมไปที่ทำงานรวมถึงต้องไปรับส่งที่สนามบินด้วย และก็ต้องเตรียมหาอาหารมาให้เขาด้วย พอกูขอโอเขา เขาก็ให้นะ แต่ดูไม่ค่อยเต็มใจ แถมหลังจากที่ให้โอกู มาบอกกูเป็นนัยว่ากูไม่ควรขอโอ? กูนี่แบบหือค่าน้ำมันมรึงก็ไม่ให้ ค่าอาหารก็เบิกไม่ได้ มึงยังจะไม่ให้โอกูอีกเหรอทั้่งๆที่มอบหมายงานให้กูทำนอกเวลางานนี่นะ เงินเดือนกูก็ไม่ได้เยอะเลยนะเว้ยไอ้สัดกูไม่ใช่ผู้บริหารทำงานไม่เอาโอ
กูอยากถามว่ากูไม่ควรขอโอเขาจริงๆเหรอวะ หักค่าน้ำมันกับค่ากินหัวหน้า กูได้แค่นิดเดียวเองนะ
กูเบื่อออออ โว้ยยยยยยยยย
เพื่อนโม่งช่วยกูหน่อยว่าไม่ใช่กูคนเดียวที่เจออะไรแบบนี้
คืองานปัจจุบันที่กูทำค่าตอบแทนสูงมาก เป็นงานสายกฎหมาย เงินเดือนดี สวัสดิการดี ปรับเงินเดือนปีละ 2 ครั้ง อยู่ยาวๆได้ยันเกษียณอ่ะ
แต่สภาพงานแม่งบั่นทอนจิตใจกูมาก สำนวนอันหนึ่งกว่าจะผ่านใช้เวลาเสนอเป็นเดือน ทั้งที่คนทำงานระดับผู้ปฏิบัติอ่านสำนวนแค่ชั่วโมงเดียว
ก็รู้แล้วว่าจะจบยังไง แต่เพราะสำนวนในสายงานนี้มันไม่มีกำหนดเวลา ระบบงานที่กูทำเลยไปเน้นเรื่องยิบย่อยแทน
อย่างเช่นรูปแบบการเขียน ผิดนิดหน่อยๆ ใจความไม่ได้ หัวหน้างานก็ไม่ให้ผ่าน ทั้งที่ในความคิดกูนะ แต่สรุปให้มันได้ประเด็นก็พอ
แต่องค์กรกูมันอนุรัก์นิยมไง อะไรที่ผิดรูปแบบไปนี่ไม่ผ่านเลย
ไหนจะเรื่องปริมาณเอกสาร ปัญหาเล็กๆน้อยๆเสือกต้องมาเสียเวลาเป็นอาทิตย์สร้างภาระเอกสารเป็นกอง เพื่อสรุปใจความออกมา
แค่ไม่กี่หน้า
คือต่อให้เงินเดือนมันดี แต่เจอแบบนี้กูก็เสียสุขภาพจิตว่ะ ทำงานไปก็คิดไปว่า กูรับเงินเดือนเป็นหมื่นเพื่อมานั่งทำอะไรแบบนี้เหรอวะ
แม่งเอ้ยยยยยย พวกมึงช่วยบอกกูทีว่าไม่ใช่แค่กูคนเดียวที่เจอแบบนี้
องค์กรที่มีรายรับเป็นพันล้านต่อปี แต่ระบบงานชวนประสาทแดกแบบนี้ไม่ได้มีที่เดียว
>>377 มึงไม่ใช่คนเดียวที่เจอแบบนี้ อะ สบายใจขึ้นมั้ย? 555 ค่าตอบแทนงานปัจจุบันกูก็สูงมากเหมือนกัน มากจนทำให้กูไม่สามารถหางานใหม่ที่ได้ total package เท่าเดิมได้ (นี่ขนาดไม่ขอเพิ่มด้วยซ้ำนะ) สวัสดิการก็ดี องค์กรก็มั่นคง แลกมาด้วยสุขภาพกายและสุขภาพจิต กูรู้สึกเหมือนจะตายในทุกๆ วัน ปริมาณงานที่ถาโถมยิ่งกว่าสึนามิ เป็นเดอะแบก แบกงานที่มีแต่ปัญหาเข้ามาให้แก้ตลอดเวลา และไม่ว่ามึงจะแก้จะพัฒนาอะไรเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะต่อให้ปัญหาเดิมมึงแก้ไปได้ แต่ปัญหาใหม่ก็จะงอกยิ่งกว่าไฮดร้า กูแพลนว่าจะลาออกหลังได้โบนัส แต่เหมือนเจ้านายใหญ่กูจะรู้เว้ย สงสัยเห็นช่วงนี้กู annual leave บ่อย ถถถ วันก่อนเรียกไปคุย ถามไถ่ว่ามีอะไรอยากให้เค้าช่วย ปรับปรุง แก้ไขมั้ย เค้าเป็นห่วงนะ ไม่อยากให้กูฝืน มีอะไรให้บอกกันมาตรงๆ จะให้กูบอกไงวะ ปัญหาที่มันเป็นอยู่มันแก้ไม่ได้ง่ายๆ เพราะปัจจัยมันมาจากภายนอกซะเป็นส่วนใหญ่ เหมือนจะให้คนที่เป็นแค่อบต. ไปแก้ปัญหาเกาหลีเหนือกับอเมริกาเงี้ย มันแก้ไม่ได้หรอก มันมีแค่ทนได้กับทนไม่ได้เท่านั้นแหละ ซึ่งกูทนมาหลายปี ระหว่างทนก็พยายามพัฒนาวิธีการทำงานมาตลอด พยายามเพราะหวังว่ามันจะมีอะไรดีขึ้น แต่ในเมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นไม่ได้ กูก็คงขอยอมแพ้ว่ะ ได้โบนัสแล้วว่าจะไปตั้งหลักรักษาสุขภาพกายใจซักพักค่อยหางานใหม่
กู >>380 เจ้านายกูก็คนญี่ปุ่นนะ แต่ใจดีมาก ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ว่าแต่พูดถึงเรื่องเอาหน้าใน >>382 แล้วกูนึกถึงตัวเองเลย กูเป็นคนไทยที่เป็น Japanese Speaking Staff จึงดีลงานกับคนญี่ปุ่นที่ HQ ซะเป็นส่วนมาก งานหนัก ทำงานโอทีดึกดื่นบ่อยทั้งที่ทำเต็มที่ เวลางานไม่เคยอู้ คนไทยก็มองว่ากูเอาหน้า บ้างาน ในขณะที่กูทำงานหนักจนคนไทยด้วยกันมองกูแบบนั้น คนญี่ปุ่นยังมองว่ากูขี้เกียจอยู่เลย เพราะบางทีโทรเข้าออฟฟิศตอนสี่ห้าทุ่ม(ของประเทศไทย)แต่กูกลับบ้านแล้ว 555 ดวกดีแท้ อยู่ตรงกลางนี่โดนประนามจากทั้งสองฝ่าย เหนื่อยใจจริงๆ ยังดีมีเจ้านายดีและค่าตอบแทนที่สูงเป็น oasis ให้ชีวิตการทำงานอันแสนจะส้นตีนของกู
>>384 กุ >>382 กำลังจะเรียนจบญี่ปุ่นแล้วคิดจะทำงานกับบ.ญี่ปุ่นนี่คิดถูกรึเปล่าเนี่ย บางทีเห็นเจ้านายญี่ปุ่นแล้วเครียดกับ mindset ชิบหาย คือกุไม่ใช่พวกบ้างานนะ เวลางานกุก็ขยันแหละ แต่เวลาส่วนตัวต้องการเยอะๆอะ ปกติเป็น introvert ที่อยู่ข้างนอกได้แต่เวลาส่วนใหญ่อยู่คนเดียวมากกว่าอะ ตอนนี้เลยลังเลว่าจะเอายังไงดี อยากทำงานบริษัทญี่ปุ่นแต่ไม่เอาเฮี๊ยบจนน่ารำคาญอะ เห็นอ่านดราม่าแต่ละทีปวดหัวแทน
>>388 คือกูไม่เเคร์เรื่องานสาย/ไม่สบาย แต่กูแคร์เกี่ยวกับสวัสดิภาพต่างๆในชีวิตว่ะ กูเกิดไทย โตไทย เห็นอะไรมากมายก็เริ่มคิดว่าบางทีชีวิต
ของรุ่นลูกรุ่นหลานถ้ามันอยู่ในทีนี้คงไม่มีอะไรมากก่าเป็นทาสเค้าไปวันๆ กลับกัน กูยอมย้ายไปอยู่ที่ๆทำงานหนักแล้วผลตอบแทนงาม กูก็จะเอา
ผลตอบแทนนั้นๆเป็นของขวัญสร้างพื้นที่ให้รุ่นลูก/หลานต่อๆไปสามารถโตมาในสังคมที่มีคุณภาพและตอบแทนความพยามได้อย่างเต็มที่ไง
กูจึงเลือกจะmoveตัวเองไปอยู่ที่อื่น และทนทำงานหนักต่อไป สร้างพื้นที่ของลูก/หลานต่อๆไป
ดีละที่กูไม่มีลูก 555 ...แต่เซ็ง แค่จะกู้ร่วมกับแฟนเพศเดียวกันเพื่อซื้อบ้านยังไม่ได้เลย
ช่อง3ปลดพนักงานร่วมร้อย ประเทศนี้มนุษย์เงินเดือนที่สบายดีที่สุดคือข้าราชการซินะ
ผลตอบแทนในระยะยาวสูง และรับประกันไม่โดนปลดออกจากงาน
ไม่ปลด บ.ก็อยู่ไม่ได้อ่ะ ถึงปลดไปก็ยังหายใจพะงาบๆ อยู่ดี มันไม่ใช่ความผิดพนักงานหรือผู้บริหารเลย แค่โลกมันเปลี่ยนไป
>>393 ถ้าในกรณีช่องสามกูว่าผิดที่ผู้บริหารนั่นแหละ มาเป็นเจ้าใหญ่นำเพื่อนอยู่ดีๆ พอเจอคดีก็ล้มไม่เป็นท่า โดนหน้าใหม่แซงไปไกลโพ้นแล้ว โลกมันเปลี่ยนน่ะใช่ แต่ผู้บริหารที่ไม่ปรับตามโลกก็ผิดอยู่ดี มันค่อยๆ ล่มสลายขนาดที่คนนอกก็ดูรู้มาตั้งนานละ กุว่าพนักงานก็รอเวลาเขาเลย์ออฟนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวกัน
ปลดกูคิดว่ายังแฟร์ว่ะ บ.กูนี่หาเรื่องให้ออกไม่ต้องจ่ายซองรัวๆ...คือง่ายๆบ.ถังแตกไม่มีตังจ่ายน่ะแหละ กูนี่ก็ทำๆไปรอเจ๊งแล้วแยกย้าย
ช่องสามแบกดาราตัวเป้งๆไว้เต็มเลยเมิง จำหลายปีก่อนที่ดึงดาราช่อง7ไปได้ไหม ดึงไปแล้วไงไปดองยาวววววจ้า ปีสองปีมีหนังเรื่องนึง ช่วงหลังมานี้ถึงปล่อยมาเป็นฟรีแลนซ์
กลับกันจีเอ็มเอ็มดาราเด็กน้อยเต็มไปหมด แค่พวกทีมนาดาวก็20-30แล้ว แต่ค่าใช้จ่ายต่อคนน่าจะน้อยกว่าเป็นสิบเท่า แต่ขายได้บ่อยกว่า มีงานมีตติ้งงานโชว์ตัวตลอด การจัดการดีกว่าเห็นๆ
โอยกูจะบ้าแล้ว มีที่ไหนรับฟังคำระบายแบบตั้งใจฟัง คุยให้กะลังใจมั่งไม้วะ
ระบายให้เมียฟังแม่งก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ได้แต่อืมๆ สู้ๆ
ระบายให้คนในที่ทำงานฟังยังสบายใจกว่า แต่ก็กลัวโดนมีดเสียหลัง เพราะไม่รู้พี่แกเอาไปพูดให้ใครฟังอีก
ขอขึ้นเงินเดือนไป 10% (รู้แหละว่าเค้าให้ไม่ถึงหรอก ขอเผื่อต่อเฉยๆ) แต่ได้จริงๆแค่ 3% กว่าๆเอง
ตำแหน่งก็ไม่ได้เลื่อนทั้งที่อายุงานกูถึง และความรับผิดชอบที่โดนยัดให้ก็เกินตำแหน่งไปเยอะแล้ว
อยากจะลาออกแม่ง บ่นไปงั้นแหละ คงยังไม่ไปเร็วๆนี้
ฝ่ายโรงงานต้องรับหน้ารับคำด่าจากพนักงานไปวันๆ ฝ่ายบริหารจ้องแต่จะลดคนต้นปี ปลายปีรับรายวันมานั่งสะเงาะสะแงะ
สรุปสิ้นปีคนได้หน้ามีแต่พวกฝ่ายบริหาร ฝ่ายโรงงานกริบไปตามๆกัน กูว่ากูต้องพิจารณางานใหม่ละวะ กูอยากได้งานที่สร้างคุณค่าให้ตนเองและผู้อื่น
มากกว่าตอนนี้ ทุกวันนี้เหมือนรับคำสั่งจากพวกบนๆมา แล้วบีบมาว่าต้องทำให้ได้ พอกูคิดกูพยายามจนได้ตามเป้าหมาย พวกบนๆก็ฮูเล้ฉลองกันเอง
พวกฝ่ายโรงงานก็หัวหมุนแก้ปัญหากันต่อไป
>>399 มึงตรงข้ามกับกูเลย ของกูตั้งใจว่าหลังได้โบจะลาออก ทนไม่ไหวกับงานละ ประสาทจะกิน รู้สึกเหมือนเส้นเลือดสมองจะแตกในทุกๆ วัน ปรากฎว่าประเมินออกมาดีมาก โบเยอะมาก เงินเดือนขึ้นเยอะมาก เลยทำให้ลังเลซะงั้น งานที่ดีทุกอย่างยกเว้นเนื้องานนี่มันควรจะทำไงกับมันดีว้า...
กูเครียดจังเลย
พวกมึงมาสอบเข้าราชการดิ สบายกว่านะ ไม่มีโบนัสก็จริงแต่ ขึ้นเงินเดือน2ครั้ง เต็มที่ 12%
แน่นอนว่าในทางปฏิบัติมีแต่เด็กได้ที่ได้
แต่คนที่ไม่ได้ก็ประมาณ 2.5-3% ต่อครั้งอ่ะ
ปีหนึ่งก็ตก 5-6% แบบแน่นอน แถมปรับฐานเงินเดือนเป็นระยะด้วย
ใช่ๆ กูทำราชการอยู่ ปีนี้เงินเดือนขึ้นมา 300 บาท
กูแบบว้าวๆๆ เครียดเลย ไม่รู้จะใช้ยังไงให้หมดดี
เสนอโปรเจคลดcostได้ปีละ10ล้านบาทผ่านละว่ะ คิดหัวแทบแตก ลองทำจริงพนักงานก็ชื่นชม ลดขั้นตอนงานได้มากโข แต่ที่ได้รับกลับมาคือแค่เสียงปรบมือจากนายญี่ปุ่นเท่านั้น แล้วคงบี้ให้ทำสไลด์ไปเสนอสำนักงานใหญ่ปีหน้าเหมือนเดิม ตัวบนๆได้หน้ากระจาย ตัวล่างๆระดับกูคิดให้หัวแตกได้แค่เสียงตบมือ หลังปีใหม่นี้กูควรมองหางานใหม่ละ
กูรู้สึกว่า บ.สัญชาติญี่ปุ่นเนี่ยไม่เหมาะกับคนเก่งๆเลยว่ะ ทำให้ตายก็ได้เท่าพวกเช้าชามเย็นชามอยู่ดี
บางคนทำงานเก่ง เสร็จเร็ว กลับบ้านตรงเวลา แต่นายมองว่าขี้เกียจ สู้พวกทำโอทีดึกๆไม่ได้
อีดอกที่ทำงานแม่งไม่ถูกกะกู ทำงานสายงานเดียวกัน ทำงานไปครึ่งค่อนโปรเจ็ค แม่งอยู่ดีๆโอนงานมาให้กู บอกเมเนเจอร์ไม่ทำและนะจะทำอย่างอื่น เมเนเจอร์กูก็ขอนไม้แม่งให้อีก ตอนแรกกูก็เออเอาเหอะเอามากูจะลองซักตั้ง
พอเริ่มทำคือคนโอนงานแม่งก็ต้องบอกป่าววะ ว่างานมึงถึงไหน มีดีลอะไรกะใคร อีสัดไม่บอกอะไรกูเลยจ้าให้กูงมเอง วันดีคืนดีแม่งก็มีคนมาเอางานก็ชี้มาที่กู งานบางเรื่องมีปัญหาคาราคาซังอยู่ก็ไม่บอกกู บางเรื่องฟอร์มไม่เหมือนโปรเจ็คกูก็ไม่บอกกูต้องทำแล้วทำอีก
สัดกูหมดความอดทน หัวร้อนยังกะไฟเออร์ กูเดินไปหาเมเนเจอร์บอกกูทำไม่ได้นะแบบนี้ เอาแม่งกลับมาทำด่วน แม่งก็ด่ากูไม่มีความรับผิดชอบ กูสวนมึงสิไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ยอมทำงานให้จบโปรเจ็ค แล้วก็ฮึ่มๆใส่อีกหลายดอก อีสัดหมา
อย่าให้กูหางานใหม่ได้นะมึง กูจะโยนงานกูให้มึงทำมั่ง แล้วเดินแคทวอร์คออกมาสวยๆ
>>410 จาก ปสก ที่กูทำมานะ นายกู(ญี่ปุ่น) ชอบคนเลียเขามากๆ และก็ถ้าเขาทำผิดห้ามไปท้วงเขานะเว้ยมีโกรธแน่นอน แต่ถ้ากูทำผิดเหรอกูโดนรุมด่าเลยเว้ยเฮ้ย กูไม่รู้นะว่าเป็นแบบนี้ทุกที่มั้ยแต่กูโครตอึดอัดว่ะ
ตอนนี้กูแบกฝ่ายของกูอยู่ แต่ถ้าเงินเดือนกูขึ้นไม่เยอะกูจะไม่แปลกใจเลยเพราะกูไม่เคยเลียนายว่ะ ถถถถถถ
>>410 ที่กุอ่านมาบริษัทส่วนใหญ่จะขึ้นเงินเดือน ตำแหน่งตามปีที่ทำในบริษัทอะ ต่อให้เก่งขนาดไหนกว่าจะก้าวหน้าคงหมดไฟก่อน แถมไอระบบอาวุโสของมันโครตขัดหูขัดตาเลย คนรุ่นใหม่ต้องทำตามคนรุ่นเก่า คนที่มีความเห็นแปลกๆก็จะโดนกีดกัน แถมพวกญี่ปุ่นชอบให้เลียเห็นด้วย คล้อยตามห้ามขัดอีก ถ้ามันจะล้าหลังสักวันคงเป็นเพราะระบบนี้นี่แหละ แต่มันก็มีบริษัทที่ให้เงินเดือนตามความสามารถเหมือนกันแต่ต้องเก่งจริงอะนะ
แถมระบบจ้างงานตลอดชีพกับรักบริษัทเท่าชีวิต เห็นแล้วมันน้ำเน่าอะ มันตัดสินคนจากเวลาที่ทำงานมากกว่าความสามารถซะอีก คือพวกบ้างานถึงจะดี กุไม่เห็นด้วยกับระบบนี้เลยอะ มันทำให้เวลาในครอบครัวญี่ปุ่นปั่นป่วนแถมทำให้เกิดความเครียดสะสมอีก
10 ปีที่แล้วสมัยเรียนวิศวะ เคยฝึกงานกับโรงงานญี่ปุ่นสองที่ แม่งทำเอากูไม่อยากทำกับบริษัทญี่ปุ่นเลยว่ะ
แบบที่พวกมึงว่ามา ระบบอาวุโส นายญี่ปุ่นก็ค่อยแต่จะต้องจับผิด
มีตอนนึงกูจำได้แม่น ก่อนประชุมเครื่องจักรมีปัญหา แล้วนายเดินไปเจอ แทนที่จะรีบแจ้งรีบบอกคนที่รับผิดชอบ แม่งรอจนประชุมเกือบเสร็จ แล้วมาด่าๆ พูดประชดประชัน คือพี่ที่เขารับผิดชอบเขาก็ติดประชุมอยู่ไง โรงงานก็ใช่เล็กๆ มันก็ต้องมีพลาดกันได้ มีปัญหาแทนที่จะช่วยกันแก้ นี่รอด่าอย่างเดียว แล้วไม่ได้มีครั้งเดียวด้วย มีหลายอย่างที่กูไม่ชอบที่เกี่ยวกับคนญี่ปุ่น
ตอนนั้นกูเป็นเด็กฝึกงาน แม่งใช้กูมาทำงานเสาร์อาทิตย์ เงินไม่จ่ายซักบาท เห็นกูทำโปรเจ็กให้มันได้ ใช้เอาๆ สัส
HR นี่ถ้าเราผ่านรอบสัมภาษณ์ไปได้ จะยอมบอกเวลางานตรงๆมั้ยวะ คือกูซีเรียสเรื่องนี้มากกว่าเงินเดือนนะ คือเงินเดือนไม่สูงไม่ว่าแต่อย่าใช้เกินเวลา ซึ่งถ้ากูถามตรงๆไม่รู้ว่า HR จะหมกเม็ดอะไรมั้ย แบบอยากหาคนมาแทนมากจนไม่ยอมเผยว่าบริษัทมันโรงงานนรกดีๆนี่เอง
>>414 ของกูตรงข้ามเลยค่ะ นายญี่ปุ่นดีมาก ตรงไปตรงมา ดูกันที่ผลงานอย่างเดียว เอาจริงๆ นะ นิสัยกูอะเหี้ยมากบอกเลย ถถถ เรื่องเลียอย่าหวัง เรื่องปากไวนี่ที่หนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องงานที่กูมั่นใจ กู defend ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ในขณะที่นายคนไทย ออกความคิดเห็นอะไรขัดแย้งไม่ได้เลย ได้ค่ะพี่ดีค่ะท่านเท่านั้นที่นางต้องการได้ยิน ใครขัดความคิดเห็นนางนี่แค้นฝังหุ่นยันชาติหน้า เรื่องส่วนตัวเรื่องงานปนมั่วกันไปหมดแยกแยะไม่ได้
น่าเบื่อว่ะ บริษัทกูแม่งคิดจะลดคนๆๆท่าเดียว แล้วพอลดได้ก็ไม่หาคนมาแทนหรือหามาแทนก็ได้พวกรายวันมาๆหายๆ คนระดับซุปก็ต้องลงไป
ทำงานระดับโอเปอเรเตอร์เองในขณะที่ยังต้องรับผิดชอบงานระดับซุปไปด้วย กูนี่หัวแทบจะระเบิด
>>421 มึงคือไอ้ >>400 สินะ กูอยากบอกว่ามึงก็เหมือนกูอ่ะ กูเป็นวิศวกรแต่ตอนนี้กูทำงานเยี่ยงโอเปเรเตอร์เลย แม่งคนไม่พอแต่ไม่ยอมจ้างเพิ่มว่ะ
กูดูแลทั้ง วางแผนผลิต QC maintenance น่ะ ใจกู กูอยากจะดูภาพรวมให้ออกนะว่า ตอนนี้มีอะไรที่ต้อง maintenance บ้าง งานที่ออกมาได้ตามมาตรฐานไหม แต่กูทำได้ไม่เต็มที่ว่ะ ...
อ่อ หลังจากที่กูมาทำที่นี่กูต้องดูดหรี่เพื่อแก้ปวดหัวว่ะ จากที่กูเคยลองแต่ไม่ติด ตอนนี้กูต้องดูดทุกวันไม่งั้นปวดหัวสัดๆ
มีความรู้สึกเหมือนนายลำเอียง เข้าข้างทีมข้างๆมากกว่ายังไงไม่รู้ว่ะ ทั้งที่งานทีมกูทำรายได้ได้มากกว่าแท้ๆ
มีอะไรดีๆประเคนให้ทีมนั้นหมด ทั้งพาไปกินข้าว เลี้ยงขนม ให้อุปกรณ์ที่ต้องใช้ทำงาน แจกโบนัสให้พนักงาน outsource ทีมนั้น
ทีมกูนี่ไม่เคยได้อะไรเลย พวกขนมของว่างนี่ซื้อมาให้แต่ทีมนั้นอย่างเดียว แล้วเค้ากินเหลือกันค่อยเรียกทีมกูไปกิน
ทีมกูนี่ทีวีต้องแย่งกันใช้กับแผนกอื่น ส่วนทีมข้างๆมีส่วนตัวของทีม 3-4 เครื่อง
คนที่เป็น contact point คุยงานก็ต้องแชร์กับทีมเค้า ซึ่งเค้าดูให้อีกทีมเป็นหลัก ทีมกูเหมือนเป็นปลิงไปฝากไว้ ว่างค่อยดูให้
ล่าสุดน้องในทีมเอารูปเกมเป็น screen saver แล้วลุกไปเข้าห้องน้ำ นายเดินผ่านมาเห็นหาว่าเล่นเกมในเวลางาน
อธิบายยังไงก็ไม่ฟัง จะหายัดข้อหาให้เค้าเล่นเกมในเวลางานให้ได้
ทั้งที่ทีมข้างๆดูหนังเล่นเกมกันในเวลางานแบบเปิดเผยได้ ตะโกนคุยเล่นกันดังลั่นในเวลางานได้
ถึงจะไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ แต่เจอแบบนี้ก็รู้สึกแย่ว่ะ
>>423 ใช่ กูเองเพื่อนโม่ง กูถามตัวเองทุกวันว่า JD เค้าเขียนไว้ทำไมหนอ, ตอนสัมภาษณ์กูจะถามเรื่องระบบเรื่องบริหารทำไมหนอ ในเมื่อถึงเวลาจริงๆ งานแม่งจับฉ่ายชิบหาย กูทำตั้งเเต่เสนอโปรเจ็คยันหารถตู้รับส่งให้พนักงาน
>>424 งก เอาไว้โชว์ KPI Achive point ตามประสาผู้บริหารไง เอามาอวดๆกัน แล้วก็ฉลอง เฮฮา แต่ไม่เคยลงมาดูหน้างานจริงว่าลำบากกัน
ขนาดไหน
หัวหน้าที่ใจดี คุยง่าย ไม่มีดุด่าคำหยาบหรือเสียงดังใส่ลูกน้อง มักจะไม่ค่อยมีลูกน้องเคารพสินะ เห็นกูเป็นหมาหัวอ่อนไปงั้นๆดิ
พื้นฐานกูเป็นสงบ ไม่อยากมีเรื่องทะเลาะอะไรกับใครง่ายๆ ถ้ามี ก็เป็นฝ่ายยอมก่อน แต่ในชีวิตทำงานจริงกูว่ามันไม่ค่อยดีที่เป็นแบบนี้ว่ะ
มึงจะถูกคนอื่นโยนงานให้ มึงจะถูกเพื่อนร่วมงานกดดันใส่ตลอด มึงจะถูกลูกน้องรวมหัวกันหัวเราะเยาะมองมึงเป็นตัวตลกเสมอ
กูว่าถึงเวลากูต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้วว่ะ
>>426 มันไม่ได้เอาไว้อวดกันเฮฮาเฉยๆ เว้ย มันคือผลงานนั่นแหละ ได้หน้า ได้เลื่อนตำแหน่ง ผู้บริหารบ.กู ขยันลดคนมากๆ ลดจนคนที่เหลืออยู่งานโอเวอร์โหลด แต่มันรู้ไงว่าคนพวกนี้ไม่ลาออกหรอก เพราะบางคนก็บ้านใกล้ มีลูก อายุไม่น้อยแล้ว เลยไม่ค่อยคิดจะหางานใหม่ ยกเว้นใครต้องทำงานหนักอยู่โอดึกดื่นจนทนเสียสุขภาพไม่ไหวก็ลาออกไปเอง รับคนใหม่มาสบายไปอีก เงินเดือนถูก ได้ลด cost อีก ทำงานไม่ค่อยจะเป็นช่างแม่ง ผู้บริหารก็ไม่ได้ลำบากอยู่แล้ว โน่น ไปลำบากคนอยู่เก่าไปอีกต้องเป็นเดอะแบก คอยสอนงาน คอยตามแก้ปัญหาให้ ถ้างานหนักจนทนไม่ไหวก็ลาออกซะ รับคนใหม่ วนลูปนรกไปจ้า
พวกลด cost ด้วยการเอาคนออกนี่ของกูเจอเอาคนเก่งๆออก แล้วรับเด็กจบใหม่ทำงานไม่เป็นเข้ามาแทน
เข้ามาก็ทำงานไม่ได้ นั่งแช่ไปวันๆ งานก็ไม่ได้ สรุปนี่มึงลด cost หรือเพิ่ม cost กันแน่
>>429 งานมันมีสองแบบ งานที่สร้างรายได้และกำไรให้องค์กรโดยตรง พวกนี้ส่วนมากมันจะรักษาคนเก่งไว้แหละ แต่พวกงานแนวสนับสนุนเบื้องหลัง ทำให้แต่ละแผนกขับเคลื่อนไปอย่างราบรื่น พวกนี้โดนแน่บอกเลย (ถ้าองค์กรห่วยๆ อะนะ) เพราะผู้บริหารมันไม่สนใจหรอกว่าเอาคนเก่งออก รับคนโง่ราคาถูกมาแล้วจะเดือดร้อนยังไง เพราะมันก็แค่ทำให้งานทุกๆ อย่างมันไม่ราบรื่น ติดขัด ทำให้คนทำงานลำบาก ต้องเหนื่อยเกินความจำเป็น แต่มันไม่ได้มีผลกระทบกับรายได้และกำไรของบริษัท ผู้บริหารก็ไม่ได้มาเหนื่อยมาลำบากอะไรด้วย เค้าถึงชอบพูดว่าถ้าอยากทำงานแบบมีอนาคตมีความมั่นคง ควรทำในตำแหน่งหน้าที่ที่เป็น core business ของบริษัท เพราะถ้ามึงเก่ง เค้าจะให้ความสำคัญกับมึงสุดๆ แต่ถ้าอยู่ส่วน support บางทีเก่งให้ตายแม่งก็ไม่ค่อยเห็นค่าหรอกว่ะ ย้ำอีกทีว่าในกรณีที่องค์กรห่วยอะนะ เพราะถ้าองค์กรดีเค้าจะรู้ว่าทุกส่วนงานมันสำคัญหมด
เวลาสมัครงาน นอกจากความสามารถหลักแล้ว สกิลเสริมนี่จะทำให้เราน่าสนใจจาก HR เยอะขึ้นมั้ยวะ
กูทำงานสายกฎหมายมาปีกว่า กำลังวางแผนไปสมัครงานธาคารที่หนึ่ง เป็นงานสายกฎหมายเหมือนกัน
ตอนนี้กูเตรียมตัวอ่านหนังสือพวกเศรษฐศาสตร์ การเงิน อะไรพวกนี้ไปด้วย ทีนี้กำลังคิดอยู่ว่า
งานสายธนาคารเดี๋ยวนี้มันใช้ระบบ IT มากขึ้น ถ้ามีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่งด้วยก็น่าจะดี
เลยจะหาคอร์สโปรแกรมมิ่งเรียนดูซักตัว แต่ก็ชั่งใจอยู่ว่าจะคุ้มมั้ย หรือ HR จะมองเราเป็นเป็ดแทน
คือรู้หลายอย่าง(นอกจากงานหลัก) แต่ก็รู้แค่พื้นๆ
โอทีคืออะไร มีแต่โอฟรี
วันหยุดมีแค่วันอาทิตย์ก็ทักมาของานทุกอาทิตย์เลยยย วันไหนมีวันหยุดยาวก็ไม่รอด ของานให้พี่หน่อย นิดเดียวนะ บางวันฟิตจัด 5 ทุ่มทักของาน พอเถอะะะะะะ ขอเวลาส่วนตัวบ้าง
กูมีเรื่องจะปรึกษาว่ะ กูทำงานเป็นสถาปนิกมาหลายปีแล้ว ความสามารถก็มีพื้นฐานที่ควรรู้ในสายงาน การใช้โปรแกรมที่อาชีพนี้ควรใช้ก็ทำเป็นหมดทุกโปรแกรม ก็ฟังดูโอเคใช่มั้ย แต่จริงๆกูไม่โอเคกับตัวเองเลย
กูเป็นคนที่ดีไซน์ห่วยมาก ไม่มีความคิดสร้างสรรค์เลยซักนิด ไม่ฉลาด พลิกแพลงไม่เป็น ทำนอกตำรากูจะไม่เข้าใจไปเลย องค์ประกอบศิลป์ การจัดวาง หรือการเลือกใช้สี ออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานไม่ได้เรื่อง รสนิยมแย่ ไม่สามารถทำงานออกมาให้สวยดูดีแบบที่ลูกค้าอยากซื้องานได้ กูไม่สามารถคิดนอกกรอบหรือเป็นคนละเอียดรอบคอบได้ ไม่มีเซนส์ของสถาปนิก กูทำงานพลาดบ่อยมาก และกูโดนหัวหน้าด่าบ่อยที่สุดในออฟฟิศแล้ว กูรู้ว่าเขาก็เหนื่อยใจกับกูที่ต้องมาด่าทุกวัน อยู่ออฟฟิศกูก็ไม่ค่อยสนุก กูเบื่อชีวิตที่ต้องตื่นมาตอกบัตรให้ตรงเวลา นั่งอยู่ในคอกสี่เหลี่ยมไปยันเที่ยง ไปกินข้าวแล้วกลับมานั่งคอกต่อไปถึงหกโมงเย็น เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้เพราะเขาทำงานเก่งแล้วกูกาก เหมือนไปถ่วงมือถ่วงเท้าเขา ดูออกว่าเขาก็เบื่อ เหนื่อย ระอาใจ กูอย่างมากก็เป็นได้แค่คนดราฟท์งานให้ แต่ให้กูคิดเองกูทำไม่ได้เลย
ถ้ามีอะไรที่กูทำได้ดีและได้รับคำชมคือ กูประเมินราคาเก่งมาก ไม่ได้อวยตัวเองนะ คือกูถอดแบบคิดราคาค่อนข้างจะแม่นไม่มีผิดพลาดและไม่ต้องแก้บ่อย แต่ออฟฟิศกูมันเป็นออฟฟิศเล็กๆไง พองานประเมินราคาจบกูก็ต้องไปนั่งดีไซน์ต่ออยู่ดี ไม่ได้มีแยกฝ่ายว่าทำดีไซน์ ทำแบบ ทำราคา ทุกคนจะได้ไปคนละสามสี่โปรเจค แล้วก็ทำทุกอย่างตั้งแต่ออกแบบ เขียนแบบ ประเมินราคา ซึ่งกูตีบตันมากในการทำงานดีไซน์ พอกูคิดงานไม่ออก งานมันก็ช้า กูก็โดนด่าว่ากูทำงานช้าเกินไปมันมีผลต่อ kpi กูก็ยิ่งเฟลหนักว่ากูไร้ความสามารถ กูมันห่วยแตก
เคยพยายามเจรจากับหัวหน้าว่าขอทำแต่ประเมินราคาได้มั้ย แต่เขาก็บอกว่าเขาจ้างกูมาดีไซน์นะ ไม่ได้จ้างมาทำแค่ประเมินราคา อยากให้กูดึงศักยภาพตัวเองออกมาให้มากกว่านี้ แต่กูรู้ว่ากูไม่ไหวจริงๆ หัวไม่ไปเลย ใจไม่รักด้วยล่ะ
ช่วงหลังปีใหม่กูก็คิดว่ากูจะลาออก แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะไปทำอาชีพอะไร กูแทบไม่มีความสามารถอะไรเลย หรือกูควรเข้าบริษัทใหญ่ๆแล้วไปแผนกประเมินราคาไปเลยวะ แต่กูก็ไม่อยากกลับไปทำอาชีพนี้แล้วว่ะ มันบั่นทอนสุขภาพกายใจกูมากๆเลย ตอนนี้กูสับสนชีวิตมากว่าจะไปทางไหนดี ตอนนี้ไม่มีความสุขเลย ไม่อยากไปทำงานแล้ว
>>436 นายมีคำตอบอยู่ในใจนายแล้วนะ แค่ไม่มั่นใจว่าออกแล้วจะดีกว่าไหม งั้นผมคอนเฟิร์มให้ละกันว่า ดีกว่าแน่นอน
ในจุดที่อยู่ตอนนี้ นายมีความสามารถด้านประเมินเเละตีราคาได้เเม่นยำ บริษัทใหญ่ๆจะชอบคนที่มีความสามารถนี้มาก เพราะมันส่งผลต่อกำไรบริษัท
ดังนั้น นายออกไปสายงานใหม่เริ่มในด้านที่ถนัดแล้วพ่วงความรู้นิดๆหน่อยๆของงานสถาปนิก รับรองว่าไปได้ดีแน่นอน ถ้าให้แนะนำก็ลองไปทางเซลล์
บัญชี หรือแผนกเกี่ยวต้นทุนไรพวกนี้นะ
ปล.เราก็เคยอยู่ในจุดที่ทำงานไปโดนด่าไปมาก่อน ทั้งๆที่ทำงานตรงสาย เราเลือกลาออกแล้วเปลี่ยนสายงาน ตอนนี้มีความสุขดี มีเครียดบ้างตามปกติ
แต่รวมๆแล้วมีความสุขกว่างานก่อนหน้ามาก
งานดี เงินดี องค์กรดี เสียอย่างเดียวเรื่องเจ้านาย และเจ้านายคนนี้จะไม่มีวันลาออกเด็ดขาด เป็นมึงมึงจะอยู่ต่อหรือหางานใหม่ ป.ล. ตัดเรื่องย้ายแผนกออกไปได้เลย ที่นี่ไม่มีนโยบาย
