ย้าย
>>>/lounge/68/ วันศุกร์ที่หนึ่ง
>>>/lounge/216/ วันศุกร์ที่สอง
>>>/lounge/286/ วันศุกร์ที่สาม
>>>/lounge/408/ วันศุกร์ที่สี่
>>>/lounge/765/ วันศุกร์ที่ห้า
Last posted
Total of 1000 posts
ย้าย
>>>/lounge/68/ วันศุกร์ที่หนึ่ง
>>>/lounge/216/ วันศุกร์ที่สอง
>>>/lounge/286/ วันศุกร์ที่สาม
>>>/lounge/408/ วันศุกร์ที่สี่
>>>/lounge/765/ วันศุกร์ที่ห้า
ช่วงนี้กระทู้วันศุกร์เงียบๆ กระจายไปกระทู้อื่นกันหมด
หายไปไหนกันหมดละครับพวกคุณ
ทำไงถึงจะทวงเงินจากเพื่อนสนิทที่ยืมไปได้ซักทีวะ อีกสองวันจะครบปีแล้ว แม่งไม่มีวี่แวว ส่งไลน์ไปก็อ่านแต่ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ ตั้งสเตตัสลอยๆด่าก็แล้วยังไม่สน อยากจ้างชายชุดดำไปดักก็กลัวกฎหมายอีก จำนวนเงินก็หมื่นห้า กูให้จ่ายเดือนละพันก็ได้ ก็ไปคร่ำครวญกับอีกคนว่ากูใจยักษ์ใจมารขูดรีด โอย ทำไงดีวะ
กู>>7 แล้วพอกูทวงมันต่อหน้าเพื่อนกู เพื่อนกูก็เสือกโมโหกูที่กูไปเซ้าซี้มันให้คืนเงิน เพื่อนกูบอกเดี๋ยวแม่งก็คืนอย่าไปเซ้าซี้มันได้ปะ ดูเหมือนกูเป็นตัวร้ายเลยไอ้เหี้ย กูอยากลองยืมเงินอีปากดีนี่แล้วหายหน้าหายตา ไลน์อ่านแต่ไม่ตอบ นานๆจะโผล่หน้ามาให้เห็น พอเจอหน้าตอนทวงก็ทำเป็นไม่ได้ยินหยิบหนังสือมาอ่าน เหี้ยไหม??แล้วไม่ให้กูเซ้าซี้ได้ไง? ขนาดเซ้าซี้ขนาดนี้ยังไม่คืน ด้านป่ะล่ะ
จำนวนเงินไม่เยอะเท่า>>4 หรอกแต่มันเจ็บใจว่ะ กูยอมบริจาคเงินให้วัด/มูลนิธิดีกว่ามาเสียให้คนเหี้ยๆแบบนี้ฟรีๆว่ะ ถึงเพื่อนกูอีกคนจะปลอบใจว่าทำทานไปอย่าคิดมากเลย แต่กูรู้สึกแย่ที่ต้องทำทานกับคนเห็นแก่ได้แบบนี้ว่ะเงินมันก็มีแต่ไม่คืนกูคืออะไร?เป็นหมอที่เห็นแก่ได้มาก เก่งแต่เหี้ย กูยอมคบคนโง่แต่ไม่เหี้ยเหมือนมันดีกว่า
มึงมีเพื่อนเหี้ยนะ ตอนบ้านกูชิบหายกูก็ยืมเพื่อนนะ กูก็ผ่อนคืนเรื่อยๆตลอด
อย่าเหมาว่าคนเป็นเพื่อน ยืมกันแล้วมันจะไม่คืนสิวะ คิดแบบพวกมึง ยอดนักยืมอย่างกูก็ชิบหายสิ
อ่านพวกมึงแล้วนึกถึงมีคนที่ทำงาน ริจะก้าวหน้าทางลัด
ไปเป็นคนปล่อนเงินกู้นอกระบบ โดยไปกู้เอาเงินมาปล่อยอีกต่อเป็นแสนดอกเท่าไหรกูไม่อยากฟัง (คิดได้ไงวะ)
ผลเรอะเจ๊งสนิท ทวงเงินไม่ได้ต้องไปยืมเงินคนโน้นคนนี้คนทำงานข้างๆ หลักพันหลักหมื่น ไปจ่ายหนี้ อ้างว่าเอาไปลงทุน จนต้องไปกู้ที่อื่นมาจ่ายดอกอีก
สุดท้ายก็ไม่มาทำงานหายไปดื้อๆย้ายบ้านเลยทีเดียว ไอ้เพื่อนที่พลาดให้ยืมเงินเพราะเห็นว่ารู้จักกันเป็นปี เฟลหี้ยกันหมด มีเจ้าหนี้อ้วนๆหัวโล้นตามมาทวงหนี้ถึงที่ทำงานด้วย แต่หนีหายไปนานแล้วเว้ย
เพื่อนโม่งช่วยแนะนำที่เรียนภาษาอังกฤษให้หน่อยครับ เน้นฟังและสื่อสาร ราคาต่อคอร์สไม่เกิน5000
เวลาเรียนว่างแค่หลัง6โมงเย็น และวันอาทิตย์ นอกเหนือจากนั้นทำงานหมด
ปัจจุบันทำงานแล้วแต่รู้สึกตัวเองตัน เลยอยากพัฒนาภาษาเพิ่มน่ะครับ
>>10 ไอ้แบบมึงนี่กูบอกเลยว่าส่วนน้อยเหี้ยๆ
คนที่ยืมตังเพื่อนอะถ้ามันวัตถุประสงค์มาจาก ลืมเอาตังมาหรือช๊อตเพราะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่มีอยู่แล้วในขณะนั้นได้ กรณีแบบนี้อะได้คืนแน่ๆ คือพวกนี้จะเป็นพวกมีตังอยู่แล้วแต่ยืมเพราะจำเป็นต้องใช้ตอนนั้น ไม่นานมันก็คืน
แต่ไอ้พวกที่มายืมเพราะตังไม่มี คือฐานะการเงินแย่เนี่ย มึงต้องใช้หลักการให้กู้มาดูเลย คือ
1.ดูวัตถุประสงค์การเอาตังไปใช้ว่าสร้างสรรค์รึเปล่า ถ้าเอาไปลงอ่างลงขวด การพนัน ใช้สุรุ่ยสุร่าย นี่ชิบหายแน่นอน ไม่ได้คืนชัวร์
2.ความสามารถในการหาเงินมาคืน ดูว่ามันมีปัญญาหามาคืนไหม ถ้ามันจนชิบหาย+มีหนี้รุงรัง จงทำใจไว้ว่าไม่ได้คืนหรือได้คืนก็ลูกมึงโต
3.อันนี้สำคัญสุด คือจิตสำนึกรับผิดชอบหนี้/ความตั้งใจคืน ซึ่งบางส่วนดูได้จากข้อ1. และพฤติกรรมลักษณนิสัยซึ่งต้องวิเคราะห์เอาเอง อันนี้ถ้าไม่มี มึงให้มันยืมไปเรื่องอะไรก็ทำใจไว้ว่าเหมือนทำตังหาย ไม่ได้คืนแน่ๆ มันมีตังมันก็ไม่คืนมึง
พ่อแม่กู รับราชการกรมพัฒนาชุมชนในกระทรวงมหาดไทย ตอนนี้กำลังตั้งความหวังกับกูมากในการสอบปลัด 2558 แต่กูคงทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังอีกรอบหลังจากปีที่แล้วกูตั้งใจสอบไม่ผ่านกรมพัฒนาชุมชน คือตอนนี้กูยังพอใจกับงานที่ทำอยู่ยังไม่อยากย้ายไปไหน และกูก็ไม่ชอบการถูกสั่งให้เป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ด้วย
คน Gen X ไม่ชอบคน Gen Y นักเหรอวะ เห็นชอบพูดๆกันว่า Gen Y ทำงานไม่ทน ไม่ได้เรื่อง
>>16 เป็นความเชื่อของสังคมไทย มึงอย่าเหมารวม
การเชื่อว่าคนรุ่นเด็กกว่านั้นด้อยกว่า มีแต่ในสังคมที่ยึดความเชื่อเกี่ยวกับหลักอาวุโส/ผู้ใหญ่ ต้องมาก่อนเท่านั้น สังคมอื่นๆที่มุ่งเน้นความสำเร็จขององค์กรจะให้ความสำคัญกับ gen ใหม่มากกว่าเพราะยังไงไอ้พวกแก่ๆก็มีอายุงานน้อยกว่าพวกใหม่ๆ แก่ๆที่อยู่ได้มีแค่พวกเก่งๆระดับผู้นำที่มีทั้งประสบการณ์และความสามารถก็พอ ไม่เหมือนพวกค่านิยมอาวุโสที่เน้นพวกๆแก่ๆไว้ก่อน มันจะโง่แค่ไหนความสามารถต่ำยังไงก็ต้องเอาไว้อายุต้องมาก่อน
จริงๆมันเป็นเรื่องสำคัญของระบบ HR คือการส่งเสริมคนที่พร้อม ประสบการณ์ก็ส่วนนึงที่สำคัญแต่ไม่จำเป็นว่าต้องเอามาเป็นสรณะว่าต้องสำคัญที่สุด แต่ระบบองค์กรไทยโดยเฉพาะแวดวงข้าราชการ-ทหาร เรื่องนี้แม่งสำคัญสุดสมบัติต้องผลัดกันชม พวกตำแหน่งสูงจึงมีแต่พวกแก่ๆซะเยอะ
เงินเดือนเพิ่มแค่ 6% ทั้ง ๆ ที่ความสามารถเยอะกว่านั้นอีก เฮ้อ
ลาออกสิ
กุเกลียดคำว่า "ชีวิตดี๊ดี" ว่ะ
ไม่เคยทำงานมาก่อนเลย จะเริ่มทำจากอะไรดีครับ
เคยแต่ช่วยงานที่บ้าน แล้วปิดเทอมนี้ว่าจะหางานนอกทำ
>>27 ถ้าอยากทำงานเฉยๆ เอาประสบการณ์ ไม่แคร์ค่าจ้างก็ไปของานทำฟรีๆเอาครับ สมัยวัยรุ่นผมทำบ่อย ตามร้านเครื่องไฟฟ้าหรือพวกร้านขายส่ง ถ้าทำงานขยันๆแล้วเจ้าของเขาใจดีเดี๋ยวก็ได้เงินครับ(แต่อย่าเพิ่งหวัง) แต่ถ้าตั้งใจจะทำเพื่อเก็บเงินนี่แนะนำไม่ได้ครับ ไม่มีประสบการณ์
พรุ่งนี้วันหยุด คร่อก
เห้อเพื่อนโม่งกูเซ็งเด็กจังว่ะ เซ็งคะแนนมันด้วย กูเพิ่งได้มาเป็นครูแล้วเด็กในห้องกูแม่งโครตดื้อเลย ให้ทำงานก็ไม่ทำ ทำส่งๆมา บางทีชอบให้เพื่อนทำให้ แล้วคือมันมีเด็กคนนึงฝีมือกากแต่เป็นคนขยันทำงานครบทำอย่างตั้งใจแต่งานไม่ดีไงกูก็ให้ได้ตามสภาพแล้วไปบวกจิตพิสัยเอา แต่เด็กอีกคนไม่ยอมทำงานเองชอบใช้เพื่อนให้ทำให้ กูห้ามแล้วมันก็จะแอบเอาให้เพื่อนทำให้อีก กูก็ไม่รู้ว่างานไหนมันทำเองบ้างเพราะฝีมือมันก็ไม่ได้แย่มาก บางทีก็ไม่ยอมส่งงานกูต้องมาตามทวงก็ทำไม่สนใจแล้วก็ให้เพื่อนทำงานให้อีกงานแม่งก็จะออกมาสวยคะแนนดี กูก็ไม่ให้จิตพิสัยมัน แล้วพอสุดท้ายกูมาบวกๆคะแนนดู แม่งไอคนขยันเสือกได้คะแนนน้อยกว่าคนที่ใช้เพื่อนทำงาน กูรู้สึกว่าทำไมงี้วะทำไมคนพยายามด้วยตัวเองถึงแพ้คนที่ใช้คนอื่น กูนี่รู้สึกผิดมากไม่อยากให้คะแนนคนขยันน้อยกว่าเลยว่ะ แต่จะไปตัเคะแนนไอคนที่ใช้เพื่อนก็ไม่ได้เพราะก็ไม่รู้ว่าอันไหนของมันเองอันไหนเพื่อนทำ แม้งงงง
>>33 คะแนนมันก็ไม่ได้วัดที่ความพยายามนี่หว่า ครูโม่งมึงแค่ต้องคุยกับไอเด็กดีให้รู้เรื่องและให้พยายามต่อไป ซักวันผลมันจะออกมาเอง
กูตอนนี้เป็นนศ. ตอนเด็กๆก็ทำตัวส้นตีน ลอกงาน ก็อปงานส่งมาตลอด งานที่ทำเองก็เสือกดีด้วย เรียนก็เก่งแบบไม่ต้องพยายาม คะแนนกุสูงมากมาตลอด พอมาตอนนี้เริ่มโตขึ้นอีกสเต็ป ไอพวกเด็กกลางๆที่คะแนนน้อยกว่ากูแต่มีความพยายามแม่งแซงหน้ากูไปกันหมดละ ส่วนกุติดเอฟซ้ำชั้น แฮ่
>>33 มึงคิดมากไป โลกเรามันก็แบบนี้ล่ะ
ถ้าวันนึงมึงเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง มีเซลล์คนหนึ่งขยันมากออกไปพยายามขายของทุกวัน แต่ขายแทบไม่ได้ ยอดขายไม่มี
อีกคนขี้เกียจมาก วัน ๆ ไม่ทำอะไรเลย เอาของไปฝากคนอื่นขาย ไม่รู้มันทำยังไงแต่คนอื่นก็ยอมช่วยมันขาย ยอดขายสูงกว่าคนแรกเยอะ
คนไหนสมควรได้เงินมากกว่า?
กูกำลังจะลาออก แต่อยู่ดีๆหัวหน้ามายื่นข้อเสนอไปดูงานต่างประเทศมาให้ แลกกับกูกลับมาแล้วต้องอยู่ต่อเพื่อกระจายความรู้ที่ได้มา
สรุปกว่าจะได้ออกน่าจะประมาณปลายเดือน 6-7 นู่นเลย รู้สึกสับสนชีวิตจังเลยว่ะ
ขยันแต่ไม่มีผลงานก็ไร้ค่า คนพวกนี้ชีวิตจริงควรออกไปทำงานใช้แรงงาน เพราะส่วนใหญ๋ให้ค่าแรงตามความขยัน
ถ้าคิดว่าไม่ยุติธรรม ก็ออกไปหางานที่อื่นซะ
ถ้าเป็นตอนทำงานมึงจะเจอแบบนี้แทน มึงเป็นครู คนไหนมึงแนะได้สอนได้ก็ทำไปเถอะ อย่าให้มันเสียเด็กเพราะคะแนนเลย
>>33 มึงต้องแยกก่อนว่า ผลงานของนักเรียนก็เรื่องนึง พฤติกรรมของนักเรียนก็เรื่องนึง
การที่มึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่างานมันทำเองหรือเปล่า เป็นความอ่อนหัดของมึง
ซึ่งบางทีไอ้เด็กที่คะแนนดี มันอาจจะทำเองจริงๆก็ได้ ส่วนเด็กที่คะแนนไม่ดี มันทำงาน
ออกมาไม่ดีจริงๆ ซึ่งความพยายามมันไม่เกี่ยวกับผลงานที่ออกมา ส่วนที่มึงสามารถช่วยได้
ก็อยู่ที่คะแนนจิตพิสัย ขอบเขตของมึงอยู่ตรงนั้น
ที่สำคัญคือคะแนนที่ออกมาไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเพียงอย่างเดียว
>>33 มึงรู้ได้ยังไงว่าคนนึงทำเอง อีกคนไม่ได้ทำเอง
คนที่มึงบอกว่าขยันอาจจะให้คุณปู่ที่บ้านช่วยทำให้ก็ได้ งานเลยออกมาไม่ดี
แล้วคนที่มึงบอกว่ามันให้คนอื่นทำให้มึงมีหลักฐานหรือมึงมโนเอาเองเพราะเห็นว่ามันไม่ค่อยขยัน?
ถ้ามึงมโนเอาเองก็เลิกนิสัยแบบนั้นซะ แต่ถ้ามึงมีหลักฐานมึงจะไม่ให้คะแนนมัน หักคะแนนมัน หรือปรับมันตกก็ได้อยู่แล้ว
กูด่าอีป้าหน้าเหี้ยที่กรมขนส่งในมู้นี้ได้มะ อีดอกแม่งเป็นเหี้ยไรมากนักวะ กูฟังที่มึงพูดไม่รู้เรื่องมึงทำไมต้องเหวี่ยงวะ อีดอก แม่งมีการมองหน้าด้วยสายตาดูถูก นั่งมองหน้าพักนึงเลยนะ มีเอียงคอถอนหายใจด้วยจ้า แล้วก็ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ แบบเหมือนกูเป็นอีโง่มาก นี่มันเพิ่งกี่โมงเองทำงานแป๊บเดียวมึงก็เหวี่ยงแล้ว ก็กูไม่เคยมา ไม่เคยต่อใบขับขี่ กูไม่รู้กูฟังไม่รู้เรื่อง กูถาม แล้วกูผิดไงไม่ให้ถามมึงแล้วจะถามใคร หมาหน้าเซเว่นหรออีดอก ถ้ามึงเหนื่อยนักก็กลับไปนอนเลียตีนหมาที่บ้านนู่น ควย ไม่ได้ทำงานฟรีซะหน่อย กูอยากร้องเรียนได้ที่ไหนมั่งวะ กูรู้นะว่าเรื่องเล็กแต่กูเกลียดกิริยาทรามๆที่พวกนี้แม่งแสดงใส่จริง กูไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะ ควยๆๆๆๆๆๆ
วันศุกร์แล้วว้อยเพื่อนโม่งง
โคตรเบื่อพวกที่ทำงานที่ชอบมาขายของแดกแล้วยัดเยียดให้ชิมจังวะ
กูบอกว่าไม่แดก ไม่แดก พอไม่แดกก็โกรธ เป็นเหี้ยไรมากปะวะ
แล้วทำขาย เสือกไม่อร่อยอีกห่า เสียดายปากกูที่แดกเข้าไปจัง
ตอนนี้ก็นั่งผะอืดผะอมกับขนมใส่สารสังเคราะห์ของแม่ง เหี้ยเอ๊ย
อยากมีฐานะมั่นคง อยากเลี้ยงเด็กให้เติบโต
>>47 ตอนนี้กูเบญจเพศและ เรื่องแฟนหรือแต่งงานกูเลิกหวังแล้วว่ะ แต่ก็คิดว่าถ้าทำงานสร้างตัวมีเงินเก็บมากๆ กูคงหาเด็กมาอุปการะ คือกูก็คิดนะว่าถ้าพ่อแม่กูตายทั้งชีวิตกูก็คงไม่มีใครอีกแล้ว ไม่มีภาระ เหมือนจะสบายกับชีวิตคนโสดแต่พอ 40ขึ้นเมื่อไร กูกลัวการอยู่คนเดียว ก็คิดไว้ว่าถึงตอนนั้นจะหาอะไรทำ การมีลูก(บุญธรรม)น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี กูไม่เหงา เด็กก็มีอนาคตที่ดี
ผู้ชายน่ะ แต่งเมียตอน40ยังได้
กูอยากได้เก้าอี้นั่งทำงาน/เล่นเกม ตัวใหม่ว่ะ รู้สึกว่ากูปวดกล้ามเนื้อชิบหาย เพราะกูนั่งเก้าอี้โต๊ะจีนทำงาน/เล่นเกม อยู่ มีตัวไหนแนะนำไหมวะ งบสัก 10k กูก็อยากได้ aeron นะ แต่ราคามันออกอวกาศสำหรับกูเกินไป
แปะมาจากอีกกระทู้ มีคนให้ย้ายมานี่
อยู่ดีๆจะกดซื้อของออนไลน์แม่งบอกว่าตัดเงินผ่านบัตรเครดิตไม่ได้ ตอนนี้กูกำลังกลัวว่าลืมจ่ายเงินรึเปล่า
ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าลืมจ่ายจริงๆจะโดนดอกเบี้ยมหาโหดขนาดไหน กูโคตรกลัวเลย โทรไปหาธนาคารคอลเซ็นเตอร์แม่งก็ไม่รับสาย แง
กูลองไปคุ้ยๆดูในกองจดหมายจะทิ้งปรากฏว่าไม่ได้จ่ายจริงๆด้วยว่ะ ไม่รู้ทำไมพ่อแม่กูเอาใบเรียกเก็บตังไปโยนไว้ในกองจดหมายจะทิ้ง แล้วกูก็ดันไม่ได้จำว่าเมื่อไหร่ต้องจ่ายแต่ใช้วิธีรอจดหมายเอา
ตอนนี้เลยกำหนดมาได้ 10 วันแล้ว ไอ้ดอกเบี้ยคงไม่เยอะหรอก แต่กลัวเครดิตเสียว่ากูเคยไม่จ่ายตังกับเสียดายที่ไปจ่ายพรุ่งนี้เช้าก็ซื้อของลดราคาไม่ทันแล้ว แม่งเอ๊ย
เครียดว่ะ
ขอกำลังใจเพื่อนๆโม่งหน่อย กูกำลังจะได้งานใหม่ที่อัพเงินเดือนเยอะ แต่จะเกิดสูญญากาศไม่มีเงินไป1เดือนและกูไม่มีตังเก็บ
เอาใจช่วยให้กูเอาชีวิตรอดเมษานี้ด้วยกันนะ ;_; 7
มึงไม่มีบ้านไม่มีเพื่อนสนิทขอกู้ให้มึงรอดซะเดือนเหรอฟะ
ทำบัตร credit เป็นหนี้ไปก่อนใช้น้อยๆ ดูดอกเบี้ยด้วยล่ะเดี๋ยวตอนคืนจะจุก
อืม กำลังหางานที่ใหม่ แต่อีกใจนึงไม่อยากออก
เพราะกลัวไม่พ้นโปร ถึงตอนนั้นก็ไม่มีหน้ากลับไปทำที่เก่าแล้ว
ติดแค่ใจไม่กล้าพอเนี่ยแหละ
หมดงานวันศุกร์ไปอีกอาทิตย์แล้วว่ะ
เลยกำหนดมากเกินก็ไม่ดี นอกจากเสียเครดิต มันส่งผลต่อนิสัยการจ่ายค่าบัตรมึง ประเภทผลัดๆไปแล้วลืม อันตรายมาก อย่างกูเนี่ย ไปจัดการค่าใช้จ่ายอื่น จนเลยกำหนดชำระที่ยอมได้ (กูจำไม่ได้บัตรกูให้กี่เดือน 3 มั้ง) ส่งไปรษณียบัตรเนื้อความตรงๆว่ามึงติดหนี้ใช้กูซะไอ้สัสเด๋วฟ้องเรย คนในบ้านกูแม่งรู้กันถ้วนหน้า
เน้นว่า ส่งแบบโปสการ์ดอ่ะนะ ข้อความก็โชว์หรา
ส่วนอิออน เป็นบัตรที่กูเกลียดชี้หน้าตอนแม่งทวงที่สุด อีพนักงานทวงหนี้ตามโทรศัพท์พูดจากวนตีนชิบ
ตอนนี้กูปิดบัตรไปหมดละ อา โล่งตรูด
>>67 3เดือน คือมันเข้าสถานะ npl แล้วไม่มีสถาบันการเงินที่ไหนยอมให้มึงค้างนานกว่านี้หรอก เพราะบัญชีลูกหนี้ของมึงจะกลายเป็นบัญชีค่าใช้จ่ายเขา ดังนั้นมันเรื่องปกติอยู่แล้ว กูก็ทำงานสถาบันการเงิน พวกที่คิดว่าไม่เป็นไรค่อยจ่ายแล้วผลัดไปเรื่อยๆ อย่างย่ามใจรู้ไว้ซะว่าทั้งดอกทั้งต้นทางบัญชีของมึงมันจะเป็นลบในรายงานการเงินเขาเป็นภาระเขาเวลาจ่ายก็จงไปจ่ายไม่มีก็ไปชำระขั้นต่ำอย่าปล่อยคนอื่นเขาลำบากไม่ใช่ว่ากูมีจ่ายค่อยจ่าย ถ้าจะทำแบบนี้ก็จงอย่าไปใช้บริการสินเชื่อคนอื่นจะได้ไม่ลำบาก
กูเบื่องานที่ทำงานเลยตอนนี้ กู้รู้สึกหมดแรงจะไปทำว่ะมันไม่มีแรงจูงใจ
เงินเดือนได้มากูก็โดนบรรดาญาติยืมหรือคนรู้จักยืม
กูไม่เคยได้ซื้อความสุขของตัวเองว่ะ เหมือนทำมาเหนื่อยแทบตายห่าไม่ได้อะไรเลย
บางทีกูก็เบื่ออยากไปให้พ้นๆจากจุดนี้
>>71 กุคือ>>70 นะ ตังค์มันก็ตังค์มึงว่ะ ที่ยืมไปคืนรึยัง ถ้าโดนยืมแม่งทุกเดือนปีนึงสิบสองครั้งไม่เคยคืน กุว่าไม่ใช่แล้วไหมมึง คนยืมมันก็ยืมได้ แต่คนยื่นเงินให้คือมึงนะ หัดหาความสุขใส่ตัวบ้าง แล้วมึงให้คนอื่นยืมแบบนี้มึงมีเงินเก็บไว้สำหรับตัวเองตอนแก่รึยัง มึงว่าคนที่ยืมเงินมึงไป พอแก่แล้วเขาจะช่วยดูแลมึงเหรอ ยอมให้เขาด่าเห็นแก่ตัว ดีกว่าเป็นคนดีที่ถูกทิ้งไหมมึง
ยืมแล้วมีคืนมั้ยวะ ถ้าไม่คืนกูก็เสียใจด้วย จนปัญญหาจริงๆ
แต่ถ้ามีคืน พอได้คืนมามันก็เหมือนโบนัส มึงก็เอาไปถลุงในสิ่งที่มึงชอบซะให้หายอยาก
ถ้ายืมแล้วมันไม่คืน มึงจะให้มันยืมอีกทำไมวะเสียสุขภาพจิตปล่าวๆ บอกไปเลยเดือนนี้กูจะเอาเงินไปใช้ที่อื่นไม่มีให้เว้ย
เวลามันมายืมอีกก็ ทวงเงินงวดก่อนแอบบวกดอกเบี้ยเองแม่งเลย
ซารารีมังของถามหน่อยถ้ากูไปสัมภาษณ์งานมาถ้าสมมติได้งานเค้าจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะติดต่อมาว่ากูได้งานแล้ววะ บอกในวันนั้นเลยหรือปล่อยยาวแล้วค่อยบอกหรือถ้ากูไม่ได้งานเค้าจะมีแจ้งมามั้งหรือปล่อยเบลอเลย
ก็แล้วแต่ที่ว่ะ บางทีมันเป็นล๊อทๆ สัมภาษณ์เซ็ทนึงอาทิตย์สองอาทิตย์แล้วค่อยเลือก
บางที่แม่งก็เลือกเลย จริงๆถ้ามีโอกาสก็ควรจะถามกรอบเวลาตั้งแต่ตอนนั้น
เพราะบ.ไทยเวลาไม่เอามันไม่ค่อยแจ้งเค้าหรอก เอาสักอาทิตย์นึงถ้าไม่แจ้งมาค่อยโทรไปถามละกัน
อีกเดือนสองเดือนกูมีสอบราชการ เมื่อก่อนกูเคยนึกนะว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่กูโชคดี ยุคก่อนๆคนเรียนจบ ป.ตรี น้อย อัตราแข่งขันไม่สูงเหมือนสมัยนี้ เปิดแค่ไม่กี่สิบตำแหน่งคนแห่มาสอบกันหลักหมื่น แต่บ่นไปก็เท่านั้น เพื่อนในรุ่นกูบางคนสอบตำรวจได้ที่สอง กูเองก็คงต้องพยายามเหมือนกัน
