ง่วงชิบหาย วันอังคารแล้วว้อย
Last posted
Total of 1000 posts
ง่วงชิบหาย วันอังคารแล้วว้อย
เมษานี้โดนสองเสาร์เลยว่ะ เส้า
ค่ากินเดือนละ6500นี่ถือว่าเยอะไหมวะ
ของกุเดือนละ10kเพราะติดกินน้ำหวานกับกาแฟแพงๆ อยากเลิกแต่เลิกไม่ได้ เลิกยากกว่าเหล้าบุหรี่อีก
กินนํ้าตาลเทียมแทน เช่นซูคราโลส ไม่กระตุ้นอินซูลิน โทษน้อยกว่าพวกนํ้าตาลแท้
อาหารคือสารเสพติดที่ถูกกฏหมาย
>>343 ได้สบายมาก กาแฟสมัยนี้แพงสัสๆ 555 กูไม่เคยแดกเหล้าไม่รู้เหมือนกันมั้ยนะ แต่กาแฟเนี่ย ถ้าเป็นคนกินกาแฟดำ และมึงได้แดกกาแฟดีๆ แล้วมึงจะกลับไปแดกกาแฟห่วยๆ ถูกๆ ไม่ได้อีกเลย ส่วนพวกกาแฟที่ใส่นมข้นหวาน/น้ำตาล/น้ำเชื่อมจนไม่เหลือรสกาแฟ อันนี้ไม่นับ เพราะคนกลุ่มนี้จะติดรสหวานและความอร่อยที่สูตรชงมากกว่าติดที่ตัวกาแฟจริงๆ ดังนั้นอาจจะกินแพงสลับถูกได้ หรือกินแพงแล้วเปลี่ยนมากินถูกได้ ขอแค่ถูกใจรสชาติที่คนชงเป็นพอ ส่วนพวกติดกาแฟที่ตัวกาแฟจริงๆ แล้วอยากจะประหยัด จะต้องหาทางอื่นเอา เช่น ดริปเอง ซื้อเครื่องชงเอง ก็จะประหยัดไปได้หน่อย แต่จะให้ลงไปกินกาแฟถูกๆ แทนนี่คือไม่ได้เลย
>>341 ของกูเดือนละ 10k เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ 10k แบบกินตามใจปากนะ เวอร์ชั่น 10k นี่คือเวอร์ชั่นพยายามอดทนอดกลั้นชิบหายแล้ว 555 แต่ก่อนกินเดือนละ 15-20k
>>340 มึงอยู่แถวไหนวะ ขอพิกัดหน่อย ทำไมกินได้ถูกจัง แถวที่ทำงานกูมื้อเที่ยงตามสั่งทั่วไปตอนนี้ก็ 70-80 บาทแล้วอะ (รวมน้ำเปล่า) อันนี้คือแบบต่ำๆ เลยไม่ต้องนับพวกมื้อพิเศษหลักหลายร้อยหรือหลักพัน หรือถ้าอยากกินถูกต้องกินข้าวราดแกง only หมดสิทธิ์สั่งตามสั่ง
กินกาแฟวันละแก้วพอ กาแฟดำเป็นยังไง
สั่งแต่เมกาโน่ 45บาท วันละแก้ว
กุแดกกาแฟมาเข้าปีที่8ละ แดกตั้งแต่ที่การดริปยังเป็นอะไรใหม่ขนาดที่หายากตามร้านกาแฟ นอกจากไปgallery dripกับพวกร้านโดยตรง
ซื้อกาแฟดริปเองคุ้มสุดละ แต่อย่างว่ามันไม่ใช่ทุกคนจะมานั่งดริปที่ออฟฟิส แรกๆก็เรื่องมากต้องของดีต้องแบบนี้
หลังๆไม่เรื่องมากละ มีอะไรให้กินก็กิน จะสั่งร้าน จะกาแฟสำเร็จรูป ได้หมด เอาจริงๆรู้สึกติดมานาน แดกทุกวันอย่างน้อยวันละแก้ว
อยากจะลองงดกาแฟสักเดือนนึงดู อยากเคลียร์caffeine toleranceตัวเอง
>>349 สมัยเด็ก KFC สำหรับกูคือมื้อพิเศษ พอโตมา ถ้าออกนอกบ้านแล้วอยากประหยัดต้อง แดก KFC เท่านั้น ข้าวยำไก่แซ่บพร้อมเป๊ปซี่ 85 บาทอะ บางทีกูแดกตามสั่ง+น้ำเปล่า ยังแพงกว่านี้อีก จำได้เลยว่าสมัยเด็กเคยพูดกับพ่อแม่ว่า ฟาสฟู้ดที่เมืองนอกคือของราคาประหยัด ส่วนที่ไทยกลับเป็นมื้อพิเศษซะงั้น 15 ปีผ่านไป โอเครู้เรื่อง เทรนด์เดียวกับเมืองนอกเรียบร้อยละ
เคยลองงดกาแฟจะประหยัดตัง
ปวดหัวสัสๆจนต้องยอมแดกต่อ
>>353 มึงติดคาเฟอีนไง ไม่ได้กินเลยปวดหัว ถ้ายอมทนปวดหัวหักดิบซักอาทิตย์นึงก็หาย แนะนำหยุดยาวสงกรานต์นี้เลยเหมาะๆ ไม่กระทบงาน เจ็บแต่จบ ส่วนกูก็ติดเหมือนกัน 555 แต่กูไม่อยากเลิกนะ กูชอบความดื่มด่ำเวลาแดกกาแฟร้อนๆ ตอนเช้าก่อนทำงาน มันคือความสุนทรียะอันดับต้นๆ ของชีวิตมนุษย์เงินเดือนของกูเลย อีกอย่างกาแฟดำมันก็มีประโยชน์นะ โทษคือพวกใส่น้ำตาลใส่ครีมเทียมอะไรพวกนั้นมากกว่า กูเลยจะแดกต่อปัยยย
>>346 กูก็ทำได้นะมึง พิกัดกูนี่6500 มีไว้ไปแดกร้านอาหารบ้างไรบ้างคือยังพอได้นะ แถวภาษีเจริญ บางแค เค้าจะขายตามตลาดนัด หรือทางเท้านี่แหละ ราคามิตรภาพพอสมควรนะ กล่องละ 30ก็มี 40ก็มี หรืออีกอันกูไม่มั่นใจว่าแถวรามคำแหงก่อนถึงเดอะมอลล์บางกะปินี่ยังพอได้ไหมเพราะมีตลาดสดย่านนั้นแบบคล้ายตลาดบางแคเลย
>>354 เออ คุยด้วยหน่อย .....ทำไมไปดูผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพบางคนบอกเราติดกาแฟไม่ได้ง่ายๆขนาดนั้นวะ และไอการมีอาการเพราะไม่ดื่มกาแฟอาจจะมาจากเหตุปัจจัยอื่นมากกว่าอีก เช่นนอนน้อย,หลับไม่สนิทแบบไม่รู้ตัว,หรือโหมงานหนักชิบหาย,กินไม่พอที่ร่างกายขอไรงี้มากกว่าไหม
ส่วนตัวกูเคยเงินไม่พอซื้อกาแฟมาเติมไว้ที่บ้านแล้วกาแฟเสือกหมดไม่ได้ตุนเผื่อนะ ถ้าไม่กินก็แค่ว่ามันง่วงจะหลับในคาที่ทำงานแค่่นั้น ไม่มีกาแฟมาให้มันตื่นตัวตลอด กูเลยเข้าใจว่ากาแฟไม่น่าติดได้ ที่กินเข้าไปเพราะต้องการความตื่นตัวมากกว่าจะติดมันอ่ะ หรือแล้วแต่คนด้วย บางคนติดง่าย บางคนติดยากจัดไรงี้เหรอ? .....เออ อีกอย่างที่สงสัย กูดื่มกาแฟนะ ชอบไอพวกกาแฟแบบNestcafe goldหรือแบบรุ่นกระปุกทองราคาเป็นร้อยเงี้ย มันอาราบิก้าแนวไหนวะ? กินละรสสัมผัสคือขมแต่แบบไม่เปรี้ยว ไม่แลดูบาดคอ สากๆเลย มันค่อนไปนุ่มนวลไปหมด ไม่ละมุนแบบคาปูชิโน่นะคือก็กาแฟแต่มันดูสมูทดี กินแบบเข้มก็จะได้ฟีลอีกแบบ ไอพวกนี้มันกาแฟแบบไม่ผสมพวกครีมเทียมหรือนมผงไรเพิ่ม เป็นแบบนี้ได้เพราะกรรมวิธีล้วนๆใช่ป่ะวะ?
อ่ะ เอาบทความนี้ไปอ่านดู หลายคนเข้าใจว่ากาแฟติดได้ คืออ่านไปจะเข้าใจได้ว่าก่อนจะติดอ่ะ มึงจะได้ตายก่อนเสพติดไง5555+
https://cafn.co/blog/is-coffee-addicted
การติดมันไม่ใช่แค่ทาง chemical ไง ติดทาง emotional มันก็ไปส่งผลกับร่างกายได้เหมือนกัน
กูกินกาเเฟบ่อยจนพักหลังลองเปลี่ยนมากินชาเขียวชง ก็หายนะ เเต่กูกินกาเเฟไม่เยอะด้วยเลยเลิกได้ไว ตอนนี้ติดชาเขียวชงเองเเทน กินเเก้ง่วงได้ดี ไม่เข้มมาก
>>362 เพราะพอยท์มันคือติดกาเฟอีน ไม่ใช่กาแฟ ดังนั้นอะไรที่มีกาเฟอีน เช่น ชาเขียว ชาไทย โค้ก มันก็พอแทนได้แต่ปริมาณกาเฟอีนจะน้อยกว่ากาแฟมากถ้าเทียบกัน แกบอกไม่ติดมากมันเลยแทนได้นี่แหละ
ถ้ากินกาแฟ decaf ก็ไม่ติด เพราะมันไม่มีกาเฟอีน (จริงๆ มีแต่น้อยมากกกก) เวลาไป Starbucks กูชอบสั่งแบบ half decaf กำลังดี
แดกยังไงวะ กินจนปวดหัว กุไม่เคยวะ
ขนาดกุกินน้ำอัดลมแทนน้ำ กาแฟ ชา ก็เอาหมด
>>364 >>358
เอาประสบการณ์กูล่ะกัน
กูชอบกินเบอดี้กระป๋องรสนม(ป๋องเหลืองรสนม ตอนนี้เป็นเป็นลาเต้ล่ะ)
วันละกระป๋อง ติดต่อกันทุกวัน (เป็นคนนอนดึกบ่อย)
แล้วกูก็รู้ตัวแหละว่าแดกเยอะไปเลยจะหักดิบเลิก ไม่กินเลย
กลายเป็นวันถัดไปกูจะมีอาการปวดหัวซีกเดียวเหมือนไมเกรนหรือปวดขมับท้ายทอย ปวดแบบทนได้แต่ก็น่าหงุดหงิดกับอาการปวด
แต่ถ้ากูจกกาแฟกระป๋องปุ๊บ อาการปวดหัวที่ว่าแม่งหายไวมาก (ประมาณลงท้องกะเพราดูดซึมก็หายปวดล่ะ นึกถึงมุขคนเป็นโรคหัวใจกำเริบ แดกยาปุ๊บแล้วหายกำเริบ)
จนกูยังเสียวตัวเองว่าติดกาแฟขนาดนี้เลย
>>365 ไอปวดข้างเดียวหรือปวดบางซีกของกบาลนี่เคยเป็นนะ แต่ของกูมีที่มาเลยคืออาจจะแดกข้าวน้อย โหมงานหนักละเสือกไม่ยอมนอน หรืออะไรสักอย่าง ไม่งั้นก็เครียดก่อนจะนอนหรือเครียดมากๆตลอดเวลา แต่กูจะรั้งสาเหตุนึงไว้ท้ายสุดเลยคือเรื่องกรรมพันธุ์ จริงๆมึงควรสำรวจตัวเองดูนะว่ามันเกิดจากอะไรได้บ้าง
ตอนทำงานใหม่ๆก็กินกาแฟตามเพื่อนในออฟฟิศนะ แต่มีวันนึงไปลองของแปลกคืออเมริกาโน่มะพร้าวแล้วรู้สึกไม่อินกับกาแฟอย่างแรง จากนั้นก็ไม่สั่งกาแฟกินอีกเลย สั่งแต่พวกอิตาเลี่ยนโซดา แดงโซดา นมชมพู น้ำหวานพวกนี้ทำให้รู้สึกมีแรงทำงานมากกว่ากาแฟอีก ไม่รู้มีผลวิจัยไรว่าเกี่ยวป่าวนะแต่เรารู้สึกแบบนี้จริงๆ
>>369 กาแฟน้ำผลไม้ .... ไม่มีความเห็น บางอันทำออกมาแล้วพอไปได้ก็มี กาแฟใส่ยูซุเงี้ย กาแฟสตอเบอร์รี่ มันพอให้อภัยได้บ้าง เพราะมันเปรี้ยวสดชื่หอมผลไม้ แต่มะพร้าวมันละมุนของมันเอง กาแฟก็หอมกรุ่นละมุนไปด้วย ผสมไปแม่งขมและคาวมะพร้าวไอสัส .... ทำอะไรออกมาคือมันควรดูว่าข้อดีของทั้งสองตัวมันช่วยหนุนกันไหมมากกว่ามาให้มันออกมาเหี้ยเว้ย
สูตร สัดส่วนน่าจะสำคัญมั้ง
กาแฟมะพร้าวบางร้านก็หอมกลิ่นนิดๆพอแดกได้
แต่บางร้านนี้แดกแล้วรู้สึกเลี่ยนไขมันมะพร้าวจนแดกไม่ลง
ลองแค่นั้นแหละไม่ตามต่อเปลืองตังกาแฟเพียวๆเหอะ555
>>366 กูก็ตอบไม่ถูกนะ ตรวจสุขภาพก็แล้ว กรรมพันธุ์ก็ไม่มีใครปวดหัวแบบนั้น
หลักๆน่าจะอดนอน นอนน้อยบ่อย บวก เสพย์ติดของหวานๆ (กาแฟหวานปกติ น้ำอัดลม)
เลยน่าจะมีผลเรื่องอาการปวดหัวพอไม่กินอะไรมากดประสาทตรงนั้น
ปล. เหล้า เบียร์แทบไม่แตะ(ยกเว้นเพิ่อสังคมก็แก้วหนึ่ง) บุหรี่ไม่เคยสูบ
กูแปลกสินะที่เฉยๆกับกาแฟมะพร้าว ไม่ถึงกับชอบ แต่ให้กินก็กินได้ หรือถ้าเบื่อเมนูเดิมๆนานๆทีก็สั่งมากินบ้าง
>>373 ส่วนกูชอบกาแฟมะพร้าวมากกก แต่ที่ชอบกว่าคือชาเขียวมะพร้าว มีช่วงนึงอเมซอนทำชาเขียวมะพร้าว โคตรนัว กูแดกแม่งทุกวัน ดีนะเป็นแค่ seasonal menu ถ้ามันมีตลอดกาล กูก็จะแดกตลอดปัย 555
>>372 เอาไปอ่าน https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/เลิกกาแฟหักดิบทำให้ปวด/
ทำไมกูแดกดีแคฟแล้วยังใจสั่นวะ คิดไปเองปะ
กาแฟส้มหร่อยดีนะ
กาแฟมะพร้าวอร่อยชิบหายเลยนะถ้าได้กินของดีๆอ่ะ กุเคยกินที่งานแฟร์อันนึงแก้วละ 120 มันหอมๆ ขมๆ นุ่มๆ ละมุนลิ้นมาก กลับกันกาแฟส้มที่ฮิตๆกันกุกลับกินไม่ได้ พอกินผสมกันแล้วกลิ่นเหมือนอ้วกเลย
ช่วงนี้รแย่ว่ะเหมือนทำงานพลาดไปหมดทั้งๆที่ก็ไม่ได้พลาด หรือบางทีก็รู้สึกคิดมากกับคำพูดของคนในทีม ประมาณว่าถูกประเมินว่าไม่เก่งตลอดเวลาทั้งๆที่เค้าคิดงั้นจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ใจก็คิดไปแล้วเกิน 50% ว่าเค้าต้องมองว่ากุไร้ประโยชน์แน่ๆ จนพาลให้อยากลาออกแล้วไปเริ่มต้นใหม่เลย
อย่างครั้งนึงกูเห็นคนมีปัญหาเลยไปช่วยหาว่าปัญหามาจากอะไร แต่กลายเป็นปัญหามาจากทีมกุซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ส่วนไหนอีก คุยไปคุยมาเหมือนทุกคนเข้าใจว่าการที่กูมาช่วยเพราะกูเป็นคนทำให้ปัญหาเกิดเฉย แล้วกูก็ไม่อยากพูดแก้ตัวเพราะกูก็ไม่รู้ว่าใครทำแต่ก็มารู้สึกเอาเองว่าทุกคนต้องมองกูแย่แล้วล่ะ
ไม่ชอบแบบนี้เลยว่ะ ทั้งๆที่กูรู้ว่าตัวเองเก่งและมีศักยภาพ แต่กุไม่รู้ว่าต้องพรีเซ้นท์ตัวเองยังไง พอไปช่วยคนอื่นแก้ปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ทำ แต่ก็กลายเป็นทุกคนเข้าใจว่าปัญหานั้นมาจากกูอีก กูเหนื่อยที่อยู่ในสภาพแบบนี้ว่ะ แบบนี้ก็ไม่น่าจะได้รับความเคารพหรอก ไม่เคยมีคนชมด้วยซ้ำว่ากูเก่ง ทั้งๆที่กูช่วยแก้ปัญหาซับซ้อนไปได้หลายครั้ง เหมือนเนิร์ดในห้องแลปที่ไม่มีใครรู้ว่างานมาจากคนนี้เลยว่ะ
มีมู้น้ำหอม กุควรไปหมวดไหน
กูติดแดกกาแฟเพราะมันทำให้หิวน้อยลง กับกาแฟแม่งเป็นยาระบายอ่อนๆกับร่างกายกู ส่วนชาแดกแล้วท้องผูกเลยพยายามไม่แดก
เห็นมึงๆเล่าอาการติดกาแฟแล้วกลัวเลยว่ะ แต่กูยังใจไม่แข็งพอ ขอแดกต่อไปก่อน
พรุ่งนี้สัปดาห์สุดท้ายก่อนสงกรานต์แล้วว้อย
ทำโอทีเพิ่งเลิกแต่พรุ่งนี้หยุด
ในกรณีที่อยู่บริษัทมานานจนรู้ไส้รู้พุงหมดทั้งบริษัทแล้ว ให้เลือกระหว่างอยู่แผนกเดิม งานโหดหินแต่ทีมดี เจ้านายดี กับโรเททไปแผนกใหม่ งานสบายแต่คนในทีมเต็มไปด้วยผู้หญิงดราม่าควีน (แต่งานของแผนกใหม่ไม่เชิงทำเป็นทีมมาก ทำใครทำมันซะมากกว่า) จะเลือกแบบไหนกัน
วันหยุดที่ไม่ได้หยุด มปรอย่างน้อยก็ได้เอาไปโปะเพิ่มหยุดสงกรานแทน
วันสุดท้ายก่อนสงกรานต์ว้อยสาส
>>387 >>390 >>391 ขอบคุณมากสำหรับทุกความเห็น กูก็คิดแบบนั้นแหละ ก็เลยไม่ได้โรเททไปซะที แต่บางทีเบื่องานปจบ.ก็จะมีวูบๆ ไขว้เขวบ้าง เอ้อ กูไม่ได้มีเจตนาว่าผู้หญิงนะ หัวหน้าคนปจบ.กูก็ผู้หญิง แต่โคตรดี เก่ง ฉลาด มีเหตุผล พูดจาเข้าใจง่าย และตัวเขาเองก็แม่งโคตรเข้าใจอะไรง่าย ไอดอลกูเลย แต่ผู้หญิงแผนกนั้นแม่งไม่ไหวจริง ดราม่าควีน ท็อกซิก ประสาทแดก
วันหยุด พอรับงานเสริมมาทำก็ขี้เกียจ เบื่อ งอแง อยากพักผ่อน พอเลิกรับงานได้พักผ่อนสมใจ อยู่บ้านเฉยๆ ก็เบื่อ อยากออกไปโน่นไปนี่ กลายเป็นการผลาญเงินอีก รู้สึกผิดที่ใช้เงินเปลืองอีก เบื่อวุ้ย อยากออกไปใช้ชีวิตให้เต็มที่แต่ทุกอย่างต้องใช้เงิน
พูดถึงเรื่องผู้หญิงในที่ทำงานแล้วขอบ่นหน่อย กูผญนะเจอผู้หญิงเทพๆในที่ทำงานมาก็เยอะมากพอกับผช (เทพจริง อยากโตไปเป็นแบบนั้นจัง) แต่ก็ยังรู้สึกว่าในสังคมคนทั่วไปยังมองผญด้อยกว่า, ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลอยู่ดี โชคดีที่สังคมในที่ทำงาน/สายอาชีพกูค่อนข้างโอเค แต่เท่าที่ฟังจากเพื่อนที่ทำสายอาชีพอื่นๆยังเหยียดกันแรงอยู่เลย หมดคำจะพูด ส่วนญาติๆกู พอเห็นกูเป็นผญต่อให้ประสบความสำเร็จแค่ไหนก็สนใจแค่เรื่องสวยไม่สวย กับได้ผัวรวยไหม เห้อ
เรื่องแบบนี้ประสบการณ์ส่วนตัวมีผลมากนะ กูทำงานสาย IT ที่ผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิง
ที่แรกพี่ๆผู้หญิงดีทุกคน ถึงไม่ได้ชอบเรื่อง IT เป็นชีวิตจิตใจ เค้าก็ตั้งใจทำงาน มีความรับผิดชอบ รู้เรื่องงานที่ตัวเองทำทุกคน
กลับกันผู้ชายซะอีกที่มีแต่แย่ๆ ทั้งพวกทำงานไม่เป็นเอาแต่เลียนาย ดราม่าประสาทแดก ห่าอะไรไม่รู้
กูก็เลยไม่เคยคิดว่าผู้หญิงจะทำงานได้ไม่ดีเท่าผู้ชาย หรือคนที่จะทำงาน IT ได้ดีต้องชอบเป็นชีวิตจิตใจเลย
พอมาที่ๆ 2 นี่ผู้หญิงในออฟฟิซมีแต่แย่ๆ ไม่เก่งด้านเทคนิคแล้วยังไม่พยายาม ไม่มีความรับผิดชอบอีก
พวกตำแหน่งใหญ่ๆก็เด็กเส้นคนใหญ่คนโตที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มานั่งสั่งอย่างเดียว
ผู้หญิงที่พอจะมีความเก่งหรือรู้เรื่องอยู่บ้างอยู่บ้างก็ประสาทแดก ไม่ฟังใคร เห็นแก่ตัว สุดท้ายงานที่ออกมาก็เละอยู่ดี
พอพี่ๆผู้ชายตั้งแง่กับผู้หญิงหรือคนที่ไม่ได้ชอบเรื่อง IT เป็นชีวิตจิตใจกูก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปเถียงเค้า
เพราะตัวอย่างที่เห็นได้มันมีแต่แบบนี้กันหมด
>>396 395 เอง บังเอิญจัง กูก็สาย IT และไม่ได้ชอบ IT เป็นชีวิตจิตใจด้วย กูถือว่างานคือส่วนงาน พัฒนาตัวเองพอประมาณ ส่วนชีวิตส่วนตัวกูขอเก็บไว้ทำอย่างอื่นบ้างเพราะงานอดิเรกกูเยอะเหลือเกิน ถึงขั้นต้องจัดตารางเวลา 555
คงเป็นที่ประสบการณ์ด้วยแหละ เข้าใจได้ แต่การเหมารวมแทนที่จะมองคนๆ นึงในสิ่งที่เขาเป็นมันก็ไบแอสอยู่ดี ซึ่งมันก็มีแต่ต้องแก้ที่คนมองเอง
หวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้นนะ ในที่ทำงานไม่เท่าไร กูนี่โดนเหยียดจากคนในบ้านก่อนเลยว่าเป็นผญต้องไม่เก่ง หรือเก่งน้อยกว่าผช เห้อ
กุกากอีกแล้ว กุว่าหลักๆเป็นเพราะกุพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่องอ่ะ แล้วกุต้องพรีเซ้นท์งานเป็นภาษาอังกฤษตลอด มันทำให้กุพรีเซ้นได้เหี้ย ตอบคำถามได้เหี้ย กุเลยไม่สามารถโน้มน้าวใครให้เข้าใจเหตุผลของกุได้ แต่อีกจุดนึงกุก็รู้สึกว่าถึงภาษากุดีกว่านี้แต่กุก็ไม่เก่งจริงๆ กุสามารถมองเห็นจุดอ่อนได้นะ แต่วิธีแก้ปัญหาของกุมันจะไม่ค่อยตรงตามความต้องการของคนอื่นเท่าไหร่อ่ะ กุเฟลมากมาย กุเหนื่อย แต่กุจะพยายามต่อไป
KY หน่อย ทำไมพวกโทรมาเพราะเห็นประวัติแล้วสนใจ พอกูบอกขอรายละเอียดทางเมลเพราะไม่สะดวกคุยตอนนี้ (อยู่ที่ทำงาน) แม่งไม่เคยส่งมาเลยวะ กูโทรไปถามได้มั้ยหนิ
>>400 กูก็เคยเจอ กูอาจจะรู้สึกไปเองนะ แต่พวกนี้ที่กูเจอจะมาจากบริษัทค่อนข้างดัง
แล้วพอเค้าบอกชื่อบริษัทแล้วเราไม่ดูแสดงความรู้สึกสนใจเป็นพิเศษเค้าก็จะไม่สนใจเท่าไหร่แล้ว
คงอยากได้คนที่อยากเข้าเพราะจะได้กดเงินง่ายๆมั้ง
พอบอกให้เค้าส่งมาเค้าก็จะเออๆออๆตามมารยาท แต่ก็ไม่ส่งจริง
ช่วงนี้ บ กูเลออฟคนหลายรอบมาก โบนัสกลางแีกับเงินเดือนขึ้นปีนี้ก็ไม่น่ามี กูควรอยู่ต่อไหมวะ เพราะกูรู้สึกว่างานตอนนี้มันมาลงที่กูเยอะมาก
>>398 กูครั้งนึงก็เคยชอบเป็นชีวิตจิตใจนะ แต่พออายุมากขึ้นก็เหมือนอิ่มตัวมั้ง ก็อยากใช้เวลาไปกับงานอดิเรกอื่นๆมากกว่า
อีกอย่างตำแหน่งตอนนี้มันมาถึงที่ตันๆแล้วด้วย งานอาจจะไม่หวือหวาแต่ก็ไม่หนักมากและค่าตอบแทนไม่แย่
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงกูคงอยู่เปื่อยๆต่อไปได้อีกพักใหญ่ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าอยากดิ้นรนรู้เรื่องอะไรเพิ่ม หรือรู้เพิ่มแล้วชีวิตจะดีขึ้นมากมาย
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าไม่ได้แย่ถึงขั้นทำงานไม่ได้ เป็นตัวถ่วงทีม สร้างปัญหาให้คนอื่น
กูว่ามันก็ไม่ได้ต้องศึกษานอกเวลามากมายหรอก
แต่คนแย่ๆที่กูพูดถึงในที่ทำงานที่ 2 นั่นคือมันแย่จริง ส่วนนึงเพราะระบบคัดกรองคนและลักษณะงานของที่นั่นด้วย
คืออยู่ในระดับที่ต้องใช้คำว่าไม่มีคุณสมบัติสำหรับตำแหน่งที่ได้ ไม่ควรปล่อยหลุดมาจากขั้นตอนสัมภาษณ์งานแต่แรกด้วยซ้ำ
แต่ก็มาเพราะหาคนไม่ได้บ้าง เด็กเส้นบ้าง บริษัท outsource โยนๆมาให้ในราคาถูกเลยเอาไว้ก่อนบ้าง
เลยไม่แปลกใจที่คนที่อยู่กับที่ลักษณะนั้นมาตลอด พอเจอแต่ผู้หญิงทำงานแย่ๆก็เลยเกิดความคิดเหมารวม
แต่ก็อย่างที่มึงบอกแหละว่าความคิดแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกหรอก แต่ก็คงเปลี่ยนความคิดเค้าไม่ได้จริงๆ
เผลอหกล้มในที่ทำงาน ขาแพลงละกระดูกร้าว ลางานมาได้7-8วันละ ที่แผนกต้องการตัวด้วย ลางานรักษากระดูกนี่แม่งนานเป็นเดือนๆ ทำงานในประเภทที่ต้องใช้ขาไม่ใช่นั่งโต๊ะทำงานด้วยนี่ดิ ....เลิกงานมากูก็มีความคิดอยากหางานเสริมจริงๆนะเผื่อเป็นโรคอะไรหนักๆละรายได้เกื้อหนุนมันไม่มีมาทดแทนได้ กูขับรถไม่เป็น(และไม่มีรถด้วย) นายจ้างให้วันหยุดงานได้ 2วัน สมมติต้องการงานเสริมที่แบบไม่ต้องประจำ รับเป็นงานๆจบเป็นวันได้นี่ไปทำไรได้บ้างวะ?
ถามโง่ๆ เลยนะ สำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วไปที่ลงทุนวางแผนเกษียณ ทองแท่งนี่ควรซื้อเก็บไว้มั้ย ตอนนี้กูมีเงินฝาก สลากออมสิน ประกันออมทรัพย์ หุ้น กองทุน (pvd ssf rmf) แต่สิ่งที่ไม่เคยมีเลยคือทองคำ รู้สึกว่ามันแพงจนซื้อไม่ลง และอีกอย่างคือต้องมากังวลเรื่องการเก็บรักษาอีก แต่มาคิดย้อนดูแล้ว 10-20 ปีก่อนมันก็ถูกกว่านี้มาก ยังไงก็ควรมีแบ่งไปลงทุนตรงนี้บ้างใช่มั้ย ซัก 5 บาท 10 บาท
เป็นเด็กจบใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานครั้งแรกเอาตอนปลายเดือนเลยไม่ได้เงินเดือนนั้น เดือนถัดมาบ.จะชดเดือนก่อนให้ป่ะ
เคยเห็นผ่านๆในมู้นี้แหละว่างานราชการมันไม่ดี แต่มีใครพอจะอธิบายละเอียดๆได้ไหม คือกุโดนที่บ้านตื้อขยันให้กุออกจากงานตอนนี้อยู่แล้วไปรับงานราชการที่เขต แล้วบอกว่างานสบายเช้าชามเย็นชาม แต่กุไม่อยากทำเลยพยายามหาข้อเสียไปแปะอัดหน้าที่บ้าน
>>417 กุไม่ได้ทำนะ แต่มีญาติมีเพื่อนทำงานราชการ
เมิงจะเข้าไปเจอการเมือง เจอการทำงานแบบไทยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้าหลัง ไม่ว่าจะระบบ ความคิด ทำงานทุกอย่างที่นายสั่ง เมิงขัดใจนายอย่าหวังว่าจะรุ่ง ถ้าหน่วยงานมีสแกนเข้าเวลา เมิงเข้าสายก็โดนตัดคะแนน แม้ว่าเพื่อนร่วมงานจะอู้ แต่เขาไม่เคยมาสาย และเป็นที่ชื่นชอบของนาย เขาก็จะถูกเลื่อนขั้นก่อน หรือถ้าเขามาสาย ถ้าเมิงอยากย้ายเมิงต้องไปกราบตีนหัวหน้าให้เซ็นช่วย ถ้าเขาไม่เซ็นให้เมิงทำได้แค่ยื่นลาออก หรือไปเส้นขอให้ผู้ใหญ่คนอื่นช่วยกดดัน
ข้อเสียก็มี แต่มันก็มีข้อดีเหมือนกัน กุไม่รู้นับว่าเป็นข้อดีไหม แต่มันก็เป็นข้อดีที่มาจากการเอาเปรียบ และใช้อำนาจ ยังไม่นับไปทางสายสีเทา
>>419 สิ่งที่มึงว่ามา มันไม่ได้เป็นทุกหน่วยงาน แล้วแต่มึงจะไปเจอหน่วยงานแบบไหน ก็เหมือนบริษัทเอกชนที่มีหลายแบบ พวกหน่วยราชการที่เช้าชามเย็นชาม ไม่มีตอกบัตรเข้างาน ไม่ทำงานห่าไรกันเลย สบายชิบหายก็มี หัวหน้าชวนไปแดกทั้งวัน เห็นแบบนั้นกูเสียดายภาษีชิบหาย แต่ก็จะบอกมึงว่ามันมีทุกรูปแบบ เหมือนบนิษัทเอกชนที่มีทุกรูปแบบ ไม่ได้ต่างกัน
>>419 +1 ตามนี้ คนใกล้ตัวเคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน คนมีไฟเข้าไปจะมี 2 ทาง คือกลายเป็นคนไฟมอดตามคนเก่าๆ ไป หรือไม่ก็ทนอยู่ไม่ได้ต้องออกมา ถ้าคนไม่เคยทำงานมาก่อนหรือทำแต่บ.ไทยมาตลอด กูว่าไม่น่ามีปัญหานะ คล้ายๆ กัน แต่ถ้าใครเคยทำบ.ฝรั่งดีๆ มาก่อน มีแนวโน้มจะทนไม่ได้และรับไม่ได้สูง
วันหยุดวันสุดท้ายยยยยย
งานข้าราชการมีตั้งแต่เบาแบบแปะชื่อไว้ ปีนึงเข้าไปทำไม่กี่วันที่เหลือนอนเกาไข่ที่บ้าน
กับแบบหนักชิบหายยังกับบริษัทมืด อย่าว่าแต่วันหยุด ธรรมดาเวลาแดกข้าวยังแทบไม่มีก็มี
เพื่อนโม่ง เงินเดือน 50,000 จะย้ายเข้าไปอยู่กรุงเทพ หาโอกาส หาความเจริญ ต้องซื้ออะไรบ้างเพื่อชีวิตที่ดี/ เช่าราคาอะไรเท่าไหร่ พวกของแบรนด์เนมจำเป็นมั้ยถ้าอยากเข้าไปเป็นเพื่อนสังคมคนรวย มีคำแนะนำอะไรให้เด็กบ้านนอกๆไม่เคยอยู่กรุงเทพแบบกูบ้าง
>>430 กุเริ่มงานได้น้อยกว่ามึงหน่อย สังเกตจากรอบๆตัว ถ้าอยากเข้าสังคมคนระดับทั่วไปไปทางกลาง ก็ต้องมี checklist ระดับนึง
พวกกลางๆจะแบบที่บ้าน มีบ้าน มีรถ อาจจะมีที่ดิน มีสมบัติในระดับนึง ไปกินตามห้างได้ตลอด ซื้อของตามห้างได้สบายๆแต่อาจจะไม่ถี่ เลือกไปเที่ยวตปท.มากกว่าเที่ยวไทย พวกของแบรนด์เนมนี่ไม่ค่อยเห็นใช้กันนะ ไม่รู้เพราะเป็นสายไอทีรึเปล่า ส่วนมากจะตามเทคโนโลยีกันมากกว่า
ถ้าระดับทั่วไปก็อาจจะ มีบ้าน/คอนโดหรือไม่ก็มีรถอย่างใดสักอย่าง ที่เหลือก็คล้ายๆกลางแต่ลดระดับกันไป
กุ
ไม่จัดให้เป็นสังคมคนรวยนะ เพราะกุเห็นมาแล้วคนรวยจริงๆนี่อีกแบบเลย มียันเจ้าของธุรกิจ โรงงาน ตระกูลเก่า ยากูซ่า พวกนั้นนี่ไปอีกโลกเลย แต่มันก็มีพวกที่ใช้ชีวิตแบบพวกระดับกลางๆนะ แต่อาจจะเที่ยวตปท.บ่อย ซื้อของอะไรไม่กังวลเรื่องตัง ไปกินอาหารตามโรงแรมมากกว่าห้าง ใช้รถแบรนดีกว่า
>>434 จริง คือคนละพวกกับสายแบรนด์เนมไรงี้มั้ง กูก็ไม่ค่อยอิน แต่กูก็เป็นแบบมึงนะ มีเงินเดือนพอใช้แบบสุขสบาย กินอาหารห้างได้ เหลือเงินมาเที่ยว ซื้อของสะสมหนังสือไรว่าไป ก็ทั่วไปของชนชั้นกลางในกทมนะ ไม่ต้องไปทําตัวรวยกลวงๆไร้วัฒนธรรมหรอกมาถึงจุดหนึ่งก็อิ่มตัว อยู่ให้ตัวเองมีความสุขดีกว่าป่ะ หาคอมมูนิตี้ที่ชอบ แล้วก็ไปสิงดีกว่า แบบในกทมก็มีกลุ่มคอมมูนิตี้เยอะ เช่นชอบดนตรี ศิลปะ รถ สายสตรีท บลาๆเยอะแยะ
>>434 ว่าก็ว่านะ ไอพวกใช้แบรนด์เนม กูเห็นจริงๆคือพวกในวงการบันเทิงหรือออกแนวงานออกสังคมนะ เช่นหมอดูหรืองานทำผม แต่งหน้า ซึ่งก็ว่าอ่ะ มาสายเทค สายไอที ไม่มีอวดไรงี้หรอกเพราะไร เพราะเก็บเงินไปอวดแกทเจ็ทใหม่ๆแทนแบรนด์เนมที่ซื้อมาซึ่งก็ไม่รู้ว่าทนกว่าอะไรยังไงไง 5555+
ต่อให้เงินเดือนแสนนึง ก็ไม่ได้เข้าสังคมคนรวยหรอก ก็มนุษย์เงินเดือน กินข้าวข้างทางธรรมดานั่นแหละ ไอ้ที่ต่างจากปรกติหน่อยคือเอาเงินไปละเลงกับงานอดิเรกได้มากขึ้น
แต่ยังไงเงินที่ที่มาก มักมาพร้อยกับความรับผิดชอบที่มากตาม บ.เอกชลไม่ปล่อยให้คนเงินเดือนเยอะนั่งเล่นไปวันๆ หรอก ใช้งานหนักจนหยดสุดท้ายนั่นแหละ ไม่ค่อยมีเวลาว่างนักหรอก
พวกจบโทนอกย้ายสายงานมาdata ควรสตาร์ทเท่าไหร่ ปสก.คือ0เลย 40-50k ได้มะ แต่อันนี้บ.ไทย บ.ต่างชาติจะบวกอีกนิด แต่รู้สึกบ.ต่างชาติมันคัดกันหนักหลายรอบกว่าบ.ไทย
เงินเดือนสูงไม่เท่ากับไฮโซว่ะ
บ้านกูรายได้ต่อปีหลักสิบล้าน หักค่าใช้จ่ายก็ยังเหลือเป็นล้านๆ ปิดบ้านปิดรถได้ไม่ยาก ส่งลูกหลานเรียนอินเตอร์ฯ ยังเป็นแค่ชนชั้นระดับกลาง
ไฮโซตัวจริงรายได้ต่อปีแม่งน่าจะหลักร้อยล้าน มีธุรกิจเป็นเครือๆ มีคอนโดกลางเมือง ส่งลูกหลานไปเรียนไปใช้ชีวิตต่างประเทศ ซึ่งบอกเลยว่าแม่งคนละระดับเลย แค่จังหวะการใช้ชีวิตก็คนละแบบแล้วอะ
>>442 ใช่เลย แม่งทำเอากูคิดเลยนะว่าถ้ายังเป็นมนุษย์เงินเดือน รับเงินเดือน 3-5 หมื่นนี่มันจะลืมตาอ้าปากในยุคนี้จริงเหรอวะ
ต่อให้มีเงินเดือนหลักแสน ปีนึงยังได้แค่ล้านกว่าๆ ซึ่งแม่งไม่พอยกระดับชีวิตตัวเองแน่ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งดารา ทั้งคนดังถึงเริ่มทำธุรกิจเอาชื่อตัวเองมาขายกันทั้งที่น่าจะดังจนมีเงินในระดับหนึ่งแล้วอะ
ทำงานที่เดิมมา 6 ปี เบื่อมาก มีวิธีแก้เบื่อยังไงบ้าง ตอนแรกคิดว่าได้หยุดยาวสงกรานต์น่าจะรู้สึกดีขึ้น กลายเป็นว่าทำงานมาแค่อาทิตย์กว่าๆ กลับมาเหี่ยวเหมือนเดิมอีกละ จริงๆ ที่ทำงานกูค่อนข้างโอเคเลยนะ ถ้าเทียบกับบ.ที่ผ่านมา ที่นี่ลงตัวสุด และมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีบริษัทไหนเพอร์เฟกต์ สำหรับกูนี่คือดีมากแล้ว แต่มันก็เบื่ออยู่ดี พอเจอกับปัญหาเดิมๆ เจอเรื่องงี่เง่าคนงี่เง่าเดิมๆ ที่รู้ว่าแก้ไม่ได้ ทุกวันนี้กูใช้เงินแก้เบื่อ กลายเป็นว่าผลาญเงินหนักชิบหายเลยทีนี้
แชร์ประสบการณ์ ปัจจุบันเงินเดือนแสนห้า มีภาระแค่ผ่อนรถงวดละสามหมื่น กูยังไม่รู้สึกเป็นชนชั้นกลางเลย คุณภาพชีวิตไม่ต่างกับตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ แต่มีเงินเก็บมากขึ้น ซึ่งเงินเก็บที่มากขึ้นก็ไม่พอจะซื้อเหี้ยอะไรที่จำเป็นอยู่ดี (อาจจะทำได้แค่ซื้อของฟุ่มเฟือนได้แพงขึ้น แดกข้าวแพงขึ้นบ้าง แต่กูก็เลือกที่จะเก็บเงินไว้ก่อน)
เงินที่มากขึ้นก็ไม่ได้เอาไปลงทุนแล้วออกดอกออกผลให้กุชื่นใจได้ในยี่สิบสามสิบปีแน่ๆ
กูทะเลาะกับแฟน เคลียร์กันเสร็จ น้องสาวกูมาอีก ออกไปแต่เช้า กูแทบจะไม่ได้นอน กูเลยลางานกับหัวหน้า แต่ไม่ได้บอกเหตุผล กูรู้สึกผิดที่กูลาว่ะ ถ้าลากะทันหันอ่ะ กูเป็นแบบนี้ทุกทีเลย ทั้งๆ ที่งานก็ไม่มีไรด่วน แต่เหมือนกูทำเรื่องไม่ดีอยู่ วันลาก็ยังเหลือบานจะไท
>>447 ไม่เกี่ยวกับแคร์ไม่แคร์นะ การลากะทันหันมันผิดกฎบริษัท(ส่วนมาก)อยู่แล้ว ยกเว้นลาป่วยที่มันไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้ แต่ลาพักร้อน ลากิจ บริษัทใหญ่โตที่ไหนก็ไปเปิดคู่มือพนักงานดูเถอะ มันต้องแจ้งล่วงหน้าทั้งนั้น ในเมื่อทำผิดกฎบริษัท จะรู้สึกผิดก็เป็นเรื่องสมควรนะ ถ้าลาด้วยเรื่องไร้สาระจนต้องละเมิดกฎบริษัทแล้วไม่รู้สึกผิดอะไรเลยกูว่าก็เข้าขั้นเหี้ยขาดความรับผิดชอบละ
มีคำถามกับโม่งที่เงินเดือนเกินห้าหกหมื่นหว่ะคือ สมมติถ้าชีวิตทำงานที่ผ่านมาไม่มีคอนเนคชั่นบ้างเลย มันจะมีโอกาสได้งานรายได้ระดับนี้ได้บ้างป่ะวะ? การรับคนเข้าทำงานรายได้สูงๆเพราะมีประสบการณ์และฝีมือ มันยังมีจริงอยู่ใช่ไหม?