>>427 อห.มึงแม่งหัวหน้ากูป่ะวะ 5555555 ถึงเวลาต้องดุมึงดุลูกน้องมึงมั่งป่าวล่ะ ถ้ามึงแค่ด่าขำๆอ่ะน้องมันไม่กลัวหรอก มันจะนึกว่าเล่นด้วย แต่ถ้ามึงเอาจริง ทำใจแข็งลงโทษไปเลย อันเนี้ยมันน่าเกรงๆมึงมั่งแหละ //เอนี่เวย์ กูก็มีหน.แบบมึงเนี่ยแหละ ถึงกูจะชอบกวนตีนเค้าแต่กูเคารพนะ อย่าผันตัวไปเป็นสายโหดเลยมึง กูว่าการรายงานปัญหาที่เจอแม่งจะน่าจะน้อยลงเพราะไม่กล้าคุยกับมึงตรงๆกัน
ทำงานที่ใหม่มาเดือนกว่า ยังรู้สึกด๋อยชิบหาย ไม่มีคนสอนงานนี่มันหว่าเว้จริงๆ
บริษัท / สายงานไหน ที่ ได้ทำงานตาม JD เป๊ะๆมั่งวะ จะไม่ไหวแล้วสัส บริษัทกูงานจับฉ่ายชิบหาย ตาม JD กูแค่ควบคุมการผลิต / เสนอโปรเจ็คปรับปรุง
ต่างๆแค่นั้น แต่หน้างานกูทำแม่งทุกอย่างแทบจะทั้งโรงงานอยู่ละ เหนื่อยชิบหาย
กูจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะคนตำแหน่งใหญ่ๆกว่าก็โยนมาให้กูอีกที แล้วพองานที่ไม่เกี่ยวข้องเยอะมากๆ งานที่กูต้องทำจริงๆมันก็ไม่ได้ทำ
เหมือนต้องเคลียงานส่วนอื่นๆให้เสร็จก่อนในแต่ละวัน แล้วค่อยมาทำงานจริงๆของกูในช่วงโอทีต่อ กว่าจะได้กลับบ้านก็ค่ำแล้ว
พอถึงบ้านก็หัวตื้อๆเหนื่อยๆ ไม่รู้เป็นเพราะเดี๋ยวคนนู้นนี้นั่นเรียก เดี๋ยวพูดแทรก เดี๋ยวโทรศัพท์กริ๊งกร๊างตลอดทั้งวัน ในขณะที่ในหัวกูก็ต้องคิดงาน
วางแผนงาน ทำงานนำเสนอออกมาตามรอบอีก งานมันMultitaskมากๆกูกลัวซักวันนึงสมองกูจะรับไม่ได้แล้วเอ๋อแดกว่ะ เอาไงดีวะ
>>445 อ่อเหมือนกูสมัยก่อนแหละต้องทำงานให้คนอื่นนู่นนี่นั่น โปรเจ็คเล็กให้คนน้อยกูต้องทำหลายอย่าง งานตัวเองไม่กระดิกมานั่งทำเอาตอนโอทีทำ ทำไปก็อิจพวกโปรเจ็คใหญ่มีคนเยอะๆ ทำงานแม่ง 7 วันมาครึ่งปีได้ วันหยุดคืออัลไล กูก็โคตรเครียดตอนนั้นก็คิดจะออกไม่ออกดี
จนสิ้นปีประเมินกู...พอใช้เพราะกูทำโปรเจ็คเล็ก พวกทำโปรเจ็คใหญ่ได้ประเมินดี กูเดือดจนฟิวขาด หางานใหม่อย่างไว
ประกาศรับสมัครงานกำหนดเงื่อนไขว่าต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่เรียกคะแนน TOEIC แค่550 อ่านแล้วแอบสงสัยว่าระดับสื่อสารได้นี่มันควรจะเรียก 650-700 ไปเลยดีมั้ย หรือเอาคะแนนสอบอย่างอื่นที่ไม่ใช่ TOEIC เพราะTOEIC มันแค่ฟังกับอ่าน ต่อให้ได้คะแนนสูงจริงแต่พอเอามาทำงานมันอาจจะมีปัญหาเรื่องพูดกับเขียรอยู่ดี
>>453 มึงอย่าใช้คำว่าแค่ 550 ฮะ อยากจะบอกว่าแค่นั้นน่ะคนค่อนบ.ทำได้ไม่ถึงนะฮะ
ซีเนียร์กูบ.ปรับกฎใหม่ต้องได้ 550 ถึงขึ้นซีเนียร์ได้ จะจับสอบนี่ประท้วงกันชิบหายนะฮะ
ส่วนใหญ่ รีเควส 550 คือระดับพอใช้ คืออ่านอีเมล์รู้เรื่องแล้วเขียนตอบได้ว่ะครับ หรือแค่ตอบคำถามเป็นคำๆได้ไม่ต้องการรูปประโยคเป๊ะอะไรเบอร์นั้น
ส่วนใหญ่ฝรั่งมาทำงานไทยเค้าไม่ได้คาดหวังกะภาษามึงอยู่แล้ว แค่เค้าถามมึงงานได้เมื่อไหร่ แค่มึงตอบห้วนๆได้ว่า 4 โมงเย็นไม่ใบ้แดกเค้าก็พอใจแล้ว
>>453 550 นี่สำหรับใครหลายๆคนยังทำกันไม่ถึงเลยนะเว้ย อย่างบ.พี่สาวกูเค้าเรียก TOEIC 550 เหมือนกันเพื่อปรับตำแหน่งขึ้นเมเนเจอร์ พี่สาวกูยังทำไม่ได้เลย ขนาดไปลงเรียนเพิ่มแล้วด้วยซ้ำ
หรืออย่างกูเคยไปสอบ TOEIC รอบเดียวกันตอนที่เค้าเปิดรับครูตจว.ที่จะให้ยื่น TOEIC กัน พวกนี้บ่นกันระนาวเลยนะว่า เอาแค่ 200คะแนนไม่ได้เหรอ 400คะแนนมากเกินไปไม่มีใครทำกันได้หรอก
>>454 บ.กูเคยมีงี้เหมือนกัน บังคับให้พวกซีเรียร์สอบกัน ใครสอบไม่ผ่านต้องเรียนภาษาอังกฤษกับบ. สุดท้ายพนง.ประท้วงชิบหายวายวอดเลย
อีกอย่างกูว่า TOEIC มันไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าจะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีนะ บางคนทำข้อสอบได้ แต่พอต้องใช้จริง ต้องพูดจริงก็ทำกันไม่ได้น่ะ
กูเข้าใจแหละว่าคะแนน TOEIC สูง ไม่ได้แปลว่าจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เพราะมันแค่อ่านกับฟัง และมีเทคนิคในการตอบอยู่ หรือถ้าแค่จับใจความสำคัญในประโยคได้ก็ตอบได้และ ซึ่งกูว่าคนที่พอสามารถสื่อสารได้ คุยกับฝรั่งรู้เรื่องโดยแกรมม่าอาจจะไม่ถูก ยังไงก็ทำคะแนนได้ไม่ยากนะ โดยเฉพาะส่วนการฟังที่ศัพท์ก็ไม่ได้ยากอะไร แค่ถามคำถามคำศัพท์พื้นๆ
ทีนี้กูเลยเกิดความสงสัยว่าที่ HR เรียกคะแนน TOEIC ที่ไม่สูงมาก(สำหรับการใช้งานจริง) นี่เพราะแค่อยากกรองคนรึเปล่า หรือหน้างานจริงใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ภาษาอังกฤษขอแค่ไม่ใบ้แดกแบบที่ >>454 ว่าไว้ก็พอ
>>459 เค้าแค่เอาไว้กรองคนคือมึงจะสมัครตำแหน่งนี้มึงต้อง 550 นะ แค่นี้คัดคนออกไปได้เกินครึ่งเลยมั้ง
ส่วนภาษาอังกฤษใช้ได้ไม่ได้มาวัดกันตอนสัมเอา
มีทั้งผ่านเกณฑ์ 550 แต่พอให้พูดแนะนำตัวจริงไม่กระดิก พูดติดๆขัดๆ
มีทั้ง พูดได้แบบสำเนียงไทยๆ แต่ลงดีเทลงานได้ละเอียดยิบ
มีทั้ง พูดได้แบบเนทีฟ แต่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ทำงาน
ให้ HR เลือกเอา
วันจันทร์จะเริ่มงานใหม่แล้ว เฮ้อ กังวลว่ะ นี่สินะความรู้สึกกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวสังคมทำงานเหี้ย กลัวเข้ากับใครไม่ได้
>>458-460 อันนี้สงสัยจริงๆนะมึง TOEIC ความยากมันคนละแบบกับIELTS/TOELFไหมวะ? การที่สามารถทำข้อสอบ2ตัวด้านบนได้ จะมีโอกาสมาทำTOEICได้คะแนนสูงไหม? เพราะเห็นพวกมึงบอกว่าแม่เน้นแค่พวกฟังกับอ่าน กูมองว่าเป็นข้อสอบที่ดูง่ายละนะถ้าเทียบกับที่จะต้องสอบทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน
>>462 ยากคนละแบบ ไอเอลยากกว่ามาก ไอเอลเต็ม 9(มั้งนะ) โทอิค990 กุไปสอบโทอิคแบบไม่อ่านได้885 ไอเอลไม่อ่านเหมือนกันได้แค่ 6.5 อ่ะ ลองเอาข้อสอบมาเทียบกันจะเห็นชัดเลยว่าโทอิคจริงๆเน้นเทคนิคการทำข้อสอบมากกว่า แค่มึงมีพื้นอังกฤษกลางๆแต่รุ้วิธีทำข้อสอบพวกตัดช้อยส์ สกิมมิ่ง กุว่า700+ได้ง่ายๆ ในขณะที่ไอเอลเทคนิคมึงก้ต้องมี คลังคำก็ต้องมี ไอ้แพทเทิร์นการเขียนหรือพูดให้ได้คะแนนเยอะมันก็มีแหละ แต่การฝึกประยุกต์+ท่องจำแพทเทินพวกนั้นก็ทำให้ภาษามึงพัฒนาไปในระดับที่สูงกว่าโทอิคแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นในการทำงานจริงที่เรามักจะส่งอีเมลภาษาอังกฤษหาคนไทยด้วยกันเอง ประเทศเพื่อนบ้านที่อังกฤษไม่แม่นพอกะเรา หรือเจ้านายฝรั่งที่เขาพยายามข้าใจเราอยู่แล้วไอเอลไม่ได้จำเป็น
>>465 สายอะไรก็ได้ที่ต้องทำเอกสารเป็นหลักฐานข้อตกลงกับบริษัทอื่นด้วยภาษาอังกฤษ อย่างของกูสายไอทีก็มีพวกออก Design Spec ให้ลูกค้า มันก็ไม่ต้องใช้ไวยากรณ์ขั้นสูงหรอก แค่พื้นๆ แต่ห้ามผิดห้ามมั่ว เพราะถ้าเกิดปัญหาทีหลังจะต้องยึดตามเอกสาร เอาง่ายๆอย่างลืมผัน verb ช่อง 3 เนี่ยทำเอาเสียเวลาแก้งานเพิ่มเป็นอาทิตย์ได้ง่ายๆเลย
โม่ง กุขอปรึกษาหน่อย พอดีกูตกงาน ไม่มีจะแดก
แล้วมีคนติดต่อขอให้เปิดบัญชีแล้วคนคิดต่อจะเอาเงินเข้าบัญชีเรา เข้า-ออกในชื่อเรา แต่เงินนั้นเป็นรายได้ รายจ่ายของคนติดต่อในเชิงธุรกิจวะ
คนติดต่อจะให้เงินกูด้วย เค้าบอกกูจะไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกต่อไป แค่ไปเปิดบัญชีมาก็พอ
กูควรรับงานนี้ไหมวะ? กูว่ามันแปลกๆป่ะวะ แค่เปิดบัญชีแล้วได้เงินเนี่ย
ตามอ่านประเด็น TOEIC มาซักพัก สรุปได้ว่าการทำงานมันมีสองแบบซินะ
แบบภาษาอังกฤษต้องเป๊ะ เพราะต้องใช้ในการร่างสัญญา แบบ >>467
กับอีกแบบ ไม่เน้นความเป๊ะ ขอแค่สื่อสารรู้เรื่องก็พอแบบ >>454 >>456 >>460
ซึ่งในความคิดกู ถ้าเรียกคะแนน TOEIC สูงๆ พร้อมกับทักษะในระดับสื่อสารได้จริง
มันจะเรียกเงินเดือนได้สูงกว่า คะแนน TOEIC สูงแต่หน้างานใช้แต่ภาษาไทย และพอสื่อสารกับนายฝรั่งได้เฉยๆ
ถูกป่ะ
แต่ toeic มันง่ายจริงๆ นะ กูเรียนหลักสูตรภาษาไทยมาทั้งชีวิต จบ ป.ตรีไปสอบได้ 750 แบบไม่ต้องติวห่าอะไร ซื้อหนังสือมาดูแนวข้อสอบ ซ้อมทำไปแค่ 2 ชุดเองมั้ง เพื่อนๆ กูภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ กัน ยังไม่เห็นมีใครได้ต่ำกว่า 500 เลย
ยิ่งตอนขยับมาเรียน ป.โท หลักสูตรนานาชาติยิ่งแล้วใหญ่ กูไม่อ่านหนังสือสักตัวยังสอบได้ 900 กว่า เวลากูเห็นพวกติวเตอร์ติวโทอิคที่ชอบสอนให้จำประโยค จับหลักนั่นนี่แล้วก็ได้แต่ส่ายหัว บอกเลยว่าถ้าอยากจะสอบให้ได้คะแนนดีๆ มึงก็อ่านให้ออกฟังให้รู้เรื่องแค่นั้นแหละ
มันขึ้นอยู่กับสังคมจริงๆแหล่ะว่ะ มัธยมกับมหาลัยให้ความสำคัญกับ eng แค่ไหน ค่านิยมของเด็กที่เรียนเป็นยังไง ของกูเนี่ยตอนม.ต้นโรงเรียนสอน eng แน่นมาก กูขอบคุณจนถึงทุกวันนี้ที่ทำให้พื้นฐานกูดีตั้งแต่เด็ก
ม.ปลายย้ายโรงเรียนไปโรงเรียนใหญ่ แต่สอนไม่เข้มเท่าตอนม.ต้นซะงั้น แต่ดีตรงที่เด็กโรงเรียนมันแข่งขันกันเอง แค่ม.5ก็เริ่มคุยกันละว่าจะไปสอบ toeic, toefl, cu-tep กันมั้ย เอาคะแนนมาคุยกัน บางคนแอบไปสอบตั้งแต่ม.4
แต่ขึ้นมหาลัยแม่งหนักเลย สอนก็น้อย เพื่อนๆก็ไม่มีใครสนใจคุยเรื่องนี้กัน คือคณะกูมันได้ใช้ eng นะ แต่มันเอาแค่สื่อสารได้ ไม่เน้นเป๊ะ ไม่ต้องใช้ cert ในการหางาน ก็เลยฟรีๆกัน
ดังนั้นคนที่ทำได้เยอะเป็นปกติก็อย่าดูถูกคนอื่นเลย ถ้ารอบข้างไม่ส่งเสริมแล้วตัวเองไม่ได้ตั้งใจกับด้านนี้จะไม่เก่งแล้วทำได้น้อยก็ไม่แปลกอะว่ะ จะวัยเรียนหรือทำงานมาหลายปีแล้วก็ไม่ต่าง
มีใครไม่ชอบทำงานกับคนญี่ปุ่นบ้างปะวะ บางทีเรื่องเล็กๆแม่งทำให้วุ่นวายฉิบ รีเควสหรือขออะไรไปเหมือนคนยุ่นมันจะมีแนวคิดว่า แทนที่จะพยายามช่วยเหลือเราให้เรื่องมันจบๆไป แต่มันจะคิดด้วยแนวคิดว่า ต้องทำยังไงมันจะได้ไม่ต้องมาช่วยเรา ขอให้ช่วยเล็กๆน้อยๆแม่งคุยกันสองสามวันไม่จบ ซึ่งเอาเวลาคุยยิบย่อยๆมาทำแม่งจบเรื่องไปนานแล้ว สุดท้ายพอไปคุยกับหัวหน้าแม่งแทนให้สั่งมาเรื่องนี้ไวเชียวสัด
ไม่รู้เป็นที่คนด้วยป่าว เพราะยุ่นดีๆกูก็เคยเจอแต่ส่วนใหญ่จะเจอเป็นเคสบนมากกว่า
>>483 เป็นที่คนกูเจอมาทั้งแบบเพอร์เฟ็คชั่นนิสตรงแม่งทุกอย่าง บางอย่างไม่อยู่ในจุดที่ต้องตรวจแม่งก็ตรวจลามไปถึงอีเมลล์
แบบชิวๆไงก็ได้ให้งานเสร็จ แต่เจอแบบแรกแล้วปวดขมับมาก เหมือนถ้ายังไม่ถึงเดดไลน์ส่งงานแม่งก็ตรวจไปเรื่อย ทวนแม่งเข้าไปจนกว่าจะเจอจุดผิด แม่งว่างจัด ทำงานกะแม่งแล้วประสาทจะกินเอา
ทำใจเหอะมึง มันเป็นที่ Mindset ของคนชาติเค้า คือถ้าผิดพลาดขึ้นมามันจะเป็นขี้ปากให้ที่ทำงานนินทาต่อๆกันไป มันเลยกลัวการผิดพลาดมากๆ
ถ้าญี่ปุ่นที่เก่งๆดีๆเค้าจะมีระบบการตรวจงาน มีวิธีจัดการงานให้มันสมบูรณ์แบบและโฟลวได้ไม่ติดขัดอะไร ซึ่งหายาก ต้องเป็นพวกหัวสมัยใหม่หน่อย
มันจะเก่งการจัดการ ไม่ยึดติดวิธีการไรเดิมๆ แต่กับพวกญี่ปุ่นหัวเก่าๆมันจะเป็นอย่างที่บ่นๆมากันนั้นแหละ พวกนี้ไม่ค่อยกล้าทำอะไรใหม่ๆ จะใช้วิธีการ
เดิมๆทำงานเดิมๆแค่ไม่ให้มีข้อผิดพลาดพอ งานจะช้ายังไงก็โยนหรือไปกดดันที่ลูกน้องอีกที
>>483 กูนี่แหละเบื่อสัดๆ กูเป็นลูกน้องกูห้ามทำผิด แต่ไอ้พวกหัวหน้ามันจะทำผิดกันยังไงก็ได้นะเว้ย พอมันทำผิดการไปท้วงเขาถือเป็นเรื่องที่เสียมารยาทว่ะ สรุปถ้ากูทำผิดกูจะโดนด่า แต่ถ้าหัวหน้าทำผิด ไม่เป็นไรเว้ย กูรู้สึกเหมือนกูโดนด่าฟรีอ่ะ พอมีงานกินเลี้ยงกูก็ต้องเอาใจ + เกรงใจ พวกนี้อีก ให้ตายเหอะเพื่อนโม่งกูจะทนอยู่ได้ขนาดไหนวะ
อยากได้แฟนเป็นสาวญี่ปุ่นจังฮัฟ บอกว่ามาอยู่ไทยไม่ต้องทำงานดีไหม ฮี่ๆ
เห็นความสามารถเนิร์ดฝรั่งแล้วท้อเลยหวะ ไม่ได้ขี้ตีนเค้าเลย
มีงานอะไรที่นอนแล้วได้เงินบ้างวะ จริงจังนะเพื่อนโม่ง กูรู้สึกว่ากูชอบการนอนมากที่สุดในชีวิตละเลยรู้สึกว่าถ้าเราหาเงินได้จากสิ่งที่เรารัก
ชีวิตคงโคตรมีความสุขเลยว่ะ มันจะมีงานแบบนี้ป่าววะ ตอนนี้ที่คิดๆคืออาจจะเป็นงานพวกวิจัยการนอนที่สภาวะต่างๆ หรือพวกรับจ้างนอนรีวิวห้องพัก
นี่กูโคตรจริงจังเลยนะเนี่ย
ชีวิตพนักงานติดโทษแบนนี่โคตรน่าเบื่อเลยว่ะ ดันไปมีเรื่องกับลูกรักเมเนเจอร์ ได้แต่นั่งตูดด้านงานการไม่มีคนจ่ายมาให้
วันดีคืนดีลูกรักเสือกจะแกล้งกู ทำไปครึ่งโปรเจ็คแล้วบอกไม่ทำและโยนมาให้กูทำแบบไม่บอกหีแตดอะไรเลย
กูก็ทำไม่ได้หรอกว่ะได้แต่โยนกลับไปให้แม่ง
ที่จริงมึงไม่ต้องบีบกูขนาดนั้นก็ได้นะกูก็อยากออกจะตายห่า โคตรเบื่อบรรยากาศแต่ยังหางานใหม่ไม่ได้โว้ย
รู้สึกช่วงนี้คนชอบเอา quote "If you want to make everyone happy, don't be a leader, sell ice cream" มาแปะเยอะ
บางทีกูก็รู้สึกนะว่าหลายๆคนที่เอาแปะนี่มึงไม่ได้โดนคนเกลียด เพราะไม่ทำงานเพื่อเอาใจคนอื่นนะ
มึงแค่ทำงานเหี้ยแล้วทำคนอื่นเดือดร้อนคนเค้าเลยเกลียดมึงกันทั้งบางอ่ะ แต่มึงก็ยังมโนว่าตัวเองทำดีทำถูกแล้วต่อไป
ทำไมเวลาเมากรึ่มๆละรู้สึกสมองลื่นปรื้ดๆทำงานได้สุดดีวะ วันนี้กูลองออกไปดื่มช่วงมื้อเที่ยงกับนายและTrainneeญี่ปุ่น ดื่มคนละแก้วสองแก้ว แค่กรึ่มๆ
บวกกับแกล้มเป็นเนื้อย่าง เห็ดย่าง4-5ไม้ พอเข้ามาทำงาน โอ้โห หัวกูนี่แล่นชิบหาย คิดงาน คิดแพลน โคตรลื่น กูฟิตจัดขนาดไปเขียนบอร์ดวางแผน
เป้าหมายทีมงานในปี2019 ไอสัส สงสัยนี่คงเป็นเคล็ดลับของเหล่าซาลารี่แมนญุ่นสินะ
ปีใหม่เอาอะไรไปจับฉลากที่ออฟฟิศดี งบไม่ต่ำกว่าห้าร้อย บังคับทุกคนด้วย ขอความเห็นโม่งหน่อย ออฟฟิศเราผู้ชายเยอะกว่าด้วย มีผู้หญิงแค่หกคน ผู้ชายชอบของขวัญจับฉลากแบบไหน แบบสมมติพี่ผู้หญิงจับแล้วยังเอาไปให้แฟนได้น่ะ
ขอความเห็นหน่อยน้า
>>496 มันเคยมีวิจัยออกมาด้วยนะ ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้หัวแล่นมากกว่ากาแฟ คืออย่างพวกเบียร์จะเหมาะงานด้านครีเอทีฟ งานที่ต้องใช้สมองคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ในขณะที่กาแฟจะเหมาะกับงานที่ใช้แรงงานสมอง ให้ทำงานอึด พวกที่ทำไปตามระบบไม่ต้องคิดใหม่เช่นงานคำนวณ บัญชีอะไรพวกนี้ พวกดีไซน์สตูดิโอฝรั่งบางที่มันเลยชอบมีเบียร์ไว้ให้ในออฟฟิศด้วย
ขอบคุณทุกคนมากๆนะ ตอนนี้เราเดินวนๆอยู่ในเซ็น ตัดสินใจจะซื้อหูฟังล่ะ <3
>>505 กูกลับอยากได้แก้วแพงๆ นะ เช่นแก้วของ Godiva ไรงี้ อย่างว่าแหละคนเรามันชอบไม่เหมือนกัน งานแลกของขวัญนี่มันเป็นแค่งานกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีเฉยๆ ส่วนมากสุดท้ายแล้วทุกคนก็มักจะได้ของที่ไม่ได้ต้องการกลับบ้านไป
ป.ล.ดีนะ บริษัทกูไม่มีแลกของขวัญ มีแต่จับฉลากแจกแม่งไปเลยงบบริษัท แต่กูก็เกลืออยู่ดี ถถถ
กูสารภาพว่ากูเคยเอาของขวัญจับฉลากมาใช้ซ้ำด้วย คือปีก่อนหน้ากูจับได้กระติกน้ำร้อน แล้วกูไม่ใช่ขาปิกนิคชีวิตนี้แม่งไม่เคยได้ใช้เลยเก็บแม่งไว้งั้น
ปีถัดมากติกาเดิม โชคดีไอคนที่กูจับได้ของมันลาออกไปแล้วกูเลยกระติกน้ำร้อนแม่งนี่ละมาจับอีก
หัวหน้าที่ชอบสั่งงานตอนใกล้ๆเวลาเลิกงาน / สั่งแม่งตอนเลิกงานไปแล้ว 10 นาที มึงต้องถามถึงความเป็นมนุษย์ในตัวมึงมั่งแล้วนะ
มีใครทำงานวิศวะไหม กูวิศวะจบใหม่มีใบกว. เพิ่งมาสมัครงาน ได้เรทเงินเดือน ~20000 อยากรู้ว่ามันเยอะหรือน้อยไปไหมวะ กูยังไม่มีประสบการณ์เลย
ตอนนี้กูทำงานราชการสายกฎหมาย แต่เบื่อระบบงาน อยากลาออกไปอยู่กับบริษัทเอกชน
แต่ HR แม่งถามกูแน่อ่ะว่าทำไมลาออก งานราชการออกจะมั่นคง แล้วเค้าจะคิดมั้ยวะ ว่าขนาดงานราชการที่เป็นสัญญาตลอดชีพอยู่ยันเกษียณไม่มีการประเมินไม่ผ่านแล้วเชิญออก หรือปลดออกเพราะพิษเศรษฐกิจ กูยังลาออกมาได้ เค้าจะมองว่ากูมีความจงรักภักดีกับองค์กรต่ำรึเปล่าวะ
>>518 ไม่เชิงความภักดีอ่ะ แต่หมายถึงถ้ารับเข้ามา HR อยากรู้ว่าจะอยู่ได้ยาวมั้ย(ขี้เกียจหาคนใหม่) กูรับราชการมา 2 ปี อยู่ในสายงานกฎหมายแค่ปีเดียวเอง งานสายนี้ถ้าไม่คิดมากมันก็เติบโตได้เรื่อยๆอ่ะ ถือว่าปลอดภัยกว่าออกมาหางานใหม่ แต่กูแค่เบื่อระบบเลยอยากเปลี่ยนงาน
พี่ๆโม่งคนไหนจบกฎหมาย ตอนหางานยากรึเปล่าฮะ มดัง เกรดเทียบ3ต้นๆ Toeic เยอะ หางานมาตั้งแต่กลางๆพย เงียบสุดๆเลย
รอปีใหม่ให้คนเขาได้โบนัสแล้วลาออกกันก่อนบรรยากาศการสมัครงานถึงค่อยคึกคัก
เออกูถามหน่อย มีโม่งพอจะรู้เรื่องเขตที่สามารถสร้าง pilot plant ได้รึเปล่าวะ
คืองี้บ.กูเนี่ยเมื่อต้นปีเพิ่งสร้าง pilot plant + ห้องทดลองเสร็จ ซึ่งอยู่ภายในบ.ข้างๆออฟฟิศกู เสร็จแล้วก็ทำผนังกั้นคือมึงดูไม่รู้อ่ะว่าในบ.กูมีแพรนทดลองอยู่ ตอนแรกก็ไม่มีใครว่าอะไร
จนเดือนที่แล้วว้อย สัณญาณเตือนดังมีคนตะโกนมาก๊าซรั่ว พวกกูวิ่งหนีตายออกมาจากออฟฟิศ เซฟตี้ก็บอกให้พวกกูไปที่จุดรวมพล ซึ่งมันอยู่ข้างๆไอ้แพรนที่แม่งรั่วเนี่ยอีดอก!!!
จากนั้นก็มีคนเดินมาบอกว่ามีคนไปเปิดประตูฉุกเฉินสัณญาณเลยดังไม่มีอะไรรั่ว ซึ่งไม่รู้ว่าหลอกกูรึเปล่า
หลังจากนั้นเลยเริ่มมีคนคุยกันว่าไอ้แพลนข้างๆออฟฟิศเนี่ยที่จริงมันผิดกฎหมายสร้างไม่ได้นะ กูเลยอยากรู้ว่ามันผิดจริงป่าววะ แล้วถ้ากูจะฟ้องต้องไปฟ้องกับกรมอะไร
บ.กูมีคนประเภทเข้างานสาย+กลับก่อนได้ ช่วงที่นายไม่อยู่ไม่ต้องมายังได้เลย ช่วงที่นายไม่อยู่มันเข้างานได้ อาทิตย์ละ 3วันบ้าง 2 วันบ้าง ลูกน้องกูก็นินทากันแต่ไม่มีใครว่าอะไรได้
มันเป็นเรื่องปกติเหรอวะ หรือ บ.กู only วะ
>>529 เป็นคนโปรดของนายน่ะ สนิทกันชนิดที่นอนโรงแรมห้องเดียวกันได้ นายผู้ชาย ส่วนไอ้คนที่พูดถึงนี่ ญ ว่ะ
เท่าที่กูรู้พวกที่เข้าสายออกเร็วน่าจะมีเยอะ แต่อีเหี้ยนี่แม่งเล่นไม่เข้าเลย ต่อให้เขางานก็เข้าสาย กลับเร็ว บางวันก็ไม่เข้าเลย วันๆโทรศัพท์คุยกับผัว(ตัวจริง) นอกนั้นก็โทรคุยกับผัวอีกคน(นาย) นอกนั้นก็โทรคุยเล่นกับเพื่อน ขนาดกูไม่ได้เข้า สนง ที่อยู่ติดกับโรงงานบ่อยๆนะ แต่พอกูเข้าไปต้องเห็นแม่งโทรคุยกับผัว โทรหนุงหนิงกับนาย หรือไม่ก็คุยกับเพื่อนแม่งแทบทุกครั้งว่ะ
รู้อยู่แล้วยังจะถามนะเนี่ย คนโปรดต่างเพศระดับนอนห้องเดียวกันได้เนี่ยมันควรจะได้รับอภิสิทธิ์ขนาดไหน
>>528 เรื่องปกติมากกกกกกกกก เรื่องเด็กเส้นเนี่ย บางคนเวลาเจ้านายจริงไม่อยู่เนี่ยเหมือนเป็นเจ้านายคนที่สองด้วยซ้ำ
ถ้าเจ้านายมันเล่นงานมึงได้ มึงไม่ควรไปผิดใจกับอีนี่ทุกประการถ้ามึงยังรักงานที่มึงทำอยู่ แต่พวกเด็กเส้นนี่มันจะข้อเสียอยู่อย่างคือเวลาหัวออกแล้วมันอยู่ไม่ได้ก็ต้องออกกันตามไปด้วย
บอ ที่กูเคยทำงานด้วย งานที่เด็กเส้นรับผิดชอบนี่มันไปอยู่ใน KPI ร่วมกับคนอื่นด้วยอะ คือต่อให้แม่งไม่ทำอะไรเลยแต่เจ้าของงานที่มันไปปลิง KPI ด้วย ทำงานดีงานแม่งก็ดีตามไปด้วย ผลประเมินก็ออกมาดีตามตลกฉิบหายไอสัด 555+
บ.กูห้ามหยุด 1สัปดาห์ หน้า หลังหยุดปีใหม่ นี่บ.เป็นเรื่องปรติรึปร่าวนะ
คนจริงมันต้องลาวันธรรมดาแล้วมาทำงานวันเสาร์อาทิตย์เอาโอทีว้อย
เด็กเส้นเรื่องปกติมากกกกก เมิงทำอะไรไม่ได้ อย่าเอามาเปรียบเทียบให้ตัวเองเสียกำลังใจเลย ทำๆงานไปเถอะ
>>534 ปกติ บริษัทเมิงปิดงบยากใช่ไหมเหมือนกูแหละแต่ของกูเขาไม่บังคับ เขาแค่พูดลอยๆว่างบต้องได้วันxxนะ ก่อนสิ้นเดือนต้องส่งนู่นนี่นะ(แปล:กูจะเอารายงาน)
แต่เมิงจะป่วยท้องเสียขี้แตกก็ไม่มีใครห้ามได้
ถ้าถามเรื่องมารยาทในนี้ได้ปะวะ คือกูเล่นเกมyakuza0 เเล้วมันมีฉากนึงที่ตัวเอกไปคุยงานรับรองกับลูกค้า โต๊ะสี่เหลี่ยมนะมีเก้าอี้4ตัวทุกด้าน
มันสอนว่าจะเลือกที่นั่งต้องเลือกที่นั่งใกล้ประตูสุด ที่นั่งใกล้คือเท้าของโต๊ะ หัวโต๊ะต้องให้ลูกค้านั่ง
ญี่ปุ่นมันเป็นเเบบนี้เหรอวะ กูไม่เคยรู้มารยาทการเลือกที่นั่งคุยกับลูกค้าเลย
>>526 ปล.กู521เองพี่โม่ง เเต่รับติวคงไม่ได้วะไม่เเน่นพอเเต่ช่วยเเนะนำได้นะ n4นี่ง่ายครึ่งปีก็ทำได้ละไม่ยาก เเต่n3มันจะยากขึ้นมาหน่อย
กูอ่านมินนะตอนสมัยเรียนวิศวะทุกวันจนจบมินนะเล่ม4 ตอนปี1 เเล้วอ่านเล่มn4ของสสวทที่มี3เล่ม ไวยากรณ์ คันจิ คำศัพท์
กูได้n4มานานเเล้ว ไม่ได้ใช้งานนาน เอาจริงๆปีเดียวn3ก็ยังได้ถ้าขยันอ่านคันจิ ความต่างของn4กับn3 นี่ไวยากรณ์นิดเดียว เเต่เพิ่มศัพท์กับคันจิบาน
>>537 ฐานะต่ำสุดต้องนั่งใกล้ประตูสุด ใหญ่สุดต้องได้นั่งในสุด อารมณ์ประมาณว่าเวลาเข้าห้องมึงเป็นคนเปิดประตูก่อน แล้วก็เชื้อเชิญให้คนใหญ่คนโตเข้าไปนั่งข้างใน พอทุกคนเข้าไปนั่งเรียบร้อยเสร็จมึงก็เป็นคนปิดประตู แล้วก็นั่งตรงใกล้ประตูนั้น พอประชุมเสร็จมึงก็ลุกไปเปิดประตู เชื้อเชิญให้ผู้ใหญ่ออกห้อง //รถก็คล้ายๆ กัน ถ้าคนใหญ่คนโตมาคนเดียวจะนั่งหลังเยื้องคนขับ แต่ถ้ามีหลายคน คนใหญ่คนโตจะเข้าไปนั่งในสุดก่อน (หลังคนขับ) ฐานะต่ำกว่านั่งข้างประตูซ้าย (เยื้องหลังคนขับ) แต่ถ้าคนเยอะ ต้องมีคนนั่งหน้า คนเด็กสุดหรือฐานะต่ำสุดจะไปนั่งข้างคนขับ เว้นแต่ว่าคนขับเป็นพวกเดียวกัน ไม่ใช่ไดรฟ์เวอร์ อันนี้ผู้ใหญ่เค้าจะให้เกียรติไปนั่งข้างคนขับให้ ส่วนลิฟต์เด็กสุดต้องเข้าก่อน เข้าไปคอยกดควบคุมแผงลิฟต์ (กรณีไม่มีพนักงานควบคุมลิฟต์) และออกเป็นคนสุดท้าย
>>539 +1 ราชการที่กูอยู่ก็เป็นอย่างงี้ ทั้งเรื่องนั่งรถ เรื่องกดลิฟต์ ที่นั่งทำงานฐานะต่ำสุดนั่งเป็นชั้นแรกของฝ่าย ไล่ไปเรื่อย ๆ จนระดับเจ้านายนั่งหลัง นายใหญ่บางคนแยกไปนั่งห้องส่วนตัว
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว กูขอระบายเรื่องที่ทำงานด้วยเลยแล้วกัน เกลียดคนที่ทำงานเป็นพวกเซ้าซี้ชิบหาย ชอบยัดเยียดให้ทำอะไรที่กูไม่ชอบทำ เวลาไปกินเลี้ยงก็เซ้าซี้ให้ร้องคาราโอเกะ บอกจะได้หนุกหนาน ตอนกูนั่งกิน นั่งดูคนอื่นทำกิจกรรม เงียบ ๆ ในมุมของกู กูก็หนุกอยู่นิ มาตัดสินกูเองซะงั้น หรือนึกซื้ออะไรเข้าแผนกมา แล้วให้กูกิน แต่กูไม่กิน หาว่ากูเอาแต่ใจ เดี๊ยวววววว ๆ ใครเอาแต่ใจกันแน่วะ ซื้อมาก็รับผิดชอบสิ มาพูดอย่างกะกูทำเสียของ สิ้นเปลือง
ปีใหม่นี้อยากให้ของขวัญด้วยการกระโดดถีบยอดหน้าเรียงตัวจริง ๆ อิเวรเอ้ยยยยย
เค มารยาทนี่กูก็เพิ่งรู้เนี่ยเเหละ กูนึกว่าเจ้ามือหรือคนอาวุโสต้องนั่งในสุดเพราะว่าเดินไกล ให้คนเเก่หรือลูกค้านั่งนอกจะได้ไม่ต้องเดินไกล 555
*พิมผิด หมายถึงอาวุโส,ลูกค้านั่งนอกสุดจะได้ไม่ต้องเดินไกล เเล้วผู้น้อยนั่งในสุดเพราะเดินไกล
สรุปกลับกันเลย..