ซารารีมังทั้งหลายช่วยกูที กูมีบริษัทนึงที่ใฝ่ฝันอยากทำงานด้วยอยุ่ตอนไปสัมภาษณ์กูทำได้ไม่ดีเท่าไรแต่ว่าผลมันยังไม่ออกซึ่งกู็ยังมีหวังอยู่บ้าง แต่ไม่นานมานี้กูได้งานของอีกบริษัทนึงกูยังไม่ได้ตกลงเพรสะกูอยากรอผลของบริษัทในฝันกูก่อน แต่คือกว่าผลมันจะออกมันนานอ่ะแล้วตำแหน่งที่กูสมัครมันมีคนสัมครเยอะด้วย คิอเปอร์เซ็นที่จะได้ต่ำสัสแต่กูอยากทำงานที่นี่ไง กูจะเอาไงดีวะ ถ้าผลออกมาไม่ำด้ก็ซวยสัส หมดกันทังสองทีเพราะกูคิดไม่ออกว่าจะให้บริษัทที่รับกูแล้วรอกูต่อได้ไง มันไม่ดีด้วย แต่ถ้าผลออกมาแล้วกูได้บริษัทในฝันแต่กูดันไปตอบตกลงอีกบริษัทแล้วกูต้องเสียใจมากแน่ๆ ไม่ใช่เพราะบริษัทที่รับกูไม่ดีนะแต่กูอยากทำงานกับบริษัทที่ฝันไว้มากกว่าคือชอบมานานหลายปีแล้วรอโอกาสอยู่เนี่ย แต่กว่าผลจะออกก็อีกนานแถมคู่แข่งก็มาก เอาไงดีวะ
>>85 กูเคยเจอท่าเดียวกับมึงเลยหว่ะ กูบอกบริษัทในฝันกูไปตรงๆนะว่าตอนนี้มีบริษัทอื่นมาเสนองานให้แล้ว แต่ยังไงก็อยากจะได้รู้คำตอบของทางนี้ก่อน ทางนั่นเค้าก็ดีนะ บอกมาว่าจะให้คำตอบได้ภายในวันไหน กูเลยโทรไปยื้อของอีกที่ (เชื่อกู ถ้าอีกบริษัทอยากรับมึงจริงๆ ยังไงก็รอได้) ผลออกมากูได้บริษัทในฝัน เลยปฏิเสธอีกที่ไป แต่ตอนนั่นกูโดนดองรอเริ่มงานนานบัดซบมาก ไปเริ่มอีกบริษัทนึงก่อนแล้วค่อยออกมายังไม่เกลียดเลย ตอนนี้กลับมานั่งคิดแล้วก็เสียดาย น่าจะไปทำอีกบริษัทก่อนสักพักไปเก็บโปรไฟล์ ไปรู้จักคนสร้างคอนเนคชั่น
ประเด็นคือโทรไปถามซะนะมึง ถามด้วยว่ามีสัมภาษณ์/ประเมินอะไรหลังจากนี้อีกไหม เหรอว่านี่คือรอบสุดท้าย? ถ้าไม่ใช่กูแนะนำให้ทำกับอีกที่ไปก่อน
ไม่มีเพื่อนที่ทำงานเลย แต่จะไปคุยกับเขาก็รู้สึกกระดากว่ะ เขามีกันเป็นกลุ่มจะคิดว่าเราไปตีซี้เป็นเหาฉลามอะไรแบบนี้ป่าววะ
ช่วงนี้ร่อนเรซูเม่ แล้วมีบริษัทที่มีชื่อเสีย(ง)ไปในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไรติดต่อมา
ใจนึงก็อยากลองย้ายงานดู อีกใจก็ไม่อยาก กูควรลองไปสัมภาษณ์ดีมั้ยวะ
กูเพิ่งโดนเลย์ออฟว่ะด้วยความผิดของตัวเอง กูนี่รู้สึกผิดซ้ำแล้วซำอีกกูไม่น่าเลย แย่จริงๆ กูจะบอกที่บ้านยังไงดี
กูยังไม่ได้ทำงานนะ กึ่งๆทำโปรจบ
พี่ที่อยู่แลปเดียวกันเหี้ยมาก ใช้กูทำทุกสิ่งอัน
สมมติยกตัวอย่างว่า มันใช้เติมน้ำ ซึ่งกูทำงาน(ที่มันสั่งอยู่ทางนู้น) แล้วเหี้ยนี่อยู่หน้าตู้กดน้ำ มันยังใช้กูเลย
ส่วนใหญ่ก็สั่งให้กูทำงานในโปรเจกมัน โดยโปรเจกกูนี่สำคัญอันดับสอง ต้องทำทีหลังมันทุกที บางทีต้องทำของมัน6ชั่วโมง ของกูทำแค่2ชั่วโมงต้องทีหลัง แล้วอ้างว่ากูต้องเรียนรู้
กูอยากหือนะ แต่กลัวสังคมว่ะ เป็นเด็กใหม่ เทอมแรกที่กูทำงานของกู(ทำแล้วกลับเลยทำเสร็จแล้วจะอยู่เหี้ยให้เปลืองแอร์ทำไมล่ะ) มันก็บอกกูไม่ค่อยเข้า เกรดเลยแดกCไป ถามเพื่อนเพื่อนก็ไม่เป็นแบบนี้ โซแซด Cคนเดียวในคณะมั้งเหี้ย
วันนี้กูก็บอกว่ากูไม่ทำ อยู่ใกล้ๆก็ทำไปสิ ว่ากูไม่มีน้ำใจอีก กูมาเรียนรู้ไม่ใช่คนใช้ เกลียดแม่งมากๆ
พวกมึงเวลาเจองี้ทำไงกันวะ ทำแล้วได้เงินก็ไม่ใช่ กูกลัวสังคมอย่างเดียวเลยเนี่ย
กูเป็นโม่งที่จบสายสังคมฯมา แต่ทำงานไม่ตรงสาย คิดว่าจะลาออกปลายปี แล้วไปสอบพวกภาษาเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้HR
เดือนพฤษภามีสอบราชการสองที่แต่ไม่หวังมาก เปิดร้อยสมัครหมื่น ไอ้ห่า แต่ก็อยากพยายามให้ถึงที่สุดก่อนจะยอมแพ้แล้วทำงานกับเอกชนไปยาวๆ
กูเป็นครูชั่วคราวหว่ะ ปรี๊ดเด็กกลุ่มนึงที่สอนอยู่ชิบหาย วันนี้คืออยากตบโต๊ะปึ้งกลางห้องแล้วเดินออกมาเลยมาก โอ๊ยอิเด็กเปรตกูเกลียด
>>95-96 กู >>94 เองนะครับ อันนี้ที่โรงเรียนกวดวิชาที่มีนโยบาย นักเรียนคือลูกค้า ลูกค้าคือพระเจ้า ดังนั้นนักเรียนคือพระเจ้า ต้องทำให้ตัวเองเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ห้ามเหวี่ยงห้ามนอยด์ ห้ามทำอะไรก็ตามที่จะเป็นการกระทบกระเทือนความรู้สึกพระเจ้า เพื่อที่แหล่งเงินทองจะได้ไม่หายไปไหน ที่โรงเรียนกูเคยเจอนักเรียนเหี้ยๆมาเยอะนะ แต่มันไม่มีนโยบายเหี้ยนี่ไง เด็กเหี้ยมาก็เจอกูเล่นดิวะ มาเจองี้กูเก็บกดสัส
ซาลารี่มังทุกท่าน มีวิธีแก้อาการตื่นเต้นก่อนสัมภาษณ์งานกันยังไงบ้าง แนะนำทีๆๆ
>>99 ทำตัวชิวๆ คิดในใจว่า "กูก็ไม่ได้อยากเข้าที่นี่หรอกนะสัด ที่อื่นมีเยอะแยะ" จะทำให้ไม่ประหม่าและตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติ
กูแนะนำไว้นิดนะสำหรับพวกจบใหม่ เวลาให้แนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษนี่แม่งบางทีอย่างท่องมาเลย บางอย่างไม่ต้องพูดก็ตัดๆ ไปบ้างก็ได้
พ่อชื่อไรแม่ชื่อไรทำงานที่ไหน งานอดิเรกอะไรเนี่ย บางทีแม่งก็ไม่จำเป็นต้องรู้ป่ะ
ทำไมกูรำคาญเพื่อนร่วมงานผู้หญิงบางคนที่ชอบโวยวายจังวะ บางทีกุแค่ถามเรื่องธรรมดาแม่งเหวี่ยงกลับแบบไม่มีเหตุผล ไม่รู้ว่าแม่งเป็นอะไร เมนส์มาหรือยังไง จากที่กูอารมณ์ดีพาลอารมณ์เสียไปด้วย ตำหนิก็ไม่ได้เพราะแม่งเป็นศูนย์กลางจักรวาล แม้แต่ผู้จัดการยังต้องหมุนรอบตัวมันเลย กุละเบื่อ
เวลามีงานละครของโรงเรียนหรือกิจกรรมที่ต้องออกมาแสดงหน้าชั้น กูทำแบบขอไปทีว่ะ บางอันก็แย่
แต่ชีวิตกูที่กูคิดว่าแสดงได้ดีที่สุดคือตอนสัมภาษณ์งาน 5555 ก็ไม่ถึงกับตอแหล แค่เตรียมบทไปก่อน
แล้วพอสัมภาษณ์จริงก็ใส่อารมณ์ระดับออสก้าร์เข้าไปด้วย กรรมการสัมภาษณ์ถามอะไรกวนตีนก็ยิ้มตอบ
(ถือว่าเป็นการทดสอบการคุมอารมณ์) จุดสำคัญที่ทำให้กูได้งานคือเรื่อง "ความอยากทำ" ว่ะ
รุ่นพี่ที่ชวนกูมาบอกว่าถ้าอยากได้งานตำแหน่งนี้อย่าใช้คำว่า "อยากลอง" ให้ใช้คำว่า "อยากทำงานนี้"
หัวหน้าจ่ายเงินกูช้ามา 2 เดือนแล้ว (รวมเดือนนี้ด้วยนะ) วันนี้เขาเรียกไปคุย
เขาบอกว่าบริษัทมีปัญหาด้านการเงิน ถามว่ารอไปก่อนได้มั้ย เลยตอบไม่ได้หรอก เพราะต้องผ่อนคอนโด เลทไม่ได้หรอก
เขาเลยถามว่าจะทำยังไงต่อ ยังอยากทำงานกับเขาต่อมั้ย หรือว่ายังไง เพราะการตัดสินใจของเรา มีผลต่อแผนบริษัท (บริษัทมีกันแค่ 3-4 คน)
เราเลยตอบไปว่า คือทนไม่ไหวแล้วล่ะ เจอสภาพแบบนี้มา 2 เดือน รู้สึกว่ามันไม่โอเค จะหางานใหม่แล้ว
เขาก็เลยถามต่อว่างั้นทำงานไปหางานไปได้มั้ย เขาไม่ว่าอะไร
ควรทำไงดี
เครียดมากๆ เลย มีภาระต้องผ่อนบัตร ผ่อนคอนโต จ่ายกยศ อีก
กูเพิ่งทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนได้ 3 วัน แต่ทำไมกูไม่ชอบเลยวะ
(ก่อนหน้านี้กูเป็นฟรีแลนซ์นะ)
ตอนนี้กูกะว่าจะอยู่ให้ได้สัก 4 เดือน เพื่อนโม่งว่ากูจะไหวมั้ย
กูคนเดียวกับ 110 นะเน็ตรี IP เฉย
มึงคงไม่ได้ที่ดีๆหรือเปล่า? กูรักชีวิตการเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก คงเพราะกูได้บริษัทที่สิ่งแวดล้อมดีๆ เงินสมน้ำสมเนื้อกับงานตลอด
กูพอใจกับการเป็นลูกน้องนี่ล่ะ ถ้าวันนึงได้ไต่เต้าไปบริษัทเจ๋งๆ กูว่านี่โคตรเท่เลยในความรู้สึกของกู
>>112 ถ้าไม่ชอบไม่ใช่ให้รีบออก เชื่อเหอะอะไรที่ไม่ใช่แล้วแม่งซังกะตายมาก กุเคยโดนถามทำไมทำงานที่เก่าแค่ 7 เดือน กุบอกไปเลยทำไปตอนแรกเพราะอยากรู้อยากลองแต่ทำไปได้ไม่เท่าไรก็คิดว่ากุสามารถทำได้ดีกว่านั้น และลักษณะงานไม่เป็นดังที่หวังเหมือนตอนสัมภาษณ์ ปัจจุบันก็ก็ทำงานที่ใหม่ที่มันถามกุนี่ละ
กูไม่อยากทำอะไรเลยว่ะ อยากเป็นนีท แต่เป็นนีทไม่ได้เดี๋ยวไม่มีตะแดก เฮ้อ
รู้สึกเหมือนโดนกีดกันออกจากกลุ่มว่ะ คือกูเพิ่งเข้ามาใหม่ได้สองเดือนแล้วก็ไปกินข้าวกับรุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง ปกติก่อนเที่ยงเขาจะสั่งข้าวไว้ก่อนแล้วค่อยลงไปกิน แต่หมู่นี้เขาจะบอกว่าวันนี้ไม่สั่งข้าวนะ จะไปกินข้างนอก แล้วก็ยกกลุ่มไป ชวนเด็กใหม่ที่เข้ามาได้อาทิตย์นึงไปด้วยข้ามหัวกูไปเลย กูว่ากูก็ไม่ได้นิสัยแย่เลวทรามอะไรนะ จะให้กูเดินตามไปกับเขาก็ดูหน้าด้านไปหน่อย เขาไม่ได้ชวนกูนี่หว่า กูควรทำไงดีวะ
>>121 แล้วทำไมไม่เดินตามเขาไปวะ ลองถามเขาก็ได้ว่าไปกินที่ไหน เขาเห็นมึงเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มแล้วเลยไม่ชวนรึเปล่า กุพยายามมองโลกในแง่ดีนะ เด็กใหม่เพิ่งเข้าสิยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ว่าจะไปกินกับใครถ้าไม่มีคนชวน
มึงลองคิดกลับกัน มึงกำลังคิดว่า เขาไม่ชวนนิ กูไม่ไป แบบนี้แปลว่าเขาต้องมาชวนมึงทุกครั้งมึงถึงจะไปเหรอ เขาก็มาบอกแล้วนี่ว่าจะไม่สั่งข้าวไปกินข้างนอก ถ้าเขาให้มึงสั่งแล้วเขาหนีไปกินข้างนอกสิ อันนี้ชัดเจน
กูไปเจอป้ายสมัครงานหน้าร้านYayoi ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ เงินเดือนเริ่มสูงจังวะ 16000-20000 ปรกติตำแหน่งพวกนี้มันทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ตามกฎหมายแรงงานเลยรึเปล่า พวกถึงยอมจ่ายเงินเดือนสูงขนาดนี้ คือกูก็สนใจว่ะ กะว่าถ้าปลายปีสอบTOEICผ่าน 600 กับสอบN4ผ่านก็ว่าจะลองไปสมัครดู
ถ้ามีเงินเก็บเดือนละ 2 หมื่น
ให้ที่บ้านได้ 1 หมื่น (คนละส่วนกับเงินเก็บ 2 หมื่น)
เรียกตัวเองว่าคนรวยได้แล้วหรือยังหรือยังคนชั้นกลางอยู่
ระหว่างคนชั้นกลาง กับ คนรวย ควรมีอีกชนชั่นนึงมาคั่นไหม เหมือนช่องวางชนชั้นกลางกับคนรวยมันใหญ่เกิน
>>126 แบ่งน่ะแบ่งได้ แต่มันจะยุ่งยากเกินว่ะ ที่มึงเขาแบ่งกันชัดๆคือสภาพมันแบ่งกันชัดเจนด้วยจริงไหม? ชนชั้นล่าง หาเช้ากินค่ำ ตำข้าวสารกรอกหม้อ ชนชั้นกลาง สบายขึ้นมาหน่อย ผ่อนรถผ่อนบ้านได้ แต่ก็ฟุ่มเฟือยไม่ได้บ่อย คนรวยคือสามารถฟุ่มเฟือยได้รัวๆ ไม่มีปัญหาการเงินแบบอีกสองชั้นด้านล่าง มึงมีแนวคิดยังไงวะ ถึงคิดว่ามันห่างกันเกิน คนรวยแม่งก็มีตั้งแต่รวยน้อยยันโคตรรวยไล่ไปตามเงินที่มี
ได้เดือนละห้าแสน จากการตรากตรำทำงาน กูก็เรียกว่ากลางนะ
ต้องแบบพวกใช้เงินต่อเงิน ใช้เงินได้โดยไม่ต้องคิดเยอะ นั่นกุถึงเรียกว่ารวยว่ะ
กูว่าชนชั้นกลางนี้ขอบเขตโคตรกว้างนะ
ชนชั้นรวย 30-40ปีก่อน คือ ชนชั้นกลางยุคนี้ยังได้เลย
สมมุติเล่นหุ้นกูก็มองว่าชั้นกลางแต่แบ่งระดับล่าง-บนคร่าวๆ เหมือนเล่น RPG
คนหนึ่งกำไรวันละร้อย-หมื่น(ต่ำ?) ถ้าเจ๊งก็เลเวลดาวน์ ลดคลาสไปชนชั้นล่าง
อีกคนวันละหมื่น-แสนขั้นต่ำ(กลาง?) ถ้าเจ๊งก็เสีย exp เสียเยอะก็เลเวลหด
บางคนฟันเป็นล้าน(รวย?) อาจได้รับการอัพคลาสเป็นชนชั้นรวย
แต่ที่แน่ๆเวลาเล่นหนักๆแบบลงทุนเต็มตัวไปตีบอสแล้วเสือกเจ๊ง(ตาย-ของดร็อปหมด,เลเวลหายเรียบ) สามารถกลายเป็นชนชั้นล่างได้ทันที
กูอยากรู้ผลสัมภาษณ์สมัครงานจัง
เพิ่งสัมภาษณ์ไปเมื่อวันศุกร์นี่เอง ถ้าโทรไปถามเขาว่าเมื่อไรจะได้คำตอบ จะน่าเกลียดไปมั้ยนะ
ให้เวลามันไป 1 เดือน
แล้วถ้าHrบอกให้โทรมาในอีกหนึ่งอาทิตย์อะมึง กูเคยโทรไปแม่งบอกยังไม่รู้ผล อ่าว พออีกศุกร์โทรไปใหม่ ก่ทำเสียงรำคาญๆใส่บอกคนเก่าเพิ่งออก กำลังวุ่น เดี๋ยวแจ้งเอง ตกลงกูผิดป่าววะ
>>138 ควรหาที่อื่นรอไปเลย อย่าเสียเวลารอ สมัครเผื่อไปอีก 3-4 ที่
ปกติเวลากูจะเข้างานใหม่ กูจะขอเป็นเดือนใหม่ไปเลย แต่ถ้าเพิ่งเป็นต้นเดือน ก็จะขอเป็นจันทร์หน้าแทน
ควรชั่งใจให้เรียบร้อยก่อน ไม่ควรตอบตกลงแล้วไปแคนเซิ่ลทีหลัง เพราะโปรไฟล์มึงจะดูเหี้ยๆๆๆๆๆๆ มากๆ แย่กว่าพวกเข้าไปทำสองสามวันยังไม่ทันพ้นโปรแล้วชิ่งอีก
แล้วอย่าคิดว่า HR เขาไม่คุยกัน บ.เก่ากูเวลาจะรับใครใหม่ โทรเช็ค HR ที่ทำงานเดิมจนเหี้ยน กูเคยเห็นเขาคัดกรองพวกที่ประวัติเหี้ยออกจากการโทรแชร์ข้อมูลกันหลายคนอยู่
พวกมึง เงินเดือนขั้นต้นประมาณ10100บ.นี่ จะทำให้กูอยู่หอรอดป่าววะ
โม่งกูว่าจะเลิกทำงานว่ะ ตอนนี้กูเป็นผจก.ฝ่ายขายบ.ซาวน่า เงินเดือนก็ดีแหละ สวัสดิการดีมีรถให้ขับฟรี แจกเสื้อบ.ให้ ไปติดต่อลูกค้าทีก็มีที่พักฟรี คือแทบจะไม่ต้องจ่ายอะไรเท่าไหร่ แต่กูมีความรู้สึกว่ามันน่าเบื่อว่ะ กูอยากเปิดร้านกาแฟจริงๆกูก็รู้แหละว่ามันไม่คุ้มหรอกเสียตรงนี้แล้วมาทำอะไรที่ต้อยกว่า แต่กูอยากทำงานทีมันอยู่ติดบ้านว่ะแม่งอธิบายไม่ถูก 35 ละเมียก็ไม่มี เห้อ ชีวิต
>>143 กูสนับสนุน มึงอยากทำทำเลย กูเข้าใจค.รู้สึกคนเสี้ยนอยากทำแล้วโดนล้อมกรอบ ชีวิตโครตแห้งเหี่ยว
อยากขายอะไรก็ขาย กาแฟที่มันเกร่อ ๆ ถ้ามึงทำเพราะชอบ ใครจะห้ามมึงได้
แต่มึงทำแล้วเผื่อเจ๊งด้วยนะ อย่าคิดจะรวยในครั้งแรกถ้ามึงไม่เก่ง+เฮงจริง ยิ่งถ้าทำเพราะใจรักด้วย
ถึงจะเจ๊ง แต่มึงก็ได้ทำจนสะใจหายเสี้ยน ได้บทเรียนจากธุรกิจแรก
ทีนี้ถ้าจะเริ่มอะไรใหม่ มึงจะล้มยากกว่าเดิม
อีกวิธี อันนี้มาจากคนที่ทำงานกูเอง อายุน้อยกว่ามึงไม่กี่ปี มันทำงานบ.ไปด้วย เปิดร้านไปด้วย สองสามร้านม้ัง
วัน ๆ เห็นมันหลบออกไปสั่งงานลูกน้องที่ร้าน แบ่งกันบริหารกับแฟนมัน
กูว่าวิธีนี้เหมาะถ้ามึงไม่อยากเสี่ยงลาออก
สรุป มึงต้องเริ่มหาแฟนก่อน
http://9gag.com/gag/a0L0qXn?ref=fbp สัสเอ๊ย ;w;
ร้านกาแฟ ? นาทีนี้เนี่ยนะ ? ถ้ามึงประเมินแล้วขายได้ไม่ถึง 50 แก้วต่อวันแล้วเสือกต้องเช่าที่ขายอีก เลิกคิดไปได้เลย
เศรฐกิจแบบนี้ คงมีคนเอาเงินมาผลาญกับค่ากาแฟแก้วละ 60-70 อยู่หรอก แดกข้าวได้เป็นมื้อเลยมึงเอ๋ย
ใครเคยทำงานจัดซื้อบ้างวะ เค้าว่าเครียดมากโดนกดดันจากทุกทางจริงป่ะ กำลังสนใจจะเปลี่ยนงาน
ทุกคนครับ ช่วยวางแผนชีวิตผมหน่อยครับ คือผมกำลังจะเริ่มงานประจำในเดือนหน้าเงินเดือน 15000 บาท เป้าหมายในชีวิตของผมคือการได้เรียนต่อมหาลัยในต่างประเทศที่ค่าเทอมและค่าครองชีพแพงบรรลัยแล้วเค้ารับคนเก่งที่มีประสบการณ์การทำงานอย่างต่ำห้าปีด้วย
อย่างแรกผมต้องเก็บเงินก่อนเพื่อเป็นค่าเทอมผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้าน แต่ผมเป็นคนต่างจังหวัดไม่มีบ้านในกรุงเทพก็ต้องเช่าเค้าอยู่ซึ่งแม่งผมเสียดายเงินชิบหาย ค่าห้องแถวนั้นราคาห้าพันอัพทั้งนั้นเลยพี่น้องครับ แต่ผมมีอีกทางเลือกคืออยู่กับพี่ชายที่เช่าบ้านอยู่เสียต่อเดือนก็ประมาณห้าพันเหมือนกันแหละแต่แม่งดีอย่างที่ชีวิตไม่ได้อยู่แค่ห้องแคบๆแต่ด้วยเรื่องเงินราคาก็พอกัน เลยคิดๆอยู่หรือกูจะซื้อบ้านดีวะเพราะอย่างน้อยไอ้เงินที่ผมเสียค่าที่พักมันจะได้ไม่สูญเปล่าแต่ราคาบ้านแถวนั้นมันก็แพงอีก(อยู่ในเมืองครับ)คิดว่าต้องกู้มาซื้อแต่ถ้าผมซื้อบ้าน ผมก็ต้องผ่อนมันทุกเดือนแล้วอย่างงี้ผมจะเอาเงินที่ไหนมาเก็บวะ ผมลองคำนวณคร่าวๆคิดว่าถ้าผ่อนบ้านคงต้องใช้เวลาเป็น 10 ปีถ้านานขนาดนั้นผมแม่งก็ไม่ต้องได้เรียนต่อแล้วดิวะ กว่าจะผ่อนบ้านเสร็จกว่าจะได้เก็บเงินเรียนใหม่อีก
อย่างที่สอง ภาษาอังกฤษผมเหี้ยสุดๆเลยคิดว่าต้องไปเรียนพิเศษอังกฤษแต่ถ้าซื้อบ้านต้องเก็บเงินด้วยจะเอาที่ไหนมาเรียนอ่ะ
คือปัญหาหลักของผมคือเงินครับ มันไม่พอกับแผนที่ผมวางไว้เลยก็ลองคิดว่าจะหางานพิเศษนะแต่ผมหามาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วยังไม่ได้เลย หรือมีแนวทางหาเงินเพิ่มแนะนำหน่อยมั้ยครับอย่างพวกทำกิจการเล็กๆที่ลงทุนไม่มาก
ความสามารถที่ผมมีคือวาดภาพครับ ทั้งแบบดิจิตอลและแฮนเมดสีน้ำ สีไม้ อาจไม่เทพเท่าไหร่ทั้งชีวิตเคยขาดภาพได้ภาพเดียว
ถ่ายภาพพอก็พอถูไถไม่เก่งมาก อีกอย่างที่ผมค่อนข้างภูมิใจคือร้องเพลงเพราะครับจริงๆอยากหางานร้องเพลงตามบาร์ด้วยติดอย่างเดียวเล่นดนตรีไม่เป็นหาวงไม่ได้ อย่างว่าแหละนักร้องแม่งมีเยอะยิ่งกว่าดาวบนฟ้าใครๆก็ชอบร้องเพลงทั้งนั้น
เขียนนิยายก็พอทำได้แต่เขียนไม่เก่งครับ เขียนไม่จบซักเรื่องตัดไปดีกว่าแต่ผมเขียนเพลงได้นะแต่อย่างว่าเล่นดนตรีไม่เป็น ค่าเรียนดนตรีแพงด้วย
นั่นแหละผมจะทำไงดีครับให้ไปถึงฝันได้โดยไม่เดือดร้อนพ่อแม่อ่ะ ช่วยหน่อยนะครับ
>>155 มึงจบป.ตรีรึยังล่ะ ถ้าจบมึงไปหาข้อมูลอีรัสมุนดุสนะ เรียนโท 4 ประเทศ มีเพื่อนกูเคยได้ไปสาขาTEMA มันบอกไม่ต้องใช้เหี้ยไรเลย มคเงินแจกฟรี €800 ต่อเดือน ค่าเทอมไม่ต้องที่พักฟรี ไปลองหาข้อมูลดูนะว่าสมัครยังไง
ส่วนป.ตรี ถ้าจะไปจริงๆกูไม่ค่อยแนะนำว่ะ เพราะหลักสูตรมันไม่ได้แตกต่างจากไทยเท่าไหร่ เว้นพวกสาขาวิทย์ และการแพทย์ถ้าจะเรียนไปทางสายพวกนี้จะดีกว่านะ ไม่ก็การเงินระหว่างประเทศไรงี้ ส่วนเงิน 2 ล้านกูบอกเลยถ้ามึงจะไปเรียนยังไงก็ไม่พอ ปีๆนึงขั้น"ต่ำที่สุด" 6-7 แสน ขนาดกูทำงานแล้วนะไม่ค่อยได้กินได้เที่ยวค่าใช้จ่ายต่างๆ นี่ยังไม่รวมค่าเทอม แล้วมึงต้องดูด้วยว่าจะไปประเทศไหน มันไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกประเทศนะมึง ถ้าใช้ภาษาท้องถิ่นเค้าไม่ได้มึงก็ทำได้แค่เรียน ไปทำงานใต้โต๊ะไม่ได้หรอกจบแน่ๆ ทั้งนี้ที่กูว่ามาคือยุโรปนะ เมกาอาจจะไม่สูงเท่านี้แต่ค่าเทอมกูคิดว่าเมกาอาจจะแพงกว่าที่ค่าเทอม