สายคอมวันนี้เพิ่งตกงานแบบกระทันหัน งงชีวิต
>>450 กูว่าการทำงานสายที่ค่าตอบแทนสูง และอยู่ถูกที่ถูกทางมันก็ได้ค่าตอบแทนสูงได้ ต่อให้ไม่มีทั้งความสามารถและคอนเนคชั่นก็ตาม
กูมีคนรู้จักทำงานสายคอม เรียกได้ว่าโคตรห่วย จบมา 5-6 ปี แต่ความสามารถเรียกว่าแย่กว่าเด็กจบใหม่กลางๆด้วยซ้ำ
แต่เปลี่ยนงานบ่อย (เพราะอยู่ไม่ได้) จับพลัดจับผลูได้เข้าบริษัทใหญ่ที่การบริหารและคัดกรองคนไม่ดี เห็นอายุงานเยอะกับคนขาดก็รับๆมา
ได้เงินเดือน 6 หมื่น ทั้งที่เงินขนาดนี้เอาไปจ้างเด็กจบใหม่ไฟแรงๆได้หลายคน แต่เงินบริษัทไม่ใช่เงินกูอ่ะนะ จะไปห้ามเค้าจ้างก็ไม่ได้
>>455 เป็นกำลังใจให้นะมึง สายนี้อย่างน้อยก็ยังหางานไม่ยาก
สายที่ค่าตอบแทนสูงแบบ คนไม่รู้กันแล้วงานสบายด้วย ต้องไปสายการตลาดกลุ่มการเงินว่ะ ยุคที่ธนคารออกโปรแข่งกันแบบนี้มันจะมีที่ใหม่ offer เงินเดือนให้มึงเรื่อยๆ ไม่ถึง 40 ก็เกินแสนว่ะ
บางที่จ่ายเงินดึงตัวกันเป็นล้าน งานคือ preset ระบบที่เก่าที่มึงทำแล้วจ้าง supplier ทำให้งานตามสั่ง หลังจากนั้นไม่ต้องทำอะไร ปีนึงแค่รอแค่เซ็นต์ตรวจงานจาก supplier แค่นั้น
พวกมึงเคยเจอคำถามจิตวิทยากันมั้ยว่ะ แบบว่าตอนกูยังหางานไม่ได้เพิ่งจบใหม่มาเลยเคยมีอยู่ที่นึงเจอเรซูเม่กูจากเว็บหางานแล้วโทรมาเรียกสัม พอกูไปสัมเจอคำถามประมาณว่า ถ้ามีคนสองคนติดเกาะเป็นคนไทยกับต่างชาติซึ่งเป็นเพื่อนเราเองแต่คนไทยไม่รู้จักแล้วเกาะจะถล่มส่วนเรามีเรือเลือกช่วยได้แค่คนเดียวจะเลือกใคร กูตอบต่างชาติซึ่งก็ตอบไปตามความรู้สึกกูเลยว่าก็เพื่อนเราต้องช่วยเพื่อนก่อนแล้วคนสัมก็จี้กูทำไมไม่เลือกคนไทยคนไทยต้องช่วยเหลือกันสิ แล้วสักพักเปลี่ยนเป็นถ้ากูมีเพื่อนสนิทอยู่บนเรือด้วยแต่เพื่อนอยากช่วยคนไทยจะทำไงแล้วก็จี้กูใหญ่ว่าเพื่อนกูผิดใช่มั้ยที่เลือช่วยคนไม่รู้จัก พวกมึงจะตอบไงว่ะ กูไม่มีหัวด้านจิตวิทยาเลยรู้แหละว่ามันวัดทัศนคติการอยู่ร่วมในที่ทำงานแต่กูโดนแค่ถามแบบนี้ อะไรที่กูเตรียมตัวมาพวกคำถามเบสิค แนะนำตัว มีประสบการณ์อะไร ทำอะไรได้บ้าง เคยเจอปัญหาทำงานแบบนี้มั้ย ก็ไม่ถามอะไรเลย สุดท้ายก็ไม่รับกูซึ่งก็ดีล่ะ ที่ที่กูได้ตอนนี้ดีกว่ามาก บรรยากาศ เพื่อนในทีม หัวหน้า
โม่งถามหน่อยกูพึ่งย้ายมาอยู่บ้านญาติถาวรเพราะที่บ้านขายบ้านใช้หนี้ เเล้วทีนี้กูใกล้เข้าวัยทำงานละ ขอถามเเบบโง่ๆเลยว่า กูต้องไปทำเรื่องเปลี่ยนที่อยู่ทะเบียนบ้านกับทำบัตรปชช.ใหม่เพื่อสมัครงานมั้ยวะ เเล้วเวลาสมัครคือเอาสำเนาทะเบียนบ้านล่าสุดไปยื่นเลยใช่ปะ
ขอโทษที่คำถามมันดูโง่นะ กูยังไม่เคยสมัครงานเลยนี่ครั้งเเรก
อาทิตย์นี้ทำงานแค่ 2 วัน ดีใจโว้ยยยยยยยยย แต่หลังจากนี้ไปมองปฏิทินแทบไม่มีวันหยุดแล้วว่ะ ฮือออออ มีแค่เดือนละ 1 วันซะส่วนมาก บางเดือนก็ไม่มี อีกทียาวๆ ก็ปีใหม่เลย อีกครึ่งปี อ๊ากกกกกกกก
อาทิตย์นี้กูหยุดยาวทั้งอาทิตย์ 😎
แม่งเบื่อวะ พอหยุดยาวนอนไม่ค่อยหลับ เสือกทิ้ง notebook ไว้ที่ทำงานอีก อด wfh เลย บริษัทกุเดือนนึงต้องเข้า 7 วัน
อยากมีวันหยุดสัก 365 วันแบบมีเงินเดือนว่ะ
>>466 เอิ่ม คือ มึง คนปกติถ้าซื้อบ้านคนอื่นมาต้องเอาชื่อทุกคนออกจากบ้านตั้งแต่เขาได้ทะเบียนบ้านแล้ว คือบ้านไม่ใช่ของคนในครอบครัวมึงแล้ว เจ้าของใหม่จะยอมให้มีชื่อมึงเป็นลูกบ้านค้างอยู่ได้ยังไง
อันนี้เรื่องพื้นฐานมากๆที่วัยผู้ใหญ่ต้องรู้นะ และมึงควรจะถามที่บ้านก่อนจะมาถามโม่ง
อยากลาออกจากราชการว่ะ 55555 แต่จะไปทำฟรีแลนซ์ก็คงกินแกลบ พ่อ แม่พี่น้องอีก เฮ้ออ
>>476 ออกดิ พ่อแม่กูออกก่อน จากแรกเป็นราชการคณุจนๆจนมาเปิดธุรกิจเองคือไปรุ่งเลย ส่งลูกเรียนนอกได้ ถอยรถบีเอมได้ ซื้อที่ดินปลูกบ้าน3-4หลังแล้ว คือออกมาทําเองแล้วมึงอาจจะไม่ได้รวยสัสๆ แต่ออกจากระบบเหี้ยนี่เถอะ คืออย่าไปเสียดายไปhold back ออกมาก็ถือว่าได้ประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆดีกว่ามานั่งหมกอยู่ในหลุม
จริงๆฟรีแลนซ์ไม่มีทางจนหรอกถ้าขยันใฝ่หางาน แต่ก็แลกมากับความเหนื่อย แต่อย่างน้อยก็เป็นนายของตัวเองกูส่าสบายใจกว่าเยอะ
น้องกูยังมีหนี้อยู่ อยากช่วยมันใช้ให้หมด (พอกูบรรจุปุ๊บ มันชิงลาออกราชการเลย กุเส้า //แต่มันไปทำที่เงินเดือนเยอะกว่า คุ้มกว่า แต่ก็ยังโปะหนี้ได้ไม่เยอะมาก หนี้หลักล้าน) ทีนี้กูก็จะไม่รู้สึกผิดละ จริงๆ ที่ทำราชการเพราะแม่เลย เขาคงห่วงกู ว่าแก่ตัวไปจะลำบาก เพราะกูก๊องแก๊ง ไม่เก่งเหมือนพี่น้อง แต่จริงๆ ช่วงโควิดกูเพิ่งเจอทางที่ชอบ แล้วมันพอทำรายได้ ได้ ถึงจะไม่มากไปหว่าเงินเดือน แต่กูแฮปปี้กับการทำ ไม่ต้องมาปสด.รับมือกับคน กับระบบ
เหนื่อยว่ะ ท้อด้วย กูจบใหม่เพิ่งเข้าทำงานมาได้เดือนเดียว โดนโยนหลายอย่างมาให้ทำ แล้วเจอพี่ในบ.มากดดันบอกให้ทำนู้นนี้ ทั้งๆที่กูแทบจะทำคนเดียวทุกอย่างอยู่แล้ว เอกสารเก่าๆก่อนกูเข้ามาไปอยู่ไหนก็ไม่รู้พอหาไม่เจอกูก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ งานเก่าก็ทำจะไม่ทัน งานแก้ก็ยังไม่แก้ หัวหน้าก็บอกให้ไปโฟกัสทำอีกอย่างแทน พี่ในบ.ก็ตามกดดันกูงานแก้งานอื่นเอย กูรู้เป็นภาระทีมว่ะ วันก่อนก็เพิ่งทำงานอย่างนึงพลาดไป เอาไงดีว่ะ เดือนเดียวยังไม่ครบโปรด้วย TT
>>482 กูไม่รู้รายละเอียด แต่มีงานอะไร เดดไลน์ยังไง ปัญหาที่ต้องรอแก้ มึงลองจดลิสต์ออกมาให้หมดก่อนดีไหม ตอนนี้เหมือนมันรุมสุมอยู่ในหัวมึงอ่ะ มันก็ยิ่งเครียด คิดอะไรไม่ออก
แต่กูดูทรงที่นี่ท็อกซิกนะ ถ้าบั่นทอนสุขภาพจิตมากๆ แต่นังออกไม่ได้ ย้ายไม่ได้มึงลองหานักจิตบำบัด หรือเพื่อคุย เพื่อนระบายที่เขารับฟังจริงๆ ดู อย่าให้สุขภาพจิตปกติดีๆ มันเทิร์นไปเปนอื่น
กูเคยมาละ ปรับตัวกับที่ทำงานใหม่ไม่ได้เนี่ย อย่าเบลมตัวเองว่าไม่อดทน เพราะมันเข้ากับเราไม่ได้จริงๆ ก็คือไม่ได้
>>482 rule of thumb คือทำตามคำสั่งคนที่ใหญ่ที่สุด ถ้าคำสั่งขัดแย้งกัน ให้บอกว่า"คุณxxxบอกให้ทำอันนี้ก่อนค่ะ" แล้วให้ไปเถียงกันเอง และทำตามคำสั่งเดิมต่อไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปใหม่ วิธีนี้มึงจะงานท่วมเหมือนเดิมแหล่ะ และอาจมีศัตรูเยอะ แต่ศัตรูทำอะไรมึงไม่ได้เพราะมึงทำตามคนใหญ่ที่สุดเสมอ
>>482 มึงอย่าเพิ่งท้อ 555 กูทำงานมาจะ 10 ปีกูก็เจอปัญหานี้ กูมีนายตั้ง 3 คน นาย 1 ใหญ่สุดแต่อยู่ห่างไกลบนหอคอยงาช้าง นาย 2 ใกล้ชิดแต่ตำแหน่งต่ำกว่านายใหญ่ นายอีกคนตำแหน่งต่ำสุด คนที่ 3 นี่ไม่ค่อยมีปัญหา เขาจะต้องเป็น priority สุดท้ายอยู่ละเพราะเด็กสุดและตำแหน่งต่ำสุด 555 กูจะมีปัญหาเรื่องคนที่ 1 กับ 2 เพราะแน่นอนว่าถ้าตามตำแหน่ง คนแรกก็ต้องมาก่อน แต่บอกตามตรงกูเกรงใจคนที่ 2 มากสุด เพราะเป็นนายกูโดยตรง ใกล้ชิด แต่คนแรกนี่แทบไม่เรียกว่าเป็นเจ้านายกูด้วยซ้ำ เป็นเจ้านายนายคนที่ 2 อีกที แต่ไม่รู้เป็นโรคไร เขามีไรไม่ชอบไปสั่งกับนาย 2 ชอบมาสั่งกับกูโดยตรงเนี่ย แล้วบางทีคำสั่งมัน conflict กันบ้าง ทับไลน์กันบ้าง ไทม์ไลน์มันไม่ได้บ้าง กูละปวดจัยย บางทีก็ไม่รู้จะพูดยังไงน้ำท่วมปาก
เพื่อนโม่งขอถามหน่อยมีใครได้ชื่อตำแหน่งงานแปลกๆที่ไม่ค่อยตรงกับงานที่ทำบ้างมั้ย? ตอนเอาลง resume ควรเปลี่ยนให้เป็นชื่อตำแหน่งที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายๆไปดีกว่ามั้ยอะ?
กูจะไล่ part time ออก ต้องจ่ายชดเชยเท่าไหร่วะ
เออ มาปรึกษาโม่งด้วยคนที เจอตัวเหี้ยในที่ทำงานละ มันเคยอยู่แผนกนึง ทำตัวเยี่ยงหัวหน้าทั้งๆที่มีปัญญาเลียแต่หัวหน้ากับหัวกะทิ ต่อมามันย้ายลงมาแผนกกูที่ทำตอนนี้ ทีนี้ ไม่ได้อะไรดั่งใจอยู่ๆจะมาgaslightด่ากู หรือใช้ตรรกะเหี้ยๆมาทับถมใส่กู แล้วไม่รู้อารมณ์มันด้วยว่ามันจะโมโหไรตอนไหน คือชอบหาที่ระบายใส่จนเป็นสันดาน เพื่อนร่วมงานกูก็โดน น้องอีกคนที่ทำงานดีกว่ากูน้องก็โดนเหมือนกัน อยากเอาเรื่องนี้ไปรายงานให้หัวหน้ารู้สันดานสัปดนของมันแบบที่พวกเพื่อนร่วมงานปากสว่างไม่ค่อยรู้กันนี่ทำไงดีวะ? ใครเคยเจอแบบที่กูเจอป้ะ?
ขอปรึกษาหน่อยพอดีว่าเป็นเฟิร์สจ็อบเบอร์ที่ทำงานสำนักงานบัญชี เข้ามาในช่วงปิดงบพอดีพอเห็นความเหลวเปลวขององค์กรเลยคิดว่าจะไม่ทำที่นี่ต่อเลยอยากรู้ว่าถ้านักบัญชี ยื่นภาษี ภ.ง.ด. 1 3 53 ภ.พ. 30 อะไรแบบนี้เป็น ใช้เอ็กเพรสได้ พอปิดงบได้บ้างมีประสบการณ์ 3-4 เดือนนี่ถือว่าโปรไฟล์น่าเกลียดไหม
>>494 ขึ้นอยู่กับสัญญา ปกติ part time กฎหมายไม่ช่วยเท่าไรนะ ถ้าสัญญามึงไม่ระบุไว้ไม่ต้องชดเชยเลยก็ยังได้
>>495 ???
>>496 รายงาน HR
>>497 กูไม่ใช่สายบัญชีนะแต่นอกจากที่ใช้โปรแกรมเป็นมันก็ฟังดูเบสิคปะวะ ประสบการณ์แค่ 3-4 เดือนถ้าสายงานกูคือไม่นับนะ ให้เท่ากับ0 คือไม่ใช่โปรไฟล์น่าเกลียดแต่คือโปรไฟล์เป็น0เท่าเด็กจบใหม่ ติดลบนิดนึงตรงที่ทำงานไม่กี่เดือนก็จะชิ่ง
พรุ่งนี้วันจันทร์หลังหยุดยาว...
เชี่ย ไอพวกที่ได้วันหยุดยาวทั้งวีคสมัยนี้ยังมีจริงอีกเหรอวะ? กูเจอแต่พวกข้าราชการหรือพวกรัฐวิสาหกิจแค่นั้นละนะ
ขอปรึกษาหน่อยงับชาวโม่งรุ่นพี่ กุทำงานมาได้ 9 เดือนแล้ว
1. รู้สึกว่าสายงานที่ทำอยู่มันไม่ใช่
2. เงินเดือนน้อย ทำงานปีแรกไม่มีวันลาพักร้อน
3. ไม่ค่อยได้สกิลใหม่เท่าไหร่ ส่วนมากเป็นงานแอดมิน
4. เนื้องานไม่เข้ากับบุคลิกภาพของตัวเอง
แต่ยังทนทำอยู่เพราะคิดว่าตัวเองยังสามารถ “ทำได้ดี” มีคนในทีมคอยซับพอร์ตตลอด หัวทีมก็คอยชมเสมอ จนวันนี้ที่กุไปรู้ความจริงว่า หัวทีมกับคนอื่นในทีมเขาพูดกันลับหลังกุว่า ไม่ไว้ใจกุ กุไม่น่าจะทำได้ และมีอีกหลายงานที่มอบหมายให้เด็กใหม่คนอื่นทำตั้งแต่เดือนแรกๆ ในขณะที่กุผ่านมา 9 เดือนแล้วยังไม่ได้โอกาส
กุควรอยู่หรือไปดี ใจจริงอยากลาออกไปหางานใหม่เลยมากๆ (เพราะไม่มีวันลาพักร้อนไปสัมภาษณ์งานอื่น) ถึงอยู่ต่อก็ไม่น่าจะทำสายนี้ต่อแล้ว แต่ก็กลัวออกไปแล้วหางานที่อยากทำไม่ได้ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน แต่กลัวจะยิ่งหมดความมั่นใจที่ตกงานน่ะ
>>505 กูว่างานไม่เหลือข้อดีอะไรแล้ว มันก็ดูไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อเท่าไหร่อ่ะนะ
การจะย้ายงานถ้าให้ดีคือควรหางานใหม่ให้ได้ก่อนจะบอกที่เก่าว่าขอลาออกแหละ ไม่นับกรณีที่มีปัญหาอะไรทำให้ต้องรีบออกจริงๆ
เพราะถ้าหางานใหม่ไม่ได้เร็วๆมันเจอปัญหาทั้งไม่มีเงิน เสียความรู้สึก และภาพลักษณ์เวลาไปสมัครงานดูไม่ดีทำให้ยิ่งได้งานใหม่ยากด้วย
เรื่องลาไปสัมภาษณ์ไม่ได้ไม่แน่ใจว่ามึงมีวันที่เค้าให้ทำงานจากบ้านมั้ย ถ้ามีก็คงต้องหาที่ๆเค้าสัมภาษณ์งานแบบวีดีโอคอลได้ไปก่อน
ส่วนถ้าไม่ได้อีกก็นึกไม่ออกละ รอโม่งคนอื่นมาช่วยเสริมละกัน
>>507 เสริม ทำมาตั้ง 9 เดือน ก็ทนอีก 3 เดือนก็ครบปีมีวันลาพักร้อน 6 วันเอาไว้ไปสัมภาษณ์งานแล้ว แต่คนทั่วไปที่เค้าหางานใหม่กันก่อนครบปี เค้าก็ลาป่วยไปสัมภาษณ์งาน หรือถ้าบริษัทบางที่แฟร์ๆ คุยกันได้ บอกเค้าว่าไม่มีวันลา เค้าก็ให้นัดสัมภาษณ์ตอนเย็นหรือนัดวันหยุด สัมผ่าน video conference ได้
เอ่อ ปรกติผ่านโปร ตาม กม. แรงงานก็ลากิจได้ 3 วันแล้วนิ
ลาป่วยวันเดียวตามกฎหมายไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ และบริษัทไม่มีสิทธิ์ตั้งกฎตึงไปกว่ากฎหมาย (หย่อนกว่าได้ ตึงกว่าไม่ได้) ดังนั้นบริษัทที่เรียกหาใบรับรองแพทย์ทั้งที่ลาแค่วันเดียว=ผิดนะ แต่กูเข้าใจว่าในสถานะลูกจ้าง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากไปงัดข้อกับบริษัทหรือเจ้านายหรอก และพวกบริษัทเล็กๆ ที่ไม่ทำตามข้อกฎหมายก็มีเยอะ มีวิธีจะเอาตัวรอดหลายวิธี เช่น 1.อดทนอีก 3 เดือนให้ครบปี > มีพักร้อน > ลาพักร้อนไปสัมภาษณ์งาน 2.คุยกับบริษัทใหม่โดยตรงว่ายังไม่มีวันลา ขอสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอคอล/นอกเวลางาน/วันหยุดได้หรือไม่ 3.ลาป่วยไปสัมภาษณ์งาน เสร็จแล้วก็แวะคลินิกขอใบรับรองแพทย์ ปวดหัวปวดเหออะไรก็บอกไป
>>515 กูไม่ใช่โม่งตัว >>508 กูบอกแบบนี้เพราะเคยทำ บ.เก่าๆมาจนได้มาเป็นประสบการณ์ ในสัญญาจ้างงานเจอแบบที่ว่านั่นแหละนะ และหลายๆที่ทำมากฏตึงแบบเหมือนกรมแรงงานไม่มีอยู่จริง ศาลแรงงานเหมือนเป็นหัวหลักหัวตอเลยด้วยซ้ำ เช่น ให้เวลาพักงานแค่ 30 นาที , ลาออกมาในช่วง1ปีห้ามทำงานที่ใหม่ในงานวงการใกล้เคียงกัน, วันที่หยุดตามตารางงานเป็นวันทำงานได้ตามหัวหน้าสั่ง ละอีกสารพัดรูปแบบ ซึ่งบางที่แม่งมารับรู้ทีหลังว่าแย่มากจนคนไทยเองไม่อยากทำไปแล้วจนนายจ้างใช้สันดานเดิมๆที่อยากแหกกฎหมายแรงงานยังไงก็ได้ไปจ้างต่างด้าวมาทำงานรันบริษัทแทนโดยไม่รู้เลยว่านี่คือเอาเปรียบ นี่คือทำไปละไม่คุ้มกับค่าแรง ขาดทุนด้วยซ้ำ ใดๆก็ตาม เพราะว่าสหภาพแรงงานประเทศเราแม่งกระจอกด้วยแหละ ไม่งั้นคือคนไทยคงกล้ากับกิจการห้างร้านได้มากกว่านี้
กุโม่ง 505 เองนะ ฮือๆ ขอบคุณพี่โม่งทุกคนที่เข้ามาตอบ
อยากบอกว่า จริงๆบริษัทกุก็เป็นไปตามกม.นะ แค่มันตึงเปรี๊ยะตามขั้นต่ำกม.ทุกอย่าง เช่น ปีแรกไม่มีพักร้อน ปีต่อไปได้ 6 วัน แต่นายจ้างสามารถบังคับหยุดพักร้อนพร้อมกันได้ (แล้วมาหักวันลาในอนาคตกุแทน ถ้ายังไม่มีวันลาก็ติดลบไป ไอ่สาส) ลากิจกับลาป่วยก็ยังตามงานอยู่ดี มันแค่มองว่า ลา = ไม่เข้าออฟฟิศแต่ wfh แทนเฉยๆ มันก็ถูกต้องตามกม.แต่กุอึดอัดมากเฉยๆ
สุดท้ายกุก็ไม่อยากแกล้งลาป่วย/ลากิจไปสัมภาษณ์งาน กุโกหกใครไม่เก่งเลย ;-; ตอนนี้ตัดสินใจแล้วว่าคงจะรอ 3 เดือนให้ครบปีก่อนถึงจะหางานใหม่แบบเต็มที่ ส่วนช่วงนี้ก็เน้นยื่นแต่บริษัทใหญ่ๆไปก่อน เผื่อฟลุค ถ้าโอกาสมันดีมากพอก็คงต้องยอมแอ๊บลากิจไปสัมภาษณ์แหละ ;-; จะลองพยายามต่อรองเรื่องสัมภาษณ์ออนไลน์กับหลังเลิกงานดู
ขอบคุณทุกคนมากนะ น้องโม่งคนนี้ก็จะผ่าน 3 เดือนอันตรายนี้ไปให้ได้!!!!
ขอสอบถามโม่งสายบัญชี ถ้ามีคนเคยทำสายออดิทมาก่อนสัก1-2ปีแล้วลาออกมาทำบัญชี บริษัทเขาคาดหวังสกิลประมาณไหนบ้างวะ หรือไม่ซีเรียสเรื่องสกิลมากขอแค่เข้าใจคู่บัญชีเบื้องต้น ส่วนโปรแกรมอื่นๆก็มาเริ่มสอนงานใหม่เลยอยู่ดี
พวกเงินเดือน25kอยู่กันยังไงวะเนี่ย กับพวกรสชการ15k ยิ่งพวกอยู่หอ
กุ45kยังรู้สึกหนักเลย ่่่่่่่่ค่าเนต ค่าเดินทาง อาหารตามสั่ง ค่าของใช้ ค่าอาหารดีๆเดือนละสองสามครั้ง ให้แม่ ผ่อนอุปกรณ์ออกกำลัง นี่หนักเดินทางเกินชั่วโมงต้องตื่นเช้าแต่ไม่เสียค่าหอ มีเหลือเก็บไม่ถึงหมื่นห้า ถ้าเกิดผ่อนรถ หรือผ่อนคอนโดนี่คงแทบไม่เหลือ
>>519 ของกูเก็บเงินทุนตั้งต้นมาก่อนมาอยู่เองคนเดียว แต่เอาจริงๆ25k ละสามารถหลับแบบอดมื้อกินมื้อเพื่อskipเวลาได้ หรือว่าทำอาหารเองได้ ไม่ต้องมาเร่งรีบแหกขี้ตา เจ้านายตามงานห่าเหี้ยไรตลอดเวลา Work-life balanceดีมากในช่วงปกติยกเว้นทำโอทีอยู่ยาวนี่แม่งบริหารเงินได้แล้ว 45kละบริหารไม่ได้นี่กูว่าไม่รื้อภาระออกมาดูรึเปล่าว่าroutineแต่ละเดือนใช้จ่ายอะไรเยอะไปไหม สำเหนียกรายได้หลักกับสังขารตัวเองขนาดไหน สำหรับกูคือเริ่มร่างบัญชีรายรับ-รายจ่ายแล้วเอามาเป็นตัวเดินหลักในการใช้ชีวิตเลยว่าจะรอดหรือไม่รอด ส่วนเงินเก็บเพิ่ม ถ้าขยันจัดๆ ต้องหางานเสริมทำเอา ถ้าเน็ตเสถียรดีๆ ที่อยู่แม่งครบวงจร หารายได้เสริมจากที่บ้าน เรียนสกิลนิดๆหน่อยๆพร้อมบริหารเวลาบวกเข้าไปดิ กูว่าพอช่วยได้บ้างนะ จากงานวิจัยบางแห่งงก็บอกอยู่ว่ารายได้สัก 25kนี่คือควรอยู่คนเดียวในเมืองหลวงละรอดอ่ะ ไม่รู้ดิ สงสัยกูอยู่ฝั่งชานเมืองที่เจริญแล้ว เวลาซื้อกับข้าวมาทำเองมันได้เปรียบตรงไปนอกเมืองก็เจอของถูกขายอ่ะ หรือเสียค่าเดินทางวันนึงต่อวีคไปหาของถูกตามชานเมืองละเอามาแช่ในตู้กูว่าก็ช่วยเซฟไรไปได้เยอะนะ
มีบ้านแล้วเป็นมรดก พ่อแม่รวยไม่ต้องส่งเงินเลี้ยง แต่ตัวเองเงินเดือน15kเริ่มต้น คิดว่าพอป่ะ
อาจจะเอาผ่อนมอไซราคาหลักแสนต้นๆพอ 🤔
อันนี้ค่าใช้จ่ายสมัยกูเงินเดือน25k
ค่าข้าว กูลิมิตไว้ที่วันละ 300, มื้อละ 60x3=180 เหลือซื้อขนมน้ำ 120 = 9000/เดือน
ค่าหอ 5000 + ค่าไฟ/น้ำ 1000 = 6000
ค่าเดินทาง mrt ต่อ bts วันละ 110x20 = 2200/เดือน
ภาษีน่าจะเดือนละ 200 มั้งจำไม่ค่อยได้ละ + ประกันสังคม 750 = 950
จะเหลือเงินไปใช้ฟรีสไตล์ประมาณ 6000 กว่าๆ
คืออยู่ได้มั้ยมันอยู่ได้นะ แต่จะมีเงินเก็บ/เงินเอาไปใช้ทำอย่างอื่นไม่เยอะ
ตอนนี้ค่าใช้จ่ายกูก็ยังประมาณนนี้อยู่แหละ แต่มีเงินเหลือไปใช้ทำอย่างอื่นเยอะขึ้นแทน
ช่วงเงินเดือน 25k ถึง 100k ช่วงนี้มันช่วงกับดักชนชั้นกลางน่ะ
มันไม่ได้เยอะพอที่จะส่งลูกเรียนหลักสูตรอินเตอร์แบบชิวตลอดลอดฝั่งได้
ถ้าไปซื้อบ้าน/ซื้อคอนโดก็เหนื่อยผ่อน เหมือนกันนั่นแหละ
และช่วงนี้แหละมักจะโหยหาอิสระทางการเงิน แล้วสุดท้ายก็โดนโฆษณาเอาเงินมาลงทุนกับเลาสิบลาๆ ตก แล้วสุดท้ายก็เจ๊งขาดทุนกันตามปรกติ
>>532 ผญ คนเดียวเหมือนกัน ความปลอดภัยต้องมาก่อน กูจะประสาทแดกมากเวลาเห็นข่าวคนร้ายเข้าไปทำร้ายหรือฆ่าผู้หญิงในหอพักต่างๆ สรุปกูได้หอที่อยู่ตอนนี้ ราคาเกือบหมื่นอะ (ติดถนนใหญ่+รถไฟฟ้าสายสุขุมวิทชั้นในๆ หน่อย) เคยไปเดินหาหอ ถ้าแบบต่ำกว่า 7000 ลงไปมันจะต้องติดอะไรซักอย่าง เช่น ตัวหอดีมากๆ โอเคเลย แต่สิ่งแวดล้อมแอบน่ากลัว มีพวกตลาด คนใช้แรงงาน มีอู่มอไซค์หน้าปากซอย หรือไม่อย่างนั้นก็อยู่ไกลรถไฟฟ้าแบบว่าบวกค่าหอกับท่าเดินทางแล้วก็เท่ากับค่าเช่าหอนี้อยู่ดี แถมต้องมาเสี่ยงขึ้นวินอีก
มีแต่คนบอกว่าจ่ายค่าเช่าราคานี้ซื้อคอนโดเลยดีกว่า ก็จริงอะนะ แต่กูยังไม่กะลงหลักปักฐานที่ไหนเลยเช่าไปก่อน คิดว่าถ้าได้งานที่มั่นใจว่าจะอยู่ไปนานๆ ก็คงซื้อคอนโดแหละ ระหว่างนี้ก็เก็บตังค์ไปก่อน
คนที่ทำงานแย่แต่มนุษย์สัมพันธ์ดี กับคนที่ทำงานดีแต่มนุษย์สัมพันธ์แย่ แบบไหนดีกว่ากัน
>>537 แล้วแต่ระดับว่าที่ว่าแย่คือแค่ไหน แต่ถามลอยๆกูคิดว่าคนที่ทำงานดีแต่มนุษย์สัมพันธ์แย่น่าจะยังดีกว่า
คนที่ทำงานแย่แต่มนุษย์สัมพันธ์ดี ถ้าระดับทำเหี้ยอะไรไม่เป็นเลย หรือให้ทำอะไรก็เละหมด คนอื่นต้องคอยตามล้างตามเช็ดให้ตลอดก็ไม่ไหว
ถ้าจะพอโอเคก็คือมนุษยสัมพันธ์ดีในระดับที่สามารถเป็นกาวใจให้คนในทีมได้ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องคนอยู่เบื้องหลังได้
แต่พวกนี้คือคนที่ทำงานแย่มากๆมันเป็นไม่ได้หรอก เพราะภาพลักษณ์ติดลบในสายตาคนอื่น ยังไงก็ต้องอยู่ในระดับที่พอทำงานได้
คนที่ทำงานดีแต่มนุษย์สัมพันธ์แย่ ถ้าแย่แค่ระดับไม่ช่างพูด ไม่ร่วมกิจกรรมของทีมกูว่าก็ปล่อยเค้าอยู่เงียบๆไปเถอะ ไม่ได้ทำใครเดือดร้อน
แต่ถ้าแย่แบบคุยไม่ได้เลย ทำตัวเป็นคนเมนส์มาตลอดเวลา จนกลายเป็นทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ กูก็ไม่เรียกว่าเป็นคนทำงานดีนะ
เพราะคนแบบนั้นสุดท้ายก็ทำให้ภาพรวมงานเสียอยู่ดี
จริงๆแล้วพวกที่ทำงานแย่ จริงๆมันหายากจริงๆแหละ อย่างน้อยมันต้องคัดคนระดับนึง ไหนเข้าทีมแล้วก็ต้องถูกคนในทีมเทรนระดับนึง
ถ้ามันแย่ก็คงเป็นพวก สอนแล้วไม่จำ ไม่มีการเรียนรู้มากกว่า พวกนี้มักจะเจอฝั่งราชการซะมากกว่า งานบริษัทอาจจะมีบ้างแต่เงินเดือนขั้นพื้นฐาน
จริงๆพวกมนุษย์สัมพันธ์แย่สุดส่วนมากที่เจอก็แค่ไม่ชวนใครคุย ไม่ร่วมกิจกรรมทีมซะมากกว่า ส่วนการถามเรื่องงาน หรือข้อมูลเกี่ยวข้องอันนี้ถ้าไม่นอกสโคปก็อยู่ในส่วนทำงานดีอยู่แล้ว
แต่พูดตรงๆพอถึงช่วงประเมิน ต่อให้ทำงานดีขนาดไหน ถ้าเป็นคนเงียบๆไม่โดดเด่น หัวหน้าก็มักจะลำดับคนที่ถูกใจคุยง่ายแล้วผลงานทั่วไปอยุ่ดี ยกเว้นคนเงียบๆจะผลงานแบบโดดเด่นจัดจริงๆ
>>540 ทำงานแย่จริงๆสาย IT ที่ๆมีนโยบายแบบคนไม่พอเลยรับๆแม่งมาก่อน ทำงานไม่ได้ค่อยเอาออก
หรือให้ไปทำงานแบบไม่ต้องใช้ความรู้ นั่งทำเอกสารโง่ๆให้ครบตาม process ไปงั้นๆแม่งมีอยู่จริงนะ
กูเจอมาทั้งคนที่แย่กว่าเด็กจบใหม่ทั้งที่ทำงานมาหลายปี คนที่เข้ามาแล้วเกียร์ว่างไปเรื่อยๆไม่ทำอะไรเลยจริงๆ
คนที่เขียนโกหกลง resume แบบหน้าด้านๆ แล้วคนสัมภาษณ์ก็เชื่อโดยไม่ลองถามดูว่ามันรู้เรื่องจริงมั้ย
หรือคนที่ซวย ทำงานด้านนึงมา โดนหลอกให้มาทำงานอีกด้าน เพราะคนสัมภาษณ์แม่งคิดเองเออเองว่าเดี๋ยวหลอกมาให้ทำก็ทำได้
ไม่รู้มาถูกมู้ไหม แต่ช่วงนี้กูเบื่อกับชีวิตมนุษย์เงินเดือนมากเลยว่ะ กูเรียนจบมาจะ 2 ปีละ รู้สึกว่าชีวิตวัยทำงานมันวนลูป ตื่นเช้า ทำงาน วันหยุดก็ออกไปเที่ยวใช้เงิน ช่วงแรกกูยังตื่นเต้นกับการได้ใช้เงินของตัวเองอยู่ แต่ช่วงหลังมานี้ชีวิตกูว่างเปล่าสัสๆ ซื้อทุกอย่างที่อยากได้จนไม่มีอะไรให้ซื้อแล้ว งานอดิเรกที่ทำก็เหมือนทำจนเก่งแล้วเลยไม่ค่อยมีชาเลนจ์อะไรแล้ว ไม่รู้จะไปอวดใครด้วย ส่วนงานพอได้ตำแหน่งที่ชอบบริษัทที่โอเคมันก็พอมีชาเลนจ์บ้างแหละ แต่มันก็ไปได้เรื่อยๆ ไม่เหมือนตอนมหาลัยที่มันมีทั้งเรียนทั้งสอบ กิจกรรมชมรมนั่นนู่นนี่ ต้องดิ้นรน เป้าหมายเยอะแยะไปหมด ชีวิตพวกผู้ใหญ่อยู่แบบนี้กันได้ยังไงเป็นสิบๆ ปี ไม่เข้าใจเลย ชีวิตคนเรามันจะมีแค่นี้จริงๆ หรอวะ หรือกูพลาดอะไรไป น่าเบื่อชิบหาย หรือชีวิตที่ผ่านมาของกูเสือกต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเยอะเกิน กูก็ไม่เข้าใจว่าคนที่ใช้ชีวิตเรื่อยๆ เอื่อยๆ ทนความน่าเบื่อได้ยังไง
>>542 ไม่รู้เพราะสมัยเรียนพ่อแม่กูให้เงินน้อย+ไม่ค่อยให้อิสระเท่าไหร่รึเปล่านะ กูเลยรู้สึกว่ามันก็ยังมีอะไรให้แสวงหาเรื่อยๆ
ถ้าพูดถึงเรื่องงานก็เบื่อเนื้องานนะ แต่ก็ทำๆไปอ่ะ เพราะไม่ทำก็ไม่มีเงิน เปลี่ยนอาชีพก็ไม่น่าจะรุ่งด้วย
และกูคิดว่าคนวัยทำงานถ้าไม่ใช่คนส่วนน้อยที่ passion แรงจริงๆจุดนึงก็ต้องมีอารมณ์เบื่องานเข้ามาบ้าง
ส่วนชีวิตด้านอื่นๆกูกลับรู้สึกว่ามีอะไรที่อยากทำเยอะมาก จนถึงจุดที่ต้องทำใจแล้วว่าคงไม่ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำแล้ว
แค่พยายามเคลียร์เกม การ์ตูน นิยายที่ดองๆไว้ก็เป็นอะไรที่รู้แล้วว่าทั้งชีวิตคงเคลียร์ไม่หมด แต่ก็พยายามทำเท่าที่ไหว
เบื่อกิจกรรมในบ้านก็ออกไปข้างนอก หาร้านอาหารที่ดูน่าอร่อยแต่ยังไม่เคยกินมาลอง หรือไปลองกินอาหารแพงๆให้รางวัลตัวเอง
ซึ่งออกนอกบ้านทีกว่าจะได้กลับก็ช้าแล้ว เวลาทำงานอดิเรกอื่นๆก็โดนเบียดบังไป
ไม่อยากทำแล้วงาน ผมจะไปเป็นอาชญากรสงคราม หรือไปเป็นปุ๋ยก็ไม่เลวนะ
วันศุกร์ที่กูโหยหาใกล้เข้ามาแล้ว
ขอปรึกษาแบบโง่ๆเลยนะ เคว้งมาก อายุ 28-29 ไม่เคยทำงานบริษัทมาก่อนเลย จบเศรษฐศาสตร์มามอดังเกรดไม่ดีเท่าไหร่ จบปุ๊บมีเรื่องจำเป็นต้องทำงานที่บ้านตจวต่อ งานออกแนวค้าขายกะทำบัญชีโคกะพวกร้านย่อยๆ แต่ตอนนี้พี่ชายกลับมาทำเลยโดนเด้งให้ไปทำอย่างอื่น เอาจริงก็บ้านรวยแต่เป็นผญอะเนอะ ไม่ได้สืบทอด ทำมาเข้ากงสีหมด ตอนนี้เงินเก็บประมาณ300k มรดกคือคอนโดเก่าที่กทมสมัยเรียนเหมือนพูดไว้ว่าให้ไปอยู่ หางานทำไม่ก็สอบราชการ ซึ่งคอนโดนี่ก็ไม่รู้จะได้จริงรึเปล่าไม่คาดหวัง
โชคดีเว่อๆกด wah ได้พอดี เลยจะเตรียมตัวไปปลายปี แต่ที่บ้านไม่สนับสนุนเลยต้องเอาเงินเก็บมาใช้ สอบไอเอลรวมๆได้6.5 แต่สปีคแค่5เอง ที่กังวลคือเรซูเม่ขาวสะอาด สกิลอะไรก็ไม่มี กลัวจะสมัครงานแล้วไม่มีใครรับ แล้วคาดหวังงานบริษัทก็ไม่น่ามีโอกาสไหม บริษัทที่ไทยยังไม่เคยทำเลย ลองคิดไกลๆคงไม่ได้ทำงานที่บ้านแล้วต้องลงเอยที่บริษัทอยู่ดี เลยมีคำถามที่สงสัย
สรุปคืออยากถามว่า ต้องสมัครตำแหน่งอะไรอะนอกจากเซลล์ รึสมัครอะไรก็ได้ที่เขาว่ารับเด็กจบใหม่ ควรไปเรียนอะไรเพิ่มไหม รึไหนๆจะไปwahก็ควรหาทางเรียนต่อตปทเอาdiploma กลับมาจะได้มีลู่ทาง ใครเคยไป wah แล้วเรียนสกิลไรติดตัวไปก็ฝากแนะนำหน่อยนะ
ยาวมาก โดนปล่อยเกาะตอนอายุจะ30 เศร้าใจถึงจะรู้ลางๆว่าไงก็ออกมาแบบนี้ เห้อ ขอคำปรึกษาจากเพื่อนโม่งหน่อยเน้อ
>>542 มึงตรงข้ามกับกูมาก 555 พอกูได้ทำงานแล้ว กูสงสัยตัวเองมากเลยว่าอดทนเรียนมา 20 กว่าปีได้ยังไง ชอบการทำงานมากกว่ามากๆๆๆ ชอบการหาเงินใช้ได้เอง พอมีเงิน=เสียงดังที่สุดในบ้าน อยากกินอะไรกิน อยากซื้ออะไรซื้อ อยากได้อะไรได้ ไม่ต้องอดทนอดกลั้นเพราะเกรงใจหยาดเหงื่อพ่อแม่อีกต่อไป กิเลสกูไม่เคยมีที่สิ้นสุด ติดใจใน privilege และความสะดวกสบายต่างๆ ที่ได้มาเพราะมีเงิน กูสงสัยมากเลยว่ามึงสมถะ หรือมึงเงินเดือนเดือนละ 3 ล้านวะ 555