>>540 กิจกรรมพวกนี้ถ้ามึงไม่ชอบก็รีบๆทำให้เสร็จๆไปอ่ะ แต่อย่าแสดงออกให้คนเค้ารู้ว่าว่าไม่ขอบ ร้องเพลงก็หาเพลงก็ร้องส่งๆไปให้หมดเพลงไม่งั้นก็แกล้งทำเสียงหลงไปเลย คราวหน้าจะได้ไม่โดนเซ้าซี้อีก
ของกินก็หยิบใส่ปากซักชิ้นแกล้งเคี้ยวช้าๆ พอให้รู้ว่ากิน
ของแบบนี้มันเลี่ยงไม่ได้ว่ะเวลาทำงาน ขึ้นอยู่กับว่าจะหลบเลี่ยงได้แนบเนียนแค่ไหน
เบื่องานว่ะ รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร เพื่อนร่วมงานดี หัวหน้าดี เงินเดือนดี ตำแหน่งอยู่ใกล้บ้าน แถวที่ทำงานมีของกินอร่อยเยอะ
แต่รู้สึกว่าความคิดกูไปกันไม่ได้กับองค์กรนี้
คือแบบเน้น Play safe ไว้ก่อน เน้นให้ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน อย่างวันนี้นะ กูทำบิลน้ำมันหายแล้วเอาไปเบิกกับฝ่ายการเงินไม่ได้ ทำให้การเดินทางไปพบลูกค้าต่างจังหวัดกูต้องจ่ายค่าน้ำมันเอง รุ่นพี่กูที่ไปด้วยกันก็ไม่ได้ด่ากู แต่แกบอกว่าให้กูลองไปตามกับปั้ม(ทั้งที่กูยินดีชดใช้ค่าน้ำมันอยู่แล้ว) แกบอกว่าถ้ากูไปชี้แจงกับการเงินมันจะเป็น "ความบกพร่องของเรา" กูก็เถียงในใจว่า ก็ใช่นี่ครับ ผมบกพร่องเองแล้วผมก็พร้อมรับผิดโดยการจ่ายเงินคืน
คทอกูไม่ชอบความคิดแบบนี้ว่ะ ไม่ใช่แค่รุ่นพี่กูนะแต่ดูๆแล้วเป็นกันทั้งองค์กรอ่ะ ความคิดที่ว่าจะทำอะไรก็อย่าสร้างปัญหาตามมาภายหลัง ซึ่งกูมองว่ามันอนุรักษ์นิยมเกิน ตรงกันข้ามกับความคิดกูที่ว่า จะทำอะไรก็ทำ ถ้าทำผิดต้องพร้อมรับผิดชอบแล้วก็ชี้แจงเหตุผลไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอปัญหาอะไรๆก็กลัวไปซะทุกอย่าง
>>544 เพื่อนโม่งเอ้ย กูคือไอ้ >>376 และเป็นไอ้โม่งตัวเดียวกับ>>361 ด้วย
คือมึงมีเพื่อนร่วมงานดีมี หัวหน้าดี เงินเดือนดี ก็ดีถมแล้วนะ กลับไปอ่านเรื่องของกูมึงจะพอใจในบ. ของมึงมากขึ้นนะ 555
ปล. เพื่อนร่วมงานกูคืออีนี่ >>530 และถึงแม้ว่าตามโครงสร้างองค์กรมันไม่ได้เป็นหัวหน้ากูก็ตามแต่มันก็จะวางท่าเป็นหัวหน้ากูว่ะ เพราะมันเป็นคนโปรดของนายไง เงินเดือนกูต่ำ(เทียบกับความสามารถ)
ปล.2 โม่งกูจะแตกป่าววะ มีจิ๊กซอว์ให้ต่อขนาดนี้มันระบุตัวตนกูได้เลยนะ 555+
>>544 เมิงก็พลาดเอาจริงนะที่ทำหาย(อาจด่าแรงจนเมิงน้อยใจด้วยส่วนนึง) ลองไปหาปั้มแถวที่ทำงานให้ออกใบเสร็จก็ได้ จ่ายๆเงินค่าออกบิลให้มันไปแล้วเอาไปเบิกบัญชีจะได้จบเรื่อง
เมิงลองคิดในแง่เมิงเป็นบัญชีดู เด็กมาเบิกเงินค่าน้ำมันแต่ไม่มีบิล ถ้าเขายอมให้เบิกเกิดวันนึงโดนตรวจสอบขึ้นมาแม่งก็ซวยอีก เบิกเงินลอย เขาไม่เสี่ยงคุกเพื่อเมิงหรอก
เพื่อนกูที่เป็นเซลล์แม่งระวังกับพวกนี้มาก ค่าน้ำมันค่าทางด่วนเก็บอย่างดีตลอด แม่งเงินทั้งนั้น เดี๋ยวเมิงอยู่ไปนานๆปรับตัวได้ก็ชินเอง
>>546 โอ๋นะๆๆ /ตบบ่า
>>544 เรื่องนี้กูเห็นด้วยกับรุ่นพี่มึงนะ เรื่องงานบางทียอมแพ้อะไรง่ายเกินก็ไม่ดี ถึงมึงจะยินดีชดใช้ก็เถอะ แต่ถ้ามึงลองสุดๆแล้วมันไม่ได้จริงๆนี่ก็ไม่มีคิดติดใจคิดในแง่ลบกับมึงหรอก ตอนเด็กๆกูก็เป็นแบบมึงนี่ละ ที่คิดว่ากูรับผิดชอบเองบริษัทไม่ได้เสียอะไรก็ไม่มีอะไรนี่
>>544 ลองพลาดเเบบเป็นเเสนๆเเล้วรับผิดคนเดียวดูสิ
หัวหน้ากับทีมอุตส่าห์มาช่วยแบกเเล้ว ใจลึกๆมึงยังไม่ยอมรับอีก งานจริงๆพอวิเคราะห์ลึกๆเเล้วอาจจะผิดที่ process ฝ่ายอื่นก็ได้
อีกไม่นานก็จะกลายเป็นเป้าโยนขี้เเล้วจะรู้สึก
ภูมิคุ้มกันตัวเองน่ะสร้างหน่อย คนซื่อจนโง่เเบบมึงนี้เเหละ พวกชั่วชอบ
เบื่อโว้ยยยย ทำไมพระเจ้าอย่างกูต้องทำงานด้วยวะ กูเป็นถึงพระเจ้าแห่งโลกใหม่เลยนะ ต้องมาทำงานงกๆไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นเลย
กูหยุดแล้ว พวกมึงได้หยุดยาวกันรึยัง อิอิ
พวกมึง ช่วยกูที จะบอกเจ้านายว่าอย่าเสือกอย่างสุภาพว่ายังไงดี
>>552-553 มันเป็นไปได้ในโลกจริงนะ สวิสเกือบทำได้แล้ว
https://www.pptvhd36.com/news/ประเด็นร้อน/28080
ใครมีเกณฑ์ระดับภาษีปีหน้ารึยัง ระดับไหนเสียเท่าไหร่ เพราะสูงสุดมัน25%แล้ว
>>558 สูงสุดไม่ใช่ 35% หรอ?
https://www.itax.in.th/projects/101/wiki/อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
พี่โม่งซาลารี่เเมนครับปีหน้ากูจะเริ่มหางาน
-อยากถามว่าพวกได้โบนัสนี่ส่วนใหญ่จะออกกันประมาณปีไหน เเล้วพวกบ.ส่วนใหญ่จะเปิดรับกันช่วงประมาณเดือนไหน กุมภา มีค.?
-เเล้วการสัมภาษณ์ การเลือกบริษัทควรดูอะไรบ้าง ตอนนี้หลักกูก็ดูๆพวกrequirement เเล้วก็พวกjob descriptionเอา ทีนี้มันต้องรู้ลึกๆด้วยไหมวะเช่น ผลประกอบการของบ.นี้เป็นอย่างไร ต้องพยายามสืบว่าคนออกเยอะไหมอะไรเเบบนี้ด้วยไหม พวกลึกๆเเบบนี้จะไปดูที่ไหนได้บ้าง นอกจากลองgoogle,ถามเพื่อน etc.
-การสัมภาษณ์นี่ ถ้าสมมุติกูไม่คิดจะอยู่นาน เเต่ต้นปีกูอยากจะทำงานเก็บประสบการณ์ก่อนไงถ้ามีคำถามพวกนี้กูควรตอบตามตรงไหมวะว่าจะอยู่ถึงเท่านี้ๆ หรือควรบอกว่าจะอยู่กับองค์กรนาน,อนาคตยังไม่รู้ 9ล9
-ควรเตรียมตัวสัมภาษณ์อย่างไร ทวนความรู้ที่เรียนไปด้วยจะดีไหมไปเผื่อโดนลองเชิง เเต่รู้สึกขี้เกียจทวนเยอะ ผ่านมาครึ่งปีรู้สึกลืมๆหมด กะจะทวนๆเเค่โปรเจคที่ทำมา ไม่รู้ก็ตอบไม่รู้ไปเลย
-การต่อรองเงินเดือน หรือถามเงินเดือน สามารถถามได้ตอนไหนเเบบที่ไม่น่าเกลียดเเละถามได้ เผื่อตอนสัมภาษณ์เสร็จเเล้วบ.อยากรับ
-ถ้าตอนทำงานไปเเล้ว เกิดผ่านโปร กูอยากลาออก ภายในครึ่งปี,1ปีน่าเกลียดไหม เเล้วลาออกนี่ถ้าหัวหน้าไม่ให้ออก(สมมุติเป็นช่วงยุ่งหรืองานค้างคา) สามารถลาออกได้ไหม คืออนาคตกูมีเเพลนจะเข้ารัฐวิสาหกิจเเต่ว่ากลัวทำงานไปเเล้วจะลาออกลำบากหรือติดพันภาระ
ขอบคุณครับพี่โม่งซาลารี่มัง ขอโทษที่ถามเยอะ
>>560
1) บ.กูออกธันวา ได้เมื่อทำงานครบ 1 ปี ใครทำงานไม่ครบปีจะได้เป็นเงินค่าขนมเล็กน้อย(หลักหมื่น)
2) ปกติกูสมัครแต่บ.มีชื่อเสียงระดับโกลบอล เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1000 ล้าน แต่ถ้าสมัครบ.โนเนมแน่นอนว่าควรดู ไม่งั้นเงินเดือนไม่ออกหรือบ.เจ๊งขึ้นมาจะร้อง
3) ปกติเด็กจบใหม่เค้าก็รู้อยู่แล้วว่า 80% เดี๋ยวมันก็ออก มีส่วนน้อยที่จะอยู่ยาวไป ไม่ต้องไปบอกหรอกว่าไม่คิดจะอยู่นาน
4) ควรทำทุกอย่างที่มึงก็รู้แก่ใจว่าทำแล้วมันให้ผลดีต่อตัวมึงเอง
5) ถามเมื่อเค้าตกลงรับมึงแล้วหรือตอนที่เค้าบอกให้ถาม
6) ลาออกได้ แจ้งล่วงหน้า 1 เดือนตามมารยาท ถ้าเป็นบริษัทดีๆ มีมาตฐานเค้าไม่มาอะไรกับมึงหรอกกะอีแค่เด็กจบใหม่ลาออก ยกเว้นบ.ที่เห่ยและกากขนาดเด็กจบใหม่คนเดียวลาออกแล้วจะชิบหาย การลาออกไม่ต้องรอการอนุมัติ มีผล ณ วันทีี่แจ้งเลย แต่ถ้ามึงพอมีคุณภาพมีความสามารถหน่อย เค้าก็อาจจะรั้งมึงพอเป็นพิธีบ้าง แต่ถ้ามึงงั้นๆ เค้าก็แค่บอกโอเคตามนั้นโชคดีนะบรัยส์
ดูที่ไหนอะพวกเเบบว่าเงินลงทุน หรือผลประกอบการพวกนี้ บ.เล็กๆ เพราะกูก็กะจะสมัครบ.เล็กๆเนี่ยเเหละพี่โม่ง โปรไฟล์กูไม่จบ4ปีด้วย เกรดก็2.6-2.7 ถึงจะจบม.รัฐดังหน่อยก็เถอะ
มีวิธีรับมือพวกมนุษย์ป้าชอบโยนงานกันยังไงวะ งานการไม่ทำ วันๆ โทรตามแต่ผัว แล้วชอบมาบ่นว่างานตัวเองเยอะ พอกูบอกติดงานด่วนอย่างอื่น ก็ชอบมาพูดว่า ให้ทำงานให้นางก่อน แม่งเอ้ย...
>>560
- ส่วนใหญ่โบนัสปลายปี อาจจะมีอยู่โยงเดือนมกราไปหน่อยแล้วออกช่วงกุมภามีนา โดยที่มกราก็แจ้งแล้วล่ะว่าจะออก ไปหาสม้ครงานช่งนี้กูว่าดี ยังว่างๆ งงๆ กับการหยุดยาวอยู่ ยังไม่ติดพันโปรเจ็คใหญ่อะไรมาก น่าจะมีเวลานัดสัมภาษณ์อะไรงี๊
- สืบเท่าที่สืบได้นั่นแหละ แต่ก็โปรยใบสมัครไปทั่วๆ สำหรับกูตัดสินใจได้ง่ายกว่าถ้าได้ไปเห็นสภาพแวดล้อมตอนสัมภาษณ์
- ไม่ต้องบอกหรอกว่าจะอยู่นานแค่ไหน อย่างที่อีกคนบอกแหละ ส่วนใหญ่ บ.เผื่อใจกับเด็กจบใหม่ไว้อยู่แล้ว
- เอาเท่าที่ตัวเองจะรู้สึกมั่นใจได้ตอนไปสัมภาษณ์แหละ กะเกณฑ์ไม่ได้มันแล้วแต่คนแล้วแต่งาน
- สำหรับกูคือถามตอนช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ส่วนใหญ่ HR ก็จะเปิดโอกาสให้ถามคำถามช่วงนั้นแหละ
- ถ้าตามกฎหมายแรงงาน นายจ้างไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้ลาออกอยู่แล้ว แต่มันเป็นเรื่องของมารยาท(ในการแจ้งล่วงหน้า) และสัญญาใจ(ในการอยู่กันไปยาวๆ) ออกก่อนหนึ่งปีไม่ผิด แต่คนก็จะมองอะไรได้หลายแบบ ไม่สู้งานบ้างล่ะ ด่วนตัดสินใจบ้าง อะไรบ้าง แล้วก็อาจจะถูกตั้งคำถามสำหรับการสมัครงานที่ใหม่ ก็แล้วแต่คนว่าจะใส่ใจมั้ย
>>566 กูคือมนุษย์ป้าคนนั้นป่าววะ แต่กูไม่มีผัวเนี่ยดิ 555 นายจ่ายงานให้กูเพื่อให้กูเอาไปจัดสรรจ่ายงานให้เด็กๆ อีกที นายพูดชัดเจนในที่ประชุมแล้วนะ แต่เด็กก็ยังคิดว่ากูโยนงานให้มัน ชอบทำปากเบ้ใส่ โอทีก็ไม่เคยอยู่ช่วยคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ คิดว่าทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของกู กูเลยบอกนายไปละว่าเปลี่ยนวิธีการเถอะ จ่ายงานแบ่งความรับผิดชอบไปแต่แรกเลย เจองี้ปุ๊บดิ้นจ้า โอดครวญว่างานเยอะทำไม่ทัน ถถถ งานที่มึงได้ไปน่ะไม่ถึงเสี้ยวของกุด้วยซ้ำ วันๆ เอาแต่เดินเม้า แชทกับผัว คงทำเสร็จหรอก
>>570 >>572 อีมนุษย์ป้าที่ว่า โอทีไม่เคยอยู่ เลิกปุ๊บ เด้งออกปั๊บ กูก็เข้าใจที่ว่านางบ้านไกลเลยรีบกลับ แต่ที่กูไม่ชอบนาง ตรงที่หัวหน้าก็ไม่ใช่ จิกอย่างกะกูเป็นลูกน้องนางอย่างนั้นล่ะ อีกอย่าง เรื่องที่นางอู้ ก็มีคนพูดตั้งหลายคน (พยานเยอะ) เล่นเฟสในเวลางานบ้างล่ะ ออกไปคุยกับผัวบ้างล่ะ งานก็ทำส่งๆ เอ็กเซลก็ทำไม่เป็น ส่งข้อมูลผิดๆ มาให้คนอื่นทำต่อ แก้กันเป็นวันๆ แถมยังไถให้ลูกน้องซื้อของให้นางในวันเกิดด้วย (พวกอุปกรณ์มือถือน่ะ)
ปล.วีรเวรนางมีอีกเยอะ แต่พูดมากไม่ได้ เดี๋ยวโม่งแตก...
มีลุงที่ทำงานอายุมากกว่า 20 ปีมาจีบ รู้สึกอึดอัด ขยะแขยงมากๆ แล้วลุงแกชอบเล่นมุกใต้สะดือสองแง่สองง่ามใส่ทั้งที่เคยคุยกันไม่กี่ครั้งด้วยเรื่องงาน ชอบเอาไปบอกคนอื่นว่ากูกิ๊กกับเขาอยู่ บางทีก็บอกว่าโสด รับสมัครเมีย แล้วก็มองกูไปด้วย กูไม่ได้เล่นด้วยนะ ออกจะหน้านิ่งไม่ยิ้มด้วยเวลาที่ลุงแกมาอยู่ใกล้ๆ พอกูหน้าบึ้ง เบะปาก ลุงแกก็ไม่สำนึกนะว่ากูรังเกียจ แต่กูก็ไม่รู้จะด่ายังไงว่ะ เพราะความอาวุโสและยังต้องทำงานร่วมกันอยู่ ควรพูดยังไงให้ซอฟท์สุดวะ เกิดกูไปหักหน้ามันแล้วมันผูกใจเจ็บจะทำยังไงดี ท่าทางอีลุงจะเป็นคนอาฆาตแรงด้วยดิ
>>574 มึงทำเป็นไม่สนใจ ไม่เสวนาน่ะดีแล้ว ถ้ามึงจะกำจัดมันมึงก็เก็บหลักฐาน อัดเสียง หาพยานให้ดีๆ มึงมีเพื่อนที่ช่วยยืนยันให้มึงได้ไหม มีคนที่โดนอีลุงนี่พูดลามกใส่อีกไหม แล้วแจ้งหัวหน้าหรือฝ่ายบุคคล ไม่ด่าเองดีที่สุด เอาหลักฐานให้คนมีอำนาจจัดการ ถ้าเขามีทางเลือกให้มึงย้ายไปแผนกอื่นก็ย้าย ถ้ามึงอยากอยู่ที่เดิมก็ให้ใครจัดการอีลุงนั่น มึงไม่ควรปล่อยให้มันทำพฤติกรรมนี้ และควรรายงานเป็นหลักฐาน เผื่อมันเลิกยุ่งกะมึงแล้วไปทำกับคนอื่นต่อ แต่ถ้าแจ้งแล้วมีแต่คนบอกว่าให้ทน ๆ ไป มึงลาออกเลยนะ บริษัทเหี้ย กูเคยเจอเหมือนกัน ฝ่ายบุคคลบอกให้หยวนๆไป แต่กูไม่ยอม
ขอระบาย ได้โบนัสน้อยกว่าที่คาดไว้ รู้สึกเซ็ง จิตตกมาก
บางคนอาจด่าว่า เฮ้ย มึงได้โบนัสยังจะบ่น บางคนเขาไม่ได้กันด้วยซ้ำ
คือ ต้องอธิบายก่อนว่า ปีนี้บริษัทก้าวหน้ามาก งานมารัว ๆ มูลค่างานก็เพิ่มจากปีก่อนร่วมสิบเท่า (นี่กูไม่ได้โม้นะ)
และการที่งานมาเยอะ คนทำงานก็ต้องทำงานหนัก เพราะบริษัทยังโตไม่ทันเนื้องาน ก็ต้องฮึดทำกันไป
เสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้หยุด สองสามสัปดาห์ติด ก็เคยมี ทำจนถึงตีหนึ่งตีสอง เรื่องปกติ ไม่มีโอที ทำด้วยใจ
คือสิ่งที่เป็นแรงผลักดันคือ เอาวะ บริษัทกำลังโต ผลประกอบการเยอะ ยังไงก็ต้องชดเชยให้ตอนสิ้นปีนี่แหละ
ปรากฎออกมาจริง ๆ ขัั้นต่ำสุดเลย กูก็ สะเทือนใจว่ะ
เรื่องเงินมันก็ส่วนนึง แต่เกิดความรู้สึกแบบ เฮ้ยที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจมา มันถูกตีค่าไว้แค่นี้เองเหรอ ก็เสียใจว่ะ
ขอบคุณเพื่อนโม่งที่ทนฟังกูบ่น
>>579 บีบไหล่มึง กูก็ทดท้อกับบริษัทเหมือนกัน แต่โทษตัวกูเองนี่แหละ รู้ทั้งรู้ว่าแม่งไม่เคยมีโบนัสให้ แต่ปีนี้งานหนักขึ้น กูก็อดไม่ได้ที่จะทุ่มเทเพราะจะปล่อยให้งานในความรับผิดชอบตัวเองมันพังไม่ได้ อยู่ล่วงเวลาไม่มีโอที มาทำงานวันหยุด ทั้งๆ ที่รู้ว่าบริษัทแม่งไม่เคยเห็นค่าในจุดนี้ งานมากขึ้นเงินมากขึ้นก็ยกความดีความชอบให้เซลล์หมด กูก็จิตตกเหมือนกัน เกริ่นๆ กับหัวหน้าไว้ตอนประเมินปลายปีแล้วว่ากูรู้สึกเงินมันไม่แปรผันตามงานที่เพิ่มขึ้น ก็วัดใจดูว่าบริษัทจะปรับเงินเดือนให้มั้ย ถ้าไม่กูก็จะไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ บริษัทไม่ได้หมุนรอบตัวกู
ปกติทำงานนี่รายได้ทั้งปี กูเอาโบนัสไปรวมด้วยนะแล้วค่อยเฉลี่ยว่าทั้งปีได้เท่าไร ไอพวกที่บอกได้โบนัสยังจะบ่นนี่ส่วนใหญ่ทำงานที่ไม่ได้แจกโบนัสทั้งนั้นละ เรื่องแจกเยอะน้อยนี่ต้องดูผลกำไรด้วยถ้าปีนั้นมันแย่จริงๆก็ต้องทำใจ แต่ถ้ากำไรเพิ่มแต่แจกน้อยกว่าเดิมนี่แม่งก็เหี้ยละ
>>580 หาโอกาสใหม่ๆน่ะดีแล้ว
เพื่อนกูบางคนแม่งเปลี่ยนงานทุก ๆ 2-3 ปี เพื่ออัพเงินเดือน เปลี่ยนทีเงินก็ขึ้นที ขึ้นเร็วกว่ารอปรับฐานเงินเดือนเยอะ
แต่ตัวกูเองไม่ได้มีความสามารถอะไรขนาดนั้น ความรู้ก็มีจำกัด ถ้าไม่ทำที่นี่ก็คือกลับบ้านนอกไปขายก๋วยเตี๋ยวแล้ว เลยต้องพยายามทำใจ
บ.นรก ทำโอไม่ได้โอนี่กูเคยเเค่สมัยตอนได้งานเเรกว่ะ งานมันเยอะจนต้องอยู่ทำ เเต่ก็ทนๆไปเพราะโปรไฟล์เกรดไม่สวย พอผ่านตรงนั้นมาได้ซักปีย้ายงานเเม่งดีกว่าเดิมเยอะเลย
กูทำบ.ญี่ปุ่น ได้โอตลอดไม่เคยมีโอฟรี โอเยอะสัสๆ เหนื่อยจนบางทีก็รู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้ว
ส่วนโบนัสกูได้เยอะก็จริงแต่บ.ญี่ปุ่นสายยานยนต์ก็อย่างที่ทุกคนรู้อะนะ เบสต่ำ โบเยอะ
กูว่าอย่าไปสนใจเลยโบน้งโบนัส มึงแคล annual income แค่นั้นแหละพอ จบ แยก
กูไม่ได้อยู่ กทม.ไงเพื่อน ถึงจะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่ก็ไม่ได้มีงานดีๆ ให้เลือกนักหรอก
วันหยุดผ่านไปไวมาก................
ณ ตอนนี้กูยังทำงานอยู่ เลิกงานเกือบเที่ยงคืน
ฮรือ ปล.แต่ได้พิเศษ ช่างมันเหอะ55
สู้ๆนะเพื่อนโม่งแรงงานออฟฟิสทุกคน ปีใหม่ก็ตั้งเป้าหมายชีวิตกันหน่อย ของกูคือ สมัครเรียนป.โท เรียนภาษาแล้วสอบเอาใบเซอร์ และดาวน์รถมาขับ
บางทีอาจจะฟังดูงี่เง่าไปหน่อย แต่ถ้าเลือกได้บั้นปลายชีวิตคงอยากออกจากระบบเงินเดือนไปทำอะไรที่ชอบในประเทศที่เลือกแล้วว่ะ
ใช่ ถามว่าเงินเยอะใหม ก็ไม่ ภาระเยอะใหม ก็โคตรเยอะ แต่ถ้าได้ทำสิ่งที่ชอบ แล้วแบ่งไปดูแลภาระต่างๆได้หมดไม่ขาด ถามว่าเอาป่าว
กูตอบว่าเอา.