สำหรับฝันมึงมันอาจจะยังมีหวังอยู่ เรื่องหาเงินแล้วจะไปเรียนเลิกคิดได้เลย ถ้าไม่เป็นนักธุรกิจระดับเมพหรือมีกลโกงที่คนคิดไม่ถึงแบบอีชม้อย ไอ้เบอเตอร์ เสียเวลาเปล่า ทำงานอยู่ไทยไปดีแล้วเพราะไม่รู้กี่สิบปี หาทุนเอาง่ายกว่ากันเยอะ ประหยัดทั้งเวลาและทุน ตอนนี้มึงทำงานไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วยจะได้เก็บประสบการณ์ทำงาน+เตรียมชิงทุนจะดีกว่านะ เรียนรามคู่ไปได้ยิ่งดีถ้าไหว เท่านี้ที่กูพอจะแนะนำถ้าเป้าหมายมึงคือไปไกลถึงนู่น
ปัญหาหลักๆเท่าที่อ่านมาคือ อังกฤษเหี้ยมาก กับ ไม่มีเงิน
ต้องเรียน>ใช้เงิน
หาที่อยู่>ใช้เงิน
เรียนรู้เอง>ลำบาก แถมใช้เวลา
ไม่มีเวลา>เพราะหาเงิน
กูไปนอนแปปกูเมา
>>155 น้องครับ ด้วยเงินเดือนหมื่นห้า น้องไม่มีทางกู้ซื้อบ้านแล้วผ่อนแค่สิบปีจบแน่ๆ น้องลองไปดูเรื่องการดาวน์การกู้ดีๆ เดี๋ยวนี้พวกธุรกิจอสังหาชอบโฆษณาว่าผ่อนดาวน์แค่ไม่กี่พัน อย่าโดนเขาหลอกครับ พี่แนะนำว่าน้องควรอยู่กับพี่ชายไป การอยู่คนเดียวค่าเช่าห้องห้าพัน ยังไม่รวมค่าน้ำค่าไฟค่าแอร์ค่าอื่นๆอีก เทียบกับการอยู่กับพี่ชายถึงใช้มากขึ้นแต่ค่าน้ำค่าไฟค่าอาหารเราอาจพอแบ่งเบากันได้ การซื้อข้าวกินอยู่คนเดียวแพงกว่าการทำอาหารกินเอง และทำกินเองคนเดียวก็แพงกว่าทำกินหลายคนครับ (เฉลี่ยออกมาแล้วนะ)
น้องล้มความฝันเรื่องจะไปเรียนต่อด้วยเงินตัวเองเลย อย่างที่ความเห็นอื่นบอกไป หาทุนง่ายกว่าครับ
เรื่องภาษาอังกฤษ พี่เป็นคนหนึ่งที่ฝึกด้วยตัวเอง น้องต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ได้ใช้ภาษา หรือไม่ก็สร้างสิ่งแวดล้อมนั้นขึ้นมา มันไม่จำเป็นต้องเรียนครับ หรือต่อให้เรียนมันก็ไม่ได้การันตีว่าน้องจะพูดได้สามารถไปต่างประเทศได้ การเรียนภาษาเขาใช้เวลาครับ แต่ถ้าน้องตั้งใจจริง ห้าปีก็เป็นช่วงเวลาที่พี่ว่าน้องสามารถพัฒนาตัวเองได้
พี่อยากให้น้องตั้งใจทำงานใหม่ก่อน พี่เดาว่านี่เป็นงานที่แรก ต้องมีการปรับตัวอีก อย่าเพิ่งคิดถึงงานพิเศษ เอาให้อยู่ตัวผ่านโปรก่อนครับ ถ้าจับปลาสองมือ งานไม่พัง สุขภาพน้องก็พัง
สุดท้ายที่พี่จะเตือนน้องคือ อย่าคิดว่า ที่น้องทำอะไรไม่ได้ เป็นเพราะมีคนเก่งกว่าน้องอีกเยอะแยะ หรือคนที่รวยกว่าน้องอีกเยอะแยะ เพราะมันเป็นเรื่องจริงครับ มีคนอีกมากกกกกกกกกกกกกกกก ที่มีโอกาสที่ดีกว่าน้อง เก่งกว่าน้อง รวยกว่าน้อง แต่ ถ้าน้องปล่อยให้สิ่งนี้ทำให้น้องคิดว่า น้องทำไม่ได้ ไม่พอ ไม่ได้เลย ไม่มาก ไม่เทพ ไม่เก่ง ไม่เป็น หาไม่ได้ ไม่จบ
น้องจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่พยายามครับ
นี่คือสิ่งที่พี่เห็น จากการพิมพ์ของน้อง แต่ชีวิตน้องเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ค่อยๆลองทำงานไปก่อน และถามตัวเองว่า ทำไมน้องถึงอยากเรียนต่างประเทศดูดีๆ ไม่ต้องรีบตอบครับ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
เริ่มงานประจำเดือนหน้าพยายามเข้านะครับ
โม่งครับขอคำปรึกษาหน่อยผมแม่งเครียดว่ะ คือจากข่าวที่กระทรวงศึกษาธิการโดนเด้งกันยกกรุอ่ะ ผอ. ที่ทำงานดันโดนไปด้วย ที่นี้ ผมแม่งเป็นลูกจ้างรายปีไง แววบรรจุไม่ต้องพูดถึงคงไม่มีแบบยาวเลย แต่คือกลัวชิบหายว่าปีหน้าเค้าจะไม่ต่อสัญญา ก็ทำใจเผื่อไว้หน่อยๆว่าไม่ต่อสัญญาคงต้องหางานใหม่ แล้วผมก็กำลังเรียนต่อป.โทอยุ่ด้วยไง กำลังจะขึ้นปีสุดท้ายแล้ว มาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมแม่งเครียดว่ะ จะเอาไงดีว่ะ คือผมชอบกับงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนะ คือเป็นการทำงานทุกโคตรมีความสุขกับงานมากอ่ะ มีเวลาหลังเลิกงานเหลือเฟือ หยุดเสาร์-อาทิตย์ มีรถรับส่ง อาหารถูก ได้หยุดตามราชการ ผมควรจะหางานใหม่ไว้เลยหรือเรียนให้จบก่อนดีครับ คือตอนนี้ผมแม่งล้นเหี้ยๆอ่ะ ไม่รู้ว่าจะมาเจอแบบนี้ แม่งเซ็งสัสๆ เซ็งโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
>>161 เก็บเงินก่อนเลยครับ ผมมักจะเจอพนักงานลาออกช่วงที่ทำทีสิสป.โทกัน แต่ไม่ว่าคุณจะทำไหวรึเปล่า การลาออกมาเรียน การไม่ต่อสัญญาต้องหางานใหม่ คือการขาดรายได้ คุณต้องมีเงินพอให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นจะเครียดกว่านี้ครับ ให้ถึงเวลาที่สัญญาหมด คุณก็ไม่เดือดร้อนมากนักจนเรียนจบ เรื่องหางาน เป็นเรื่องรองลงมา ผมคิดว่าคุณจะเครียดเรื่องถ้าไม่มีงานคือไม่มีรายได้ แก้จุดนั้นก่อนครับ แล้วคุณจำเป็นต้องหางานใหม่รึเปล่า ค่อยดูจากความยากง่ายของการเรียน
ถ้าผอ.คนใหม่ที่มา ต่อสัญญาคุณ คุณก็มีเงินเก็บไว้เลี้ยงฉลอง
อย่าประมาทแต่อย่าตื่นตูมครับ
>>162 ก็ว่าจะมุ่งเน้นทางเรียนก่อนน่ะครับ
>>163 ผมก็เตรียมใจไว้หน่อยๆแต่คนทางบ้านบอกให้มองโลกในแง่ดีไว้น่ะครับ
>>164 ผมก็เริ่มเก็บตังแล้วครับ แต่ยังมีภาระค่าเทอมอยุ่ด้วยก็เถอะ เรื่องเรียนผมว่าไหวครับกะไม่ทำทีซิสจะทำISแทนครับ
ผมกะจะเน้นด้านเรียนไปก่อนน่ะครับ ส่วนเรื่องงานผมก็ทำไปเรื่อยๆครับ ผมก็ตั้งใจควบคู่ทั้งสองอย่าง แต่มันรุ้สึกเครียดๆน่ะครับ เจอข่าวไป เหมือนรุ้สึกเสียศูนย์แปลกๆ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
หลังจากอยู่ที่ทำงานเดิมมาเกือบๆ 2 ปี ตอนนี้กูก็กำลังหางานใหม่ (ซะที)
ถึงจะรู้สึกเฟลๆที่ทนอยู่มาทั้งที่แทบจะไม่ชอบอะไรที่นี่เลยมานาน แต่พอจะต้องไปจริงๆแล้วรู้สึกป๊อดว่ะ
เริ่มกลัวๆว่าถ้าที่ใหม่มันแย่กว่าเดิมจะเอาไงต่อ จะกลับมาที่เดิมก็ไม่อยาก เริ่มรู้สึกเสียดายสิ่งดีๆ (ถึงจะมีอยู่แค่กี่อย่าง) ที่ที่เดิมมี
เพื่อนโม่งชูจั๊กกะแร้ส่งพลังให้กูที
กูก็กำลังหางานใหม่เหมือนมึง เรามาสู้ไปด้วยกันนะ
>>166 >>167 กำลังมองหางานใหม่เหมือนกัน ทำที่นี่มาสามปีกว่าแล้ว ใจจริงอยากออกตั้งแต่ปีแรกแล้ว ฮา แต่ว่าไม่อยากดูไม่ดีว่าเปลี่ยนงานบ่อย เพราะที่เก่าทำได้แค่ปีเดียว กลัวมันจะเสียโพรไฟล์ เลยทนมาตลอด
กูเคยมีประสบการณ์เปลี่ยนงานแล้วแย่กว่าเดิมว่ะมึง เงินเดือนดีขึ้นเกือบ 50% แต่นอกจากนั้นทุกอย่างเหี้ยกว่าหมด ไม่ว่าจะเนื้องาน สังคม สภาพแวดล้อม เพื่อนร่วมงาน ก็ถือเป็นบทเรียนกันไป ถ้าเราไม่เปลี่ยนเราจะรู้ได้ไงว่ามันจะแย่กว่าเก่าจริงมะ 555 เราก็จะค้างคาใจอยู่อย่างนั้น
แต่ตอนนี้กูยังหางานใหม่เหมาะๆ ไม่ได้เลย เท่าที่ดูอยู่ตอนนี้ บางที่ก็ไกลไป บางที่ก็เงินเดือนน้อยไป ก็เลยทำงานที่มีไปก่อน
>>169 กอดดด กูเพิ่งโดนมาเหมือนกัน เล่นเอาเสียเซล์ฟและเฮิร์ทไปพักใหญ่เลย เพราะปกติกูสัมภาษณ์แล้วไม่ค่อยวืด มีแต่กูเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายปฏิเสธ บางทีปฏิเสธไปแล้วยังโทรมาตื๊อ เพิ่มเงินเดือนให้ อารมณ์เหมือนคนเคยแต่หักอกชาวบ้านมาตลอด มาวันหนึ่งโดนหักอกซะเอง เสียเซล์ฟสัดๆ
กูเหมือนจะถูกเพื่อนร่วมงานคนนึงเขม่นว่ะ เอาไงดีวะ ตัวกูไม่ชอบเข้าสังคมหรือสุงสิงกะใครเท่าไร เวลากินข้าวก็ไปนั่งกินด้วยกันนะแต่กูจะไม่ค่อยพูดค่อยจาเพราะไม่มีอะไรจะคุย ก็นั่งเงียบๆไป ยางทีปลีกตัวอิกมาก่อนได้ก็ออก แล้วเหมือนจะมีคนนึงไม่ค่อยชอบหน้ากุเท่าไหร่แต่กูไม่ได้ทำไรใครนะแค่ไม่ค่แยพูดไม่ค่อยร่วมหัวกะใครนั่งทำงานเลียบๆคนเดียว กูไม่อยากโดนเกลียดนะแต่ก็ไม่อยากฝืนใจทำอะไรที่ตัวเองไม่อยากเหมือนกัน เอาไงดีวะ ปล่อยเฉยๆไปดีมั้ย
>>171 ทำเฉยๆไปมึง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเรามีน้ำใจให้คนอื่น ไม่ได้ทำตัวเห็นแก่ตัว เขาอาจจะอยู่ในสังคมที่ทุกคนควรแสดงความรักใคร่สามัคคีกลมเกลียว ถึงจะแสดงว่าเป็นมิตรต่อกัน มึงสู้นะ ถ้าอะไรที่มึงสามารถพูดคุยไปตามหัวข้อสนทนาได้ก็พยายามทำเถอะ กูก็เป็นพวกเงียบและแดกเหมือนกัน ปรับตัวอยู่ สู้ไปด้วยกันนะเพื่อนโม่งนะ
ถ้ากูอยากจะย้ายสายงานจากไอที ไปทำอย่างอื่น มีอะไรน่าสนใจมั้ยวะ? หรือกูควรไปเรียนสายบัญชีดี?
ไอห่าาาาา กูเบื่อรถติดสัส ติดอยู่กับที่มา 40 นาทีแล้วเหี้ยยยยยย
ไอ้พวกหมอลำสวะพ่อตาย จะเที่ยงคืนมึงยังเล่นคอนเสิร์ตเด้อดังเด่อเบสงานวัดตึงๆๆๆๆอยู่ได้ ควยควยควยควย ทำไมพวกมึงไม่ตีกันให้ตายห่าไปหมดงานเลยวะไอ้เหี้ย ไอ้ขยะยีนพูล ไอ้พยาธิตัวตืด ไอ้พวกอีสานเหี้ย กูขอให้ผู้ก่อการร้ายไประเบิดตัวเองกลางงานพวกมึง ไอ้สัตว์ กูจะนอน ควย
วันนี้ไปสัมภาษณ์งานมา ระบบทำข้อสอบแม่งใช้กระดาษแล้วตรวจมืออยู่เลย รู้สึกว่าแม่งดูแย่ๆชอบกลว่ะ
เท่านั้นยังไม่พอ HR แม่งควยมาก ทิ้งให้กูนั่งรอเฉยๆในห้องเล็กๆที่โดนแอร์เป่าหัวแล้วตัวเองหนีไปกินข้าว 2 ชั่วโมงครึ่ง ให้กูอดข้าวนั่งรอในห้องหนาวๆอย่างเดียว
เสร็จแล้วตัวเองก็เดินเข้ามาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สัมภาษณ์เสร็จก็ให้รอสัมภาษณ์กับฝ่ายเทคนิคอีกคนซึ่งไปไปกินข้าวอยู่...
สรุปไปตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง กว่าจะได้ออกมาก็ 3 โมงทั้งที่กูลางานแค่ครึ่งเช้า ข้าวก็ไม่ได้กินแถมอากาศมันหนาวจนไข้ขึ้น ยังดีที่กลับไปทำงานต่อสายไปมากแล้วหัวหน้าไม่ด่า
ในความรู้สึกกูตอนนี้คือที่นี่เหี้ยมากกูไม่อยากทำเลยว่ะ เริ่มรู้สึกว่าที่เก่าก็ไม่ได้แย่ด้วย หรือกูอยู่บริษัทใหญ่จนรับอะไรแบบนี้ไม่ได้เองก็ไม่รู้
>>178 น้องครับ คุณเป็นฝ่ายมาของานเราทำแท้ถ้าแค่นี้ยังบ่นงานคุณจะทำไหวหรอครับ
แค่ไม่ได้กินข้าวกับต้องอยู่ในห้องเย็นๆแค่นี้ก็บ่นแล้วชีวิตนี้คงติดสบายจนเคยชินสินะครับ
พี่กับคนสัมภาษณ์เค้าเป็นฝ่ายสัมภาษณ์น้องนะครับ เค้าหรือพี่จะกินข้าวนานมันก็ไม่ใช่เรื่องของน้องครับ
น้องเป็นฝ่ายถูกสัมภาษณ์มีหน้าที่รอก็รอไปครับ ถ้าจะผูกพันกับที่เก่าอยู่อยากจะรีบกลับไปทำงานขนาดนั้นก็อยู่ที่เก่าไปเถอะครับ
ยินดีด้วยครับ ตอนนี้น้องไม่ได้งานของบริษัทเราแล้ว แถมพี่ใส่แบล็คลิสต์ไว้เรียบร้อย ครั้งหน้าอย่าหวังว่าบริษัทเราจะเรียกคุณมาสัมภาษณ์อีก
พี่ HR
พวกงานร้านเฟรนไชนส์บริการแบบ kfc Mc Chesterฯ แล้วก็พวกร้านสะดวกซื้ออะไรพวกนี้
เค้าไม่รับคนอ้วนๆเข้าทำงานเหรอวะ สมัครไปตั้งหลายที่ ปิ๋วหมด
>>180 อื้อหือ อ่านแล้วไม่แน่ใจเลยว่าตั้งใจประชดหรือแกล้งกันหรือคิดแบบนั้นจริงรึเปล่าเลยค่ะ พฤติกรรมของHR ที่ >>178 เจอก็แย่หลายอย่างจริงๆ
แต่อยากแจงว่า การใช้ข้อตอบแบบตรวจมือมันไม่ผิดอะไรนะ แต่เข้าใจว่าคุณ 178 น่าจะไม่พอใจจากการที่ต้องรอนานขนาดนั้นไปแล้ว อะไรมันก็แย่ทั้งนั้นล่ะ สี่ห้าชั่วโมงที่เสียไปนี่แสดงให้เห็นเลยว่า HR ของบริษัทเขาไม่ได้มีความต้องการจะดูแลแคนดิเดทของเขา ส่วนตัวเราว่าดีแล้วที่ไม่ได้เข้าไปทำงาน มันก็แสดงให้เห็นกลายๆว่าเขาอาจจะไม่ได้ดูแลพนักงานของบริษัทดีเหมือนกัน ทัศนคติมันเห็นกันได้จากการกระทำและภาษาที่ใช้ค่ะ ถ้าเขาให้คุณรอนานขนาดนั้น โดยไม่มีคำขอโทษหรือการอธิบาย แสดงว่าเขาไม่ได้ให้เกียรติคุณเลย
HR เองก็เป็นพนักงานที่บริษัทเขาจ้างกินเงินเดือนมาทำงานเหมือนกันไม่ใช่เจ้าของบริษัท โดยเฉพา่ะ HR ที่ต้อนรับแคนดิเดท สิ่งที่เขาทำจะกลายเป็นภาพลักษณ์ของบริษัทไป บริษัทที่ไม่ให้เกียรติพนักงานแบบนั้น ถ้าเลือกได้อย่าไปทำเลยค่ะ
เพื่อนโม่งมีงานไหนแนะนำ วุฒิ ปวช ไหม ไม่อย่าทำโรงงานวะ
เวลาเพื่อนโม่งหางานแล้วไม่ได้ โดนปฎิเสธ มีวิธียังไงที่จะเชียร์ตัวเองให้ขึ้นบ้าง
กูไม่รู้มึงเป็นเคสไหนนะ
- โฟกัสไปตรงที่อยากได้งาน สมัครไปหลายที่ไม่ได้ก็เลยท้อ อันนี้ไม่มีไรมาก ก็สมัครต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ มันต้องได้เข้าซักที่แหละ สู้ๆ
- โฟกัสไปตรงที่เฟลเพราะถูกปฏิเสธ อันนี้กูเอง ปกติสมัครที่ไหนได้ตลอดมีแต่เป็นฝ่ายปฏิเสธเค้า พอเป็นฝ่ายถูกปฏิเสธบ้างโคตรเฟล รู้สึกสิ้นหวัง เกลียดชังตัวเอง รู้สึกตัวเองห่วยแตก ไร้ค่า ไม่เป็นที่ต้องการ อันนี้คงต้องพยายามเรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดหวังว่ะ ซึ่งกูก็ยังทำไม่ได้ กำลังพยายามอยู่ คิดว่าถ้าโดนปฏิเสธบ่อยๆ เข้าก็คงชินมั๊ง (รึป่าว?) เราไม่ค่อยได้เจอกับความพ่ายแพ้ พอเจอเข้าอิมแพ็คมันเลยรุนแรง ภูมิต้านทานต่ำ
แม่ง ของกูนี่สมัครที่ไหนก็เงียบ ไม่ผ่านมั่ง กูก็เฟลนะแต่แป๊บๆก็ลืม แต่มีที่นึงผ่านแล้ว นัดวันแล้วด้วยแต่กูต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธเขาซะเอง โคตรเสียใจและจำฝังใจเลยมึง
เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอกน่า มันก็ต้องมีแบบนี้บ้างแหละน่า เดี๋ยวเค้าก็หาคนใหม่ได้
เพื่อนโม่ง คือกูอยากลองไปฝึกงานอ่ะ ละคือเค้าให้ส่งเรซูเม่ แนะหน่อนดิ ทำแบบไหน อะไรยังไงอ่ะ //ฝึกงานฝ่ายบก. หรือพิสูจน์อักษรน่ะ
>>201 ลองติดต่อไปดูว่ารับเด็กฝึกงานหรือเปล่า http://salmonbooks.net/contact
>>201 กูแถมให้อีกด้วย แต่มันของปี 2012 แล้วว่ะ https://www.facebook.com/notes/salmon-books/faq-สำหรับนักศึกษาฝึกงานจ้ะ-/385273044842508
กูคือโม่ง >>178 นะ ตอนนี้ก็กำลังร่อน resume ไปเรื่อยๆ ส่วนที่ๆพูดถึงยังไม่เรียกไปสัมภาษณ์รอบสอง
>>184 ขอใช้สรรพนามกู-มึงตามปกติของเว็บนี้นะ คือกูบอกได้เลยว่า >>180 แค่เล่นมุกน่ะ อีกอย่าง HR ที่สัมภาษณ์กูก็ผู้หญิงด้วย
คือที่กูรู้สึกว่าข้อสอบกระดาษดูแย่เพราะบริษัทที่สมัครไปมันเป็นบริษัท IT น่ะ แถมวันๆนึงคนสมัครงานที่นี่เยอะแต่ก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนมาใช้ระบบคอมแทนซะงั้น
ส่วนที่รู้สึกไม่ดีกับที่นี่มันไม่ได้มีแค่เรื่องที่บ่นไป มันมีจุกๆจิกๆอย่างอื่นที่ทำให้รู้สึกว่าที่นี่ไม่โอเคอีกหลายอย่าง ซึ่งมันนิดๆหน่อยๆคงไม่ถือแต่ทุกอย่างรวมกันมันเลยดูแย่ไปหมด
ทั้งเมลล์ HR นัดเวลาผิด จะเอาเอกสารที่ราชการเค้าเลิกใช้ไปแล้ว ข้อสอบไม่ได้มาตราฐาน ฝ่าย reception มารยาทแย่ นั่งเล่นมือถือไม่สนใจคนที่มาสมัครงาน
>>210 จริงว่ะ บริษัทเล็กเป็นไงไม่รู้นะ แต่บริษัทใหญ่ๆ นี่ขอบัดเจทยากมาก พิจารณากันไม่รู้กี่สิบรอบ ส่วนมากมีแต่คอสดาวน์ๆ กันทั้งนั้นแหละสมัยนี้ แผนกไหนคอสดาวน์ได้เยอะก็ได้ผลงานมีหน้ามีตา เศรษฐกิจแบบนี้แผนกไหนยังมีหน้ามาขอบัดเจทไร้สาระนี่จะโดนทำปากเป็นสระอิใส่เหอะ ถ้าจะขออย่างน้อยก็ต้องเกี่ยวข้องกับผลประกอบการหรือผลกำไร ไม่ก็ CSR จะมาของบเพื่อเรื่องสมัครงานนี่ยากว่ะ ส่วนใหญ่มันก็ไล่ให้ HR ไปหาวิธีกันเอาเอง
มัวแต่อ่านเรื่องคนอื่นลืมไปเลย ปกติถ้าเคยทำงานบริษัทนึงมาก่อน แล้วไปสมัครบริษัทที่เป็นเครือเดียวกัน (แต่คนละที่) นี่มันจะน่าเกลียดป่ะ หรือเค้ามีนโยบายไม่รับคนที่ลาออกมาจากบริษัทในเครือเดียวกันไรงี้มะ
>>210-211 กูโม่ง >>206 นะ
คือกูทำงานสายนี้กูก็รู้อยู่แล้วว่าโปรแกรมพวกนี้ราคามันไม่ได้ถูก แต่ด้วยลักษณะบริษัทที่คนเข้าๆออกๆบ่อย แล้ววันนึงต้องสอบคนเยอะๆจน HR ดูแลคนไม่ทันกูมองว่ามันควรมีได้แล้ว
และถ้าถามว่าด้วยลักษณะบริษัทที่เป็นแบบนี้แต่ให้เทสกระดาษมันดูแย่มั้ย สำหรับกูใช่ว่ะ คือกูไม่ได้มองว่าแย่ที่ HR อย่างเดียว แต่มองว่าระบบงานแย่มากกว่า
ผลสอบปลัดออกแล้วว่ะ อัตราคนสอบผ่าน ไม่ถึง 4% ทั้งสอบป.โท สอบป.ตรี สอบ ป.ตรีพื้นที่ชายแดนใต้
ป.ตรีพื้นที่ปรกติสมัครกันเป็นหมื่น ประมาณ13000 ผ่าน500กว่า ปีที่แล้วกูสอบกรมพัฒนาชุมชนสอบหลักหมื่นเหมือนกัน ผ่าน4000ได้มั้ง
>>215 ทำไมพี่จะต้องเสียงบมาลงทุนตั้งระบบสอบกับคอมด้วยล่ะครับ เก็บไว้กินเลี้ยงในแผนกไม่ดีกว่าหรอ
HR เด็กๆมีอยู่ตั้งหลายคนก็ให้ตรวจข้อสอบไปก่อนสิครับ คนที่สมัครก็แค่รอตรวจข้อสอบนานเพิ่งขึ้นเองแค่นิดเดียวเอง รอหน่อยไม่ได้หรอครับ
อย่าติดสบายนักเลยครับ เสพติดเทคโนโลยีจนเกินพอดีนี่ระวังตัวไว้นะครับ
พี่หัวหน้า HR
ปรึกษาหน่อยเพื่อนโม่ง
กูอยากลงทุนแบบระยะยาวอะ แบบที่ไม่ใช่เอาเงินไปฝากธนาคารรอดอกเบี้ย
อยากให้เงินเดือนมันออกดอกออกผลบ้างอะ
มีอะไรเวิร์คๆกันมั่ง พวกมึงมีไรแนะนำมั้ย กูยังพอรับความเสี่ยงอะไรได้อยู่นะ
/ตอนนี้กำลังสนพวกกองทุนรวมธนาคารนั้นนี้อยู่...