>>543 มึงนี่น่าจะคล้ายกู มีอะไรที่อยากทำเยอะมากจนทำได้ไม่หมด ของกูนอกจากเวลาไม่พอ เงินไม่พอด้วย หลายอย่างที่อยากทำเลยยังทำไม่ได้ 555 ถ้ามีเงินกูจะทำแม่งทุกอย่างเล้ยย ชีวิตมีเรื่องน่าให้ทำเยอะมากๆ
จันทรหน้า บ กูประกาศคนโดนเลย์ออฟแล้วลุ้นว่าจะโดนไหม
พึ่งหัดเล่นหุ้นใครก็ได้บอกหน่อยดิในstreamingของเราทำไมไม่มีคำสั่งmpให้ใช้ต้องตั้งค่ายังไงออ
>>547 วีซ่า wah มึงจำไว้เลยนะ กูเห็นมาเยอะมาก ก็คือจบป. ตรีเป็นพนักงานออฟฟิศแต่จุดเริ่มต้นน่ะ มันต้องไปทำงานแบบมึงไม่ต้องจบมัธยมปลายก็ได้ ทำงานเหี้ยอะไรก็ได้ขอแค่มีเงินหรือบางทีจบปวสก็ทำก็ทำงานนี้ได้ ละคือคนไทยอ่ะแม่งจุดเริ่มต้นเป็นงี้หมดเลยมึงรับได้ไหมถ้ามึงรับไม่ได้ไปเรียนสิ่งที่มึงอยากจะเรียนแล้วเอาไปหารายได้ได้จะดีกว่า อันนี้ความคิดส่วนตัวนะ เท่าที่เจอมากับคนที่ได้วีซ่านี้แล้วไปหางานที่ออสเตรเลีย ที่ออสคือแบบขนาดเศรษฐกิจอ่ะมึงมันไม่ได้อยู่อันดับต้นๆของโลก งานก็มีบางช่วงแอบหายากนะ ประชากรคนแย่25ล้านเอง สวัสดิการมันดีเพราะส่งออกถ่านหินกับสินค้าโภคภัณฑ์โหดๆไปประเทศปลายทางที่รับซื้อเยอะได้ เวลามึงต่างด้าวในสายตาเค้าไปหางานก็ได้งานทำงานโรงงาน ไปเป็นแม่บ้าน ไปกวาดพื้น ได้งานเก็บผลไม้ ไม่ต้องใช้ความคิดเยอะไรงี้ ได้งานเริ่มต้นที่ต้องขายแรงงานน่ะ ทั้งๆที่มึงมีวุฒิปตรีมึงรับได้หรือเปล่า ที่สำคัญที่สุดบอกทิ้งท้ายให้ ประเทศนี้แม่งบ้าเงินสัตว์ๆถ้ามึงรวยมึงมีเงินเก็บเยอะแต่แรกสมมุติว่าวีซ่าตัวwahน่ะเต็มเวลาในการอยู่ในประเทศแล้วใช่ป่ะก็ขอวีซ่านักเรียนต่อได้ถ้าเกิดว่ามึงมีเงินมากพอเงินหนาพอ เรื่องเงินเก็บเนี่ยอยากให้มึงคิดให้มากๆถ้าเกิดว่าจะไปที่ออสเตรเลียนะ แค่นี้เลย
>>543 อิจฉา ดีจังเลยที่ยังมีความชอบอะไรอื่นๆ ในชีวิตอยู่ สมัยเรียนกูก็ได้เงินน้อยเหมือนกัน แต่เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะเลยรู้สึกว่า พอไม่ได้มีเงินลงกับสิ่งที่ชอบขนาดนั้น ก็เสียใจจนชินไปซะแล้ว u_u
>>544 น่าสนใจ ชีวิตกูโหยหาการผจญภัยและเรื่องตื่นเต้นมากมาย ถึงขนาดที่ว่ากูใช้เวลาว่างจินตนาการโลกอีกใบที่น่าตื่นเต้นกว่านี้ขึ้นมา ถ้าเอามาทำในชีวิตจริงคงดีเหมือนกัน
>>548 5555 กูน่าจะสมถะมากกว่า กูก็อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่พอทำงานมีเงินแล้ว พอได้ซื้อแล้วมันกลับไม่ได้มีความสุขเท่าที่ตอนกูจินตนาการว่ามันจะมีความสุขสมัยที่กูจนละมั้ง พอช่วงหลังๆ มานี้เลยปลงๆ รู้สึกว่าต่อให้ซื้อไปก็อาจจะไม่ได้เติมเต็มเท่าไร
อารมณ์เดียวกับตอนเด็กๆ ทั้งจนทั้งลำบากแทบตาย โอกาสก็ไม่ค่อยมี กระเสือกกระสนเพราะคิดว่าถ้าทำตามเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ ระหว่างทางเหนื่อยมามาก เสียสละอะไรไปก็ตั้งเยอะ แต่พอมาถึงวันที่บรรลุเป้าหมายแล้วมันไม่ได้มีความสุขแบบที่คิดไว้ บวกกับไม่มีอะไรให้ตั้งเป้าหมายต่อเลย เคว้งมาก
ตอนนี้เลยพยายามตั้งเป้าหมายใหม่ให้ตัวเองด้วยการหาชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศ ถึงคำนวณแล้วมันจะได้ไม่คุ้มเสียเท่าไรก็เถอะ แต่ก็ยังดีที่ชีวิตตื่นเต้นขึ้นมาก
>>552 วุฒิปตรีนี่ไม่ซีเรียสเลยถ้าจะต้องไปทำงานจับกัง ไหนๆก็โดนเด้งจากที่บ้านแล้วน่ะ แล้วความรู้ที่เรียนมาก็แทบไม่ได้ใช้จนจะลืมแล้ว มันไม่ใช่วิชาชีพอะ เสียดายน่าจะเรียนอะไรที่มันใช้ได้มีใบมา
ส่วน wah ยังไงตอนนี้กดได้แล้วแถมโดนเด้งก็คงลองไปดูก่อน แต่ก็แอบกังวลเรื่องเงินเก็บอย่างที่เพื่อนโม่งบอกเลย ถ้าจะต่อวีนักเรียนก็ยิ่งต้องมีเงินต่อไปอีก ที่บ้านก็ไม่สนับสนุน เราคงหวังแค่เอากลับมาใช้ที่ไทยได้แล้วจะก้าวหน้า อย่างน้อยภาษาก็คงพัฒนาระดับนึง
เห็นคนส่วนมากไปก็จะเรียนอะไรที่ต่อ pr ที่นั่นได้ แต่สำหรับเราไม่คิดว่าจะอยู่ยาวน่ะเลยอยากรู้ว่าไปแล้วควรกลับมาสมัครงานบริษัทแนวไหนดีที่ไม่ใช่เซลล์ รึไปแล้วควรเรียนอะไรทำงานอะไรที่เอากลับไทยมาต่อยอดได้ คิดโง่ๆว่าภาษาดีแล้วเอามาใช้สมัครงาน แต่ก็ไม่รู้ตำแหน่งไหนดี อนาถมากเลย
>>554 ตอนนี้กุมา wah อยุ่ อายุเท่าๆ มึงโปรไฟล์คือทำงานออฟฟิศบ.ต่างชาติมาตลอด ไม่เคยทำงานจับกัง แนะนำว่าระหว่างนี้มึงไปลองๆ สมัครงานร้านอาหารหรืออะไรให้มันพอมีประวัติหน่อยก็ได้ไม่งั้นเรซูเม่ตอนร่อนสมัครงานที่ออสโล่งแย่ ละที่นี่คือชอบเรียกไปลองงาน ถ้าเค้าเห็นเราคล่องๆ พูดรุ้เรื่องก้มีโอกาสได้งานสูง ช่วงนี้คนแย่งงานกันเยอะเหี้ยๆ แบบรับ1สมัครเป็นร้อยงี้ บางอันเป็นพันดู (กุดูจากเว็บหางานว่ามีคนสมัครไปกี่คน นี่คือเมืองที่กุอยุ่นะ เมืองอื่นก้เห็นคนบ่นอยุ่แต่ไม่รุ้อัตราส่วน) คนมาวาฮส่วนใหญ่เรียนบาริสต้า นวด ช่างตัดผมมากันเพราะมันขาดแคลน แต่บาริสเฟ้อมาก อย่าเรียนเลยกุขอเตือน ถ้ามึงอยากมาหาสกิลกลับไปสมัครงานบ.ที่ไทย อืมมม ยากว่ะ วีนี้เรียนได้แค่สี่เดือน โอกาสจะได้งานออฟฟิศน้อยถ้าอังกิดกับโปรไฟล์ไม่ปังปุริเย่จริงๆ ถ้าเป็นกุคงใช้วเลาหนึ่งปีนี้ทำงานจับกังเก็บเงินให้ได้มากที่สุด แต่เอาแบบใช้อิ้งเยอะๆ ฝึกความมั่นใจให้พรีเซ้นได้ฉะฉานอะ บ.ที่ไทยจะชาติไหนกุเห็นหลายทีละทำงานเก่งไม่สู้พูดเก่ง
>>553 ถ้าซื้อเป็นของ มันสุขแค่ตอนตั้งเป้าหมายกับตอนซื้อได้ตามเป้าหมายแค่นั้นแหละ ซื้อมา 3 วันก็หายเห่อละ กูแนะนำซื้อประสบการณ์ เช่น นั่งเครื่องบินตั๋วเฟิร์สคลาสไปเที่ยวยุโรป นอนโรงแรม 5 ดาว ฯลฯ ถ้ามึงติดใจนะ มึงจะเกิดกิเลสเกิดความทะเยอทะยานรัวๆ เลย 555 แต่ก็ไม่แน่ ถ้านิสัยมึงสมถะมากๆ มึงก็อาจจะไม่เหมือนกูก็ได้อะนะ
>>555 แสดงว่าที่กูดูๆมาจากไทยได้WAHแม่งไม่เกินจริง .... ว่าแต่งานจับกังใส่ประวัติจากไทยไปมีคนรับเหรอวะ? กูเคยเจอมาแบบว่าถ้ามาออสละต้องทิ้ง ปสก. จากไทยเพื่อมาเริ่มต้นศูนย์ใหม่ที่นี่เลย เขียนไปก็เท่านั้น ต้นทุนดีๆคือเทสงานให้เค้าเห็นได้ละผ่านนี่คือโอเคก็โชคดีไปได้งานไรงี้ ไม่รู้หว่ะ แต่ถ้าเกิดว่าขนาดเศรษฐกิจออสไม่ได้ดีขึ้น ได้วีซ่าไปนี่ใช่ว่าจะเหมือนได้ตั๋วเบิกทางอ่ะ สู้มีเงินเก็บเยอะๆจัดๆจนไปไหนก็ได้อันนี้กูว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงที่สุดละ
พวกมึง ถ้าไม่ผ่านโปรแล้วโดนให้ออกแบบเซ็นออกเองก่อนครบสัญญาต้องได้เงินชดเชยมั้ยว่ะ กุเพิ่งจบใหม่มีความรุ้สึกจะไม่ผ่านโปรว่ะ
>>557 เอาใหม่ เค้าหมายถึงปสก.งานออฟที่ไทยมันไม่มีผลต่อการสมัครงานที่นี่ แต่ถ้าปสก.ที่ไทยมึงคืองานจับกังน่ะมีผลร้อยเปอเซ็นต์ เขาชอบด้วย มึงจะมีโอกาสถูกเรียกมาลองงานสูงกว่าคนอื่นมากๆๆ ยิ่งพวกลงเรียนคอร์สบาริสต้า ที่เรียนเขาสอนทำเรซูเม่ด้วยให้โกหกเลยว่าเคยทำมา 1-2ปีจากไทยงี้ทั้งที่ความจริงแค่ไปเรียนไม่กี่วันแล้วซ้อมอีกนิดหน่อย
กุคือไม่มีปสก.จับกัง ไม่เรียนอะไรเตรียมมาเลยต้องใส่ประวัติออฟฟิศล้วน แต่เหมือนมากับดวงเพราะกุได้งานเฉย กุเห็นไอ้คนถามมันไม่เคยทำงานออฟฟิศก้เลยแนะนำว่าอย่างงั้นก้ไปหาทำจับกังในไทยใส่ประวัติไว้หน่อยน่ะ ไม่ใช่ทุกคนจะจังหวะดีแบบกุ
ปล.เศรษฐกิจออสไม่ดีนี่ขยายความได้มั้ย ไม่ได้ชวนตีนะ แต่กุมองว่าค่าครองชีพที่นี่ถูกกว่าไทยสัดๆ ถ้ามึงทำงานที่นี่ แบบเทียบก็คือสมมติไทยค่าแรงขั้นต่ำชม.ละ 50 บาทมึงซื้อไข่12ใบได้แผงนึง แต่ที่ออสค่าแรงชม.ละ $20 กว่าๆ ไข่แผงละ 5เหรียญ มึงซื้อไข่ได้สามแผงงี้ (กุหักภาษี 15% ตามวีซ่า wahนะ) กุไม่ได้เทียบเป็นค่าข้าวจานๆ เพราะที่นี่พอค่าแรงสูงร้านอาหารก้เลยแพงมาก แต่ถ้าทำกินเองคือมึงกินได้แบบอุดมสมบูรณ์ เหลือเก็บด้วย มีชีวิตที่ดีได้ด้วยค่าแรงขั้นต่ำแน่ๆอ่ะ ใดๆ กุไม่ได้เชียร์ว่าออสคือหนทางลืมตาอ้าปากสำหรับทุกคน ถ้าที่ไทยมึงเงินเดือน 50kบวก ไม่มีภาระอะไร กุว่าอยุ่ไทยทำออฟฟิศสบายกว่า 55555
>>558 ไม่ติดดิ ไม่ใช่คริมินอลเรคคอร์ดนะวุ้ย งานก้ถูกกฎหมาย และต่อให้มึงเคยติดคุกที่ตปท.เอชอาร์ก้ไม่รุ้นอกจากบ.ใหญ่มากกกกก ตน.สูงมากจนต้องตรวจเข้ม กุยังอยากเป็นดีลเลอร์ในคาสิโนเลยเพราะเงินดี แต่มันชอบรับแค่คนที่มีปสก.อ่ะ
>>560 กุทำส่งออกนำเข้าแล้วกระโดดไปการเงิน ปจบ.เป็นแม่บ้านรร.กับคนครัวร้านอาหาร พอดีกุอยากต่อวีซ่านี้ยันปี 3 น่ะเพราะจะมาเก็บเงินเลยจำเป็นต้องทำงานที่เขากำหนดในพื้นที่ๆกำหนด กะว่าพอวีซ่าแกร้นท์แล้วค่อยลองหางานอื่นๆ ที่น่าสนใจและจ่ายดีกว่านี้หน่อย ล้างส้วมล้างกระทะไม่ดีต่อใจกุเท่าไหร่ 555555 บ.ต่างชาติพื้นฐานอาจจะจ่ายดีกับสวัสดิการดีกว่าบ.ไทยจ๋า แต่ถ้าไม่ได้เรียนคณะที่เฉพาะทางอย่างบช. ไอที วิศวะ ทำงานแอดมินทั่วไปนี่งด.ไม่ห่างกันมากนะ
>>563 ใช่ กุทำได้แต่ง่ายๆอย่างไข่เจียวงี้ ข้าวผัดเห่ยๆงี้ มีดก้ใช้ไม่คล่อง คือไม่ถึงกับตัดนิ้วตัวเองหลุดอ่ะแต่บาดอะมีบ้างเค้ายังรับกุเลยแล้วมาสอนเอา กุคิดว่าตอนเรียกอาจจะคนขาดจริงๆ แล้วตอนสัมเค้าถูกโฉลกกับทัศนคติการพูดจาเลยอยากให้โอกาสมั้ง ถ้าได้ไปสัมมึงลองไปแบบเปิดใจมองโลกในแง่ดีดูมีไฟเรียนรุ้ อาจจะโชคดีแบบกุ และใช่พวกที่ประกาศในเว็บมันชอบเขียนว่าต้องการปสก. เด็กเสิร์ฟยังจะเอาปสก.เลยบางร้าน มึงลองไปดรอปเรที่ร้านแบบตัวเป็นๆ นี่ล่ะ ให้เขาเห็นหน้าอ่ะ กุทำงี้ ส่วนงานที่สมัครออนไลน์ไม่เคยได้เลย อ้อ แล้ว kitchenhand บางร้านมันคือตน.ล้างจาน คือล้างจานล้วนไม่ต้องทำไรเลย โอกาสที่มึงจะได้งานทั้งที่ไม่มีปสก.ไม่เก่งใช้มีดก็จะสูงไปด้วย โชคดีเพื่อน
kyโม่ง อักษรศิลปากรถือว่าดังมั้ยวะ ศิลปากรเป็นมอtierไหนอะ
>>562 โอเค งานจับกังตอนนี้ในไทยกูมาทั้งงานเสิร์ฟงานครัวอ่ะ ถ้าอายุไม่เข้า30กับเงินเก็บหลักแสนกูว่าคงได้ 555 แต่ที่กูไม่มั่นใจคืองานจับกังในออสจะทำไปจนได้prไหมนี่สิ หรือแบบทำๆไปเป็นต่อให้งานจับกังแบบมีฝีมือ มันจะมีนายจ้างคนไหนเอา PR มาให้
เรื่องเศรษฐกิจในออสเตรเลียที่ไม่ดีหมายถึงว่ามันโตไปมากกว่านี้ไม่ได้ แล้วมันเป็นแบบนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว มึงสังเกตเยอรมันหรือว่าประเทศที่แบบอยู่ในยุโรปที่มันดูไม่น่าจะโตได้มากกว่านี้แต่ว่าแบบมันโต Top 10 ของโลกไปเลย เช่น พวกเยอรมัน อิตาลี ซึ่งดูเผินๆเหมือนจะไม่มีอะไรนะแต่ว่าการแข่งขันการจ้างงาน เหมือนกลุ่มประเทศตรงนั้นเขาทำได้ดีกว่า เทียบกับออสเตรเลียที่เหมือนต้องการจะจ้างงานเพิ่มหรือว่าต้องการให้มี การแข่งขันทางธุรกิจเพิ่มกระตุ้นยอดขายหรืออะไรก็ตามแต่ที่ต้องทำให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจมันมากขึ้นออสเตรเลียทำตรงนี้คิดว่าไม่น่าได้ ถ้ามันทำได้นะการจ้างงานควรไม่แข่งกันขนาดนี้ มันไม่ต่างกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นหรือไต้หวันเลยที่แม่งคนจบวุฒิสูงมาแต่งานมีไม่พอเพราะอาจจะมีการถูกแช่แข็งทางเศรษฐกิจ หรือมันเจอปัญหาอะไรสักอย่างที่กระจุกการกระจายรายได้อยู่ ส่วนเรื่องค่าครองชีพโอเคมันถูกก็จริง แต่ลองคิดหลายๆแง่ดูนะเพราะว่าเขาอาจจะเป็นแหล่งอาหารเองอยู่แล้วหรือเปล่ามันเลยเป็นแบบนั้นได้ อุปทานเยอะกว่ามันก็เลยถูกกว่า แล้วมึงอย่าลืมนะออสเตรเลียประชากรแม่งแค่ประมาณสูงสุดให้กูให้ได้แค่ 30 ล้านคน ซึ่งอัตราส่วนคนที่จะมาเป็นนายจ้างให้มึงหรือคนต่างชาติอ่ะมันจะน้อยมาก ถ้าช่วงไหนเจอเรื่องเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจถดถอย รายได้รวมๆหดหายไปหมด ใครจะมาเปิดรับคนทำงานวะ? นั่นแหละสิ่งที่น่าคิด มากกว่านั้นนะงานออสอ่ะ หลายที่เลยคือถ้ามึงไม่มีเงินก่อนเลยนะ มันยากมากที่จะเปิดประตูไปสายอาชีพนั้นได้เช่นคนครัวคือไม่รู้นะว่ามีหรอที่งานคนครัวอ่ะมึงไม่มีใบประกอบวิชาชีพอ่ะแล้วเขาให้เข้าไปทำสุ่มสี่สุ่มห้า โอเคต่อให้จะมีสกิล แต่ เขาให้หรือเปล่าถ้าเกิดว่าไม่ได้มีใบอนุญาต เพราะเห็นหลายครั้งคนไทยมาเรียนไปทำงานด้านอาหารก็ต้องแบบลงเรียนพวก Diploma ,Certificateไรงี้ไปอีก สรุปคือมันใช้เงินแทบทุกจุดเลยสำหรับที่นั่น
>>567 จับกังที่ออฟเฟอสปอนเซอร์วีซ่าให้นี่กุเจอแต่พวกคาสิโนดีลเลอร์แฮะ ซึ่งมักรีไควปสก. อ้อ แล้วก็ตน.ซุปของงานคลีนรร. อันนี้เห็นผ่านตาบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกงานจับกังแน่ๆ ยิ่งถ้าขนาดไปต่อพีอาร์ด้วยมันจะมีงานที่กำหนดอยุ่ มึงลองดูอันที่ใช้เวลาน้อยสุดแล้วคิดว่ากัดฟันทนได้สุดละกัน
เรื่องเศรษฐกิจนี่กุอ่านแล้วรุ้สึกว่ามึงพูดถึงและวิตกในระดับมหภาค แบบสส.หรือรัฐบาลควรจะคิด ซึ่งถ้ามึงไม่ได้จะไปทำงานเป็นตน.เจ้าของหรือผบ.บริษัทใหญ่ๆ เอาแค่ตัวเองตั้งตัวสร้างครอบครัวได้ก้าวไปทีละก้าวมันไม่ต้องไปคิดขนาดนั้น และการที่ประเทศมันทำเองใช้เองไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้ามันก็คือความแข็งแกร่งในตัวมันอยู่แล้ว การจ้างงานก็ต้องมีเรื่อยๆ ตราบใดที่ทรัพยากรยังมี กูเลยไม่เห็นปัญหาเท่าไหร่เลยอ่ะ กูอาจจะคิดน้อย แต่สมมติเป็นกุอยากได้พีอาร์แผนคร่าวๆ คือมาวาฮ ต่อปี2-3เก็บตังค์เก็บเวลให้ได้มากที่สุด มันพอค่าเรียนดิปสาขาที่ต่อยอดได้อยุ่แล้ว พอได้ดิปก็ไปต่องานที่เราเวลมา ต่อพีอาร์ได้ จบ คือถ้าเราไม่ได้แย่แบบมองท้องฟ้าแล้วหวังว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นโดยไม่พยายาม มันมีงานอยุ่แล้วเว้ย มันไม่ได้ว่าหาไม่ได้ขนาดนั้น
โลกที่หนึ่งมันแพงทุกอย่าง มึงอย่าไปฟังพวกเมียฝรั่งใช้ตังผัวมาก คนละเรื่องกันเลย
>>568 ความวิตกแบบนี้มึงไม่กังวลไม่แปลกหรอก ถ้ามึงหวังว่ามาทำงานเอาสนุกๆหรือมาทำงานละเจอเนื้อคู่ที่ออสแล้วได้คว้าวีซ่าพาร์ทเนอร์(ซึ่งไปนับสถิติมาคือคนแต่งหาวัวฝรั่งแต่งสัดส่วนเยอะสุด พวกที่self-made immigrantนี่คือน้อยแต่ของจริงมากๆหรือไม่งั้นคือบ้านรวยมาก่อน) มึงไม่คิดตามเหรอวะว่าเวลารัฐบาลมันจะออกนโยบายอะไรต่อimmigrationมันต้องวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกพวกนี้ที่แม่งภาพใหญ่ก็ใช่แต่ให้ผลมาถึงต่างด้าวแบบเราๆที่รัฐบาลแม่งจะสนไม่สนก็ได้ไง ถ้าสมมติมึงไปในช่วงที่คนตกงานกัน ขโมยขอทานเกลื่อนเยอะกว่าคนทำงานอีก แบบนี้คือไม่ใช่อ่ะ ถ้ากดขอวีไปไม่ดูจังหวะเลย ไม่สืบอะไรมาก่อนเลยนี่โคตรเสียเวลามากนะ สู้ไปประเทศที่อาจจะไม่ใช่แหล่งหาเงินโดยตรงแต่ลัดเลาะจนเจอละได้PRที่ง่ายแล้วดีกว่าออสขึ้นมาก็คือสบายกว่าคนอื่นเยอะ ถ้าดูเรื่องพวกนี้ในออสได้ก่อนจะมากูว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ
มีใครทำงานหลุดหรือลืมบ่อยบ้างมั้ยวะ อยากขอคำแนะนำ กุจดไว้ก็แล้ว แต่พอมีงานใหม่เข้ามาเรื่อยๆก็กลายเป็นว่าลืมจดบางอย่างที่ต้องทำซะงั้น เครียดวุ้ย บางทีนอนตื่นมาก็เครียดว่าได้จดทุกสิ่งที่ต้องทำรึยัง
Introvert ที่เรียนสายศิลป์เขาทำงานอะไรกันวะ กุทำ HR อยู่ เนื้องานหลักก็ทำได้โอเคนะ เข้ากับคนในแผนกได้ ประสานงานแผนกอื่นได้ แต่จะโดนติเรื่องให้ไปคุย *เจ๊าะแจ๊ะ* กับแผนกอื่นบ้าง… อธิบายเพิ่มว่า กุก็คุยกับแผนกอื่นนะ รู้จักชื่อหมด รู้เรื่องส่วนตัวเวลาเขาเล่าบ้าง แต่พอโดนบอกให้ไป *เจ๊าะแจ๊ะ* เพิ่มเลยไม่รู้ว่าต้องคุยอีกแค่ไหน
พอโดนพูดใส่บ่อยๆก็เลยเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าเราทำงานได้ดีจริงมั้ย หรือควรไปหาอย่างอื่นที่เจอคนน้อยกว่านี้ทำ ส่วนตัวกุแฮปปี้กับงานดี ไม่แฮปปี้เพราะโดนติเรื่องนี้บ่อยๆนี่แหละ
>>561 >>577
1.เซ็นออกเอง = ไม่ได้อะไรทั้งนั้น ถือว่าสมัครใจไปเอง เรื่องปกติที่มีคนเข้าออก
2.รอโดนไล่เพราะไม่ผ่านโปร = แยก 2 เคส
2.1 ระยะเวลาโปร 3-4 เดือน (ภายใน 119 วันแรก) = ไม่ได้ค่าชดเชย
2.2 ระยะเวลาโปร 4-6 เดือน (เกิน 119 วัน) = ได้ค่าชดเชย
**** ช่วงโปร ไม่มีอยู่จริงในทางกฎหมาย บริษัทแค่เสกขึ้นมาเป็นข้ออ้างดูความประพฤติพนงใน 119 วันแรกที่ไล่ออกได้ฟรีเฉยๆ
ไปนับวันเองละกันว่าถึง 119 วันมั้ย ส่วนมากบริษัทจะให้โปรอยู่แค่ 90 วัน (3 เดือน) นะ เพื่อที่จะเผื่อ “ต่อโปร” อีก 1 เดือน (อยู่ใน 119 วัน) แต่ถ้าเขาต่อโปรเกิน 119 วันแล้วไล่ออกก็เรียกร้องได้เลย
เป็นผู้บริหารแต่ไม่รู้หลักการ ไม่รู้ขั้นตอนการทำงาน ก็สั่งงานค.ว.ย.ๆ แบบนี้แหละ อีควาย เจริญแท้ มีผู้บริหารแบบนี้ //กูโมโหแบบไม่มีที่ระบายเลยจริงๆ อีเหี้ย
กุขอมาถามเพิ่ม แบบถ้าไม่ผ่านโปรออกก่อนครบโปรอยู่แค่ไม่กี่เดือนไรงี้เวลาหางานใหม่ควรใส่เรซูเม่ไปด้วยมั้ยว่ะ เพื่อนกุบอกอย่าใส่เพราะกันบ.ใหม่โทรไปคุยกับบ.เก่าอ่ะ
วันนี้ลองคิดเล่นๆ สมมติถ้าทำงานอยู่ กทม.
สมมติถ้าซื้อคอนโด 24 ตรม. ถ้าทำเลพอใช้ได้หน่อยก็ปาไป 2 ล้านแล้ว เอารถด้วยก็อีก 7 แสน.
ถ้าผ่อน 30 ปี เดือนละเกือบ 20,000 บาท พนักงานธรรมดานี่กระอักนะ
โอเค ถ้ามีแฟน แฟนช่วยผ่อน (กรณีไม่ต้องผ่อนงานแต่งอะไรให้เป็นหนี้เพิ่ม) แต่ 24 ตรม. 2 คนก็แคบ. ก็เหมือนกับทนอยู่
ส่วนเรื่องลูก.... ถ้ามีคงได้ประหยัดสุดๆ ส่งเรียนดีๆ คงไมไหวแหง
สุดท้ายทำงานทั้งชีวิต ศัพย์สินมีแค่ คอนโดแคบๆ เก่าๆ กับซากรถผุๆ คันนึงเองนี่หว่า
>>580 อย่ายึดคำตอบกูเป็นสรณะล่ะ
1. ทำไม่กี่เดือนนี่เป็นงานแรกหรือเปล่า
>ถ้าใช่: ไม่ต้องใส่ เงียบไว้ ทำเหมือนเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งหางานหลังเรียนจบซะ ไม่มีใครรู้ เช็คประกันสังคมไม่ได้ (ถึงจะบอกว่ามีเส้นสายเช็คได้ ก็ไม่มีใครเช็คให้เสียเวลาหรอก งานอื่นมีเยอะ)
>ถ้าไม่ใช่: ใส่/ไม่ใส่ ก็ไม่ต่างกัน ยังไงก็เป็นช่วงโบ๋ในเรซูเม่อยู่ดี ตอนสัมภาษณ์งานใหม่ก็อ้างอะไรไปเรื่อยว่าลาออกมาดูแลแม่ รักษาสุขภาพ ทำหน้า พักผ่อนคลายเครียดจากงานเก่า
2.เรื่องบอใหม่โทรไปคุยกับบอเก่า
>ไม่คุยหรอก เพราะ
1.เสียเวลา เอาเวลาไปหาคนมาเติมตำแหน่งอื่นเถอะ
2.เสียมารยาท รบกวน HR คนอื่นด้วย ไม่รู้จักจะโทรไปคุยเรื่องคนอื่นทำไม
3.ถึงรู้จักก็ไม่คุยหรอก ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งที่สำคัญแบบผจก.แผนกใหญ่ที่จะขึ้นเป็นผอ. หรือเป็นอีตัวดีในที่ใหม่จนเขาหาเรื่องนินทามึง เลยอยากขุดคุ้ยอดีต
4.เสี่ยงเรื่องไทม์ไลน์คาบเกี่ยวระหว่างยื่นใบลาออก-สัมภาษณ์ หน้าที่ของ HR คือทำให้โป๊ะน้อยที่สุดว่าคนกำลังจะออกจากที่เก่ามาหาเราแทน ไม่งั้นเดี๋ยวอีกฝั่งรู้แล้วหาแผนมาต่อรองรั้งมึงไว้
5.เสียแรง เสียเวลา ย้อนกลับไปอ่านข้อ 1 ใหม่
มึง กูโม่ง ญ นะ กูอายุ 26 แล้ว แต่กูยังหาตัวเองไม่เจอ มึงว่าจาก choice พวกนี้กูควรเลือกเดินทางชีวิตยังไงดีวะ
1. เรียนภาษาอังกฤษและภาษาที่สามไปเรียนต่อนอก อาจจะเป็นเยอรมัน และใช้ชีวิตที่นั่นแม่งเลย
2. เชี่ยวชาญในสายงาน นั่นและทำงานที่ไทย สายงานที่กูโฟกัสหนักๆเลย คือ Digital Marketing
3. กลับไปเรียนใหม่อีกรอบ ซึ่งที่กูเล็งไว้คือเภสัช ถ้าซิ่วแล้วได้เรียนจริงๆ กูควรตัดสินใจยังไง กว่าจะได้เป็นเภฯคง 30 กว่าละ
4. เรียนกฎหมายเพิ่มเติม (ซึ่งกูลงทะเบียนทิ้งไว้ละ) เอาไปสอบเข้าราชการสายตุลาการ
>>586
3. เภสัช เเอาออกไปก่อน อาชีพแรกๆ เลยที่ทั้ง AI ทั้งร้าน online น่าจะทำแทนได้
1. Digital Marketing ถ้าไปอยู่กับพวกเอเจนซี่แทบไม่ได้พักงานหนัก ถ้าจะเอาสบายต้องไปทำตามพวกแบร์นสินค้าโดยตรง แล้วทำแบบนกอพยบ ย้ายบริษัทพร้อมกันเป็นกลุ่ม พวกกันดึงกันไป
4. มึงชอบระบบราชการไทยไหม ถ้าชอบก็ทำ แต่เล่นไปสายตุลาการนี่อู้ไม่ได้นะ เครียสหงอกแดก
1. นอกจากภาษามึงคิดจะไปทำงานอะไรที่นั่น อย่างน้อยๆ หาอาชีพที่อยู่ในระดับชนชั้นกลาง ไม่งั้นก็ต้องตีซะว่า อาจจะเรียนจบแล้วต้องกลับไทย แล้วพอกลับมาภาษาเยอรมันไม่ค่อยมีบริษัทในไทยใช้กันนะ
ถ้าคิดไม่ออก แต่...แล้วภาษาอังกฤษไม่แข็ง มึงไปทบทวนซัก 3-6 เดือน ระหว่างนั้นค่อยๆ คิดเอาไหม
>>586 เรื่องอื่นไม่รู้เเต่คนรู้จักกูทำงานบริษัทเยอรมัน ทำให้รู้ว่าปรัชญาการทำงานเเตกต่างกับไทยฟ้ากับเหว เเบบว่าผลตอบเเทนดีมาก เเต่ต้องตั้งใจทำงานด้วยนะ เเต่เขาดูเเลดีจริง ในข่าวหนังสือบอกงานเยอรมันดีเลิศยังไงก็คือดีจริง บอกไว้เผื่อเป็นทางเลือกนะ เเต่ท้ายเเล้วมึงคิดเเล้วก็ต้องลงมือทำด้วยล่ะนะ
>>586 1 พูดเหมือนง่าย แต่น้อยคนที่จะท๊าแล้วประสบความสําเร็จนะ ภาษาที่3โดยเฉพาะไอสัสเยอรมันแม่งยากแบบส้นตีน แล้วถามหน่อยมึงจบมามีสกิลแค่ภาษา มันก็ต้องดิ้นรนหาสกิลอะไรอย่างอื่นอยู่ดีหน่ะ ไม่ใช่ว่ามึงมาแล้วมันจะมีงานรองรับขนาดนั้น มึงมาเองแล้วจะรู้อ่ะ ว่าถ้าไม่ง่ายจะเข้าบริษัทอะไรต่างๆมึงต้องเก่งกว่าการหางานที่ไทย หรือถ้าไม่งั้นมึงก็ไปเป็นได้แค่แรงงานทําฟาร์มอ่ะ
พูดแรงหน่อยแต่นี่คือความจริงที่หลายคนประสบ สุดท้ายแม่งก็จะกลับมาทํางานในไทยหมด ก็เคยจะหาบริษัทไทยในประเทศนั้นๆ แต่ไอนักธุรกิจไทยที่ไปลงทุนต่างชาติแม่งไม่จําเป็นต้องจบจากปนะเทศนั้นๆมา เขามีคนของเขา เขาไม่เอามึงหรอก นอกจากต้องมีคอเนคมีผลงานอะไร เชี่ยแม่งยาก แล้วเรียนไปเนี่ยแม่งหาเวลาพาร์ทไทม์ยาก แล้ววีซ่าแต่ละประเทศมันไม่รู้ว่าจะให้ทํางานได้เปล่าไง
ทำราชการอยู่ส่วนกลาง (พวกกระทรวงการคลัง พาณิชย์ กลาโหม ฯลฯ) งานโอเคมั้ยหว่า กุโอเคกับระบบราชการนะ ไม่เกี่ยงเงินเดือนหรือ Work life balance แต่อยากรู้เรื่องเนื้องานว่าท้าทายมั้ย พอดีเพิ่งจบ อยากทำงานสเกลใหญ่มากกว่าทำบริษัทเอกชน
อยากลาออก~~~~ แต่ออกแล้วกุจะเอาอะไรแดก~~~~
>>593 เบื่อเหมือนกัน อย่างมึงว่าเลย ลาออกแล้วจะเอาอะไรแดก แต่จะให้ไปหางานใหม่ก็ใช่เรื่อง งานปัจจุบันดีทุกอย่างอยู่แล้ว(ถ้าคิดด้วยเหตุด้วยผล)แค่เบื่อเท่านั้นเลย ไม่ว่าจะเบื่อหรือไม่เบื่อก็ต้องทำงานต่อไปอยู่ดี เพราะงั้นก็เลยอยากทำงานด้วยความแจ่มใสร่าเริง แต่มันก็เบื่ออยู่ดี ทำไงให้ไม่เบื่อวะะะะะ
เปิดดูหนังสือเตรียมสอบกพ.แล้วโคตรมึน ยอมใจคนสอบผ่าน 55555 กูโดนกดดันให้ไปทำราชการเจอแนวข้อสอบไปกูยอมแพ้ดีมั้ย55555
กุที่อยากออกจากงานเพราะเพื่อนร่วมงาน Toxic แต่กุพึ่งผ่านโปร55555555
อห ทนอยู่ไปให้ครบปีก็ได้วะ เมินๆแม่งไป
ใครเจอเพื่อนร่วมงาน Toxic บ้างวะ มาตอบให้กุชื่นใจหน่อยดิ้ จะได้หลอกตัวเองว่าแม่งมีอยู่ทุกที่ หนีไปไหนก็เจอ ทนๆอยู่กับแม่งไปก่อน ไอ้ต้าวToxicของผม เวน55555555555
>>596 มีทุกที่จริงๆ ของกูเป็นรุ่นน้องหน้ามึน ตัวแม่งใหญ่ 180 หนักน่าจะร้อยโล แม่งมาสายทุกวัน มาถึงว่างก็นั่งหลับทุกวัน ไม่รู้กลางคืนได้นอนบ้างหรือเปล่า มาหลับแบบมือคาเมาส์ นั่งหลังตรงเด๊ะแต่หลับตา หลับจริงด้วย บางทีมีหลับสะดุ้งด้วย กูทั้งสมเพชทั้งหมั่นไส้แม่ง กูว่ามันต้องเป็นโรคอะไรสักอย่าง เคยทักมันแล้วว่ากูเห็นนะว่ามึงหลับ เมื่อสักสองปีที่แล้วมั้ง ก็ดีขึ้นพักนึง มีปีนี้แม่งเป็นอีกละ
ไอ้เหี้ยยย ชื่นใจว่ะะะ ขอบคุณนะพวกมึง ใครๆก็มีไอ้ต้าวToxic เป็นของตัวเอง อย่างน้อยกุก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญกับพวก Toxic อยู่คนเดียว กุรู้สึกมีเพื่อนนนน
กูโชคดีมากที่ได้มาอยู่ในทีมที่ทุกคนนิสัยดีกัน ไม่ได้ถึงกับไม่มีที่ติ แต่ก็ไม่มีใครแย่ถึงขั้น toxic
แต่สุดท้ายก็เจอคน toxic นอกทีมอยู่ดี เอวัง
สำหรับกูที่toxicที่สุดคือลูกค้า...
kวe
ทำงานบริษัทเก็บเงินได้แสนแรก เอาไปทำไรให้มันทีเงินเพิ่มดีอ่ะโม่ง เคยพยายามศึกษาเรื่องหุ้นแล้ว แต่กุโง่อะ หัวไม่ไหวทางนี้จริงๆ
เพิ่งทำงานมาได้สามวัน ก็มีบ.ใหญ่สนใจเรียกสัมภาษณ์ว่ะ กูก็ไม่อยากปิดโอกาสตัวเอง กูจะลายังไงไม่ให้น่าเกลียดวะ ถ้ากูแจ้งลาป่วยมึงว่าตอแหลมั้ยวะ 555 โทดทีเผอิญกูหน้าบาง
โม่งทำงานที่แรกกันกันกี่ปี ของกูทำมา 6 ปีแล้วยังชั่งใจว่าจะลองย้ายไปหาอะไรใหม่ ๆ ดีไหม
>>608 ประมาณ 3 ปีครึ่ง ซึ่งถือว่านานสัสๆ เพื่อนกูนี่ส่วนมากไม่เกิน 1 ปีก็เปลี่ยนงานกันแล้ว สายงานกูเปลี่ยนงานกันบ่อยเป็นปกติด้วย
ซึ่งกูว่ากูคิดผิด จริงๆควรไปตั้งแต่ช่วง 2 ปีนิดๆละ ตอนนั้นได้งานที่ใหม่แต่ที่เก่ารั้งด้วยข้อเสนอให้ไปดูงาน ตปท.