ของกูปีที่ผ่านมาต้นปีงานยุ่งมาก แต่ก็ถือว่าสนุกดี ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง
พอปลายปีเหมือนงานที่ป้อนให้เริ่มสะดุด คนเก่งๆในทีมเริ่มทะยอยลาออกกันไป คนเข้ามาใหม่ก็ไม่โอเค
ข้างบนเริ่มมี direction ประหลาดๆมากขึ้น ฟังเสียงคนข้างล่างน้อยลง
แต่ก็อยู่ที่นี่มาจนเริ่มอยู่ตัว แล้วมันก็งานไม่หนักมาก ใกล้บ้าน รู้สึกหมดอาลัยตายอยากแปลกๆ คือรู้สึกไม่โอเค แต่ก็ไม่อยากไปที่อื่น
อาจจะไปเรียนต่อโทตามที่พ่อแม่ขอให้มันจบๆไปแล้วค่อยกลับมาเริ่มคิดใหม่อีกที
>>595 ถ้าที่ออฟฟิซมันไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางแย่หลายอย่างกูคงเปื่อยๆอยู่ที่นี่ต่อแบบไม่คิดมากอ่ะนะ อาจจะรู้สึกอีกแบบนึงไปเลย
ส่วนเรื่องเรียนโทจริงๆกูไม่ค่อยอยากเรียน และยังไม่รู้จะเรียนอะไรด้วย แต่พ่อแม่กูเค้าทำงานสายวิชาการน่ะเค้าเลยมองว่ามันสำคัญ
ทั้งที่จริงๆสายงานกูความสำคัญใบปริญญามันลดลงมากแล้ว ซึ่งอธิบายไปเค้าก็ไม่ฟังหรอก
แต่พอกูคิดว่าไหนๆก็ไม่โอเคกับงานแต่ขี้เกียจหาใหม่ก็ลองไปเรียนดูดีมั้ย
กูสอบถามหน่อยได้มั้ยวะพี่โม่ง คือกูจบใหม่อะเเต่ทีนี้กูยังไม่เคยทำงานเอกชนที่ไหนเลยเเล้วพยายามจะเข้ารัฐวิสาหกิจ、ราชการ
เเล้วก็กูได้ยินเสียงงู้นงี้มาว่างานมันสบายเเต่ว่าจะโง่ไม่ได้ประสบการณ์ จะหมดไฟ หรืออะไรบลาๆ คือกูก็อยากเข้าอะเพราะคิดว่าเออสบายๆมันก็ดีเเล้วกูก็มีธุรกิจอย่างอื่นที่อยากทำด้วย เเต่พอได้ยินคนกรอกหูมากๆเข้าว่าอาจจะเบื่อ นู่นนี่นั่น กูก็เริ่มลังเลละ เเล้วบางคนก็บอกว่าพวกไม่เก่งเอาจริงๆก็อยู่ยาก กูก็กลัวไปอีกเพราะกูยังไม่เคยทำงานเอกชน
หรือว่ากูควรไปทำเอกชนก่อนดีกว่าวะถ้าอยากได้ประสบการณ์ก่อนอะ
ขอระบายหน่อย คือกูไม่ชอบการให้งานกลับมาทำเป็นการบ้านเลยว่ะ ก่อนปิดปีใหม่กูก็บอกที่ทำงานแล้วนะว่ากลับบ้านต่างจังหวัดไม่มีคอมทำงานนะครับเดี๋ยวเปิดปีหน้าค่อยทำนะ แต่เมื่อกี้ยังแอบทักมาอีกว่างานถึงไหนแล้ว
ใจนึงกูก็รู้ตัวนะว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ แต่กูมีนโยบายแบบยึดมั่นเลยว่าเวลาทำงานก็คือเวลาทำงาน แต่เวลาพักผ่อนก็คือพักผ่อน การให้งานมาทำในช่วงเวลาพักผ่อนนี่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดแม้แต่การที่ครูให้การบ้านนักเรียนมาทำที่บ้านกูก็ไม่เห็นด้วย อีเหี้ย อย่าให้มันมากนัก ก็รู้หรอกว่าโปรเจคต์ที่ทำอยู่มันเดือดๆหน่อยแต่มึงจะไม่ให้กูใช้ชีวิตกับครอบครัวเลยเหรอ วันหยุดนะไอ้สัตว์ มึงจะทำงานอะไรก็ทำไปดิไอ้หัวควย อย่าคิดว่าคนอื่นจะพร้อมทำงานให้พวกมึงเสมอนะ ที่อื่นจะหยุดกี่วัน พวกมึงจะใช้วันหยุดปีใหม่ทำงานหรือทำเกี้ยไรก็เรื่องของพวกมึง แต่อย่าเสือกเอามาตรฐานแบบนั้นมาตามงานกูไอ้เวรตะไล
>>597 งานราชการมันทำอะไรซ้ำซ้อน แล้วที่เจอมาคือ นายจะให้ความเอ็นดูพวกที่เอาใจเก่งมากกว่าทำงานเก่ง ถ้าเป็นคนที่ต้องการประสบการณ์การทำงานไม่น่าจะเหมาะกับราชการนะ แต่ประสบการณ์รับมือคนเฮี้ยๆนี่น่าจะอัพสกิลอยู่ ซึ่งไม่น่าคุ้มกับสุขภาพจิตที่เสียไป ส่วนใหญ่ราชการมันเลี้ยงจนแก่ใช่มั้ยล่ะ เข้าไปก็จะเจอมนุษย์ลุง มนุษย์ป้า ตรรกะแบบโตมาได้ยังง๊ายยยเยอะแยะไปหมด และความชิบหายคือ มึงต้องรับคำสั่งจากคนแบบนี้แหละ
แต่คนที่มีความสุขกะงานราชการก็เคยเห็นอยู่นะ คือแบบไม่คิดมากอะ โดนด่าก็แบบเฉยๆ ยิ้มๆ เลิกงานกลับไปทำงานนอกที่ตัวเองชอบไรเงี้ย
>>598 เออกูก็คิดว่าการตามงานในวันหยุดคือเรื่องเสียมารยาท จริงๆ เวลากูมีไฟหน่อยหรือทำงานอะไรติดพันอยู่กูชอบเก็บมาคิดที่บ้านนะ ไม่ได้มีใครสั่งแต่กูแค่อยากให้วันถัดๆ ไปกูทำงานง่ายขึ้นเพราะได้เตรียมตัวมาแล้ว แต่ถ้ามีใครมาสั่งหรือตามงานในวันหยุดนี่จะอคติเลย กูไม่ทำ ไม่ใช่เรื่อง วันทำงานค่อยมาคุยกัน ....จริงๆ ก็แล้วแต่คนแฮะ ถ้าคนที่กูนับถือมาขอให้ทำกูก็ทำแหละ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใช่
เท่าที่กูดูเพื่อนกูที่ไปอยู่กับราชการ (มีเส้นทั้งนั้น) มีทั้งคนออกแล้วก็คนอยู่ยาว ถ้ามึงเป็นคนหัวสมัยใหม่จะอยู่ราชการแล้วอึดอัด ถ้ามึงสายชิว ปรับตัวกับแรงลม และที่สำคัญเข้ากับคนง่าย เลียเป็นบ้าง มึงจะอยู่ได้สบายๆ
ตอนนี้มีใครอายุใกล้ๆจะ 30 หรือ 30 ต้นๆแล้วยังเป็น พนง. ระดับออฟฟิต หรือ ซีเนียร์ แล้วไม่มีแววจะขึ้นไปเป็นเมเนเจอร์บ้างปะวะ ปรับตัวกันยังไง ยังพยายามอยู่ไหมหรือปลงแล้ว กูกลัวตัวกูจะเป็นแบบนั้นมากเพราะในออฟฟิตกูมีคนแบบนี้เยอะ และการโปรโมทในบริษัทที่ไม่ใช้ระดับ ออฟฟิต ไป ซีเนียร์ นี่ไม่ค่อยเห็นกันเลย (บริษัทยุ่นสาย automotive) พวกตำแหน่งสูงๆเวลาว่างเขามักจะรับคนนอกเข้ามามากกว่าซึ่งมันจะเป็นเจอร์จากบริษัทอื่นสายเดียวกันนั่นละเวียนวนกันมา
คนที่เคยขึ้นจาก asst. ไปเป็นเจอร์นี่เป็นยอดนักเลีย นักพูด หรือถ้ากูอยากอัพก็ต้องไปทางนี้จริงๆวะ ขยันทำงานไป แต่ไม่สุงสิงกับพวกระดับโตๆนี่แม่งดูไม่มีแววได้ขึ้นเลย
>>602 บริษัทยุ่นสาย automotive เช่นกัน ทำไมต่างกันมากเลยวะ ของกูพวกตำแหน่งสูงๆ คือพวกอยู่ยาวทั้งนั้น ซึ่งก็มีบางคนที่เก่งคู่ควร อันนี้ก็ยินดีด้วยและชื่นชม แต่ปัญหาคือส่วนใหญ่ไม่เก่ง ได้ขึ้นตำแหน่งเพราะอยู่ยาว+แก่เฉยๆ กลายเป็นว่าเด็กเก่งหัวก้าวหน้าอยู่แทบไม่ได้นานซักคนเพราะอึดอัดที่ต้องมีเจ้านายโง่และไม่เก่ง เหลือแต่เด็กที่ไม่เก่งและหัวอ่อน ยิ่งวันบริษัทเลยยิ่งรวมพลคนไม่เก่ง ทำงานแต่แบบเดิมๆ ไม่มีใครกล้าออกนอกกรอบหรือพัฒนาอะไรใหม่ๆ ให้มันได้ productivity ที่ดีขึ้น 10 ปีที่แล้วทำงานยังไงปีนี้ก็ยังทำงานแบบนั้น
>>604 เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่บ.ยุ่นว่ะ ฝรั่ง ไทย บ.ที่มาเปิดในไทยเป็นเหมือนกันหมด มึงเก่งให้ตายยังไง ถ้ามึงไม่เข้าหาเจ้านาย ไม่มีแบ็คตำแหน่งไม่ขึ้น นอกจากนั้นข้างบนเค้าก็ไม่ฟังเสียงมึงด้วย
ในสายงานกูกูเคยทำมา 3-4 บ. กูมองภาพรวมออกระดับนึง พอไปอยู่บ.ฝรั่งบ.ท้ายสุด กูดูประวัติทำมาทุกโปรเจ็ค ดีเลย์แทบจะทุกโปรเจ็ค ถ้างานไหนต้องซื้อของเองก็เตรียมตัวลุ้นขาดทุนได้ กูเข้าไปทำกูว่าไม่ใช่และมึงต้องเปลี่ยนระบบบางอย่างไม่งั้นงานมึงก็ดีเลย์งี้แหละ ผลคือไม่เอาไม่เปลี่ยน ทำแบบนี้มาเป็น 10 ปีแล้วกูไม่เปลี่ยนอ่ะ กูนี่...ทุกวันนี้ก็ทำๆไปโดยรู้อยู่แก่ใจว่างานมึงดีเลย์แน่ๆล่ะนะ
ในความรู้สึกกูคือญี่ปุ่นเน้นเรื่อง process แบบผิดๆ คือสร้าง process มาแก้ปัญหา
แต่น้อยที่จะย้อนกลับมาดูว่าในเวลานี้ process เก่ามันยังเหมาะอยู่มั้ย คนเข้ามาใหม่ก็ก้มหน้าทำตามอย่างเดียว
ยิ่งสังคมการทำงานค่อนข้างหัวโบราณ มีระบบอาวุโส อะไรพวกนี้เลยยิ่งไปกันใหญ่
>>608 >>609 โอ้โหเป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วยแฮะ กูว่าที่คนมันไม่ยอมเปลี่ยนเพราะไม่อยากรับผิดชอบว่ะ ทำแบบ 10 ปีที่แล้วมันขาดทุนมันดีเลย์มันก็อ้างได้ไงว่าก็ทำตามเดิม กูไม่ได้ทำไรผิด แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีการใหม่แล้วเกิดปัญหา คนที่เปลี่ยน(อนุมัติให้เปลี่ยน)ก็ต้องรับผิดชอบ เลยไม่เปลี่ยนแม่ง อยู่ไปวันๆ เป็นปลาตายที่ลอยตามน้ำรอรับเงินเดือนรับสวัสดิการ คนเก่งคนหัวก้าวหน้ามาเห็นสภาพแบบนี้เลยทนไม่ได้ แต่กูทึ่งตรงที่มันเป็นกันทุกสัญชาตินี่แหละ เคยคิดว่าบ.ฝรั่งจะเน้น productivity และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอซะอีก
>>602 มึงลืมไปหรือเปล่าว่างานของเมเนเจอร์มันคือคุมคนทำงาน ตำแหน่งเมเนเจอร์เป็นสายบริหาร ไม่ได้ต้องการคนทำงานเก่ง แต่ต้องดึงศักยภาพของลูกน้องออกมาทำงานให้ได้มีประสิทธิภาพที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องเชื่อมต่อระหว่างพวกบนๆ กับคนทำงาน จะบอกว่าเลียก็ได้ ก็ถ้ามาทำให้งานมันเกิดออกมาได้อย่างราบรื่นก็ต้องทำมั้ย ถ้ามึงก้มหน้าก้มตาขยันทำงานไม่สนใครจะขึ้นเป็นเมเนเจอร์ไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอก
กูสนใจตำแหน่งงานที่หนึ่ง แต่พอรู้ตัวว่าความสามารถตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นที่จะผ่านเข้าไปทำงานได้(แต่คุณสมบัติขั้นต่ำผ่าน) ทีนี้คุยกับ HR แล้ว
เค้าบอกว่ามีสอบความถนัด กูก็อยากลองไปสอบดู เผื่อผ่านจะได้มีโอกาสสัมภาษณ์ แต่ไม่ได้หวังถึงขั้นผ่านการทดสอบจนได้งานหรอก
แค่อยากลองทำข้อสอบดูกับอยากเข้าสัมภาษณ์กับบริษัท ว่าบริษัทนี้น่าอยู่มั้ย ทีนี้ถ้ากรรมการถามว่า ความสามารถแค่นี้นึกยังไงถึงอยากเข้า
งานเรายากนะ คิดว่าจะทำไหวเหรอ
กูควรตอบยังไงไม่ให้น่าเกลียดวะ ตอบแบบว่าผมรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงเลยมาสมัครงานทีนี้ ผมทราบดีว่าความสามารถผมในตอนนี้อาจจะไม่ผ่าน
การทดสอบแต่การได้มาทดสอบและสัมภาษณ์ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับผม หากผ่านก็จะพยายามให้มากขึ้นทำงานให้หนักขึ้นเพื่อชดเชยความสามารถที่ยังขาดอยู่ บลาๆๆๆๆ แบบนี้ถือว่าโอเคป่าววะ
>>610 บ.กู CEO ใช้คำว่าต้มกบว่ะ 555 คือมึงชินชากับสภาพที่เป็นอยู่โดยไม่รู้สึกถึงสถานการณ์รอบๆตัวที่ระอุขึ้นเรื่อยๆ ซักพักมึงก็จะกลายเป้นกบต้ม
พี่แกพูดตอนก่อนปีใหม่พร้อมบอกปีนี้ไม่มีโบนัส เหมือนอยากจะบอกให้พวกกูแก้ปัญหาในบ.ก่อนที่จะชิบหายกันหมด กูก็อยากบอกอ่ะนะว่ากูบอกไปแล้ว ไม่มีใครยอมแก้ มึงก็อยู่ในสภาพนี้ไปจนบ.เจ๊งน่ะแหละ
คือพวกบนๆก็เหมือนที่มึงบอกอ่ะ อายุก็ 50 กว่ากันหมดแล้ว กินเงินเดือนจนเปรมแล้วพร้อมเกษียณ ไม่ได้มีความคิดจะทำอะไรให้สถานการณ์มันดีขึ้น ใกล้เกษียณแล้ว บ.จะชิบหายยังไงก็เรื่องของแม่ง ไม่ใช่บ.กูนิ
ยืนยันอีกเสียงว่ามีจริง แบบ ใช้วิธีเก่าๆทำงาน เพราะไม่อยากรับผิดชอบ คือถ้า บ.ให้โอกาสสรรหาวิธีใหม่ๆได้ คนคงทำแหละ แต่นี่มึงพลาดเมื่อไหร่ รับกรรมเต็มๆ แล้วใครมันอยากจะเสี่ยงบ้างละฟะ
เพื่อนโม่งมีใครพอจะรู้รายละเอียดเรื่องประกันสังคมมั่งมั้ยวะ กูออกจากงานมาซักพักใหญ่ๆ แล้ว (เกิน 4 เดือน) ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่า อ้าว จริงๆ กูไปลงทะเบียนว่างงานเอาเงินได้ ตอนนี้กูสามารถทำอะไรกับแม่งได้มั่งมั้ย หรือก็เท่ากับว่าเงินที่กูเคยโดนหักๆ ไปก็หายแว้บไปเลยวะ
อีกอย่างคือ กูได้งานใหม่แล้ว แต่เป็นหน่วยงานของรัฐ มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อย กูควรจะส่งปกสค ต่อไปอีกปะ หรือช่างแม่งไปเลย ไว้ค่อยส่งใหม่ถ้าย้ายไปทำบริษัทอีกรอบเลยดีกว่ากัน
วัยทำงานกับวัยเรียนต่างกันเยอะมั้ย
ในนี้ใครเป็นข้าราชการแล้ว ไม่สมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์มั่งมีไหม อยากรู้เหตุผลของแต่ละคนหน่อย
วัยเรียนทุกข์แค่ส่งงานไม่ทัน นอกนั้นเฮฮาปาจิงโกะได้
วันทำงานทุกข์ ทุกวัน โดนสารพัด อย่างเช่นวันศุกร์ลั้นล้า กำลังเตรียมตัวกลับบ้าน โดนเอางานมาโยนแล้วบอกขอวันจันทร์ เป็นต้น
ถ้าต้องเลือก
คอนนี้คุณอายุ30ไม่มีทักษะพิเศษ
ระหว่างทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ไม่เครียดเลิกงานกลับบ้านได้เลย เงินเดือน17000
กับงานแบบบ้าคลั่ง เครียด ทำถึงดึกๆดื่นๆเกือบทุกวัน เงินเดือน51000
พวกคุณเลือกแบบไหนกันครับ
>>618 มันก็แล้วแต่คนด้วยแหละว่าเจออะไรมา บางคนสมัยวัยเรียนพ่อแม่ประเคนให้ทุกอย่าง กระดิกตีนรอรับตังค์ไปเรียนอย่างเดียว พอจบมาต้องทำงานก็อาจร้องโอดโอยเพราะมันลำบากและต้องผจญอะไรมากมาย ก็จะรู้สึกว่าวัยเรียนสบายกว่า บางคนต้องลำบากต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่สมัยวัยเรียน บ้านจน พอตั้งใจเรียนพัฒนาตัวเองจนมีงานมีการดีๆ ทำ มีเงินใช้สบายมือ ก็จะรู้สึกว่าวัยทำงานสบายกว่า สำหรับบางคนที่ไม่ได้สุดโต่งแบบสองอย่างที่ว่ามา ก็อาจจะรู้สึกกลางๆ เข้าใจว่าการเรียนกับการทำงานก็มีจุดทุกข์สุขต่างกันไป อยู่ในสถานะไหนก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวไปกับมัน
>>623 สำหรับกูต้องดูปัจจัยก่อนว่ะ ถ้าเกิดยังมีหนี้สินมีอะไรไม่พร้อมกูเลือกเเบบล่าง พร้อมลุยขยันๆเอา เพราะ30กูก็ยังเตะปี๊ปดังอยู่(เเต่ถ้า40+นี่คงไม่น่าไหวละ) เเต่ถ้าไม่มีหนี้สิน มีเเพลนสำรอง งานไม่เครียดกูเลือกเเบบเเรกนะ เเต่ก็ไม่ขี้เกียจอยู่ดีขอเอาเวลาหลังเลิกงานไปศึกษา,ฝึกสกิลอย่างอื่น หาช่องทางธุรกิจลงทุนอะไรเพิ่มดีกว่า
มีบ.ใครหยุดยาว 29-6 บ้าง เผลอแป๊บเดียวเหรอวันหยุดอีกแค่วันเดียวแล้ว ไม่อยากไปทำงานเลย เค้าหยุดมาให้ชาร์จแบต กุหยุดแล้วยิ่งขี้เกียจหนักกว่าเดิม
× เหรอ
o เหลือ
เรื่องปกติสำหรับหยุดยาว ถ้ามึงขี้เกียจแสดงว่ามึงไม่รักงานที่มึงทำเท่าไร
อยากหนีจากงานโรงงานว่ะ ไม่ชอบระบบการเข้ากะและระบบที่เร่งให้ทำนู่นนี่นั่นตลอดเวลา ถ้าเคยทำอยู่ฝ่ายผลิตแล้วเราจะสามารถเปลี่ยนไปทำสายไหนได้บ้างวะ มีสกิล Excel
มีใครมีปัญหาเรื่องหน้าตา บุคลิกไหมวะ เเบบหน้าตามึงเนิร์ตมึงติ๋มดูเด็กน้อยอะ เเต่มึงตัวเล็กๆงี้ คนในบ.รุ่นพี่หรือเเม้กระทั่งรุ่นน้องก็ไม่ค่อยให้ความเคารพเท่าไรเลย
กูนึกว่าเป็นเรื่องปกติของทุกคนซะอีกที่ขะขี้เกียจทำงานเวลาได้หยุดติดกันน่ะ แต่เออ อันนี้กูยอมรับด้วยว่ากูไม่ได้รักงานที่ทำอยู่ แต่จำใจทำ
กูว่ากูก็ชอบงานที่ทำอยู่ประมาณนึงนะ แต่เลือกระหว่างทำงานกับได้หยุดกูก็ชอบได้หยุดมากกว่าทำงานอยู่ดีว่ะ
>>640 ก็มาดิงานออฟฟิศที่กูทำอยู่ก็ไม่ค่อยได้ใช้สกิลหรอกมึง แถมหยุดสัปดาห์ละวันอ่ะมึงเลิกก็ค่อนข้างดึกเริ่มงานค่อนข้างเช้า
โรงงานที่กูหวังแม่งโคตรดี ทำสี่หยุดสอง กูทนไหวกับงานกะนะกูสู้ แถมค่าโอทีแม่งโหด ทำวันหยุดได้สามแรง เงินเก็บเพียบแน่ๆไม่ค่อยมีเวลาใช้เงินวนไปอีก
ทำไมกูต้องตื่นเต้นทุกครั้งที่สัมภาษณ์งานด้วยวะ แม่งเอ้ยมือสั่นสัสอะ
มานั่งดูใบสมัครงานที่ยื่นผ่าน jobdb แม่งไม่มีคนเปิดอ่านเลย ที่เปิดอ่านมีแต่พวกรีคู้ทนอกนั้นมันขึ้นแค่ว่าได้รับ
แอบงงๆ คือกูโดนปัดตกตั้งแต่ยังไม่เปิดไฟล์อ่านเลย พลาดอะไรไปวะ
สัมภาษณ์งานครั้งแรก บ.ท่าทางจะเขี้ยว ลดประหม่ายังไงดีครับ
ในนี้มีใครเรียนวิศวะไฟฟ้าหรือเครื่องกลบ้างไหม อยากรู้ว่าการทำงานที่ทำอยู่เป็นงานเเนวไหน เครียดมั้ยครับ
มึงว่าการขอลากิจไปเข้าร่วมเวิร์คช็อปที่ช่วยพัฒนาสกิลตัวเองเนี่ย มันน่าเกลียดป่ะวะ กูบอกเจ้านายตรงๆได้มั้ยว่าอยากไปเข้าเวิร์คช็อปนี้มาก
>>651 แบบนี้แย่สุด บอกเลย ถ้าแค่รู้จักแต่ไม่ได้สนิทหรือเส้นใหญ่ขนาดยัดเยียดให้บังคับว่าต้องรับเท่านั้นอะนะ พวกเด็กฝากนี่แทบไม่มีใครอยากเอา เรียกมาสัมภาษณ์แค่รักษามารยาทกับคนฝากเท่านั้นแหละ ปัดตกตั้งแต่ตอนสัมแล้วด้วยซ้ำ กะอีแค่ดิ้นรนสมัครงานเองให้เค้าเรียกยังไม่มีปัญญา จะเอามาทำงานห่าอะไรได้ ยกเว้นเคสต้องรับไม่มีทางเลือกอะนะ ซึ่งต้องเส้นใหญ่มากๆๆๆๆ
มึงกูปรึกษาหน่อย บริษัทกูนั่งทำงานกันแบบโต๊ะชนโต๊ะหันหน้าเข้าหากัน ที่มีคล้ายๆแผ่นพาทิชั่นแบ่งระหว่างโต๊ะตรงหน้าหน่อยน่ะ ทีนี้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกูเท้าเหม็นมาก เหม็นจนกูกินอะไรไม่ลง ต้องเอายาดมมายัดจมูกไว้ตลอดทั้งวันไม่งั้นไม่ไหว แบบนี้พวกมึงมีวิธีรับมือหรือบอกเจ้าตัวไงดีวะ กูจะไม่ไหวอยู่แล้วเนี่ย
>>659 การันตีฝีมือห่าเหวอะไรล่ะ ตลก ก็แค่รู้จักกันเลยฝากให้ บางคนก็พ่อแม่เคยมีบุญคุณกับเค้าเลยเอาข้ออ้างนี้ให้ช่วยฝากลูก บางคนเด็กจบใหม่งี้ เอาผลงานตรงไหนมาการันตีเหรอ ถ้าประเภทการันตีผลงานเค้าใช้วิธี recommend กันจ้ะ ไม่ใช่ฝาก resume ให้ ฝาก resume ให้ก็คือเด็กฝากนั่นแหละ ถ้าเก่งจริง กะอีแค่ทำ resume กับ cover letter ให้น่าสนใจพอที่ HR จะเรียกสัมภาษณ์ รู้จักการกระทุ้งถาม ติดตามผล ทำไมจะทำไม่เป็นวะ ต้องใช้วิธีฝากเอาก็กระจอกแล้วล่ะ
>>662 แต่ถ้าคนฝากเส้นใหญ่พอที่จะทำให้บริษัทต้องรับเลยแบบไม่มีสิทธิ์หืออือใดๆ ทั้งสิ้น อันนี้ใหญ่จริง ฝากไปเหอะ เพราะยังไงก็ได้งาน แต่ถ้าทำได้แค่ฝาก แค่ยัดเยียดให้เค้าต้องเรียกสัมภาษณ์เพราะเกรงใจคนฝาก กูบอกเลยว่าส่วนมากโดนหมายหัวเอาไว้แล้วล่ะว่าเรียกมาสัมภาษณ์เฉยๆ ยังไงก็ปัดตก ไม่เชื่อก็ตามใจละกัน
พอคุยเรื่องฝาก Resume แล้ว กูคิดว่าระบบราชการที่คนด่าๆกันเรื่องเส้นสายนี่ดูดีขึ้นมาเลย
เพราะการจะเข้ารับราชการอย่างน้อยต้องผ่านการสอบ 2 รอบ ภาค ก ของ กพ กับภาค ข ของหน่วยงานที่เปิดสอบ จะฝากยังไงก็ต้องผ่านสองรอบนี้ให้ได้ก่อนถึงมีสิทธิสัมภาษณ์งาน ไม่มีการจับมาสัมภาษณ์เลย
เรื่องฝากอะไรนี่กูว่าเกี่ยวกับขนาดกับวัฒนธรรมองค์กรณ์ด้วยแหละ
อย่างบ.กูแทบจะเน้นไปที่ให้ชวน(ลาก)เพื่อนรึคนรู้จักมาทำงานทั้งนั้น
ส่วนพวกสกิลก็มาวัดเอาตอนสัมทีเดียวไป สกิลถึง คุยรู้เรือง attitudeดีก็รับเลย ไม่ผ่านก็ปัดตกไป
>>665 แผนกที่กูเคยอยู่ ผจก แม่งควบสองแผนก อีกแผนก ผจก ไม่ค่อยไปคุม แต่จะมาหาบ่อยๆ เขามานั่งดูใบสมัครงานใกล้ๆ รอบแรกแม่งมานั่งกรี๊ดกร๊าดหน้าตา ผจก ถ้าพี่แกเล่นด้วยนี่คงแบบ เออ.... พอดีสุดท้าย ผจก ก็ดูที่คณะที่จบมากับความถนัดและประสบการณ์ ส่วนอิพี่พวกนั้นก็ โห้ย พี่ ไม่หล่อเลยอะ กูนี่แบบ ...
กูรำคาญพี่ที่บริษัทว่ะ มันจะต้องการได้รับความเคารพขนาดนั้นเลยดิ เด็กเข้าใหม่เขาไม่ไหว้ก็เพราะไม่รู้จัก ไม่ได้ทำงานด้วยกัน แค่นี้ก็ยังต้องมาบ่นว่าเด็กใหม่ไม่ไหว้เลย ฝากไปบอกให้ไหว้หน่อยทรู้จักไม่รู้จักก็ไหว้ๆ ไปเถอะ กูนี่โอ้โหเลย แก่แล้ว หัวโขนอะ ถอดๆ ไปมั่งก็ได้มั้ง
อีกอย่างเกี่ยวอะไรกับภาค ข. วะ
เบื่อการแก้ปัญหาแบบเอะอะก็ออกแบบฟอร์มๆ แบบฟอร์มแม่งมีจะเป็นร้อยละครับสลัด ทำไมไม่แก้ที่ต้นเหตุตรงๆ เครื่องจักร วิธีการทำงาน อุปกรณ์
ก็ว่ากันไป แต่ไอ้การที่เอาแต่ออกแบบฟอร์มแล้วมาบังคับใช้ๆเนี่ย มันไม่โอเคว่ะ เพราะคนออกไม่ได้ทำ คนทำก็มีแบบฟอร์มจดเป็นร้อยละยังเพื่มเอาๆ
กูเห็นลูกน้องละเหนื่อยแทน
>>669 ถ้าเป็นคนที่รู้จักกูก็พอเก็ทนะ เหมือนโดนเมิน แบบเดินสวนกะเพื่อนแล้วเพื่อนไม่ทักก็หน้าแห้งๆ นิดนึงงี้ แต่อันนี้คือไม่รู้จักแบบ ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีมนุษย์หน้าตาแบบนี้อยู่บนโลก งานไม่เคยทำร่วมกัน แต่อยากให้ไหว้ดะไว้ก่อน พอไม่ไหว้แล้วมาบ่นว่าดูไม่ค่อยอ่อนน้อม กูก็แบบ เห้อพี่ ไรของพี่วะ
การทำงานแล้วอยู่ให้ครบปีนี่จำเป็นแค่ไหนวะ กุเข้ามาแล้วไม่ชอบงานตั้งแต่แรก แต่ไม่อยากออกให้เสียประวัติว่าจะทนให้ผ่านโปร อยู่ไปๆมาๆก็เก้าเดือนละว่ะ กำลังจะประเมินสิ้นเดือนนี้ ทีนี้เดือนนี้กับเดือนที่แล้วมีคนออกสองคน กูโดนย้ายไปทำแทนทั้งคู่ยิ่งคูณสองเข้าไปใหญ่ นอนไม่หลับ เครียดตลอดเวลา ได้แต่ท่องไว้ว่าทนให้ครบปีๆ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่กูเริ่มคิดละว่าเอาแค่ประเมินเสร็จนี่ล่ะ ขึ้นเงินไม่ขึ้นก็ช่าง กุนอนไม่หลับเป็นอาทิตย์ เครียดลงกระเพาะงี้รออีกเดือนเอาโบนัส×1ถึงเปล่า ไม่น่าคุ้ม
โม่งตัวไหนอายุ 30กว่า ความคิดว่าตอนมึงอายุเท่านี้กับความจริงแตกต่างกันบ้างไหมวะหรือเป็นไปตามที่คิด
>>679 ตอนเด็กๆ กูคิดว่าตอน 30 จะมีครอบครัว มีบ้าน มีรถ มีลูกซักคน แล้ววันหยุดก็ไปเที่ยวสนุกสนาน กันแบบครอบครัวทั่วไป
พอถึงเวลาจริง สิ่งที่กูมี คือ เงินก้อนนึงที่ไม่มากนัก คือมันพอซื้อรถญี่ปุ่นเงินสด และเหลือมาดาวน์คอนโดห้องเล็กๆ ในเมือง หรือดาวน์บ้านบ้านชานเมือง แล้วเหลือผ่อนต่อเดือน ไม่ลำบากน่าจะพอได้อยู่ (ส่วนที่พอเก็บเงินได้บ้างเพราะ กูไม่ได้เป็นคนชอบเที่ยว ล่ะมั้ง เสื้อผ้าก็นานๆ ซื้อที)
แต่กูเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน คือ กูกลัวทุกอย่างเลยว่ะ ตอนเด็กเป็นไงตอนโตเป็นงั้น ขณะที่ด้วยสถานะหน้าที่การงานกู ถ้าจีบดะน่าจะหาแฟนเสป็คธรรมดาซักคนได้อยู่มั้ง
แต่สุดท้ายกูก็ไม่ทำอะไรซักอย่าง ยังอยู่ห้องพักรูหนูถูกๆ เหมือนเดิม เหมือนลึกๆ กูกลัวจะเสียอิสระส่วนตัวไปยังไงไม่รู้ ของเล่นวัยเด็กที่เคยอย่ากได้ เครื่องเกม การตูน กันพลา ฟิกเกอร์กูก็เคยซื้อ แต่สุดท้ายก็ตั้งทิ้งไว้ ไม่แม้จะแกะจากกล่องพัสดุเลยก็มี
ระบายหน่อย
คือช่วงหนึ่ง กูอยากจะลาออกมานอนเล่นๆ เป็น need สัก สองสามเดือนเพื่อหาแนวทางชีวิตเหมือนกัน แต่พอจะทำงานมันก็เข้ามาโหลดจนไม่ได้พัก พอรู้ตัวอีกทีกูก็กลายเป็นหัวหน้าทางพฤตินัยยังไงไม่รู้ สิ่งยึดเหนี่ยวของกู คงเป็นกาแฟสำเร็จรูปถูกๆ ไม่ใส่น้ำตาลในช่วงเช้ามั้ง
เวลารับเด็กจบใหม่เข้าทำงานนี่ เขาคาดหวังให้ทำงานได้ระดับไหนวะ?