ที่บ้านแนะนำให้เล่นหุ้น แต่กูว่ามันต้องใช้เวลาศึกษานาน แล้วก็ไม่ใช่อะไรที่กูถนัดเท่าไหร่น่ะ
- ทำโรงแรม ทำหอพัก เปิดห้องพักให้เช่า(ถ้าทำเลมึงดีนะ)
- มีที่เปล่า,หน้าบ้านที่เหลือเยอะก็ให้เช่าได้ (ขึ้นอยู่กับทำเลและร้านที่ลง)
กูโม่งบนๆที่หางานใหม่นะ ตอนนี้กูได้ที่ใหม่ละ ได้เงินเท่าเดิม รูปแบบงานคล้ายๆกัน ต่างกันแค่ที่ใหม่ดังกว่า สวัสดิการดีกว่า ได้โบนัสและมีประเมิณขึ้นเงินเดือน คือที่ใหม่มันก็มีภาษีมากกว่าแหละ แต่ไม่รู้ทำไมพอกูตัดสินใจไปแล้วมันโหวงๆยังไงก็ไม่รู้ที่จะออกจากที่เดิม
อาลัยอะดิ เข้าใจนะ เปลี่ยนบ่อยๆก็ชิน
ก็ไม่ควรเปลี่ยนบ่อยมั้ยมึง 555
กูโม่งอีกคนที่บอกว่ากำลังหางานใหม่อ่ะนะ สรุปไปสัมภาษณ์มา 2 ที่ ที่แรกสวัสดิการห่วยกว่าเดิมมาก แต่แลกกับเงินเดือนเยอะกว่าเดิมมากเกือบจะ 50%
ส่วนอีกที่เงินเดือนเยอะกว่าเดิมไม่มาก ประมาณ 30% สวัสดิการห่วยกว่าเดิมไปไม่เยอะมาก แต่ดูแล้วระบบงานลูกทุ่งชิบหาย แถมน่าจะต้องทำโอฟรีทุกวันด้วย
สุดท้ายพอกำลังสับสนอยู่ ที่ทำงานเดิมให้ไปดูงานเมืองนอกแลกกับกลับมาแล้วต้องอยู่ต่อไปอีกพัก สุดท้ายกูคิดว่าคงอยู่ที่เดิมไปก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดถูกรึเปล่า ._.
เพื่อนโม่ง ทำงานเป็นพวก พนงในห้าง เริ่มงานสายๆ เลิก 3-4 ทุ่ม ปกติเงินเท่าไหร
กูไม่รู้จะถามที่ไหนว่ะ เอาที่นี่ละกัน 555 คือกูรับฟรีแลนซ์ให้สนพ.นึงอยู่ งานมันจะมีมาเป็นรอบๆ อะนะ กูติดต่อไป พอมีงานเขาก็ส่งให้ทำ ตอนแรกๆก็ดีอยู่หรอก กูยังถามเลยว่ามีอะไรให้ปรับปรุงมั้ย เขาก็บอก กูก็เตรียมตัวสำหรับงานต่อไป แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่ามีรอบใหม่แล้ว แต่เขากลับยังไม่ติดต่อ ไม่ส่งอะไรให้กูเลยว่ะ กูเลยกลัวๆว่านี่เขาไม่จ้างกูแล้วเหรอ ถ้ากูไปถามเขาว่ามีงานมั้ยจะน่าเกลียดมั้ยวะ หรือกูควรทำใจแล้วมองหางานที่ใหม่ดี ปล. กูเคยมีประสบการณ์คล้ายยังงี้มาแล้ว คราวนั้นให้งานมารอบนึง ทำให้เสร็จแม่งเงียบหายไปเลย ส่งเมลไปถามก็ไม่ตอบ กูเลยกลัวว่าจะซ้ำรอยเดิมว่ะ ฮือๆ
>>229 มึงรับงานประเภทบก.หรือตรวจปรู๊ฟฟรีแลนซ์ไรงี้ป่ะ ถ้ามั่นใจว่ามีงานแล้วทางโน้นลืมมึง ติดต่อเข้าไปก่อนเลย ถามแย็บๆ ได้แต่อย่าตื้อ บางทีสาเหตุที่ไม่ติดต่อไปมันมีหลากหลายว่ะ ผู้รับผิดชอบลาออก มือถือหาย ติดต่อไม่ได้ บลาๆๆ ไปเสนอหน้าให้เค้าเห็นกันลืมก่อน แต่ถ้าเค้าไม่จ้างมึงจริงๆ ก็อย่าไปเซ้าซี้ว่าเพราะอะไรทำไม สมัครงานที่อื่นเผื่อๆ ไว้มั่งเน้อ อย่าไปผูกติดกับเจ้าเดียว
ไอเหี้ย เพื่อนกุอัพรูปขึ้นหน้าปกเฟซบุ๊ก รูปนี่ยืนกันสี่คนมันยืนตรงกลาง เสือกเบลอรูปรอบๆมันหมดเหลือตัวมันชัดคนเดียว
กุนี่ลั่นเลยไอสัส มึงคิดได้ไงวะ ไอ้เหี้ยยย 555+
เบื่อเจ้านายที่เราส่งเมล์ไปตามเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะทำให้ๆ แล้วก็หายเงียบ
นี่กูส่งเมล์จี้แม่งทุกวันยังหายเงียบเข้ากลีบเมฆ แล้วจะมาด่ากูว่าทำงานไม่ทันมั้ยวะเนี่ย
เครียดว่ะ เฮ้อออออ
กูรู้สึกแย่จังที่ด่าลูกน้องว่าแอบเล่นเฟสในเวลางาน แต่กูกลับเล่นคังโคเระในเวลางานเช่นกัน
มีงานแนะนำดีๆไหมวะ วุฒิ ม.6 หรือ ปวช ไหมวะ
ใครเคยทำงานบริการแบ่ง ข้อมูลมามั้งดิ
เงิน
สเวนเซ่นเริ่มที่40บาท/ชม.มั้ง
parttime ชั่วโมงละ 40 ถ้า Full กูขอเขา 50 เลยดีไหมวะ เพราะให้กูทำตั้งแต่ห้างเปิด ยันห้างปิด
กูเห็นสตาร์บัคเปิดรับอยู่ พาร์ทไทม์ชม.ละ62เลยว่ะ รายละเอียดกูยังไม่รู้ สอบเสร็จว่าจะไปสมัคร
กูถามโม่งที่ทำงานพวกออกแบบหน่อย
มึงเบื่อไหมเวลาที่มีคนมาให้มึงทำงานฟรีๆอะ โลโก้มั่งละ ป้ายงานแต่งมั่งละแบบนี้
คือกูเจอบ่อยมาก บางทีกูก็คิดนะว่ากูก็ทำแบบง่ายๆให้ไม่ได้ไงมาก คิดเงินไปก็อายตัวเอง
บางคนก็ฟรีคือฟรีจริงๆ ไม่ถามเรื่องเงินเลย กูก็ช่างแม่ง แต่กูเจอบ่อยไปแล้วว่ะ
โอเคว่ากูผิดเองที่รับปากไป ขอบ่นหน่อยละกัน (แล้วก็อยากฟังคนที่เจอแบบนี้มั่งว่าเป็นไง เริ่มยังไง ไปจบลงที่ไหน55)
>>250 เคยทำให้ญาติแบบสนิท แต่ก็แลกๆกันน่ะ เวลามีอะไรกูก็วานเขาฟรีๆ
ถ้าไม่งั้นคนที่มีมารยาทเขาก็รู้เองว่า เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำอะไรงี้มั่งอะ อย่างน้อย
แต่ทำฟรีจริงๆแบบไม่ได้อะไรเลย กูไม่ทำ
พอมึงทำครั้งนึง แล้วมันฟรี ก็จะมีปลิงมาเกาะมึงแดกเรื่อยๆ มึงก็เกรงใจทำไปเรื่อยๆ เสียเวลาชีวิต
ถ้าไม่ได้สนิทกัน (อย่างกรณีที่กูบอกข้างบน) จบสโคปงานปุ๊บ กูพูดดักไว้เลยว่า ราคาเท่าไหร่
ถ้าให้ซอฟท์นิดนึงก็บอกว่า อ่อ ปกติที่ทำๆกันก็ราวๆ เท่านี้ๆๆ อะนะ(บวกราคาเกิน 55) แต่รู้จักกันลดให้ก็ได้ 'w'
แม่ม ร้านxxx งานฟูลไทม 11 ชม ได้เท่าพาร์ทไทมร้าน
มึง
กุลองทำงานในออฟฟิศแล้วมันไม่ได้ว่ะ กุทำงานธรรมดาทั่วไปกุก็เครียด ไม่อยากทำ ไม่มีความรับผิดชอบ
กุคิดว่าเพราะกุไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อรึเปล่าวะเลยทำงานบริษัทฯไม่ทน กุไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้วกุก็เลยพยายามทนทำต่อ
แต่ยิ่งวันก็ยิ่งประสาทกินว่ะ กุไม่ชอบงานเอกสาร กุบวกเลขไม่เก่ง กุชอบงานอาร์ต งานศิลปะ งานกราฟฟิค
แต่บ้านกุกดดันจนกุรู้สึกว่า ถ้ากุไม่ทำงานออฟฟิศแล้วกุจะไปทำอะไรแดกได้วะ จะเหลือที่ยืนให้กุในสังคมบ้างมั้ย
จะเอาอะไรแดก
แนะนำกุหน่อยได้มั้ยว่าถ้ากุไม่ทำงานบริษัท กุจะยังมีอนาคตเหลือมั้ยถ้ากุจะทำงานด้านศิลปะต่อ
ฟรีแลนซ์ต้องการ 2 อย่างสำหรับด้านศิลปะ
1 ฝีมือ
2 ขยัน
มึงมี 2 อย่างนี้มั้ย มึงไม่มีความรับผิดชอบก็แสดงว่ามึงไม่ขยันแล้ว เป็นฟรีแลนซ์แล้วรับผิดชอบงานไม่ได้นี่ชีวิตมึงจะลงเหวยิ่งกว่าออฟฟิศ
เมื่อไรก็ตามที่มึงเสียเครดิต ชีวืตมึงก็จบสิ้น
อ่อ แล้วเป็นฟรีแลนซ์ มึงยิ่งต้องทำทั้งานเอกสารและบวกเลข เพราะการที่มึงทำงานตัวคนเดียว หมายความว่ามึงต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
>>258 งิมึงก็ไม่ชอบงานที่ทำอยู่ตอนนี้ป่ะวะ ไม่ได้ว่าออฟฟิศไม่ออฟฟิศ มึงแยกแยะ งานศิลปะ งานกราฟฟิคมึงก็มีตั้งหลายสาย พวกนี้ก็ทำงานบริษัท มึงก็แค่ไม่กล้าออกจากงานที่ที่บ้านยัดเข้ามา แน่จริงมึงก็สมัครงานออฟฟิศที่เป็นงานกราฟฟิคให้ได้แล้วก็ลาออกจากที่เก่าเลย ทำงานแล้ว มึงก็รับผิดชอบตัวเอง เพราะที่บ้านยัดเข้ามึงเลยกลัวเขาด่าถ้าลาออกเหรอวะ
ใช้เวลาหลังเลิกงานพัฒนาฝืมือซะอัพพอร์ตตัวเองให้เทพๆ อย่าอ้างบอกว่ากลับบ้านเหนื่อยไม่มีแรง มึงไม่มีพอร์ตชาติหน้าเขาก็ไม่รับมึง
เอาไปยื่นโชว์บ.กราฟฟิกที่มึงสนใจ ที่แรกๆที่มึงไปทำจะได้เงินน้อยเพราะไม่มีประสพการณ์ ก็ทนทำไป อัพพอร์ตไปด้วยอย่าย่ำอยู่กับที่ สูบเทคนิคจากซีเนียร์มาเยอะๆ
ถึงจุดนึงมึงเป็นซีเนียร์ในไทยแล้วจะตันต้องขยับขยายไปบ.ฝรั่ง ฝึกภาษาอังกฤษระดับสื่อสารให้ได้ ดีกว่านั้นต้องได้ภาษาที่3ด้วย
หรือจะออกมาฟรีแลนซ์ หาคอนเนคชั่นเยอะๆรับผิดชอบตัวเองมากกว่าทำงานบ.อีกสัก4เท่า หาแฟนคลับเยอะๆสะสมชื่อเสียงเอาไว้
เท่าที่กูบอกได้ก็เท่านี้ ขอให้มึงโชคดี
ใครเป็น HR หรือไม่ใช่ก็ได้ ขอถามหน่อยว่าประวัติการทำงานต้องใส่ครบทุกที่ไหม ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังอะไรนะ แต่ในความคิดกูกูรู้สึกว่างานที่ทำที่แรกๆ ก็เหมือนประวัติการศึกษาสมัยอนุบาลอ่ะ คือไม่ต้องใส่ก็ได้มั้ง ไม่อยากให้เรซูเม่ยาวเยิ่นเย้อด้วย แต่ถ้ามันควรจะใส่ก็จะใส่นะ มาถามดูก่อนไม่แน่ใจ
กูจะลาออกแล้วว่ะ แค่4วัน กราฟความรุ้สึกกูเหมือนหุ้นตก เดือนก่อนกูคิดอยู่ว่าจะออกตุลาหรือจะออกตอนมีนาดี ยังลังเลอยู่ แต่ก็คุยกับหัวหน้าไว้แล้ว
มาวันอังคาร กูไปติดต่อเรื่องสอบTOEIC ที่บริษัทมีนโยบายให้พนักงานไปสอบ ปรากฎว่าHR ยังไม่ได้ต่อสัญญากับศูนย์สอบ กูรู้สึกผิดหวังมาก ฝ่ายบริหารกำหนดนโยบายให้พนักงานไปสอบ เป้าหมายที่ 550 แต่ไม่มีความชัดเจนเรื่องเงินเพิ่มพิเศษจากคะแนนสอบ แถมHRก็ดูทำงานแบบขอไปดี เดาว่า TOEIC550 เป็นแค่นโยบายของฝ่ายบริหารที่พูดลอยๆเฉยๆ......................เจอแบบนี้กูตัดสินใจว่าจะออกตุลาแม่งและ บริษัทดูไม่ให้ความสำคัญกับคะแนน TOEIC เท่าไร ถ้ากูได้ซัก 650+ เงินเดือนกูคงเท่าเดิมอยู่ดี
มาวันพุธ โดนย้ายหน้าที่ใหม่ งานใหม่ หนักกว่าเดิมรับผิดชอบกว่าเดิม ก็ดีใจนะที่หัวหน้างานให้ความสำคัญเลือกกูขึ้นไปทำงานที่ยากขึ้น แต่เงินเดือนแม่งเท่าเดิมว่ะ จากเมื่อวานที่คิดไว้แล้วว่าจะออกก็ยิ่งย้ำความรู้สึกเดิมไปอีก
มาวันนี้แม่งทุกอย่างเหี้ยมาก พอทำงานเพื่อรอวันลาออก กลายเป็นว่าจากเดิมสมัยที่มาทำงานใหม่ๆ มีความสุข แปปๆก็หมดวัน ไม่เคยเบื่อวันจันทร์เพราะทำงานแปปเดียวก็ถึงวันศุกร์ แต่แค่วันนี้วันเดียวกว่าจะถึงเวลาเลิกงานแม่งอึดอัดมาก นั่งรอชั่วโมง งานกูยากขึ้นแต่ไม่ได้ยากมากมายกว่าเดิมเท่าไร แต่พอทัศนคติในการทำงานเปลี่ยนเท่านั้นแหละมึง ทุกอย่างเหมือนจะพังหมด
พรุ่งนี้กูว่าจะไปขอใบลาออกกับHR และ คิดว่าลาออกมาเรียนภาษาหรือหางานใหม่มันน่าจะคุ้มกว่า ย่ำอยู่ที่เดิม
>>263 กูคิดว่าจะเอาเวลาว่างไปเตรียมสอบภาษา ตอนนี้กูกำลังจะสอบN5 ปลายปีวางแผนว่าจะสอบN4 TOEICยังไม่เคยสอบแต่คิดว่าถ้าลงทุนไปซื้อคอร์สติวกูน่าจะได้ 650 ขึ้น ฐานะทางบ้านกูค่อนข้างดี พ่อแม่รับราชการมีเงินส่งให้กูเรื่อยๆ
คือจริงๆกูสามารถใช้ชีวิตแบบNEET หลังเรียนจบได้เกือบ10ปีเลยนะ แต่ที่มาทำงานในปัจจุบันเพราะกูไม่อยากเป็นNEET ละอายใจตัวเองว่ะเรียนจบแต่ต้องแบมือขอพ่อขอแม่ แค่เปอร์ไป1ปี(แบบทำตัวเองล้วนๆ)ก็รู้สึกผิดและ งานปัจจุบันของกูดีมาก ไม่เหนื่อย จัดว่าสบาย อู้ได้เยอะ หัวหน้าดี เพื่อนร่วมงานเป็นคนตลกคุยกันสนุกสนาน ผู้บริหารไม่งี่เง่า แต่ติดที่เงินเดือนน้อยและมันไม่ขยับมา2ปีจนกูรู้สึกว่าควรออกจาก Safety zone ว่ะ
คือจะอยู่ต่อก็ได้นะ แต่มันก็เหมือนกับไม่กล้าออกไปหางานใหม่ที่เงินเดือนสูงกว่าเพราะติดใจกับงานเงินเดือนน้อยแต่งานสบายเวลาพักเยอะวันหยุดเยอะ ตอนกูเปอร์ต้องเรียนต่ออีก1ปี ตอนนั้นกูก็เฟลนะ เทอมแรกไม่มีเรียน(กูF1ตัว และเป็นFเทอมสอง) เทอมแรกกูกัดฟันหางานทำแบบไม่มีวุฒิ ป.ตรี แรกๆก็กลัว ไม่อยากออกไปสมัคร คิดว่าอยู่เฉยๆก็สบายแล้วพ่อแม่ส่งเงินให้ใช้ แต่ด้วยความอายรุ่นน้องอายเพื่อนที่เรียนจบ(กูอยู่หอใน ระบบหอในทุกคนในหอจะสนิทกันมาก) "พี่ยังไม่จบเหรอครับ" "พี่ไม่ทำงานเหรอครับ" "นี่มึงยังหางานไม่ได้อีกเหรอ" อะไรเทือกนี้ สุดท้ายกูก็ออกไปหางานทำ
ตอนนี้ความรู้สึกนี้มันกลับมาอีกรอบ เพราะถ้าอยู่ต่อก็เหมือนถอยหลังว่ะ สู้กัดฟันทน ติวภาษาให้เก่งๆให้ได้คะแนนสูงๆแล้วไปหางานใหม่ที่เงินเดือนดีๆมันจะคุ้มกว่าในระยะยาว
>>265 ความคิดกูคือ อยู่ตอนนี้แม่งทรงตัว เงินเดือนเท่าเดิม ไม่มีเวลามาติวภาษาจริงๆจังๆ แต่ดีที่งานสบายและเพื่อนร่วมงานน่ารักไม่ดราม่าเหมือนอยู่กับเพื่อนสมัยมหาลัย เสียที่เงินเดือนน้อย จนกูคิดว่าถ้าลาออกมาเอาเวลาไปติวภาษาให้ได้คะแนนสูงๆ มันน่าจะหางานใหม่เงินเดือนสูง ฝากอนาคตได้ มันจะคุ้มกว่า
อ่อเรื่องภาษาญี่ปุ่นกูตั้งความหวังไว้ว่าภายในสองปีจะผ่าน N3 ให้ได้ว่ะ ซึ่งถ้าอยู่ที่เดิมยังทำงานอยู่ มันทำได้ยาก เพราะทำงานไปด้วยเรียนภาษาไปด้วยมันก็หนักอยู่
Investment banking นี่จริงๆคือทำอะไรกันวะ กูรู้แค่งานแม่งเงินดีแต่ความกดดันก็สูงมาก ได้ยินมาว่าไม่ต้องจบตรงสายก็ทำได้ด้วย?