กูว่าไม่ค่อยคุ้ม รีบออกมา แล้วไปทำงานที่ๆเคยผ่านตอนนั้นน่าจะได้เรียนรู้อะไรน่าสนใจมากกว่า ถึงตอนนี้จะเจ๊งไปแล้วก็เถอะ
แต่เพื่อนในรุ่นที่อยู่นานมากๆ 7-8 ปี แล้วยังมั่นคงไม่เคยเปลี่ยนงานตั้งแต่ที่ทำงานแรก และไม่คิดจะไปไหนเลยด้วยก็มี
พวกมึง กูอยากได้ความเห็นจากพวกมึงจริง ๆ ในฐานะ fresh graduate ที่ไม่มีใครให้ปรึกษาได้เลย คือกูพึ่งเรียนจบ โปรไฟล์แบบเกียรติหนึ่งมหาลัยดังอิ้งคล่อง แต่ตอนฝึกงานทำบริษัทใหญ่ที่ดังมากในสายงานกูแล้วไม่ชอบเพราะกดดันตัวเอง เลยอยากทำบริษัทเล็กมากกว่า ประเด็นคือกูได้ offer มาแล้วสองที่ ยังคิดไม่ออกว่าควรเลือกซักที่ไปไหม หรือควรฝืนตัวเองกลับไปทำบริษัทใหญ่ดี (ที่เงินเดือนก็ไม่ได้ต่างกันหรอก แต่สวัสดิการ และcareer path น่าจะดีกว่าเยอะมาก)
1. บ.แรกเป็นเนื้องานที่กูไม่ชอบ แต่ตอนฝึกงานบ.ใหญ่กูทำได้ค่อนข้างดี เค้าเลยสนใจกูมาก บรรยากาศการทำงานดีการันตีจากคนทำงานข้างใน สวัสดิการก็โอเค ได้เงินเดือนสูงกว่าบริษัทที่ 2 ประมาณ 5000 บาท เลิกงานค่อนข้างตรงเวลา คนในบริษัทส่วนมากมาจากมหาลัยและคณะเดียวกันกับกู แต่บริษัทเล็ก เป็นสตาร์ทอัพอะมึงก่อตั้งแบบสองปี ไม่ได้โด่งดังอะไร แต่ประเด็นคือถ้าทำซัก2ปีแล้วออกก็ไม่ใช่ไม่คุ้ม เพราะพวกบริษัทแนวที่กูอยากทำในอนาคตฟิลเช้าชามเย็นชามเงินเดือนไม่สูงมากแต่บริษัทมหาชน เค้าก็อยากได้คนเชี่ยวชาญด้านนี้ไปเป็นคนในบ.เค้า (ซึ่งก็คืออีเนื้องานที่กูไม่ชอบ55555 ส่วนถ้าถามว่าทำไมกูไม่สมัคร คือเค้าไม่รับคนไม่มีปสก. อยากได้แบบ3-5ปีทั้งนั้ต)
2. บ.สอง เป็นเนื้องานที่กูอยากทำมาตลอด ไม่เคยมีโอกาสทำเลย แต่เคยเรียนและอยากลองทำจริงมาก รู้สึกชอบและมีแพชชั่นกับมัน แต่ใจนึงก็กลัวว่ามันจะไม่เหมือนภาพที่เราวาดไว้ไหม กูอยากทำแบบสุดๆ เอาง่ายๆ55555 ฟังแล้วรู้สึกอยากลอง แต่เค้าให้น้อยกว่าที่แรก 5000 บาท สวัสดิการแย่กว่าที่แรกประมาณนึง บริษัทไม่ใหญ่เหมือนกัน แต่ค่อนข้างดังในสายงานนี้มาก โคงานกับบริษัทดัง ๆ โคตรเยอะ ตอนสัมแอบเอ๊ะตรงที่โดนบอกว่าอาจมีบางช่วงเลิกดึกระดับสี่ทุ่มแต่จะเข้างานกี่โมงออกกี่โมงก็ได้อยู่แล้ว (แต่เพื่อนกูที่เคยทำพาร์ทไทม์บอกว่าที่นี่ดีมาก เลิกตรงเวลานะ กูก็งงๆว่ายังไงกันแน่ จะเจอเลิกดึกบ่อยแค่ไหน) + กูแอบไม่เคนิดนึงตรงกดเงินเดือนกู โดยใช้ wording ว่า พี่ให้ได้เท่าที่แรกที่ออฟเฟ่อน้องไม่ได้แน่นอนอะ5555555 คือกูเข้าไปดูลิ้งอินคนในบริษัท ไม่มีใครโปรไฟล์เท่ากูซักคน มีแต่เกียรติสอง ไม่ก็เกียรติหนึ่งมหาลัยกลาง ๆ ที่ไม่มีปสก.ทำบริษัทใหญ่ (ปล. สายงานกูบริษัทที่เคยฝึกงาน + เกรด + ชื่อมหาลัย สำคัญมากกกกกก) กูเลยแบบ แล้วกูจะเรียนมาแทบตายเพื่อให้ได้ salary เท่าคนพวกนี้จริง ๆ หรอไรงี้ คือมันมีพวกเอ๊ะ ๆ ตรงเงินเดือนที่กดคนคุณสมบัติแบบกูกับเวลาทำงานที่ไม่ชัดเจน แต่งานแม่งท้าทายดีและกูมีแพชชั่นสัสๆ
อนึ่ง กูไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน อยากได้ work life balance + good work environment มากกว่า เลยตัดสินใจไม่ถูกว่าหรือว่าจะไปบริษัทใหญ่ ๆ เลยดี ไปฝืนทนซักสองปี แต่สุขภาพจิตกับค่าหาจิตแพทย์กูน่าจะเกินเงินเดือนที่ได้น่ะสิ แล้วงานส่วนที่กูชอบมีแพชชั่นน่ะ ไม่ค่อยมีบริษัทเปิดรับคนไม่มีปสก.ด้วย
>>610 กูแอบเทใจให้บริษัทแรกเพราะเงินเลยว่ะมึง 5,000 สำหรับกูนี้ทำให้ใจกูเปลี่ยนได้เลย กูว่ามันอยู่ที่มึงอยากทำงานสายไหนอ่ะ กูนะจบรัฐศาสตร์แต่ได้ทำ marketing ยาวมา 4 ปีเลยมึง เพราะกูอยากทำสายนี้จริงๆ แล้วพอเปลี่ยนบริษัทมันก็ต่อยอดง่าย แต่บ.แรกมึงระวังดีๆ เพราะบ.เพิ่งตั้งได้ 2 ปีเอง ระบบที่ทำงานเหี้*แน่นอนกูคอนเฟิร์ม เขาต้องคาดหวังให้มึงมาปรับเปลี่ยนองค์กร หรือระบบการทำงานให้ดีขึ้นแน่นอน ซึ่งกดดันและเหนื่อยสัสๆ สรุป
บ.1 เลือกซะถ้ามึงมี exp แล้ว, ต้องการเงิน และสามารถอยู่ได้ชิลๆ ไม่แคร์คน toxic ไม่กลัว ปสด. คือกูทำงานบ.แบบนี้อยู่อ่ะ กูก็จบม.ดัง เกียรติสอง กดดันกูสุดๆ ทำผิดไม่ได้ คาดหวังยอดขาย โอ๊ยสารพัด
บ.2 ถ้าไม่เดือดร้อนเรื่องตังค์ก็ควรเลือกนะ น่าจะดีสำหรับมึงถ้ามึงชอบจริงๆ มึงดูไฟแรงดีว่ะ มึงน่าจะได้ทำอะไรมากโขอยู่ เอาใส่ resume สวยๆ แต่บ.แอบเหี้*นะกดเงินเด็ก ทำได้แต่ 1-2 ปีก็พอ
ปล. มึงมีข้อมูลการลาออกของแต่ละที่มั้ยละ เอามาพิจารณาก็ได้นะ ลาออกบ่อย=เหี้*แน่นอน รวมถึงใกล้ไกลที่พักมั้ยเพราะนี่ก็หน้าฝนแล้วนะมึง รถติดชิบหาย, สภาพออฟฟิศ ผลประกอบการ ฯลฯ
ปล.2 กูเดาว่ามึงชอบบ.สาย Agency ป่ะ?
สวัสดีขอคำปรึกษากับระบาย กูสมัครงานสาย3Dโมเดลไปและเรียกเงินเดือนประมาณ 28,000-30,000 บาท แล้วทีนี้เราคาดหวังว่าจะได้ รอเมลล์ตอบแล้วตอบอีก พอได้คำตอบมาคือเขาบอกความสามารถเราไม่ได้แบบที่เขาต้องการ และเงินเดือนที่เราเรียกมันไม่สอดคล้องกับความสามารถเรา และเขาจะรับพิจารณาถ้าเราสมัครไปอีก เศร้านะเพราะคาดหวัง แต่ทีนี้มันพีคที่เราไปรู้ว่าเขาเอาไอเดียกับโมเดลที่เราสมัครไป เข้าไปเป็นส่วนนึงของโปรเจคเขาแล้วทำขายอ่ะ เราควรรู้สึกไงดี? ถ้าทำงี้รับเราเข้าทำงานแต่แรกไม่ดีกว่าหรอ? มันเจ็บใจอ่ะ
>>612 เล่าต่อนะ ปกติเราเปิดรับcommissionsโมเดล จากพวกที่เปิดเซิฟเกมดังเกมนึงในต่างประเทศแล้วเขาก็โอเคกับงานเรานะ แต่คือทางบ้านรบเร้าให้หางานเลยไปเห็นโพสรับสมัครงานโมเดลแนวเดียวกับเราเลยสมัครไป แต่ผลก็อย่างที่พิมพ์ไปว่าไม่ผ่าน เขาบอกเราความสามารไม่ตรงกับที่เขาต้องการ... มันไม่เจ็บเท่า เราไปเห็นงานตัวเองที่โดนบริษัทนี้เอาไปรวมกับโปรเจคเขาแล้วขายอ่ะ เลิกร้องไห้ไม่ได้ว่ะ เจ็บใจ ไม่รู้จะทำยังไงดีเลย กูรู้สึกเสียความรู้สึก งานกูอดทนทำทุกวันเพื่อมาเจอเขาบอกความสามารถไม่ตรงกับมาเจองานตัวเองโดนขาย ทั้งๆที่กูไม่ได้เครดิตหรือเงินเลยจริงๆหรอวะ?
โคตรเหี้ยเลย
เพื่อนโม่ง ในนี้มีใครทำงาน/มีเพื่อนทำงานสาย IT ในบริษัทรถไฟฟ้า B*S,M*T มั่งปะ อยากรู้ว่าเงินเดือนกับสภาพแวดล้อมเป็นไงมั่ง เห็นเขาเปิดรับสมัครอยู่ อยากไปลอง แต่ก็อยากได้ข้อมูลไว้เตรียมตัวด้วย
>>611 ขอบคุณมากก เหมือนเท่าที่รู้มาที่แรกไม่ toxic เลย (คือมีแต่คณะกูรุ่นพี่กู คนqualificationประมาณกูเลยอะเอาดี) แต่ด้วยความเป็นตาร์ทอัพกูก็กลัวเจอเหมือนมึงคือความไม่เป็นระเบียบ
กูก็ไม่เคที่บ.สองกดเงินกู ไม่รู้ดิมันทำให้กูเอ๊ะมากที่เค้าทำแบบนี้กะกู แต่เนื้องานสไตล์กูโคตร ได้ทำอะไรที่นอกเหนือไปจากสายงานกูเพียวๆด้วย ซึ่งกูชอบ แถมได้ลงพื้นที่ ได้ออกตจว ไม่ได้นั่งแต่หน้าคอม เหมือนตอนนี้กูต้องเลือกระหว่างเนื้องานที่ชอบกับสภาพแวดล้อมบริษัทที่ชอบอะ
เรื่องลาออกไม่ทราบเลย แต่เท่าที่ดูส่วนใหญ่คนทำงานในทั้งสองที่ก็ดูไม่ค่อยออกนะมึง คือเอาจริงwork environmentโอเคทั้งคู่ ไม่กดดันเราไรงี้ (เพราะถ้ากูรู้ว่ากดดัน กูไม่มีทางมาสมัคร)
ปลไม่ใช่สายเอเจนซี่ บอกไม่ได้เลยว่าสายไหน ถ้าบอกคือโป๊ะสูง55555
พรุ่งนี้จะต้องเริ่มงานที่ใหม่แล้ว ทำไมกุเครียดวะ
>>619 แบบนี้คือมึงทิ้งลายเซนต์อะไรในผลงานไว้ไหมวะ? นี่แม่งถ้าจับได้จริงๆคือละเมิดลิขสิทธิ์ชัดๆเลย โคตรทุเรศสัส ถ้ามึงเอาไปโวยวายในทวิตสักหน่อยกูว่าก็น่าจะได้มั้ง อีกอย่างนึงคือ .... ผลงานต้นฉบับแบบต้นฉบับจริงๆ มึงมีเก็บไว้อยู่ใช่ไหมก่อนจะมีโมเดลตัวนี้ให้แม่งปลิงไปได้อ่ะ? เพราะตัวต้นฉบับที่สุดที่เห็นการพัฒนามาเรื่อยๆมันนำไปใช้ในชั้นศาลได้อย่างดีเลย
>>620 ปกติอีกเสียง งานปัจจุบันกูดีนะ บริษัทดี แผนกดี แต่บางทีก็เบื่อๆ นึกอยากเปลี่ยนงานใหม่ แต่พอเหลือบไปมองแผนกข้างเคียงแล้วก็อดคดไม่ได้ว่า...ถ้าเกิดกูต้องไปเจอที่ทำงานใหม่ toxic แบบแผนกนี้ คนประสาทแดกเกือบทั้งแผนก ทำสงครามประสาทกันได้ทุกวี่วัน กูจะทำไงวะ เพราะงั้นอยู่ตรงนี้ไปแหละดีแล้ว อย่างน้อยก็นายดี ทีมดี เพื่อนร่วมงานดี งานใหม่ เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะต้องไปเจอกับอะไรบ้าง จะเครียดก็ไม่แปลก
พี่ๆโม่งแนะนำกูด้วย พวกสายJapanese speaking salesที่ทำกับคนญี่ปุ่นนี่ปกติมันให้CommisionเหมือนSale engineerของไทยมะ หรือไม่มีCommissionเลยกูไปสัมภาษผ่านที่1ติดแต่แม่งไม่มีค่าคอมกูเลยงงว่าเป็นsaleไม่มีคอมแล้วทำจะทำไมวะ
Ky มีใครเคยนิ้วล็อคบ้าง ตอนกุทำงานออฟฟิศไม่ยักเป็นไรแต่พอเปลี่ยนมาทำงานใช้แรงอย่างแม่บ้านรร. ร้านอาหารกุเป็นเฉยเลยอ่ะ แบบกลางคืนจะปวดๆ ข้อนิ้ว ตื่นเช้ามาก็ปวด งอนิ้วยากๆ หน่อย แต่พออาบน้ำใช้ชีวิตสักพักก็ปกติ ไม่เจ็บไม่อะไร จะเป็นถาวรมั้ยวะถ้ากุต้องทำงานพวกนี้สักปี
อายุมาครึ่งทางจะสามสิบล่ะ เงินเดือนยังไม่แตะ 30k คำนวณแล้วเก็บเงินได้ปีละ 120k+- worklife balance โอเค เหี้ยแค่บางช่วง ไม่มีปัญหาเรื่องเงินนักแค่ทำตัวฟุ่มเฟือยกินของแพงๆอย่างชาไข่มุกแก้ว 70-80 บ่อยไม่ได้
พอไปมองคนรุ่นเดียวกันบางคนเงิน 30-50k แล้วกูก็คิดว่ากูควรพัฒนาเพื่ออัพเงินบ้าง แต่เห็นคนเงินระดับนั้นบทงานเยอะก็เยอะกับเครียดสัดๆ แต่เงินก็ดีสัดๆ
ลังเลใจว่าจะยอมเสียสุขภาพจิตเพื่อหางานเปิดประสบการณ์ใหม่และเงินดีมั้ยวะ นี่คือกูติดอยู่คอมฟอร์ทโซนป่ะเนี่ย
(งานที่กูทำก็ไม่ใช่งานที่กูชอบนะ แค่กูทำได้และโอเคกับงานเสมียน)
>>626 ใช่ มึงติด แต่ก็ไม่ผิดที่จะติด ต้องดูว่าเป้าหมายชีวิตมึงคืออะไร แต่ละคนมีเป้าหมายชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนก็มีความสุขกับคอมฟอร์ทโซน บางคนก็เป็นคนทะเยอทะยาน บางคนไม่เดือดร้อนกับการใช้เงินแบบประหยัด แต่เดือดร้อนกับความเครียดเรื่องงาน บางคนเครียดเรื่องงานได้ แต่ทนเครียดเพราะต้องใช้ชีวิตแบบกระเบียดกระเสียนไม่ได้ ถ้ามึงยังไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบแบบไหน ไม่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน ยังไม่ 30 ก็ยังมีโอกาสลองอยู่นะ ลองไปทำแล้วมันไม่เวิร์คอาจจะต้องถอยกลับมาอยู่จุดเดิม แต่ถ้าลองแล้วชอบก็ยาวๆ ไปเลย ถ้าตัวคนเดียวตัดสินใจเองได้เลย แต่ถ้ามีครอบครัว ต้องรับผิดชอบครอบครัว ต้องปรึกษากันด้วย ไม่ใช่ตัวเองจะคอมฟอร์ทโซนแต่เมีย 2 ลูก 4 อดๆอยากๆ มันก็บ่าได้
ส่วนกูตัวคนเดียว ลองมาทั้งสองแบบละ ชอบแบบทางสายกลาง ซึ่งทางสายกลางของแต่ละคนแต่ละสายอาชีพก็ไม่เท่ากันหรอก ทางสายกลางของอาชีพกู อาจจะถือว่าเป็นเงินเดือนชั้นกากเดนของบางอาชีพ หรืออาจจะถือว่าเป็นเงินเดือนสูงของบางสายงานก็ได้ แต่สำหรับสายงานกูก็คือกลางๆ และกูพอใจกับชีวิตทุกวันนี้พอสมควรละ มีแค่ปัญหาเดียวคือบางทีก็เบื่อๆ บ้าง
หลังจากเรียนจบโทมา แต่แลกด้วยการหยุดทำงานไปหลายปี พอกลับมาทำงาน กุรู้สึกมีไฟขึ้น อาจจะเพราะเปลี่ยนสาย เจองานอะไรใหม่ๆ กับตอนออกมาเรียนมันหยุดยาว เจอโควิดดีเลย์ไปเยอะ เลยว่างจนเบื่อมากๆ ทำให้มีแนวคิดว่าว่าชีวิตนี้คงมีแต่งาน อยากทำงานเพื่อสนองตัวเอง เพราะรู้สึกว่าชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมา ทุกๆอย่างคือไม่ได้เก่ง แต่ก็ไม่ได้แย่ ระดับกลางๆ สิ่งที่เคยเรียน กีฬา ดนตรี ไม่ลืมก็ระดับคนปกติทั่วไป แฟนก็ไม่ได้หาจริงจัง แต่ก็มีเอฟอยู่เรื่อยๆ
แต่ตอนทำงานรู้สึกว่าถ้าเจออะไรยากๆ ที่หมายถึงตัวงานนะ ไม่ใช่คน(พวกนั้นยากและเรื่องมากอยู่ละ555) กูจะรู้สึกสนุกที่จะได้ทำ และแก้ปัญหา แม้ว่ามันจะแดกเวลาชีวิตกลับดึกก็เถอะ กุยังนับเป็นปสก.0 สำหรับสายงานที่ทำ แต่เป็นoutsource ตั้งเป้าว่าสัก2-3ปี ได้เกิน6หมื่นก็ดีใจละ เสียดายที่กูได้ภาษาแต่ที่ผ่านมาดันทำบ.ไทยสังคมไทยจ๋า ไว้รอเก็บประสบการณ์ ดูอนาคตอีกที
สงสัยว่าอยู่ กทม. ต้องเงินเดือนประมาณไหนถึงจะถือว่าเป็นชนชั้นกลางกินใช้ไม่ลำบากหว่า
ดูแล้วค่าใช้จ่ายเยอะชิบ
มึงว่ามันควรเป็นเรื่องปกติป่ะวะ คือตอนเลิกงานบริษัทกูเขาจะตรวจกระเป๋าพนักงานทุกคนก่อนออกจากออฟฟิศ กูไปทำงานช่วงแรกๆ กูตกใจมากเลยว่ะ ไม่คิดว่าจะมีอะไรแบบนี้ คือกูรู้สึกเหมือนโดนละเมิดยังไงก็ไม่รู้ บริษัทใครมี culture แปลกๆมากเล่าสู่กันฟังได้นะ - -'
เมื่อวานทำงานอยู่กูทำบนห้างนะ
จู่ๆมีไฟแนนซ์มาทวงเงินกับพนักงานในที่ทำงาน
แต่คนนั้นออกไปละหลายอาทิตย์ละ
>>635 ก็นั่นแหละ ในสายตาพวกลูกจ้างอย่างมึงไม่คิดกันไง ว่าถ้ามันหาย หรือเสียหายเยอะๆ ต้องมาซื้อใหม่แล้วมันเปลือง ไอแค่ดินสอปากกาโง่ๆยันเก้าอี้แม่งใช้หายๆพังๆเยอะๆก็ต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย พวกมึงไม่คิดอะไรไงเลยไม่รู้ว่าพวกนี้มันมีคุณค่าเพราะถ้ามึงไม่ออกตังค์เองก็ไม่ทะนุถนอมดูแลมัน
แล้วมันมีจริงๆพวกเนียนจิ๊กของในสํานักงานเอากลับบ้านไปอ่ะ ก็สมควรที่ต้องโดนตรวจ
ไม่ค่อยเจอแหะกับพวกสายจิ๊กของ เกี่ยวกับฐานเงินเดือนไหมนะ หรืออยู่ที่การคัดคน
เพราะที่ทำงานเจอๆมาพวกเด็กเข้าใหม่ก้สตาร์ท25kกันหมด
>>642 จากประสบการณ์ส่วนตัวนะ จิ๊กของบริษัทเล็กๆน้อยๆ อย่างพวกเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงานราคาถูกๆ นี่ใครๆก็มีทำกัน
แต่เอาไปเพราะจะใช้ และก็เอาไปแค่นิดๆหน่อยๆนะ ไม่ใช่หยิบไปเป็นเยอะๆ หรือเอาของใหญ่ๆแพงๆไป
แต่ถ้าพวกขโมยของๆพนักงานคนอื่น โดยเฉพาะพวกของกินที่แช่เย็นไว้ในตู้เย็นบริษัทนี่เกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนจริง
อย่างปกติกูกับคนในทีมไม่เคยมีปัญหาของกินหายเลย จนวันนึงต้องย้ายชั้นมานั่งทำงานชั้นเดียวกับพวกคอลเซ็นเตอร์
ของกินที่แช่ในตู้เย็นหายบ่อยมาก แถมเปิดมาก็เจอของกินที่แปะ post it เขียนแนวๆใครเอาไปพ่องตาย เยอะมาก แปลว่าโดนกันเป็นปกติ
แถมมารยาทคน การใช้อุปกรณ์ส่วนกลางอย่างอ่างล้างจาน/ตู้กดน้ำ แย่กว่าโซนอื่นที่เคยอยู่มาแบบชัดเจน
>>646 ไอ้พวกของเล็กๆน้อยๆพวกนั้นเอาจริงมันไม่ควรต้องจิ๊กเลยนะ มันควรเป็นของที่บ.ให้พนักงานอยู่แล้วด้วยซ้ำ เท่าที่กูทำมาก็มีให้เกือบทุกทีนะ ไปขอเอาจากadminได้เลย พวกปากกา, post it อะไรพวกเนี้ย
ของบ.กูที่ต้องระวังจะเป็นพวกลำโพงบลูธูท, กล้อง 360องศาแบบอันเล็กๆที่เอาไว้ประชุมอะ แม่งชอบมีคนหยิบติดกลับบ้านไปตลอดพอคนอื่นจะใช้ก็ไม่มี ต้องไปตามหาว่าอยู่ที่ใครให้วุ่นวาน
>>650 เลียรองเท้าโพ่ง กูทําธุรกิจแล้วมีลูกจ้างแบบนี้เนี่ย แล้วไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่ กูไม่ได้รวยล้นฟ้าขนาดนั้นอะไรประหยัดได้ก็อยากประหยัด เวลาซื้อเครื่องเขียนอุปกรณ์สำนักงานทีก็เบื่อนะ แม่งมาเสียเงินกับอะไรไม่รู้หลายครั้งเพียงเพราะมีคนแม่งลักไก่ขี้ขโมย แมางซื้อเข้าไปเหอะกินสอปากกาเป็นสิบๆโหล เหี้ยสุดเลยคือทําเก้าอี้ออฟฟิศพัง เจอบ่อยๆก็ไม่ขรรมนะเว้ย เรียกมาคุยลับหลังก็หาว่ากูบ่นมากเรื่องเยอะ ตอนนี้แก้ปัญหาให้พกปากกาของตัวเองละ
>>645 ของกูถ้าที่บริษัทไม่ค่อยเจอแม่บ้านใช้ก๊อกน้ำหรือของส่วนกลางเลอะเทอะนะ น่าจะเพราะถ้าทำตัวเองก็ต้องเป็นคนเช็ดนี่แหละ
แต่คนที่รายได้ไม่เยอะบางกลุ่มอย่างพวก messenger, ยาม กูก็เห็นเค้าใช้ดีๆกันนะ
พวกหนักๆที่กูเจอจะเป็นพวก call center ย้ำว่า not all นะ แต่ในที่ๆกูเคยทำก็ถือว่าเป็นส่วนมากเลย
>>649 ที่ว่าจิ๊กคือเอากลับไปใช้เรื่องส่วนตัวข้างนอกน่ะ ไม่นับพวกที่เอามาใช้ทำงาน
ส่วนมากพวกที่ทำคือคนที่เรียนโทแล้วต้องใช้ของพวกนี้เยอะ หรือไม่ก็คนมีลูกที่เอาไปให้ลูกวาดรูปเล่น
แต่ของอย่างลำโพงหรือกล้อง โดยเฉพาะของส่วนกลางไม่ใช่ที่ให้แบบบของใครของมันนี่เอากลับบ้านก็เหี้ยไป
>>653 กูคือ>>639 >>647 >>651 คนเดียวกันครับ อ่านไม่แตกคือใครเอาไปใช้นิดๆหน่อยๆงอแงเป็นโหลอะไรวะ
สถานการณ์ที่กูเจอคือลูกจ้างแม่งใช้แป๊ปๆหายต้องซื้อยกโหลใหม่ แม่งในระยะเวลาแค่นั้นใช้ไม่หมดแท่งหรอก แล้วตอนเลิกงานกูก็เดินตรวจดูออฟฟิศตลอดบางครั้งก็เห็นปากกาดินสอตกเรี่ยราดซ่อนตามซอกโต๊ะไรบ้าง คือออฟฟิศกูมันเป็นตึก5ชั้น ปากกาที่ควรจะอยู่ที่เคาเตอร์ชั้น1แม่งก็กระจายไปอยู่ส่วนอื่นได้หมด จริงๆกูแยกไว้แล้วซื้อแบ่งให้แต่ละชั้นใช้ของชั้นตัวเอง เพราะเกิดปัญหาที่เคาเตอร์ดนสอปากกาแม่งหมดบ่อยพนักงานเคาเตอร์ไม่มีเหลือใช้
>>654 เหลือเชื่อว่า จบ ป.ตรี นั่งโต๊ะกันเรื่องการใช้ของให้สมกับความคุ้มค่าแม่งไม่มีเลย เอาจริงๆหัวหน้ากูเคยเจอไรแบบนี้ ถ้าเบื่อต้องนึกมุกให้ออกว่าแก้เผ็ดไอพวกชอบใช้ทิ้งขว้างยังไง หัวหน้ากูนี่ไม่ซ่อนก็แบบไม่บอก หรือบางทีตีมึนบอกลืม เพราะของเบิกมีเยอะมาก คนขอวันลาวันหยุดเยอะเลยลืมก็ว่านั่นแม่งไปเลยจะได้พกๆมาเอง รายได้ในออฟฟิศนี่กูว่าคงไม่มีใครแบบ9พันกันหรอกเนอะ เรื่องของจุบจิบน่าจะมีปัญญาติดตัวมาเองบ้าง กูทำงานออกแนวจับกังแต่รายได้กับสวัสดิการแตะๆเด็กจบใหม่คนสันดานมีแบบนี้บ้างเพราะไม่จำกัดวุฒิกูไม่แปลกใจ แต่ไอประเภทเรียนมาสูงแต่เรื่องไม่ใช้ของทิ้งขว้างเสือกไม่อบรมนี่เสียดายวุฒิที่เรียนมาชิบหาย สูงแต่ไอคิวที่เหลือต่ำหมดนี่ก็ไม่ไหวเนอะ
อยากทำงานง่ายๆที่ได้เงินเดือนเยอะๆยกเว้นขายหีเว้ย งานที่ทำตอนนี้มีแต่ยากๆ
พวกงานเป็นคนจัดของดูสต็อกในบิ๊กซีมันดีมั้ยวะ เห็นเขียนรับหลายตำแหน่ง ตั้งใจจะทำไปเรียนรามไปด้วย
อยากเล่นเกม MMO RPG ว่ะโม่งแนะนำหน่อย ไม่เอา Albion เพิ่งเลิกเล่นมา
อยากเล่น Seal มีแต่เซิฟเถื่อน ไม่อยากโหลดลงเครื่องด้วย
ห้องเกมก็มีทำไมมึงไม่ไปคุยในนั้น
วุฒิม.6ในต่างจังหวัดมีห้างทำไรได้บ้างวะที่เงินเยอะๆ
ว่าจะไปสอบราชการแต่สัก555+
>>665 ไม่มีหรอกรายวันด้วย งานเงินดีๆมักจะเป็นพวกผู้จัดการร้านหรือพนักงานแนะนำสินค้าพวกแบรนเนม พวกนี้เอาวุฒิด้วย
สอบ ม.6 ขรก ก็มีพวก ตำรวจ ทหาร สอบไม่ยาก แต่งานไม่ดีหรอกเงินเดือนน้อย ยกเว้นตำรวจปรามปราบ แถมระเบียบเยอะโดนกดขี่ แต่อย่างน้อยมีความมั่นคงในชีวิต มีปรับเงินเดือนให้ทุกปี ถือว่าดีสำหรับวุฒิ ม.6
ส่วนพนง.ราชการรับ ม.3 ม.6 มีเยอะแยะ แต่ตำแหน่งมันก็คนใช้ดีๆนี่ละ
เห็นขยาดวะ
บางคนแม่งทำงานไม่บางคนหรอกอย่างพ่อแม่กูทำหลายชมเงินก็ไม่ได้เท่าที่ควรเห้อ
ขยันตื่นเช้ามาทำขนาดไหนก็ไม่มีเก็บ
----
ทำงานพวก อบต หรือ พวกในโรงบาลมันดีมั้ยวะ
อยากทำพวกฮุกแต่ก็ไม่ได้เงินอีก หรือ ได้
มีใครใช้วุฒิม.3ม.6สอบทำงานพวกบุคลากรทางการแพทย์หรือพวกราชการมั้ยวะ
กูอยากรู้ว่าเงินเดือนการทำงานเป็นไง
กูปวดหลังปวดไหล่ง่ายแม่งอยากทำพวกร้านอาหารในห้างนะแต่ไปยืนทำแล้วก้มเอาของปวดชิบหาย
กูอยู่ต่างจังหวัดไงถ้ากทมมีทางเลือกแน่ๆ
ปกติว่างงานตั้งแต่เรียนจบ แต่ปีนี้มีปัญหาใหญ่ คือจะเข้าราชการรึไปตปทดีอะ กดwhs ได้นิวซีแลนด์ แต่ดันได้ราชการพอดี ถ้าจะไปนิวต้องไปก่อนมีนาด้วย ทำไงดี ใจนึงอยากไปนิวตอนที่ยังเด็กอยู่ ตอนนี้26 ที่บ้านฐานะปานกลางตอนบนไปถึงดี แต่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ เงินเก็บมีไม่พอ เอาจริงเป้าหมายชีวิตไม่มีไรมาก กะไม่แต่งงาน เงินเดือนสัก4-50k ในช่วงอายุกลางๆ ทำงานสบายๆมีเวลาไปเที่ยว หาเงินไว้รักษาตัวตอนแก่ก็พอใจแล้วน่ะ
ถ้ามีตัวเลือกไปตปท.ก็ไปให้ไวเลย ดีกว่าราชการร้อยล้านเท่าทั้งเงินทั้งปสก.ทั้งเปิดโลก นิวซีแลนด์แค่ทำงานหลังครัวโง่ๆแปบๆก็ได้เป็นแสนแล้ว
>>674 เห็นคนแชร์กันว่าค่าแรงน้อย ทำงานได้แค่3เดือนต่อ1นายจ้าง ไปทำงานจับกังแล้วไม่ค่อยอยากคาดหวังถึง job offer แต่ถ้าเข้าราชการได้30k ซึ่งก็ตรงตามเป้าหมายแล้วอะ ที่บ้านไม่มีคนเคยเป็นราชการด้วย แต่เอาจริงก็อยากไปลองนิวดูสักครั้ง กลัวมันจะเป็นความอยากชั่ววูบ แต่ถ้าจะเลือกราชการแล้วไม่ไปนิวก็กลัวเสียดายทีหลังอีกนี่อะสิ
จากใจคนที่ไปเรียนนอกมา 2ประเทศ
ถ้าอยู่ไทยแล้วลำบาก แนะนำให้ไปตปท. งานแรงงานทั่วไป หรือถ้าเก่งหน่อยก็งานสายอาชีพ(ถ้าลงเรียนcollegeนะ) เทพๆหน่อยงานออฟฟิศ
ลำบากเหมือนกัน แต่คุณภาพชีวิตดีกว่าไทยเยอะ
แต่ถ้าอยู่ไทยที่บ้าน มีรถขับ มีบ้านให้อยู่ที่ไม่ใช่เช่าเขา หรือไม่มีหนี้อะไรทั้งสิ้น และเงินเดือนเกิน30k แนะนำอยู่ไทย คือแต่ละประเทศมันมีข้อดีข้อเสีย อยู่ที่ว่าจะรับกันได้ขนาดไหน แต่ถ้าเป็นคนชอบกิน ชอบร้านอาหาร ของอร่อย อยู่ไทยสบายกว่าเยอะ อยู่นู่นทำอาหารเอง ยกเว้นพวกพนง.ออฟฟิศเงินดี ที่พอจะใช้จ่ายกินข้าวได้บ่อยขึ้น แต่ว่าต้องทำงานจ่ายค่าที่พักยาวๆ มีเงินเก็บแหละ แต่จะใช้ฟุ่มเฟือยไม่ได้
อยู่นอกดีตรงที่ค่าครองชีพ หมายความว่า ทุกๆอย่างราคาไม่ห่างกันมาก รายได้ขั้นต่ำทำงาน2วัน ซื้อรองเท้า หรือซื้อของอย่างอื่นได้ แต่นั่นหมายถึงราคาอาหารด้วย เรื่องเพื่อนก็สำคัญ แต่ถ้าชอบอยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับใครก็ดี ที่เที่ยวเน้นธรรมชาติ หรือไม่ก็พวกสายดื่ม ส่วนเวลาชีวิตจะมีมากขึ้นเยอะ ไม่เจอรถติด แต่ก็เจอเบียดในรถสาธารณะซึ่งก็เหมือนไทย แต่เวลาที่เหลือก็จะไปลงพวกซื้อวัตถุดิบ ทำอาหาร มีเวลาออกกำลังกาย และเวลาพักกมากขึ้น
คือต้องบอกว่ามันเหมือนกับไปนับ1ใหม่หมดเลย ถ้าที่บ้านนับถึงแค่10 การไปนับที่นู่นก็ไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าที่บ้านนับไป100แล้ว การไปนับ1ที่นั่นก็จะรู้สึกแปลกๆหน่อย (ยกเว้นไปนับ1 แล้วที่บ้านช่วยซัพ ช่วยนับด้วย)
ตอนนี้กูได้ offer งานมา 2 บ.ว่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาที่ไหน
1. บ.1 นี้ใกล้บ้าน 10 นาทีถึงออฟฟิศ รถไม่ติด เลิกงานแล้วมีเวลาไปโน่นไปนี่ ทำจัน-เสา แต่เป็นวงการที่กูไม่ค่อยชอบว่ะ พวก accessories เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับพวกนี้ แต่กูเข้าไปทำได้ 2 week ละ เนื้องานก็โอเค ไม่กดดัน เจ้าของใจดี เงินเดือนก็สมเหตุสมผล แต่เนื้องานเหมือนที่เก่าที่กูเคยทำมาเป๊ะเลย เหมือนทุกอย่างแม้กระทั่งเครื่องถ่ายเอกสารก็ยี่ห้อเดียวกัน 555 ก็ชักเบื่อๆ แหละแต่ก็ทำได้
2. บ.2 ไกลบ้านออกไปอีกนิด ต้องนั่งรถเมล์ ถ้าออกผิดเวลาคือรถติดเลย สายแน่นอน แต่เป็นบ.ลูกในเครือบ.ใหญ่ ทำพวกสื่อโฆษณา ทำจัน-ศุกร์ ให้เงินกูมากกว่า บ. 1 ประมาณ 2K ได้สัมกับหัวหน้าเลย เขาก็ดูขรึมๆ นะไม่รู้ใจดีป่าว แต่เนื้องานไปคนละทิศละทางกับงานเก่าๆที่กูเคยทำงานมาเลย แนวๆ Business Develop ใจกูก็อยากได้ที่นี่แหละ แต่ที่ที่กูทำทุกวันนี้ก็ดีนะ แต่กดเงินกูไปหน่อย week หน้ากูต้องตัดสินใจละ เพื่อนโม่งช่วยกูตัดสินใจที
ถ้าอยู่ไทยเเล้วสามารถหาเงินจากข้างนอกได้ = อยู่ไทยดีกว่าใช่ไหมวะ อันนี้คือกูไม่มีความรู้มากเเต่กูเห็นเพื่อนกูทำงานวาดรูปเห็นเปิดเว็บปลาทองได้ประมาณ3000ดอล คิดๆดูเเม่งก็ได้80000-90000เเล้วนี่หว่า เเต่3000ดอลต่างประเทศนี่เเม่งไม่ได้เยอะเลยใช่ไหม
>>679 ค่าแรงขั้นต่ำส่วนมากจะอยู่ที่10-12ดอล
พวกโอนลี่แฟน ปลาทอง ต่างชาติเขาคือเศษเงิน ทำงาน1-2ชม ได้ดูทั้งเดือน แต่ว่ามันมีค่าใช้จ่ายอื่นๆด้วย มันไม่ลำบาก แต่ใช้ฟุ่มเฟือยไม่ได้เอางี้ละกัน ยกเว้นพวกทำงานออฟฟิศดีๆหน่อย แต่ก็โดนภาษีหัวบานอยู่นะบางประเทศก็เกือบ40% แต่พวกค่าแรงขั้นต่ำโดนภาษีกันไม่เยอะ
>>677 ขอถามอย่างนึง ทำงานหลักเสียภาษีหนักตายห่า ค่าครองชีพบาลานซ์กับชีวิตการทำงาน แล้วเวลาทำงานเพื่อขอprไว้ใช้ชีวิตยาวๆอ่ะแม่งง่ายไหม? แล้วที่แม่งกูสงสัยสุดๆเลยนะ สมมติว่างานหลักเสียภาษีหนักตายห่า ไปหารายได้เสริมมาทดแทนกันเพื่อหนีภาษีได้ไหมวะ? คือ มา ตปท แต่ได้มาแค่1-2ปีแล้วต้องมาทนทุกข์กับกะลาบ้านเกิดต่อใครจะโอเควะ? แบบนี้จะมาทำไม เงินออมกลับไทยได้สักกี่แดงเชียว
มีใครวุฒิม.6ไม่เรียนต่อแล้วไปทำงานมั้งฮะ
ตอนนี้เป็นไงบ้าง
หรือพอมีแนวทางมั้ยฮะ
กำลังคิดว่าจะเรียนต่อป.ตรีดีมั้ย เรียนแบบเสาอาทิตย์ทำงานไปด้วย
แล้วเอาป.ตรีไปสอบราชการ
>>684 ปกติพวกนี้กูเห็นชอบผันตัวไปเป็นแม่ค้า พ่อค้า ใครโชคดีหรือมีดีทำร้านได้มั่นคงก็รวยไปเลย ไม่สำเร็จก็พวกขายอาหาร ขายของตามข้างทาง ตามตลาด เจ็บป่วย ได้เยอะบ้างน้อยบ้าง หยุดก็ไม่มีรายได้ พวกไม่มีทักษะก็ทำงานโรงงานอยู่ไปสักพักเบื่อทีก็พากันย้ายโรงงานที
ถ้ามึงไม่มีทักษะอะไรโดดเด่น ที่มาเอาทำเป็นเงินๆทองๆได้ กูก็แนะนำให้เรียนนะ แต่เลือกสาขาที่ตลาดยังต้องการอยู่ละกัน
เสริมอีกหน่อยไม่มีปริญญาตรีงานในห้างก็หาได้นะ พวกเด็กเสริฟ ถ้าเรียนเอาวุฒิก็ขึ้นผู้จัดการร้านอาหารร้านขายของได้ถ้าตำแหน่งว่าง พยายามซี้กับเจ้าของดีๆละกัน ถ้าทำคอมเป็นก็เป็นพวกธุรการได้ทำงานเอกสาร เก็บข้อมูลไป พวกบริษัทเล็กๆพวกนี้ไม่สนในปริญญา แต่ความก้าวหน้าหาไม่ค่อยเจอหรอก แต่มันหาเงินเดือนๆนึง 12-20k ทำให้มึงต่อยอดอาชีพได้
บริษัทเรียกไปบอกว่าเงินเดือนกูตันแล้วทำไงดีวะ ฐานตันแต่ไม่ได้เยอะนะ
หรือการบอกแบบนี้หมายถึงไล่ออกให้ไปหางานใหม่ แบบอ้อมๆ วะ ;_;