>>681 มึงประสบความสำเร็จแล้วล่ะเพื่อน อย่างน้อยก็ประสบความสำเร็จมากกว่ากูว่ะ มีเงินพอจะมีทั้งรถทั้งคอนโด ก็ดีตายห่าแล้ว กูนี่เช่าเขาอยู่ รถกูก็มาจากบ้านกูไม่ได้ผ่อนเอง แต่เงินเก็บเสือกแทบไม่มีเลยว่ะ ถ้าหน้าตามึงดีกูว่ามึงหาเมียสวยๆได้ไม่ยากเลยนะ
กูขอระบายบ้าง ก่อนหน้านี้มีผู้หญิงคนนึงโครตสวยกูชอบเขามาก เขามาติดต่องานเพราะเป็น บ.คู่ค้ากับ บ. กู แต่ ... หัวหน้างานที่มีส่วนร่วมในการประเมินผลงานกู ดันบอกกูว่า อย่างเธอไม่มีปัญญาไปเปย์แข่งกับคนอื่นเขาหรอก ... ไอ้เหี้ย นอกจากจะเงินเดือนน้อย กูยังต้องดักดานอีกเหรอ กูจิตตกสัดๆ
มึงครับตอนนี้กูทำงานที่นึงอยู่พึ่งเข้ามาได้7วันคือกูมาทำๆไปก่อนเพราะกูหิวเงิน ทีนี้อีกที่นึงที่กูสมัครไว้เมื่อประมาณ พย.ปีที่แล้ว เป็นบริษัทที่สวัสดิการดีมากๆ เป็นบริษัทที่กูอยากเข้าไปทำำ งานสุดๆรถรับส่งมีเค้าพึ่งโทรมาหากู กูจะทำยังไงดีวะ
แต่ที่กูทำ7วันนี่เงินไม่มากมาย บ้านใกล้ แต่รูปแบบงานตรงที่กูทำไม่ได้วันสัมเค้าไม่ได้บอก กูเครียดทุกวันที่ทำำำ ค่าประกันงานหักเดือนแรกเยอะอยู่อยากได้คืนก็ต้องแจ้งล่วงหน้า20วันประมาณนี้ กูควรทำยังไงดี ออกไปที่แรกเลยดีไหม
เบื่อหัวหน้าที่ผงกหัวครับๆรับงานเหนื่อยๆมาแล้วโยนให้ลูกน้องทำเร่งทำเป็นวัวเป็นควายจังโว้ยยยยยยยยย
เมิงยังรับงาน ของกูรับออเดอร์ over capacity มา
ดึง cap ลูกค้า a ไปผลิตให้ลูกค้า b จนของลูกค้า a ช็อต โดนแอร์ไป 40 ตัน
พอ a เรียกแอร์ก็ดึงแค้ปไปผลิตให้รัวๆ ลูกค้า b c ช็อตอีก วนไป 40 ตัน 3 ประเทศ อเมริกา จีน เวียดนาม
ตอนหลังมีเคสแบบนี้มา นายกูจะเซย์เยสอีก กูปริ้นสต็อกเดินไปบอกเลย ถ้าทำเดือนหน้าช็อตแน่นอนนะ ถ้าโดนเรียกแอร์ใครจะรับผิดชอบ
แม่งดื้อ ส่งไปสองอาทิตย์ค่อยขอลูกค้ายกเลิก โดนลูกค้าด่าอีก สมหน้า ไอ้ควายปลาดิบ
>>691 เบื่อชิบหาย แนวงานเพื่อนโม่งน่าจะคล้ายๆกูนะ อย่างล่าสุดตอนกรอกข้อมูลผล Production Achievement ตอนแรกๆกูกะลงตามเป็นจริงไป
ผลมันก็มีดีบ้างเสียบ้างในแต่ละวัน แต่ภาพรวมออกมาคือดีอยู่ แต่หัวหน้ากูขี้เกียจไปตอบคำถามที่ออฟฟิศหรือความสามารถไม่ถึงอธิบายไม่เคลียร์เอง
มากดดันให้กูเฟคผลไปให้ดีเท่ากันทุกวัน ผลออกมาโคตรเพอร์เฟคแต่สุดท้ายพอโดนออดิทก็โป๊ะแตกว่าเมคผล แล้วแม่งทำทีเป็นหน้าแดง โมโหใส่กู
ทำมาเข้มกะกูว่า"ต้องลงผลจริงแต่ไม่ให้กระทบกับผลงานเค้า" โห กูนี้ร้องอีสัสสสสสสสส ในใจเลย
>>692 คนซวยก็เมิงไง คนทำ คนส่งรีพอร์ต เจ้านายเมิงลอยตัว อยากได้รีพอร์ตดีๆก็ผลิตให้มันดีๆสิวะ
ตอนของกูแม่งให้กูส่งเมลคอนเฟิร์ม กูพิมพ์ชื่อนายกู and production team confirm as your request แม่งเลย รู้ว่ามีปัญหาแน่นอน กูไม่ยอมโดนคนเดียวหรอก
แต่ฝ่ายผลิตกูเหี้ยกว่านะ ของแม่งผลิตเสียทั้งล็อตเพราะใส่สีผิด(ล็อตละล้านกว่าๆ) ถ้าออกมาเป็นfgแม่งจะเป็นng100%
มันเลยแก้ด้วยการไม่ปล่อยfg คาไว้เป็นwipมาสองปีแล้ว 5555
ไหนๆโม่งฝ่ายผลิตก็มาสุมหัวกันแล้ว กูขอแจมบ้าง บ. กูเว้ย มีช่างระดับเทพ ประสบการณ์เหลือล้น แต่ทำงานผลิตกากสัดๆ ช่วงที่ไอ้เหี้ยนี่แม่งอยู่เนี่ยกูโครตปวดหัวเลย แม่งชอบปรับเครื่องจักร ซึ่งปรับแล้วไม่ได้ช่วยเหี้ยอะไรขึ้นมาเลย กูบอกมันแล้วแต่แม่งก็ไม่เชื่อว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ ที่พีคที่สุดของแม่งก็คือ ปรับเครื่องจักรแบบจงใจทำให้เครื่องจักรทำงานไม่ได้เสร็จแล้วก็มาแก้เองเอาหน้านาย นายกูก็เสือกโง่คิดว่ามันเก่งทั้งๆที่ถ้ามันปรับเองมันก็ต้องรู้ใช่ไหมวะว่าควรจะแก้ยังไง แต่หลังจากนั้นมันปรับหนักเกินไปและช่วยเหี้ยไรไม่ได้ จนสุดท้ายมันลาออกไปเอง
>>694 ช่างนี่ตัวดีเลยนะ ถ้าในฝ่ายมีช่างดีๆก็ดีไป แต่ที่กูเจออยู่แม่งเรียกว่ามาแต่วิญญานอ่ะกายหยาบหายหัวไปไหนไม่รู้ ทั้งสัปดาห์กูเจอหน้าอยู่แค่2วัน
จนกูเอะใจว่ามาทำงานด้วยรึวะ? ใบลาก็ไม่เขียน จนเดินตามหาไปซุกหัวนอนในห้องเย็นทั้งวัน แต่กูก็ทำไรไม่ได้เพราะตำแหน่งและอายุงานกูด้อยกว่า
ได้แต่ ไอ กระแฮ่มเบาๆไป
>>693 ชิบหายละมึง แล้วตอนบัญชีตรวจทำไงวะ ของค้างเป็นปีไม่หมดอายุหรอวะ ถ้าเป็นกูคงเอาเรื่องจี้ไปทาง QA ให้พวกแม่งดิ้นกันแล้วก็โยนมา
ทางหัวหน้ากูต่อจะแก้ยังไงจะโดนด่าก็จะได้จบๆกันไป
กูจบมาเพื่อรับเงินเดือน9000หรอวะ กูแบบเห้ยยยฝึกงานกูก็มีน หรือเป็นเรื่องปกติของนายจ้าง กูควรทำต่อป้ะ
>>696 9000 นี่งานไรวะ มึงเรียนจบไรมา กุจบมาที่แรกทำต่างจังหวัดก็ 16000 แล้วนะ ถ้าไม่สบายใจก็ออกแต่ถ้าไม่ได้มีรายจ่ายอะไรก็ลองเอาปสก.สักผ่านโปรหรือสักปีก็ยังดี
อันนี้กุขอถาม คือกุสนใจงานด้าน business development ที่เป็นแนวพบปะลูกค้าเก่าๆ หาช่องทางพัฒนาธุรกิจในประเทศอื่นๆ เสาะหาจุดพร่องของระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โคกับแผนกอื่นๆ ที่มีปัญหา แต่ทำไมเวลากุหางานด้วยคำว่าพัฒนาธุรกิจานมันออกไปทางเซลส์เมเนเจอร์ทั้งนั้นเลยวะ หรือกุเข้าใจไรผิดไป
>>697 เพราะว่า sales manager บางที่ก็ต้องทำสิ่งที่มึงว่ามาด้วยอะนะ บริษัทแต่ละที่ตำแหน่งเดียวกันก็ทำงานไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับขนาดบริษัทด้วย ยิ่งบ.ใหญ่เท่าไหร่สโคปงานมึงจะยิ่งแคบเพราะทำ1-2งาน word load ก็ท่วมหัวแล้ว แต่ถ้าบ.เล็กๆงานมึงจะจับฉ่ายเพราะ work load ต่อ 1 หัวข้องานมันน้อยกว่า ถ้ามึงจะทำ business development ตามที่มึงว่ามาอย่างเดียว ไม่ทำงาน sales มึงต่อหาแต่บ.ที่ใหญ่มากพอที่จะมีตำแหน่งนั้นเพียวๆ ไม่งั้นก็ต้องมาทำ sales ทำหน้าที่อื่นด้วย พ่วงงานนั้นด้วย
>>697 การจัดการว่ะ แล้วที่ในเมืองกูก็เริ่ม9000ทั้งนั้น จิปาถะจุกจิกเว่อวังมาก ขายก็ต้องทำำ ติดต่อธุรก็ต้องทำำ ประสานงานบลาๆๆๆ ทำงานเตลิดเวลาโอทีไม่มี ข้อมูลต้องเป๊ะเพราะทุกคำที่พูดคือหน้าตาของบอริษัท กูว่าจะทำจนผ่านโปรพอ กูรู้สึกว่าไม่สันทัดเรื่องติดต่อคนตลอดเวลาจริงๆกุยอม
เออว่าจะหาสมัครงานใหม่ถ้าเขาเรียกสัมฯกุจะขอลายังไงวะ
*ไม่ถึง60บาทต่อชั่วโมง
อยากอยู่ในกรอบบ อยากไปเป็นซาลารี่มังที่ญี่ปุ่นโว้ยยยยยย เมื่อไหร่กูจะย้ายตัวเองไปได้ซะทีว้าาาาาาาาาาาา
จบโปรๆ*
โว้ยยย ทำงาน 8โมงเลิกทุ่มนึงโอทีไม่มี
เงินก็9000โว้ยยยย
กุคนเดิมเพิ่มเติมคือมาบ่นเฉยๆ= = กุเหนื่อยน่ะกุส่องงานใหม่อยู่ขอโทษออล
ทำงานมา3เดือนกูจะลาไปสอบราชการนี้ต้องลาด้วยเหตุผลอะไรถึงจะดีวะ
มัวแต่เป็นมนุษย์เงินเดือนแล้วเมื่อไหร่จะรวย มาฟังโอกาสทางธุรกิจกับเราสิ
กูขอถามเป็นความรู้นะอันนี้จริงจังขอโม่งที่เคยผ่านการสอนงานเด็กใหม่ ส่วนมากพวกมึงจะสอนน้องแบบไหน อย่างแรกซอฟๆนุ่มนวลค่อยเป็นค่อยไปอย่างที่สองดุดันโวยวายให้มันสะดุ้งกลัวไปเลย
แล้วบอกด้วยว่าแต่ละอย่างจะได้ผลยังไงบ้าง
>>716 ขอตอบในฐานะเป็นเด็กใหม่ ถ้ามึงสอนแบบรุนแรง มีตะคอก เด็กจะไม่รับอะไรจากมึงเลย เพราะแม่งกลัวมึง คิดว่ามึงไม่อยากสอน และไม่เชื่อว่าที่มึงสอนจะใช้ได้เพราะคิดว่ามึงเกลียดเค้า
แต่ถ้ามึงสอนดีๆ ค่อยพูดค่อยจา สอนด้วยเหตุผลทีนี้มึงพูดอะไรเด็กก็ตั้งใจเรียน รับหมดไม่ว่าดีหรือเลว
>>716 กูเป็นหัวหน้างานนะ ที่ผ่านมากูสอนด้วยการพูดดีๆมาตลอด มัน work กับคนที่พร้อมจะรับว่ะ
กูเคยมีลูกน้องกูตัวนึงแม่งถือตัวว่าตัวเองเก่งแม่งไม่ฟังอะไรจากกูเลยกูพูดอะไรก็ไม่เชื่อ ผลคือเรื่องง่ายเป็นเรื่องยากครับ จนกระทั่งไอ้เหี้ยนี่ลาออกไปงานเลยง่ายสุดๆ กับพวกเหี้ยนี่ไม่ต้องคิดไรมาก กาหัวทิ้งอย่างเดียว
อีกแบบนึง คือพวกหัวทึบ อธิบายเหี้ยไรแม่งจะไม่เข้าใจเลยเว้ยต้องให้มันเรียนรู้ด้วยการทำให้งานเสียหายก่อน ถ้าไม่แสดงตัวอย่างให้มันดูแม่งจะไม่มีทางเข้าใจ พวกนี้มึงด่าไปก็เปลืองน้ำลายเพราะแม่งจะไม่มีทางเข้าใจว่ามันทำผิดอะไร ถถถถถถถถถ
ส่วนการสอนแบบโวยวายกูไม่เคยทำว่ะ ไม่ใช่แนว ถ้าลูกน้องกูกากเกินทนกูจะกาหัวทิ้งอย่างเดียว
ถ้าบริษัทจ้างมึงมาเพื่อแก้ปัญหา แต่สุดท้ายด้วยเพราะความอ่อนประสบการณ์หรืออะไรซักอย่าง มึงพบว่าปัญหานั้นมันแก้ไม่ได้ในเวลาที่กำหนดด้วยการติดหลายปัจจัยจากหลายฝ่าย มึงไม่สามารถหาวิธีการตามที่เค้าต้องการได้เป๊ะ นั่นแปลว่ามึงหากเองรึเปล่าวะ ในเมื่อเค้าจ้างมุงมาแก้ปัญหาอ่ะ คือกูประสบเรื่องนี้อยู่แล้วแบบ บางทีก็รูสึกว่า เออ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะทำให้ดีกว่านี้ได้แหละ หรือโม่งว่าไงวะ
>>720 อย่าโทษตัวเองให้มากนักเลย คนเรามันขาดประสบการณ์กันได้ และนั่นไม่ได้แปลว่ากาก
แค่คิดว่าตัวเองขาดประสบการณ์แล้วพร้อมที่จะปรับปรุงในครั้งหน้าๆนั่นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามึงไม่ได้กากแล้ว คนที่กากก็คือคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด และยืนยันจะอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ปรับปรุงอะไรตัวเองเลยต่างหาก
แน่นอนว่ามันต้องมีคนที่ทำได้ดีกว่าเราอยู่ ถ้าคนอื่นมาทำเขาอาจจะทำได้ดีกว่ามึงได้ก็จริง แต่ตอนนี้คนที่จะทำหน้าที่นี้คือมึงคนเดียว ก็ทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
อีกไม่เกิน2ปีพ่อกูก็เกษียณอายุแล้วว่ะ กับกูที่เพิ่งเริ่มทำงานได้2ปีถ้วน(ย้ายงานมา1ครั้ง)รู้สึกว่าทำไมมันไวจังเลยวะ กูต้องกลายเป็นหัวหลักแบกภาระ
ครอบครัวต่อในขณะที่กูยังทำตามความฝันตัวเองไม่หมดเลย อยากต่อโทก็อยาก อยากจะGap year ไปเรียนภาษาที่สามปีนึงก็ยังไม่ได้ทำ
ความฝันที่อยากจะทำงานอิสระอยู่บ้านไวๆ (เพราะมีสกิลทั้ง ป.โท , ภาษาที่3 , ประสบกรณ์ทำงานพอสมควร) คงห่างไกลออกไปเรื่อยๆอีกแล้วว่ะ
เห้อ ทำไมรู้สึกเศร้ากับตัวเองชิบหายเลยวะ เหมือนโตมาแล้วต้องรีบทำตามหน้าที่มาตลอด ไม่เคยได้มีเวลาแวะพักให้ความฝันตัวเองเลย
>>722 ก็ถ้าเหลืออีก2ปี ก็เอาเวลา1ใน2ปีนั้นไปหาเรื่องเรียนต่างประเทศเลยดูเป็นไง
ไม่รู้หรอกว่าอยากจะไปประเทศอะไรเรียนภาษาอะไร แต่เชื่อว่าทำงานมามา2ปีก็น่าจะพอมีทุน+ไปเรียนภาษาและหางานพิเศษเพิ่มในตัวก็อาจจะพออยู่ได้นะ
เกิดมาทั้งทีแต่สุดท้ายไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำซักครั้งมันก็น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าที่บ้านเคร่งเรื่องพวกอยากให้สร้างตัวเร็วๆขนาดไหน แต่ถ้าที่บ้านรับฟังได้พอสมควรก็ลองคุยกันดูเป็นไง? เพราะสุดท้ายนี่ก็ชีวิตของตัวเอง งานน่ะจะกลับมาทำหลังจากนี้อีกซักปีก็ยังไม่สาย แต่จะไปหาเรื่องเรียนต่างประเทศ ถ้าไม่ใช่ตอนอายุยังไม่มากจะยิ่งไม่สบายใจที่จะทำนะ
เออเว้ย
ท้อใจชิบหายเลยว่ะ บริษัทกูปล่อยลูกน้องกูรีไทร์ออกไปแต่ไม่หาคนใหม่มาแทน เลยทำให้กูต้องควบดำแหน่งดูแลงานทั้งในส่วนของกูและงานของ
ลูกน้องกูอีกที ซึ่งเป็นงานที่กูก็ยอมรับว่าไม่ค่อยได้ลงไปเรียนรู้อะไรมากนักเพราะที่ผ่านมามันเป็นงานรูทีนอยู่แล้ว พวกแนวๆจัดสรรเวลาให้พนักงานทำ
งานต่างๆอีกที ที่ผ่านมากูคอยดูเนื้องานโดยภาพรวมและออกคำสั่งไปให้ลูกน้องกูอีกที พอทีนี้กูต้องลงมาดูแลเองทั้งหมดมันทำให้คุณภาพงานกูดรอป
ลงไปว่ะ เหมือนกูต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่มีใครมาสอนให้ และกูโดนหัวหน้าซ่อมทุกวันเลยไม่รู้ว่าเป็นความหวังดีรึเปล่า แต่มันทำให้
กูรู้สึกเหนื่อยและท้อใจเอามาก เหนื่อยจากการจัดสรรงานรูทีนตัวเองแล้ว ต้องแบ่งสมองมาเรียนรู้งานใหม่บวกกับจัดสรรงานออกมาให้ดีที่สุด ณ ทันที
แรกๆกูก็คิดว่า เออเว้ย ลองผิดลองถูกกันไปเดี๋ยวก็เข้าที่เอง กูก็พยายามทำแต็มที่เลย แต่ก็โดนหัวหน้าเรียกคุยทุกวัน ซ่อมทุกวัน แกอาจจะแค่หวังดีบอกว่าจุดไหนกูยังด้อย ตรงไหนที่กูพลาด และก็เป็นยังงี้มาร่วมเดือนละ บางทีกูอาจทำงานไม่ดีเอง หรือบางทีเป็นที่ระบบมันโหลดงานที่กูมากไปป่าว
กูเครียดที่พี่สอนงาน แกสอนโหดไม่ได้โหดเนื้องานโหดตอนสอนจนสมองแม่งไม่รับอะไรจนเหมือนคนโง่เลยว่ะ พอถามอีกก็ฉุนเฉียวพอทำผิดก็ฉุนเฉียวกว่าเดิมอีกเฮ้อออออ
กูรู้สึกไม่ชอบความรู้สึกเหยียดผู้หญิงในที่ทำงานของกูเลย แต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปเถียงเค้า
เพราะรับโปรแกรมเมอร์ผู้หญิงมากี่คนๆก็ทำงานห่วยทุกคนจริงๆ
ถึงโดยธรรมชาติผู้หญิงจะสนใจเรื่องเทคโนโลยีน้อยกว่าผู้ชายกูว่ามันก็ไม่ใช่ข้ออ้างว่าเค้าจะทำงานไม่ดีนะ
งานก่อนของกูก็มีผู้หญิงที่ไม่ได้สนใจด้านนี้อยู่ในทีมเยอะ แต่ทำงานออกมาดีกันได้
เหมือนซวยรับคนที่ไม่ตั้งใจทำงานแล้วก็ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบเข้ามามากกว่า
My salary growth is hopeless. No passion for the company when I’m full of debt. You want me to work exceed expectations but not support me enough. I feel being taken advantage. I’m finding a new opportunity.
เวลาไปสัมภาษณ์งานแล้วเขาถามว่าทำไมถึงอยากเปลี่ยนงานควรตอบยังไงให้ดูดีและจบถามต่อไม่ได้ดีวะ
ของกูในบริษัทแม่งทะเลาะกันหนักมาก ลุกมาชี้หน้าด่ากันก็มี หัวหน้ากู(เพิ่งเข้ามา)ก็จะบีบเพื่อนกูออก แล้วก็ทะเลาะกับคนนู้นคนนี้ดะไปหมด วันดีคืนดีปรี้ดแตกก็ด่าลูกค้ากูๆเมิงๆทำงานโง่ๆ
ก่อนนี้ไปที่นึง เขาถามตอนแรกกูก็บอกว่าปัญหาภายในค่อนข้างเยอะ เพราะตัวบริษํทแบ่งเป็นส่วนเล็กๆเลยมีปัญหากันบ่อย แต่พอโดนล้วงลึกๆกูก็บอกความจริงไป กูเป็นคนติดพูดขำๆ จังหวะที่พูดมันออกทีเล่นทีจริงคุยสนุกๆแต่มาคิดๆแล้วแม่งไม่ดีเลยเหมือนเอามาแฉ
มีอันไหนสวยๆอีกไหม มองความมั่นคง มองหาโอกาส สวัสดิการดีกว่า ไอ้ที่ตอบไปแล้วจะไม่โดนล้วงเยอะๆ กูกลัวกูหลุดอีก
กูสงสัยว่ะในนี้มีใครทำงานรัฐ ราชการ หรือเอกชนก็ได้เเต่เวลาว่างเยอะไหมวะ กูเพิ่งทำงานเเต่งานเเม่งว่างมากๆ ว่างจนเซงเล่นsocialก็ไม่ได้ มือถือก็ไม่อยากหยิบกูก็เเบบกลัวคนมองไม่ดี พวกมึงทำอะไรกันวะเวลาว่างๆไม่มีงาน ถ้าหยิบหนังสือตำราเรียนมาอ่านก็พอได้ เเล้วถ้าเป็นหนังสือภาษาหรือที่ไม่เกี่ยวกับองค์กรมันจะดูน่าเกลียดไปไหมวะ หรือทำอะไรดีที่ฆ่าเวลาได้
อยากหยิบหนังสือTOEIC หนังสือภาษาญี่ปุ่น มาอ่านเตรียมสอบเพิ่มเเต่ก็กลัวคนมองว่าไอนี่ว่าง หนังสือพวกเเนวคิดการลงทุนต่างๆก็อยากอ่านเเต่ก็กลัวว่าว่าง
>>733 สวัสดิการ-เงินเดือนดีกว่านี่อย่าพูด ถ้าในคนสัมมี HR อยู่ด้วยเค้าจะสวนกลับมาว่างี้ถ้าหาที่ใหม่ได้ก็จะลาออกใช่มั้ยคะ
ที่จริงแค่มึงบอกว่ามีปัญหา คร่าวๆว่าเป็นปัญหาแนวไหน คนสัมก็ควรจบได้แล้ว HR ที่ดีจะไม่ลงลึกกว่านั้น ยิ่งถ้าคนที่ไม่ยอมจบซักไซ้จนต้องลงดีเทลเป็นหัวหน้างานนี่มึงควรพิจารณาบริษัทอื่นแล้วว่ะ
มีใครเคยหรือกำลังทำงานเสริมตอบแบบสอบถามมั้ยวะ พวก surveycompare อะไรงี๊ อยากรู้ว่ามันได้เงินจริงมั้ย แล้วโดนเอาข้อมูลส่วนตัวไปขายหรือเปล่า
งานกูดีนะ เพื่อนร่วมงานก็ดี แต่ปัญหาคือกูแม่งไม่เก่งว่ะ หัวช้า คิดไม่หลุดกรอบแล้วมันทำให้ดุด้อยที่สุดในทีม กูก็พยายามแล้วพยายามอีก ขยันกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัวแต่ก็สู้ใครไม่ได้ซะที เหนื่อยโว้ย ทำไมกูพยายามไปก็ไม่เก่งอย่างที่หวังวะ กูอยู่ผิดที่ผิดทางหรอวะหรือกูมันไม่มีอะไรดีจริงๆ
>>735 ที่เขาซักไซ้เพราะที่บริษัทนั้นก็มีปัญหาทำนองเดียวกันหรือเปล่า เลยซักเชิงลึกว่าสิ่งที่ candidate รับไม่ได้คืออะไร ถ้ามันตรงกับสิ่งที่บริษัทเป็นจะได้ไม่ต้องรับเข้ามาให้เสียเวลาทั้งสองฝ่าย เพราะถึงรับเข้ามาก็คงอยู่ไม่ได้อีกเหมือนเดิม บริษัททุกที่มีข้อดีข้อเสีย ไม่มีที่ไหนดีไปหมดหรอก แต่มันอยู่ที่ว่าคนคนนั้นโฟกัสกับอะไร รับได้/ไม่ได้กับอะไร แต่จะไปบอก candidate ว่า อ๋อ บริษัทเราการเมืองแรงมากค่ะ มันก็บอกไม่ได้ไง มันเลยต้องตะล่อมถามเอานี่แหละ อย่างกูนะ ไม่สนใจเลย ใครจะดราม่าการเมืองห่าเหวอะไร กูเจอมาเยอะและกูลอยตัวจากปัญหาพวกนี้ไปนานแล้ว กูจะโฟกัสที่ค่าตอบแทน/เนื้องาน/career path แต่ถ้าเป็นเด็กๆ หน่อยจะชอบแบบขอสังคมดีๆ เพื่อนดีๆ รุ่นพี่ใจดีไม่ดุคอยสอนงาน สนุกสนานเฮฮา เงินกับความก้าวหน้าไม่ค่อยแคร์มาก ยกเว้นเด็กทะเยอทะยานก็จะอีกแบบนึงไรเงี้ย
>>720 ถ้ามันติดปัจจัยอื่นๆที่มึงคุมไม่ได้ก็ควรจะให้หัวหน้ามึงไปจัดการให้
อย่างน้อยถ้าเค้าช่วยแก้ไม่ได้ เค้าก็จะได้รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดมึงนะ
หรือบางทีเวลาบอกหัวหน้าว่างานจะเรียบร้อยเมื่อไหร่ก็ลองเผื่อเวลาไว้เพิ่ม เผื่อเจอเหตุไม่คาดฝันจะได้แก้ทัน
ถ้ารู้ตัวว่าอะไรจะไม่ทัน deadline ที่เคยตกลงกันก็ควรบอกแต่เนิ่นๆ อย่าไปบอกตอนใกล้ๆ
>>725 โดนโยนงานที่ไม่ใช่งานเดิมของตัวเองใส่แล้วงานเดิมก็ยังต้องทำกูว่าจะเอาคุณภาพงานดีๆด้วยมันก็ยากนะ
ถ้าหัวหน้ามีเหตุผลพอก็ลองบอกเค้าตรงๆว่ามันโหลดเกิน ให้หาคนมาแทนคนที่ออกไปด้วย
แต่ถ้าเค้ากะจะเนียนยัดให้มึงทำทั้งสองงานไปพร้อมๆกันก็ซวยไป
>>726 กูเคยมีหัวหน้างานที่เป็นพวกชอบเหวี่ยงวีนอยู่ ซึ่งต้องทำงานกับคนแบบนี้โคตรเสียสุขภาพจิต
โดยเฉพาะยิ่งเป็นหัวหน้าเรายิ่งบ่นไม่ได้ พอมีโอกาสกูได้ย้ายทีมเปลี่ยนหัวหน้าก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ
>>732 กับที่เก่ากูก็เคยรู้สึกแบบนี้ ตอนนี้ออกมาเป็น outsource แล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะ เงินบวกจากที่เก่ามาเยอะมาก
ถึงสวัสดิการจะแย่ลงแต่คิดเป็นเงินแล้วกูว่าคุ้ม แถมโชคดีได้อยู่ทีมที่งานไม่หนักด้วย
ไม่ต้องมาคอยฟัง HR ตอแหลว่าบริษัทนี้ดูแลพนักงานดี ทำธุรกิจแบบมีจริยธรรมนะ
แต่เงินเดือนได้ขึ้นค่อนข้างน้อย บริษัทก็อ้างว่าชาร์จเงินจากลูกค้าได้แค่นี้ ถึงจุดนึงถ้ารู้สึกว่าไม่คุ้มกูก็คงไป
เออมึงคิดยังไงกับพนักงานทำงานถวายหัวให้องค์กรวะ แบบนี้ก็ไม่ได้ๆเดี๋ยวบริษัทโดนมองไม่ได้ ต้องปง ต้องเป๊ะ ต้องทำงานเกินเวลา ต้องทำเยอะกว่าหน้าที่ แต่ผลตอบแทนคือมันไม่ใช่อ่ะ กูโดนพนักงานเก่าฝังหัวแบบรักองค์กร ซึ่งในความคิดกูนะมีแต่คำว่าเพื่อออออออออ
พวกมึงว่าเป็นยังไง เป็นแนวคิดที่ถูกต้องมั้ย แล้วมันดีหรือเปล่า
>>744 ตาม >>745 คนที่มาคอยบอกให้มึงทำงานหนักๆๆๆๆๆ เพื่อ บ. น่ะคือคนที่ได้หาประโยชน์จากมึง คือถ้ามึงหัวอ่อนยอมทำตามมึงก็จะได้เศษๆผลประโยชน์ที่เค้าจะแบ่งให้มึง เช่น ประเมินผลงานมึงดี โบนัสมึงเยอะกว่าชาวบ้านครึ่งเดือนไรงี้
ส่วนคนที่ได้ผลประโยชน์เต็มๆคือคนที่งานมึง เวลาผู้ใหญ่เรียกหาเค้าไม่เรียกมึง เค้าเรียกคนที่ใช้มึง
30 กว่าๆ ไปเรียนโทยังคุ้มมั้ยวะ
>>746 บางที่ให้ผลตอบแทนน้อยเพราะมันมีปัญญาจ่ายแค่นั้น งานไม่ได้ยากมาก qualification ไม่สูง รับใครมาทำก็ได้ มันเลยไม่ง้อ มันเป็นเรื่องของอำนาจการต่อรอง เมื่อไหร่มึงมีอำนาจในการต่อรองมาก มีคุณสมบัติที่ใครๆ ก็ต้องการ มึงก็ไม่ต้องง้องาน มีแต่งานวิ่งเข้ามาง้อมึง แต่บางคนไม่ได้อยู่ในสถานะนั้น ก็ต้องง้องาน อดทนกันไป เพราะทางเลือกมีไม่มากนัก
แต่เรื่องให้พนักงานทำงานแบบแรงงานทาสให้รักองค์กรแบบไร้สาระทำงานหนักจนแทบจะตายคาโต๊ะทำงานนี่ไม่ต้องไปสนใจหรอก ส่วนมากจะเจอแบบนี้กับเจ้าของหรือเจ้านายเห่ยๆ กากๆ โลกแคบ
>>744 กูมีเพื่อนแบบนี้นะ แต่คนนี้คือคนดีจริงเขาทำด้วยใจรักเอง ทำเงียบๆคนเดียวไม่ได้เอามาโอ้อวดอะไร
มันก็ผลดีกับเขานะ คนที่คิดแบบนี้จะอยู่ได้ยาวเพราะรักองค์กร หัวหน้าก็รัก สำหรับบริษัทที่คนไม่เยอะถ้าอยู่ในระดับที่เขามองเห็นเขาก็รักสนับสนุน ถึงไม่ก้าวหน้าก็มีคนปกป้องล่ะ(คนนี้ก้าวหน้าด้วย ประเมินดีตลอด) ถึงตอนสุดท้ายแม่งจะลาออกไปแต่งงานแต่ก็ถูกเอามาเป็นบรรทัดฐานบ่อยๆ ไม่สาย ไม่ลา ไม่ขาด ไม่บ่น พักร้อนเหลือ โอทีบางทีแม่งก็โอฟรี แม่งบอกทำช้าเองเลยไม่อยากเขียน /ขี่ยูนิคอร์นวิ่งในทุ่งลาเวนเดอร์
เรื่องผลตอบแทนกูไม่รู้ อยู่ที่หัวหน้าล้วนๆเลยว่ามีอำนาจไหม มีใจอยากช่วยตรงนี้ไหม เขาชอบแต่ไม่มีอำนาจ/ไม่ช่วยก็ไม่มีประโยชน์ หัวหน้าบางคนมันไม่ยุ่งเรื่องเงิน ให้เป็นหน้าที่ hr เงินเพิ่มตามปี