>>267 คร่าวๆคือแม่งเป็นที่ปรึกษาการลงทุนน่ะ เงินคนอื่นไง ความกดดันแม่งเลยสูง
http://pantip.com/topic/31471258
>>267 วานิชธนกิจ ตัวอย่างแบบเข้าใจง่ายก็พระเอกในหนังเรื่อง Wall street ภาคสอง กับหนังเรื่องเงินเดือด
เงินเดือนดีแต่ได้ยินว่างานหนักมาก ลักษณะการทำงานก็เช่น มีบริษัทจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็มาจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้เตรียมการให้
พนักงานของบริษัทที่ปรึกษาก็ Investment banker นั้นเอง งานหนักเงินดี ถ้าจบโปรเจคได้สวยก็มีโบนัสแถมอีก
งานสายการเงินเครียดตายห่า เพื่อนกูเป็นcfaยังแทบไม่มีเวลาใช้เงินเลย มัวแต่ทำงานนอกเวลากลัวพลาด ทุกวันนี้ระบายความเครียดด้วยการแดกบุฟเฟ่ เครียดตายก็ไขมันอุดตันเข้าสักวัน
High rise High return
เงินเดือนเยอะก็แลกมาด้วยความเครียดและเวลาที่หายไป กูมองว่างานเครียดๆเงินเดือนสูงแต่เวลานอนน้อย เหมาะสำหรับเก็บเงินไว้สร้างตัวว่ะ ทำซัก5-6ปีแล้วค่อยลาออกมาทำอย่างอื่นที่สบายกว่าเงินเดือนน้อยกว่า
เลิกงานเที่ยงคืน อายุ20กลางๆยังพอไหว แต่30ขึ้นแม่งทรมานแน่
ทำเอาทุนกะประสบการณ์ แล้วไปทำ trader แทน
มึง คือแบบ งี้เว้ย ไปสมัครงานมา แล้วทำพลาดตลอด
เป็นงานภาษาตปท.นะ
บ.แรก กูไม่ได้เอาแว่นตาไป เขาให้อ่านให้ฟังเป็นภาษาตปท. เขาหันมาเอียงๆ ให้อ่านจากหนังสือ กูอ่านไม่ออก มองไม่ทัน
เขาเลยคิดว่ากูไม่เก่งเว้ย พอกลับมาดูที่บ้าน อิห่าาาาาา อ่านออก น่าจะตื่นเต้นเกินไป
บ.สอง กูหมายมั่นปั้นมือมากว่ากูต้องได้บ.นี้แน่ๆ บ.ในฝันกู คุยกะเขารู้เรื่องมาก เขาชมว่าภาษากุดีเลยและ
ปรากฎว่า กูไปทำพังตอนที่ เขาอธิบายรายละเอียดงานให้ฟังเว้ย แล้วกุเสือกไปซักเขาละเอียดเกินไป
แบบ นอกจากงานประจำแล้ว กุมีหน้าที่ต้องคอยช่วยเหลือให้โปรเจคลุล่วง กุก็ถามว่า ลุล่วงในหน้าที่นี้คือกุต้องไปกุมบังเหียนโปรเจคเหรอ
หรือเวลาของขาดกุต้องวิ่งไปซื้อให้ไหม ฯลฯ คือกุเริ่มกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็น เจเนรัลเบ๊ พอกุซักหนักๆเข้า เขาเลยเลือกคนอื่นว่ะ อิเหี้ยยย
แล้วที่เลวคือ บอกรีครูทว่ากุฟังเขาไม่รู้เรื่อง จริงๆคือกุฟังรู้เรื่องแทบทุกปย. แต่เขาอธิบายไม่ได้เว้ย ว่าอิหน้าที่สเปเชี่ยลนอกจากงานหลักคืออะไรบ้าง
บ.สาม กุไปรอตั้งแต่สิบโมง สัมเสร็จเที่ยง อิห่าาาาา คือคนสัมภาษณ์มองกุแรงมาก ดูแล้วไม่น่าอยู่กันได้ ด่าผ่านมาทางรีครูทอีกว่ากุพูดช้า ฯลฯ
บ.สี่ อันนี้กุหาเอง ซวยบัดซบ คือตอนสมัครหว่านๆ กุลืมดูว่าเขาต้องการคนมีปสก. คนสัมแม่งไม่ชอบหน้ากู เซ็งกู เพราะไม่มีปสก. กุเผลอเท้าคาง
มันตบแฟ้มปิด ด่ากูว่าไม่มีมารยาทแล้วเดินออกจากห้องสัมไปเลย ทั้งเฮชอาร์ทั้งกุคือนั่งงงกันทั้งคู่แบบ อิห่า เมนมารึไงวะ
บ.ห้า แถวบ้าน เขาให้กุแปล กุลืมเอาดิกไป (จริงๆที่อื่นแม่งไม่ค่อยให้ใช้ดิก) เขาให้ทดสอบงาน กุก็ทำได้ แต่เอา MD มาคุยกะกุ เสียงกุสั่นหงึกๆๆๆปัจจุบันก็ยังไม่ติดต่อกลับมา บายยยยย แต่อันนี้ไม่ค่อยเสียใจ เพราะรีครูทบอกแล้วเขาต้องการแบบเทพเบย
ถึงตอนนี้กุเริ่มจิตตกแระ คือกูอ่ะ ถ้าให้พูดแบบหลงตัวเองเลยนะ คือกุเก่งมาตั้งแต่ม.ปลาย เป็นท็อปห้อง เกรดกุดี ม.ที่กุอยู่ก็ดี จบมากุก็ได้ใบ Cer ตปท.ที่ใช้หางานแบบขั้นดีเลยแหละ แต่เหมือนยิ่งกุสัมไป กุยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ ความมั่นใจหดหายไปเรื่อยๆ พูดห่วยลงเรื่อยๆ หลายคนทั้งที่ม. ที่รร. เชื่อว่ากุต้องได้งานแน่ๆ แต่กุรู้สึกอัปยศกับตัวเอง เหมือนทั้งๆที่เก่ง มีความสามารถ หัวดี ทำไมกุถึงกลายเป็นแบบนี้วะ
ถ้าพูดถึงนิสัย กุอ่ะ วันๆเอาแต่หน้าซุกตำรา เป็น Introvert แบบเต็มตัว ไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กะชาวบ้าน พูดไม่เก่ง มืดมน แต่ว่าหัวดีเรื่องข้อสอบ เรื่องเรียนไรงี้
กุรู้สึกว่ายิ่งเวลาผ่านไปยิ่งแย่ว่ะ อ้อ อีกเรื่อง กุไปสัมรีครูทมาสี่ที่
1 ที่แรกชอบกุมากก ฟาดงานให้กุเลย แต่ตอนนั้นหยิ่ง ไม่เอา
2 รีครูทที่สอง ชมว่ากุภาษาดี ฟาดงานให้อีก แต่กุก็ไม่เอา
3 รีครูทที่สาม ไม่ได้บอกอะไร แต่ให้งานเลย กุก็ไปสัมบ.2 แต่ไม่ผ่าน
4รีครูทที่สี่ เปรียบเทียบกุกะคนอื่นที่ไปแลกเปลี่ยนมา บอกว่ากุมีปัญหาการพูด เวลาพูดต้องนึกก่อน ภาษายังไม่ดีมาก นิสัยเด็ก ฯลฯ ซึ่งคำพูดของคนๆนี้ทำให้กุท้อใจมาก
คือยิ่งกุพลาดไปเรื่อยๆกุยิ่งเหี่ยวว่ะมึง มีไรแนะนำมะ กุว่าหลังจากนี้กุจะเปลี่ยนสายงานและ กุว่ากุพูดไม่เก่งว่ะ แล้วดันเสือกสมัครงานที่ต้องพูดเยอะๆ
คือจริงๆเป็นคนพูดมาก แต่เวลาเจอคนไม่สนิทแล้วจะเงียบกริบเลย
ปลอีบ.สองนี่กุปลดปล่อยพลังคอสโม่เต็มที่แล้วจริงๆ แต่อาจจะซวยอีกอย่างตรงที่ Candidate อีกคนมีปสก.ตรงมากกว่าด้วยแหละ
ปล.สอง ตอนนี้กุอ่อนไหวอย่างรุนแรง ให้คำแนะนำกุด้วย
กูเหนื่อยว่ะ สิ้นเดือนนี้ก็จะตัดสินแล้วว่าจะผ่านโปรมั้ย กูไม่อยากไปเตะฝุ่นเป็นปีแล้ว งานที่ต้องทำตอนนี้ก็ทำพลาดแทบทุกอัน จนกูคิดว่าพี่เขาคงเอือมกูแล้วมั้ง ทำงานทีไรกูเครียดจนปวดท้องทุกทีเลยว่ะ
>>275 นี่กูจริงใจน้าาาาาา เปิดหนังจิ้มเกลือกินได้เลยนะจ้ะ มึงวิจารณ์มาก็ได้นะ ทำไมกุไม่ได้งาน
>>276
555555 เอางี้นะ สมมตจริงๆแล้วกรุแบบ ความสามารถประมาณ indominus rex แต่ความห่วยทางศักยภาพทางการพูดกุทำให้เขาเห็นกุเป็น แย้ - -"
แบบอย่าเอามาเข้ากรงเลย กลับไปขุดรูที่ทุ่งนาเถอะจ้ะ แบบนี้ควรจะปรับปรุงไงวะ * ติ่งจูราสสิคโปรดให้อภัย ปล.ดูกันยัง สนุกนะ
คือทุกครั้งที่เจอคนกุจะมีอาการตื่นคนว่ะ รีครูทแรกๆที่สมัครกุยังมั่นใจในตัวเองอยู่เลยไม่มีปัญหา แต่ยิ่งโดนแต่ละที่ดูถูกมันเลยทำให้กูตั้งคำถามกะความสามารถของตัวเอง แบบ มึงได้ N2 นะ แต่ทำไมทักษะการพูดห่วยแตกเยี่ยงนี้ไรงี้
เอาจริงๆ เหมือนกะว่ากุก็ไม่ได้อยากทำงานที่สมัครไปด้วยว่ะ -*- กุไม่ชอบเป็นล่าม เกลียดความกดดัน ปรับตัวไม่เก่ง แต่เหมือนกับจบมาแล้วก็ต้องหา เขาให้งานอะไรมาก็สัมไปก่อน มันก็เลยประมาณนี้ บ.ที่กูอยากได้จริงๆ มีแค่บ.หนึ่ง บ.สองแหละ
พรุ่งนี้กูก็จะไปสัมอีก ==; เฮ้ออออ
กูแย่ตรงไหนบ้าง มึงบอกมาได้นะ กูจะปรับปรุงตัว
มึงพึ่งออกจากห้องสัมภาษณ์มา เขาบอกว่ากุสำเนียงดีมาก เคยไปอยู่ญี่ปุ่นมาก่อนไหม และในบรรดาทุกคนเขาอยากได้กุที่สุด คงเพราะกุสบายๆ และไม่คาดหวังกะงานนี่มั้ง เหมือนน้ำตาจะไหลเลย ในที่สุดก็มีคนเห็นความสามารถกุจริงๆสักที
ไม่เชิงงานล่ามว่ะ คือกุล่กๆลนๆขี้หลงขี้ลืมใช่มะ -_-
มึงจะติกุก็ได้นะ แต่กุต้องการคำแนะนำจริงๆ
กูไม่รู้จะติยังไงว่ะ กูบอกได้แค่ว่ามึงดูไม่ปกติ... และอย่างที่ก็มึงรู้ตัวนั่นแหละ มึงทำตัวในสังคมไม่เป็นเอาซะเลย มึงไม่รู้แม้กระทั่งมารยาทพื้นฐานทั่วไปของสังคม แค่ไปสัมภาษณ์งานแล้วกล้าเท้าคางนี่กูก็ร้องเหยดแล้ว
แต่เดี๋ยวไปทำงานเข้าสังคมก็คงดีขึ้นเองมั้ง คอยดูว่าคนอื่นเค้าเป็นยังไง พูดให้น้อยที่สุด เน้นดู ดู ดู ว่าชาวบ้านปกติเค้าเป็นยังไง พูดอะไร ทำตัวแบบไหน แล้วพยายามทำให้กลมกลืนกับคนอื่น คอยดูปฏิกิริยาคนอื่น
เอาจริงๆ วันที่ไปสัมแล้วเท้าคางคือวันวิปโยคของกุเลย สัมสองที่ติด ต้องวิ่งแท๊กซี่ไปให้ทันเวลา ถูกข้อสอบโหมกระหน่ำสองรอบ
ตอนที่เท้าคางคือไม่ได้ตั้งใจนะ แต่เขาถามแล้วตอบไม่ได้เลยเผลอเท้าคาง แบบ เอ....
รู้ว่าไม่ดีนะ พอนึกได้แบบ อ้ะ! ระเบิดก็ลงแล้ว บ.อื่นกุก็เก็บไม้เก็บมือดีตลอด ...
ดูไม่ปกตินี่เป็นคำศัพท์ที่ทำให้กุช้ำใจนะเพื่อนโม่ง มึงควรใช้คำว่า Unique \(=3=)/
ยังไงก็ขอบใจนะ จะกลับไปทบทวนตัวเองดู...
>>287 ในฐานะ fellows introvert รู้ว่ามันฝืนสันดาน
แต่ลองเริ่มคุยกับคนไม่รู้จักให้มากขึ้นหน่อยมั้ย
กุทำงานตัดต่อ แล้วมันต้องมีการขายงาน ช่วงปีแรกๆกูก็เงียบกรับ
สนแต่งานที่ตัวเองทำ ไม่ได้คุยกับ ลูกค้า / ae / agency อะไรเท่าไหร่
ซึ่งมันก็โอเค ทรงๆ
แต่ทำๆงานไปกุเริ่มเรียนรู้ว่าเฮ้ย เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากขึ้นว่ะ
แล้วงาน / ความหวังดี มันจะวิ่งเข้ามาหาเราเรื่อยๆ กุเริ่มตั้งแต่ ทุก คุยเล่น
กับแม่บ้านประจำห้องตัดต่อ ไปจนถึงลูกค้า MD ที่มาดูงาน double head
(แบบรู้ลิมิทนะ)
หลักจากนั้นงานแม่งทะลัก + มีแต่คนสบายใจจะทำงานด้วยว่ะ
ลองดูมึง
>>288 เหมือนกัน จนบางทีกูนึกว่ากูกลายเป็นพวกสองบุคลิกไปแล้วรึเปล่าวะ เวลาอยู่ที่ทำงานกูจะยิ้มแย้ม คุยเก่ง นายและเพื่อนร่วมงานรักและเอ็นดูทุกคน แต่พอเลิกงานอยู่คนเดียวหน้ากูจะเป็นตูดทันที เพราะแอ๊บมาทั้งวัน 5555 แต่จริงๆ กูว่ามันเป็นเรื่องปกติว่ะ ทุกคนก็คงทำกันทั้งนั้น เพื่องาน เพื่อเงิน กูเคยดูทีวีเค้าบอกว่าไอ้พวกดาราตลกในทีวีน่ะ ส่วนมากเวลาอยู่นอกทีวีหรืออยู่บ้านแม่งเงียบกริ๊บ ขรึม เพราะมันตลกมาทั้งวันแล้ว เหนื่อยแล้ว มันใช่เลยว่ะ แต่คน extrovert จะไม่เป็นนะ หลังเลิกงานก็ยังอยากพบปะผู้คน ยังอยากแฮงค์เอาท์ต่อ กูนี่ขออยู่คนเดียวเงียบๆ เถอะ
จริงๆ กูจะมาถามเรื่องตัวเอง อ่านเพลินเลยตอบเพลินจนลืม...
มึงว่าคำว่า "บุคลิกภาพดี" ใน requirement ของประกาศรับสมัครงาน มันควรจะเป็นยังไงบ้างวะ กูก็อ่านๆ ในเน็ทมาแล้วบ้างนะ ส่วนมากก็ตอบแบบโลกสวยว่าก็ต้องไม่ทำกิริยาอะไรทุเรศๆ ไม่อ้วนไม่ผอมเกินไป แต่งตัวถูกกาลเทศะ สะอาดสะอ้าน แต่กูไม่ค่อยเชื่อว่ะ กูมีความรู้สึกๆ ว่าอันนั้นมันเป็น standard อยู่แล้ว ถ้าไม่มีที่ว่ามาก็สมัครงานห่าอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ แต่งานที่เขียนว่าต้องการคน "บุคลิกภาพดี" มันต้องการคนสวย/คนหล่อ แค่เขียนอ้อมๆ เพราะถ้าเขียนว่าสวย/หล่อมันจะ discrimination โดนด่าแน่นอน เพราะเหตุนี้กูเลยไม่เคยมีความมั่นใจที่จะไปสมัครงานที่มีคำนี้อยู่ในประกาศเลย...
>>290
กูว่าสวย/หล่อมันเป็นปัจจัยเสริมว่ะ กูเคยเห็นพวกแอร์สจ๊วต ที่ไม่หล่อ หรือไม่สวย เรียกว่าหน้าตา"โอเค" แต่บุคลิกนี่แบบออร่าแผ่กระจายมาก
ในความคิดกู ถ้าไม่ใช่งานที่ต้องรับลูกค้า เป็น Reception หรือเซลล์ ไม่สวยไม่หล่อก็ไม่ตายว่ะ แต่ควรพูดจาดี ดูน่าเชื่อถือ มีหัวคิด ประมาณนี้
กุว่าคนที่เขาฉลาด เขารู้จักปรุงแต่งบุคลิกภาพตัวเองด้วยมั้ง เพื่อความสำเร็จในการงาน ฯลฯ
>>ถ้าเป็นงานที่มึงอยากทำ มึงให้HRบ.ตัดสินมึง แต่มึงอย่าเพิ่งด่วนตัดสินตัวเองดิว้า = =; ลองถามเพื่อนๆไรงี้ก่อนก็ได้ มาถามในโม่ง ก็ใช่ว่าโม่งจะเคยเห็นหน้าแกซะเมื่อไหร่
ทนกับงานเงินเดือนต่ำ ๆ ไม่ไหว ลองไปเรียนเขียนโปรแกรมไหมพวกนาย
เงินเดือน 30-50k เลยนะ
พวกงั่งไปเรียนที่นั่นนี่ หมื่นห้ากูยังไม่อยากจะให้เลย
ตอนนี้กูมาฝึกงานต่างจังหวัด อยู่หอพนักงานกับเพื่อนร่วมงานอีกคน เจ๊แกแม่งพูดมากชิบหายเลยว่ะเพื่อน ทำไงดีวะ กูทำทุกวิถีทางแล้ว ก้มหน้าก้มตาเล่นคอมพ์เอาหูฟังอุดหู เจ๊แกแม่งก็ยังพูดกรอกหูกูอยู่อีก ต้องการคำตอบด้วยนะเว้ย แล้วเรื่องที่พูดก็เพ้อเจ้อโคตรๆ เลยว่ะ แบบผีเจาะปากให้พูด พอกูตอบแบบขอไปทีแม่งก็ถามว่ากูรำคาญหรือเปล่า เสร็จแล้วเจ๊แกก็พล่ามต่อไป แถมมีเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังด้วยนะว่ากูมนุษย์สัมพันธ์เลว คนอื่นก็มองกูแปลกๆ อีเหี้ยกูกลุ้มโว้ยย
ที่ทำงานกูปรับระบบไวไฟใหม่ จะเข้าไวไฟต้องลงทะเบียน แต่กูจ่ายเพิ่มอีกเดือนละ 99 สบายใจกว่า
เป็นโยบายที่ดีเหมือนกัน บริษัทประหยัดBandwidth และบังคับให้พนักงานใส่ใจกับการทำงานมากขึ้น
ถ้าจะเล่นเน็ตผ่านไวไฟบริษัทก็รู้เลยคนไหนเล่นกี่นาที
http://pantip.com/topic/33836427 อ่านคอมเมนต์แล้วกูอยากร้องไห้เลย HRนี่มันมีคนเกลียดกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ เห็นมีกระทู้เกี่ยวกับHRทีไรนี่มีคนเข้ามาใส่ตลอด
HR ดีๆก็มี ที่เลวก็คือไม่ติดต่อแล้วเงียบหาย กดราคา ดูถูก เปรียบเทียบผู้สมัครอื่น ฯลฯ
งานบริการ ทำยังไงก็ถูกใจคนยาก ที่สำคัญ พออยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจตัดสินคัดกรองคนอื่นแล้วมันทำให้อัตตาอีโก้สูงด้วยมั้ง
เช่นจขกท.เป็นต้น เนื้อความดี แต่ความอะไรๆบางอย่าง ที่ทำเหมือนตัวเองสู๊งส่งทำให้คนอื่นเขาหมั่นไส้อยากเหยียบน่ะ
ทำงานมาแปดปีพึ่งถึง35k
เพื่อนร่วมงานกูได้ 50k ++ กูเก่งกว่าเยอะแต่ได้ไม่ถึง 50k
ทำมา 6 ปี
กูทำมาสี่ปีแล้วได้แค่ 25k เอง ( .___.)
อายุ25 ทำงานมา3ปี เงินเดือน80k ถือว่าน้อยไหมครับ ??