ทั้งๆที่ก็ไม่ไก้เกล่ยดงานแต่ทำไมไม่อยากไปทำงานเลยวะ
กูเกลียดงาน และไม่อยากทำงาน
กุชอบงานที่ทำมาก ทำมาสองปี แต่ล่าสุดเปลี่ยนเฮด แล้วเขาอยากลดคอส เลยจะเลาะทีมกุออกทั้งทีม (ข่าววงในมาอีกทีว่าไอ้คนใหม่นี่แม่งตัวเหี้ย โคตรคอรัปชั่นเลย มันเลาะหลายฝ่ายทิ้งเพราะจะเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง) กุละอย่างเซ็ง อยู่ๆ ก็ต้องเตรียมหางานใหม่ ถึงจะคิดในแง่ดีว่าก็หาใหม่ทั้งทีมก็เถอะ
กูขอปรึกษาหน่อยได้มั้ยพี่โม่งคือกูทำงานเป็นวิศวโรงงานได้ประมาณปีนึงเว้ยเเต่เงินเดือนไม่เยอะนะ ประมาณ 19k ทีนี้กูได้งานใหม่เป็นสายgraphic,สายอาร์ตซึ่งกูอยากลองทำนะ บ.เสนอมาให้24kค่อนข้างอยากลองไปทำมากเพราะเงินเดือนเยอะขึ้นมากเลย (กูมีสกิลทางด้านนั้นพอดีเเละก็มีพอร์ตด้วย) เเต่ทีนี้ที่ใหม่มีสวัสดิการน้อยกว่ามากเพราะเป็นบ.เล็กๆที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานบ.เเม่อยู่ที่ฝั่งยุโรป ที่ทำอยู่กูมีสวัสดิการคือพวกตรวจสุขภาพประจำปีฟรี ประกันกลุ่ม ประกันสังคมทั่วไป โบนัสก็มีเเต่Fixเเค่โบนัสเดือนนึง เเล้วก็มีPVDให้ด้วย เเต่ที่ใหม่มีเเค่ประกันให้ไม่มีPVD เลย
กูควรจะทำต่อหรือลองไปหาประสบการณ์ดูดี ข้อเสียของที่ใหม่คือความก้าวหน้าอาจจะไม่เหมือนงานที่ทำอยู่(อย่างน้อยวิศวมีประสบการณ์ในอนาคตมันก็อัพได้) ไม่ได้ชอบไม่ได้เกลียด เเต่งานใหม่นี่กูก็ค่อนข้างชอบเเต่ค่อนข้างลังเลเรื่องความก้าวหน้าในอนาคตว่ะ คือไปทำนี่คงจะได้ประสบการณ์เเต่อนาคตคงน่าจะผันตัวเป็นฟรีเเลนซ์ บวกกับหางานในไทยประจำนี่ค่อนข้างยากเพราะnicheเอาเรื่อง ไม่เหมือนสายอาชีพ
>>695 เอาส่วนตัวกูนะ ไม่รู้ถูกหรือผิด กูต้องดูว่าเป้าหมายในชีวิตหรือสถานการณ์ในชีวิตของตัวเองคืออะไรก่อน ถ้าเป้าหมายในชีวิตมึงคือแต่งงาน มีลูก หรืออย่างเช่นกูที่มีภาระคือต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เป็นเสาหลักของบ้าน ล้มคนเดียวล้มทั้งบ้าน ไม่มีใครพร้อมโอบอุ้ม เลือกวิศวะในบ.ใหญ่น่าจะดีกว่า เพราะคนแนวนี้ต้องการความมั่นคง การเติบโตในสายอาชีพ และสวัสดิการ เนื่องจากยิ่งวันภาระค่าใช้จ่ายมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามึงตัวคนเดียวเฟี้ยวๆ อยากใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องความมั่นคงเรื่องอนาคตอะไรมากมาย พ่อแม่มีฐานะหรือมี passive income อยู่กันเองได้แถมถ้ามึงล้มที่บ้านพร้อมซัพพอร์ต มึงก็เลือกที่ชอบได้เลย
ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ถ้ามึงยังเพิ่ง 20 ต้นๆ กลางๆ มึงออกไปลองก่อนได้เลย เพราะถ้ามันไม่เวิร์คมึงยังกลับมาสายวิศวะเหมือนเดิมทันอยู่ แต่ถ้ามันเวิร์คมึงก็ไปต่อยาวๆ ก่อน 30 มันคือวัยลองผิดลองถูกเรื่องงานนี่แหละ
>>696 อายุ27-28นี่ถือว่ากลางมั้ยนี่ จริงๆก็ลังเลเพราะกูเริ่มทำงานช้ากูไม่มีเป้าหมายชีวิตเเบบนั้นอะ มีเป้าหมายเเค่เก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณอย่างเดียวเลย(ตั้งใจไว้เเล้วว่าจะไม่เเต่งงาน โสด เง่นก็ซื้อกิน) มีภาระคือต้องส่งให้เเม่คนนึงเเหละ เเต่ก็ไม่ได้เป็นเสาหลักคนเดียวของบ้าน น้องใกล้เรียนจบเเถมจบสายdev เงินเเซงกูไปไกลเเน่นอนเพราะงั้นเลยคิดว่าเรื่องดูเเลพ่อเเม่เลยพอจะช่วยกันได้ ส่วนตัวกูเลยคงเป็นเคสคนเดียวเฟี้ยวๆ หากินก็ทำฟรีเเลนซ์พอได้ เเต่อันนี้สงสัย วัย30นี่คือปิดสวิทซ์การย้ายสายงานเเล้วใช่ไหมพี่โม่ง เครียดเลยกู
>>697 อย่างมึงเรียก 20 ปลาย / 30 ก็ไม่ถึงกับปิดสวิตช์ 100% หรอก แต่ยาก เพราะในไทยนี่เวลารับอายุ 30+ นั่นคือเค้าคาดหวังคนที่มีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญในสายงานนั้น มาเป็นระดับหัวหน้าหรือผู้ช่วยหัวหน้าแล้ว ถ้ารับแบบพวกตัวเปล่าๆ ไร้ประสบการณ์ในสายงานมา ไปเอาเด็กน้อย fresh graduate ดีกว่า สอนง่าย ใช้งานง่าย ค่าตัวถูก
ใกล้สอบ กพ แล้ว กฎหมายกูยังเน่าอยู่เลยแม่งจะยัดวิชาเหี้ยนี่มาทำไมวะสาด
โคตรเบื่อการเมืองในบริษัทที่แบบอยู่ดีๆไม่อยากทำงานที่เคยตกลงกันแล้วไม่ยอมรับให้มันตรงไปตรงมา
ต้องสร้างสตอรี่เอาคำพูดคนอื่นไปบิดแบบศรีธนญชัยให้ต้องมาเถียงกันเป็นชั่วโมงๆ
แคปแชตไปปาใส่หน้าว่าเคยพูดอะไรไว้ก็ทำมึนไปเรื่อย กูไปบอกผู้ใหญ่เดี๋ยวก็มางอแงว่าทำไมต้องเอาผู้ใหญ่มาอีก
รู้สึกเวลาเจอคนเถียงกันเรื่องเด็กจบใหม่ยุคนี้ทำงานไม่ดีรู้สึกแม่งไม่ค่อยมีคนที่คิดอะไรกลางๆเลย
พวกด่าเด็กก็มีแต่พวกความคิด boomer จ่ายร้อยจะเอาล้าน จะให้เด็กขายวิญญาณเป็นทาสบริษัท แต่ผลตอบแทนไม่พอแดก
ระบบงานห่วย สังคม toxic แล้วมาคาดหวังให้เด็กต้องทน แบบนี้อย่าว่าแต่เด็ก คน gen y หลงเข้ามาก็หนีเหมือนกัน
ส่วนเด็กที่บางคนทำอะไรไม่เป็น ความสามารถไม่มี แต่มาถึงจะเอาเงินเท่าผู้จัดการระดับกลางของสายงานคนขาดงี้แม่งก็เกินไป๊
ถามหน่อยสิ มีใครก่อนทำงานเป็นคนเงียบๆไม่กล้าเข้าสังคม แต่งานทำให้ตัวตนเปลี่ยนไป กลายเป็นคนกล้าเข้าสังคมบ้างป่ะ
กูกังวลแต่เรื่องนี้อ่ะ กูกลัวคัวเองจะปรับตัวไม่ได้
>>707 จากประสบการณ์ส่วนตัวของกูที่ไม่ถึงกับชอบเข้าสังคม แต่ก็ไม่ได้รังเกียจถ้าไม่ใช่อะไรที่เยอะเกินไปและโอเคกับคน
กูคิดว่าทีมที่มีวัฒนธรรมบังคับให้คนที่ไม่ชอบต้องเข้าสังคมมันไม่ใช่วัฒนธรรมทีมที่ดีหรอก
ถ้าเจอแล้วก็ลองพิจารณาปัจจัยอื่นๆเอา ปัจจัยอย่างอื่นไม่น่าดึงดูดเลยก็หนีไป หรือถ้ามีดีพอให้ทนก็ทน
ทีมที่ดีมันคือไม่ต้องไปบังคับใคร ถ้าสังคมมันดีมากพอบางคนที่อาจจะไม่ได้ชอบเค้าก็จะเริ่มมาเอง แต่บางที่ยังไงก็ไม่ชอบจริงๆก็ปล่อยเค้าไป
หรือถ้าจะบังคับจริงๆเพราะมีกิจกรรมที่ผู้ใหญ่สั่งมาอีกทีก็ต้องช่วยกันคุมไม่ให้มันเป็นอะไรที่เรื่องเยอะจนเกินไป
>>709 งาน IT ยังมี WFH 100% อยู่บ้างนะ ถึงจะไม่เยอะเท่าตอนโควิดหนักๆ
หรือพวก 80% (เข้าออฟฟิซอาทิตย์ละวัน) นี่ก็มีเยอะ
>>707 กูเป็นคนเงียบ แบบเงียบชิบหาย แต่ตอนนี้กูทำงานบุคคล ดูแลคนเป็นร้อยๆ เป็นคนที่ทุกคนในองค์กรจะมาหาตลอด กูต้องคุยกับมุกคนตลอด หลายครั้งต้องวิ่งเข้าหาคนด้วย กูท่องไว้ว่ามันเป็นงาน งานคืองานมึง
แต่นั่นแหละ พอกูคุยกับคนอื่นแค่งานกูโดนติมาว่าเข้าสังคมไม่พอเหมือนกัน ทั้งที่งานกูเสร็จเรียบร้อยไม่มีปัญหานะ
กูออกเอกชนไปเป็นขรก. ได้สักพักกูซึ้งละทำไมประเทศมันไม่พัฒนาสักที ระบบแม่งสุดยิดจริงๆ ตอนนี้ใครถามว่าใครเป็นขรก.ดีไหม กูบอกได้เลยว่าถ้าเอกชนที่ทำอยู่มั่นคงแล้วหนีไป
>>713 อย่าว่าแต่ราชการอะ แค่บ.สัญชาติไทยกูก็ไม่เอาแล้ว ปวดกบาลกับไทยสไตล์ ใครจะไล่กูออกประเทศก็เรื่องมึงนะ อิอิ กูไม่ไป ทำงานบ.ต่างชาติในไทยนี่แหละสบายสุดละ งานดี เงินดี กูเคยโดนส่งไปทำงานที่ HQ อยู่ช่วงนึงนะ แต่เทียบกันแล้วกูชอบอยู่ไทยมากกว่า แค่ไม่ชอบทำงานกับคนไทยและทำงานแบบไทยๆ 555
ทำไมการไล่คนออกสมัยนี้มันไม่ใช่การไล่ออกตรงๆแต่ส่วนมากจะบีบให้เซ็นใบลาออกเองกันซะมากกว่าวะ? เห็นมาหลายที่ละ มีเหตุผลดีๆสักข้อไหมที่ทำไมการไล่ออกไปเลยก็ทำได้แต่ไม่ค่อยทำวะ?
หรือว่าให้ง่ายกว่านี้คือการที่คนเรามันไล่อีกคนออกไปในทางตรงนั้นยากเพราะมันลำบากกว่าการบีบให้ออกแล้วปัญหาตามมาน้อยกว่าสินะ หรือกูเข้าใจอะไรยังไม่ถูกอีกไหม?
ข้าราชการจะไล่ออกนี่ต้องตั้งคณะกรรมการต้องมาสอบนะ ถ้าไม่ผิดวินัยร้ายแรงยากมากที่มึงจะโดนไล่ออก ส่วนใหญ่เวลาไม่ถูกใจเขาจะย้ายไปสังกัดที่ไปที่กันดารแทนหรือบีบให้ออก แล้วถ้าไล่ออกจากราชการไม่เป็นธรรมเจอมันวิ่งไปฟ้องศาลปกครองหรือเอาไปร้องสื่อ กลายเป็นพวกคณะกรรมการนี่ละจะโดนแขวนคอเอง
ส่วนทำไมให้มาออกเองหรือปลดออก แทนที่จะไล่ออก พวกปลดออกหรือบีบให้ลาออกมันเป็นโทษสถานเบาที่กว่าไล่ออก ยังจะได้รับบำเน็จบำนาญอยู่ไม่เหมือนโดนไล่ออกที่โดนตัดสิทธิทิ้งเลย
เพื่อนโม่งกำลังจะจบแล้ว อยากได้งานดีๆ พวกบริษัทต่างชาติทำ เพิ่มโปรไฟล์ตรงไหนได้อีกบ้าง กะว่าจะทำไม่ตรงสายอยากทำพวก marketing/sales แต่เรียนด้านอื่นมา | จบเกรด 3.00 ม.ดัง, TOEIC 900, มีแข่งโต้วาที, จัดงานกีฬา, ทำกิจกรรมอื่นๆ, ฝึกงาน in house 2 ที่
แนะนําพวกอยากไปต่างประเทศนะ ทําบริษัทไทยที่อยู่ในต่างชาติดีกว่า ลองมาทํางานจริงๆในความเป็นคนต่างชาติ บอกเลยว่าหลายอย่างมันเชิงๆไม่เท่าเทียม มันไม่ใช่เรื่องภาษา เรื่องวัฒนธรรมต่างหากที่ปรับตัวให้ดีแค่ไหนยังไงเราก็ไม่ใช่คนชาตินั้น เขามักจะเลือกให้งานคนประเทศเดียวกันเองมากกว่า แม้ความสามารถในการทํางานจะเท่ากัน ก็ไม่ใช่ทุกบ.หรอก แต่ส่วนใหญ่มันเป็นแบบนี้ แนะนําไปเรียนต่อนอกแล้วหาวิธีเข้าไปทําความรู้จักกับบริษัทไทยที่อยู่ที่นั่นเลย ทางนั้นก็ต้องการแรงคนอยู่แล้ว ถ้ามีคอนเนคชั่นเขาก็รอรับตอนเราเรียนจบได้เลย จากประสบการณ์อ่ะนะ แต่กูอยากจะเข้าสถานทูตมากกว่า เพราะชอบการเมืองระหว่างประเทศ
//ส่วนบ.เมกาไม่รู้ น่าจะคนละอารมณ์เพราะประเทศมีคนต่างชาติเยอะเป็นปกติ นี่กูอยู่โซนยุโรป
>>726 กูไปลงคอร์สของ data rockie เป็น boot camp เรียนตั้งแต่เบสิกให้เข้าใจภาพรวมกว้างๆ แล้วก็ศึกษาพวก flutter,python และอื่นๆแบบผิวๆ เอาง่ายๆคือกุเรียนกว้างไว้ก่อน นึกถึงว่าอยากจะทำอะไรแล้วก็เรียนสิ่งที่เกี่ยวข้อง คอร์สฟรีใน YouTube ก็มีเยอะ เสร็จแล้วก็ลองเอามาทำโปรเจคง่ายๆของตัวเอง เก็บเป็นพอร์ต แค่นั้นแหละ ติดตรงไหนก็ถาม stack overflow
>>726 ถ้าจะไปสาย analytics แนะนำไปไปตาม data rockie ละกัน เค้ามีทั้งคอร์สฟรีและเสียตัง คอร์สนึงก็ไม่แพงมีให้สอบด้วย แต่กุเรียนเพื่อเอาความรู้เบสิกอ่ะนะ ความรู้หลักจริงๆมาจากงานที่ทำเลย พอได้ทำแล้วมันเข้าใจมากกว่า แต่พวกคอร์สที่กุเรียนมาเหมือนมันปูพื้นให้เข้าใจ logic ของงานพวกนี้
กูกำลังคิดจะลาออกจากราชการไปเรียนต่อสร้างโปรไฟล์ เพื่อจะมาทำฟรีแลนซ์ ใจนึงแอบเสียดาย งานราชการเงินเดือนขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี มีสวัสดิการ แต่กูมาคิดๆ สิ่งที่กูได้มาล้วนต้องเอาบางอย่างแลกคืนไป เช่น เวลาพักผ่อน, กูเสียค่ารถเดินทางไปทำงานเดือนนึง 2 พันกว่าโดยประมาณ, สุขภาพจิตกับการแบกรับความกดดัน งานที่ผู้ใหญ่สั่ง หรือโยนมาเพราะเห็นกูเป็นเด็ก (บางคนอาจจะคิดว่ากูภาระงานน้อยกว่า?), ความเสี่ยงอื่นๆ เช่น เรื่องงานที่สื่อสารผิดพลาด หรือจุดอ่อนในกระบวนการทำงานที่มีมานาน แต่กูกลับเป็นรุ่นที่ต้องมาแบกรับความเสี่ยง จนถึงขั้นอาจทำให้หน่วยงานโดนฟ้องร้อง ส่วนเรื่องโดนผู้บริหารระดับสูงตำหนิ กูโดนมาแล้ว ฯ
.
พวกมึงว่ากูรนหาที่ไหมถ้ากูจะลาออก กูขี้กลัวเกินไปปะวะ นี่เป็นครั้งแรกที่กูจะไม่เดินตามทางที่แม่วางไว้อ่ะ กูเลยกลัวๆ
มีห้องโม่งลงทุนไหมวะ กุได้โบนัสก้อนใหญ่มาไม่รู้เอาไปลงทุนไรดี
เปลี่ยนงานไปสายprogrammerนี่กูอยากเปลี่ยนมากนะ ปัญหามีตรงที่ว่างานสายพวกนี้อ่ะ ถึงจุดนึงคือแม่งต้องรู้คณิตศาสตร์ที่พื้นฐานมาจากพวกคณิต ม.ปลายด้วย ปัญหาคือพื้นฐานตรงนี้กูอ่อนจัดเลย พอถึงจุดนึงเวลาไปหางานทำถ้าความรู้ตรงนี้มันไม่ได้กูกังวลว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน แล้วงานเบสิกๆในสายงานนี้ไม่รู้เลยว่าถ้าไม่ได้คณิตเลยมันจะเอาตัวรอดยากกว่าคนที่เป็นมากกว่าไหมนี่สิหรือไม่เกี่ยวกัน
เรื่องจริงไหมวะ ที่ทำงานจะดีหรือแย่ ส่วนนึงคือเป็นที้หัวหน้าด้วย ถ้าหัวหน้าสันดานดี มนุษยสัมพันธ์ดี วางแผนเก่ง สอนลูกน้องเป็น ทำงานๆไปนี่คือแทบไม่รู้สึกว่าไม่สบายใจ ไม่รู้นะว่าโม่งตัวอื่นคิดไง แต่เพื่อนร่วมงานที่เคยทำด้วยกันบอกกูแบบนี้หว่ะ
>>735 กูคิดว่าเลขพื้นฐานรู้ได้ก็ดี แต่ไม่เก่งมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรถ้าไม่ใช่สายงานเฉพาะทางบางอย่าง
สิ่งที่มีผลมากกว่าเยอะคือเรื่องการเลือกใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือให้เหมาะกับงาน การแก้ปัญหาด้วยเหตุผล
ภาษาอังกฤษ การรู้จัก search หาข้อมูลเอง การปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือการดีลกับคน
เลขที่ใช้เยอะๆจะเป็นพวกเกี่ยวกับ Discrete math ซึ่งเวลาเปิดตำราสอนเขียนโปรแกรมเค้าก็มีอธิบายใหม่อีกรอบอยู่แล้ว
ที่รู้สึกว่าใช้เยอะๆถึงขั้นใช้ในชีวิตประจำวันโปรแกรมเมอร์ก็น่าจะมีแค่ตรรกะศาสตร์กับเรื่อง function
(function ในเชิงเขียนโปรแกรมถึงจะมีพื้นฐานไอเดียมาจากคณิตศาสตร์แต่กูว่าในแง่การใช้งานมันก็ไม่ได้ต้องรู้ในเชิง math อะไร)
อีกอย่างการเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมแก้ปัญหาให้เรา กับการทำโจทย์เลขบนกระดาษแบบตอนเรียนมันต่างกันโคตรๆเลยนะ
มันอาศัยเรื่องความเข้าใจและการแก้ปัญหาด้วยเหตุผลมากกว่า พวกรายละเอียดยิบย่อยไม่ต้องจำหรอก ลืมก็แค่ search หาหรือเปิดเอกสารดู
อีกอย่างคือสั่งให้คอมทำในการทำงานจริงเรามีโอกาสดูผลลัพธ์ว่ามันออกมาถูกมั้ย ไม่ถูกก็แก้
แต่แก้โจทย์แบบทำการบ้านทำข้อสอบมันคือทำแล้วส่งไปตรวจว่าถูกมั้ย รอได้คะแนนกลับมา เป็นคนละอารมณ์กันเลย
ทำงานออฟฟิตกูให้ connection > พรีเซ้น > ฝีมือ นะ งาน แต่ไม่ใช่ทุกสายงาน สลับกันไประหว่างพรีเซ้นกับฝีมือ
คนกลางๆพรีเซ้นดีหัวหน้ารักเพื่อนฝูงเยอะไปไวกว่าพวกทุ่มเททำงานงกๆเยอะ
กูควรเอาคำถามนี้ไปถามกับHRดีไหมวะ? แต่HRคือแม่งขี้ฟ้องมาก เห็นอะไรส่อเกิดดราม่านี่แบบเอามาฟ้องหัวหน้าแผนกก่อนละ นิยามคนคือกลัวไม่เหมือนกันหว่ะ ไอการที่ทำงานภายใต้แรงกดดันนี่มันรวมถึงความ ปสด ของคนทำงานร่วมที่เดียวกันด้วยไหมวะ? ที่เจอมาคือไม่ใช่จากหัวหน้านะ แต่เจอจากเพื่อนร่วมงานหว่ะ พวกโม่งว่าไง การต้องทนแรงกดดันทุกวันนี้คือแม่งต้องทนกับความ ปสด ของคนร่วมที่ทำงานรวมไปด้วยนี่กูจะได้ทนไป แต่ถ้ามีโอกาสย้ายได้กูยอมย้ายเลย ไม่รู้แม่งเพราะรู้ว่าหัวหน้าจะดันตำแหน่งด้วยไหมเลยทำตัวเริ่มปากกร่าง แล้วหัวหน้าระดับใหญ่ๆใน บ. กูนี่ก็แปลกนะ บ้าหีด้วยนี่ดิประเด็น 555555
กูจะประสาทตายกับพ่อกู พ่อกูคลั่งราชการจนหลอนไปแล้วจะให้กูไปทำราชการอย่างเดียวมีอะไรก็ยื่นให้กูสมัครไม่สนว่างานมันทำอะไรกูชอบมั้ยแค่เห็นคุณสมบัติพอได้ก็มาเป่าหูหูทันที แล้วส่งมามีแต่อะไรไม่รู้คือมันก็มีบางที่ที่กูก็สนใจอยู่พอกูลองดูคุณสมบัติแล้วมันไม่ได้ไปสองสามอย่างกูก็สมัครไม่ได้ พ่อกูก็จะแบบสมัครไปเหอะยังไงเข้าไปเขาต้องสอนหมดอยู่แล้ว คือมันไม่ใช่ ถ้ากำหนดมาว่าต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้ๆเคยมีประสบการณ์อันนี้อย่างน้อยมันก็ต้องพอมีพื้นฐานป่ะ แต่กูที่ไม่รู้ห่าอะไรไม่มีพื้นฐานตามที่เขากำหนดเข้าไปกูก็เอ๋อดิเป็นภาระไปอีกสักพักบีบออกอีกอย่าหวังว่าเขาจะสอนตั้งแต่ 0 เลยเหอะ ตอนนี้กูเตรียมสอบโทอิคอยู่พอบอกพ่อดันเข้าใจว่ากูไม่สมัครงานที่หาให้เพราะไม่มีโทอิคยื่นแล้วจะลากกูมาดูคุณสมบัติว่ามันเอาโทอิคตรงไหน(งานไม่ได้เอาโทอิคแต่กูไม่สมัครเพราะคุณสมบัติอื่นไม่ได้ซึ่งกูบอกแล้วแต่สมงสมองพ่อกูก็ไปแล้ววว)แล้วด่ากูว่าบ้า ไร้สาระ หาว่ากูไม่อ่านไม่สนใจไม่พยายามแบบนี้หลายปีก็หางานไม่ได้หรอก แล้วด่าว่ากูสมัครงาน(ออฟฟิศบ.เอกชน)ซี้ซั่วไม่รู้เรื่องเหมือนคิดว่ากูสมัครงานโดยไม่อ่านไม่ศึกษาข้อมูลอะไร บางทีก็โทรลใส่ว่ากูโดนหรอกขายประกัน ก็จะบ้าตายชิบหายยยย
ขรก. งานเริ่มต้นมึงไม่ต้องรู้เหี้ยอะไรก็เข้าได้ ขอให้วุฒิตรง สอบได้ สัมฯผ่านก็พอ ที่เหลือค่อยๆไปเรียนเอาได้จริง
แต่จริงๆก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะมันชอบออกสอบวิชาที่ใช้ในการทำงานด้วย แต่ถ้ามึงไม่ได้อจากเป็นเอง ไม่อยากอ่านหนังสือก็ไม่ต้องสมัครหรอกเพราะมันไม่ได้สอบง่ายอะไรขนาดนั้นเปลืองค่าสอบเปล่าๆ
>>745 มึงถามกลับไปเลยว่ามีเส้นมั้ย ห่า
บ้านกูก็พอกัน อยากจะให้เข้าราชการกูก็ไม่มายด์นะถ้าอยากให้เข้า เพราะกูเองก็ไม่มีงานการหลักแหล่ง แต่การสอบแข่งขันแม่งไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าไร้เส้นสาย ขนาดกูมีคนในมากระซิบบอกนั่นโน้นนี่หลายที่แล้วนะ แต่ติดที่ไม่มีเส้นสุดท้ายก็โดนคัดตกในรอบสัมภาษณ์นั่นล่ะ
>>747 >>748 กูก็อยากจะสวนกลับแบบนี้แต่เดี๋ยวเถียงยาว ปวดกะบาลกูอีก พ่อกูงานราชการก็ไม่เคยทำ คอนเนคชั่นก็ไม่มี ตอนนี้แก่แล้วเกษียนแล้วลำบากไง เงินไม่ค่อยมีเลยมาบังคับกูให้ไปทำราชการหวังสบายเกาะลูกพวกเงินเบิกไรพวกนี้ พี่กูที่ทำงานมา 10 ปี ทำบ.เอกชนมาตลอดตอนนี้จะเปลี่ยนงานพ่อก็มาคะยั้นคะยอให้ไปราชการแล้วทำมาพูดกับกู เห็นมั้ยถ้าพี่ทำราชการตั้งแต่แรกปานนี้เลื่อนตำแหน่งเป็นตำรวจยศใหญ่ไปแล้ว กูจะขำบ้าตาย 5555555555555555 ชัดเจนว่าพ่อกูไม่รู้ห่าไรเลย ราชการอย่าหวังจะได้เลื่อนตำแหน่งง่ายๆถ้าไม่ใช่ลูกรักเจ้านายเหรือเส้นไม่ใหญ่พอ แล้วอะไรคือเลื่อนยศเป็นตำรวจ 555555 สมมติเข้าไปเป็นสายวิชาการเลื่อนยศเป็นตำรวจได้ไง กูกับพี่ไม่ได้เรียนตำรวจหรือทหาร พ่อกูหลอนขนาดไหน คิดดู 5555555555555
>>749 หลอนแบบชิบหายเลย
มันคือความจริงเลยสำหรับราชการถ้าไม่มีเส้น หรือเป็นลูกรักเจ้านายนี่ยังไงยศก็ไม่ขึ้น
คนใกล้ตัวอย่างพ่อกูนี่คือตัวอย่างเลย จบนายร้อยตำรวจมา ตอนกูเด็กๆ เขาก็อายุราวๆ 30 เศษ ได้เป็นสารวัตร แล้วได้ขึ้นเป็นรองผู้กำกับตอนกูราวๆ 10 ขวบ แต่ก็ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงโดนดองอยู่ที่ตำแหน่ง รอง.ผู้กำกับอยู่ตั้ง 15 ปี เพิ่งมาได้เลื่อนเป็นผู้กำกับเอา 5 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เพราะโดนเจ้านายสงสารเนื่องจากเพื่อนในรุ่นเขาแม่งได้ขึ้นเป็นผู้การกันหมด
แล้วยิ่งถ้ามึงเป็นสายวิชาการไม่ได้จบนายร้อยมานะ ยศคงตันราวๆ ร้อยเอก สูงสุดไม่เกิดพันตรีอะ
แต่ถ้าถามกู หากกูมีโอกาสเข้าราชการได้จะเอามั้ย กูก็เอานะ
คือชีวิตกูตอนนี้โคตรเหลวแหลก จบปริญญาอย่างดีมาตั้ง 2 ใบ แต่โดนที่บ้านดึงตัวมาให้ทำงานกับ บ. ของที่บ้านมาจะ 10 ปีละ ซึ่งผลที่ได้คือกูไม่รู้สึกมั่นใจว่าตัวเองมีประสบการณ์ในการทำงานเลย ไม่กล้ากรอก Resume ว่าเคยทำอะไรมา และทำอะไรได้บ้าง แถมพอไปสมัครงานที่ไหนแม่งก็มีแต่ส่ายหน้าตอบกลับมาทั้งนั้นเลย
แล้วตอนนี้คือกูแดกเงินเดือนของที่บ้านอยู่ ถึงจะไม่มีค่าใช้จ่ายพวกค่าห้องค่าเดินทาง แต่เงินมันไม่สูงและโคตรไม่มีอนาคตเลย เพื่อนๆ กูเงินเดือน 30-50k กันหมดละ กูยังจอดนิ่งอยู่ราวๆ 10-15k มาจะ 10 ปีละ แล้วถ้าวันไหนเกิดกิจการที่บ้านเจ๊งขึ้นมากูนี่ยับหมาแน่ เพราะคงหางานอื่นไม่ได้ ซึ่งแม่งทำเอากูโคตรจะกังวลกับอนาคตตัวเองเลย
งานบาร์โฮ แอบน่าเบื่อจังวะ
ถ้าอายุเลย40ไปแล้วยังทำงานอะไรได้บ้าง กูอยากแนะนำงานให้พ่อทำเอง จะได้เลิกบ่นให้กูไปราชการ
แม่งชีวิตไม่ได้อยู่แค่ทำงานบริษัทหรือข้าราชการซักหน่อย ลารี่แมนหรือมันโครตจะกาก ช่างแม่งเหอะNormการทํางานแบบคนเอเชียน วันหยุดมีไม่กี่วันอ่ะ ไปเป็นกระหรี่เปลือยโป๊กันดีกว่า ได้หมดทุกเพศ ไปได้หมดทั่วโลกWorldwide
กุเด็กจบใหม่เพิ่งเคยสัมภาษณ์งาน มันจะมีสัญญาณแบบไหนที่คิดว่าเราได้งานที่นี่แล้วป่ะวะ ไม่เอาแบบที่เขาบอกว่าจะรับเดี๋ยวนั้นตรงนั้นนะ
รุ่นพี่กูบอกว่าถ้า hr พูดเดี๋ยวติดต่อไปแบบแห้งๆ ไม่ได้ดูกระตือรือร้นเฟรนด์ลี่นี่คือไม่ได้ 100% ไม่ต้องหวังเลย
ก็ประมาณนั้นละ ดู reaction ของคนสัมฯมึง ภาษากาย ภาษาพูด ดูว่าคนสัมสนใจมึงไหม ถ้าเวียนเทียมสัมหลายๆที่มันจะจับได้เอง แต่บางทีบริษัทใหญ่ๆเจอพวกมืออาชีพจริงๆมันยิ้มตลอดก็ดูยาก
บางครั้งดูเหมือนจะไม่ได้แต่ก็ได้งาน เพราะมึงอาจจะไม่ใช่ no.1 เขา เป็นอันดับต่อๆมา แต่เขาอยากได้คนด่วนก็โชคดีไป
>>755 ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่มีสัญญาณอะไรตายตัวทั้งนั้น วิธีคือสมัครไปเรื่อยๆ สัมภาษณ์ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรอที่ไหนซักที่ทั้งนั้นแหละ ถ้าได้เดี๋ยวเค้าโทรมาบอกเอง ถ้าไม่ได้ส่วนมากจะหายเงียบ น้อยที่ที่จะแจ้ง
กูเคยไปสัมภาษณ์แล้วว่าที่เจ้านายขมวดคิ้วตลอดการสัมภาษณ์ ทำหน้าแบบเอือมระอากูเหี้ยๆ บรรยากาศในการสัมภาษณ์แม่งมาคุสุด และจบด้วยคำว่าเดี๋ยว hr ติดต่อไปแบบแห้งๆ นั่นแหละ ในใจกูคิดว่า เออช่างมัน ถือว่ามาสัมภาษณ์เอาประสบการณ์ ปรากฏว่าลงลิฟต์มาเท้ายังก้าวไม่พ้นตึกบริษัทเลย hr โทรมาบอกว่าสัมภาษณ์ผ่าน แถมพอกูขอเพิ่มเงินเดือนยังเสือกให้ พอกูเข้ามาซักพัก ทำงานจนเริ่มสนิทกับนาย ได้คุยกัน ถึงเพิ่งมารู้ว่านายชอบ attitude กูมากๆๆ เป็นคนแรกเลยมั้งที่รู้ผลสัมภาษณ์เร็วที่สุดเพราะยังไงนายก็จะเอา และพอทำงานด้วยกันซักพักแล้วนั่นแหละกูถึงรู้ว่าหน้านายกูเค้าเป็นแบบนั้นตลอดเอง จริงๆ เขาเป็นคนดีมาก แค่เป็นเสือยิ้มยาก 555
บางที่ไปสัมภาษณ์ บรรยากาศดีมาก ทุกอย่างดูดีมาก แต่ไม่ได้จ้า หายเงียบไปเลยเฉยๆ
>>755 ไม่มีอะไรตายตัวเลย บางที่พูดจาดียิ้มแย้มท่าทางอยากรับเราสุดๆ แต่เงียบหายไปไม่ติดต่อก็มีเยอะ บางที่ดูเนือยๆเอื่อยๆกับเราไม่ได้สนใจ แต่โทรมาหลังจากวันสัมภาษณ์ทันทีก็มี
เอาสัญญาณด้านบวก
-เล่าเรื่องอะไรๆในบริษัทให้ฟังแบบสายบังคับบัญชา สโคปงาน คนที่เราต้องโคงานด้วยถ้าได้เข้ามา
-ต่อรองเงินเดือน
-ท่าทางสนใจสิ่งที่เราพูดมากๆ มันคนละแบบกับการสนใจตามมารยาทนะ เวลาคุยมึงจะรู้เองว่าเฮ้ย เขาสนใจเราว่ะ ถ้าสนใจตามมารยาทคือพูดไปงั้นๆ ไม่ได้แคร์เราเท่าไหร่เหมือนแค่รอให้เราพูดจบๆไปแล้วตัดบท
ทั้งนี้ทั้งนั้น hr บอกอะไรไม่ได้หรอก hr เพราะพวกนี้แค่คัดกรองคนมาสมัครให้ครบตาม kpi เฉยๆ หัวหน้างานหรือเจ้านายต่างหากที่เป็นตัวตัดสิน ถ้าหัวหน้างานดูพอใจมึง แววผ่านมี 90% เพราะคนตัดสินใจคือคนนี้ อีก 10% อาจจะชวดเพราะบอสใหญ่กว่านั้นไม่โอเค
>>755 มึงลองมีเส้นดู ถ้ามึงมีเส้นกับคนที่เค้าตำแหน่งใหญ่ๆ คุมคนระดับแผนกที่มึงจะไปทำสักจุดนะ การได้รับเข้าทำงานจะง่ายขึ้นกว่าเดิมมากๆ กูเห็น บ. กูนี่หลายคนจัดๆเลยที่แบบเข้ามาได้เพราะเส้น หรือเข้ามาได้เพราะxีก็มีเหมือนกัน บางคนที่กูอิหยังวะสุดคือแบบทักษาะบ้านๆที่แม่งเอามาใช้กับที่ทำงานได้เงี้ย ทำไม่เป็นแต่รับเค้าเข้ามาทำในแผนกเว้ย งงชิบหายมึง 55555+
เพื่อนโม่งมีบัตรเครดิต cashback แนะนำไหม พอดีบัตร kbank line ที่ใช้อยู่มันลดเหลือ 1% แล้ว เลยว่าจะหาบัตรใหม่
ซิตี้อีกเสียง
ก่อนหน้านี้อ่านนิยายเรื่องนึง เจอนางเอกนิสัยชอบใช้ภาษาวิบัติเวลาแชทแล้วก็ไม่ได้อะไร รู้สึกน่ารักแบบแปลกๆดี
ช่วงอาทิคตย์นี้ต้องคุยงานกับคนแผนกอื่นที่แม่งใช้ภาษาวิบัติตลอดเวลาแล้วปวดกระบาลสัสๆ กูอยากร้องไห้
จะโยนให้น้องในทีมรับกรรมไปคุยแทนก็สงสารน้อง แถมหลายเรื่องก็ต้องย้อนมาให้กูตัดสินใจอีกอยู่ดี สรุปต้องก็เป็นกูคุยนี่แหละ OTL
>>763 เมื่อก่อนที่ทำงานกูคุยกันทางเมล (บังคับใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น) โทรศัพท์ กับเดินไปคุยกันต่อหน้า ก็ไม่อะไร จนกระทั่งเข้ายุคโควิด WFH นำโปรแกรมแชทมาใช้ในการสื่อสาร เท่านั้นแหละ กูถึงได้รู้ซึ้งว่าน้องบางคนเวลาแชทกับเวลาคุยปกติแม่งคนละเรื่องเลย บางคนเวลาคุยต่อหน้าดูเป็นเด็กมีการศึกษา ดูเรียบร้อย ใช้คำพูดดี แต่เวลาแชททั้งพิมพ์วิบัติทั้งสะกดผิดผันวรรณยุกต์ผิดกระจาย มึงคิดภาพน้องที่ลุคและการพูดการจาประมาณแอฟ ทักษอร แต่ทักกูมาในแชทบริษัทว่า "เพ่คร๊าาา คุยดั้ยมั๊ยฮ๊าบบบบ" กูนี่ใบ้แดกไปเลย 555 ต้องตั้งสติกลับไปดูชื่อว่าไม่ได้ผิดคนใช่มั้ย 555
แต่ที่กูรำคาญสุดคือพวกที่เว้นวรรคภาษาไทยทุกคำ เช่น เด๋ว พุ่ง นี้ นู๋ ส่ง หั้ย นะ คร๊าาาา อีดอก จะเว้นเพื่อ ถ้ามึงจบนอกมากูอาจจะให้อภัยเพราะมึงอาจจะไม่ได้เรียนภาษาไทยมา แต่ได้ข่าวว่าก็เกิดไทยโตไทยเรียนไทยนี่แหละ มึงเรียนภาษาไทยโรงเรียนไหนมาวะ แล้วมึงไม่เหนื่อยเรอะนั่งเคาะเว้นวรรคทุกคำ
ที่ทำงานกูจะย้ายไปแถวๆระหว่างรามคำแหงกับเดอะมอลล์บางกะปิ คือกูเรียนรามควบด้วย แต่กูตัดสินใจจะเปลี่ยนงานไปในตัวนี่ดิ ตอนนี้ปัญหากับที่ทำงานเดิมไม่น่ามีนะ แต่กูควรตามที่ทำงานเดิมละย้ายหอพักไปด้วยเพื่อความสะดวกตัวเองไหมวะ? เพราะเรื่องความปลอดภัยแถวรามคือเชี่ยกว่าที่อื่นๆ555+ ละเดินทางแม่งคือต้องไปแถวๆเดอะมอลล์บางกะปิไปอีก ค่าที่แพงมาก หน้ารามบางจุดค่าเช่าโอเคกว่าอ่ะ หรือกูควรตัดสินใจอะไรดีโม่ง ละการย้ายทีนึงมันกลายๆว่าเปลี่ยนหัวหน้าใหม่จะเหี้ยนหมดเลยนะ กลัวสองอย่างหว่ะ
-ความปลอดภัยในการใช้ชีวิตแถวนั้น แต่สะดวกสัส สอบรามคือบางจังหวะถ้าต้องเข้างาน ไปสอบรอบเช้ายังเข้างานช่วงบ่ายมาได้ทัน
-หัวหน้าคือกลุ่มใหม่หมด คนทำงานใหม่ เสี่ยงมากๆคือเข้ากับคนตรงนั้นไม่ได้ไปเลย
ทำไมคนใต้ น่ากลัวหรอ กลัวโดนฉุด?