>>754 กูไม่ถึงขั้นเพื่อนมึงนะ กูไม่ใช่คนดีอะไร แต่กูทำงานหนักและถือว่าค่อนข้างทุ่มเทเพราะกูแค่ไม่อยากมาเดือดร้อนทีหลัง งานของกู ถ้ากูทำเหี้ยๆ ส่งๆ ไป สุดท้ายคนที่ต้องมานั่งตามแก้ปัญหาก็คือกูเองอยู่ดี กูเลยตั้งใจทำให้มันดีแต่แรกดีกว่า ส่วนเรื่องโอที กูจะเขียนโอเมื่องานมันโหลดจนทำให้กูต้องอยู่โอที แต่ถ้ากูอยู่โอเพราะกูหัวไม่แล่นเอง นั่งคิดว่าจะทำไงกับงานชิ้นนี้ดี อันนี้กูก็ไม่เขียนว่ะ เพราะกูก็คิดว่าที่ต้องอยู่โอเพราะตัวกูคิดช้าเอง ไม่ใช่เพราะ work load เขียนไปก็ละอายใจ ไม่ต่างอะไรกับพวกที่กลางวันเดินเม้ามอยทั้งวันเพื่อจะอยู่เขียนโอตอนเย็น โดนน้องที่ทำงานด่าคำเดียวกันเลย ลาเวนเดอร์ 55555 แต่หัวหน้าไม่ได้รักกูหรอกนะ เพราะกูนิสัยเหี้ย ปากเสีย ชอบเถียง ดื้อสุดๆ ถึงเขาไม่ชอบขี้หน้ากูแต่เขาก็เห็นแหละว่ากูทำงานหนัก ก็เลยยังประเมินกูออกมาดี เพราะถ้าประเมินออกมาไม่ดีกูไปนานแล้ว จริงๆ ก็ว่าจะไปตั้งแต่โบนัสรอบนี้ออกแล้ว พอประเมินออกมาดี โบนัสเยอะ เงินเดือนขึ้นเยอะ เลยทำให้ลังเลไปอีก (สงสัยหัวหน้าจะรู้ว่ากูคิดอะไรอยู่ ถถถ)
พี่โม่งมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายการเมืองในออฟฟิศคืออะไรครับ เเล้วเด็กใหม่เพิ่งหัดทำงานควรจะต้องทำตัวยังไง หรือนานๆไปจะอยู่ยังไง
เพิ่งเคยได้ยินคำนี้
>>756 การเมืองในออฟฟิศก็คือดราม่างานกลุ่มตอนเรียนเวอร์ชั่นอัพเกรด จริงจังขึ้น ใส่ไฟหนักขึ้น เครียดขึ้น เพราะไม่ใช่แค่การใช้ชีวิตในสังคมนั้นแล้ว แต่มันจะส่งผลไปถึงอนาคตทางการงานด้วย
แต่ที่ยังเหมือนดราม่างานกลุ่มคือใครไม่สนก็ยังไม่ต้องสน ลอยตัวแล้วทำตัวเองให้ดีก็ชิลๆได้เหมือนเดิม
>>756 การเมืองในออฟฟิศคือการที่ในโปรเจ็ค/แผนก/บริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มขึ้นไปตั้งแง่ใส่กัน ไม่ให้ความร่วมมือกัน ใส่ไฟ แทงหลัง เลื่อยขาเก้าอี้ ชิงดีชิงเด่น
เสกลเล็กสุด คือในทีมหรือโปรเจ็ค วิธีทำตัวมี 2 แบบ
1. วางตัวเป็นกลาง คุยกะทุกฝ่าย วิธีนี้เจ็บน้อยสุด แต่ก็จะโดนผลกระทบจากทั้ง 2 ฝั่ง บ้างถูกปฎิบัติเหมือนอยู่อีกฝั่งนึง เวลาประเมินจะไม่มีคะแนนลูกรักเพราะไม่ได้อยู่ข้างไหน
2. เลือกข้าง ดูว่าข้างไหนใหญ่กว่า (ในสเกลโปรเจ็ค การเมืองมักเกิดจาก lead ไม่ลงรอยกะระดับ senior) มีผลกะตัวเองมากกว่า ในกรณีนี้คือ lead เพราะเป็นคนประเมินผลงาน
เสกลที่ไหญ่กว่าก็คล้ายๆกันแต่จะเปลี่ยนฝ่ายที่ไม่ลงรอยกัน เช่น เมเนเจอร์กับรองเมเนเจอร์ หรือ รองเมเนเจอร์กับซีเนียร์ โดยส่วนมากเราจะถูกบีบให้เลือกฝ่าย เพราะถ้าไม่เลือกเราจะถูกโยนไปเป็นอีกฝ่ายทันที มีผลกับการขึ้นเงินเดือนและตำแหน่ง
จนมีคำกล่าวที่ว่า "ถ้ามึงไม่เล่นเกม เกมก็จะเล่นมึง"
เเล้วประมาณว่า ถ้าผมเข้าไปเเล้วหัวหน้าไม่ชอบขี้หน้าเพราะไอนี่มันเก่งกว่า,เงินเดือนเยอะกว่าอะไรเเบบนี้ ด่าสารพัดอะไรเเบบนี้ เเกล้งบลาๆ
ถือว่าเป็นการเมืองไหมครับ หรือไม่ใช่
>>754 อันนี้คือหัวหน้าดีแล้วเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำมันก็ดีไปไง
เหี้ยสุดที่กูเคยโดนคือโดนบังคับให้ทำงานที่ไม่ตรงตำแหน่ง แต่ก็พยายามมั่วกันจนงานเสร็จ
ช่วงนั้นนี่คือกลับดึกกันทุกวันไม่ได้โอทีอยู่ 4 เดือน คนสั่งก็เรื่องมากชิบหาย คืองานก็เร่ง แต่จะเอาเนี้ยบด้วย
ทำออกมาเสร็จโดนประเมินออกมาแย่อีก แล้วหัวหน้าก็อ้างว่านี่ไม่ได้บังคับนะ อยากทำกันเอง
ที่ว่านี่คือโดนด้วยกันทั้งทีมนะ ไม่ใช่กูโดนอยู่คนเดียว
คืองานหนักแล้วบริษัทแฟร์จ่ายโอที หรือประเมินออกมาให้เยอะชดเชยมันก็เรื่องนึง แต่เจอแบบนี้คือบายจ้า
ในมู้ซาลารีแมนมีโม่งวัยกลางคนที่ยังสับสนกับชีวิตอยู่มะ กู30+ละ ตอนนี้สิ่งที่ต้องการมีแค่งานที่คิดว่าสามารถทำได้โดยไม่ต้องเครียดจนเกินไป อยู่ได้ยันเกษียณ รายได้โอเค แต่กูยังหางานที่ว่าไม่เจอเลย งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้เงินดี สวัสดิการดี มั่นคง แต่งานหนักมากและเครียดมาก รู้สึกเหมือนเส้นสมองจะแตกในทุกๆ วัน เวลาเห็นกระทู้คนบ่นว่างในเวลางาน ทำไรดี กูนี่แบบ โหยย แม่งทำงานห่าอะไรกันวะ เงินเดือนเท่าไหร่ ทำไมสบายเหลือเกิน ในขณะที่งานกูโหลดทั้งในแง่ของ quantity และ quality แต่การหางานใหม่มันก็คือความเสี่ยง มันไม่เหมือนตอนเด็กแล้วอะที่ยังมีเวลามีโอกาสให้เสี่ยงมากมาย พออายุมาก หางานก็เริ่มยาก จะเปลี่ยนสายงานไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ดีกับโปรไฟล์ แล้วกูยังไม่รู้เลยว่ากูอยากทำอะไร เปลี่ยนมา 3 สายงานแล้ว บางโมเมนท์ก็คิดว่าจะทนอยู่กับงานปัจจุบันไป บางโมเมนท์ก็คิดว่าไม่ไหวแล้วว้อยยย สับสนในทุกๆ วัน ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่เปิดเว็บหางาน เหมือนคนบ้าอะ เฮ้อ
จริงจังไปทำไม ไม่ได้มีชีวิตอมตะซะหน่อย
>>766 ปัญหาคือไม่รู้จะไปทำอะไรนี่แหละ แต่ที่แน่ๆ ไม่อยากทำงานสายเดิมแล้ว ที่เปิดเว็บหางานทุกวันเพราะหวังว่าจะเห็นประกาศรับสมัครงานที่อ่านแล้ว เฮ้ย อันนี้น่าไปทำว่ะ แต่จนวันนี้ก็ยังไม่เจอ ก็เลยอดทนทำงานเดิมไปอย่างน้อยก็ค่าตอบแทนดี บ.ดี แต่มันเครียด ท้อ และหลายครั้งก็หดหู่ คิดว่าคงอยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิตไม่ไหว แต่ยิ่งปล่อยให้เวลาล่วงเลยก็ยิ่งแก่ยิ่งไหวตัวยาก
อายุ30นี่คือน่าจะเป็นหัวหน้าเเล้วใช่ปะพี่โม่ง งานกดดันเครียดขึ้นเรื่อยๆมันน่าจะปกตินะ
มีญาติคนนึง เห็นเคยเล่นประมาณเเบบเนี้ยเเหละเห็นบ่นว่าเริ่มงานโหดๆเลยเครียดเเบบชิบหาย เเต่เก่งสามารถพอทำได้ เป็นงานพวกเเนวดีไซน์วิศวกรรม เเล้วเลิกดึกๆเกือบทุกวัน เพราะงานมันทำไม่ทัน มันเยอะเเถมต้องไปดีลกับพวกผู้รับเหมาอะไรด้วย
เงินเดือนเยอะก็จริงอายุเเค่เริ่มงานได้รวมOT ไปไม่ต่ำกว่า 40k 50kเเล้ว เเต่ทำไม่ไหวทนจนสุดท้ายประมาณอายุ30เอาเงินตรงนั้นมาเปิดร้านอาหารตัวเองเพื่อหนีความเครียด งานออฟฟิศในชีวิต อยากเป็นนายตัวเอง เเต่ก็เห็นว่ามันก็เครียดอยู่ดีเพราะมันก็ต้องดีลกับคนบ้างเเต่ไม่เครียดกับงาน
ถ้างานไม่ถูกใจลองหาช่องทางที่อยากเป็นนายตัวเองก็ดีนะ อาจจะไม่เครียด
มีอีกก็งานราชการคนใกล้ตัวเล่ามาว่างานสบาย เรื่อยๆ อยู่ยาวๆ เป็นงานเลี้ยงคน เเต่การเมืองหนักเเบบโคตรๆ ซึ่งผมก็เพิ่งเคยได้ยินคำว่าการเมืองเนี่ยเเหละเลยลองเอามาถามข้างบน 5555 ไม่รู้จริงไหม ถ้ามีใครทำงานราชการลองเล่าให้ฟังหน่อยก็ดีครับ
>>768 การเมืองเอกชนก็มี บางคนพอบอร์ดผู้บริหารเปลี่ยนทีเดือดร้อนเลย ขั้วการเมืองเปลี่ยนโดนย้ายไม่ก็โดนบีบต่างๆ นานา ยิ่งสูงยิ่งหนาว แต่ถ้าเป็นเด็กจบใหม่ส่วนมากการเมืองก็ไม่ได้มีผลขนาดนั้นหรอก ก็ทำงานตามหน้าที่ของเราไปและอย่าไปเลือกข้างชัดเจนมาก เนียนตามน้ำๆ ไป ยังไงเราก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมีอำนาจทำอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ระดับสูงแล้วจะเนียนยากแล้วล่ะ เพราะพอมีอำนาจตัดสินใจ บางทีการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ มันก็เกี่ยวพันกับการเลือกข้าง
การเมืองเอกชนก็เห็นกันเป็นเรื่องปกติ หัวหน้าระดับสูงออกที ลูกน้อง 7-8 คนออกตามเป็นพรวนย้ายไปอยู่ที่ใหม่ตาม หัวหน้าบางคนก็ไปที่อื่น
เรื่องการมึงข้อดีคือมึงไปงัดกับใครก็จะมีคนคอยปกป้องมึง แต่ข้อเสียก็ตามข้างบน
ไหนๆก็พูดถึงการเมืองในออฟฟิซแล้ว ขอรีรันเล่าประสบการณ์ที่กูอยู่เฉยๆก็โดนหน่อยละกัน
>>>/lifestyle/3353/346/
ถ้ามึงเป็นHR หรือเป็นหัวหน้าสัมภาษณ์งานหรือเจ้าของบ. มีเด็กที่เก่งภาษาอังกฤษมาก ได้ภาษาที่3ด้วย เเต่ความรู้สายที่เรียนมาไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก เกรดห่วย พื้นฐานอะไรเเบบนี้อ่อนเเอมาก ถึงดูมีเเววที่จะพัฒนาหรือสอนได้เเต่อาจจะหัวช้าโง่ เทียบกับเด็กที่มีความรู้ในสายที่เรียนในระดับนึง ถามอะไรพื้นฐานตอบได้ ลึกๆก็ตอบได้บ้างในสิ่งที่เรียนมา เเต่ภาษาไม่ได้เลย เเล้วบ.เป็นบ.ต่างชาติที่จะต้องการติดต่อสื่อสารประชุม
จะพิจารณารับใครเข้าทำงาน โดยที่ทั้งคู่อยากจะมาทำในสายงานที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียนจบมา
โดนโยนงานทุกอย่างมาจนอยากเทแม่งให้หมด เพราะเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากตื่นมาทำงานแล้ววะ ไม่ได้หลับต่อหรืออะไรนะ กูตื่นเต็มตาเลยละ แต่ได้แต่นอนลืมตาเอาแขนก่ายหน้าผากว่าไม่อยากมาทำงานเลย เฮ้ออออออออ งานใหม่ก็หายากจริงๆ
>>774 เด็กจบใหม่ใช่ไหม เป็นกูกูเลือกคนแรก งานมันสอนกันได้ ภาษาสอนไม่ได้
อันนี้เล่าเคสเพื่อนกูให้ฟัง มันเข้างานที่ใหม่ คนที่เข้าพร้อมมันได้ภาษา จบโทนอก โปรไฟล์ดี แต่ทำงานไม่เป็น
ตัวเพื่อนกูทำงานมาทุกสาย(job hopper)ที่ละนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้ภาษาเลย
สุดท้ายแล้วไอ้สองคนนี้มันจะตีกันเอง ไอ้คนที่สองมันจะน้อยเนื้อต่ำใจคนแรกว่าแม่งโปรไฟล์ดีกว่า แต่มันโง่กว่ากูแน่นอน(แต่เขาได้ภาษานะ) งานมันก็เรียนช้ากว่า แต่มันได้เงินเยอะกว่ากูแน่ๆเพราะมันจบโท โลกแม่งไม่ยุติธรรม น้อยอกน้อยใจๆๆ แซะๆเหวี่ยงๆ
สุดท้ายแล้วถ้ามีคนลาออกไอ้คนที่สองจะลาออกเพราะความน้อยใจ ไอ้คนแรกจะลาออกเพราะทำงานไม่เป็น/โดนไอ้คนแรกบีบ
เคสเพื่อนกูจบที่เพื่อนกูออกก่อน แล้วโทไปไซโคคนที่สองให้ออกไปหาที่ๆดีกว่า แล้วโทไปไซโคหัวหน้าว่าไอ้คนแรกทำงานกากมันทนเป็นเดอะแบกไม่ไหวขอออก
>>774 ระยะยาว คนแรกแน่นอนวะ งานมันสอนกันได้ ยิ่งถ้าไม่ใช่วิชาเฉพาะทางใช้เวลาเรียนรู้สักพักก็เป็นแล้ว หาพี่เลี้ยงนิสัยดีๆไม่หวงความรู้สักคน คอยเทรน รอสัก 2-3 ปีกลายเป็นทรัพยากรที่ดีในบริษัทแน่ ยิ่งได้ภาษาออกหน้าคุยกับบริษัทคู่ค้าได้อีก ยิ่งถ้าคนได้ภาษามันไม่ได้โง่แน่ ภาษามันก็ต้องใช้สมองเหมือนกันนะมึงไม่ใช่ไปนั่งเรียนโง่ๆแล้วออกมาพูด อ่าน เขียนได้เลย
ระยะสั้น งานที่ล้นไม่มาก ไม่ไหวจะเคลีย จับไอคนที่สองมาก่อนเลยพื้นฐานงานแน่นอยู่แล้ว แปบๆ จับนั่งทำงานแบ่งภาระได้ แต่ก็ให้ทำงานที่ไม่ต้องออกหน้าใช้ภาษาเยอะ นานเข้า ทักษะภาษาไม่พัฒนาก็จับแช่มันไว้ตรงนั้นละเดี๋ยวก็ลาออกไปเอง
กูทำงานจจะครบเดือนแล้ว เรียนรู้งานได้ในระดับนึง แต่มันมีส่วนที่กูทำไม่ได้เลยคือติดต่อเสนอขายกับลูกค้าไม่ว่าต่อหน้าหรือโทรศัพท์กูเคยผ่านงานแต่หน้าคอม ทำพวกอาร์ตได้ พอมาเจอแบบนี้กูโดนพี่สอนงานเอดประจำำ กุคุยเสนอขายไม่รอดเลยกุท้อมากตอนนี้ เครียดด้วยว่ะ กูควรไปหางานใหม่ที่เหมาะกับกูดีไหมที่ไม่ต้องประสานกับลูกค้า ประสานแค่คนในบริษัทพอ
ถามงานไม่ตอบงานน่าถีบชิบหาย
ถ้าปีนี้ได้เลื่อนตำแหน่งกูคงอดทนทำงานเก็บเงินอยู่แบบประหยัดกดตังค์มาแค่พอกินข้าวแต่ละวันกับค่าเหล้าไม่เกินอาทิตย์ละ500 แล้วพอครบปี
น่าจะมีเงินซักก้อนนึงถือไว้อยู่บวกโบนัสเผื่อฉุกเฉิน กูจะเอาเงินก้อนนั้นๆเปลี่ยนเป็นโอกาสที่จะส่งตัวเองไปเรียนต่างประเทศว่ะ เบื้องต้นเอาแค่เรียนภาษา
ก็พอ แล้วดูไปซัก 6 เดือนค่อยหาลู่ทางเรียนวิชาชีพในประเทศนั้นๆต่อ หรือ ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ทนเก็บภาษาให้มากสุด สอบใบเซอร์ต่างๆไว้เยอะๆ
จนครบ 1 ปีค่อยกลับมาทำงานที่ไทยต่อ แต่ทางที่ดีกูอยากไปเรียนแล้วหางานทำต่อยาวๆไปเลย รู้สึกอยากเฟดตัวออกจากประเทศไทยแล้วว่ะ
มันเหมือนมองไม่เห็นอนาคตไรเลย ตั้งแต่เกิดจนโตมาเป็นวันทำงาน สิ่งที่รู้สึกว่าเจริญขึ้นก็มีแต่ห้างกับรถไฟฟ้าเอกชนเท่านั้นอ่ะ ถ้าอยู่ต่อไป
มีลูกมีหลานกูว่าประเทศนี้ไม่เวิร์คเลยสัส สู้ไปทำงานหนักๆที่ประเทศอื่น เลือกๆเอาที่สวัสดิการดีๆ ทำงานจ่ายภาษีไปเรื่อยๆเดี๋ยวเค้าก็ให้สัญชาติเอง
พร้อมกับมีลูกที่เกิดมาสัญชาตินั้นๆโดยเกิดมาในสังคมที่ดี สวัสดิการที่ดี กูก็ยอมเหนื่อยนะ เเม้จะเหนื่อยต่อจากนี้ไปอีก 10 - 20 ปีก็ตาม
>>783 คนเทพภาษาแล้วโดนใส่ไฟว่าไม่รู้เรื่องงานก็กูนี่แหละ กูเคยโดนลูกน้องไปฟ้องนายว่ากูไม่รู้เรื่องงาน นายกูเสือกเชื่อด้วยโว้ยบอกว่ากูต้องฟังมัน สุดท้ายกูออกแม่งเลยถ้ามึงโง่พอจะโอ๋คนจบ ปวช ความประพฤติแบบ3วันดี4วันไข้ก็เรื่องของมึง ... ผลสุดท้าย เขาขอให้กูอยู่ต่อ ส่วนไอ้ลูกน้องกูออกว่ะ พอมันออกไปงานกูง่ายชิบหาย ทุกวันงานโครตราบรื่น จนกูอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกากกันแน่วะ แล้วนายกูเคยไปให้ค่าไอ้นี่ไปได้ยังไง
ปล. กูคือโม่งตัวเดียวกับไอ้ตัวนี้นะ >>694 สิ่งที่กูเห็นคือแม่งพยายามเอาหน้า ทำตัวเหมือนกับรู้เรื่องทั้งๆที่ไม่เข้าใจเหี้ยอะไรเลย ถ้าต้องอยู่กับพวกแบบนี้กับนายโง่ๆกูออกทันทีแบบไม่ลังเลเลยเพราะยังไงกูก็หางานใหม่ได้ว่ะ
>>773 ที่ฮาคือตอนนี้กู follow @noppadon_dmc อยู่นะเมิงง ถถถ ไปบวชธรรมกายจะดีเหรอ #อาตมามิจําเป็นต้องสนหีสนแตดใดๆ
>>775 โหดมากอะเมิง นี่กูต้องลดเงินเดือนเหลือ 10% ของเงินเดือนปัจจุบันเหรอวะเนี่ย ถึงจะได้ทำงานสบายๆ กับเค้าบ้าง T^T
ปล กูเริ่มงาน 08.00 ตามปกติของงานออฟฟิศและเพิ่งเลิกงานกลับถึงบ้านเมื่อกี้นี่แหละ เฮัออออ วันศุกร์ของรีมังอย่างกู แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เป็นวันศุกร์ พรุ่งนี้นอนยาวได้
รู้สึกตัวเองไม่เหมาะสมกับงานเลยว่ะ แต่กูพึ่งมาทำประมาณสองสัปดาห์ หากแจ้งว่าต้องการออกนี่ออกได้เลยป่ะ ยังไม่ได้บรรจุหรือเซ็นต์อะไรกับบริษัทนะ
>>794 ลองคุยกับหัวหน้ายัง มีงานส่วนอื่นที่มูฟไปได้มั้ย ถ้ามึงมีความสามารถที่เหมาะกับงานส่วนอื่นๆ อยู่ กูว่าบริษัทน่าจะอยากเก็บไว้นะ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ติดต่อเอชอาร์เลย ไม่ได้เซ็นสัญญา เพิ่งทำงานไม่นานก็จริง แต่เวลาจะออกก็ควรแจ้งล่วงหน้าอยู่ดีนั่นแหละ อย่าหายไปเฉยๆ นะ เสียมารยาท ถ้าบริษัทเป็นเจ้าใหญ่ คอนเนคชันเยอะมึงก็อาจจะเสียชื่อด้วย
คำนิยาม "พวกไล่เด็กใหม่" ของพวกมึงเป็นยังไงบ้างลองอธิบายตามความเข้าใจให้ดูหน่อย
ตอนนี้ที่กูเจอคือ ในบริษัทกูจะมีแผนกนึงคนเข้าออกบ่อยมาก เพราะคนสอนงานหรือหัวหน้าแผนกนั้นดุเด็กใหม่แต่มันเก่งนะ คือไม่สอนงานเขาดีๆอ่ะสุดท้ายก็ต้องหาใหม่เรื่อยๆ กูเห็นแล้วกูสงสารนะถ้ากูไปเตือนจะถือว่าก้าวก่ายไหม
อันนี้กูยังเด็กนะยังเพิ่งทำงานพี่โม่งเงินเดือนได้เดือนละ16000อยู่ตอนนี้ เเต่mindset ฝันกูตั้งเเต่เด็กๆเลย อนาคตกูอยากจะทำงานได้เงินเดือนละ30000พอ เเต่ขออย่างเดียวคืองานไม่เครียดมาก บ้านมี รถมีเเล้ว ไม่คิดจะขวนขวายหาอะไรเพิ่มเติม(ไม่อยากมีครอบครัวด้วย)
เเต่คนรอบข้างตัวกูบอกกูประจำว่าเงินเดือน30000นี่ไม่พอใช้เเน่นอน ทำไมฝันต่ำจัง ฝันเเค่เนี้ยอะนะ กูก็งงทำไมวะ30000มันก็เยอะเเล้วสำหรับกู
เลยอยากลองมาปรึกษาเพื่อนโม่งในนี้บ้างว่ะว่าmindsetกูผิดไหมหรืออย่างน้อยควรหวังให้มากกว่านี้
เท่าที่กูคิดได้คือ 1.เงินเดือน30000ไปตลอดอนาคตเงินจะเฟ้อซึ่งอาจจะน้อยไป
2.เงินเก็บน้อยไปหน่อย ทำให้สำรองต่อเดือนได้น้อย
มีข้ออื่นไหมวะ คือตอนนี้กูสามารถหาเงินได้ประมาณ16000นั่นเเหละ เเล้วก็มีงานเสริมอีกส่วนตัวได้ 6พัน 7พัน ละกูเป็นพวกเเบบว่าติดบ้าน ไม่เที่ยวไม่เหี้ยไรทั้งนั้นทำงานเสร็จกลับบ้าน กลับบ้านก็หาวิธีถูกๆ นั่งรถเมล์ เดิน ก็ขี้เหนียวนั่นเเหละทำให้กูมีตังค์เก็บเยอะเดือนนึงเก็บได้เกือบสองหมื่นเลยต่อเดือน โชคดีคือที่ทำงานใกล้บ้าน ภาระพ่อเเม่ต้องส่งเงินไม่มี ตัวคนเดียวล้วนๆ
กูควรเปลี่ยนmindsetตัวเองไหมวะ หรือต้องระวังอะไรในอนาคตเพิ่ม เรื่องการหาเงิน ส่วนหนึ่งกูก็เป็นพวกรักสบายด้วยเเหละ มันเหมือนเเบบตอนนี้กูบรรลุความฝันกูเเล้วไม่ค่อยมีไฟขวนขวายหาตังค์เพิ่มเติมเลยว่ะ ทำงานก็ทำให้ดีตามที่ได้รับมอบหมายตำเเหน่งพอ ไม่ได้คิดจะลงทุนอะไรเพิ่มเติมเลย คือเหมือนมันไม่มีตัวกระตุ้นเลยว่ะ... โชคดีที่ภาระพ่อเเม่กูก็ไม่มีด้วย
>>798 ยิ่งอายุเยอะขึ้นเดี๋ยวมึงมีเรื่องให้ใช้เงินมากเองล่ะ ขั้นต่ำสุดคืออาหาร ตอนอายุน้อยกินง่ายๆ ไม่เป็นอะไรหรอก แต่พออายุเยอะ ต้องพะวงเรื่องนี้บ้าง ไม่งั้นป่วยเอาง่ายๆ
แล้วอีกเรื่องนึงอยากให้ละลึกไว้ ตอนมีแรงอายุน้อยจะทำอะไรก็ลุยไปเลยดีกว่า เดี๋ยวแก่ไปทำไม่ไหว ตอนนั้นมึงจะพูดว่า รู้งี้ๆ แล้วก็แก่ตายไป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
เพื่อนโม่งคับ คือกูกำลังจะได้ทดลองฝึกงานโปรโมชั่น 6 เดือน ใน กทมในอีกไม่กี่เดือน(มหาลัยบังคับ) กูเลยอยากรู้ประสบการณ์ฝึกงานครั้งแรกของพวกพี่ๆว่าเจออะไรบ้างอ่ะคับ
ไม่พอนี่คือไม่พอเรื่องไรบ้างพี่โม่ง คือมีเเฟน หรือมีเเผนลงทุน หรือว่ามีลูกเลยต้องใช้เงินเยอะอะไรเเบบนี้
>>804 สำหรับกู แค่การแต่งตัวก็หมดเยอะละนะ ถ้าที่ทำงานชิลๆ ไม่ต้องไปเจอคนนอกก็โอเค แต่ถ้างานมึงต้องเจอผู้คนเมื่อไหร่ เรื่องเสื้อผ้าจำเป็นมากจริงๆ นะ แต่งตัวดูดี เสื้อผ้าหน้าผมโอเค เฟิร์สอิมเพรสชั่นก็ดีแล้ว นอกนั้นก็พวกค่าใช้จ่ายจิปาถะว่ะ ค่าน้ำมัน ซ่อมรถ กินข้าว สังสรรค์ตามโอกาสเงี้ย
จริงๆ กูไม่ได้มองว่า mindset มึงผิดหรือไม่ดีนะ สไตล์ความชอบแต่ละคนต่างกันว่ะ ไม่ต้องมีเป้าหมายยิ่งใหญ่อะไรก็ได้ถ้ามึงรู้สึกว่าโอเคกับชีวิตแล้ว เก็บได้เดือนละเป็นหมื่นแม่งก็เยอะแล้ว กูว่ามึงไม่ทำชีวิตตัวเองพังเพราะเรื่องเงินแน่ๆ ล่ะ ทำเท่าที่สบายใจดีที่สุด ถ้าสุดท้ายมันจะไม่พอ เดี๋ยวมึงจะรู้ตัวแล้วปรับตัวได้เองแหละ
ตอนนี้กูทำงาน จันทร์-เสาร์ ที่ใหม่ที่กูไปสมัครไว้เค้าให้ทดลองงาน3วันแต่จ่ายค่าแรงนะ คือกูควรทำยังไงดีนะหว่างลุยไปที่ใหม่เลย หรืออยู่ที่เก่าก่อนแต่ที่เก่ากูไม่มีกะจิตกะใจทำแล้วว่ะ
>>810 ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ คิดตลอดเลยแหละ คิดสับสนหลายอย่างจนเหมือนคนบ้าอย่างที่บอก แม้ในด้านการทำงานเราจะทำงานได้เก่งซักแค่ไหน แต่ในด้านชีวิตและความคิดบางทีดีไม่ดีจะง่อยกว่าสมัยจบใหม่ด้วยซ้ำ สมัยจบใหม่ๆ ยังเด็กมันเหมือนไม่มีอะไรจะเสียไง กล้าตัดสินใจ อยากทำอะไรก็ทำ ลองเสี่ยง ผิดถูกก็ถือซะว่าเป็นประสบการณ์ แต่พอมาอยู่จุดนี้แล้วกลับเต็มไปด้วยความกลัว กลัวตัดสินใจผิด เต็มไปด้วยการถูกคาดหวัง พออายุเท่านี้ก็ไม่มีใครยอมให้เราลองผิดลองถูกแล้วล่ะ เข้าไปทำงานที่ไหนเค้าก็คาดหวังแล้วว่ามันต้องทำงานเป็นเลยพร้อมใช้ จะเปลี่ยนสายงานมันเลยเป็นเรื่องยากละ แต่ถ้าทำสายเดิมก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง จึงไม่มีเหตุผลจะให้เปลี่ยนงานเลยเพราะบ.เดิมก็ดี มันไม่ดีตรงเนื้องานนี่แหละ ตอนนี้คิดทางออกได้ทางเดียวคือหางานที่คล้ายๆ สายงานเดิมแต่ไม่ใช่งานเดิม แบบพอเอาความรู้+ประสบการณ์เดิมไปกล้อมแกล้มใช้ได้บ้าง ลดตำแหน่งลดเงินเดือนลงมา แต่ถ้าจะเบนแบบฉีกสายไปเลยคงไม่มีใครรับแน่นอน
สวัสดีเพื่อนโม่ง เพิ่งโพสต์ครั้งแรก ผิดพลาดยังไงขอโทษล่วงหน้า
คืองี้นะ กูเคยทำงานก่อนหน้างานปัจจุบันมาแล้วสองที่ ที่แรกเกือบสามปี ที่ๆสองเกือบสองปี นี่เป็นที่ที่สามทำมาได้สองอาทิตย์ละ
ทีนี้กูรู้สึกว่า งานแม่งแบบเยอะมาก เยอะเกินไป คนที่ทำก่อนหน้ากูคือทำมาสิบเดือน ตอนนี้มันกำลังจะย้ายไปทำแผนกอื่น มันก็บอกกูแบบตรงๆแหละ ว่ามันก็ทำงานไม่ทันแล้วโดนด่ามาตลอด ตำแหน่งที่กูมาทำนี้ไม่เคยมีใครอยู่ทนเพราะงานเยอะ ทีแรกกูก็เฉยๆนะ กูก็มั่นใจตัวเองในระดับนึงเหมือนกันว่ากูน่ะไว แต่กูลองละ เออแบบแม่งเยอะจริง ขนาดทำโอยังเสร็จไม่อยากทันเลย คืองานเสร็จไปหนึ่ง แล้วมีเข้ามาใหม่สาม ทุกงานแม่งด่วนหมด มีแต่ต้องทำให้เสร็จทั้งนั้น แล้วที่กูไม่โอเคเลยคือ แม่งบังคับทำโอ คือจะไม่ทำก็ได้นะ แต่ถ้าเลือกจะไม่ทำแล้ว หัวหน้าก็จะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ โอล่วงเวลาวันทำงานกูโอเคนะ แต่โอวันหยุดก็ไม่โอเค กูอยากอยู่บ้าน มีเวลาทำงานเสริมที่กูรักบ้าง
แล้วกูเพิ่งเข้าไปใหม่ ทั้งหัวหน้างาน ทั้งอีคนสอนงานกูแม่งอัดๆๆ สอนๆๆกูมาอย่างเยอะ คืออยากให้กูเป็นงานเร็ว ละงานแม่งก็เยอะ ก็ต้องขนกลับมาทำที่บ้านทั้งที่กูก็ทำโอแล้ว กูแม่งโคตรเหนื่อย ละงานก่อนหน้าสองที่ที่กูผ่านมา แรกเริ่มก็หนักแบบนี้นะ กูชอบเจองานที่หนักแต่แรกตลอด แต่มันไม่หนักขนาดทำกูท้องี้อ่ะ ใจกูอยากออกนะ ลองชั่งน้ำหนักดีเสียแล้วแม่งเสือกเท่ากันอีก
ข้อดีคือ เงินเดือนพอโอเคสำหรับกูเพราะใกล้บ้าน เพื่อนร่วมงาน+หัวหน้า(ตอนนี้ยัง)ดีกับกู คือถ้ากูไม่โดนบังคับทำโอ เวลาเลิกห้าโมงเย็นกูจะถึงบ้านเร็วพอสมควร ซึ่งกูโอเค เพราะกูจะกลับมาทำงานเสริมกู (แต่ประเด็นคือตั้งแต่ทำงานมากูเพิ่งได้เลิกห้าโมงแค่วันเดียวไง บังคับทำโอตลอด และมีแนวโน้มว่าจะบังคับทำไปยันหมดเดือนหน้า)
ข้อเสีย ก็นั่นแหละ บังคับโอ กับงานเยอะเกินไปนะ ซึ่งกูก็คิดนะว่า ส่วนหนึ่งเพราะกูเพิ่งเข้าได้สองอาทิตย์ อาจยังจับต้นชนปลายไรไม่ถูก เลยช้าไปหมด บวกกับโดนอัดงานเยอะ