อิอิออิ
มาเป็น HR กันซิ 50k+ ง่ายๆสบายๆ
HR มีหลายฟังก์ชั่นงานจะตาย แต่คนส่วนใหญ่จะมองแค่รีครูทแค่นั้น เลยมองว่า HR งานมันง่าย ซึ่งจริงๆรีครูทก็ไม่ง่ายนะ แต่ขอแชร์ประสบการณ์งานตัวเองหน่อยละกันคนจะได้เข้าใจมั่งว่างาน HR มันไม่ง่าย เอาแค่งานพนักงานสัมพันธ์ละกัน
งานส่วนนี้มีทั้งดูแลสวัสดิการทั่วไป จัดกิจกรรมสร้างความผูกพันธ์ ดูแลรับเรื่องร้องทุกข์ ดูแลกฎหมายแรงงาน ข้อกำหนดมาตรฐานแรงงาน ข้อกำหนดลูกค้า งานพวกนี้น่าจะนึกภาพออกกัน ยากไม่ยากขึ้นกับระบบภายในบริษัทแล้วก็ปริมาณงานเทียบจำนวนคน เป้าหมายหลักๆคือไม่มีปัญหาแรงงานและอัตราส่วนเทิร์นโอเวอร์อยู่ในระดับดีกว่าตลาดนั่นล่ะครับ อันนี้คือภาพที่คนทั่วไปจะเห็นกัน แต่อีกภาพนึงที่คนไม่ค่อยเห็นคือ HR ต้องทำงานสอบสวนในโรงงานครับ
ทะเลาะวิวาท ชู้สาว ทุจริต ยาเสพติด การพนัน ปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ เจอมาหมดแล้วครับ เคยต้องเอาพนักงานออกมั้ย? พนักงานท้องแปดเดือนขโมยของหลักร้อย พนักงานเด็กๆบ้านแร้นแค้นปลอมวุฒิการศึกษา ถ้แม้แต่เอาเพื่อนตัวเองที่กินข้าวทุกวันออกเพราะทำผิดระเบียบก็ยังเคยทำ
งาน HR บางส่วนมันเกี่ยวพันกับผู้มีอิทธิพล พวกรถรับส่งพนักงานนี่ตัวดีเลย ผลประโยชน์เยอะ บางทีผู้มีอิทธิพลมีเมียหลายคนแล้วมันขัดผลประโยชน์กันเอง ความซวยมาตกกับบริษัทอีก เพื่อนร่วมงานโดนคนรุมกระทืบเพราะขัดผลประโยชน์เขาก็มีมาแล้วครับ
งานในส่วนเยียวยาก็สำคัญ พนักงานเจ็บป่วยดูแลความเป็นอยู่รักษาผลประโยชน์เขาให้เต็มที่ พอเสียชีวิตก็ตามไปดูแลผลประโยชน์ที่ตกกับทายาทให้อีก เรื่องเดินทางไปจังหวัดไกลความเจริญ เดินทางสมบุกสมบันนี่มีประจำ เคสทายาทแย่งผลประโยชน์กันเองก็ต้องไปรับบทกรรมการห้ามศึกอันนี้ก็มีครับ
ทำงานกับคนยากนะ นี่ยังไม่พูดถึงการรับมือกับ NGO กับพวกกลุ่มเคลื่อนไหวด้านแรงงานเลย
>>316 จริงๆ ต้องบอกว่าทำงานโรงงานมันเถื่อนกว่าน่ะ เพราะว่าคนมันระดับนั้น ปัญหามันเลยค่อนข้างเยอะ นี่ไม่ได้เหยียดชนชั้นหรืออะไรนะ แต่พูดจากประสบการณ์เพราะเคยทำมาแล้วทั้งออฟฟิศและโรงงาน จำนวนพนักงานพอกัน แต่จำนวนปัญหาและรูปแบบปัญหาต่างกันฟัากับเหว ทำ HR โรงงานได้นี่ต้องโคตรถึกทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ถ้าทำ HR บริษัทก็ไม่ได้โหดขนาดนั้น ค่อนข้างชิลล์กว่าพอสมควร ใครอยากถึกๆ แกร่งๆ แบบชีวิตนี้จะไปอยู่ที่ไหนก็ได้แล้วแนะนำให้ลองทำงานโรงงานใหญ่ๆ คนเกิน 3000+ ซักครั้งในชีวิตนะ แล้วจะรู้ว่าความโหดมันส์ฮามีอยู่จริง 5555555
บริษัทที่กูเคยอยู่ก่อนหน้านี้ HR ฝ่าย recruit กูค่อนข้างดีนะ ต้อนรับดี พูดจาดี กูเผลอหลุดอะไรเหี้ยๆออกไปเค้าก็รู้จักเก็บอารมณ์ อำนวยความสะดวกทุกอย่าง
เค้ามี concept เลยว่าคนที่มาสัมภาษณ์งานคือลูกค้าจะมาเข้าทำงานกับบริษัทรึเปล่าก็เป็นอีกเรื่องนึง ตอนไปสัมภาษณ์กูประทับใจมากๆ
เสียตรงกดราคานี่แหละ แต่กูก็เข้าใจว่ามันก็หน้าที่ของเค้า
HR ฝ่าย training ก็ดี เวลาไปอมรมนอกสถานที่นี่ตามไปดูแลอย่างดีตลอด แต่ฝ่ายจัด activity ห่วยสัส
ส่วนบริษัทปัจจุบันฝ่าย recruitment ทำงานโคตรไม่เป็นมือเป็นอาชีพ นัดเวลาผิดๆถูกๆ ระบบงานหลวมและเละเทะมาก ความประทับใจดิ่งฮวบ
แต่ดีตรงไม่ค่อยกดเงินเดือน อาจจะด้วยรูปแบบงานของที่นี่มันได้เงินจากลูกค้าไวกว่าด้วยเค้าเลยกล้าจ่ายเยอะกว่า
โชคดีที่มีเพื่อนอยู่ข้างในที่รู้อยู่แล้วว่าข้างในโอเคถึงฝ่าย recruitment จะห่วยกูก็เลยเลือกที่นี่ ซึ่งก็โอเคนะ ข้างในโอเคกว่าที่แรกถึงตอนสัมภาษณ์จะไม่ประทับใจเลยก็เถอะ
พรุ่งนี้ใครหยุดบ้าง :)
ช่วงนี้กูอารมณ์ไม่ดีมากๆเลย เครียดเรื่องชีวิต วันนี้กูกะจะพูดอะไรเล่นๆ สุดท้ายกลายเป็นด่าชาวบ้านไป3-4รอบละ ปกติเวลาพวกมึงเครียด ทำยังไงกันวะ
มึงเคยเกลียดเพื่อนร่วมงานคนไหนมากๆ แต่จำเป็นต้องพึ่งพากันและกันบ้างในเรื่องงานบ้างวะ
คือมึงก็ต้องพึ่งมัน มันก็ต้องพึ่งมึง ด้วยความจำเป็นกันทั้งสองฝ่าย แต่เกลียดกันชิบหาย
โอ๊ยยย เบื่อแม่งงงงงงง ขอบ่นหน่อยยยยย ไม่รู้จะบ่นกับใคร อยากเปลี่ยนงาน แต่จะเปลี่ยนงานด้วยเหตุผลนี้แม่งก็ใช่ที่
กูคุยกับมันทีไรก็ขึ้นทุกที หงุดหงิดตลอด พยายามจะพึ่งมันให้น้อยที่สุด
แต่เรื่องงานมันก็จำเป็น ไม่ถามมันเกิดพลาดขึ้นมาก็ซวย แต่คุยทุกทีก็เซ็งไปสามชาติทุกทีโว้ยยยยยย
>>324 ถ้ากูรู้สึกตัวว่ากำลังเคลียดตึ้บๆหัว กูจะไม่พูดกับใครนะ เวลาพักหาพวกเพลงคลาสสิกเบาๆมาฟังมันจะช่วยมึงได้
>>325 กูเลยมึง กูทำงานคนละทีมกับมันแต่ทีมกูกับมันต้องคอยพึ่งพากันและกันตลอด ผิดพลาดอะไรเล็กน้อย เขียนผิดไปตัวเดียว
แม่งบ่นยังกับหัวหน้ากูแน่ะมึง แต่กูก็ต้องก้มหัวยอมรับความผิดไปรอแม่งผิดมั่งกูจะได้บ่นกลับ
กูก็เคยอยากจะย้ายทีมไปทำกับกรุ๊ปอื่นนะ แต่คิดๆไปแล้วย้ายเพราะคนนี่มันเหตุผลเด็กชัดๆแค่ปรับตัวให้เข้ากับมันก็โอเคแล้ว
ก็อย่างที่มึงบอกน่ะ พึ่งพามันให้น้อยที่สุดแต่ถ้าญาติดีได้ก็ควรจะทำทิ้งอีโก้ไปบ้างล่ะ ถ้าญาติดีด้วยไม่ได้พยายามอย่าประมาทจะได้ไม่โดนมันเสือก
ถ้ามันพูดอะไรชวนหงุดหงิดให้คิดซะว่ามันเป็นต้นไม้ไป กูคิดแบบนี้แล้วช่วยได้ดีเลยล่ะ
เออ พวกมึงบ.ที่ไทยนี่มีพักร้อนกลางปีมั้ยวะ
ทุกงานก็มีปัญหาเนอะ ถ้าไม่เรื่องงาน ก็เรื่องคน เรื่องเงิน เหนื่อย เบื่อ เพลีย
อยากจะไปอยู่ป่าก็หาของป่าแดกไม่เป็นอีก มีแต่จะโดนเสือคาบไปแดกนะฮะ
แต่กูคิดหลายครั้งมากว่าการเป็นซาลารีแมนทำไมมันน่าเบื่อหน่ายแบบนี้วะ
จะว่ากูเบื่อคน สมัยเรียนกูก็ไม่มีปัญหานะ เข้าได้กับทุกคน
เรียนก็เรียนไปเรื่อยๆ มีเหนื่อยบ้างก็ช่วงรายงานเยอะ ช่วงสอบ
แต่พอมาทำงาน เหมือนมันเหนื่อยตลอดเวลาเลยว่ะ เหนื่อยจิต เหนื่อยใจ เบื่อทั้งคนทั้งงาน
ขอโทษนะที่บ่นเยอะ กูไม่ชอบบ่นในเฟสให้คนรู้จักเห็น กูชอบบ่นแบบไร้ตัวตนแบบนี้
>>329 ลองคิดแบบกูนะ หากชีวิตมึงราบรื่นซะทุกอย่างมันจะไปสนุกได้ไงละวะ กูมองว่าชีวิตเป็นเกมส์ถ้ามีแต่มอนกากๆ
หวดทีสองทีก็ผ่านไปได้มันน่าเบื่อ สำหรับกูยิ่งมีปัญหายิ่งสนุก บางทีคิดอะไรให้มันเหมือนเด็กบ้างมันก็ช่วยผ่อนคลายได้นะเว้ย
อย่างงานของกูกูมั่นใจว่าแรงกดดันมากกว่าพวกมึงอย่างน้อยก็ 2 เท่าแน่นอน พลาดเล็กๆน้อยๆคือชิบหายกันเป็นทีมเป็นทอดๆ
กูได้ลงสนามครั้งแรกๆนี่เคลียดชิบหาย
หัวหน้ากูมันก็เข้าใจบอกให้กำลังใจ ให้คิดซะว่าออกไปเตะบอลกับเพื่อน กูก็นึกนะทำไมชิลจังวะ งานซีเรียสแบบนี้
พอทำๆไปกูก็พอเข้าใจได้แล้วว่าทำไมเพื่อนร่วมงานมันดูชิลกันจัง ยิ่งงานเคลียดมึงยิ่งต้องทำตัวผ่อนคลาย
เพราะไม่รู้ความเคลียดความซีเรียสความกดดันจะผ่านไปเมื่อไหร่ มัวแต่ depress คิดแง่ลบชีวิตไม่ได้มีความสุขพอดี
มองอะไรง่ายๆแต่ไม่ประมาทจะทำให้มึงคิดว่าสามารถผ่านไปได้เสมอเว้ยโม่ง
>>330 ฮือ ดีว่ะที่มึงทำใจมองให้เป็นเรื่องสนุกได้ กูก็รู้แหละว่าเราเปลี่ยนโลกเปลี่ยนสังคมเปลี่ยนอะไรไม่ได้ เปลี่ยนได้แค่ใจตัวเอง
กูชอบเล่นเกมส์นะ แต่ทำไมกูท้อกับเกมส์ชีวิตจริงจังเลยวะ กูอยากทำงานที่มันราบเรียบง่ายๆ สบายๆ บ้าง แบบทำไปวันๆ
แต่มันไม่มีหรอกเนอะ จะงานไหนก็มีปัญหาทั้งนั้น เรามองจากภายนอกเราก็ไม่ไปรู้ปัญหาของเค้าหรอก
มึง มีกูคนเดียวรึเปล่าวะที่ไม่ชอบเวลางานไม่มีปัญหาอะไรเลย
คนทักกูว่ากูดูเหนื่อยนะ งานหนักเหรอ ในวันที่กูว่างตลอด
ส่วนวันที่งานหนักเหนื่อยนี่กูร่าเริงมาก
ประสาทแหละ แต่ตอนเครียดนี่ก็เครียดจริง แต่ก็ชอบทำงานกับความเครียดมากกว่าความเบื่อหน่าย
ความเครียดเรื่องงานน่ะยังพอทน แต่ความเครียดเรื่องคนนี่ดิที่น่าเบื่อของแท้
แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าป่า มันก็หนีเรื่องคนไม่พ้น ก็ต้องทนกันต่อไป เฮ้ออออ
>>335 มึงเหมือนกูนะ วันไหนมันชิลๆกูจะรู้สึกเหมือนชีวิตขาดสีสันไป เหมือนนั่งพักผ่อนฆ่าเวลาจนหมดวันซึ่งมันน่าเบื่อ
กูว่าที่รู้สึกแบบนี้คงเป็นเพราะมึงกับกูรักในงานที่ทำนี่แหละ กูไม่ค่อยคิดถึงเรื่องเงินเท่าไหร่ด้วยมีกินมีใช้เลี้ยงพ่อแม่ได้ก็พอละ
พอไม่คิดเรื่องเงินมันก็ไม่ทำให้กูเบื่อเพราะโฟกัสความสนใจไปที่งานแทนเงิน
แต่ตัวกูนี่ก็ไม่รู้ทำเพราะความรักรึความเกลียด ขอระบายหน่อย ตอนแรกกูมาสมัครงานนี้เพราะกูรักธรรมชาติมาก มันเป็นงานขององค์กรอนุรักษ์
ทีนี้พอทำๆไป 2-3 ปีนานๆเข้ากูเริ่มรู้สึกเกลียด ต้องมานั่งตรวจสอบพวกทำลายธรรมชาติ ตรวจสอบโรงงานปล่อยสารพิษเกินขนาดรึเปล่า หาหลักฐาน
ไล่เก็บลิสระดับมลพิษ เก็บเคสอีเว้นพวกลักลอบล่าสัตว์ตัดไม้ในภูมิภาคของกูไป พออ่านลิสพวกนี้กูรู้สึกเหี้ยจังทำไมคนแม่งชอบทำลายของที่กูรักเหลือเกิน เก็บหลักฐานส่งซัพให้จนท.รัฐจับเท่าไหร่แม่งก็ไม่หมดซักทีทำๆไปก็ท้อแท้เหมือนทีมกูไม่กี่สิบคน แผนกกูไม่กี่ร้อยคนกำลังนั่งสู้กับคนเป็นแสนๆล้านๆคนคือยังไงก็ไม่ชนะไม่มีวันจบ บางแคสเป็นพวกบิ๊กบราเทอร์ใหญ่กว่าองค์กรกูอีกคือรู้ว่าเป็นมันแท้ๆแต่ทำอะไรไม่ได้เลยแม่งน่าเจ็บใจมาก
พอมานั่งทบทวนนั่งคิดไปพิมพ์ไปกูเริ่มรู้สึกแล้วว่ะว่าทำเพื่อตัวเองมั่งก็ดี เห้อ แต่เดะพน.กูก็จะพักร้อนกลางปีละ
กูรู้สึกเหมือนโดนคู่ทอมดี้ที่ทำงานเกลียดขี้หน้าหว่ะ กูว่ากูไม่ได้ทำอะไรนะ กูอยู่คนละแผนกกับสองคนนี้ แล้วอาทิตย์ที่แล้วแผนกกูยุ่งมาก แทบไม่ได้ขยับตูดออกจากหน้าคอม มาอาทิตย์นี้เจอมึนตึงไปกูถึงกับทำตัวไม่ถูก
เจ๊ดี้แม่งตัวขี้เม้าท์ประจำออฟฟิตเลย เมื่อก่อนกูก็ขาประจำวงเม้าท์นาง กูเน้นฟัง ไม่ค่อยอยากร่วมเม้าท์ กูไม่ค่อยชอบแนวนี้ พูดถึงพี่อีกคนนึงว่าวันนี้แต่งเหี้ยอะไรวะเสร่อสัส มาเม้าท์ว่าน้องในทีมกูคนนึงแม่งหัวช้าเพราะเหมือนนางคุยด้วยไม่ค่อยรู้เรื่อง คือเจ๊แกคุยแค่ผิวเผินไง กูทำงานกับน้องเค้ามาแม่งฉุนแทนเลยไง แต่หลังๆไม่รู้เจ๊แกเป็นห่าไร กูพูดด้วยก็ถามคำตอบคำให้เสร็จๆไป พูดกับกูแม่งยังไม่มองหน้าเลย เจ๊ทอมกูไม่ค่อยสนิท แต่เมื่อก่อนมีคุยกันปกติ วันนี้ตอนเย็นเลิกงานกำลังจะกลับ กูก็หวัดดีนาง บอกกูไปละนะ แม่งเดินสวนกูไปเฉย ทำยังกับกูไม่มีตัวตนอ่ะไอเหี้ยยยยยยย
กูไม่อะไรนะมึง สองคนนี้ไม่คุยกับกูก็ไม่ได้ส่งผลประทบอะไรต่อชีวิตกูเท่าไหร่ แต่กูนอยด์ว่ากูทำไมอะไรยังไง แล้วถ้าจะไม่ชอบกูจริงๆ ช่วยมีความเป็นมืออาชีพหน่อย ทำเฉยๆไว้ อย่าให้มันชัดขนาดนี้กับเพื่อนร่วมงานดิวะ
>>339 สำหรับกูเวลาเจอเพื่อนร่วมงานหมั้นไส้เหรือเขม่นกู กูไม่สนนะ กูถือคติว่าหัวหน้ากับHRเท่านั้นที่ชี้ชะตากูได้ ถ้าหัวหน้าสายงานกูไม่เตือนหรือHRไม่เตือน กูถือว่าไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเรื่องของมึง ทุกวันนี้กูก็อยู่สุขภาพดีในสภาพโดนเขม่นบ้างแซะบ้าง แต่ก็ทำอะไรกูไม่ได้เพราะกูไม่เก็บเอามาคิด และหัวหน้ากูไม่เคยเตือนเรื่องปัญหาในการทำงานของกูด้วย
>>338 กูคือ 335 เองนะ เวลากูได้ยินใครพูดแบบมึง กูจะแนะนำให้พักร้อนเหมือนกัน มันคือภาวะ burn out ว่ะ รักในงานที่ทำขนาดไหนก็เกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นมึงจะเริ่มเบื่อเริ่มเกลียดและลาออกในที่สุด
มึงเป็นคนตั้งใจในสิ่งที่ทำในเรื่องที่น้อยคนจะลงมือทำมันจริงๆ กูชื่นชมนะ อยากให้มึงรักตัวเองด้วย :)
อยากรู้ว่าบริษัทพวกมึงนี่ขนาดประมาณไหนหรอ กูอยู่บริษัทฝรั่งขนาดค่อนข้างใหญ่ (แต่พนักเป็นคนไทยเกือบหมดนะ)
หลังเข้าเป็นพนักงานแล้วชีวิตวันๆไม่เคยต้องไปข้องแวะกับ HR โดยตรงเลย
กูนึกภาพไม่ค่อยออกน่ะว่าพนักงานทั่วไปทำไมชีวิตจะถูกกระทบจาก HR แบบโดนหมายหัวรายคนได้ขนาดนั้น
>>344 มันข้องแวะแบบที่มึงไม่รู้ตัว สมมติว่าเขาจะปรับเงินเดือนขึ้น พิจารณาโบนัส เลื่อนขั้น มันต้องได้รับการเห็นชอบจาก HR ด้วยนะคะมึง
เขาอาจจะไม่ได้มานั่งดูมึงทำงานแบบเห็นจะๆ แต่ KPI หรืออะไรเขาก็เป็นคนตรวจสอบ ถ้าวันนึงมีเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องกึ่งๆส่วนตัว เช่นตีกัน ขึ้นโรงขึ้นศาล ที่หัวหน้ามึงจัดการไม่ได้ เขาก็ต้องเข้ามาแก้ให้ ถ้าวันนึงบ.จะไล่มึงออกเขาก็ต้องเป็นคนคุยด้วย
ยิ่งบ.ฝรั่งที่เน้นเรื่องคนนี่ตัวดีเลย คือกูอยู่บ.ฝรั่ง พนักงานหลายชาติ นี่กูนั่งทำตารางการปรับเลื่อนขั้นเลื่อนพนักงานอยู่เนี่ย พวกเขาอาจจะไม่รู้จักกู แต่กูรู้ประวัติหลายคนเลยว่ะ บางทีก็นึกว่าสนิท (ฮา)
>>353 อย่าด่าประเทศไทยเลย สงสารประเทศไทยที่มีคนอย่างมันดีกว่า....
เอางี้นะมึง มึงคิดว่าบนโลกนี้มีกี่เพศ 2? มึงตอบผิด เปรียบเทียบ ถ้านึกว่าทอมเป็นผู้หญิงที่ฟีลว่าตัวเองคือผู้ชาย แล้วผู้ชายควรมาเปลี่ยนสภาพเพศจากทอมให้กลับสู่เพศสภาพที่แท้จริงคือ ญ มึงคิดผิด เพราะทอมเขาไม่ไ่ด้อยากเป็นผู้หญิงโว้ย เขาเลือกที่จะเป็นตัวของเขาเอง คิดว่าการเปลี่ยนทอมให้กลายเป็นผู้หญิงคือความชอบธรรมงั้นเรอะ มึงมีสิทธิ์อะไร หัดเคารพสิทธิคนอื่นซะบ้าง #กูไม่ใช่ทอม #กูเคยดีเบตเรื่องนี้มา #หงุดหงิดกับคนที่มีทัศนคติอย่างนี้ในระดับนึง #มึงอาจจะพูดเล่น แต่กูไม่ขำ
งั้นเปลี่ยนคำใหม่เป็นซ่อมทอม แก้ดี้ คืนสตรีสู่สังคม #นิ้วเย็นๆหรือจะสู้เอ็นอุ่นๆ
เก็บเอ็นแก้วไว้ตุ๋นกินเองเถอะ
>>359 แล้วเอาจริง เจ๊ทอมแกถูกหรือผิด แทนที่จะคุยเรื่องอื่นดันเอาเพศสภาพเขามาล้อ -_-; ช่างเป็นความเห็นส่วนตัวที่ดีมาก ตรรกะดีมาก.....
มึงจะคิดจะว่าใครก็ว่าที่ตัวเขาดิ จะชั่วดี นิสัยเสีย เพศไม่เกี่ยว อีพวกไม่มีอะไรจะพูดแล้วยกเอาเรื่องเพศมาพูดนี่บัดซบเป็นบ้า เก็บปากไว้กินข้าว เก็บนิ้วไว้ชักว่าวไป๊ ###
ว่าแต่เรื่องนี้มันซาลารี่แมนตรงไหนวะเนี่ย
ทำงานโตๆกันแล้ว ก็เอาความโง่ ความล้าหลัง ออกจากสมองกันบ้างละกันนะเพื่อนๆ
ในโลกคู่ขนานที่ประชากรสายหลักเป็นชายรักชาย ส่วนมึงเป็นชายรักหญิง
แล้วประชากรสายหลักเสือกมีความคิด+เล่นมุข เป็นปกติทุกเมื่อเชื่อวันว่า
เวลาเจอชายรักหญิง ต้องจับมาเย็ดทางรูดาก เพื่อ"รักษา"ให้หายจากอาการ"ผิดปกติ" เนี่ย
โลกมันคงไม่ค่อยน่าอยู่สำหรับมึงเท่าไหร่
>>362 เยี่ยมมาก 362
ถ้ามีคนมาบอกว่ามีปัญหากับทอมที่ทำงาน แก้ยังไงดีครับ
คำตอบมึงคือ : จับเย็บสิครับรออะไร
มึงคิดว่าดูเหยียดไหมอ่ะ?
ถ้ากลับกันเป็นมีปัญหากับผู้หญิงที่ทำงาน แก้ยังไงดีครับ
คำตอบ : จับเย็บสิครับรออะไร
มึงรู้ไหมว่าตัวเองจะได้คำสรรเสริญแบบไหน ทำไมถ้าคำตอบนึงใช้กับทอม กับผญ. ระดับความเลวร้ายมันถึงต่างกันล่ะ?
กุ 362 นะ กุเป็นผู้ชาย และกูก็กล้าพูดเต็มปากว่าปิตาธิปไตยมันมีอยู่จริง
แต่สิ่งที่เศร้ากว่านั้นคือ มนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เลวร้ายยังไง
คิดว่ามันเป็น "ธรรมชาติ ที่มีอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว" เวลามีคนบอกว่ามันผิด
ก็จะคิดไม่ออกว่ามันผิดยังไง เพราะแม่งแนบสนิทไปกับสมองตั้งแต่เริ่มพูดได้
อืม จริงๆถ้าพูดจริงๆ เรื่องพวกนี้มันก็เป็นเรื่องที่คนอื่นเขาก็พูดกันสินะ อิเอ็นแก้วเนื้ออุ่นบ้าบอเนี่ย
แต่เราว่านะ ต่อให้มันเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่มันก็ไม่ควรเป็นเรื่องปกติที่เราจะเอามาพูดเล่นสนุกปากหรอก
เพราะอย่างนี้ เขาถึงเรียกเจ้าโลกหรือเปล่า เพราะเจ้าของมันนึกว่าเป็นเจ้าของโลกแบบนี้
ถ้าจวยอันนึงใช้แก้ปัญหาหนึ่งอย่างล่ะก็ โลกนี้ก็คงไม่มีปัญหาแล้วล่ะ หรือบางคนสมองอาจจะอยู่ตรงหว่างขาก็ได้สินะ...
นอกเรื่องหน่อย จะว่าไป ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่แบบว่า ฉันจะใช้ของๆฉันเปลี่ยนกระเทยให้เป็นผช.เลย...
>>368 กุรู้ว่าแม่งโทรล ปกติกุก็ปล่อยผ่าน แต่เรื่องบางเรื่องกุก็ไม่อยากปล่อยผ่านว่ะ เราควรปล่อยผ่านการโทรลด้ยการนิ่งสงบถึงจะดีงั้นรึ ส่วนเรื่อง Hashtag จะใส่ไม่ใส่ก็เรื่องของกุ กุใส่Hashtag ในโม่งแล้วมันผิดตรงไหน กุไม่ใช่ฮิปสเตอร์ ถ้าคนใส่Hashtag คือฮิปสเตอร์กุว่ามึงก็จำกัดความมนุษย์ได้แคบดีจริงๆว่ะ
ลืมไป ผู้ชายสวะชอบโดนด่าอยู่แล้ว ยิ่งโดนด่ายิ่งมีความสุข เป็นโรคจิต
อ่า คือกูไม่ได้บอกว่ามึงผิดที่มีไม่ปล่อยผ่านคำพูดพวกนี้ แต่วิธีที่มึงออกมาแสดงออกมันทำให้ดูโง่และทำให้คนโทรลยิ่งสนุกว่ะ
คนบางคนมันก็ไม่ได้คิดอย่างที่มันพิมพ์ออกมาหรอก มันแค่อยากเห็นคนออกมาดิ้น มึงจะเลือกแสดงออกยังไงก็แล้วแต่มึง
ปล. กูก็ผู้หญิง
งั้นมึงก็ช่วยแสดงความเห็นฉลาดๆหน่อยสิวะ
/กู/ก็/ส/นุ/ก/สั/ส/ๆ/ ก็มีคนเห็นด้วยกับกู ไม่เห็นด้วยกับกู ก็เป็นธรรมดาป้ะ
########### แฮชแทคยาวถึงดาวพระเสาร์ ไซส์ประมาณเจี้ยว 375 เย้
พอเถอะมึง แล้วเรื่องเจ๊ทอมนี่ยังไงแล้วลืมเลย
กูก็ว่า เฮียแกไม่ได้จะไปเย็บทอมจริงๆหรอก นอกจากเฮียไม่มีความกล้าแล้ว ทอมจะยอมหรือไม่ อันนี้ก็น่าสนใจ หรือไม่เฮียแกก็แค่อยากหาคนมาเถียงเล่น
อันที่จริงกูหงุดหงิดเรื่องอื่นอยู่ว่ะ แล้วกูขี้เกียจทะเลาะกับชาวบ้าน ก็เลยมาให้อาหารโทรล แล้วก็จับโทรลแดกเล่น ขอบคุณที่มาเป็นของเล่นกู และเล่นกะกู และให้กูโดนเล่นบ้าง 55555555 ถ้ามึงว่ากูโง่ โอเค อย่างน้อยกูก็คิดว่ากูลุกขึ้นมาไฝว้เผื่อสิ่งที่กูเชื่อ ถึงกูจะแสดงออกมาแบบที่มึงไม่ชอบ อย่างน้อยกูก็ได้ทำอะไรบ้าง ดีกว่าอยู่เฉยๆ คอยแขวะชาวบ้าน #แฮชแทกห่าเหวอะไรไม่รู้คิดไม่ออก ใส่ไปเผื่อจะดูดี เป็นวันนาบีที่สกุลรุนชาติ
น่าเสียดายแทนพวกริเบอรัลดีๆนะครับที่ถูกมองว่าโง่ไปด้วยเพราะเด็กเห่อหมอยริเบอรัลแบบนี้
น่าเสียดายแทนพวกผู้หญิงดีๆนะครับที่ถูกมองว่าโง่ไปด้วยเพราะเด็กเห่อหมอยแบบนี้
น่าเสียดายแทนพวกเฟมินิสต์ดีๆนะครับที่ถูกมองว่าโง่ไปด้วยเพราะเฟมินิสต์เด็กเห่อหมอยแบบนี้
น่าเสียดายผชดีๆนะครับ ที่ถูกมองว่าเหี้ยไปด้วยเพราะผญ ทอม และึริเบอรัลเห่อหมอยแบบนี้
....ยุ่งกะหมอยกูจังเลยพวกมึงนิ -_-;
กูเจ้าของคดีเจ๊ทอมเจ๊ดี้นะ เข้ามาอีกทีแม่งกลายเป็นเถียงกันใหญ่โตไปแล้ว แต่ช่วยดึงประเด็นกลับมานิดนึง กูทำไงดี ไม่เอาคำตอบแบบไล่กูไปเย็ดพวกนางนะเว้ย กูเป็นเกย์ สถานการณ์ตอนนี้ยังเหี้ยเหมือนเดิม กูเริ่มทำใจเล็กน้อย
แล้ว 369 มันไม่ดีรึ กูงง คนไทยไม่ซีเรียสแต่บางเรื่องมึงซีเรียสบ้างก็ได้
ทำไงดีวะมึง กูเป็นเด็กจบใหม่ยังไม่ผ่านโปร ตะกี้ไปอ่านมู้นึงที่เด็กจบใหม่โดนไล่ออกมาแล้วกุกลัวว่าตัวเองจะโดนด้วย
คือตอนนี้กูทำงานสายกราฟฟิกดีไซน์ ซึ่งหน้าที่กูคือทำพวกกราฟฟิกของเกมต่างๆ กูเองก็ทำเป็นอยู่แค่นี้แหละ พวกงานโฆษณา ทำแบนเนอร์เว็บ ตัดต่อ บลาๆๆกูทำไม่เป็นเลย(กูไม่ได้จบสายตรงมา กูฝึกวาดกาตูนมาเองเลยได้ทำด้านเกม) แล้ววันนี้กูทำงานเกมของตัวเองเสร็จละ ก็ว่างแล้วมีพี่คนนึงถามกูว่ากูทำพวกงานตัดต่ออะไรงี้ได้มั้ย กูก็ตอบไปตามตรงว่ากูทำไม่เป็นเลย พี่เค้าก็ไม่ว่าไรบอกไม่เป็นไร แต่กุรู้สึกแย่อ่ะ กลัวว่าจะไม่ผ่านโปรเพราะเรื่องนี้ บริษัทจะมองกูว่าเป็นคนไม่สู้งานมั้ยวะ
>>388 ทำไม่ได้ก็พัฒนาดิ ทุกวันนี้กุตัดต่อหนัง mv โฆษณา จุดเริ่มแม่งก็มาจากตอน ม.4 กุทำซับอนิเมะโง่ๆ เลยใช้ tool ของ premiere / AE เป็นหมด
ความรู้มีในกูเกิ้ลเป็นลัง นั่งอ่านสักคืนระหว่างรอโหลดโปรแกรมมาฝึก ก็ทำได้คร่าวๆแล้ว ที่เหลือพัฒนาการคิด การวางโครสร้างคัตติ่้งเฉยๆ ตัดต่อ การใช้เครื่องมือเป็นเรื่องกระจอกมากๆเลย
กุอายุจะขึ้น 27 เป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ทอมสัน
เงินเดือน 50k เองสัส
เพื่อนคนอื่นในคณะแม่งไป 70k ละ
บางครั้งตูก็สงสัยประเทศเรานะ
งานบางชนิดเนื้อหาสับซ้อนเสี่ยงตายเสี่ยงก่อศัตรูให้เงินน้อย
กับอีกชนิดงานสบายใช้ปากทำงานให้เงินเยอะไม่ต้องเสี่ยงตาย
งานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีเลยไม่ไปไหนซักที ; ;
อายุจะ27 แต่ได้เงินเดือน 25k นี่น้อยเหรอวะ (ไม่ใช่สายไอที) เพื่อนกูบอกว่าได้แค่นี้พอกินเหรอ ( .__.)
