>>516 กูไม่เข้าใจกระบวนการคิดของมันว่ะ คือมาทำอะไรที่กูไม่ชอบเพื่ออะไร และ กูไม่มีสิทธิ์ที่จะปัดป้องเลยใช่ไหม แล้วถ้ามันเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติที่เกิดจากการกระตุ้นร่างกาย เหมือนเวลาฝุ่นผงเข้าตา ก็ต้องขยี้ตา หรือ อย่างน้อยๆก็มีน้ำตาไหลออกมา แบบนี้กูก็ผิดหรอว่ะ แล้วยังจะมาประชด หรือ ตอบกลับแนวๆนี้อีกมันแสดงว่าไม่แคร์อะไรกูเลยไง ถ้ากูไม่ตอบกลับในแบบที่มันคาดหวัง (กูก็ไม่รู้นะว่ามาแกล้งจักจี้คือเพื่อคาดหวังจะให้ตอบกลับยังไง) มันก็พร้อมจะไปหาคนอื่น กูคิดเยอะไปไหมวะ แต่กูว่าเรื่องเล็กๆแบบนี้การใส่ใจยิ่งสำคัญ เพราะมันสะสมเป็นปัญหาภายหลังได้
>>517 กูเคยมีมาสิบกว่าคน ใช่ ไม่มีใครลืมจริงๆหรอก ก็คนที่ใช้เวลาช่วงหนึ่งในชีวิตอยู่ด้วยกัน หายใจจังหวะเดียวกันนี่เนอะ แต่สำหรับกูนะ ก็แค่เป็นหนังสืออีกเล่มที่จบลงไปแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร จริงที่สมองกูจำได้ว่า เค้าชอบกินอะไร ฟังเพลงแนวไหน กลัวผีมากแค่ไหน เวลาฝนตกชอบให้อุ่นนมร้อนๆดื่มก่อนนอนแล้วเค้าจะหลับสบาย แต่คนเรามันเปลี่ยนไปทุกวินาทีอยู่แล้ว เค้าในทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เค้าที่กูเคยรู้จักแน่นอน เป็นแค่ความรู้สึกที่จำหน้าตาได้ จำเสียงหัวเราะได้ จำหน้าตาแย่ๆตอนร้องไห้ได้ แต่ไม่ได้มีผลอะไรต่อการเต้นของหัวใจอีกต่อไป สำหรับมึงนะเพื่อนโม่ง บอกได้คำเดียวว่า เดี๋ยวมึงก็จะเฉยๆไปเอง แค่ตอนนี้ยังติดอยู่ในช่วงความเสียดาย เสียดายที่น่าจะทำได้ดีกว่า เสียดายที่น่าจะประคองความสัมพันธ์ได้ดีกว่านี้ เสียดายที่น่าจะซื้อดอกไม้ให้ไวกว่านี้ตอนที่มันยังไม่เหี่ยวเฉา แต่ก็นะ เรื่องมันจบไปแล้ว เสียดายได้ แต่อย่าจมอยู่กับความเสียดาย เพราะความเสียดายเกิดขึ้นจากความคาดหวัง เพื่อนโม่งน่าจะคาดหวังว่า ถ้าทำอะไรๆแบบที่เสียดายที่ไม่ได้ทำ ก็น่าจะไปกันได้ดีกว่านี้ แต่ผลจากการกระทำอาจไม่เป็นไปตามที่เพื่อนโม่งคาดหวังไว้นะ ดังนั้นที่เหลืออยู่ตอนนี้คือความเป็นจริง มองที่ความจริงดีกว่า จบกันแล้ว ก็แยกย้ายไป มีคนใหม่ก็อาจเป็นการช่วยให้เพื่อนโม่งสดใสขึ้นนะ แต่อย่ามีคนใหม่เพียงแค่เพราะอยากลืมคนเก่า สู้ๆเพื่อนโม่ง โชคดีที่เอ็งโทรติด.