เอาจริงๆกูไม่ใช่คนปอดนะแต่กูไม่เคยรู้สึกงี้เลย กูเหนื่อยมาก เหมือนไม่เห็นฝั่งเลย เสาร์อาทิตย์ ไลน์งานก็เข้าตลอด
กูก็เลยอยากปรึกษาว่า กูควรให้เวลาทดลองงานกับที่นี่เท่าไหร่ แล้วควรถอย คือกูหมายถึงว่าจากประสบการณ์เพื่อนโม่งหลายๆคน ที่่มาถึงเจองานถาโถมเข้าใส่ ใช้เวลานานไหมกว่าจะเข้าที่อ่ะ
ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้า นี่กูนั่งเครียดอยู่เนี่ย พรุ่งนี้ทำงานอีกละ เฮ้อออ
กูว่า call มันเป็นงานที่โดนด่าก็จริง แต่มันงานที่ส่งต่ออะ คนแก้ปัญาจริงๆมันไม่ใช่ call center อยู่แต่เป็นพวกที่อยู่เบื้องหลัง คนจะเป็น call center ได้มึงต้องสตรองไม่เอาเรื่องคนอื่นมาเครียด เพราะไม่ใช่น่าที่มึงต้องไปเครียดกับมัน
ส่วนล่ามไม่รู้ แต่กูว่าถ้าเข้าสังคมเป็น หมั่นพัฒนาสกิลภาษาของตัวเอง มันก็ไม่น่าจะมีไรมั้ง
พอเข้าสู้วัยทำงานกูเพิ่งรู้สึกว่าการทำความสะอาดห้องนี่เป็นภาระอันหนึ่งเลยนะเนี่ย
สมัยเรียนเวลาว่างเยอะ ห้องรกก็พอหาเวลาทำความสะอาดได้
แต่พอวัยทำงาน ตื่นเช้าไปทำงาน เลิกงานดึกๆดื่นๆ กว่าจะกลับห้องก็มืดค่ำ
แถมเหนื่อยจนไม่อยากทำอย่างอื่นนอกจากพักผ่อน เวลาทำความสะอาดห้องก็ไม่ค่อยมี
กูเริ่มคิดจ้างแม่บ้านแล้วว่ะ ไม่งั้นก็ต้องปรับตัวเป็นพวก Minimalist
>>816 ตรงข้ามกับกูเลย สมัยเรียนคือชีวิตวุ่นวายมาก เลิกเรียนก็ต้องปั่นการบ้าน ทำโปรเจค อ่านหนังสือ กิจกรรมคณะ
อะไรไม่รู้อยะแยะเวียนๆกันไป แทบไม่เคยว่าง
ทำงานนี่เลิกงานก็คือออกจากออฟฟิซมาแล้วจบ โอฟรีหรือว่าปกินข้าวเย็นกับคนในออฟฟิซก็แค่นานๆที
ปัญหาคือขี้เกียจมากกว่า
>>815 ไม่เอาเรื่องคนอื่นมาเครียดเนี่ย พูดง่ายทำยากนะ คอลเซ็นเตอร์พูดง่ายๆ คือเครื่องรองรับอารมณ์อะมึง คนโทรมา มึงไม่ใช่คนแก้ปัญหาก็จริง แต่มึงคือคนแรกที่โดนด่า ถ้าส่งต่อแล้วแก้ได้ โอเคจบ ถ้าแก้ไม่ได้แล้วมีโทรมาซ้ำ มึงก็โดนก่อนใครเลย ไม่ใช่ทุกคนที่โทรหาคอลเซ็นเตอน์แล้วจะพูดดีๆ โดยเฉพาะคนที่กำลังเจอปัญหาแล้วต้องการการแก้ไขด่วน
ส่วนล่าม มึงต้องฟังภาษานึง แล้วพูดออกไปอีกภาษานึง ยิ่งถ้าเป็นล่ามแบบที่ต้องแปลทันทีก็คือต้องแปลสิ่งที่เพิ่งฟัง แล้วก็ฟังสิ่งที่จะพูดใหม่ในเวลาเดียวกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเข้าสังคมเลย มันคือ multi skill ฟัง-พูด แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในขณะที่มึงก็ต้องอัพเดทศัพท์แล้วก็เรียนรู้วัฒนธรรมกับลักษณะนิสัยของคนที่มึงจะไปเป็นล่ามให้ในเวลาเดียวกัน ถ้ามันทำได้ง่ายๆ งานล่ามแม่งไม่ได้เงินครั้งละหลายพันจนถึงหลักหมื่นหรอกนะ
>>816 เหมือนกู ห้องโคตรเละ สภาพห้องตอนนี้คือที่พื้นมุมนึงมีถุงๆๆๆกล่องๆๆๆกองรวมๆกัน ซื้อเสื้อใหม่มา กลับบ้านวางแหมะไว้ ของขวัญวันเกิด ของขวัญปีใหม่2017-2018 กระทั่งของขวัญลาออก(2015)กูก็ยังอยู่ในถุง
มีครั้งนึงเพื่อนให้ของมา กูก็รับๆไว้ มานึกได้อีกทีแกะอีเหี้ยเป็นขนม ราขึ้นหมดอายุไปแล้ว
ไอ้ของพวกเนี้ยสำหรับกูแม่งขยะไง เสื้อผ้ากูซื้อมาเองกูยังมีแรงใจรื้อ นอกนั้นเหมือนรับๆมา กองๆไว้รอวันส่งต่อ ภาพลักษณ์กูภายนอกแม่งดูเป็นผู้หญิงรักสัตว์ด้วยเลยชอบได้พวกตุ้กตาไรงี้มา แต่ความจริงกูไม่ชอบของพวกนี้เลย
จะบอกว่าไม่มีเวลามันก็ไม่เชิงนะ คือเราไม่ให้ความสำคัญกับมันเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า ของกูหลักๆคือนอน ถึงบ้านวางแหมะไว้ เปลี่ยนเสื้อแดกข้าว นอน
ปัญหาใหญ่สุดกูคือเสื้อผ้า อีเหี้ยมี 4 ตู้ ใช้จริงแค่ตู้เดียว นอกนั้นคือไม่ใส่แล้วแต่ไม่ได้โละออก
เคยเจอหัวหน้าอคติกับมึงมะ ขอวิธีแก้ปัญหาหน่อยกูปวดหัวว่ะหาแต่เรื่องงี่เง่าด่ากู
ชาวโม่งวัยทำงานแบ่งเวลาชีวิตกันยังไงอะ แบบตื่นนอน กินข้าวเช้า ทำงาน เเล้วยังมีเวลาทำงานอดิเรกหรือหางานเสริมได้ ขอความรู้เป็นวิทยาทาน
>>824 สำหรับกูแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้ถ้ามีกรอบชัดเจนนะ งานอดิเรกกูตอนนี้คือออกกำลังกาย ต้องจองคลาสที่ฟิกซ์เวลาแล้วไปตามเวลา แล้วก็เล่นในเวลาที่กำหนด ซึ่งมันทำให้กูบังคับตัวเองไปได้วันละ2-3ชม ถ้าไม่มีกรอบไว้ ต้องเล่นเองไม่เข้าคลาส ยิมปิดกูเองก็นอนตื่นสาย เขี่ยมือถือเล่นไปวันๆว่ะ อีกอย่างคืออย่าเล่นมือถือเยอะ เวลาเสียเปล่ามาก เอาไปทำอย่างอื่นได้เยอะเลย
โดนคนของ บ.ลูกค้า พูดจา sexual harassment ใส่ รับมือยังไงดี
ทำยังไงให้เลิกติดมือถือวะ ทุกวันนี้กูมีแพลนอยากทำนู่นนี่นั่นเต็มเลย แต่มาตายที่เอาเวลาไปเขี่ยมือถือซะหมด
พยายามวางตารางเวลาแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ โคตรเฟลกะตัวเอง
ของกูชีวิตยืดหยุ่นนะ จะนอนกี่โมงอะไรยังไงก็ได้ เเต่อย่างการออกกำลังกายต้องฟิกไว้ว่าวันนี้จะวิ่ง1ชั่วโมง เช้าหรือเย็นก็ได้ เหนื่อยเเค่ไหนก็ห้ามขาด ต่อให้เลิกงานดึกสมมุติเลิกถึงบ้านเที่ยงคืน เเล้วมันเป็นตารางการออกเเต่วันนี้ยังไม่ได้ไปวิ่ง อย่างน้อยกูก็ต้องออกไปเดินรอบหมู่บ้านซัก1ชั่วโมงห้ามผลัด อดทนเเละทำให้มันเป็นนิสัย อย่าผลัดวันประกันพรุ่งเด็ดขาดกูตั้งไว้งี้เลย พยายามอย่าคิดว่าค่อยทำพรุ่งนี้
กูเคยมาละสมัยเรียนติดผลัดวันประกันพรุ่งเป็นประจำ วันนี้ไม่อ่านหนังสือค่อยอ่านพรุ่งนี้บลาๆ พอทำบ่อยๆเเม่งจะเริ่มติดเป็นนิสัยเเล้วเเม่งเเก้ยากกว่าจะกลับมาเป็นคนขยันเหมือนเดิม ต้องหักดิบ เเล้วเเม่งก็ไม่ได้ทำกันง่ายๆนะมันเป็นนิสัยอะ
ของกูตอนนี้พอได้ลงไปนอนกะเตียงแงะออกจากเตียงยากมาก อะไรที่คิดจะลงมือทำไม่ได้ลงมือซะที คงต้องตั้งกฎ+เขียนตารางชีวิตซักที
คือกูทำตัวขี้เกียจมานานด้วยแหละแก้ให้กลับไปมีไฟแม่งยากจริง
เออหมดไฟทำงานว่ะ จุดไงดีแม่งเป็นข้อเสียมาก
จากกูมุมมองคนขี้เกียจมาเป็นปีสมัยเรียน ปัจจุบันนี่ค่อนข้างขยัน(มั้ง) คืออยู่นิ่งไม่ค่อยได้ เล่นเน็ตก็ฟิกเวลาจำกัดอะไรเเบบนี้
ต้องค่อยเปลี่ยนว่ะ เพราะนิสัยเเม่งเเก้ยาก เหมือนเเบบเมื่อก่อนกูไม่กินกาเเฟงี้ พอพักนึงเริ่มหัดกินกาเเฟ3-4เวลาเดิมตอนเช้าเเม่งจะเริ่มเป็นนิสัยละ รู้สึกตัวอีกที สัส เเดกทุกวัน ไม่เเดกทำงานไม่ได้
30 กว่าๆ ควรมีเงินเก็บ เงินเดือนประมาณเท่าไหร ตอนเกษียณจะได้ไม่ลำบากวะ
ญาติกูแม่งข้าราชการหมดเลย กูเลยนอยด์ๆ
>>830 ลองดูทวีตของ @thematterco: https://twitter.com/thematterco/status/1087620885803163648?s=09
กราบเพื่อนโม่ง ซาลารี่แมน พวกมึงช่วยเล่าความเหี้ยของ บ. มึงให้กูฟังคนละเรื่องสองเรื่องได้ไหมวะ กูอยากรู้ว่า บ. กูระดับความเหี้ยมันอยู่ในเลเวลไหน ถือซะว่าพวกมึงมาระบายก็ได้ ถถถถถ
>>834 งานเยอะชิบหาย เชลชาวเกาะติสต์แตกขอแก้งานทั้งที่ลูกค้าไม่ขอ บ่อยมาก
ส่วนงานในประเทศชอบเจอลูกค้ายัดใส้แล้วเซลไม่รู้ นึกว่าขายงานแพงได้ หารู้ไม้กูทำกันอ้วก
*จนถึงตอนนี้กูก็ยังทำงานอยู่เลย พรุ่งนี้เข้างาน 8 โมงเช้าด้วยนะ จะนอน office ดีไหมเนี่ยกูกำลังชั่งใจอยู่
>>834 ความเหี้ยของบ.ปัจจุบันกู
1. 2 ปีที่แล้วปิดสาขาที่กรุงเทพ ย้ายคนออกตจว.หมด ไม่ยอมแจกซอง ให้แค่ชดเชยนิดหน่อยค่าย้ายออกตจว. บีบให้ลาออกเอง
2. ปีที่แล้วมีเคสไล่ออก (ไม่จ่ายซอง) ทุเรศๆ แทบจะเรียกว่ายัดข้อหาหลายราย จนคนพูดกันว่าบ.น่าจะถังแตก
3. ปีนี้เงินเดือนไม่ขึ้นทั้งบ.อ้างว่าเงินเดือนพนง.สูงกว่าในตลาดโดยรวม ประเมินไม่มีผล ทำดีทำแย่ได้เท่ากันหมด ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน (มึงบอกว่าไม่มีตังจริงๆก็ได้นะ นี่เหมือนอ้างข้างๆคูๆไปเรื่อย)
>>834 บ.กู ขาดทุนติดต่อกันหลายปีขอคืนภาษีรัวๆจนโดนตรวจ
สรรพากรบอกว่าต้นทุนบริษัทสูงมาก(ซื้อของจากบริษัทแม่มาผลิต) มาทำมาหากินประเทศเขา เงินลงทุนก็กู้มา สร้างขยะ สร้างมลพิษ ภาษีก็ไม่เสีย ประเทศไทยไม่โง่นะคะ โดนปรับย้อนหลังรัวๆ
แม่งคงซื้อแพงๆมาจากบริษัทแม่ ให้บริษัทแม่กำไรเยอะๆ ที่ไทยช่างมัน ภาษีขายก็ขอคืนรัวๆ ปัจจุบันบริษัทแม่กำลังผลิตไม่พอไปซื้อจากฝั่งยุโรปแม่งยังถูกกว่าซื้อกับบริษัทแม่อีก กูทำงานแทบตายอีเหี้ย
>>840 หางานไม่ได้น่ะ สายงานกูเจอพิษเศรษฐกิจโลกเต็มๆ
พวกกูรวมตัวไปปรึกษากรมแรงงานมาแล้วนะ ปรากฎว่าแม่งฟ้องไม่ได้อ่ะสัด
คือบ.มันอ้างว่าให้เงินชดเชยค่าย้ายไปตจว.แล้วเป็นไปตามกฎหมายน่ะ
มีอีกกรณีที่ฟ้องเรียกค่าชดเชยได้คือ มึงต้องไม่สะดวกไปจริงๆจังๆ แบบท้องอยู่ พ่อป่วยต้องดูแลบลาๆๆ ซึ่งต้องไปลุ้นตอนฟ้องกันอีกว่าจะชนะรึเปล่ามันไม่ 100%ว่ะ
แม่งถูกกฎหมายแต่ไม่มีธรรมาภิบาลประมาณนั้น
เป็นดีลเลอร์ตัวแทนจำหน่ายประจำจังหวัดขายยี่ห้อหนึ่ง
คนในจังหวัดไปซื้อสินค้าที่ว่า แต่เสือกไปซื้อที่จังหวัดอื่น
สินค้ามีปัญหาส่งมาซ่อมที่สาขากูแต่ ของน่าจะผิด QC แถมเคลมไม่ได้ช่างก็ซ่อมไป
แม่งมีการบังคับให้ช่างกูซ่อมให้หายจน 3-4ทุ่ม ทำฟรีไม่มีโอที แม่งจู้จี้จนช่างทนไม่ไหวหลุดคำสบถแล้วได้ยิน
โดนฟ้องสำนักใหญ่จี้ ให้ไล่ออก ลูกค้าก็ไม่ใช่เห้สัส
>>841 จะบอกว่าคนที่แกเคยปรึกษามันมั่วจะเชื่อไหม แต่ถ้าฟ้องต้องเดินเรื่องภายใน 30 วันที่แจ้ง เพราะมันมีมาตรา 120 กับ 118 คุ้มหัว
มาตรา 120 แค่นายจ้างย้ายที่ มึงไม่สะดวกก็ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม มาตรา 118 ไม่สืบทำซากอะไรด้วย ขอแค่ไม่สะดวกจบ
*ไม่ต้องลุ้นว่าฟ้องชนะ เพราะชนะแน่นอน ปรกติคดีพวกนี้ศาลเข้าข้างลูกจ้าง
หมดไฟจังโว้ยย
กู >>844 บ.เหี้ยนี่แม่งเหมือนจะพยายามไล่คนออกแบบไม่จ่ายชดเชยทุกวิถีทาง วันนี้ซีเนี่ยร์ที่กูสนิทด้วยเห็นกูเดินผ่านโต๊ะแม่งรีบคว้าตัวกูมาคุยว่า
ให้กูพยายามอย่าออกไปนอกออฟฟิศ (หมายถึงออกจากห้องทำงานไปนั่งแดกกาแฟ แดกขนมน่ะ) กูโดนเพ่งเล็งอยู่ เมเนเจอร์เอ่ยชื่อกูในที่ประชุม คือ...10 นาทีโว้ย ปกติกูเดินออกไปหาอะไรกินตอนบ่ายก็แค่ 10 นาทีโว้ย
ถ้ามึงเล่นแบบนี้นี่มึงจะเล่นใครก็ได้ป่าววะสัด ซักพักคงมีเข้าห้องน้ำนานไล่ออกอ่ะ...อ่อไม่ได้ซิห้องน้ำมันอยู่ในออฟฟิศไม่มีหลักฐานตี๊ดบัตรนี่นะ
ยิ่งมึงเล่นแบบนี้กูยิ่งไม่มีอารมณ์ทำงานอ่ะ เดี๋ยวกูจะกวนตีน นั่งเล่นเน็ต 2 ชม.ฟันโอให้กระจายเลยสัด
ถ้ากูได้งานกูก็ออกแล้วโว้ย อยากให้กูออกแน่จิงแจกซองมา
กรณีบ้านเรามันมีเรื่องลูกค้าไปทำเสียหายเองแต่อยากเคลมซ่อมฟรีก็เยอะ เลยแกล้งซ่อมที่อื่น
ถึงขั้นสั่งซ่อมนอกเวลางานก็มากไปป่ะ
กูขอถามโม่งทำงานที่เป็นลูกคนเดียวนะ เอาแบบมีประสบการณ์การทำงานไกลบ้านต้องนอนหอเนี้ย ความรู้สึกเป็นไง.... จะว่ากุเป็นลูกแหง่ก็ได้นะแต่เรื่องนี้ใหญ่สำหรับูมากกูเป็นคนติดบ้านอ่ะ
แต่ที่งานดีเงินดีมันอยู่ไกลกูควรตัดสินใจไปทำงานไกลหรือค่อยๆหาแถวบ้านเอาวะซึ่งตอนนี้กูว่างงานอ่ะ กูเครียดมากๆเลย
เหมือนกูเเหละ กูก็ติดบ้านโคตรๆเเต่อยู่บ้านกูก็ทำอะไรเองหมดนะ ซักผ้า ถูบ้าน เเต่ที่ชอบอยู่บ้านเพราะของไม่ต้องเเบก กว้างกว่าหอ เน็ตไม่ต้องกังวล เเต่ลองไปใช้ชีวิตดูก่อนมันไม่ยากหรอกว่ะ ตอนเเรกกูก็กล้าๆกลัวๆไม่อยากทำนอกกรุงเทพอยากทำใกล้บ้าน ที่กังวลตอนเเรกก็คือพวกค่าใช้จ่ายเนี่ยเเหละ ไปอยู่หอต้องเสียค่าหอ ค่าน้ำค่าไฟเพิ่ม ค่าเครื่องซักผ้า ไหนจะค่าเน็ตหออีกถ้าต้องติดเพิ่มเติม
>>855 ฝึกไว้มึง ขนาดกูอยู่หอตั้งแต่ม.ปลายยันจบปตรีทำงานไปสองสามปีแล้ว พอแม่ตายไปคน ยังแทบเอาตัวไม่รอดเลย เพิ่งจะมารู้ตัวว่าที่ผ่านมายังต้องพึ่งพาเป็นภาระแม่อยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ นอกจากเรื่องทางจิตใจแล้วที่เห็นเป็นรูปธรรมก็เรื่องเงินนี่แหละ มึงก็ต้องหัดพึ่งพาตัวเองไว้บ้าง
บ.กูมันแปลกๆว่ะ
วันนี้มีแจกถุงคลุมคอมบอกวันเสาร์จะฉีดยาฆ่าเชื้อทั้งออฟฟิศ???
อ้างว่าคนป่วยบ่อยเลยจะฉีดฆ่าเชื้อ
มันแปลกๆป่าววะ คือกูทำงานมา 10 ปีออฟฟิศไหนก็ไม่เคยเจอฉีดอ่ะ แล้วไม่ใช่ฉีดประจำปี คืออยู่ๆฉีด
เพราะอะไรวะ คือมีคนที่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางอากาศหรอยังไงวะ ถ้ายังงั้นมึงต้องให้พวกกูไปตรวจทุกคนป่ะ ฉีดยาฆ่าเชื้อ มันแก้ที่ปลายเหตุ
เบื่อพวก QA โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
มาสั่งๆๆๆๆๆๆๆๆแล้วก็สะบัดตูดหนี ไม่สน4สน8ว่าที่สั่งมาทำได้จริงเท่าไหน? ใช้งบเท่าไร? เสียเวลาทำเท่าไร? ตัวชี้วัดคืออะไร?
เหมือนเกิดมาเพื่อสั่งคนอื่นเค้าอย่างเดียวอ่ะ
ฉีดยาฆ่าเชื้อก็ดีแล้วนิ มันไล่พวกมดแมลงไปในตัวด้วยนะ
เชี่ยยยยยย ขอกรีดร้องหน่อย ปีที่แล้วเงินเดือนขึ้นมากระจึ๋งนึง กูก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าฐานภาษีคงอยู่เท่าเดิมเพราะเงินเดือนขึ้นน้อยมาก กูก็ซื้อลดหย่อนนิดหน่อยพอเป็นพิธีตามปกติ พอยื่นจริง เชี่ยยยยย มันขยับไปอีกฐาน เชี่ยยยย เชี่ยยยยย กูแม่งพลาดดด ตอนแรกก็งงว่าพลาดตรงไหนวะเพราะปกติเป็นคนเขี้ยวเรื่องเงินมาก กูมีรายได้ 2 ทาง ทุกเดือนจะต้องบันทึกลง excel ตลอด สร้างสูตรคำนวณเองเสร็จสรรพ เห็นความเคลือนไหวตลอดปี วางแผนอย่างดี ยื่นภาษีทุกปีแคลออกมาตรงเป๊ะกับในเว็บทุกปี แต่จริงๆ สูตรกูมันผิดนิดหน่อยตรงขั้นบันไดภาษีชั้นสูงๆ แต่ไม่รู้ตัวเพราะปีที่ผ่านๆ มาภาษีมันยังไม่เคยถึงขั้นนี้ พอปีนี้มันเกิน ร้องจ๊ากเลยกู T_T
>>855 กลับกันเลย กุเป็นลูกคนเดียวที่ไม่ชอบอยู่บ้าน กำลังพยายามหาทางทำให้ตัวเองอยากกลับบ้านอยู่ คือกุรักพ่อแม่นะ คุยได้ทุกเรื่อง แต่พออยู่บ้านเดียวกันมันจะมีอะไรไม่ถูกใจบ้างสักเรื่องสองเรื่องอ่ะ เช่น เสาอาทิดกูอยากจะนอนเปื่อยดูทีวีเล่นคอมเช้าจรดค่ำเฉยๆ เพราะระหว่างอาทิต์กูเครียดกับงานมากๆ แต่เขาจะมองว่ากูขี้เกียจ นั่งไม่ทำอะไรได้เป็นวันๆ กูอาจจะกินข้าวเช้าแล้วแช่จานไว้เช้าจรดเย็น ไปดูหนังสามเรื่อง แต่ในท้ายที่สุดของวันกูจะล้างของทุกคนก่อนกุอาบน้ำนอน แต่พอพ่อแม่เห็นจานกองตอนกลางวันจะแบบว่ากูเนี่ยไม่ขยับตีนทำอะไรเล้ย กุเลยเบื่อๆ พาลไม่อยากกลับ
>>867 กูลูกคนเดียวที่ไม่อยากกลับบ้านเหมือนกัน แต่ของกูเลยจุดที่ทำให้ตัวเองอยากกลับบ้านไปละ
ลูกคนเดียวพ่อแม่ก็เป็นห่วงแหละ แต่หลายเรื่องกูก็รู้สึกว่าเค้าเรื่องเยอะมันเกินจนกูทนไม่ได้
อยู่ด้วยแล้วพาลจะเป็นโรคประสาทเอา เคยเครียดจนต้องกินยานอนหลับไปช่วงนึงเลยด้วยซ้ำ
สุดท้ายพอแยกออกมาอยู่คนเดียวได้จริงๆมันก็เหนื่อยน่ะแหละ เพราะเค้าก็ช่วยอะไรกูเยอะ
แต่สุดท้ายเหนื่อยกายมันยังพอทน แต่เหนื่อยใจนี่มันอยู่ไม่ไหวจริงๆ
กูเป็นลูกคนเดียวที่เคยบ่นๆนะตอนนี้กูหาสมัครงาน ตจว.แล้วทีนี้คงรอเรียกสัม แต่กูสงสัยว่าถ้าเขาเรียกสัมฯแล้วไม่ได้งานพวกมึงจะรู้สึกยังไงอ่ะ กุอยากโดนสัมแล้วได้งานเลยไม่อยากไปเก้อเพราะเงินกูก็ไม่ได้มีมากอะไร
>>869 ก็รู้สึกเฟลนิดหน่อยแต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไปไง จะมามัวจมปลักกับความผิดหวังไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สัมหลายๆ ที่มันก็มีข้อดีตรงได้ประสบการณ์แล้วก็ทำให้หายตื่นเต้นไปเยอะ กูก็สัมตั้งหลายที่กว่าจะได้ที่ที่ตรงใจ บางที่เค้าไม่รับกูบ้าง บางทีเค้ารับกูแต่กูว่าไปสัมภาษณ์แล้วมันไม่ใช่บ้าง ก็เสียเงินไปเยอะพอสมควร แต่ก็พยายามประหยัดให้ได้มากที่สุด มันคือการลงทุนที่คุ้มค่าว้อย อย่าคิดแต่ว่าจะประหยัดเงินช่วงตระเวนหางาน สัมแล้วได้งานอะไรก็รีบเอาเลย ควรเลือกงานด้วย (เลือกตามคุณสมบัติตัวเองอะนะ อย่าหลงตัวเองและอย่าถ่อมตัวจนเกินไป) ถ้าได้งานดี ทุกอย่างมันจะตามมา ไม่ว่าเงิน โปรไฟล์ ประสบการณ์ ความรู้ เอาไปต่อยอดในอนาคตให้ก้าวหน้า
โม่ง พอดีไปสมัครงานขายของ ให้ค่าคอม 3% ของขายราคา 1750 -3999 แต่ไม่ให้เงินเดือน ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย
มึงว่าดุควรทำไหมวะ งานคล้ายๆ เทเลเซลวะ
>>872 อย่าทำเลยถ้าเลือกได้ ตีว่าของชิ้นละ 3000 3% แม่งก็แค่ 90 บาทปะวะ แม่งไม่ได้คุ้มห่าเหนื่อย ค่าแรง ค่ามารยาทที่เราต้องไปนอบน้อมใส่ลูกค้าเลย แนะนำว่าถ้าชอบงานขายลองไปดูเรื่องเป็น agent ขายบ้านขายคอนโดดีกว่า ตอนแรกๆ อาจยากหน่อย แต่ถ้าไปทำ บ. มันจะมีเทรน อยู่ไปสักเดือน 2 เดือน ก็จับหลักได้ ขายได้ ค่าคอมก็ดีกว่า ยิ่งถ้ามึงได้ภาษาอังกฤษยิ่งสบาย
พวกเซลนี่ทำไมดูแม่งทำงานสบายๆจังวะ รถบริษัทก็มี ค่าน้ำมันก็เบิกได้ มื้อเที่ยงแวะเข้าห้างแดกบอนชอน แดกสตาร์บัคตลอด
ข้อมูลงานนะ : คล้ายๆเทเลเซล ขายของผ่านเน็ต
รายละเอียด
1. เงินเดือนไม่มี
2. ค่าคอม3% จากยอดขาย ถ้าช่วงโปร ได้ 1% จากยอดขาย
3.การสนับสนุนการช่วยขาย ไม่มี you are on your own ยอดต้อง แสนนึงขึ้นไปถึงรับพิจารณา
4. การสนับสนุนในการปฏิบัติงาน มีแค่รับส่งสินค้าจากคลังให้
5. ทำงาน 10 โมงถึงเที่ยงคืน
6. ไม่มีค่าคอมแบบขั้นบันได แต่มีข้อตกลงในการหักค่าคอมถ้าจัดโปร
7. เป็นไปได้ที่อนาคตทำสำเร็จ จะมีการตั้งร้านของบริษัทมาขายแข่งกับพนักงานตัวเอง
8. ทำงานที่บ้านได้
เครียดกับงานว่ะ ทำไงก็ไม่ถุกใจเจ้านายจนไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหนแล้ว รู้สึกตันหมดแล้ว เหมือนตัวเองแม่งไม่เก่งเลยที่หาทางทำให้งานมันดีถูกใจเค้าไม่ได้ซะที กุเหนื่อยมาก กุต้องทำไงถึงจะเก่งกว่านี้ได้วะ
เซลอย่างต่ำนี่ต้องมีเงินประจำให้ด้วยป่ะแต่ไม่เยอะนะ กูเคยมีเพื่อนเซลล์(ติดตั้งอะไรบางอย่างขอไม่เอ่ยละกัน)รายวันๆละ200
เซลติดต่อลูกค้าแล้วโยนเคสให้ฝ่ายประสานงานโทรคอนเฟิร์มนัดวันติดตั้งกับลูกค้าเสร้จสรรพ
หากลูกค้าขอปฎิเสธหรือไม่ขอติดตั้งแล้วมันโดนตัดเงินเคสละ1, 000เลยนะ
(ถ้ากุพิมพ์งงต้องขออภัย เซลกดดันกว่าที่คิดนะเออ)
>>879 กูทำงานนี้มาครึ่งปีได้แล้วนะ ในแง่ผลงานกูว่ากูพัฒนามากขึ้นนะ แต่มันเหมือนจูนกับเจ้านายไม่ติดอ่ะ เหมือนไอ้ที่กูมองว่าดี เค้าว่าไม่ดี แต่หน้าที่กูคือต้องทำงานให้มันตรงตามความต้องการเค้าให้ได้ คนเก่งคือคนที่คุยปุ๊ปรู้ปั๊บว่าเค้าต้องการอะไร ทำออกมาแบบไหน แต่กุเหมือนจับทางความต้องการเจ้านายไม่ถูกอ่ะ แล้วกูก็ตันมากๆแล้ว ทั้งๆที่กูชอบงานนี้มากนะ
>>883 ไม่รู้ดิวะ ตอนนี้กุสับสนมาก ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเจ้านาย หรือเพราะกุต่างหากที่ไม่เก่งเองที่ไม่สามารถทำงานออกมาให้ตรงกับใจเจ้านายได้ ในฐานะนักออกแบบอ่ะ เวลาลูกค้าบอกต้องการอะไรเราก็ควรทำออกมาให้ได้ใช่มั้ยล่ะ เหมือนว่ารับบรีฟมาก็ต้องรู้ว่าเค้าต้องการแบบไหน พวกเก่งๆคือบอกแล้วทำได้เลย ออกมาสวยตรงใจเลยแบบนี้รึเปล่า ที่กูต้องแก้งานเป็นพันๆครั้งมันเป็นเพราะกุไม่เก่งเองใช่มั้ย กุไม่รู้เลยว่ะ ตอนนี้มืดแปดด้าน
>>884 กูก็สายออกแบบนะ แต่อาจจะคนละประเภทกัน จริงๆ แล้วกูว่าสำหรับเจ้านาย มึงโอเคแล้วนะ ที่ทำงานร่วมกับเขาได้ แต่หน้าที่เขาก็คือต้องดึงศักยภาพสูงสุดของมึงออกมา ต่อให้มึงทำดีแล้ว ทำดีกว่าเดิม เขาก็จะต้องส่งความท้าทายมาให้มึงเพื่อจะให้มึงทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก หลายๆ ครั้งกูก็ท้อเหมือนกันที่รู้สึกว่าทำไมทำอะไรไปก็ไม่ได้ไม่โดนนายซักที บางทีด้วยเดดไลน์งานก็ต้องออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่สุด นายยังไม่พอใจแต่ก็ต้องปล่อยออกไป มันก็มีบ้าง แต่หนึ่งสิ่งคือกูเชื่อว่างานว่าฝีมือกูดีขึ้นกว่าเดิมแน่ ไปเปิดดูงานปีที่แล้ว งานปีที่แล้วๆ กูก็รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้น กูคิดว่ามึงก็คงเป็นแบบนั้น เพราะงั้น ทำต่อไปเถอะ มึงกำลังพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่
มึงคิดยังไงกับคำว่าไม่ถูกชะตาวะ แบบที้ทำงานรับเด็กใหม่มาเงี้ยก็เขม่นละ พอขอเหตุผลบอกไม่ถูกชะตาอย่างนี้ทุกองค์กรทุกบริษัทไม่ต้องมีแผนกดูดวงก่อนรับเข้าทำงานรึไง
ห่าเอ้ย! ขอบ่นหน่อยไม่รู้จะบ่นยังไงละ
เหี้ยอะไรเนี่ย? แค่ไม่ยอมไปทำงานในวันหยุดแม่งถึงกับขู่จะไล่ออก?
คือแม่งที่ทำงานกูตกว่าจะให้กูหยุดงานทุกวันจันทร์ เพราะกูต้องทำเสาร์ - อาทิตย์ กูวางแผนจะทำอะไรต่อมิอะไรเอาไว้เรียบร้อย แต่จู่ๆ แม่งก็โทรมาบอกให้กูไปทำงานให้เนี่ยนะ? พอกูปฏิเสธก็ไม่ยอมอีกฝ่ายแม่งก็งอนแล้วบอกประชดว่ากูไม่ต้องไปทำงานแล้วอีกต่างหาก
ซ้ำร้ายกว่านั้นพอเอาเรื่องนี้มาบ่นที่บ้าน กลายเป็นว่าแม่กูชวนทะเลาะพร้อมกับหาว่ากูขี้เกียจอีก แล้วไม่รู้ทะเลาะกันอีท่าไหนกลายเป็นมาพูดน้อยใจ แถมแซะกูว่าไม่รู้จักบุญคุณคน ไม่มีสามัญสำนึก แถมยังบ่นๆ ด้วยว่าอยากตายอีก?