น้อยจริงแหละ มึงเปลี่ยนงานบ่อยปะ ทำที่เดิมมากี่ปีละ 25 นี่จะเอาที่ไหนเก็บมาขอเมีย
กูทำที่นี่เป็นที่ที่สามอ่ะ มาเปลี่ยนสายงานตอนที่ที่สอง แล้วที่ที่สองเจ๊ง กูเลยย้ายมาที่ที่สาม
เมื่อตอนเย็นกูเพิ่งไปวอร์กับลูกค้าคนหนึ่งมา หลังๆเริ่มกวนตีนจนกูขี้เกียจทน
ประเด็นคือกูวางแผนลาออกไว้แล้วด้วย แจ้งHRแจ้งหัวหน้าฝ่าย ทุกคนในทีมรับรู้หมดแล้ว
เมื่อตอนเย็นกูเลยฟิวส์ขาดนิดๆด้วยอารมณ์ 1.จะลาออกอยู่แล้ว 2.หัวหน้ากูอยากให้กูอยู่ทำงานต่อเพราะหาคนมาแทนกูมันค่อนข้างยาก
เมื่อตอนเย็นกูเลยจัดไปชุดใหญ่ ปรากฎว่าแม่งไม่จบไลน์มาหาหัวหน้า(ดูแลลูกค้าคนนั้นอยู่แต่ไม่ใช่หัวหน้าสายกู)
พี่แกก็เอาแคปจอมาลงในไลน์กลุ่ม กูก็นึกในใจนะ อยากจะพิมพ์ลงไปว่า เออใบลาออกผมก็เขียนแล้วครับ บอกCEOก็ได้ครับ แค่แก้วันที่ผมก็ออกจากบริษัทได้ทันที
.
แต่คิดๆดูก็เกรงใจพวกพี่ๆ(รวมถึงพี่ที่แคปจอด้วย กูว่าแกก็ไม่ได้ตั้งใจประจานกูหรอก แค่อยากให้ในทีมรับรู้ด้วยว่าันมีปัญหานี้เกิดขึ้น)
และเรื่องนี้กูก็ผิดเองที่คุมอารมณ์ไม่อยู่.....อย่างว่า คนมันจะลาออกแล้ว
เดี๋ยวเปิดมาวันจันทร์ หัวหน้าใหญ่คงเรียกกูไปคุย เรื่องนี้จบได้ง่ายมากถ้ากูเอ่ยปากขอโทษก่อน ยอมรับผิดซะก็จบ
แต่อีกใจกูก็อยากกวนตีนส่งท้ายว่ะ นี่ถ้าไม่ติดว่าหัวหน้ากับพวกพี่ๆให้ความเมตตากูมานานมากตั้งแต่สมัยฝึกงานกูก็นึกว่าอยากลองจบแบบแตกหักดูนะ เหอๆ
>>400 มึงก็ทำไม่ดีนะ มึงคิดว่าเออไหนๆจะลาออกแล้ว กูก็จัดเลยแล้วกันเนี่ย มึงไม่เห็นแก่หน้าบริษัทที่เขาให้มึงทำงานมาจนถึงเดี๋ยวนี้เลยเหรอวะ
นี่มึงทำมาตั้งแต่สมัยฝึกงาน เมตตาที่หัวหน้ากับพี่ๆเขาให้มึงมาไม่มีค่าเลยเหรอวะ มึงคิดว่ามึงได้ระบายความแค้นให้สะใจจนจบแล้วมันจะจบเรื่องเหรอ มึงไม่คิดเหรอว่าแล้วใครจะต้องตามล้างตามเช็ดสิ่งที่มึงทำไว้ ก็เป็นหัวหน้ากับพี่ๆเขาไหม มึงคิดว่าการเอ่ยปากขอโทษยอมรับผิดง่ายๆจะทำให้เรื่องทุกอย่างหายเข้ากลีบเมฆไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนน่ะ
กูพูดเลยนะ
มึงคิดผิด
กูไม่รู้หรอกว่ามึงไปโดนอะไรมาบ้าง แต่คนที่ทำแบบนี้เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุกว่ะ ไม่รู้ว่าวันนึงมันมีที่ไปทางไปมันจะเฉดหัวเราขี้ไว้ให้เราเช็ด
มึงระวังตัวให้ดีเถอะ กูอ่านแล้วกูยังขึ้น คนที่โดนมึงทำสันดานแบบนี้ใส่เขา เขาก็คงไม่ขอบใจมึงหรอก
แกร เคยทำงานในโรงงานกันมะ คืองานโรงานตจว.เงินเดือนสูงดี มีค่ากันดารฯลฯ แต่ออฟฟิศใกล้บ้าน+ศิวิไลซ์กว่า แต่ปวดใจกับเงินเดือนเหลือเกิน
มีใครเปรียบเทียบให้ได้มะ คือเพื่อนกูไปโรงงานกันหมด มีกูผ่ามาออฟฟิศ อยากได้ประสบการณ์คนทำโรงงาน
(ฅ'ω'ฅ)♪
>>404 กูเป็นโม่งที่ทำงานในเมืองมาก่อนแล้วย้ายมาทำโรงงาน มันไม่ศิวิไลซ์อย่างที่มึงว่าน่ะแหละ
แต่ก่อนเลิกงานก็ไปแรดตามห้างนัดเพื่อนกินข้าวว่าไป พอมาตอนนี้เลิกโอมาก็แทบตายห่าแล้วเหนื่อยชิบหายขนาดไลน์ยังไม่อ่านเพื่อนนึกว่ากูตายห่าไปแล้ว กูต้องปรับตัวพอสมควรเลยอยู่ออฟฟิศเล่นไลน์เล่นเน็ตได้ หลังกินข้าวไปเดินตลาดเดินห้างแถวๆออฟฟิศ ซื้อขนมแกแฟไรพวกนี้มากินระหว่างทำงานได้ แต่พอมาอยู่โรงงานอย่าว่าแต่เน็ตแต่ไลน์ขนาดลูกอมยังแดกไม่ได้เลย
แต่โรงงานมันก็มีข้อดีตรงเก็บเงินได้เยอะดีนะเพราะไม่มีไรให้มึงซื้อ
กลายเป็นตอนนี้กูซื้อเสื้อผ้ากระเป๋าไรพวกนี้แพงกว่าสมัยตอนทำออฟฟิศอีก แต่ก็หาโอกาสใส่ไม่ได้ว่ะ ถถถถถถถถ
406 ความเห็นมึงมีประโยชน์มาก กอดดดดด
แล้วมึงชอบที่ไหนมากกว่า มีความสุขกะที่ไหนมากกว่า พอบอกได้ไหม
อีกอย่าง คือกูได้ยินมาว่านายญี่ปุ่นที่ทำตามโรงงานจะโหดกว่าตามออฟฟิศ อันนี้จริงป่ะวะ ไปอ่านบอร์ดโตไวไวแล้วเสียวไส้
เรื่องคนญี่ปุ่นมันก็แล้วแต่ที่อ่ะมึงแล้วแต่ดวง นายเก่ากูโหดชิบหายถ้าแปลช้านี่เค้าเริ่มตาเขียวบรรยากาศมาคุแล้ว(เออลืมบอกกูเป็นล่ามนะ)
บางครั้งนายโมโหกูนี่รับเละอยู่คนเดียว ทั้งด่าทั้งตบโต๊ะลีลามาเต็มตอนนั้นต่อให้แปลไม่ได้ก็ต้องได้นะเครียดชิบหาย
มาอยู่โรงงานคนญี่ปุ่นที่โรงงานกูใจดีอ่ะ เค้าเข้าใจว่ากูไม่เคยอยู่โรงงานมาก่อนเลยให้โอกาสเยอะ
ถ้าถามเรื่องความสุขตอบยากว่ะ เพราะที่กูออกมาเพราะอยากพัฒนาตัวเองอ่ะ งานออฟฟิศมันเดิมๆจบมามึงใช้ความรู้ที่มึงเรียนมาได้เลย แต่โรงงานมันไม่ใช่ไงที่มึงเรียนมาทั้งหลายมันยังไม่พอ มาโรงงานมึงต้องเรียนใหม่ศัพท์ทั้งหลายทั้งหมด แรกๆกูนี่น้ำตาเล็ดเลย (ตอนนี้ก็ยังเล็ด555) พูดกันมาแต่ละอย่างขนาดภาษาไทยกูยังไม่เข้าใจเลย แต่กิจกรรมในโรงงานมันเยอะดีนะ ประชุมนู่นนี่นั่นสารพัดเรื่องออกประชุมนี้เข้าประชุมนั้นต่อ ลงไลน์ผลิตมั่ง แปลเอกสารต่อเอกสารสารพัดแผนกมั่ง ถ้ามึงอยากได้ความรู้เยอะๆแนะนำโรงงานอ่ะ ถ้าทนได้มึงจะกว้างกว่าออฟฟิศนะ
เรื่องสังคมออฟฟิศมันคนน้อยก็สนิทกันหมด แต่โรงงานมันไม่ใช่ไงมึงต้องเจอคนเยอะ คนหลายแผนก คนหลายระดับตั้งกะGMยันไลน์ผลิต บางคนอยู่มานานก็แย่งล่ามแปลมั่ง ไม่ฟังที่แปลมั่ง บอกว่าแปลแย่กว่าคนเก่ามั่ง ต้องทนลูกเดียวแต่ถ้าทนไม่ได้ก็ตอกกลับไปเบาๆพอให้รู้ว่ากูไม่ใช่จะหงอได้ตลอดนะเว้ยพอหอมปากหอมคอ555555+ ก็ถือว่าเป็นการฝึกการเข้าสังคมแล้วกันเนอะ เชี่ยกูตอบยาวโคด โทษทีนะ
409 คือกูไม่อยากเป็นล่าม แต่ดูชะตากรรมก็คงต้องเป็นล่าม คือเคยเจอคนญี่ปุ่นเชี่ยๆแบบปึงปังตบโต๊ะรู้สึกมารยาทแย่ไม่ให้เกียรติ เลยเบนเข็มไปออฟฟิศ ตอนนี้เลยงงๆ ชีวิต คือกูเป็นพวกรับมือคนไม่เก่งว่ะ รับมือเอกสารเก่งกว่า แต่เหมือนเรียนญี่ปุ่นมา ยังไงก็หนีไม่พ้นน่ะ มึงตอบยาวก็ดีแล้วกูชอบ ขอบใจมาก
กูอยากให้คนที่ให้โอกาส เข้าใจว่าพลาดกันได้ คือใจกูพร้อมจะสู้ แต่กูยังใหม่ ยังไงมันต้องมีพลาดมีทำไม่ได้บ้าง กูอยากอัพตัวเอง อยากเพิ่มปสก. ตอนนี้ก็พยายามหาบ.แบบนั้นอยู่
เรื่องออฟฟิศ คือคุณสมบัติกู โทอิคค่อนข้างดี N2 แต่เพราะไม่มีปสก.เขาจะให้กู 20k 25k เลยเริ่มรู้สึกแบบ ไปโรงงานดีไหมวะ
กูเพิ่งจบว่ะ คืออยากหางานที่ไม่ใช่ล่าม แต่ไม่ว่าทำงานไร ก็ต้องเป็นล่ามกลายๆอยู่ดี เลยคิดว่า ถ้าได้เงินน้อยๆ แล้วยังต้องทำล่ามอีก ก็สู้เป็นล่ามไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เพราะตามคุณสมบัติเท่าที่มี มันก็น่าจะได้เยอะกว่านั้นน่ะ :3 เรื่องล่ามกูไม่แน่ใจว่ากูไม่ชอบจริงๆเพราะกดดันหรือกูแค่หนีด้วยแหละ
จากการที่กูทำงานในย่านที่คนญี่ปุ่นเยอะ (แต่ไม่ใช่บริษัทญี่ปุ่นนะ) กูรู้สึกว่าคนญี่ปุ่นที่เจอๆนี่ไม่เห็นมารยาทดีอย่างที่คนไทยทั่วไปคิดเลย
หรือมาอยู่เมืองไทยนานจนติดนิสัยคนไทยไปแล้วก็ไม่รู้
http://towaiwai.com/index.php?topic=9958.msg24094#msg24094 อ่านมู้นี้แล้วจิตตกเบาๆ นายดีไม่ดีอยู่ที่ดวงสินะ
ขอปรึกษาหน่อย ตอนนี้เราทำงานอยู่แบงค์แถวจตุจักรแต่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานนิดหน่อยเลยจะหางานใหม่ ทีนี้มีงาน 2 อัน offer มาแบบคุยแล้วได้เงินเดือนพอๆกันแต่โบนัสต่างกัน อันนึงเป็นแบงค์อยู่ตรงพหลโยธิน คนสัมภาษณ์สนใจกูมากเพราะบอกว่าประสบการณ์ทำงานมากทางที่เขาหาอยู่ อีกอันนึงเป็น บลจ เล็กๆอยู่ตรงชิดลมเดินทางง่ายกว่า CEO มาสัมภาษณ์เองอยากได้กูแต่ก็ไม่มี backgroud ของงานนี้เลย ทั้งกูคิดว่าทั้งสองแห่งก็เหมือนเริ่มงานใหม่หมดสำหรับกู กูควรเลือกอะไรดีวะ แต่ที่แน่ๆถ้ากูไป โบนัสที่เก่ากว่าจะจ่ายก็ต้นปีหน้า (หลักแสน) ก็น่าเสียดายอ่ะ
จะเปลี่ยนงานใหม่ช่วงนี้ เอาที่มั่นคงไว้ก่อนดีกว่านะครับ ถ้าที่เก่ามั่นคงดีที่ใหม่มีความเสี่ยงก็อาจต้องคิดใหม่เรื่องเปลี่ยนงานนะ
คนรอบตัวมองตรงกันหมดว่างวดนี้ฟองสบู่มีโอกาสแตกสูง ตายสนิทรากหญ้าลามมาชนชั้นกลาง ถ้าเปลี่ยนงานแนะนำให้เอาปัจจัยความมั่นคงมาคิดด้วยนะ ให้น้ำหนักมากๆด้วยล่ะ
งานแย่แค่ไหน ยังไงก็ดีกว่าตกงานเนอะ
กูได้นายดีมากกกก ชีวิตล่ามอันเส็งเคร็งของกูมีแสงไฟเพียงดวงเดียวคือนายญี่ปุ่นนี่แหละ ใจดี มีมารยาท ให้เกียรติ เข้าใจถ้าจะแปลไม่ได้บ้าง ให้กำลังใจตลอด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ต้องทนเหม็น ดีจนกูแทบอยากกราบเช้ากราบเย็น กลับกันคนไทยสิน่าเบื่อ
พูดเรื่องนายแล้วกลัวการไปหางานทำใหม่เลยว่ะ ทำงานแนวประกบนายนี่นายมีผลกับขีวิต 90% กลัวไปเจอนานเหี้ยๆ จะไม่อยากอยู่หรืออยู่ไม่ได้ วัดดวงชิบหาย
เจ้านายซาลารี่แมนท่านใดชอบพาไปลงอ่างบ้าง ผมไม่อยากไปเลยแต่ก็ไม่อยากขัดใจนาย
ลองบอกว่า ไม่อยากให้เจ้านายพาลงอ่างแล้ว อยากเป็นคนพาเจ้านายลงอ่างแทน ทีนี้ก็หมดปัญหา แฮปปี้ๆ 5555555555 ล้อเล่น
นายกูไม่เคยพูดถึงเลย ท่าทางจะรักครอบครัวและไม่ชอบเรื่องพวกนี้ แต่นายชอบตีกอล์ฟมาก ตีแม่งเกือบทุกอาทิตย์ เวลาเจอใครตีกอล์ฟเป็น คุยด้วยรู้เรื่อง ตางี้แม่งเป็นประกายปิ๊งๆๆ โอตาคุชัดๆ 5555 กูว่าจะไปเรียนอยู่เหมือนกัน แต่แพงสัส แพงไปหมด ทั้งค่าอุปกรณ์ ค่าเรียน ค่าสนาม กูไม่ได้ชอบเป็นการส่วนตัวด้วย แค่คิดว่าถ้าเล่นกอล์ฟเป็นบ้างคงคุยกับพวกระดับบริหารสนุกกว่านี้
กูอยากมีอารมณ์ที่เจ้านายพาไปลงอ่าง พาไปเลี้ยงเหล้ามั่ง อิจฉาว่ะ
แต่กูก็เข้าใจนะว่าสำหรับคนไม่ชอบมันก็คงไม่สนุกอ่ะ ._.
ผู้ชายดีๆแบบ426มีอยู่จริง นึกว่าส่วนมากจะชอบไปซะอีก /ถอนหายใจ
กูก็ไมชอบอ่างฟะ เพราะปี้ทั้งทีกูขอป่องเลย
งี้คนเป็นเกย์ถ้านายพาลงอ่างจะทำไงวะเนี่ย ชีวิตทรมานน่าดู
กูไม่ได้ด่า แค่รู้สึกว่ามันฝืนธรรมชาติผู้ชาย แปลกดี น่าสนใจ ประมาณนั้น ส่วนมึงก็ธรรมชาติป่ะวะ
เคยอ่านมู้เกย์ปิดบังที่ไปจำใจต้องลงอ่างคือ นั่งถามชีวิตผู้หญิงจนชีหมดอารมณ์ ประมาณว่าทำตัวเป็นนักวิชาการแล้วผู้หญิงเป็น Subject ถามๆๆๆจนหมดเวลา จบครัช...
เออมึง ระหว่างงานที่ให้เข้างาน 10.00 โมง 6 วัน Vs. เข้า 8.00 โมง 5 วัน อันไหนดีกว่ากันวะ....
โสด ไม่มีแฟน กะจะอยู่หอกะเพื่อน
เจ้านายใจดี(มาก) งานสบาย เงินโอเคไม่สูงไม่ต่ำ ที่ทำงานติดบีทีเอส ตื่นสายได้อีกต่างหาก... แต่ไม่มีค่าโอที อาจดึกบ้าง
งานสิบโมงที่ว่าเขารับแล้ว แต่ยังรอสัมจ็อบแปดโมงอยู่อีกหลายเจ้า...