พี่ที่ทำงานด้วยกันแต่ตำแหน่งสูงกว่าไปเมาแล้วอาการออก ทั้งไซร้ทั้งทัชถึงขั้นแลกลิ้น เจ้าตัวมีแฟนแล้วด้วยนะแต่สไตล์คือสวยคมสายปาร์ตี้แซ่บๆ ไม่รู้เล็งกุไว้รึเปล่า กุก็ตามน้ำแหละ ส่วนกุไม่ได้เมาอะไร แต่กุได้หมดที่สดชื่น มีอารมณ์นิดหน่อยแต่ก็เฉยๆ อาจจะเพราะโชกโชนผ่านเอฟมาหลายคน ไม่รู้พรุ่งนี้จะเป็นไงต่อ ยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นไปคอนโด เพราะกุของไม่ได้ขาดเหมือนเขา มีให้กินทุกอาทิตย์ แต่ถ้าพูดถึงอนาคตหน้าที่การงานก็มีส่วนแหละ อาจจะเพราะกุโสดด้วย ถ้ายังมีปฏิสัมพันธ์ดีกับเขาที่เป็นคนมีอำนาจต่อรองขึ้นเงินเดือน การที่จะอัพไปถึง6หลักภายใน2-3ปีก็มีโอกาส ถ้าเขาเล็งไว้จริงเขาจะเปย์ขนาดไหน แต่ชีวิตการทำงานไม่ใช่แค่ความสามารถ การวางตัว ไหนจะมีปฏิสัมพันธ์ และก็เรื่องอะไรพวกนี้อีก ถ้าเกิดเป็นคนโปรดก็เรียกร้องได้ แต่ถ้าเป็นคนไม่ชอบนี่ชีวิตไม่น่าจะได้เกิดกับที่ทำอยู่ แต่ยังไงก็ดูจะเลี่ยงไม่ได้ถ้าโดนเล็งไว้แล้ว แค่ว่าจะเกิดตอนนี้ หรือในอนาคต แต่นี่ก็กะว่าจะโสดอย่างเดียว มีแฟนละไม่เวิร์ค โฟกัสกับงาน เรื่องผญ.ให้เอานี่ไม่ได้หายากเลย
>>771 กูเคยได้ยินเพื่อนที่เรียนควบม.นั้นเล่าให้ฟังว่าวัยรุ่นเยอะ ชอบมั่วสุมเสพยาเมาแต่หัววันแถมยังเสียงดัง สภาพแวดล้อมก็ไม่ดี แต่หอพักถูกนะแถวนั้น เพื่อนอยู่ได้แค่เดือนเดียวออกเลย ยอมทิ้งประกันกับมัดจำ กูเห็นด้วยนะตอนช่วยย้ายของก็คือ สภาพแวดล้อมโคตรไม่น่าอยู่
>>775 เรื่องนี้นานยังวะ? ตอนนี้ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปเยอะขนาดไหนไง เหมือนแถวนั้นคนบางตามาก นศ.ไม่ได้จะเยอะแบบแต่ก่อนละหลังปรับหลักสูตรอะไรไปล่าสุด หอพักมีหลายเกรดมากแต่มันชิดๆกันด้วย เห็นร้านชีทจากเปิดทุกช่วงตึกนี่มันปิดๆหายไปเยอะมากนะ แต่กูกำลังคิดว่าตรงนั้นมัสยิดเยอะจนช่วงตีสามตีสี่จะน่ารำคาญนี่ดิ .... ยังไงก็กูว่าหางานใหม่สำรองไปเลยดีกว่า555+
ต้องมาทำงานรวมกับคนที่แม่งอ้างว่าป่วยซึมเศร้า กูจะทำงานก็ชวนคุยอยู่นั่นแหละ รำคาญชิบ แถมด้วยเปิดเพลงเปิดดูข่าวเสียงดังอีก พอเตือนว่าเสียงดังให้เบาเสียงแม่งก็นอยด์อีก กูจะทำไงได้วะเนี่ย
ปกติโม่งใช้ความกล้าในการเตรียมตัวลาออกจากงานขนาดไหนกันบ้าง กุทำงานสายใกล้เคียงที่เรียน+เคยฝึกงาน ได้ทำงานเลยหลังเรียนจบแต่พบว่างานมันไม่ใช่เลยว่ะ มีดีแค่เงิน งานหนักชิบหาย คนร่วมงานก็สุ่มสลับทีมไปเรื่อยๆ ทำมา1ปีรู้สึกท้อจนอยากจะออกมานอนทำใจสักเดือน จะดูเป็นคนไม่สู้งานปะวะ แต่ทำ1ปีไปหางานอื่นในสายที่เรียนเงินก็ต่ำจนรู้สึกไม่คุ้ม แต่กุมองไม่เห็นทางเลยว่าตัวเองจะอยุ่ถึง2-3ปีได้ยังไง ใจมันอยากออกอยู่ทุกวันT T
>>783 บ้านกูอยู่แถวรามนะ แต่จะบอกว่ารามซอยที่มันไม่ค่อยน่าอยู่มีไม่กี่ซอยหรอก ส่วนมากซอยอื่นๆก็ซอยปกติอะ คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา แต่ซอยที่มันไม่น่าอยู่สำหรับกูคือพวกอิสลามจากสามจังหวัดชายแดนใต้มาอยู่กันเยอะคือซอยรามคำแหง 53 ซึ่งพวกนี้มันชอบมาอยู่กันช่วงท้ายซอย 53 ใกล้ๆกับสะพานข้ามคลองแสนแสบในซอยนั่นแหละ เพราะแม่งใกล้มัสยิดพวกแม่ง มัสยิดซอยราม53แม้งก็ติดๆกับปากซอยติดกับคลองแสนแสบเลย พวกเหรี้ยนี่เวลาละหมาด ละหมาด 5 เวลาจ้าาาา ไม่สนหี๋แต๊ดอะไรทั้งสิ้น เวลากูขับรถผ่านช่วงท้ายซอยที่พวกอิสลามสามจังหวัดชายแดนใต้อยู่กันเยอะๆ กูรู้สึกไม่ปลอดภัย เหมือนไม่ได้อยู่ในไทยอะ เหมือนอยู่ตะวันออกกลางเลยไอสัส แต่งตัวแบบตะวันออกกลาง ผู้หญิงแม่งก็คลุมบูรก้า ที่คลุมทั้งตัวเหลือแต่ลูกตาอะ แถมในนั้นยังมีพวกแอฟกันอิสลามเยอะด้วย
พวกเหรี้ยอิสลามสามจังหวัดพวกนี้ตัวก่ออาชญากรรมเลย ทั้งขโมยของ ทะเลาะวิวาท ปล้น อยู่กรุงเทพแท้ๆแต่ฟีลเหมือนอยู่ตะวันออกกลางหรืออินโดเลยไอสัส แล้วพวกนี้แม่งไม่ได้พูดใต้นะ พูดยาวี แม่งยิ่งทำให้ไม่น่าอยู่ไปกันใหญ่ เวลามันก่อเรื่องอะไรใน กทม ก็หนีลงสามจังหวัดบ้านมัน ตำรวจในกรุงเทพก็ไม่กล้าตามหรอกต่อให้สงเรื่องลงไปสามจังหวัดก็ตามตัวยากบางตัวแม่งน่าจะเป็นแนวร่วมด้วย แถมละหมาดแม่ง 5 เวลา วัดเทพลีลา วัดพระไกรสีห์แม่งยังไม่สวดเยอะเท่าพวกแขกเหรี้ยพวกนี้เลย
แต่ซอยอื่นอยู่ได้ปกตินะ เช่น ราม43/1 มีแต่คนพุทธ คนคริสต์อยู่ ไม่ค่อยมีพวก สามจังหวัดอยู่ เพราะซอยนี้เป็นซอยคนรวย คนดัง ตำรวจทหารอยู่เยอะ เพราะติด รร.บดินทร 1 ด้วย ราม65 ก็มีแต่คนไทย คนใต้พุทธ มีอิสลามภาคกลาง ภาคใต้ ที่ไม่ใช่สามจังหวัดอยู่บ้างแต่ไม่ค่อยเยอะ ร้านเหล้า บาร์ ร้านอาหารเยอะ เลยไม่น่ากลัว ถ้าจะอยู่ ก็ลองดู 2 ซอยนี้คือ ราม 43/1 กับ ราม65 ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
ราม65 นี่น่าอยู่ คอนโดและหอพักเยอะ ซอยใหญ่มาก ปากซอยออกได้ 2 ถนน คือราม 65 กับลาดพร้าว122 ฝั่งลาดพร้าว 122 มีสถานีมหาดไทยอยู่ปากซอยเลย แถมกลางซอยมีท่าเรือมหาดไทยอีก แถมออกราม65 ไปโผล่ตรงหน้า ราชมังได้เลยอีกไปได้ทุกทางอะถ้าอยู่ราม65
>>787 โห มึง ข้อมูลแน่นดี กูเคยคิดว่าซอยราม43/1กับราม65เนี่ยก็แค่แย่รองมาจากราม53หว่ะ เพราะเคยเจอข่าวเด็กวัยรุ่นอยู่ๆไปแย่งเข็มสถาบันเด็กที่เค้ามาดีๆของเค้าไง ละกูคิดอยู่แถวรามคือต้องเปลี่ยนใจเลย กูนึกได้ว่าที่ทำงานอยู่แถวๆเดอะมอลล์บางกะปินี่หว่า ทำไมเอาบ้านไปใกล้ที่เรียนวะ ต้องใกล้ที่ทำงานดิ 5555
กูเลยจะเล็งหาหอพักฝั่งลาดพร้าว122หรือใกล้ๆแถวตลาดบางกะปิไปแทนไง ทีนี้มันเหี้ยตรงที่ว่าถนนย่านนั้นออกแบบมาแปลก ทำพื้นที่ให้คนเดินเท้าข้ามถนนลำบากมาก จะใช้จักรยานก็ไม่สะดวก ติดเสาติดแตดไรเยอะแยะมากอ่ะมึง กูเลยตัดสินใจเปลี่ยนงานแทนละหลังไปสืบผ่านสตรีทวิวนี่เจอก่อสร้าง รฟฟ. ด้วย ที่ทำงานเดิมอยู่ตั้งแถวๆฝั่งธน ภาษีเจริญ ตอนนี้อย่างสงบ ไม่มีก่อสร้างวุ่นวายไปละ จะให้พักหน้ารามใช้จักรยานเดินทางช่วงริมคลองแสนแสบเพื่อไปต่อแถวนั้นกูคิดเสมอว่าต้องเจออะไรตายคาที่ระหว่างตรงนั้นชัวร์ 5555
ซอยราชวิถี โซนใต้ทางด่วน อนุเสาวรีย์ เป็นไงมั่งว่ะ ได้งานแถว ๆ นั้นว่ะ อยากเซฟค่าใช้จ่ายเดินไปทำงาน
ขี้เกียจทำงานโว้ยยยยยย
>>794 กูเคยแวะเวียนไปหลังรามด้วยสตรีทวิวนะ ลองไปสำรวจหลังรามดู มีหอพักให้มึงสำรวจคร่าวๆก่อนจะตัดสินใจ ราคาถูกก็มี แต่เสียตรงที่แม่งไม่มีลิฟต์เพราะตึกสูงน้อยสัส 5555+ ถ้าของเยอะ สมบัติชิ้นหนักๆมีนะ ต้องแถว เดอะมอลล์บางกะปิเลย หอพักมีหลายแบบจัด ที่สำคัญคือมีตึกสูง มีลิฟต์ แต่ถ้ารายได้มึงถึงขั้นเช่าคอนโดได้นะ มีคอนโดของลุมพินี ราม43/1ที่ตั้งใกล้ๆ บดินทรเดชาอ่ะ อันนั้นดูเจ้าของดีๆนิดนึง ถ้ามึงไม่ติดใจว่าจะไม่อยู่ฝั่งหน้ารามอ่ะ อีกอันที่นศ.รามอยู่กันละบอกว่าไม่ได้แย่คือ หัวหมากคอร์ท ถ้าห้องเลยชั้นสี่ยังมีนะ มึงเอาเลยชั้นสี่ไว้ดีกว่า ไม่แน่ใจเรื่องตะขาบไต่ตามท่อน้ำหว่ะ 5555+ กูจะเช่าหอนั้นแต่ปัญหาคือเดินทางต้องไปถึงแถวเดอะมอลล์บางกะปิซึ่งกูจะปั่นจักรยานไปทำงานแม่งต้องผ่านแยกใหญ่ๆหลายเส้น ใช้ทางเดินเลียบคลองแสนแสบทุกๆวันก็ไม่ปลอดภัย สรุปคือหางานใหม่ จ๊บ
https://www.renthub.in.th/หัวหมากคอร์ท
>>782 ไม่นานนะ เมื่อปี64เองโม่ง
>>787 ไอเหี้ยยยยยยยยยยยยยย ซอยนี้เลยยยยยยยยยยยยยยยย กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด ทีแรกที่ไปขนพวกของเล็กน้อยกระจุบกระจิบ ตอนนั้นกูไปสายๆหน่อยอ่ะ แม่งหิ้วเหล้าสวนหน้ากันจะๆเลย กูก็ไม่อะไรนะ แค่งงนิดหน่อยนี่มึงจะแดกเหล้ากันตั้งแต่หัววันเลยหรอวะ แต่ก็เออเรื่องของเค้า แล้วที่สะพรึ่งวันที่มาย้ายอีกวันคือ อีห้องก่อนที่จะถึงห้องเพื่อนกูอ่ะ มันเปิดประตูอ้าซ่าเว้ยแล้วคุยกันเฮฮาปาจิงโกะ แล้วกูก็เดินผ่านละเผลอมองเข้าไปในห้อง เห็นผช.นั่งจับกลุ่มกันแดกเหล้าแล้วถอดเสื้อด้วย คือสักเต็มหลัง กูสะดุ้งเลยเหยดแหม หน้าก็อิสลามๆแขกๆ ดำๆไว้หนวด ที่หนักเลยคืออิลุงหัวล้านพุงพลุ้ยตรงข้ามห้องเพื่อนกูนางเปิดประตูทิ้งไว้เหมือนกัน แล้วนั่งกับพื้นพิงเตียงแล้วจ้องเข้ามาทางประตูห้องเพื่อนกูจังหวะเปิดประตูห้องเพื่อนกูก็จ้องกลับนะ แต่ต้องหลบตาไปก่อนลุงแม่งสู้ชิบหาย ดีแล้วที่เพื่อนกูย้ายออกมา แล้วตอนขนของขึ้นรถแล้วจู่ๆก็มีผช.หน้าตาสะอาดสะอ้านแต่งตัวดีๆยิ้มเก่งๆมาเคาะกระจกแล้วถามว่า เชื่อพระเจ้าไหมครับ? เค ออกค่าาอิควาย ออกเท่านั้น!!
ปล.กูกับเพื่อนก็คนใต้นะ แต่ไม่ใช่จังหวัด3ชายแดน แต่แถวบ้านกูก็มีอะไรประมาณนี้แหละ แต่อันนี้ต่างกันคือมาในแนวมั่วสุมหน่อยๆ
โม่งซาลารี่แมน มีใครทำงานเสริมอะไรกันบ้างมั้ย?
มีพี่โม่งใครเป็นเเบบกูไหมอะ กูเพิ่งเริ่มทำงานนะเงินเดือนก็ไม่มากเท่าไรประมาณ 22k เเต่รู้สึกพอทำงานปุ๊ปเหมือนร่างกายรู้สึกเสพติดความสบาย คือพอทำงานห้องเเอร์ทุกวันเหมือนกลายเป็นว่าเสพติดเเอร์ กูอยู่บ้านกูก็ต้องเปิดเเอร์ในวันหยุดเพิ่มเติม กลายเป็นคนขี้ร้อนขึ้น
คือก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรหรอกนะเเต่กูรู้สึกว่ากูปล่อยปละละเลยมากไปปะหว่า ไหนจะเรื่องค่ากินพอได้เเดกของดีๆ เมื่อก่อนทำอาหารกินเองประหยัด เเต่ไปๆมาๆเน้นสั่งเดลิเวอรี่เอาซึ่งก็เเพงอยู่วันๆนึงที่หมดไป
อาจจะเป็นเพราะใจกูมันเสพติดความสบายไปเเล้วด้วยมั้งเนี่ยเลยชอบอะไรสะดวกๆ
ต้องบอกก่อนว่าเมื่อก่อนกูขี้หนาวมาก กลางคืนนอนไม่เปิดเเอร์เลย เเต่พอมาทำงานเจอห้องเเอร์เข้าไป8ชมต่อวัน ออกจากห้องปุ๊ปเเม่งนรกทันที
>>801 เรื่องแอร์ส่วนนึงคงเป็นความเคยชิน แต่อีกส่วนคืออากาศมันก็ร้อนขึ้นจริงๆ
กูแต่ก่อนเป็นคนติดแอร์มากๆ พอมาตอนอายุ 24-25 กลายเป็นอยู่ดีๆก็กลายเป็นไม่นอนแอร์ได้เฉยเลย
ปีนึงเปิดแอร์แค่ประมาณไม่เกิน 5 วัน ที่ร้อนจนทนไม่ไหวจริงๆ
พอมาซัก 2 ปีก่อน (อายุเกือบๆ 30) นี่แหละที่อยู่ดีๆก็กลายเป็นทนร้อนไม่ไหว เปิดแอร์เป็นว่าเล่น
ส่วนเรื่องอาหารกูว่าพอพวกเดลิเวอรี่มันง่ายและมีของให้เลือกเยอะมันก็สบายดี พอใช้เป็นกูก็กลายเป็นคนขี้เกียจทำอาหารเหมือนกัน
ถ้าอยากประหยัดแต่ขี้เกียจอาจจะลองทำอะไรที่ทำทีเดียวเยอะๆ แต่กินได้ทีละหลายๆมื้อมั้ย ถ้ามึงไม่ขี้เบื่อนะ
หรือไม่ก็สั่งร้านที่ยิ่งสั่งเยอะๆยิ่งลดราคาเยอะ แล้วมีเมนูหลากหลายหน่อย สั่งมาทีเดียวเยอะๆมาตุนไว้แล้วเวฟกินเอา
แต่อาหารซื้อยังไงก็ใส่เกลือ น้ำตาล ผงปรุงรสต่างๆเยอะ กินมากๆระยะยาวก็ระวังเรื่องสุขภาพด้วย
บางทีก็สงสัยว่าตัวเองเอาตัวรอดมาได้ไงในสังคมการทำงานที่เต็มไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรด 555
ปี 4 กำลังจะจบนิติศาสตร์ ม.ดัง เกรด 2.5 ภาษาอังกฤษดีมาก แต่ไม่ได้ชอบกฎหมายเลยว่ะ ควรเปลี่ยนสายงานดีมั้ย ตอนนี้มองว่าอาจจะไปสมัครเป็นเซลล์ในบ.ต่างชาติ แต่ในใจก็คิดว่าถ้าไปต่อกับทางที่เรียนมา คืออาจมีโอกาสพัฒนาก็ได้ แถมภาพลักษณ์ก็ดีกว่า มีคนนับถือ คิดไม่ตกเลยว่าควรไปต่อหรือพอเท่านี้ รู้สึก loser ว่ะ มีใครมีคำแนะนำหรือประสบการณ์บ้าง ความตั้งใจจริงๆแค่อยากเก็บเงินเยอะๆ 1-3 ปี แล้วออกมาทำธุรกิจตัวเอง
เหนื่อยใจกับลูกน้องหว่ะลูกน้องกูอายุ40พึ่งเคยออกมาทำงานนอกบ้านครั้งแรกสมัครเข้ามาด้วยวุฒิม.3(ปกติเค้าทำช่างไฟ-รับจ้างทั่วไปกับพ่อแม่) กูสอนงานให้ก็ดูพยายามแต่ไม่พยายามดูเหลาะแหละ แทนที่จะได้ไม่ต้องทำงานส่วนที่ใช้แรงกลับกลายเป็นว่ากูต้องมาทำเองทั้งหมดทั้งสอนเค้าด้วยเพราะเค้าทำไม่ได้ ทำงานได้เดือนนิดๆเริ่มออกลายมาสายไม่มาทำงานบ้างจะหยุดก็ไม่บอกไม่กล่าว จนคนที่ฝากงานเข้ามาเดินมาตัดพ้อกับกูว่าไม่น่าเอาเข้ามาเลยมันไม่ทนงานงานก็ทำไม่ได้เพราะพ่อแม่เค้าเลี้ยงสบายตื่นมาไม่ต้องทำงานพ่อแม่ก็วางตังให้ใช้จะรับทำงานช่างไฟต่อจากพ่อก็ไม่ได้เพราะเก่งไม่พอ แล้วกูที่อายุน้อยกว่าเค้าสิบกว่าปีจะสอนแบบดุก็ดูไม่โอเคเพราะเค้าแก่กว่าเยอะ อีกอย่างนะกูมั่นใจว่ากูสอนงานเป็น พวกน้องนิสิตฝึกงานทุกคนชอบให้กูสอนเพราะกูสอนเข้าใจแต่กับลูกน้องคนนี้ไม่ไหวหว่ะสอนแล้วกูท้อทั้งสอนทั้งต้องทำงานส่วนของเค้า ตอนหัวหน้ากูถามเค้าว่าทำงานได้รึป่าวเค้าดันตอบแบบมั่นใจไปอีกนะว่ากูสั่งอะไรก็ทำได้หมด ละพอพ้นจากหัวหน้าชอบคุยขี้โม้ไปเรื่อยชอบข่มคนในตำแหน่งเดียวกัน เบื่อกับความลูกแหง่ทำอะไรก็ไม่ได้ แล้วกูต้องรออีกเกือบ2เดือนแล้วประเมินไม่ผ่านโปรเค้าถึงจะโดนไล่ออก คือกูไม่แปลกใจเลยทำไมอายุ40ถึงไม่มีใครเอาเป็นผัวทั้งความลูกแหง่ทั้งมายด์เซทเด็กๆชอบคุยข่มคนอื่น พอทีกับคนแบบนี้ปวดหัวมาก
>>806 มีปัญหาตั้งแต่แรกแบบนี้เรียกคุยก่อน ชี้แจงพฤติกรรม ออกใบเตือน เอาให้มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรให้เจ้าตัวรับทราบว่าเราเรียกมาคุยให้ปรับปรุงพฤติกรรมแล้วนะ ถ้ายังทำอีกต้องให้ออก ถ้ามันจะร้องกรมแรงงานก็เอาหลักฐานไปยืนยันเลยว่าได้ผ่านการคุยกันตามขั้นตอนแล้ว ป้องกันตัวเองด้วยในกรณีแบบนี้
ถามพี่โม่งซาลารี่แมนวัย 30+ ถึง 40 วางแผนชีวิตกันยังไง กูหางานระดับ Mid-Level รู้สึกหายากมาก นึกว่าโควิดไม่มีแล้วจะดีขึ้นซะอีก
>>811 เป็นกู.... สมมติว่าอายุตัวเองถึงตรงนั้น ก่ะวางแผนว่าถ้าหารายได้เสริมเยอะพอออมในหลักทรัพย์ต่างๆจนแบบไม่กระทบงานหลัก ไม่สะเทือนสังขารตัวเองนะ กูจะรีบหาตั้งแต่อายุ30อัพเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นให้เวลาตัวเอง2-5ปีเรียนทักษะใหม่ๆละค่อยว่ากันอีกที ละถึง40เกษียณเลย
>>811 อายุ 30 ต้นๆ ไม่มีครอบครัว สารภาพว่าไม่ได้คิดวางแผนเหี้ยอะไรเลย 555
ทำงานที่ทำเป็นอะไรที่ครั้งนึงเคยชอบ ตอนนี้เริ่มอิ่มตัวกับมัน แต่ไม่ได้ถึงกับเกลียด เพื่อนร่วมทีมก็ถือว่าดี
เงินเดือนไม่ได้เยอะถึงแสน แต่ก็ถือว่าอยู่ได้สบายๆสำหรับตอนนี้ที่พ่อแม่ยังไม่แก่มาก ยังไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอะไรหนักๆ
งานก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอยากย้ายไปที่อื่น แต่ถ้าอยู่ดีๆมีพวก recruiter โทรมาชวนก็ไม่ปิดกั้นตัวเอง ลองคุยดูก่อน
แต่ที่รู้สึกว่าเฟลๆนิดหน่อยคงเป็นเรื่องที่พวกการพัฒนาตัวเองที่เคยวางแผนไว้ตั้งหลายอย่าง ทำไม่รอดซักอย่าง
พอทำงานเสร็จมันก็หมดแรงจนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักที อยากมีแรงนะ แต่ไม่รู้ทำไงให้มันมีจริงๆ 555
โลกสมัยใหม่นี่เป็นเป็ดไม่พอ ต้องเป็ดโปรเท่านั้น ทำได้หลายอย่างแล้วต้องเก่งด้วย ชีวิตดีๆที่ลงตัว
กุเครียดกะเรื่องนี้มากเลยพี่โม่ง กุจะ 30 แล้ว แต่สายงานกุตอนนี้เห็น 30 ขึ้นไปก็เริ่มไม่มีใครรับเป็นซาราลี่แมน
กุเครียดๆอยู่อยากจะผันตัวไปเป็น web dev / web design หรือ ux/ui แทนช่วง 30 ต้นๆ
กูจะ30เหมือนกัน ปัจจุบันติด comfort zone ฟัคค ไฟที่เคยมีสมัยจบแรกๆมันหายไปไหนหมดวะ
มีเพื่อนโม่งคนไหนเคยเจอปัญหาเรื่องคนคบกันในที่ทำงานแล้วรู้สึกไม่แฟร์มั้ย คือก่อนหน้านี้กูไม่เคยมีปัญหาเลยเพราะเป็นระดับปฏิบัติการคบกันเองก็ไม่ได้มีผลไรมาก อย่างมากก็เวลาเขาเลิกกันแล้วคนในทีมกระอักกระอ่วน แต่ล่าสุดเพิ่งเจอปฏิบัติการคบกับหัวหน้างี้รู้สึกทุกข์ใจมาก คือกูทำงานสายเทคอ่ะเพื่อนโม่ง แล้วสายนี้มันก็ชอบส่งไปงานนู่นนี่เก็บปสก. หรือไม่ก็ซื้อคอร์สให้เรียนใช่มะ ซึ่งเขาอ่ะซื้อคอร์สให้แฟนเขาแพงอยู่แบบดีกว่าคนอื่นเลย ละเวลามีงานก็ชอบชวนแฟนไปงานด้วยกัน พวกงาน meetup หรือ seminar คือบางทีมันก็ไม่ได้เสียเงินหรอกแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากถามคนอื่นในทีมอ่ะ ที่ทุกข์ใจอย่างงี้เพราะเขาเป็นลีดอ่ะ เป็น decision maker แล้วมันเคยเกิดเหตุการณ์ที่เขาเลือกงานแฟนเขา คือมันอาจจะเหมาะสมจริง ๆ ก็ได้เพื่อนโม่ง แต่พอเจอติด ๆ กันในใจมันครหาอ่ะว่าดันรึเปล่า มันมีงานที่ไปจบงานกันเอง 2 คนด้วยตอนนั้นรู้สึกหมามาก ๆ ถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ยก็ไม่ตอบ คือกูทำงานมารู้สึกไม่ก้าวหน้าเท่าเขาเลย คนอื่น ๆ ในทีมก็ไม่รู้สึกว่าลีดจะดันอะไร ตอนยังไม่คบกันก็ไม่มีไรแบบนี้ พอคบกันก็รู้สึกลงเหวขึ้นทุกวัน มีแต่แฟนเขาที่ก้าวหน้า พาไปงาน พาไปฝึกสกิล มีผลงานออกมาหลากหลายมากกว่าชาวบ้านเค้า แล้วไม่มีใครพูดอะไรเลย กูก็ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องนี้กัน หรือกูคิดมากเกินไป แต่ตอนนี้ทั้งโกรธทั้งโมโหเพราะลองมาคิดดูแล้วก็ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ นอกจากย้ายงาน ลึก ๆ ก็คิดว่าดีจังได้ความก้าวหน้ามีคนสนับสนุนแถมไม่โดนครหาอะไรด้วย คือกูคิดว่าถ้าคนเยอะกว่านี้อาจจะมีบ้างแล้วล่ะ ก็เลยพาลไม่โอเคกับการคบกันในทีมไปเลยอ่ะ รู้สึกว่าไม่แฟร์กับคนอื่นเลย แถมพูดไปเจ้าตัวก็จะบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย
แต่กุเคยonsตอนงานเลี้ยงบริษัทกับสาวอีกแผนก เลยทำให้คุยงานกันง่ายขึ้นนะ
>>806 >>810 เป็นไงมึง อัพเดตที บ.กูนี่กำลังจะรับคนใหม่มาทำงานเหมือนกัน กลัวใจชิบหายว่าจะมีนิสัยแบบที่มึงเจอเพราะ บ.กูไม่จำกัดวุฒิด้วย ถึงจะจำกัดอายุก็ตามทีเถอะ ปัญหาคือเรื่องวุฒิภาวะ แต่ที่หนักกว่าคือ HRบ.กูนี่แม่งเหมือนไม่ดูประวัติอาชญากรรมด้วยนี่ดิ นายใหญ่ ตปท. แม่งบางจังหวะใจดีเกินไปอีก แต่ของกูต่างกันตรงที่ว่าถ้าไม่เอางานเอาการคือทุกคนพร้อมแบนทิ้งเลย จะเจอพวกออกลายเสี้ยมคนนั้นคนนี้ ชอบทำตัวเป็นหัวหน้าทั้งๆที่ตัวเองแม่งก็ขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำตัวกร่างไม่จบปัญหาในที่ทำงานไปไล่ตบคนอื่นเค้าหลังเลิกงานมากกว่าเลย ไม่รู้ว่าเจอแบบไหนแย่กว่ากันนะ 555+
การที่เราสัมภาษณ์ที่ใหม่แล้วพอบอกปสก.ว่าเราเคยทำหน้าที่อะไรรับผิดชอบอะไรจากที่เก่าบ้างแล้วโดนถามกลับว่ามีหลักฐานมั้ยว่าเราทำจริง อันนี้ปกติป่ะ? คืองานที่เก่ากูมันงานเอกสารและคีย์ดาต้าข้อมูลลูกค้าจะให้เอามาโชว์ได้ไงข้อมูลงานของบริษัทและข้อมูลตัวส่วนลูกค้าทั้งนั้น ถ้าไม่รับเพราะแค่ไม่มีหลักฐานก็ช่างแม่งล่ะ
>>825 ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทำเป็นจริง ไม่ได้โม้ เพราะพวกโม้มันเยอะ มีหลายวิธี เช่น บอกว่ายินดีให้โทรไปสอบถามกับนายเก่า (กรณีลาออกมาแล้ว) หรือจัดการดาต้าให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น ไปโหลดพวก raw data จากเน็ตมีเยอะแยะ แล้วเอามา summary และ analyse ให้ดู โชว์ทักษะ excel โชว์ว่าเรามีความสามารถในการจัดการข้อมูลจริงๆ ไม่ได้โม้
แต่ถ้าถามว่าปกติมั้ย ก็ไม่ปกติทั้งตัวบริษัททั้ง candidate เขาถามว่ามีหลักฐานมั้ยว่าทำจริง แทนที่จะหาทางพิสูจน์ตัวเอง เสือกตั้งแง่ ส่วนบริษัทก็ไม่ปกติ จะมาถามหาหลักฐานทำไมว่าทำจริงมั้ย บ.ปกติเค้าจะมีข้อสอบ excel ขึ้นมาให้ลองทำ หรือไม่ก็มีวิธีถามที่มันทดสอบความรู้ความสามารถในงาน ก็จะรู้เองว่าทำจริงหรือทำไม่จริง สรุปประหลาดด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ
เคยไม่ผ่านโปรเซ็นใบลาออกเอง ควรใส่เรซูเม่แล้วไปแถเอาตอนสัมภาษณ์ดีมั้ยว่ะ กูกลัวถ้าไม่ใส่แล้วถ้าโดนสืบเจอจากประกันสังคมแล้วยิ่งแย่กว่าเดิมอ่ะ
>>827 ถ้าจะไม่ลาออก ที่กูนึกออกมีแค่ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆที่เค้าไม่ปิดกั้นเรื่องย้ายแผนก
แล้วมึงชอบปัจจัยอื่นๆของตัวบริษัท ก็ลองขอย้ายแผนกดูได้
แต่เดาว่าไม่น่าใช่บริษัทใหญ่ๆป่ะ เพราะส่วนมากบริษัทใหญ่ๆไม่น่าโอเคกับการที่หัวหน้าลูกน้องเป็นแฟนกัน
แต่ไม่ว่าจะมีกฏห้ามหรือไม่มีกูว่าหัวหน้าลูกน้องเป็นแฟนกันมันก็ไม่โอเคว่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างนึงที่กูไม่เชียร์ให้มึงทำคือการฟ้อง HR เพราะกูคิดว่า HR เชื่อถือไม่ได้
ไม่รู้เลยว่าเค้าจะไม่สนใจปัญหาของมึง แล้วไปฟ้องหัวหน้าว่ามึงมาฟ้องมั้ย หรือจะมองว่ามึงเป็นตัวปัญหาขี้ฟ้องมั้ย
Civic fk 1.5 turbo ปี 2020 ราคาเปิดมา 1.2 ล้าน ตอนนี้แม่งขายกัน 1.2 ล้าน ราคาแม่งไม่ตกเลยหรอวะ 555555
เมื่อเช้าตื่นมาแบบงงๆ ว่าวันนี้วันหยุดหรือวันทำงาน เนื่องจากไม่ได้หยุดยาว
28-30 หยุด 31 ทำงาน 1 หยุด 2 ทำงาน เกิดความสับสน 555
ทั้งๆที่ไม่ได้มีปัญหากับงาน แต่ไม่รู้สึกอยากทำงานเลย ทำไมวะ พอจะถึงวันทำงานขึ้นมาก็กังวลทุกที
>>829 แชร์ให้ฟัง ตอนเรียนจบมาหมาด ๆ เคยทำงานแรกไม่ผ่านโปรเลยหาช่องทางอื่น (เค้าให้เซ็นออกเองเหมือนมึงนี่แหล่ะ บอกไม่อยากให้เสียปประวัติ อันนี้ก็แล้วแต่จะคิด) ตอนนั้นไปคุยกับผู้จัดการอีกแผนกขอย้ายแผนกเค้าก็รู้นะว่าไม่ผ่านโปร เราก็บอกเค้าไปว่าทำไมถึงไม่ผ่านแล้วทำไมถึงคิดว่างานแผนกใหม่จะทำได้ดี ตอนนั้นโชคดีที่ใช้คนละ skill set กันเลย ก็เลยได้งานอีกแผนก แต่บอเดิมนะ สรุปทำที่นี่อยู่ประมาณ 7 เดือบแล้วก็ลาออกเพราะได้งานใหม่ กูใส่ที่นี่ในเรซูเม่แต่ใส่แค่ตอนมาทำแผนกใหม่ ตอนไม่ผ่านโปรทำมาได้เดือนครึ่งเองมั้ง มึงก็ต้องลองดูว่าไม่ผ่านโปรของมึงนี่มึงทำมากี่เดือนแล้วอ่ะเพราะส่วนใหญ่น่าจะไม่เกิน 4 เดือน แต่ถ้าไม่ผ่านไม่แนะนำให้ใส่นะ ความเห็นส่วนตัวกูว่าการแถว่า 1-4 เดือนที่หายไปนั้นทำอะไรยังง่ายกว่า เช่น เรียนสกิลเสริม, พัก, ยังหางานที่ชอบไม่ได้ แต่ถ้าใส่ไปมันจะระยะเวลาที่สั้นมาก ๆ เค้าจะมองไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ทนงานรึเปล่าหรือมีปัญหาอะไรไหม
ขอให้มึงโชคดี
วุฒิ ม.6 สามารถเป็นพนักงานเงินเดือนออฟฟิซอะไรได้บ้างไหม
เพื่อนโม่ง กุกำลังหาที่เก็บเงินเพื่อนเรียนต่อ คิดว่าจะใช้เวลาประมาณ3-4ปี เพื่อนโม่งว่าเอาไปเก็บไว้ไหนดี ตอนนี้เก็บอยู่ในออมทรัพย์ดอก 1.5
อายุ 15 อยากเป็นสาวรำวง ต้องทำไงบ้างวะ ปล.กูเป็นผู้ชาย
พวกงานรัฐวิสาหกิจที่ไม่บอกรายละเอียดงานหรือเงินเดือนจนกว่ามึงจะสอบผ่านเข้าไปได้เนี่ย มันดีไหม คือกุกลัวว่าถ้าเข้าไปแล้วมันไม่เหมือนกับที่กุคิดไว้นี่เสียเวลาฟรีเลย
อยากไปเก็บผักเป็นเกษตรกรแรงงานที่ญี่ปุ่นอ่ะ ทําไงวะ
ปรับตัวเข้าสู่ชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่กินนอนในที่ทำงานนี่ยากสัส
ที่ทำงานเก่ากูนี่เริ่มเจอเจ้านายเพ่งเล็งละเพราะหัวหน้ากูไปสร้างเรื่องไว้จนทั้งแผนกแม่งโดนฟาดงวงฟาดงาหนักจัดๆเลย แถมเพื่อนร่วมงานกูคือจะอัพตำแหน่งขึ้นหัวหน้ากันแล้วถูกโยกไปทำที่แผนกอื่นจนคนน้อยลงกว่าเดิม ส่วนน้องๆที่เหลือมีแผนจะลาออกกันช่วงปลายปีกับต้นปีหน้า เหลือแต่พวกกี้ๆที่ต้องทนๆอยู่กับแม่งด้วย อยากย้ายงานละช่วงแถวๆนี้คือที่ทำงานในสายงานกูเริ่มเปิดๆรับคนใหม่ไง ที่คาใจตอนนี้นะ กูควรรอสิ้นปีรอรับโบนัสไว้ตั้งต้นทุนชีวิตเพิ่มก่อนจะไปหวังงานใหม่อีกปีหรือว่ารีบคว้าโอกาสงานใหม่ตอนนี้เลยดีวะ?