เออ! กูอยากจะบอกเลยว่าตายๆ ไปเถอะแม่แบบนี้ กูเห็นแม่งบ่นจะผูกคอตายต่อหน้ากูมาตั้งแต่กูอยู่ประถมละ ปัจจุบันยังนั่งหัวโด่เปย์เงินให้หลานอยู่เลยเนี่ย
ทำงานมาซักพักกูรู้สึกว่า ผู้หญิงออฟฟิศแม่งใส่หน้ากากกันหนาชิบหาย ข้างนอกยิ้มแย้มแต่กูก็สัมผัสได้ว่าแม่งแสร้งทำ ยิ่งเป็นผญ.ที่ดูดียิ่งซ่อนตัวตนจริงๆไว้ลึก
กูรู้สึกสบายใจเวลาทำงานกับผช. หรือผญ.ที่ดูห้าวๆมากกว่า กูรู้สึกว่าเวลาทำงานกับผญ.ที่ดูดี จีบปากจีบคอพูด พูดภาษาดอกไม้ มันเหมือนกับเค้าไม่ได้มองเราเป็นเพื่อนร่วมงาน เหมือนเค้าแค่หาประโยชน์จากเรามากกว่า มองแค่ว่าเราทำประโยชน์อะไรให้เค้าได้บ้าง และพร้อมจะเขี่ยทิ้งถ้าหมดประโยชน์
อันที่จริงผช.ก็เป็นแต่พบได้น้อยกว่าผญ. และดูออกง่ายกว่าว่าไอ้นี่ไม่น่าคบ
>>891 มึงเป็นหญิงหรือชายวะ
กูเป็นผู้หญิงจีบปากจีบคอนะ คือกูสุภาพกับทุกคน พูดคะขาภาษาดอกไม้ ยิ้มแย้มและเป็นมิตร แต่งหน้าแต่งตัว เอาเป็นว่าเป็นทุกอย่างที่มึงพูดมา แต่กูไม่ได้มองคนอื่นเป็นแค่เบี้ยอย่างที่มึงพูดเลย กูแค่สุภาพมีมารยาทและวางตัวเรียบร้อยไม่ได้หมายความว่ากูต้องเป็นคนเหี้ยนี่หว่า
กูเคยโดนด่าว่าตอแหล ไม่จริงใจก็เพรสะไม่พูดหยาบเนี่ย มันอะไรกันวะ
>>891เมิงยังไม่เคยเจอห้าวๆแล้วเหี้ยแบบที่ทำงานกู พูดจาห้วนๆพี่ๆหนูๆน้องๆกับคนที่โรงงาน/ลูกค้า แรกๆก็ดีดูพูดจากันเองบ้านๆ หลังๆลายออกด่าลูกค้าทำงานแบบนี้โง่รึเปล่า จบที่ไหนมา ด่าคนที่โรงงาน บอกมีปัญหาก็มาเจอกันเลย ฯลฯ โคตรกร่าง นี่ผญนะ สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลมาก
หลังๆกูขอแบบดอกไม้คะขาดีกว่า อย่างน้อยมันก็พูดจาสุภาพกับกู
ส่วนจีบปากจีบคอนั่นตอแหล แยกให้ออกคนละอย่างกับสุภาพ
ผู้หญิงเป็นเพศที่น่าสงสารนะ มักจะเกลียดกันเอง ทำร้ายกันเอง ไม่ค่อยรักสามัคคีกัน
เวลาเห็นข่าวแย่งผัวกันผู้ชายก็ลอยตัวตลอด ผู้หญิงตบกันเองแย่งผู้ชายมักมาก เวลาทำงาน ผู้หญิง 99% ก็ไม่อยากมีเจ้านายเป็นผู้หญิง
เคยดูซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่องนึง นางเอกพูดเองเลยว่ามิตรภาพของผู้หญิงมันบางซะยิ่งกว่าแฮมซะอีก
ในขณะที่ผู้ชายมักจะรักเพื่อนแบบสุดๆ รักงาน รักเกม และรักทุกอย่างมากกว่าเมีย 555
แต่ก็เอาเถอะ กูเชื่อว่าแต่ละเพศมีแนวโน้มที่จะมีนิสัยส่วนดีส่วนเสียต่างกัน ไม่นับนิสัยส่วนบุคคลอีก
กูไม่ปฏิเสธแนวโน้มส่วนใหญ่ แต่ก็พยายามรู้เท่าทันข้อเสียของตัวเอง ถ้ามีสติมากพอก็จะพยายามควบคุมมัน
บริษัทกูมีนำเข้าของจากจีน แล้วเอามาเปลี่ยนแพ็คเกจในไทยขายให้ลูกค้าส่งออกจีน (แอบทำไม่บอกลูกค้า)
อันนี้ถ้าลูกค้าไปยื่นส่งออกว่าเป็น made in thailand แถมใช้ฟอร์มด้วย ลูกค้าจะโดนไรมั่งวะ
อีกหน่อยถ้าโดนตรวจขึ้นมาจะโดนอะไรบ้าง ตอนนี้บริษัทกูจดทะเบียนเป็น manufacturing ไม่ใช่ trading ด้วย มันต้องจดเพิ่มใช่มะถ้าจะนำเข้ามาขายแบบนี้
โอกาสเรื่องแดงเยอะไหมวะ เริ่มกลัว
กูว่าไม่เกี่ยวกับเพศ เพราะออฟฟิซกูทั้งชายทั้งหญิงลับหลังก็นินทาคนอื่นกันหมด เอวัง
กูว่าอยู่ที่สันดานล้วนๆ แค่ผู้ ญ จะมีนิสัยแบบนั้นมากกว่าผู้ชาย
งานโคตรสบาย แต่เบื่อชิบหายเลยทำไงดีวะ
เฮ่อ... หัวหน้าหัวควยนี่แม่งหัวควยจริงๆนะมึง
2 วันก่อนบอกให้กูเทียบจำนวนของที่ต้องซื้อเมื่อเดือนก่อนกับที่อยู่ในโมเดลปัจจุบันมาให้หน่อย
กูก็นั่งทำจนดึกดื่นมา 2 วันส่งงานให้มึง
รุ่งขึ้นมึงชำเลืองดูรีพอร์ตกูอยู่ไม่ถึง 2 นาที บอกกูซื้อๆตามโมเดลปัจจุบันไปน่ะแหละ ไม่ต้องเทียบแล้ว...หัวกูมันก็จะร้อนๆหน่อย
ในเมื่อมึงไม่ดูซื้อของผิดกูไม่สนนะฮะลายเซ็นต์มึงก็รับผิดชอบเอาเอง
คือโมเดลมึงบางส่วนยังไม่นิ่งกูจะให้มึงเช็คว่าตัวไหนที่ซื้อได้บ้าง ในเมื่อมึงไม่เช็คก็งบบานไปสัด
>>910 กูไม่ใช่คนข้างบนนะ แต่พอได้ฟังอะไรมาบ้าง กูว่ามันจะมีสองแบบ แบบฮาๆ เอาเพื่อนมาเผา กับแบบจริงจังๆ แม่งเสี้ยมให้เกลียดกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความสัมพันธ์เพื่อนฝูง เมีย ยืมเงิน นิสัยเหี้ยๆ วีรกรรมต่างๆ นาๆ เกทับความสำเร็จ แบ่งแยกชนชั้นอะไรแบบนั้น ซึ่งตอนเด็กๆ วัยรุ่นจะเจอแบบฮาๆ ซะมาก พอวัยทำงานละเจอแบบจริงจังซะมาก บางทีมาทำเป็นเผาฮาๆ แต่กูรู้สึกได้ว่าแม่งเสี้ยมจริงจัง แทงข้างหลังกันมิดด้าม
กุผู้ชายนะ แต่เป็นพวก introvert ไม่แดกเหล้าแดกเบียร์ด้วย ปกติไม่เม้าใครเลย ยกเว้นคนที่แบบทำให้กุไม่ชอบจริงๆ นานๆทีมากๆที่กุจะเม้าใคร
เฮ้อทำไงกับนิสัยกูดีวะ เงินเดือนขึ้นความป๋าก็เพิ่มขึ้น วันก่อนไปร้องเกะโดนค่าดริ้งไปเป็นหมื่น
>>910 เรื่องที่ผชนินทามันคือเรื่องเด็ดๆๆ ส่วนผญนินทาคือแบบเรื่องยิบๆย่อยๆไร้สาระนินทาแม่งทุกเรื่อง กูอยู่กลุ่มผชมาตลอด เรื่องเหี้ยๆเนี่ยฟังมาเยอะมาก
สมัยมอปลายกูเรียนรรหญิงล้วน ข้างๆเป็นชายล้วน ก็มีคุยกันไปเที่ยวกัน อีพวกผชมันไม่เห็นกูเป็นผญมีไรก็เล่าให้ฟังตลอด วันนึงมันไปมีอะไรกับเพื่อนผญกูแม่งก็มาเล่าให้ฟัง เอามาแล้ว อะไรยังไง นมเป็นไง ฝั่งผชคือรู้กันหมด ในกลุ่ม นอกกลุ่ม อ่อคนนั้นโดนเอาไปแล้วนี่
ฝั่งผญคือเงียบกริบ ไม่มีใครรู้ หรือถ้ารู้ก็รู้เงียบๆ ตอนมหาลัยกูไปคุยกับเพื่อนสนิทของผญคนนี้เรื่องไอ้ผชเนี่ย กูถึงได้บอกมันว่าผชมันแบบนี้นะ แม่งหน้าเสียเลย ฝั่งผญมีไอ้เพื่อนสนิทนี่คนเดียวที่รู้
เรื่องเสี้ยมๆเหี้ยๆก็มี มาเสี้ยมกูว่าคนนู้นคนนี้ไม่ดี จะชวนกูบอยคอต โทรไปชวนคนอื่นเรียบร้อย บอกว่ามีใครบ้าง ส่วนตัวกูไม่เอาไม่ชอบวิธีรวมหัวกูก็บอกว่ากูไม่เล่นด้วย แม่งขู่กูด้วยถ้าจะไม่ทำก็คบมันไปละกัน
เรื่องนินทาผญเหี้ยๆเนี่ยยิ่งเยอะ ถ้าผญด้วยกันเองก็นินทาตื้นๆ คิ้วเบี้ยว ปากแดง หน้าลอย ถ้าเป็นผชมันดูไปถึงข้างล่างเลยนะ สะโพกหนา โหนกอูม ฯลฯ แล้วเอาไปพูดกันในกลุ่ม
>>918 กูนิสัยชอบเผื่อเอาไว้ก่อน เลยมักจะเก็บเงินใว้ในหลายๆบัญชีซึ่งมันจะสามารถโอนไปมาหากันผ่านแอปมือถือได้ตลอด 24ชม.ไง
ตอนนี้เลยสนใจอยากตัดเป็นฝากประจำ แต่ฝากประจำผลตอบแทน+ระยะเวลามันก็ไม่คุ้มว่ะสำหรับกูอ่ะนะ เพื่อนโม่งเเบ่งเงินไปลงตัวไหนวะแบบตัด
รายเดือนไปเลย สมมุติ Fix ไว้เดือนละ 15K ตัวไหนคุ้มสุด ออมทอง? กองทุน? DCA? VA? พวกนี้ในระยะต้นๆน่าจะพอเห็นผลตอบแทนบ้างละ
แล้วอย่างน้อยกูก็จะได้สบายใจ มีเงินตัดไปเที่ยวเหลือๆอีกที
หลังจากกูไปสัมภาษณ์งานมาหลายที่ กูสงสัยว่าเดี๋ยวนี้บริษัทชอบให้พนักงานทำโอทีฟรีหรอวะ เงินเดือนก็ไม่ถึงหมื่น ถามเจงงงงง
เพื่อนโม่ง เงินเดือนกูออกแล้ว โนโบนัส โนปรับเงินเดือน โนเฮียอะไรซักอย่าง ก่อนปิดปีใหม่ก็ทำงานรากเลือด อยู่โยงยันเที่ยงคืนก็ไม่ได้โอที พอขอโยกวันลาที่เหลือ(ที่แม่งแคนเซิลวันลากู)ก็เป็นประเด็นอีก ชวนแฟนกินชาบูย้อมใจก็บอกไดเอท ชวนดูหนังก็บอกนี่ไม่ใช่วันศุกร์นะ ไม่อยากนอนดึก กูเศร้า กูเหนื่อยจังเลย
เพื่อนโม่ง มันเหี้ยมากเลย เมื่อวานแม่งเกินรับมือจริงๆว่ะ งานเกิดปัญหา กูก็ประสานงานให้เจ้าของงานเข้ามาดำเนินการแก้ไข
อีสัสลูกน้องมันกูตามแม่งก็ไม่มาจัดการ อ้างงานด่วน จนสุดท้ายหัวหน้ามันระเบิดลง ลงทั้งกูทั้งอีลูกน้อง สัสน้ำตากูนี่ไหลแม่งตรงนั้น
แล้วไงไม่ฟังกู สุดท้ายก็ก็ต้องทำแบบที่กูบอก ยังมีการบอกว่าไม่ใช่ความผิดกู แต่แม่งคือมันใช่หรอวะ อีเหี้ย กอดกูที กูแม่งอยากลาออกชิบหาย
>>925 ใจนะเพื่อนโม่ง กู 924 เอง นี่อยากหยุดงานชิบหาย แต่แม่งคือกลัวว่าจะมองว่ากูไม่แยกแยะ แค่นี้ก็ทนไม่ได้
สัส ใจคืออยากตั้งหลักเว้ย ทำงานที่นี่มากูไม่เคยหยุดเลย มาเกิดเรื่องนี้แล้วหยุด แม่งต้องว่ากูนอยด์เพราะเรื่องโดนด่าแน่ๆ
ไม่อยากโดนด่าว่าแค่นี้ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่
>>921 กูกำลังมีความสงสัยแบบเดียวกัน ตะก่อนทำอยูชลบุรี บ.ญี่ปุ่นปล่อยโอเรี่ยราด แต่กูไม่เคยอยู่ถ้าไม่จำเป็น ทีนี้มาอยู่กทม.บ.ไทยที่มีวัฒนธรรมฝรั่ง(?) เลิกงานตามเวลาน่ะห้าโมง แต่เอาเข้าจริงก็ทุ่ม++ ทุกวัน อ้างว่าไม่มีตอกบัตร ถ้าเข้างานช้าก็เลิกช้าตามนั้น แต่สัดดดกูเข้างานตั้งแต่เจ็ดครึ่งเพราะงานแม่งเยอะจนไม่มีเวลาฉี่ วันไหนกูงานน้อยหน่อยสามารถเคลียร์ได้ตั้งแต่ห้าโมงครึ่งจะถูกหน.มองว่า เอ..งานน้อยไปหรือเปล่า เอางานอะไรไปเพิ่มดีมั้ยน้า ทั้งที่วันๆ กูทำงกๆ แทบไม่มีเวลาเงยหน้า มีแต่ปากเนี่ยแหละที่พอจะตอบรับเรื่องพูดคุยไร้สาระของพวกแม่งได้ ไม่เข้าใจทำไมชอบชวนกุคุยกันจริ๊ง คือคนอื่นในแผนกมีเวลาเก็งหวย ดูคลิปสัปดน ถกเรื่องดารา ทำงานเรื่อยๆ จนเลิกหกโมงครึ่งก็กลับเหมือนเป็นวัฒนธรรมที่ถ้ากลับเร็วกลัวจะดูงานน้อยอ่ะ ละหน.กูก็โง๊โง่ดูไม่ออก
นายกูสั่งเพิ่มงานที่มันซ้ำซ้อนกับงานเดิมว่ะ กูไม่เข้าใจเลยว่าทำไปทำไมเพราะมันเพิ่มต้นทุนและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ... ตอนนี้กูตั้งแง่ว่าเขาไม่เก่งเรื่องการจัดการ เพราะนอกจากเรื่องนี้ ระบบงานเดิมมันไม่ค่อยดีอาศัยพวกคนเก่าคนแก่ประคับประคอง บ.ไปได้
กูรู้สึกว่ากูอยู่ผิดที่จริงๆว่ะ ตอนที่กูเข้ามากูหวังจริงๆนะว่ากูจะอยู่กับ บ. นี้ยาวๆ แต่อยู่ไปอยู่มานอกจากปัญหาเรื่องคน เรื่องงานมันมาแบบไม่ขาดสายเลย .. กูอยากรู้ว่าถ้าคิดว่านายไม่เก่งแถม บ. ก็ไม่ดี พวกมึงจะทนกันอยู่ไหมวะเพื่อนโม่ง
อ่อ บ. กูเป็น บ. ญี่ปุ่น เล็กๆ ผลิตของที่กำลังโดนจีนพยายามเลียนแบบอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ว่ะ ถ้ามันเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์เมื่อไหร่กูก็ตกงานอยู่ดีว่ะ ถถถถถถ
>>929 ถ้ามึงมองออกว่าบ.ไม่รุ่งแน่ก็พยายามหาทางออกไปบ.อื่น บ.กูนี่กูมองว่ายังไงก็เจ๊ง จนเมเนเจอร์กูบอกเองว่าถ้าเป็นต่อไปไม่ปรับตัวยังไงก็เจ๊ง แต่โว้ยนโยบายมันออกมาจากมึงไง ถ้ามึงไม่ทำไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ชิบหายแหละ ซุ่งพี่แกก็ไม่ทำอะไรจริงๆได้แต่พูดลอยๆ
ตอนนี้กูก็ได้แต่หางานใหม่อยู่เนี่ย งานหายากชิบหาย
>>929 โอ้ยเหมือนนายกูเลยย แม่งให้ทำรายงานสินค้าเข้าออก ซึ่งโรงงานก็มีทำ (กูเป็นออฟฟิศขาย) ส่วนไอ้สินค้าออกเนี่ยมันซ้ำกับรายงานขาย นายกูแม่งรับสามตัว แถมเอามาชนกันจับผิดอีก ผิดบ้างถูกบ้าง โคตรเบื่อ บางอันแม่งก็ไม่ตรงไงวันขายกับวันส่งเพราะเป็นของขายตปท นายก็ไม่เข้าใจอีก อธิบายมาหลายรอบแล้ว
ทำใจ รอแม่งหมดวาระย้ายกลับบ้านไป ไม่รู้ใครจะไปก่อน
โดนเจ้านายที่ทำงานจีบ ชอบเดินมาข้างหลัง มาจับมือ คล้องแขน วันนี้เลยสะบัดมือทิ้ง บอกว่า ไม่ชอบ ไม่โอเค
อวยพรกูด้วยนะ ไม่รู้ชีวิตหน้าที่การงานจะเป็นยังไงต่อ งานราชการซะด้วย
เกลียดมัน รำคาญ จะอ้วก
ถามหน่อยสิ พวกคุณในนี้ที่บ่นเบื่องาน งานหนัก เงินเดือนเท่าไหร่กันอะ
ของเรางานสบาย อายุงาน5ปี ได้แค่18k โคตรไม่ก้าวหน้า
คือเวลาเห็นคนบ่นเรื่องงานหนัก สภาพแวดล้อมห่วยแตกแต่ก็ยังทนทำอยู่เลยคิดว่าน่าจะได้เงินเดือนดีเลยทนอยู่
แค่อยากรู้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า
ค้นพบทางสว่างละโว้ยยยยยย จากที่เคยเสียค่าดริ๊งโง่ๆเดือนละ 2-3 หมื่น เมื่อวานกรึ่มๆลองไปอ่างดู เหยดเขร้ กูล่อตัวท๊อปในระดับราคาแค่ 30%
ของค่าดริ๊งที่เคยเสียเอง ต่อไปนี้กูจะไม่ไปดริ๊งแล้ววว กูจะไปอางอ่างอ้างอ๊างอ๋างงงงงงงงงงงง
>>935 อายุ 24 เงินเดือน 26 เข้างาน8.00 am เลิก7.00 pm รับออเดอร์ ทำเอกสารส่งออก ดีลกับเรือและโรงงาน ติดต่อรมยา ขอฟอร์มกรมการค้า ติดต่อแบงค์ กูทำส่งออกทั้งงานรถ เรือ แล้วก้แบบที่สั่งซื้อตปท.ไปขายตปท. เรียกได้ว่าต้นยันจบครบที่กูคนเดียว เพื่อนร่วมงานนิสัยดีมีมารยาท แต่หัวหน้าหลอกใช้เก่งเหี้ยๆ บอกว่ากูเป็นไรซิ่งสตาร์ หัวไวเต็มใจเรียนรู้ ละชอบเอางานของลูกรักแบ่งมาให้กูทำเพราะว่า "น้องจะได้เรียนรู้ไว้" ไอ่เหี้ย กูเข้ามาปีเดียวทำเป็นทุกอย่างแล้ว คนที่อยู่มาเป็นสิบปีแม่งได้ทำแค่อย่างสองอย่างเองเพราะหน.กูประเมินว่าแม่งไม่น่าทำได้ คนที่ทำได้ก็ให้แม่งทำเยอะๆ โง่ก็ไม่ต้องทำ มันใช่เหรอวะ
>>937 มึงเจอหัวหน้าเก่งน่ะแบบนั้น พวกเด็กใหม่ๆไฟแรงเวลาเข้ามาเจอเสี้ยม น้องเก่ง น้องขยัน พร้อมกับโยนงานที่ไม่มีใครอยากทำให้ นั่นละ นั่งโงหัวทำไปเหอะ แต่บริษัทตอบแทนมึงที่ทำงานหนักไหม ไม่หรอก แต่ข้อดีอย่างเดียวคือมึงจะได้พัฒนาสกิลตัวเอง เวลามึงมั่นใจว่าตัวเองสกิลมากพอให้ลองคิดย้ายไปโตที่อื่น
พี่กูเดะ สร้างคนมาฆ่าตัวเอง
คือขายของอ่ะมันจะมีดิลเลอร์อะไรประมานนี้พี่กูสร้างละต้องมาปวดหัวเพราะลูกทีม
>>935 70k +OT +Bonus +Allowance ต่างหาก ทำงานด้วยความรู้สึกเหมือนเส้นเลือดสมองจะแตกในทุกๆ วัน เข้างาน 08.00 เลิกงานสี่ห้าทุ่มเที่ยงคืนแล้วแต่จะทำไหว ถ้าทำไม่ทันอีก ส-อ.ก็ต้องหอบกลับมาทำที่บ้าน ยังทนอยู่เพราะหลายสาเหตุ หลักๆ ก็เรื่องเงินแหละ เพราะงานที่กูทำมันออกแนว specialist ความรู้ลึกแต่แคบ หางานยาก ถ้าเปลี่ยนสายงานเงินเดือนตกเยอะ นอกนั้นก็เพราะองค์กรดี สวัสดิการโอเค สังคมพอใช้ เจ้านายคุยรู้เรื่อง แต่ก็หางานใหม่อยู่ตลอดนะ ถ้าเจองานเหมาะๆ ก็ไปแน่นอนยอมลดเงินเดือนลงนิดหน่อยได้
เจอแบบกูป่ะ ทำงานหาลูกค้าแทบตายหวังว่าจะได้ลูกค้าประจำแดกค่าคอมไปเรื่อยๆ พอผ่านไป 4-5ปี เงินเดือนเริ่มขยับ ค่าคอมเยอะขึ้นเพราะรักษาลูกค้าประจำได้ เจ้านายแอบส่งรุ่นน้องไปคุยลูกค้าประจำกู โดยให้ราคาขายถูกกว่ากู เพื่อตัดยอดขายกูทิ้ง เพราะเงินเดือนกูขึ้น......
และที่กูรู้เพราะลูกค้าขาประจำบอกกู......
พี่ๆสะระลิมัง งานแรกสำคัญแค่ไหน ปัจจัยเลือกงานแรก จากประสบการณ์ และความคิดตอนนี้ถ้าย้อนไปได้ เป็นยังไงบ้างครับ
เอาจริงๆ ที่กูทำงานหนักเครียดโหลดแทบตายแต่ยังลังเลที่จะเปลี่ยนงานส่วนนึงก็เพราะเรื่องเล่าของพวกมึงนี่แหละ ถถถ สิ่งที่แต่ละคนเจอกันนี่... งานกูหนักก็จริงแต่อย่างน้อยก็ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเพื่อนร่วมงานกับนาย ไม่เคยโดนขโมยผลงาน ไม่เคยโดนทำร้ายแทงข้างหลัง อาจเป็นเพราะต่างคนต่างงานหนักแทบจะตายห่าคาบริษัทอยู่แล้วมั้ง เลยไม่ค่อยมีเวลาว่างมาก่อดราม่าเพิ่มใส่กันอีก กูจำได้ว่าสมัย 2-3 ก่อนตอนงานยังไม่โหลดเท่านี้ก็มีดราม่าเหมือนกัน เดี๋ยวนี้หายกริ๊บ ถถถ
เมื่อสามปีก่อนกูยังมั่นใจกับการทำงานในฐานะฟรีแลนซ์อยู่เลย ตั้งแต่เข้าระบบงานประจำจนตอนนี้อยากกลับไปทำฟรีแลนซ์สุดๆ แต่กลัวชิบหายเลยไม่ได้ออกมาซักที ไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย ทำไมตอนนู้นกูยังไม่เห็นกลัวอะไรแบบนี้ ติดกับดักเงินเดือนแล้วกู
เพื่อนโม่ง พอดีกูกำลังจะย้ายงาน ที่นี้กูเลยกะว่าจะย้ายหอด้วย ซึ่งที่ทำงานมันอยู่ติดmrt
ถ้ากูอยากหาที่อยู่โซนที่ติดmrt และสามารถเดินทางไปสายใต้ใหม่แบบไม่ลำบากเกินไป(เอาไว้กลับบ้านช่วงเทศกาล) กูควรย้ายไปอยู่แถวไหนดี
>>935 จริงๆมันก็แล้วแต่นะ งานแรกกูงานหนักกว่า แต่เงินน้อยกว่า
งานปัจจุบันงานเบากว่า แต่เงินเยอะกว่ามาก ถึงสวัสดิการจะมีน้อยเหมือนไม่มีก็ยังคุ้มกว่า
แต่ขอขึ้นเงินเดือนทียาก แถมได้ขึ้นน้อยมากๆ อีกไม่นานคงได้ย้าย
>>942 จากประสบการณ์ส่วนตัวคือมันก็ไม่มาก แต่ถ้าอยู่แล้วรู้สึกว่ามันไม่โอเคก็ต้องกัดฟันกล้าออกอ่ะ
ถ้าจมอยู่กับมันเพราะเสียดายเพื่อนหรือกลัวที่จะไปเริ่มใหม่ มันก็จะไม่ได้ไปไหนซักที
แล้วก็ถ้าออกมาแล้วเงินเดือนงานแรกไม่เยอะบางที่เวลารับเข้า เค้าอาจจะเอาเงินเดือนที่แรกมาเป็นข้ออ้างให้เงินเราน้อยได้
>>งานแรกของกูคือได้ที่ไหนก็ไปทำก่อน ดูแค่ตำแหน่งที่สนใจพอ เข้าไปทำๆๆ สวัสดิการ,เงินเดือนอะไรค่อยว่ากันทีหลัง คือกูแค่อยากลองทำงาน
เพื่อให้รู้ว่าเออนี้นะ โลกการทำงานมันเป็นแบบนี้นะ สังคมมันเป็นแบบนี้นะ ถ้าทนไหวก็ทนแต่ส่วนใหญ่ทนกันไม่นาน ของกูก็8เดือนออกเลย
แต่ทุกวันนี้พอมองหันหลังกลับไปกูขอบคุณทุกคนที่นั่นนะ งานหนักทุกงานที่โยนๆมาให้เด็กจบใหม่ทำมันทำให้กูทนทุกอย่างของงานได้อ่ะ
กูอาจจะโชคร้ายมั้ง ที่ไปได้งานแรกในบริษัทประเภท Black company ทำจันทร์ถึงเสาร์ วันอาทิตย์มีบังคับทำสองแรง สวัสดิการมีแค่นั่งท้ายกระบะ
ไปส่งกลับหอ พอกลับมาเจอบริษัทปกติๆกูเลยรู้สึกแฮปปี้ดีมาก อาจจะมีบ้างที่กดดัน แต่ทุกทีกูก็คิดว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป เหมือนที่เคยทนที่แรกได้
โหเห็นเงินเดือนพวกมึงแล้วแม่งกูนึกว่าอยู่คนละโลกกูตันที่ 12,000เองนะเฟ้ยยยย
กู 32k ในวัย 32 รู้สึกว่าไม่พอ แต่มีทางเลือกไม่มาก
กู32 ในวัย 30 รู้สึกพอใช้ตั้งแต่ 25 แล้ว อยู่บ้านพ่อแม่ ไม่มีรถ ไม่มีคอนโด
กูว่าพอเงินเดือนถึงช่วงนึงเมิงจะเริ่มไม่มีปัญหาเรื่องเงินละ ถ้าอยากย้ายงานอีกก็เรื่องคน เรื่องงาน
กูไม่เคยบ่นเรื่องงานหนักในนี้นะ มีแต่เรื่องไม่โปร่งใส เพื่อนร่วมงานเหี้ย ที่อยากย้ายงานอีกก็เพราะสองเรื่องนี้แหละ
เบื่อนายกากๆชิบหาย เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากตลอด แต่เขาใหญ่นะเว้ยยย ห้ามเถียงเด็ดขาดเขาทำผิดก็บอกไม่ได้ ควยเอ้ย
>>955 >>956 กู>>954 ไม่ได้จะขิงใส่นะ แค่จะสื่อว่ากูไม่มีภาระ 25นี่คือกูรับคนเดียวเป็นระดับที่กูสบายๆ เหลือใช้มีเก็บ
พ่อแม่มีเงินเก็บไม่เกาะแดกเหมือนพ่อเมิง(แรงไปไหม แต่เมิงก็ใช้คำนี้กับกู) ไม่ต้องเช่าบ้านซื้อรถ แดกข้าวบ้านบางมื้อ แต่รถไม่มีนะ นั่งพี่วิน รถเมล บีทีเอสเอา
เงินน่ะไม่ต้องออมหรอก ทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิตให้พ่อดีกว่า กูมีเงินเก็บไม่ต้องห่วงกูหรอก ห่วงตัวเองเถอะเงินเก็บก็ไม่มี ไม่ต้องรอเมิงแก่หรอก รอพ่อเมิงแก่นี่แหละ โรคฮิต เข่า ไต หัวใจ มะเร็ง ต้อ ความดัน เป็นกันหมดไม่ต้องกลัว
ถ้าแรงไปก็โทษที เมิงไประบายต่อห้องข้างล่างละกันนะ
>>958 กูไม่ได้ตั้งใจจะด่ามึงนะกูสาบานได้ เพราะคำว่า'เกาะ'ใช่มั้ย กูขอโทษ แต่คำนี้กูหมายถึงแค่มึงอาศัยอยู่ในบ้านพ่อบ้านแม่ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเอง เผลอๆ ค่าน้ำค่าไฟอินเตอร์เน็ตทีวีก็ไม่ต้องจ่าย แค่นี้แม่งก็ลดค่าใช้จ่ายไปเยอะชิบหายแล้ว กูอิจฉามึงนะเว้ย แต่ก่อนกูก็มีแม่ให้เกาะ พอไม่มีถึงได้มาสำนึกว่าที่ผ่านมากูต้องเกาะเขาอยู่มาก(ใช้คำว่าพึ่งพาก็ได้ถ้ามึงจะสบายใจขึ้น) เมิงไม่ต้องไล่กูก็ห่วงตัวเองชิบหายแล้วเนี่ย พ่อกูปล่อยให้เขาเกาะไปเถอะเพราะแกเกษียณนานแล้ว กูไม่ได้จะมาด่ามาขิงข่าอะไรกับมึงทั้งนั้นแหละ ถ้ามึงจะอินกับโม่งทึกทักว่าโดนคนแปลกหน้าด่าขนาดนั้นก็ถือว่ากูไม่ได้พูดถึงมึงก็ได้
>>958 กูฮามึงว่ะ trigger ง่ายๆกับคำว่าเกาะคำเดียว แล้วก็มาแขวะชวนทะเลาะ แต่จากมุมมองกู มึงอะคือคนที่ไปเสือกชีวิตเค้าก่อน ตั้งแต่เม้น >>954 เกทับ >>953 ละ หรือไม่รู้ตัว?
แต่จริงๆนะ >>959 อะพูดถูกแล้ว มึงลองคำนวณรายจ่ายที่คนอื่นออกให้ใช้ร่วมกันแล้วลองคิดว่าทั้งหมดนั้นต้องรับไว้เองดูสิ
25k ถ้าอยู่ตัวคนเดียว ต่อให้ไม่มีบ้านตัวเองต้องเช่าหอด้วยเอ้า มันก็พอแหล่ะ แต่ถ้าถึงวัยที่ต้องซัพพอร์ตคนอื่น พ่อแม่วัยเกษียณ แฟน เมีย ลูก หรือถ้าจะโสดก็ต้องคิดเรื่องเงินใช้ในวัยเกษียณตัวเองอีก
ผ่านมาเห็น
สำหรับกูถ้าใช้คำว่าเกาะก็คือยังต้องใช้เงินพ่อแม่ ค่าน้ำไฟค่ากินอยู่ก็พ่อแม่จ่าย ไม่ต้องรับผิดชอบรายจ่ายของที่บ้าน(ถ้ามี) แต่ถ้ามึงเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องขอยืมพ่อแม่จ่ายอะไรๆ แล้วยังอาจจะจ่ายค่านู่นนี่ให้ด้วย แค่อยู่บ้านเดียวกันเฉยๆ กูไม่เรียกเกาะว่ะ มีบ้านให้อยู่หรือมีรถให้ขับ ไม่ต้องไปซื้อหรือเช่ามันก็ดีแล้วนี่ ทำไมต้องคิดว่ามันคือการเกาะวะ หรือต้องซื้อต่อจากพ่อแม่ถึงจะไม่เรียกว่าเกาะ กูงง
ถั้มอะไรก้ได้กูไม่ได้ขอตังคร๊าย ห๊ามาด้วยตัวเองกูทำให้แม่ภูมิจ๊าย
เบื่อนายทำเรื่องโง่ๆ เบื่อเพื่อนร่วมงานที่แม่งโง่งมบรมบรรลัยก็ยังไปเลียแม่งอีก ... กูต้องออกเท่านั้นสินะ
>>961 สำหรับกูเกาะก็คือการใช้ทุกอย่างที่ไม่ได้หามาด้วยตัวเอง จะบ้านหรือรถหรือน้ำไฟข้าวปลาก็เถอะ แต่ไม่เถียงเลยว่าดี มันก็ดีนี่หว่ามีพ่อแม่ให้เกาะ ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เดือดร้อนอะไรยินดีให้อะนะ ถือเป็นต้นทุนชีวิต ไม่ต้องลำบากดิ้นรนหาเองทุกอย่างก็ดีแล้ว บางคนต้นทุนชีวิตบวก บางคนเป็นศูนย์ บางคนติดลบ มันก็เรื่องธรรมดาของสังคมอยู่แล้ว
ว่าแต่อ่านเพลินจนลืมเรื่องที่ตัวเองจะพิมพ์เลย ต้นปีแล้วมีใครหางานใหม่บ้าง เป็นไงกันบ้าง บริษัทกูออกกันรัวๆ เลยช่วงนี้หลังโบนัสออก แต่กุยังหางานดีๆ ไม่ได้เลย อยากไปใจจะขาดแล้ว
หางานเหมือนกันแต่อายุเยอะแล้วหายากจัง บางทีเรียกก็กดราคาซะนึกว่าเด็กใหม่
พวกเกาะพ่อแม่แดกนี่มันหน้าบางจังวะ เกาะก็เกาะดิวะไม่ได้หนักหัวใคร กูก็อยากมีพ่อแม่ให้เกาะเหมือนกันนั่นแหละ
เออกูก็เกาะพูดแบบไม่อายเลย งานมีแต่งานราชการเงินเดือนกากๆชิวๆไปวันๆ ก็ไม่ถึงกับรวยมากหรอกแต่ก็ทำงานแบบนี้ไปชิวๆได้ กูละอยากมีเมียรวยๆให้เกาะอีกคนชิบหายแต่ก็รู้อยู่โปรไฟล์มันไม่ถึง5555แค่ฝันกลางวันเล่นๆ
ชีวิต easy mode น่าอายตรงไหน กูยังอยากได้แบบนั้นเลย กูนี่แม่ง ultra hard มาตลอดชีวิต
เออ แปลกเนอะ เลี้ยงตัวเองได้แต่ยังโดนคนบอกว่าเกาะพ่อแม่กินแค่เพราะไม่ออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว ต้องยิ้มรับสินะ
กู >>960 นะ คือกูคิดแบบ >>966 ไง แต่กูก็ไม่ได้คิดว่าคำว่าเกาะถ้าใช้ในกรณีที่ดูแลตัวเองได้ซะส่วนใหญ่เป็นการดูถูก เพราะฉะนั้นที่กูพูดไม่ใช่อยากหาเรื่องด่าคนอื่นแบบที่มึง >>969 เข้าใจ กูแค่พูดในมุมมองว่า การที่ต้องใช้เงินตัวเองกับทุกอย่างมันทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้นจริง no intention / no offense อะว่ะ ไม่ขอโทษนะ กูไม่ได้รู้สึกว่าที่กูพูดมันผิด
อ่อ >>968 ป่าว กูไม่ได้โตมาในสังคมฝรั่ง กูลูกคนจีน แต่กูเกลียดระบบกงสีมาก คงเพราะงี้มั้ง
ทำงานเงินเดือนไม่มาก อยู่บ้านตัวเอง หนี้สินไม่มี แฮปปี้อยู่นได้อยู่กับครอบครัวบางทีก็ทำให้กูคิดมากเหมือนกันนะถ้าวันนึงเหลือกูคนเดียวในบ้านจะไงต่อวะเห้อมมมมม
พวกบ้านพ่อ บ้านแม่รวย จนลูกไม่ต้องทำงานเกาะแดรกไปวันๆ จริงๆโดนด่าเพราะอิจกันทั้งนั้น ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ใช่คนด่ามึงซะเองก็ไม่ต้องสนใจ
แค่อยู่บ้าน ถึงมีงานมีการทำไม่ขอเงินก็เรียกเกาะแดรก ชีวิตมันเศร้าจริงๆ
สำหรับคนที่อยู่บ้านพ่อบ้านแม่แต่ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเกาะนะครับ ให้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในบ้านครับ พ่อแม่ปลื้มแน่ครับ ถึงเขาจะบอกว่าไม่จำเป็น แต่เขาจะรู้สึกวางใจว่าคุณโตเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ครับ แฮปปี้กันทุกฝ่าย ถ้าไม่ต้องเช่าต้องผ่อนบ้าน ก็ดูแลค่าใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าจิปาถะอื่นๆ ครับ ถ้าปกติทำแบบนั้นอยู่แล้วก็อย่าเอาตัวเข้ามารับคำโม่งครับ คุยกันแบบนี้เข้าใจกันไปคนละทิศละทางได้ครับ
ออฟฟิศมีเพื่อนคนนึงไม่ชอบเสียงดัง อีกคนนึงเสียงดัง แม่งเคยทะเลาะกันแล้วเรื่องนี้ก็ยังทำอยู่
หลังๆมาแม่งดังทุกอย่างเลยว่ะ ทำงานไปพูดไปตะโกนๆ เคาะคีย์บอร์ดแป้กๆๆๆๆๆๆ
อันนี้มันเล่นสงครามประสาทป่าววะ กลัวแม่งตีกัน กูทำอะไรได้บ้าง
ออกจากงานโดยยังไม่ได้งานใหม่นี่ เวลาสัมภาษณ์มึงอ้างยังไงดีวะ
บางทีความสุขง่ายๆของซาลารี่แมนแบบกูคือหลังทำโอเสร็จค่ำๆ ก็ออกไปสั่งต้มเล้ง1 ข้าวเปล่า1 ลีโอ1 ที่ร้านเจ้าประจำ ไปนั่งคนเดียวเงียบๆมุมร้าน
อ่อ แต่กูไม่กินดื่ม 555
ไม่ดื่ม*
>>986-987 ร้านอาหารหรูๆแบบเหลา หรือตามตึกระฟ้า โรงแรมไรงี้ทำไมมึงไม่ไปแดกมั่งวะ? อาจจะไม่เอาบุฟเฟต์แต่สั่งจานหรูๆสักจาน2จานก็ได้ เอ แต่ว่าแกล้มเบียร์คงไม่เหมาะกัน ไม่รู้นะว่ารายได้เท่าไหร่ยังไง แต่ถ้าแบบระดับ30k up กูไม่แดกแบบนี้แน่ๆ วันไหนเลิกโอมาเหนื่อยๆต้องมีให้รางวัลตัวเองมั่ง
กูอายุจะ 30 ปีนี้ ทำงานสายไอทีเงินเดือน 38k นี่ถือว่าปกติหรือน้อยไปวะ
กูเห็นเพื่อนไปทำสายโลจิสติกแม่งมาโม้ว่าได้ 60k อะ
>>991 กูเงินเดือนถือว่าเยอะนะถ้าเทียบค่าเฉลี่ยเด็กอายุ 25 ทั่วๆไป เคยลองให้รางวัลตัวเองเป็นมื้อหรูๆ ขาหมูเยอรมันทอด แซลมอนรมควัน
แกล้มเบียร์คราฟ แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ว่ะ ลองไปลองมา สุดท้ายก็ค้นพบว่ามื้อง่ายๆ ต้มเล้งต้มเเซ่บ หรือคอหมูน้ำตก คู่กับลีโอไม่ก็สิงห์สักขวด
หิ้วไปนั่งกินมุมๆคนเดียว ปล่อยใจนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย มันคือความสุขง่ายๆที่ไม่ได้รู้สึก Loser เลยว่ะ มันรู้สึกแค่เวลามันช้าลง อากาศรอบตัวมันสบายๆ
กูอายุ 30 เงิน 27 แดกหงส์ถูกสัดๆ ดูดหรี่ กูโครตมีความสุขอ่ะ แต่กูจะถูกพวกมึงมองว่ากูเป็น loser ไหมวะ
>>995 ไม่ Loser หรอกเพื่อน ความสุขมันไม่ได้วัดจากเงินเดือน หรือ ราคาของอาหารที่กิน มันอยู่ที่ว่าเราพอใจกับจุดไหนตะหาก
สำหรับกูคือวันไหนเลิกงานค่ำๆ ขับรถมาร้านลาบ แล้วพ่อค้าทักว่า "เอ้าหนุ่ม มาๆ ลีโอแช่เป็นวุ้นให้แล้ว วันนี้มีเอ็นแก้ว จะเอาต้มแซ่บมั้ย มาๆนั่งเลย"
แค่นี้กูก็ยิ้มและหายเหนื่อยละ
>>991 เงินเดือนกูเกินนั้น แต่สำหรับกูอาหารต้องอร่อย พวกดาดฟ้าโรงแรมเคยไปมา 2-3 ครั้งแล้วรู้สึกไม่ใช่แนวกูเลย
ไปกินอาหารรสชาติธรรมดาค่อนไปทางห่วย แต่แพงบรรลัยเพราะค่าวิวแล้วรู้สึกว่าไม่คุ้ม
ส่วนเหลากูชอบนะ แต่ไม่ค่อยได้ไปเพราะมันเสิร์ฟจานใหญ่ แล้วกูไม่ค่อยมีเพื่อนกิน แถมไม่ค่อยเหมาะเป็นกับแกล้มเท่าไหร่
ถ้าอยากหรูกูไปกินพวกอิซากายะมากกว่า กูชอบตรงมันขายเหล้าเป็นแก้วนี่แหละ
เพราะกูเป็นพวกชอบเปลี่ยนร้านไปเรื่อยๆเลยไม่อยากซื้อเป็นขวดฝากร้าน แต่บางทีก็รู้สึกว่าราคาอาหารมันเวอร์ไปนิด
ถึงกูจะชอบเหล้ามากกว่าเบียร์แต่ก็ยอมไปกินเบียร์ที่ร้านส้มตำ เพราะชอบความที่ไปได้บ่อยๆโดยไม่ต้องกลัวเรื่องค่าใช้จ่ายมากกว่า
บ่อยๆคือช่วงไหนหนักๆก็ไปแม่งเกือบทุกวันเลยอะไรงี้
ปล. ช่วงนี้ต้องลดเพราะกูเริ่มอ้วนแล้วว่ะ โคตรเสียใจ
>>997 เมื่อก่อนกูชอบไปนะ ร้านอิซะกะยะ แล้วก็ร้านปิ้งย่างอาลาคาร์ทตามทองหล่อ อารีย์ แต่หลังๆไม่ได้ไปละ เรื่องราคาด้วย บวกกับเรื่องคนเยอะเกิน
ตอนนี้เลยเทมาทางร้านข้างทางมากกว่า บางร้านดึกๆไม่มีคนเลย กินไป ดูทีวีที่ร้านเปิดทิ้งไว้ นั่งมองถนน มองคนไปเรื่อยเปื่อย มันสงบมากๆเลยเว้ย
เออ และถ้าไม่อยากอ้วนก็เข้ายิมไป ถ้าวันไหนไม่ต้องทำโอกูก็จะไปยิมก่อน ไปวิ่งเอาไขมันเบียร์ออกนี่แหละ แล้วก็มานั่งกินเบียร์ต่อ 555
ตั้งทู้ใหม่ด้วยครับไอ้พวกมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งซมซานกลับมาจากออฟฟิสทั้งหลาย
ปิดมู้
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.