รอโบเหอะ
เพื่อนโม่งช่วยไว้อาลัยกูล่วงหน้าด้วย อาทิตย์หน้าเจ้านายกูจะเปิดตึกใหม่เพิ่ม รับงานเพิ่มเท่าตัว แต่พนักงานเท่าเดิม
ที่ทำอยู่ทุกวันก็จะตายมะรอมมะร่ออยู่แล้ว อาทิตย์หน้ากูคงได้ตายสนิท
ไม่รู้จะมีแพลนรับพนักงานเพิ่มรึเปล่าแต่ที่แน่ๆ ตอนนี้พนักงานยังเท่าเดิม แถมแผนกกูจะออกเดือนหน้าอีกคน
บ กูตอนนี่รุ่น early ถึง mid ออกกันเยอะมากเพราะปีนี้ไม่ปรับเงินเดือนกับจ้างคนเพิ่ม รู้ตัวอีกทีรุ่นเดียวกันในทีมเหลือแต่กูซะแล้ว เศร้าชิบหาย
ค่าเดินทางจากหอพักไปที่ทำงานประมาณ 3500 ต่อเดือนนี่ถือว่าเยอะไปมั้ยวะ นั่งรถเมล์ไปต่อ bts จริงๆมันก็มีรถเมล์ผ่านแต่มันต้องขึ้นหลายต่อแล้วกูจะไปสายเอา กูเด็กจบใหม่เงินเดือน 17000 +- นิดหน่อย
>>858 กูไม่ได้จบใหม่ ไร้ปริญญาแต่เงินเดือนน้อยกว่ามึงนิดนึง(ทำOTชดหน่อยๆก็เท่ามึงละ) กูเช่าหอพัก3500รวมค่าไฟก็ราว4000-42xx แบบปั่นจักร-เดินแป๊บๆก็ถึงที่ทำงาน คิดเอาละกันว่าให้ค่าเดินทางยัดลงในปัจจัย4แล้วจะได้อะไรขึ้นมาไหม กูทำแบบนี้ เงินเก็บก็ไม่น่าเกลียดไรมาก ตามนั้น
ขึ้นอยู่กับระยะเวลาเดินทางอะ สำคัญคือเวลา ถ้าสมมุติเดินทาง1-2ชม.เป็นกูเช่าหอพักรวมน้ำไฟอาจจะเสีย4000-5000 ดีกว่า เวลาสำคัญกว่ามาก1-2ชม.นี่มึงเอาไปออกกำลังกายในห้อง ทำงานเสริมหรือนั่งดูกาตูนยังฟินกว่าเหนื่อยเดินทาง
เเต่ก็นะบางคนชอบอยู่บ้านมากกว่า ถ้าไม่ไกลจากบ้านมากกูก็เลือกไปกลับ
ปล.อยู่หอเเล้วยังต้องเสียค่าเดินทางเพิ่มเยอะขนาดนั้นเพิ่มอีกเหรอ เป็นกูหาหอที่อยู่ใกล้ๆเน้นเดินไปได้หรือลดค่าใช้จ่ายเดินทางลงดีกว่า
กุเดินทางชั่วโมงนิดๆ ค่าเดินทางเดือนละ4พัน รถไฟฟ้า3ต่อ ตอนแรกว่าจะอยู่หอใกล้ๆแบบเดินไปได้เดือนละ8พัน แต่คิดไปคิดมา
แม่งไม่ใช่แค่ค่าหอ ค่าน้ำ/ไฟ ค่าอาหาร ค่าซักผ้า ค่าจิปาถะเยอะไปหมด เพราะอยู่บ้านช่วยๆกัน แถมโอนให้ที่บ้านอีก5พันตลอด
เลยยอมเดินทางไปกลับแทน เสียเวลาไป-กลับเกือบ3ชม ส-อ อยากไปไหนก็ใช้รถที่บ้านเอาถ้าไม่มีใครใข้
>>863 มึงหาหอยังไงเจอเดือนละ 8พันวะ? มันอยู่แบบระดับสุขุมวิท ย่านอโศกหรือ ถ.วิทยุแน่ๆเลยหว่ะ .... แถมส่งให้ที่บ้านใช้อีก มึงต้องบริหารเงินให้ดีกว่านี้อ่ะถ้าจะเวย์นี้ต่อไป เรื่องปัจจัย4ต้องดีมากๆ ไม่มีปัญหาซ่อมบ้าน ไม่มีปัญหาสุขภาพเหี้ยไรเลย ถ้าจะเดินทาง+ทำงานแบบนี้ มึงสำรวจละว่าดีก็แล้วไปนะ กับกูคือแพง และกูมีปัญหาตรงที่อยู่บ้านละคนในบ้านเป็นปลิงกับtoxicจัดๆ เลยหนีออกมาละ จัดการปัญหาชีวิตตัวเองได้ละเงินเก็บมีพอตัวเลย
ปรึกษาว่ะ เดือนก.ย.นี้บริษัทกูจะพาไป Outing ข้างนอก แล้วมีการจับฉลากสี แล้วเผอิญกูดันจับได้สีเดียวกับ Director แผนกกู แล้วต้องนั่งรถบัสตามสีที่จับได้ กูยังไม่แน่ใจว่ากูจะได้นั่งรถคู่ใคร คงไม่พ้น Director ว่ะ แล้วกูก็พูดไม่เก่ง แถมเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้เดือนกว่าๆ เอง กูควรวางตัวไงดีวะ
ปล. กูโม่งญ. แต่ Director เป็นผู้ชาย
>>865 เป็นกู จะโชว์นิสัยจริงๆ เวลาทำงานก็อีกนิสัยไป กูทำแบบนี้เวลาทำงาน คนพอยอมรับกันได้ เวลาทำงานสุภาพเอาไว้ ไม่ใช้คำพูดทำร้ายใครช่วงทำงาน เถียงบ้างแต่ไม่ยอมทุกอย่าง ส่วนเลิกงานคือออกจากที่ทำงานอะไรไม่โอเคก็ไม่ยอม ว่ามาว่ากลับ ที่ทำงานสายกูแบบเศรษฐกิจดี คนมีเงินมากองๆให้เรื่อยๆนะ เลยกล้าวางตัวแบบนี้ เรียกว่าก็ตรงๆอ่ะ อยู่ที่ทำงานอีกแบบ อยู่นอกที่ทำงานมาIce breakingคืออีกแบบ ตามนี้เลย หรือีกทางถ้าDirectorบ้ากีมึงลองพยายามเช็คดูว่าบ้าไหม เพราะเวลาไต่นี่ง่ายสัส 555+
>>865 เป็นกูกูจะนั่งเงียบๆ สุภาพ เรียบร้อย ถ้าผู้ใหญ่เขาอยากคุยเดี๋ยวเขาชวนคุยเอง แต่กูจะไม่เอาหูฟังยัดหู เพราะเด็กที่เอาหูฟังยัดหูเหมือนชูป้ายประกาศแล้วว่าอย่ามาชวนกูคุย ซึ่งมันดูไม่เป็นมิตรไปหน่อย กับเด็กด้วยกันทำได้ แต่นั่งรถกับผู้ใหญ่ กูว่าไม่ค่อยเหมาะ (คหสต.นะ)
>>865 ถ้าเป็นคนไทยเวลาคุยกับผู้ใหญ่ก็มารยาทพื้นฐานเลย สุภาพ สวัสดีก่อน มือไหว้อะยกไปเหอะ น้ำเสียงก็ต้องอ่อนน้อมนิดนึง และถ้าเป็นระดับสูงกว่ามึง เวลาเรื่องต้องใช้แรงมึงจะต้องไวกว่า เช่นพวก ยกของ ปัดกวาดเช็ดถู พวกนี้มึงใช้ตลอดละพวกนี้ยันมึงกลายเป็นแก่ในบริษัทซะเอง
แต่มึงบอกเป็นรถบัสนี่ไม่ต้องห่วงหรอกมั้ง ไม่ใช่ต้องไปนั่งคู่กันสักหน่อยส่วนใหญ่พวกนี้นะเขาจะมีพวกเลขาคอยเอาใจอยู่แล้ว เข้าไปทักทายก็พอ
กูว่าอย่าเอาหูฟังยัดหูตั้งแต่เริ่มเดินทางก็พอ 5555555 แรกๆ ถ้าเขาชวนคุยก็คุุยตามหน่อย แต่ไงๆ มันไม่น่ามีคนคุยต่อเนื่องอยู่แล้วล่ะ ซักพักอาจจะนอนหรืออะไรก็ได้ ช่วงที่เงียบๆ กันไปก็ค่อยใส่หูฟัง
ทำไมเลขา ต้องเป็นที่ระบายความงี่ ของเจ้านาย ด้วยวะ
ไม่อยากทำงานวันนี้เลย ฟ้าคคคคคคคคค
>>869 พูดถึงเอาหูฟังยัดหู เห็นเด็กสมัยนี้ทำกันเยอะนะเอาหูฟังยัดหูเวลาทำงาน แล้วพอเจ้านายเรียกไม่ได้ยิน เจ้านายเลยต้องเดินไปหาถึงโต๊ะเพื่อสะกิด หรือไม่ก็คนข้างๆ ต้องช่วยสะกิดให้ว่าเจ้านายเรียก เด็กสมัยนี้กล้ากันดีว่ะ ไม่สนโลกดี 555 ไปเตือนก็ไม่ได้ด้วยจะโดนหาว่าเป็นมนุษย์ป้าจ้องจับผิดเด็กอิจฉาเด็กอีก 555 ก็ต้องปล่อยไป ส่วนตัวกูไม่กล้าทำนะ 555 เด็กบางคนดียังหน่อยฟังแค่ข้างเดียว เหลืออีกข้างไว้ให้ได้ยินเสียงนายเรียก เสียงโทรศัพท์เข้า
>>873 สำหรับกูมันต้องดูก่อนว่าคนอื่นทำกันมั้ย แต่กูจะรู้สึกไม่ค่อยกล้าทำถ้าคนอื่นไม่เริ่มทำก่อน
ตอนกูทำงานแรกเกือบๆ 10 ปีที่แล้วเห็นพี่ที่อายุห่างกันไม่มากทำกันเป็นปกติ กูก็เลยทำบ้าง
ถ้าใครใส่หูฟังแล้วคนเรียกไม่ได้ยินก็แค่โดนแซวขำๆ ไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องเสียมารยาทอะไร
แต่งานที่ทำทุกวันนี้เข้าไปเป็นหัวหน้า แต่กูเห็นคนอื่นไม่มีใครเค้าใส่กันเลย กูก็เลยไม่กล้าใส่
แต่เรื่องเด็กกล้าทำนี่เคยได้ยินคนทีมอื่นบ่นว่าไปกินข้าวด้วยกัน เด็กบางคนกินเสร็จแล้วเบื่อๆเอาหูฟังแบบครอบหูขึ้นมาใส่บนโต๊ะกินข้าว
แล้วก็เล่นมือถือแบบไม่สนใจคนอื่น กูว่าไอ้แบบนี้มันก็ฮาร์ดคอร์ไปนิดนึง กูว่าถ้าจะทำแบบนี้อย่าไปกินข้าวกับเค้าแต่แรกดีกว่า
>>874 กูว่ารุ่นเดียวกันเพื่อนร่วมงานกันเรียกไม่ได้ยินมันก็ขำๆ ได้นะ แต่เจ้านายเรียกไม่ได้ยิน จนต้องให้เจ้านายเป็นฝ่ายลุกมาหาถึงโต๊ะ โทรศัพท์ดังก็ไม่ได้ยินจนโต๊ะอื่นต้องดึงสายให้ แต่ก็ไม่แคร์ ยังทำตัวเหมือนเดิม ก็กล้าดี อย่างที่บอกเด็กสมัยนี้แม่งกล้าดี ไม่สนโลกดี พอเจ้านายตำหนิก็หาว่าแก่โบราณ มนุษย์ลุง มนุษย์ป้า พอประเมินออกมาไม่ค่อยดีก็โทษบริษัท โทษเจ้านาย ไม่ได้มองพฤติกรรมตัวเองเลย
>>875 เจ้านายไม่ได้ตะโกนเลย เรียกธรรมดานี่แหละ แต่เด็กใส่หูฟังมันไม่ได้ยินไง
>>876 แต่กูก็คงมนุษย์ลุงจริงๆ แหละ เพราะถ้าคิดแบบเด็กเจนนี้ ใครอยากคุยด้วยก็คงต้องเป็นฝ่ายลุกไปหาเอง ไม่สนใจเรื่องเจ้านายลูกน้องอาวุสงอาวุโสอะไรกันแล้ว โบร๊าณโบราณ ในเมื่อเจ้านายมีธุระจะคุยกับเด็ก ก็ต้องเป็นฝ่ายลุกไปหาเด็กถึงที่ เด็กจะนั่งใส่หูฟังชิลล์ในที่ทำงานไม่รับรู้สรรพสิ่งใดๆ รอบตัวก็เป็นสิทธิ์ของเด็ก
>>877 อย่าเพิ่งเหมารวมเด็กไป บางทีเด็กมันเพิ่งเข้าสังคมบอสัดครั้งแรก ไม่ก็ที่เก่าวัฒนธรรมเป็นแบบนั้น อย่าเพิ่งรีบตั้งแงใช้ไม้อ่อนเข้าสู้ก่อน บอกมันดีๆยกเหตุผลประกอบ หรือไม่ก็หาจุดวินวิน ถ้าเด็กมันดื้อถึงค่อยกาหัว ว่าก็ว่ากูเคยเป็นเด็ก yes man มาก่อน ไม่เคยดื้อ เค้าเตือนเค้าสอนไรมากูทำตามหมด ลงเอยด้วยคำว่าไม่มีหัวคิดนายว่าไงว่าตามได้ครับผมเหมาะสมครับนาย หาว่ากูเลียนายไปนู่น เหอะๆ
>>876-877 คงเป็นเรื่องวัฒนธรรมจริงๆ กูเคยเจอแต่เหมือน >>875 คือถ้าอยากคุยกับใครก็ลุกไปหาเค้าเอง อาวุโสหรือตำแหน่งไม่เกี่ยว
ยกเว้นตำแหน่งใหญ่ๆหน่อย เช่นผู้บริหารพวกนี้จะมีโซนหรือห้องของตัวเองไปเลย
ถ้าเค้าอยากคุยกับใครก็ทักหาโปรแกรมแชทบริษัทเรียกไปคุยเอา หรือยุคหลังๆถ้าคุยเรื่องไม่ความลับอะไรก็ call หากันเอา
สอนเริ่มดูหุ้นเล่นหุ้นบน pc หน่อย เขาใช้เว็บไหนโปรแกรมไหนกัน
>>877 ไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงมนุษย์ลุงหรืออะไร ที่ต้องการจะสื่ออยู่ที่ประโยคแรกน่ะ ว่ามันแล้วแต่ที่ทำงาน แต่ละที่ก็มีพวกวิธีการทำงานหรือข้อตกลงที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างก็อย่างการ call คุยกัน บางที่บังคับเปิดกล้องในขณะที่บางที่ก็ไม่ได้บังคับ
คือถ้ามีข้อตกลงหรือข้อห้ามร่วมกันแบบนี้แต่ยังฝืนทำก็เป็นสิ่งนึงที่แสดงให้เห็นว่าคนๆนั้นอาจจะไม่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรนั้นๆ ก็ บอกกล่าว>ตักเตือน>ประเมิน กันไปตามเรื่อง เพราะกูเข้าใจว่าหลายๆที่พวกหัวข้อประเมินมันก็จะมีเรื่องการเข้ากันได้กับที่ทำงานอยู่ด้วย
ออฟฟิศกูเพิ่งย้ายเข้าไปในซอยลึก ตอนเลิกงานกูเลยติดรถพี่ที่ทำงานออกมาปากซอยทุกวันเป็นเดือนแล้ว จะเดินเองมันก็ไกลกับเปลี่ยว กูจะเสนอจ่ายค่าน้ำมันช่วยเขาก็ไม่เอา เขาบอกยังไงเขาก็ต้องขับรถออกมาปากซอยอยู่ละ กูแค่นั่งไปด้วยแป๊บเดียวห้านาที แต่กูก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีว่ะ ควรตอบแทนเขายังไงดี หรือยัดๆเงินใส่มือเขาไปจะได้ไม่รู้สึกผิด
มันเป็นการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆฝั่งรับก็เกรงใจเหมือนกัน มึงก็นะคิดไปได้จะเอาเงินยัดมือ
ถ้าเขาไม่รับก็ไม่จำเป็นต้องตอบแทนเป็นเงิน ให้ซื้อของมาฝาก เลี้ยงน้ำ เลี้ยงขนมตามโอกาสให้พองามก็พอ
ดีที่ไม่เจอคนแบบกูเสนอจะจ่ายค่าน้ำมันให้นี่กูให้เติมเต็มถังเลย
ถ้ากูยืนยันจะไม่เอาเงิน แล้วยัดให้กู กูโกรธอะ ซื้อน้ำซื้อไรฝากเค้าไปละกัน
เห็นข่าวคุณพรี่กบแล้วร้อง อ.ห. เลย ที่ทำงานใครเป็นแบบนั้นบ้างวะ เลือดเย็นดีแท้ แม่แท้ๆ นะนั่น ย้อนกลับมามองบริษัทกู ญาติของพี่สาวของป้าข้างบ้านของแม่ยายสะดุดยอดหญ้าหกล้มนิ้วก้อยซ้น แม่งยังลางานแบบกะทันหันได้เลยมั้ง ถถถ ใจดีจนบางทีกูก็คิดว่าใจดีเกิ๊น
ตอนนี้รถ dmax แม่งแมสเลยว่ะ ขับไปเจอที่ไหนก็ต้องเหลียว
ถ้าอยู่ตรงยอดพีระมิดของสายอาชีพตัวเอง จะทำอาชีพอะไรก็หางานใหม่ง่ายทั้งนั้นแหละ
>>895 แล้วแต่มึง คนเราเชื่อจากประสบการณ์ตัวเอง กูผู้ชีวิตนี้ไม่เคยมีคอนเนคชั่นห่าเหวอะไรทั้งนั้น ตลอดชีวิตที่ผ่านมาก็สมัครงานแบบหาเองยื่น resume เข้าไปเองแบบไม่รู้จักใครใดๆ ทั้งสิ้น ก็ได้งานดีๆ บริษัทโกลบอลดีๆ ตลอด ดังนั้นกูจึงไม่เชื่อว่าคนเราไม่มีคอนเนคชั่นแล้วมันจะหางานดีๆ ไม่ได้
แต่คนที่ได้งานเพราะมีคอนเนคชั่น อันนี้กูเชื่อ และคิดว่าไม่แปลก แต่ถึงกับชีวิตได้ดีไม่ได้เลยเพราะไม่มีคอนเนคชั่น อันนี้กูไม่เชื่ออย่างที่สุด
>>893 กูว่าส่วนนึงที่เมกามีปัญหาคงเพราะปัญหาบริษัท IT ใหญ่ๆเมกามันจ้างคนมากไปเลยปรับลด
เดี๋ยวพอมันเข้าที่เข้าทางก็จ้างเพิ่ม แล้วก็กลับมาปลดคนวนลูปไปเรื่อยๆ
อีกอย่างเงินเดือนคนสายนี้มันเฟ้อเกินไปด้วยมั้ง เคยมีคนเอามาเทียบเงินเดือนคนทำงาน IT เมกาเยอะกว่าประเทศโลกที่ 1 อื่นๆไปพอตัว
ส่วนในไทยถามว่ามันเพราะค่าแรงไม่แพงมั้ยก็ใช่ แต่มันก็ถือว่าไม่แย่เทียบกับค่าครองชีพและเงินเดือนคนอาชีพอื่นๆในประเทศ
แต่เอาจริงๆกูก็ไม่ใช่พวกใจถึงขนาดนั้น ส่วนมากกว่าจะคิดหางานใหม่ก็คือต้องถึงจุดที่แม่งรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้จริงๆก่อนทุกที
สาย IT ยังหางานง่ายอยู่ โดยเฉพาะช่วงนี้ เพราะเทรน AI กำลังมา คนเลยไม่ค่อยพอกัน
>>896 กูไม่รู้ว่ามึงสายงานอะไรนะ แต่สายงานหลายๆที่มีอีกเยอะที่ถ้ามึงขาดคอนเนคชั่นละมึงไม่เอาเลยจริงๆ ต่อให้ครบเครื่อง ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา เส้นสายไม่ใช่ มันจะแกล้งให้มึงอยู่ไม่รอด แสดงว่าตอนนี้มึงอยู่ในจุดที่แบบหาคนแทนที่ได้น้อยรายมากกว่า หรือจริงๆมีคอนเนคชั่นดีๆรอบตัวมึงแล้วโดยที่มึงไม่รู้ตัว การที่มึงไต่ถึงยอดพีระมิดได้ทุกวันนี้มึงคงไม่ได้รับรู้ว่ามีสิ่งเหล่านี้ อาจจะจากของเพื่อนมึงหรือของใครคอยช่วยมึงไว้อยู่ก็ได้
>>900 กูไม่มีเพื่อนในสายงาน ไม่มีใครทั้งนั้น พ่อแม่ก็ตาสีตาสาชาวบ้าน มึงก็นะ พยายามจะยัดเยียดคอนเนคชั่นให้กูให้ได้ เฮ้อออออ ก็บอกแล้วไงว่าคนที่ได้งานดีๆ เพราะมีคอนเน็คชั่นอะมี กูเชื่อ กูรู้ แต่มันไม่ใช่ว่าทุกที่จะเอาแต่คอนเน็คชั่นอย่างเดียว ทั้งบริษัทมีแต่คนมาจากเส้นสายล้วนๆ ไม่มีคอนเน็คชั่นก็หางานดีๆ ได้ ถ้าโปรไฟล์ดี ประวัติสวย ตอนสัมภาษณ์ทำได้ดี ทำข้อสอบเข้าได้ดี ขนาดหน่วยงานราชการยังมีปะปนทั้งคนที่เข้ามาด้วยเส้นสายกับคนที่เข้ามาด้วยความสามารถจริงๆ เลย เพราะกูก็เคยสอบราชการติดโดยไม่มีเส้นเช่นกัน แต่สุดท้ายกูไม่เอา เพราะคำนวณแล้วว่าอยู่ไม่ไหวจริงๆ บ้านกูจน รอสบายตอนแก่ไม่ไหว ต้องการเงินเยอะตอนนี้เลย กูถึงบอกว่าคนเรามันเชื่อจากประสบการณ์ตัวเองนี่แหละ เพราะกูไม่มีเส้นใดๆ ไม่รู้จักใครเลย แต่กูเคยได้รับโอกาสดีๆ มากมายจากการหาค้นคว้าหาข้อมูลเอง เข้าไปสมัครเอง สอบเองทุกอย่าง กูถึงรู้ว่ามันมีจริง แต่สัดส่วนเท่าไหร่เป็นอีกเรื่อง
มึงพูดจาได้ดูถูกความสามารถกูมากๆ เลยนะนั่น 555 หาว่ามีคนแอบคอยช่วยกูอยู่โดยกูไม่รู้ โถ นึกว่าซีรีส์เกาหลี พระเอกสัสๆ ชายนิรนามที่แอบช่วยกูอยู่โดยที่กูไม่รู้จักมันด้วยซ้ำ 555
>>904 สายงานหมอ สายงานทหาร มึงไปคุ้ยดูเอานะว่าใช้เส้นเบอร์ไหน ฝีมือดีจริงแต่เส้นไม่มีมันโตยากมาก เข้ามานอกระบบ เริ่มผิดจุดผิดสถาบันนี่ก็ไต่ไม่ได้ละ มึงเคย career switchมาแบบงูๆปลาๆป่ะวะทำไมถึงไม่รู้ว่าแต่ละสายงานที่ผ่านมานี่จะไต่ไปถึงยอดพีระมิดมันต้องพึ่งพาใครบ้าง ต้องเข้าถึงเครือข่ายไหน ถ้ามึงเคยไต่ไปถึงยอดพีระมิดทุกสายงานที่มึงเคยทำมาเพื่อขิงกูละก็นะ เอาเถอะ เทพจ้า เก่งสัสๆ elite จนมาบอกคนอื่นได้ว่าซั่น555
กูโม่ง first jobber ที่มีพี่ที่ทำงานชอบแซะกู อยากออกจากงานสัสๆทั้ๆที่พึ่งทำไม่ถึง 2 เดือนเพราะหลายอน่างรวมกัน
ล่าสุดกูก็กินข้าวกะเพื่อนลงไอจีสตอรีกัน ก็ลงเรื่อยๆ กูก็ไปกินกับเพื่อนๆวีคละสองสามครั้งอะนะ เค้าก็แซะกูทั้งต่อหน้าและในแชทว่าไปกินข้าวแต่ละร้านเหมือนเงินเดือนหลายแสน ทั้งๆที่
1. เงินกู ไม่ใช่เงินเค้า
2. อาหารที่กูแดกไม่ได้แพงเลย มากสุดก็ตกหัวละ500บาท
ละกูก็ต้องทำเป็นขำ ละบอกว่ากูไม่มีภาระ อยู่กะพ่อแม่ ออกแค่ค่าข้าวเลยมีเงินเหลือกินเล่นกะเพื่อนได้เยอะ ซึ่งก็คือความจริงอะ55555 รถกูก็ไม่ขับ บ้านกูก็ไม่ต่องผ่อน น้ำไฟกูก็ไม่ออก แต่พอกูบอกเค้าไปกลับโดนสอนต่อ (ทุกคนในบริษัทห่างกะกูประมาณ7-15ปี) ว่าแบบแล้วถ้าพ่อแม่ตายกูจะอยู่ยังไง กูคืองงมากทำไมต้องมาแช่งพ่อแม่กู ละกูบ้านมีฐานะอยู่แล้ว ที่บ้านมีธุรกิจถึงพ่อแม่กูตายกูก็อยู่แบบสบายๆต่อไป กูเลยไม่เข้าใจว่าที่ทำงานจะมายุ่งอะไรกับพ่อแม่กู ชอบมาถามว่าพ่อกูตำแหน่งอะไร ทำไมมีเวลาว่างมารับส่งกู คือมันแอบเป็นเรื่องส่วนตัวมากอะ
คร่าวๆเลยที่กูอยากออก เพราะกูไม่ชอบการที่เค้าไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเพื่อนกับเพื่อนร่วมงาน พฤติกรรมอื่นๆก็มีโยนงานแนวadminของทั้งแผนกมาให้กูทำคนเดียว และชอบพูดเล่นกะกูแรงๆ แนวจบงานนี้เดี๋ยวก็โดนหัวหน้าไล่ออกแล้ว/ ไม่ผ่านโปรแน่/ ไปกินเลี้ยงกันรอบนี้ก็เลี้ยงส่งกูไง กินเต็มที่เลยนะ กูรู้ว่าพูดเล่น แต่ไม่เข้าใจว่าพูดทำไม กูไม่ขำเลยซักนิดอะ
แล้วเอาจริงงาน admin กูทำได้นะ แต่กูจบมหาลัยดัง คณะดัง เกียรติ1 ทำงานเบ็ดเตล็ดนอก jd คือทำได้ แต่อยู่มาจะสองเดือน ให้กูทำแต่งานแบบนี้ แล้วไหนdevelopmentในตัวกูอะ ไหนเนื้องานที่กูควรได้เรียนรู้อะ อยู่ไปก็ไม่โต อันนี้ matter กูที่สุดเลย กูลดตัวลงมาทำงานในบริษัท in-house ก็เพื่อwork-life balance และลดความเครียดตัวเองลง ไม่ใช่มาทำงานแอดมิน ไม่งั้นกูจะเรียนมาตั้งเยอะเพื่อไรวะ ถ้ากูรู้ว่าเป็นงี้ กูกลับไปทำบริษัทที่กูฝึกงานมาที่ competitive จ๋าๆในการทำงานดีกว่าไหมวะ5555
>>908 กูแนะนำมึงอย่างนะ ทีหลังอย่าให้ social กับคนที่มึงทำงานด้วย เพื่อน/รุ่นพี่ ที่ทำงาน ไม่ใช่เพื่อนมึง วันดีคืนดีมึงอาจจะโดนแทงหลังได้
แล้ว sns ก็อย่าตั้งให้คนทั่วไปเห็น แค่เพื่อนมึงเห็นพอ
สมมุติมึงพลาดบ่นอะไรที่ทำงานปุ๊ป แม่งแคปส่งนายหาเรื่องมึงไล่มึงออกได้นะ ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ
และถ้าเค้าดึงดันจะขอ account ให้ได้มึงไปสร้าง account ใหม่ส่งให้แทน
>>908 เอาข้อมูลแค่เท่าที่มึงเล่านะ ทั้งเรื่องไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเพื่อนกับเพื่อนร่วมงาน
พฤติกรรมเหี้ยๆของพี่ที่ทำงานทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน แถมเนื้องานที่ทำแล้วรู้สึกไม่ได้เรียนรู้อะไรอีก
คือฟังแล้วมันไม่น่าอยู่เลยว่ะ อยากแนะนำว่าออกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ก็ต้องเอาปัจจัยอื่นๆที่มึงอาจจะไม่ได้เล่ามาคิดด้วยอ่ะนะ
เพิ่งเริ่มงานแรกถ้าไม่ได้รังเกียจสายที่ตัวเองเรียนมากูว่าก็น่าจะลองทำงานตรงตามสายที่เรียนก่อนดีกว่า ไม่ชอบค่อยว่ากัน
ส่วนเรื่อง work-life balance นี่แนะนำยาก เพราะถ้า บ. ใหญ่ๆมันขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมทีมมากกว่าตัวบริษัท
แต่กูคิดว่าสำหรับสมัยนี้ถามไปตรงๆเลยตอนสัมภาษณ์งานก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร
ไอ้เรื่องแดกอะไรแพงๆแล้วโดนแซะนี่กูโดนเพื่อนมหาลัยแซะเยอะมากจนรำคาญ ทั้งที่ของที่กูกินมันก็ไม่ได้แพงเวอร์อะไร
แถมไอ้คนที่ชอบมาแซะกูบางคนก็ไม่ได้กินของราคาถูกเลยนะ เสียดายว่าเพื่อนหลายๆคนมาทำสันดานแบบนี้ตอนเรียนจบแล้ว
นึกย้อนกลับไปตอนเรียนพวกมันมีปัญหาอะไรกูก็อุตส่าห์ช่วยฟรีๆตั้งเยอะ รู้งี้ไม่น่าช่วยแม่งเลย
>>908 กฎข้อแรกเลยคืออย่าให้แอคเคาท์โซเชียลกับเพื่อนร่วมงาน มันมาส่องแล้วแคปมึงไปฟ้องเจ้านายแทงหลังมึงได้ง่ายๆเลยนะ กูแนะให้ลาออกแล้วหาที่ใหม่ ไม่ต้องพูดเรื่องเฟซหรืออะไรกับที่ใหม่ กูทำงานมา 11 ปี ยังไม่เคยบอกเฟซบอก ig กับใครเลย ig กูก็ตั้งไพรเวทแชร์กับเพื่อนอย่างเดียวไม่รับคนนอก เพื่อนร่วมงานคือเพื่อนร่วมงาน สนิทได้แต่ต้องขีดเส้น ไอ้เรื่องมาถามพ่อตำแหน่งอะไรทำไมว่าง อันนี้คนมีมารยาทเขาไม่ถามกัน มันเหมือนพวกอิจฉาเลยจ้องหาเรื่องมึงอะ กูว่ามึงรีบๆหางานใหม่เหอะจะได้ไม่ต้องทนเพื่อนร่วมงานประสาทแดกแบบนี้
>>907 คือมึงจะบอกว่าถ้ากูเป็นหมอสมองฝีมือฉกาจ รักษาเคสผ่าตัดยากๆสำเร็จมาแล้วหลายพันเคส เป็นตัวท๊อปของสายการแพทย์ฝั่งประสาทวิทยา แต่ถ้ากุไม่มีคอนเนคชั่นกับผู้บริหารรพ. อื่นๆเลย กุจะไม่สามารถเปลี่ยนงานจากรพ.a ไปรพ.b ได้ ว่างั้น? มึงเวอร์ป๊ะ ถ้ามึงเป็นตัวท๊อปของสายงานนั้นจริงๆมีหรอที่คนรพ. อื่นจะไม่มีใครมาทาบทามมึงเลย ไม่สนใจมึงเลย ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นงานวิจัยของมึง แต่เลือกไปเอาคนรู้จักที่ความสามารถด้อยกว่ามึงมาแทนแล้วทำให้ตัวท๊อปอดตาย หรือถึงขนาดมึงเอาโปรไฟล์หรูๆไปสมัครก็ยังไม่แลเพราะมึงไม่รู้จักคนใน??? หรือมึงมองว่าถ้าเป็นหมอมีชื่อเสียงแล้วจนผู้บริหารอีกรพ.รู้จักนี่คือคอนเนคชั่น???
โนโน กุว่าไม่ใช่ละ กุเห็นมีแต่ถูกแย่งตัวกัน เพราะขนาดกุไม่ใช่ตัวท๊อป กุยังถูกทาบทามแบบลาออกปุ๊บได้งานใหม่ทันทีอ่ะ คือถ้ามึงคือตัวท๊อป ครบเครื่องจัดๆแต่โดนรีเจคเพราะไม่รู้จักคนใน รพ.นั้นคงรอวันเจ๊งอ่ะ ไอสัส กุคิดว่าเคสคิดไปเองว่าตัวเองครบเครื่องแต่จริงๆมาตรฐานไม่ถึงยังดูน่าเป็นไปได้กว่า
>>914 แสดงว่ายังไม่เคยเห็นเคสที่ถูกปฏิเสธงานด้วยเหตุผลว่า overqualified .....เด็กทุนErasmus เคยเจอมาแล้ว
https://twitter.com/stupefy_Malfoy/status/1644860562067578890
>>915 overqualified คือมึงศักยภาพสูงกว่าที่เค้าต้องการไม่ใช่หรอวะ เหมือนเปิดรับตำแหน่งยามแล้วมีป.โท ประสบการณ์ CEO มาสมัครเป็นยาม เงินเดือน 8,000 อ่ะ คนละเรื่องกับคนเก่งหางานไม่ได้ถ้าไม่มีเส้นป่ะ คือมึงศักยภาพสูงเกินกว่างานที่เค้าจะให้มึงทำอ่ะ ต่อให้มีเส้นก็คือไม่ได้อยู่ดีป่ะ คือมึงไม่เก็ตจริงๆ หรือแค่อยากเอาชนะไอโม่งที่มันบอกว่ามันพยายามมาได้ด้วยตัวเองโดยไม่ใช่เส้นอ่ะ
>>909 >>910 >>912 กูไม่เคยให้ไอจีเลย อีพี่คนที่ขี้แซะกูมันหาไอจีกูจนเจอละมาฟอลเอง แอดเฟซกูมาด้วย คือกูไม่ได้ตั้งไพรเวทไอจีแหละ เพราะก่อนหน้านี้เคยฝึกงานสองที่ก็ไม่เคยเจอคนที่จู่ๆมานั่งหาไอจีกูจนเจอแล้วฟอลมาเองอะ ตอนนี้รู้สึกแย่ละที่ไม่ตั้งไพรเวท55555 กูรู้สึกเหมือนโดนส่องไอจีตลอดเวลา mute ไอจีสตอรี่เค้าก็ไม่ได้ เพราะเค้าจะรู้เลยถ้าเข้ามาส่องโปรไฟล์กูแล้วไฮไลท์สตอรี่หายหมด
>>911 ขอบคุณมาก เอาจริงที่กูยังลังเลเพราะwfhวีคละสองวันกูแทบจะนอนเฉยๆ และเงินเดือนมันก็ค่อนข้างเยอะมากถ้าเทียบกับเนื้องานและคนรุ่นเดียวกัน อันนี้ตอนสัมกูก็แจ้งเค้าชัดมากว่ากูอยากได้ work life balanceนะ55555 กูก็งงว่าทำไมออกมาอีหรอบนี้
>>916 ละมึงไม่เคยคิดสินะว่าต่อให้มึงฝีมือระดับพระกาฬแต่คนแบบมึงไม่ได้มีgenetic connection มึงมันไม่ใช่เด็กของคนตำแหน่งใหญ่ๆในที่ทำงาน มึงคือคนต่างชาติ มันก็ยัดหาเหตุผลให้มึงถูกrejectได้นะ ที่มึงบอกใน >>914 ต่อให้ฝีมือดี ริมน้ำอาจไม่รับมึงเหมือนกันนะ ไม่คิดเหรอว่ามีเด็กในนั้นที่ทุกอย่างอ่อนกว่ามึงละต้องมารับตำแหน่งตรงนี้เหมือนกัน มึงไม่ได้ต้องแข่งแค่ฝีมือ มึงต้องแข่งกับเด็กโปรดในสถาบันด้วย เวลาถูกrejectทั้งๆที่ฝีมือโหดขนาดนี้ profileดีชิบหายก็เพราะoverqualified เค้ายัดให้มึงได้ ไม่ต้องตรงนิยามหรอก เอาตัวอย่างง่ายๆหน่อยก็เช่น มึงเก่งมาก จบเยอรมันมาเฉพาะทางด้านก่อสร้าง มีผลงานฝึกงานมาร่วมกับคนเก่งๆตรงนั้น มาสมัครเข้าSCGมึงก็เจอrejectได้นะเพราะมึงมันไม่ใช่ไง SCGต้องจบจากมหาลัยแถวสามย่านเท่านั้น เลือดข้นคนจางมันมีจริง แค่มึงยังไม่เจอมากับตัวนะ
สู้คนหน่อย ตอบพี่เค้าไปว่าอย่าเสือก
>>919 เอิ่ม กุว่ามึงหลอน จริงๆต้นเรื่องมันพูดถึงคนเก่งมีทางเลือกไม่ต้องกลัวตกงานป่ะวะ ถ้าอยู่ยอดพีระมิดยังไงก็หางานได้ แล้วคือมึงมาบอกว่า ไม่จริง ต่อให้เก่งแต่ไม่มีเส้นก็หางานไม่ได้ในบางสาย ซึ่งมึงเหมาว่าบางสายไม่เส้นคือไม่เอาเลย แต่ที่มึงยกตัวอย่างมันไม่ใช่บางสายไง มันแค่บางที่ ที่คอนเซอเวทีฟจ๋าๆเท่านั้น เหมือนมึงบอกว่าบริษัทสายเทครับคนที่เส้นเท่านั้น แล้วยกตัวอย่างบางบริษัทที่เป็นงั้นมาเหมาว่าทั้งสายเป็นงั้นอ่ะ แล้วก็เสือกไปบลัฟว่าที่ต้นเรื่องมันหางานได้เพราะมันมีเส้นแต่มันไม่รู้ตัวอีก
คือคนอื่นก็ไม่ได้เถียงนะว่าการมีเส้นช่วยให้ได้งานจริง แต่มันเถียงที่มึงบอกว่าถ้าไม่มีเส้นครบเครื่องแค่ไหนก็จะหางานไม่ได้ถ้าไม่เส้นซึ่งแม่งไม่จริงไง ในเมื่อมันมีคนที่ใช้แค่ความสามารถมายืนยันแต่มึงก็จะเอาแต่พูดว่าไม่จริง ต้องมีเส้นเท่านั้นถึงจะได้งานเพราะบริษัทบางที่ ที่มึงเจอมามันใช้เส้น บลัฟเรื่อง career switch ก็แตก เลยมาบลัฟเรื่อง overqualified ก็แตกอีก มึงทำอย่างกับคนอื่นแม่งโง่ประสบการณ์น้อยงั้นแหละ ในโม่งมีแค่มึงคนเดียวมั้งที่มีงานทำอ่ะ แหม่
แล้วเอาจริงๆนะ ที่บอกบริษัทบางที่รับคนจบเฉพาะมหาลัยนู้นนี่เท่านั้นน่ะมันใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่านี่คือการใช้เส้น ไอสัส การใช้เส้นคือมึงรู้จักคนใน แล้วเค้าเอามึงเข้าทำงานได้เลยโดยไม่ต้องไปแข่งขัน นี่คือการใช้เส้น ถ้าแค่จบมหาลัยที่เค้าระบุแม่งไม่ได้เรียกว่าใช้เส้น สัส มันแค่จะเอาเด็กมหาลัย top เฉยๆ มั้ย หรืออย่างสายแพทย์ รพ.อยากได้เด็กที่มหาลัยปั้นมากับมือเองมันก็ได้ป่ะ แนวคิดมึงแม่งโครต underrate พวกเด็กมหาลัย top เลยสัส ถ้าเอาตามมึงว่าทุกคนแม่งใช้เส้นหมดอ่ะ กุบอกเลย
My English is broken af but I’m the one in the company who can speaks English So I have to deal with foreign costumer all alone… want to kill my self
>>922 like I’m struggling with the difference of working culture and language
Yea I can talk shit with ppl as a fren but as a service man and customer I don’t know which kind of word should I use
And I know what I’m autistic shit I have been struggling with social norm for years
It takes years for learning all that shit like how to speak how to behave shit and then I have to do this shit again in different Cultures like fuck I’m so done
Dude I’ve been raised by non-speaking English family and neighborhood… like some of y’all might don’t understand how is it hard for me to learn English bro
Imma quit this company fr
sir, this is Wendy.
Just do it
ไอเห้ นั่งทำทั้งวันได้สไล้เดียวมีอยู่จริง ยากชิบหายย เว๊นนนนน
กูเพิ่งลางานไปเดินป่ามา ถ้ากูไม่มีของฝากนิดๆหน่อยๆติดมือมันดูน่าเกลียดปะ เพราะกูไม่ได้ซื้อ
กูคิดว่ากูไปเดินป่าไม่ได้ไปเที่ยวชิวๆ เลยไม่ซื้อ
เพื่อนโม่ง เด็กจบใหม่ ม.ดัง เกรด 2.8 TOEIC 900+ ได้ 3 ภาษา ได้เงินบริษัท Start up ดังในกรุงเทพ 17k น้อยไปป่ะหรือโอเคแล้ว ตอนแรกเรียกเงิน 20k อ่ะ ถือว่าน้อยไปหรือพอดี มือใหม่มาก แนะนำหน่อย ทำงาน Business Development ละเงินเท่านี้ใช้จ่ายในกรุงเทพได้ป่ะ จะเช่าหอประมาณ 6000 รวมน้ำไฟ บริษัทอยู่กลางเมือง ไม่ติด รฟฟ
>>933 ไม่ได้ว่านะ แต่อย่านับเลยภาษาลาวแค่เกิดอีสานก็พูดได้ละ2ภาษางี้หรอ แต่อย่างน้อยมึงก็เก่งอังกฤษละวะ ภ.ญป. ถ้าถีบขึ้นมาN2-3 จะดีมาก เป็นภาษาที่เงินดีชห
ค่ากินดูๆแหล่งที่มีร้านข้าวแกงเยอะๆ เผื่อวันไหนกลับมาเหนื่อยๆไม่อยากทำอะไร ถ้ามันไกลสั่งแกรบแพง ถ้าทำเองก็ตะถูกลงมากก เดือน4-5พันเฉพาะค่ากินคือเหลือๆเลย ส่วนค่าเดินทางตอบยากมาก กูนั่งบีไปกลับวันนึง 64 เดือนนึงก็ประมาณ1400 กูก็ไม่ได้อยู่ใกล้บีขนาดนั้นนะ ถ้านั่งวินจากบีไปก็ประมาณ20บาท ไปกลับก็40 แต่กูเลือกเดิน เลยประหยัดค่าวินไปเยอะ555555
ค่าห้อง 6000 ค่ากิน(ทำเอง) 5000 ค่าน้ำไฟเน็ตมือถือ 2500 ค่าเดินทาง 1400 ค่าใช้จ่ายในอื่นๆ สบูยาสระผมผงซักฟอกไรงี้ 1000
=15900
ถ้าเที่ยวหรือกินนอกบ้านก็จะแพงกว่านี้แต่โชคดีที่กูไม่ค่อยมีเพื่อน งดตี้=ประหยัด สบายยย
ถ้าเงินเดือน 20k-22k คือมีเก็บอยู่แล้ว
>>939 ทดลองงานมีเงินเดือนให้ บางที่อาจจะมีการให้น้อยกว่าเงินเดือนปกติ แต่ก็ไม่ควรน้อยกว่ามาก
ถ้าเจอบริษัทที่เหี้ยจริงๆให้ทำฟรีช่วงทดลองงานนี่คืออย่าไปทำแต่แรกเลย
ส่วนถ้าไม่ผ่านมันมีหลายแบบ เช่นเค้ารู้สึกว่าไม่โอเคตั้งแต่ก่อนหมดช่วงโปรก็มีให้ออกก่อนก็มี
หรือแจ้งตอนครบกำหนดแบบปกติ หรือถ้าเค้ารู้สึกว่ายังไม่ผ่าน แต่มึงมีแววถ้าพยายามต่อ
ก็อาจจะมีการยืดช่วงโปรออกไปได้ แต่ก็ไม่น่ายืดให้หลายรอบหรือยืดไปเรื่อยๆ
ถ้าเจอที่ไหนไม่ให้ผ่านซักทีแต่ยืดให้เรื่อยๆนี่คือผิดปกติละ อาจจะเป็นเทคนิคกดเงินเดือน
กำลังจะหาจังหวะไปบอกหัวหน้าว่าจะลาออกธันวานี้ แต่ยังหวั่นๆ คือ ทุนสำรองไม่ได้มากมาย พออยู่ได้ เดือน สองเดือน แต่นี่มีอาชีพเสริมอยู่แล้ว ที่ถ้าขยันหน่อยก็จะมีเงินเรื่อยๆ แหละ แต่พอนึกถึงว่า ออกจากวงการกากี แล้วค่อนข้างกะทันหัน เพราะหมดใจ หมดไฟกะมันแล้ว มันเลย เคว้งๆ ลังเลๆ //ทนต่อ หรือ พอแค่นี้ แล้วไปตุยเอาดาบหน้า
เป็นตำรวจเบื่องานก็หาย้ายไปตำแหน่งที่อื่นๆก็ได้มั้ง บางตำแหน่งนี่ว่างฉิบหาย แต่ถ้ามึงบอกจะออกแสดงว่าไม่ได้กู้สหกรณ์และทำไม่ได้นานมาก เพราะปกติคนทำขรก.มานานๆแล้วไม่ค่อยกล้าออกไปทำงานเอกชนหรอกไม่ชินกับวิธีการทำงาน ส่วนใหญ่คนแก่ๆเออรี่มาแต่ละคนนี่ทำสวน ทำไร่ เปิดร้าน
อยากออกก็ออกไปเหอะตำรวจเงินน้อย โตช้า อยากสบายต้องวิ่งขึ้น สว. ขึ้น ผกก. โน้นอะซึ่งใช้เวลานานกว่าจะไปถึง ถ้าระดับรตอ. ลงมากูถือว่าทำงานเอกชนดีกว่า เว้นแต่มึงจะออกได้ไปอยู่บริษัทกิ๊กๆก๊อกๆอยู่เป็นขรก. ต่อไปนี่ละ
วุฒิ ม.6 ทำงานไรดี ดูในเว็บเห็นรับสมัครเต็มไปหมดพอโทรไปบอกเต็ม
>>947 กูก็วุฒิ ม.6 แต่กูพยายามเก็บประสบการณ์ทุกงานไว้เลย อันไหนทำละเค้าให้อยู่ทนทำต่อได้ก็ทำไป หางานที่แบบวุฒิไม่ต้อง เอาสกิลเข้าว่าไปเลย หรืออีกอย่างที่กูว่าดีคือไปหางานในสายที่ตลาดแม่งต้องการอยู่ถึงจะไม่มีเหี้ยไรในหัวเลย ทำกับ บ. กระจอกๆเจ้าของคนไทยสักปี ถ้าไม่ถูกขูดรีดค่อยออก แต่ที่ไม่แนะนำสุดคือทำร้านสะดวกซื้อ เพราะกดขี่ทุกร้าน แต่ถ้าใจกล้า ร่างกายไหว ไปทำได้นะ ได้สกิล ได้ความอึด ได้ประสบการณ์เวลาตกในช่วงภาวะสุดขีดจะรู้ว่าต้องทำไง พวกงานที่กูแบ่งไปเลยนะว่ากดขี่มาก - น้อย
-ร้านสะดวกซื้อ24ชม.มีหุ้นใน ตลท
-ร้านอาหารจานด่วนแบบไก่ทอด เฟรนช์ฟราย หรือขนมปังอบในเครือห้างดังลาดพร้าว ไอพวกนี้สลิ่มบริหาร โคตรกดเงินเดือน
-ร้านขายของตามตลาดนัดหรือข้างทางที่จ้างต่างด้าวไปก็ได้
-ร้านที่ขนาดจ้างต่างด้าวมาทำมันยังบ่นว่าเหนื่อยมาก
.
.
.
นี่คือจากที่กูเริ่มทำงานประจำมาตั้งแต่ช่วงโควิดมาจนตอนนี้นะ ที่เหลือคือขึ้นกับหัวหน้าล้วนๆหว่ะ
ทำไงกะลูกน้องกูดีวะ ไม่ใช่ไม่ทำงาน สั่งก็ทำ แต่ไม่สั่ง ก็นิ่ง แบบลักษณะงานก็ไม่ได้ยุ่งมาก แต่ทำไมกูต้องสั่งทุกอย่างอ่ะ
หลังจากกูว่างงานเกือบปีที่ไทย สมัครที่ไทยไม่ได้สักที่ วันนี้กูได้งานใหม่ที่ต่างประเทศแล้วหว่ะ กูดีใจมาก เงินเดือนไม่เยอะมากแต่งานไม่หนัก สบายกว่าที่ไทย แล้วพอหักรายจ่ายต่างๆแล้วเงินเหลือครึ่งนึงของเงินเดือน เก็บเงินได้สบายๆ //ปล.กูบินมาทำงานแล้วนะถึงได้บอกว่าหักแล้วเหลือเก็บ
>>952 กู 950 นะ ค่าครองชีพหนักทุกประเทศนั่นแหละ และเงินเฟ้อมีทุกที่ แต่กูเป็นคนไม่ค่อยช้อปปิ้งกับเที่ยวอ่ะ อะไรที่จำเป็นก็ใช้ อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ใช้ แต่ที่ประเทศที่กูอยู่ค่าเดินทางและค่าอาหารมันถูก(ถูกกว่าไทยสำหรับกู) สวัสดิการแม่งดี ส่วนเรื่องเงินกูไม่ได้ลำบากอะไรแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนวีซ่ากูจะยื่นทำบัตรปชช.ชาวต่างชาติละ รอย้ายถิ่นฐาน //ปล.ไม่บอกประเทศอะไรแต่ไม่ใช่เอเชีย 5555
>>955 กู 950 นะ กูไม่ได้อยู่ออสฯ อยู่โซนเมกา ส่วนค่าน้ำไฟมันรวมกับค่าเช่าบ้านรายเดือนแล้ว และสาธารณูปโภคที่นี่ดีกว่าที่ไทยอีก เช่นน้ำก๊อกสะอาดจนแดกได้แบบไม่ต้องกรอง ค่าพยาบาลครอบคลุมแม้แต่ต่างชาติ ค่ารถค่าเดินทางต่างๆราคาถูก ถึงได้บอกว่ากูประหยัดหรือมีเก็บได้เพราะกูคำนวณรายจ่ายทั้งหมดแล้วซึ่งมันโอเคกับรายได้ ไม่ว่าจะค่าบ้าน(รวมน้ำ/ไฟ/แก๊สไว้สำหรับฮีทเตอร์) ค่าเดินทาง ค่ากิน และรายจ่ายอื่นๆ ต่อให้ไฟดับมันก็ไม่ได้ดับทั้งจังหวัด จะดับแค่เขตย่อยเท่านั้น และการจัดการที่นี่ค่อนข้างไว ส่วนหิมะไม่ต้องห่วง เมืองกูไม่มีหิมะแต่แค่หนาวสัสๆ แต่บางจังหวัดหิมะตก(กูอยากไปเที่ยวอยู่) กูบาลานซ์ชีวิตตัวเองมาได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้กูคงตัวแล้วมึง
รู้สึกหมดไฟในการทำงานจังวะ ตอนแรกๆที่เริ่มรู้สึกอะไม่เท่าไรแต่ตอนนี้มันเริ่มส่งผลกับการทำงานแล้ววะกูตรวจงานอะไรหลุดตลอด กูอยากทำให้มันดีนะแต่กูตั้งสมาธิกับงานไม่ได้เลย กูหลุดตลอดแล้วแม่งก็เละ แล้วกูก็ยิ่งเครียด
กุเคยอยู่มา2ประเทศ เรียนภาษาฝึกงาน และอีกที่เรียนโท ทำงานพิเศษไปด้วยทั้งคู่
ส่วนตัวเจอคนที่อยู่เมืองนอกแบบสบายๆ ฐานะจะต้องประมาณว่าบินไปกลับได้สัก2-3ครั้งใน1ปี โดยที่ไม่คิดว่ามันแพง หรือทานข้าวนอกบ้านอาทิตย์ละ3-4มื้อได้สบายๆ
นอกเหนือจากนั้นก็คือ คุมค่าใช้จ่าย ชอปปิ้ง2-3เดือนครั้ง ทานข้าวนอกบ้านอาทิตย์ละ1-2มื้อ ที่เหลือทำกินเอง เที่ยวoneday trip
เงินที่ได้มาจะไปลงกับค่าที่พักค่ากินอยู่จิปาถะ ถ้าไม่เซฟค่าใช้จ่าย พวกนั้นจะกลายเป็นค่าของสุรุ่ยสุร่ายหมด เอาจริงๆไปอยู่ตปท.ทั้งทีมันก็ต้องเที่ยวต้องใช้ชีวิตอะนะ กุก็ทำงานพิเศษเท่าไหร่ก็เก็บตัง เอาไปเที่ยว ซื้อของใช้บ้าง ในระดับไม่กระทบเงินเก็บ แต่ถ้าคนที่จะเก้บเงินได้คือของพวกนี้ต้องตัดเลย ชีวิตจะroutineมากๆ แทบไม่เจอใคร เพราะทำแต่งาน เลิกงานก็กลับบ้าน ส-อ ก็พอเที่ยวเล่นได้ ระยะแบบนั่งรถไฟไม่เกิน3ชม.
ส่วนตอนนี้ตัดภาพกลับมาที่ไทย ใช้ชีวิตแบบอยากกินบุฟก็กิน กินในห้างบ่อยๆ อยากซื้ออะไรก็ซื้อได้ ส-อ ก็ขับรถออกไปเที่ยว ไปพักบ้าง แบบอิสระในการใช้จ่าย และมีเหลือเก็บ อาจจะเพราะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าหอส่วนนึง แต่ถ้าวันทำงานอันนี้จะใช้จ่ายวันละไม่เกิน150นะ
ลืมไปอย่างอยู่นอกแล้วรู้สึกพวกเสื้อผ้าราคาไม่แพง อาจจะเพราะค่าอาหารมันแพงประมาณว่า ไม่กินข้าวตามร้าน4-6มื้อ ก็ซื้อรองเท้าระดับทั่วๆไปอย่าง nike adidas หรือพวกเสื้อzara อะไรพวกนี้ได้ละ
>>960 ตอนกูได้ทุนไปเรียนตปท. 1 ปี แค่ไปเดินสวนสาธารณะ อากาศหนาวๆ เจอวิวต่างประเทศที่เราไม่คุ้นเคย มันก็ฟินแล้วไง แต่อยู่เมืองไทยทำแบบนั้นมันไม่ฟิน 555 จะฟินต้องเที่ยวแบบใช้เงิน อยู่โน่นปั่นจักรยานสบายเพราะอากาศดี บ้านเมืองปลอดภัย อยู่ไทยขืนใช้จักรยาน คงได้ตายเพราะอากาศร้อน เพราะโดนรถชน หรือไม่ก็โดนโจรฆ่าข่มขืนตอนปั่นกลับบ้านช่วงกลางคืน ก็เลยต้องซื้อรถยนต์ ฯลฯ
ดังนั้นสำหรับกูตอนอยู่ไทยกูเลยใช้เงินเปลืองกว่าสมัยอยู่ตปท.มากๆ แต่ก็โชคดีนี่แหละที่เคยได้ทุนเต็มไปเรียน โปรไฟล์เลยดูดีหน่อย จบมาได้งานดีๆ เงินเดือนโอเคทำ ไม่งั้นคงเงินเดือนน้อย
>>961 กู958นะ บ้านกูไม่ได้รวยหรือมีฐานะอะไร แต่กูมาต่างประเทศด้วยทุนตัวเองล้วนๆเพราะตอนอยู่ไทยกูก็ทำงานเก็บเงิน ไม่ค่อยช้อปเท่าไหร่ กูมีความสุขมากกว่าเวลาเห็นตัวเองมีเงินในบัญชีเยอะๆ 555555 ถ้าจะพูดคือกูสร้างตัวด้วยตัวเองเลย เพราะพ่อแม่กูไม่ให้ทุนอะไรนอกจากการศึกษาตอนอยู่ไทย บ้านกูสอนว่าอยากได้อะไรให้ทำงานเก็บเงินเอาเองแล้วเลือกทางเดินชีวิตตัวเอง ขอแค่เป็นคนดีก็พอ ทุกอย่างกูเลยขวนขวายด้วยตัวเองหมด 🥹 อย่างมาทำงานที่ต่างประเทศนี่ก็ตัวคนเดียว บินมาคนเดียวและครั้งแรกในชีวิต(ที่มาต่างประเทศ)
เป็นเด็กจบใหม่ มี offer ให้ไปทำงานด้าน customer service ที่ฟิลิปปินส์ เงินเดือน 50k น่าไปป่ะวะ แต่ทำงานเป็นกะ มีกะปกติกับมีกะดึกจนเช้าด้วย มีอีก offer เป็นงาน sales ได้ค่าคอมมิชชั่นนิดหน่อย เงินเดือน 25k ในไทย ใช้ภาษาอิ้งล้วน เอาอันไหนดีวะ อยากได้เงินเยอะๆเพราะจะรีบเก็บมาทำธุรกิจ แต่ก็ไม่อยากเสียสุขภาพ
เพื่อนร่วมงานใส่น้ำหอมฉุนมาก เป็นกลิ่นที่ปวดหัวชิบหาย จะบอกนางยังไงดีวะว่ากูเวียนหัวกับกลิ่นน้ำหอมมึง เอาแบบคุยดีๆอย่างผู้เจริญแล้ว
>>965 ถ้าเป็นกูนะ กูจะแบ่งเป็นสองกรณี ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดูจนๆ ใช้น้ำหอมซีซีราคาถูก แบบนี้จบ กูยอมแพ้ เพราะพวกน้ำหอมราคาถูกกลิ่นมันมักจะฉุนปวดหัวทั้งนั้น แถมราคามันถูกเลยประโคมได้เต็มที่ ยกเว้นเป็นเพื่อนร่วมงานที่นิสัยดี สนิทกัน กูจะซื้อน้ำหอมแบรนด์ให้เป็นของขวัญวันเกิดไปเลย
แต่ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานรวยๆ น่าจะใช้น้ำหอมแบรนด์ ไม่ได้ประโคมเยอะ แค่ดันเลือกแบบ sillage แรงมาก กูจะชวนคุยเรื่องน้ำหอมไปเลย จะถามเลยว่าใช้กลิ่นของอะไร แบรนด์อะไร ชอบ note แนวไหน ที่แกใช้อยู่มัน sillage แรงเหมาะสำหรับไปผับนะ ถ้ามาทำงานแล้วชอบ note ประมาณนี้ ใช้อันนี้ดีกว่าแกร พร้อมกับส่งรีวิว youtube ให้ไปเลย
กูเป็นคนนึงที่เคยเลือกน้ำหอมพลาดมาก่อน เพราะสมัยอายุน้อยๆ ชอบ note แนวหนักๆ sillage แรงๆ คิดว่าน้ำหอมกูแพง ดังนั้น projection ต้องแรง performance ต้องดี ชาวบ้านต้องรับรู้ ถึงจะคุ้ม น่าจะเคยสร้างภาระให้คนรอบข้างมาเหมือนกัน 555 (เก๊าผิดไปแล้วเก๊าขอโทษ) แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้วน้า เวลาเลือกจะเลือกแบบที่ note โปร่งๆ projection แคบๆ ดมคนเดียวฟินคนเดียวพอ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่เวลามีคนเข้ามาประชิดแล้วชมว่าหอม นี่แหละคือความฟินที่แท้จริง ไม่ใช่ให้ชาวบ้านเค้าแซวเอาว่าเดินผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วกลิ่นยังอยู่
>>967 กูคิดว่าอาจจะเป็นน้ำหอมตลาดนัด ต่อให้เป็นน้ำหอมแบรนด์แต่ประโคมฉีดแบบหนึ่งชั่วโมงกลิ่นก็ยังไม่หายนี่แม่งก็เกินไปอะ เข้าห้องน้ำต่อจากนางทีไรกูปวดหัวเลย กำลังคิดหาวิธีพูดไม่ให้ขุ่นเคืองใจกันอยู่เนี่ย กูกับนางไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นด้วย น้ำหอมแม่งฉุนชิบหายจนปวดหัวเลย
แต่กูคิดว่าจะแจ้งหัวหน้าแทนละกัน ให้ไปหัวหน้าไปคุยนางน่าจะเกรงๆอยู่ ดีกว่ากูออกหน้าเองแล้วจะมองกันไม่ติด
ลืมไปว่ากูก็มีคำถามเองนี่หว่า ทำงานมาได้ปีนึงละ เริ่มไม่ไหวกับคนละจริงๆ เริ่มอยากย้ายงานชิบหายเพราะตอนนี้ในสายงานเริ่มเปิดรับคนเข้าทำงานกันเยอะมากแล้ว ปัญหาคือจะถึกทนต่อไปรอรับโบนัสที่เดิมหรือลาออกดีวะ? แล้วพักร้อนคือยังใช้ไม่หมดด้วยนี่ดิประเด็นสำคัญ 555+ ชั่งน้ำหนักไม่ถูกเลยสัส
ในที่ทำงานกูมีติดกล้องCCTVแทบทุกมุม ใครพูดไรอัดเสียงไว้หมด มีคนทำงานมีปากเสียงกัน ทีนี้หนักข้อเข้า คนแรกไปดักตบคนที่สองนอกที่ทำงานเพราะประเด็นนี้ สุดท้ายHRเรียกไปคุย แต่แจกใบเตือนใส่ทั้งเหยื่อกับคนก่อเหตุ พวกมึงว่าที่ไหนๆก็ทำกันเหรอวะ?
สวัสดี ใครทำงานวันอาทิตย์ขอเสียงหน่อยเร็ว วุ้ววว เย่ ค
ถ้าทำร้าน/โรงงาน เรื่องติดกล้องนี่เรื่องปกติเลย กันเด็กขโมยของ อู้งาน บริษัทงานออฟฟิตที่มีความคาดหวังในตัวมึงสูงปรี๊ดจะติดบ้างก็ไม่แปลก ไหงๆงานนั่งโต๊ะนี่ก็ชอบอู้กันอยู่แล้ว
เรื่องคนจ่ายเงินเดือนคอยจับตามึงทุกฝีก้าว เผลอๆเดี๋ยวแม่งกลายเป็นเทรนสำหรับบริษัทใหญ่ๆในอนาคตด้วยซ้ำ ฝั่งตะวันตกบางที่นอกจากติดกล้องแล้วยังเอา AI มาประวลผล หรือติดพวก keylogger ไปดูด้วยวันๆทำมึงทำอะไรกันบ้าง พิมพ์อะไรเกี่ยวกับงานไหม ใคร productivity ต่ำๆก็โดนคัดออก
>>972 ติดกล้อง+อัดเสียงในออฟฟิซกูว่าไม่ปกติ แต่ทะเลาะกันในที่ทำงานถึงขั้นจะไปดักตบกันก็ไม่ปกติเหมือนกันว่ะ
ไม่รู้ว่าบริษัทมึงต้องทำแบบนี้เพราะมีเคสแบบนี้มาก่อนรึเปล่า หรือทำเพื่อกันคนอู้งานอย่างเดียว
ส่วนถ้าเพิ่งเกิดเป็นเคสแรกก็ซวยไป เพราะหลังจากนี้บริษัทก็สามารถใช้เรื่องพฤติกรรมพนักงานมาเป็นข้ออ้างได้ละ
บริษัทกูติดกล้องเป็นจุดๆ ส่วนมากจะติดแค่ตรงทางเข้าออก หลักๆ คือเอาไว้กันขโมยแหละ ไม่ได้เอาไว้จับผิดพนักงาน แต่ช่วงที่มีข่าวแอมไซยาไนด์ กูอยากให้แม่งติดทั่วออฟฟิศเลยด้วยซ้ำ ยอมโดน monitor เลยเอ๊า เพราะกูกลัวโดนเพื่อนร่วมงาน (มีอยู่คนเดียวแหละทั้งบริษัท ที่เป็นโรคจิต แต่เสือกนั่งใกล้กูไปอี๊กT_T) หยอดยาพิษใส่ในแก้วน้ำตอนกูไม่อยู่โต๊ะไรงี้ 555 กูว่าถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่น่าจะต้องกลัวกล้องนะ เพราะเวลางานเราต้องทำงานอยู่แล้ว อย่างกรณีแชทในเวลางานมากไป ก็เป็นเหตุให้เลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายชดเชยยังได้เลย เคยมีฎีกาออกมาอยู่นะ
>>979 กู >>982 นะ อธิบายงี้ก่อนเลย มันมีระบบตรวจสอบแบบที่ >>978 >>975 บอกมาจริงๆ ของกูนายจ้างคนญี่ปุ่นก็เห็นว่าจ้างคนมาดูกล้องเพื่อจับผิดโดยเฉพาะเลยตั้ง10กว่าคนอ่ะ มันmonitorยันที่ว่าทำงานให้ได้ตามwork cultureที่วางไว้ไหม
>>980 มึงว่าไม่ปกติจริงเหรอวะ? มีหลายที่ที่ทำแบบนี้นะ คือกล้องมันมีไมค์บันทึกเสียงได้ในตัวอ่ะ ตามโรงแรมแม่งก็มีกล้องลักษณะนี้เหมือนกัน มึงจำมาเฟียสยามได้ไหมที่มันไปอาละวาดใส่GSAของโรงแรมละเค้ามาเอาเรื่องละ นั่นก็บันทึกเสียงได้ มันไม่ปกติยังไงวะ? กูงง ส่วนทำไมต้องติดกล้องแบบนี้ก็เพราะว่าเค้าจะไล่จับผิดไอพวกที่ทำงานไม่ตรงขั้นตอนของเค้าหรือลัดขั้นตอนเค้านั่นแหละ ซึ่งสิ่งที่กูไม่รู้คือในสามปีที่ บ. กูมาตั้งในไทยเนี่ยมันเคยมีเหตุการณ์หนักสุดแบบลงไม้ลงมือมาก่อนคาที่ทำงานไหม แล้วคาหน้ากล้องนี่จะอะไรยังไงกูไม่รู้ แต่เคสที่กูเจอคือไปดักตบนอกที่ทำงานแทนเว้ย เรื่องของเรื่องคือพฤติกรรมของไอเพื่อนร่วมงานกูคนนึงมันไม่สมควรจริงๆอ่ะ มันจะใส่คนนั้นคนนี้มาหลายรอบละ จะทำต่อหน้ากล้องด้วย กูไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่ากล้องก็จับตลอดทำไมถึงกล้าจะทำอีก แต่ที่สงสัยกว่าคือ ทะเลาะกันแล้วคนเป็นเหยื่อเสือกโดนใบเตือนด้วยนี่ถือว่าปกติเหรอวะ? หรือจริงๆHRแม่งดุลพินิจห่วยแตก? อยากหาทำโทษก็ใช้อำนาจมั่วซั่วไปหมด?
เพืาอนโม่ง เด็กจบใหม่ มีงานที่นึงเค้าเสนอเงิน 28k เป็นงานที่กูคิดว่าทำได้ เริ่มงานกลางเดือน อยู่ในขั้นตอนจะตกลงละ แล้วทีนี้มีอีกงานนึงติดต่อมา ซึ่งเค้าอยากได้กูมาก ให้เงินอยู่ประมาณ 40-50k กำลังจะสัมภาษณ์งานกัน ซึ่งเอาจริงๆ เรซูเม่กูเขียนดูดีมาก แต่จริงๆกูก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย ทำอะไรไม่เป็น555 ละสายที่สมัครกูจบด้านนี้มาก็จริงแต่ความรู้กูก็แทบไม่มี มีแต่ชื่อมหาลัย
1. กูควรเอาอันไหนดีวะ
2. ละสมมติถ้าตกลงเอางานแรกไว้ก่อน ซึ่งเริ่มกลางเดือน ละงานสองเค้ารับกูเข้าทำงานก่อนวันเริ่มทำงานของวันแรก กูไปยกเลิกงานแรกได้มั้ยวะ
>>984 มึงมั่นใจว่าทำที่สองได้ป่ะล่ะ มั่นใจว่ามีสกิลพอมั้ย เนื้องานเค้าเป็นไง ถ้าคิดว่าไม่ก็ไปเอาที่แรกดีกว่า แต่ถ้ามองว่าถึงสัมไม่ผ่าน หรือสัมผ่านแต่ไม่ผ่านโปรก็ไม่เดือดร้อนก็ไปที่สอง
2. ไม่ควร ถ้ามึงตกลงแล้วไม่ควรไปยกเลิก มันทำให้มึงดูไม่โปรอย่างแรง บางบริษัทนี่มีค่าปรับในสัญญาเลยนะ ตัดสินใจให้เด็ดขาดไปเลยก่อนที่จะไปตกลงอะไรกับใคร
>>986 ไม่เกี่ยวว่าเป็นเด็กจบใหม่หรือเด็กโข่ง to be fair ถ้ามึงมองในมุมบริษัทการที่มึงตอบตกลงเซ็นสัญญาไปแล้วเค้าก็หยุดหาคน หรืออาจจะปฎิเสธ candidate คนอื่นไปเลย บางบริษัทมีการซื้อพวกอุปกรณ์เตรียมไว้ให้พนักงานตามที่พนักงานรีเควสเลยด้วยซ้ำ ไหนจะค่า license และอื่นๆที่เค้าเตรียมรอมึงมาทำงาน แต่อยู่ๆก็มาเทเค้าก็เสียหาย เสียเวลา เสียเงิน งานบางอย่างแพลนไว้ว่าจะมีคนนี้ๆมารับช่วงต่อ อยู่ๆมาเทแพลนก็เจ๊งดิ มึงคิดว่าหาคนที่ใช่ใช้ค่าดำเนินการเท่าไหร่ล่ะ โดนปรับค่าผิดสัญญากุว่าก็เมกเซ้นว่ะ บางที่โดนเทบ่อยจนต้องเขียนระบุในสัญญาเลย คือเอาจริงมันไม่มีใครอยากได้เงินมึงหรอก แต่เค้าไม่อยากให้มึงทำเค้าเสียหาย ค่าปรับมันมีขึ้นมาเพื่อให้มึงคิดให้ดีก่อนเซ็นตะหากว่าถ้ามึงทำคนอื่นเสียหายไม่ใช่ว่าจะลอยตัวไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนะ ไม่งั้นก็จะมีคนคิดง่ายๆแบบ >>984 ไงที่ตอบตกลงแล้วจะไปยกเลิกสัญญาตอนจะเริ่มงานเพราะคิดว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอ่ะ มันไม่ใช่ว่าบริษัทนั้นไม่ดีแต่เค้าก็ต้องปกป้องตัวเองจากคนเหี้ยอ่ะ
ลองคิดกลับกันถ้าบริษัททำแบบนี้กับมึง รับมึงเข้าทำงานแล้วก่อนวันเริ่มงาน 1 วันบอกไม่เอาแล้วมึงคิดว่าไง การที่มึงตอบตกลงทำสัญญากับที่ไหนไปแล้วแปลว่ามึงต้องปฎิเสธที่อื่นไป มึงก็เสียหายเสียโอกาสนะ บริษัทเองก็เสียหายอย่างเดียวกันน่ะแหละ มันไม่มช่ว่า black listed แล้วมึงจะได้โอกาสกลับมาซะหน่อย
>>987 อันนี้กูว่าต้องตำแหน่งสำคัญแล้วล่ะ ไม่งั้นก็ต้องแบบเฉพาะทางจัดๆ วงการงานแคบ ที่มึงว่ามานี่มันคือแบบไม่ใช่จบใหม่แน่ๆอ่ะ เพราะยังไงไม่มีหรอกว่าพนักงานใหม่จะมารีเควสนั่นนี่ได้ รับคนมาทำงานต้องตัวเลือกเยอะกว่าลูกจ้างป่ะวะ ตลกสัส ส่วนคิดกลับกันของมึงว่านายจ้างเสียหายแม่งไม่เสียเยอะเท่าลูกจ้างอยู่ละ เริ่มงาน1วันแล้วไม่เอามันก็ทำได้นะ ก็คือไม่ผ่านโปรไง จะยากไรวุ่นวายวะ เบื้องบนมองว่าไม่โอเคก็บีบออกไปดิ
>>989 มึงไม่เคยเจอบริษัทที่เค้าทรีตพนักงานดีๆหรอวะ หรือบริษัทต่างชาติอ่ะ กูทำงานสายเทคมา 4 บริษัท 2 ใน 4 ให้พนักงานเลือกคอมแบบระบุรุ่นมาให้เลยด้วยซ้ำแล้วเค้าก็ไปซื้อให้ หรืออย่างน้อยๆเลยก็ให้เลือก os ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กจบใหม่รึเปล่าด้วยเพราะใครๆก็ได้เหมือนกัน ตำแหน่งก็เป็น dev ธรรมดาเนี่ยไม่ใช่ผู้บริหารหรือเฉพาะทางอะไร ตัวเลือกเค้าเยอะแต่เค้าเลือกทีละคนถ้าชอบก็เอาเลย ไม่ชอบก็ปฎิเสธเลย ไม่มีมาดองกั๊กๆ เพราะงั้นการที่บอกจะเอาแต่ไม่เอามันถึงกระทบไง เพราะเค้าจะหยุดหาใหม่ทันทีแล้ววางแผนให้มึงมาสานต่อ อยู่ๆมึงไม่มาเค้าก็หาใหม่ไม่ทันเค้าก็เดือนร้อนมั้ย
แล้วเสียหายคือเสียหาย ใครมากกว่าน้อยกว่าไม่สำคัญ คือมึงจะสื่ออะไร เพราะบริษัทเสียหายน้อยกว่าเลยปล่อยให้มันเสียหายไปดิงั้นหรอ? แล้วอะไรคือตัววัดว่าใครเสียหายมากกว่ากัน candidate เสียมากสุดคือโอกาส แต่บริษัทเสียทั้งเงินทั้งโอกาสนะ
แล้วการผิดสัญญากับไม่ผ่านโปรแม่งคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับระยะเวลาเลยสัส มาทำงาน 1 วันมีผู้บริหารอยากบีบออกก็แปลว่ามึงเหี้ยจัดไม่ก็บริษัทแม่งควายอ่ะ กว่าจะได้มาแต่ละคนแม่งสูญทั้งเงินและเวลา ไม่มีหรอกจะมาบีบออกเล่นๆ มันต้องเหี้ยสัสๆจนทำงานร่วมกันต่อไม่ได้เถอะ ขนาดกุเจอคนที่ aggressive จัดๆจนทีมเหวอแดก เค้าก็ยังได้ทำงานจนครบเวลาโปรเลยเหอะ มึงพูดแบบอยากไล่ใครออกก็ได้ ชิลๆ อันนี้เพ้อเจ้อนะ ถ้ามาทำจริงแล้วมันไม่ใช่ก็ออกได้ทันที ไม่เหมือนกับยังไม่ทำงานแต่อยู่ๆก็เปลี่ยนใจนะ
>>990 แบบมึงนี่เค้าเรียกว่า มี ปสก. ละนะ การที่เค้าทรีตมึงดีก็คงรู้ว่ามีของป้ะ อีกอย่างนึงเลยนะ ถ้า บ. มี benefitsดีจัดๆ ไปเบี้ยวเค้าแบบนั้นก็สมควรโดน กูบอกให้นะในฐานะที่มึงคงทำงานบนหอคอยงาช้างหว่ะ คนทั่วๆไปบนฐานพีระมิดเจอเงื่อนไขแบบที่คนทำงานแนวมึงเจอนะ แต่ทรีต พนง.แบบตามกม.แรงงานทั่วๆไป ไม่งั้นเข้าขั้นเหี้ยเลยก็มี กูเลยเอะใจนะว่าเจอเงื่อนไขปรับชาวบ้านเค้าก่อนทำงานนี่คือปกติหรือเปล่า ถ้านโยบายดี สวัสดิการดี อันนี้ไม่มีใครติดใจหรอก
>>992 หอคอยงาช้างอะไรของมึง กุก็แค่ dev กระจ๊อกธรรมดา บริษัทกุเด็กจบใหม่ก็ได้ benefit แบบกุจ่ะ ไม่ได้หมายความว่าถ้ามึงเป็นเด็กจบใหม่ไม่มีสิทธิเลือก มันเลือกได้ทุกคน
และใช่ บริษัทกุทรีตพนักงานทุกคนดี สวัสดิการดี กุถึงได้บอกไงว่าบางบริษัทเขียนเงื่อนไขลงหนังสือสัญญา กุอ่านเม้นมึงแล้วกุไม่เข้าใจว่ามึงติดอะไร เพราะตอนแรกกุเข้าใจว่ามึงจะโจมตีว่าบริษัทที่ปรับคือบริษัทที่ไม่ดี แต่กุก็บอกแล้วว่ามันไม่ใช่กุเลยยังงงว่ามึงกำลังจะสื่ออะไรอยู่ คือกุพยายามจะบอกว่าบริษัทดีๆที่โดนคนเหี้ยเทบ่อยๆเค้าก็เลยป้องกันตัวเองด้วยวิธีนี้เฉยๆ และการกระทำของไอ้ต้นเรื่องมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่กุไม่เข้าใจเม้นมึงว่ามึงกำลังจะสื่ออะไรเพราะเราไม่ได้เถียงกันเรื่องบริษัทของไอ้ต้นเรื่องสวัดิการมันดีหรือเปล่า ไม่ใช่หรอ งง
>>993 เออ เข้าใจทีหลังนี่ไงว่ามึงกำลังเอ่ยถึง บ. ที่นายจ้างมันทรีตลูกจ้างดีจริงๆ ถ้าชี้แจงตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์ว่าbenefitsที่เหนือชั้นกว่าที่อื่นมีไรบ้างแล้วยื่นข้อเสนอว่าถ้าเทก็เจอปรับนะ มึงไม่ได้บอกแต่แรกเนอะว่าไม่ใช่ บ. ดาดๆ เจ้าของคนจีน/ไทย แถมมันไม่ปกติกับ บ. ที่สวัสดิการธรรมดาๆมาไล่ปรับชาวบ้านเค้าไปทั่วนะ
มึง มีใครเข้าไปรายงานตัวว่างงานไม่ได้บ้างวะ กูลองเปลี่ยนจากทศเป็นคอมก็เข้าไม่ได้
เลือกคอมเลือกosเองนี่ไม่ใช่standardบ.ทั่วๆไปเหรอวะ
ถ้าจะไปล้างจานที่อเมริกาให้ร้านญาติด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว แบบนี้ถือว่าผิดกฏหมายหรือเป้นผีน้อยแบบพวกวีซ่าขาดไม่กลับไทยป่ะ?
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.