.......นี่กูอาจจะเลือกงานแรกเพราะตื่นสายได้เลยนะเนี่ย 5555555
กูเนี่ยแหละตัวตื่นสาย 55555555 เคยเรียนม.ที่บังคับเรียนแปดโมงทุกวันเหมือนตกนรก ย้ายมาม.ใหม่เรียนเก้าโมงสิบเอ็ดโมง ชีวิตดีย์
แต่บ.มันก็ใกล้โคตรๆอ่ะ เดินทางสะดวก =_=; เสียดายบ.หลังๆ แต่กูไม่อยากตื่นเช้าาาาาาาา กูจะรอดูเจ้านายบ.อื่น ถ้ากูกะเขาจูนกันติดก็อีกเรื่อง
คือตอนนี้อยากให้ความสำคัญกะคนมากกว่า บอสดีชีวิตดี กูถือคตินี้
>>440 เออตามนั้น บอสดีชีวิตดี นี่เรื่องจริงเลย ตอนนี้กูทำงานที่เงินเดือนไม่มาก อยู่มาสองปีและ ชีวิตที่ทำงานกูดีมากเพราะหัวหน้า คือบางทีมีรุ่นพี่มีเพื่อนร่วมงานเขม่นกูบ้างแซะกูบ้าง แต่ก็ก็ไม่สนอ่ะ อยากทำห่าอะไรก็ทำไป เพราะสุดท้ายบอสกูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร คนที่จะตัดสินชีวิตในที่ทำงานนี่มีแค่บอสกับHR ถ้าสองคนนี้โอเคเพื่อนที่เหลือจะเหี้ยยังไงก็พอทนนะสำหรับกู
ส่วนเรื่องตื่นตอนนี้กูอยู่หอใกล้ที่ทำงานว่ะ ใกล้มากจนเดินไปเดินกลับได้อ่ะมึง ติดนิสัยตอนเรียนมหาลัย กูอยู่หอในเรียน 9 โมง กูตื่น 8.50ยังเข้าห้องก่อนอาจารย์ 55555 หลังจากนั้นมากูก็เลยเป็นคนที่ไม่ชอบการเดินทางเลยว่ะ กะว่าเวลาเดินทางตอนเช้าไม่ควรเกิน 30 นาที ถ้าอยู่กทม กูตั้งใจว่าจะทำงานที่ใกล้รถไฟฟ้า แต่ตอนนี้กูได้ที่ทำงานแถวชานเมือง เลยเช่าหอใกล้ๆแล้วเดินไปทำงานแทน
เรื่องนายกับเพื่อนร่วมงานมีผลจริงๆวะ กูเคยทิ้งชีวิตพนักงานราชการกินงบแผ่นดิน ใกล้บ้านเป็นงานแบบที่ชอบด้วย งานก็ง่ายๆชิวๆสบายๆ
แต่กูอยู่ไม่รอดวะ เจ้านายแมร่งผีเข้าผีออกเหมือนเป็นโรคประสาท แถมตอนนั้นกูอยู่ระดับล่างสุดด้วยไง คนอื่นๆก็หัวโขนมาเต็ม จะเอานู้นเอานี่เอาเหี้ยสารพัด เพื่อนร่วมงานก็ไม่สอนงานเก็บงานไว้คนเดียวทีนี่กูเคว้งไงรู้สึกโครตไร้ประโยชน์แถมสุขภาพจิตเสียลงเรื่อยๆ กูลาออกแมร่ง
คราวนี้กูกลับลำชีวิตออกจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัดเลย ไปทำงานเอกชน ตอนแรกกูโครตเกลียดงานแบบนี้เลยกูไม่ถนัดวะ แต่กูอยู่ได้กูมีความสุขนายดีเพื่อนร่วมงานดี แบบไม่เคยคิดว่าจะหาเจอในชีวิตทำงานเลย ถึงจะคนละหน้าที่งานแต่ถ้ากูมีปัญหาทุกคนจะพร้อมใจกันช่วยกู กูรักที่นี่มาก ถึงงานกูจะโครตเครียดก็ตาม
บางทีนายดีเพื่อนร่วมงานดี ชีวิตมีความสุขกว่าการได้ทำงานที่ชอบวะ
มีใครเป็นล่ามแล้วโดนแย่งแปลมั่งวะ กูโดนวิศวะเก๋าๆที่อยู่มานานแย่งแม่งทุกช็อต
พอนายพูดกูแปลยังไม่ทันจบแม่งบอกผิดๆๆๆๆ ทุกครั้งที่ประชุม
จนตอนนี้นายพูดประโยคง่ายๆกับกู กูก็แปลไม่ได้
กูหมดความมั่นใจมาก กูอยากออกแต่นายกูดีมากเลย อีกอย่างกูไม่อยากไปเริ่มใหม่บ่อยๆว่ะเพราะที่ผ่านมากูไม่เคยทำที่ไหนถึงปี
แต่กูเกลียดไอ้เหี้ยวิศวะนี่มากสัส กูโดนเรียกคุยบ่อยเรื่องไม่มีความสุขในการทำงานไม่ยอมแปล
บางทีกูยอมโดดประชุมเลย เพื่อที่กูจะไม่ต้องไปแปลต่อหน้าคนเป็นสิบๆแล้วโดนบอกผิดๆๆๆ
เวลาคนไทยพูดนายถามเค้าพูดไรกัน พอกูอ้าปากจะแปลก็โดนแย่งแปล จนกูแย่งแม่งพูดแม่งก็ไม่หยุดจนกูยอมเงียบ
งานบางอย่างกูทำดีแล้ว แต่ถ้ามีคนนึงบอกไม่เข้าใจ เค้าจะโทษกูทันทีเพราะกูทำไม่ดี ทั้งที่คนอื่นเข้าใจหมด
กูเบื่อมากเลยตอนนี้ ไปทำงานเหมือนไปตาย นายกูก็ดี๊ดีแต่กูไม่มีความสุขเลยว่ะ ร้องไห้ไปหลายรอบแล้วร้องกลางออฟฟิศก็เคย
บางทีกูแปล คนฟังดูงงๆแต่พอคนอื่นพูดประโยคเดียวกันกะกูเป๊ะกลับเข้าใจ แล้วกูก็โดนด่าอีกว่ามีปัญหาเรื่องการแปล
กูควรจะทำยังไงดีวะ ขอคำปรึกษาหน่อย
ป.ล.วิศวะที่กูมีปัญหาด้วยเป็นGMว่ะ
มึงต้องบอกนาย ให้นายไปปราม ถ้านายไม่ช่วยมึงก็ต้องหาทางปรามเขาเอง
ถ้านายเป็นนายที่ดี ต้องรู้ว่ามึงโดนรังแกแล้วจัดการให้ เรื่องแบบนี้ให้ผู้ใหญ่ออกหน้าดีกว่า
การเมืองในบริษัทกูก็ไม่เข้าใจหรอก แต่พ่อกูสนิทกะเจ้าของ เวลามีเรื่องให้เจ้าของไฝว้ เงียบทุกราย สู้ๆนะ
ไม่งั้นมึงก็ไปเปิดอกกะพี่ GM ดู คนบางคนเกลียดขี้หน้า พอคุยแล้วอาจจะเข้าใจกันขึ้นมาบ้างก็ได้
>>443 เพราะมึงยังอ่อนสนามด้วยหรือเปล่า ลองดูตัวเองดีๆ ว่าแปลถูก ใช้คำให้คนเข้าใจแล้วหรือยัง ถ้ามึงดีแล้วพี่วิดวะระรานมึงเองก็ให้พยายามเข้าหาแกแล้วกัน ถ้าแกแปลตัดหน้าอีก ยกมือไหว้ขอบคุณเลย ไหว้แม่งทุกครั้ง ถ้าจังหวะดีๆ ก็แซวกลับบ้างก็ได้ "แหม พี่ปล่อยให้หนูทำงานให้คุ้มเงินเดือนบ้าง" อะไรก็ว่าไป แรกๆ อาจโดนสวนกลับมาจุกๆ หน่อย แต่แกน่าจะได้คิดบ้าง
ที่อยากแนะนำคือมึงอย่าหนีจากประชุม ยิ่งหนียิ่งแย่ว่ะ บอกเลย คนไทยจะไม่เข้าข้างมึง แถมโดนนินทาลับหลังอีก
มึงกูอยากเป็นครูอนุบาล แต่ทำไมเงินเดือนครูอนุบาลน้อยจังวะ แค่หมื่นต้นๆ บางที่ไม่ถึงด้วยซ้ำได้ห้า หกพันเอง เอาซะคืิดหนักเลย ทั้งๆที่โรงเรียนนานาชาติก็ได้ไม่เกินหมื่นห้าเลย ทำไมเงินน้อยจังวะ งี้พวกครูอนุบาลใช้ชีวิตยังไงวะ
ที่ทำงานใครแย่มั่งมั้ย แชร์หน่อย
ของผมตอนนี้พอรู้ล่ะว่าบางส่วนแย่แต่บางส่วนยังดี โดยรวมๆยังไปได้ดีพอควร โชคดีหน่อยที่ย้ายมาที่นี่ตั้งแต่ปีก่อน ตอนนี้เลยไม่ห่วงเรื่องความมั่นคงในงานล่ะนะ
ม.ราชภัฏจันเกษมนี่จัดว่าแย่ไหม ใครเคยรับคนจากม.นี้ทำงานนี่มีดีๆบ้างรึเปล่าหรือเคยเรียนผ่านม.นี้บ้าง
คือพี่เราติดม.นี้เลยสงสัย อยากหาเหตุผลให้พี่พยายามสอบใหม่ปีหน้าแต่ถ้าดีพอหางานได้ก็ไม่เป็นไร
จริงๆก็ไม่อยากเหยียดสถาบันนะ แต่กูรู้สึกว่ามาตราฐานเด็กที่จบมาเค้าปล่อยมากไป
ที่เคยเจอสายคอมนี่เกียรตินิยมอันดับ 1 ยังทำโจทย์เด็กปี 1 ของมหาลัยรัฐทั่วไปไม่ได้เลย ระดับนี้มหาลัยอื่นไม่ควรปล่อยให้จบออกมาได้ด้วยซ้ำ
พูดแบบไม่โลกสวย คุณภาพมันก็ด้อยกว่าจริงๆ เกียรตินิยมของสถาบันพวกนั้นเทียบได้แค่เด็กสองต้นๆของม.ดังนั่นล่ะ
ความเข้มข้นมันต่างกันเยอะกูบอกเลย กูไม่เคยเรียนสองสถาบันหรอก แต่กูเคยติวให้เพื่อนราชภัฏเกียรตินิยม
เสริมอีกนิด ขนาดกูอยู่ม.รัฐดังนะ กูยังเสียดายที่ไม่ได้อยู่อีกม.เลย เพราะคิดว่าที่นั่นคงเข้มข้นกว่านี้ สายคอมนี่ล่ะ
ราชภัฏเป็นแบบนั้นทุกสาขาเลยใช่เปล่า ตอนแรกคิดว่าพวกที่พอมีชื่อจะดีขึ้นมาหน่อย
เดี๋ยวลองคุยกับพี่ดูอีกทีดีกว่า
>>460 กูหมายถึงคุณภาพการเรียนน่ะ เคยมีเด็กที่เรียนม.ราชภัฏมาฝึกงานที่บริษัท ครูแม่งบอกเลยว่ารายงานเก็บคะแนนให้ไปก็อบของปีก่อนๆ มาส่ง แล้วดูการบ้านวิชาภาษาอังกฤษของแม่งนี่สอนผิดสอนถูกมาก ปล่อยเด็กคุณภาพแบบนี้ออกมาแล้วจะอยากให้บริษัทจ้างงานได้ไงวะ พอเจอความจริงก็ทำเป็นดิ้นกัน น่ารำคาญชิบ
>>455 เอาตามจริงในสายตาทุกคนเลยแหละ ไม่ใช่แค่ HR ที่มองว่าราชภัฎดูด้อยกว่าม.รัฐ งานที่บริษัทยินดีจะรับก็ค่อนข้างจำกัดเลย ส่วนมากจะรับทำงานธุรการ หัวหน้างานควบคุมการผลิต สายงานควบคุมคุณภาพก็ยังพอมีบ้าง แต่โอกาสในชีวิตหลังจบน้อยกว่าคนจบม.รัฐครับ
เคยได้เห็นเด็กฝึกงานมาจากราชภัฎเหมือนกัน ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าสั่งงานไปโดยมีวิธีการทำให้ก็ทำได้ดี ทำให้ไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือในงานที่ต้องคิดต้องตัดสินใจแต่คนโอเคกับงานทั่วไป งานบริการ และอีกอย่างนึง จุดอ่อนรุนแรงสุดๆคือภาษาอังกฤษอ่อนแอมาก ระดับสู้เด็กป.1 เอกชนไม่ได้นี่เห็นมาหลายคนแล้ว เขียนชื่อตัวเองไม่ได้ ตอบประโยคง่ายๆไม่ได้ เอาแค่ "What's your name?" นี่ยังต้องคิดก่อนตอบนี่มันไม่ไหวน่ะ
แต่มันก็มีทางแก้ ระหว่างเรียนต้องทำอะไรให้มันฉีกจากเพื่อนร่วมรุ่น ให้โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกัน ภาษาอ่อนให้ศึกษาเพิ่มแล้วสอบเอาคะแนนโทอิคเก็บไว้ ถ้าไม่ได้ 600+ ให้พยายามไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ 600+ มันพอทำให้บริษัทเชื่อได้ว่าคนนี้สื่อสารภาษาอังกฤษพอได้
อีกอย่างนึงที่ควรทำให้ได้คือการฝึกงานในที่ๆดี จะเส้นพ่อเส้นแม่เส้นปู่ย่าตายายหรือเส้นเพื่อนของลุงของหลานเพื่อนพ่อมีก็ใช้ซะ เอาตัวเองไปฝึกงานในที่ที่ดี ถ้าเป็นไปได้เป็นบริษัทใหญ่ๆที่มีบริษัทในเครือเยอะๆนี่ช่วยได้แน่นอน ตั้งใจเรียนรู้งานให้มากพอ ถ้าทำดีพอมีโอกาสที่เขาจะดึงเราไปทำงานด้วยเลยหรือแนะนำให้คนรู้จักอีกที ที่แรกที่เคยอยู่มีรับเด็กฝึกงานมาทำงานด้วยหลังฝึกงานเสร็จหลายคนเพราะตอนฝึกงานมันขยันนี่แหละ หลังจากทำงานไปสองสามปีไม่สำคัญละว่าจบจากที่ไหน โอเคป่ะ
>>457 มีตังก็เก็บไว้มั่ง รอเครษฐกิจตกๆเผื่อ นกป ออน จะลดราคา
เอาง่ายๆอะ เด็กฝึกงานบ.กูมีสองพวก ฬ กับรุ่นน้องม.กู ที่เป็นม.รัฐชั้นนำ
กูปลื้มน้อง ฬ มาก สอนนิดสอนหน่อย บอกโจทย์ไป น้องไปลุยต่อเองได้ เบางานกูสุดๆ
แต่น้องม.กูนี่กูนึกด่าเช้าด่าเย็น โง่จนกูสงสัยว่าอยู่มาจนจบปี 3 ได้ไง ขนาดงานง่ายๆโง่ๆ แม่งยังมาถามว่าตรงนี้ทำยังไง ทั้งๆที่กูบอกแล้ว แต่ไม่จดไม่จำ
คิดแล้วยังแค้น
ขอทราบเหตุผลที่รับเด็กราชภัฏมาฝึกงานหน่อย
คือไม่มีคนมาสมัครเลยจำใจรับหรือว่าเห็นใจหรืออะไร
>>443 กูเคยเป็นล่ามโรงงานมาก่อน แนะนำว่าถ้าวิศวะแย่งพูดมาก ๆ หรือหาว่าแปลผิดลองไปคุยกับเค้าดู แล้วถามว่ามีชีทหรือรวมศัทพ์เฉพาะทางวิศวะมั้ย บางทีเค้าอาจจะมีรวมไฟล์เทียบศัทพ์ไทยกับอีกภาษาให้เพราะอย่างโรงงานกูเค้าก็มี เข้าไปปุ๊บเค้าก็แจกไฟล์ให้มานั่งท่อง คือบางทีเราไม่ได้แปลผิดหรอก แต่พวกศัพท์เฉพาะทางโดยเฉพาะในโรงงานบางทีเค้าใช้ไม่เหมือนคำธรรมดาทั่วไป เวลาเราแปลไปมันก็เลยผิดความหมาย ลองค่อย ๆ ศึกษาไปเรื่อย ๆ ดูละกัน
กูเป็น programmer เพิ่งย้ายงาน sa ที่จ่ายงานให้ตอนนี้กากมาก ตรรกะก็ไม่ได้เรื่อง รับมือ user ก็ไม่เป็น รับงานมาแก้ตอนอีก 5 นาทีเลิกงาน(ครวย) และจะให้เอาขึ้นให้ได้เยอะที่สุดก่อนถึงพรุ่งนี้เช้า(ครวย) ขณะนี้กูกำลังอยู่โอ(ฟรี)อย่างเพลิดเพลิน(ครวย) นี่ถ้าแม่งแจกงานเสร็จแล้วชิ่งกลับก่อนด้วยกูจะกาหัวมันไว้เลย ไอ่ฉัดเด๊ย
เฮ้อ
คือกูเป็น HR นะ งานพวกโปรแกรมมิ่งโพสรับสมัครงานที่ไหนคนจะเห็นเยอะๆ วะ
กูลองโพสลง Blognone ดูแล้ว แต่ไม่ค่อยมีคนสมัครเท่าไหร่
สำหรับที่ใหญ่ๆมีระบบรับเด็กฝึกงานเพื่อเอามาฝึกให้เป็นงานจริงๆนะ เป็นการทำ csr แบบนึง ทีนี้เด็กฝึกงานเนี่ยมาจากหลายที่ ใครต้องการคุณสมบัติแบบไหน HR คัดส่งไปให้ตามนั้น เพราะงั้นจะมาแบบไม่เคยทำอะไรเลยไม่เหนือความคาดหมายหรอก
เอาจริงๆส่วนตัวเองถ้าอยากจะรับเด็กฝึกงานทางหัวหน้าก็สนับสนุนด้วยล่ะนะ แต่ที่ไม่รับคือถ้ารับมาแล้วไม่มีเวลาสอนงานให้เด็ก คิดว่าผิดต่อเด็กว่ะ เด็กมันตั้งใจมาเรียนรู้การทำงานจริง ตัวเองไม่ได้อยู่ออฟฟิศตลอด จะให้พาเด็กไปตรวจงานด้วยก็ไม่ได้ จะให้ทิ้งไว้ออฟฟิศก็เคว้งอีกอ่ะนะ
ไม่มีเวลา ไม่มีคอนเนคชั่น ไม่มีความสามารถหรือความรู้เฉพาะทาง ภาษางูๆปลาๆ
แตอยากพัฒนาตัวเอง อยากได้เงินเดือนเพิ่ม หรือช่องทางในการหารายได้มากขึ้น พี่ๆพอจะมีวิธีไหนแนะนำบ้างมั้ยครับ
สาระก็ดีนะฮะ ขายตงขายตูดไม่เอา แต่งานในที่อโคจรได้อยู่ครับ
ภาษาเป็นสิ่งที่เรียนไปแล้วไม่มีทางขาดทุนนะ เพราะงั้นไปเรียนภาษาก่อนเลย แล้วที่เหลือจะตามมาเอง
>>472 จะว่าเป็นล่ามโรงงานเต็มตัวก็ไม่เชิง คือที่จริงเค้ารับกูมาทำตำแหน่งประสานงานกับบ.แม่แต่บ.ลูกแม่งล่ามไม่พอ ใครได้ภาษาก็จับมาล่ามหมดกูเลยกลายเป็นล่ามจำเป็นน่ะ
ตอนนี้กูออกมาเพราะต้องการเปลี่ยนแนวงานบ้างนี่ก็ยังคิดอยู่ว่าถ้าเปลี่ยนอีกรอบจะลองทำล่ามเต็มตัวดีมั้ย แต่ล่ามเต็มตัวมันเหนื่อยถึงเงินจะเยอะก็เหอะ
เออเสริมหน่อย พูดถึง ม.ราช
วันนี้กูเห็นซีเนียร์ของน้องม.ราชมงคลที่ค่อนข้างใหญ่แหละ
"เว็บแอป สำหรับการจองxxxx"
และแม่งทำกัน 3 คน
ชื่อ Topic ภาษาอังกฤษบนเล่มจริงยังเขียนผิดแกรมม่าเลย
ไม่รู้ถามในนี้ถูกไหมเเต่รบกวนถามพี่ๆหน่อยครับ
ผมเรียนอยู่ปี3นะ ไฟฟ้ากำลังม.รัฐชื่อดัง(มั้งนะ)วิศวะเเห่งนึง ผมก็เรียน(โง่)ปกติครับเเต่ผมเป็นคนค่อนข้างสันโดษหน่อยเพื่อนในสาขาไม่ค่อยมี มีเเต่เพื่อนนอกสาขาที่สนิทๆกัน อยากถามเรื่องโปรเจคจบน่ะครับยากไหมครับโปรเจคจบ ผมก็ยังไม่รู้เรื่องเท่าไรเห็นว่าห้ามซ้ำผมก็เลยกะจะเตรียมตัวไว้หน่อยนึงผมหลงเรียนมา3ปีได้ละ ผมไม่ได้ชอบเลยนะไฟฟ้าเนี่ย ทางบ้านอยากให้เรียนเเต่พอเรียนๆเเล้วมันก็คำนวณๆปกติอะครับ ผมพอคำนวณเป็น มีโง่ๆเรื่องเขียนโปรแกรมบ้างเเต่ความสามารถด้านการปฎิบัติหรือทำชิ้นงานเนี่ยผมกาก หรือทำสิ่งใหม่ๆไอเดียเนี่ยค่อนข้างโง่
เกริ่นมาพอละถ้าผมอยากถามว่า ตอนเราไปสมัครงานเวลาสัมภาษณ์เขาจะสอบถามเรื่องโปรเจคจบใช่ไหมครับจะสอบถามอะไรบ้าง
เเนวคิด ทัศนคติหรือว่าอะไรพวกนี้อยากจะเตรียมพร้อมไว้น่ะครับ โปรเจคจบยากมั้ยถ้าทำคนเดียว ควรเลือกอาจารย์ยังไงดี ประจบอาจารย์ตั้งเเต่ตอนนี้เลยดีไหม (ชิงก่อน55) ผมเป็นคนคิดสิ่งใหม่ๆไม่เก่งด้วย เขียนโปรแกรมไม่เก่ง ถ้าพวกคำนวณอะไรพวกนี้พอได้อยู่ช่วยเเนะนำเรื่องประสบการณ์โปรเจคหน่อยฮะ
อีกข้อคือสิ่งที่อยากถามคือตอนบริษัทสัมภาษณ์ครับ ในนี้มีพี่เป็น HR ไหมครับ คืออยากถามว่าสิ่งที่ต้องการจะรู้จากผู้สมัครมีอะไรบ้าง
ความสามารถพิเศษที่ผมภูมิใจเเม่งมีอย่างเดียวอะ ภาษาญี่ปุ่นN3 เเต่คิดว่าเรียนวิศวะไฟฟ้ากำลังนี่ถ้าเอาไปใช้ระดับทำงานเเม่งต้องN1 เเน่ๆซึ่งยากเหรี้ยๆ ผมก็พยายามอยู่อะนะเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจสุดละ (เพราะชอบมัน รู้สึกตัวอีกทีกูไม่น่าเรียนวิศวะเล้ยน่าไปเรียนภาษา)
ภาษาอังกฤษต้องได้ด้วยหรือไม่ ภาษาอังกฤษต้องระดับไหนผมกะเริ่มตั้งเเต่ตอนนี้เรื่องภาษาอังกฤษผมอ่านเป็นอย่างเดียว ฟังไม่ทันพูดสำเนียงไม่ค่อยดี หนังมามีซัพคือสบายๆในหัวมีคลังศัพท์อยู่บ้างเเต่พวกศัพท์หรูๆไม่ค่อยรุ้เท่าไรพอเดาเรื่องได้สบายๆ เเต่ปัญหาเรื่องการสื่อสารอ่อนเเอคือพูดน่ะพูดได้เเต่คิดว่ถ้าเอาเป็นทางการใช้ tenseอะไรค่อนข้างโง่
ไม่รุ้ผิดกระทู้ไหมอยากถามเรื่องการสัมภาษณ์เนี่ยเเหละ ถ้าเป็นไปได้รบกวนที่ไหนศึกษาภาษาอังกฤษด้านการฟัง พูด สำเนียงด้วยก็ดีคับ
คิดว่าน่าจะได้เปรียบมากถ้ามีสกิลภาษาอะนะ
>>487 กูไม่ใช่ HR แต่จบสายวิศวะมาหลายปีแล้ว (ไม่ใช่ไฟฟ้ากำลัง) ขอตอบจากประสบการณ์ตอนเรียน หางาน ทำงาน ของตัวเองละกันนะ
- โปรเจคจบมึงอย่าไปกังวลมาก ลองเล็งอ.ที่ปรึกษาที่ดูหัวข้อที่มึงคิดว่าตัวเองทำได้ดีไว้แน่เนิ่นๆก็ดี แต่ถึงเวลาตอนทำโปรเจคจริงๆถ้ามีปัญหาอะไร ก็ไปปรึกษาอ.ซะ โปรเจคป.ตรีที่กูเคยเห็นส่วนมากจะไม่ใช่อะไรใหม่ๆ แบบต้องตีลังกาคิดอย่างนั้น แต่ต้องมีการรู้จักประยุกต์ใช้ความรู้บ้าง คุยกับอ.มากๆ เค้าก็จะแนะนำมึงได้
- โปรเจคจบกูโดนถามทุกสัมภาษณ์ ประมาณไหนก็แล้วแต่บริษัท ของกูตอนนั้นหางานสายน้ำมันทั้งสำรวจผลิต แล้วก็พวกสายโรงกลั่น ที่กูเจอมา บ.ไทยจะเน้นถามเทคนิคัล ใช้ทฤษฎีไหนอะไรยังไง บ.ข้ามชาติจะแนวมึงได้เรียนรู้สกิลอะไรจากตอนทำโปรเจคนี้บ้าง
- สิ่งที่ต้องการจากเด็กจบใหม่ อันนี้ตอบในฐานะคนทำงานเหมือนกันนะ
สกิลภาษา ญี่ปุ่นได้นี่ดีนะมึง สัมภาษณ์ บ.ญี่ปุ่นนี่บวกๆเลย แต่อังกฤษก็ควรได้ด้วย โทอิคถ้าให้ดีก็ 700 ขึ้น
ความรู้ด้านเทคนิคัล แต่ที่มึงเรียนๆมาในมหาลัย ก็ไม่ใช่ว่ารู้แล้วจะทำงานได้หมด ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ความเป็นผู้นำ แต่ทำงานเป็นทีมได้ รู้จักปรับตัว เซ้นส์ดี มี engineering judgement บลาๆ ส่วนตัวกูมองว่าทัศนคติสำคัญที่สุดนะ แต่อันนี้ก็แล้วแต่คนมอง
สู้ๆนะมึง กูเอาใจช่วย
ราชภัฏ กับ ราชมงคล นี่ม.ไหนภาษีความรู้และอุปนิสัยในการทำงานดีกว่ากันฮะพี่โม่ง
อีเหี้ยยยยยย ใครแม่งสับคัทเอาท์ไฟวะ แม่งมีคนมาเตือนว่าให้เซฟไฟล์ไว้นะเด๋วไฟดับก๔ก็กดเซฟ ยังไม่ทันเซฟเสร็จไฟดับเลย งานที่นั่งปั่นมาสองวันเปิดไม่ได้อีกเลย เพราะไฟเสือกดับตอนที่กำลังเซฟ ไม่รู้แม้งเป็นเหี้ยไร
ประเด็นคืออยากตบอีคนที่สับคัทเอาท์เนี่ยมากๆ มึงรีบดับไฟไปไหน ไม่รอให้คนไปบอกก่อนวะว่าดับได้เลย คนที่มาเตือนแม่งพูดยังไม่ทันจบประโยคไฟก็ดับละ ใครที่ไหนมันก็เซฟไม่ทันป่ะวะ ต้องให้คอมเร็วขนาดฟาสเจ็ดมันก็เซฟให้ไม่ทันป่ะวะ ไอ้เหี้ย แล้วไฟล์เปิดไม่ได้อย่างงี้กูเสียหายมั้ยยยยย กูทำมาตั้งสองวันนะ ไอสัส ใครทำวะแม่งงง
ใครรู้วิธีกู้ไฟล์บอกกูหน่อย กูจะร้องให้ละอีเหี้ยย
เป็นไฟล์ai พอกดเปิดไฟล์ที่เคยเซฟไว้ขึ้นมาแม่งขึ้นว่า text import options แล้วพอกดโอเคไปปุ๊ป มันก็เปิดขึ้นเป็นหน้าว่างเหมือนกดnewเลยว่ะ แต่พอดูขนาดไฟล์มันเหมือนไฟล์ไม่ได้หายไปนะ แค่เปิดขึ้นมาไม่ได้เฉยๆ
ใครรู้วิธีแก้บอกกูที
อีคนดับไฟ มึงนะมึง งานไม่ได้เซฟก็ว่าแย่แล้ว นี่งานเปิดไม่ได้อีกเลยแม่งเหี้ยกว่า กลายเป็นว่าอิที่กูเซฟก่อนหน้านี้แม่งหายหมด ควยๆๆๆไๆ
มีใครรับคนพิการเป็นง่อยไม่มีประสบการ์ทำงานเหี้ยไรไม่ได้มั่งมะวะ กูเคยไปทำงานตามบ.นะแม่งให้กูทำงานเหมือนคนปัญญาอ่อน นั่งลอกคราบกาวแต่ให้ใช้มือเปล่า ทั้งที่กูขอแอลกอฮอลมาเช็ด ตัดกระดาษแปะหน้าซองขาวทั้งๆที่มันปริ้นซองก็ได้ สัสเอ้ย งานที่กูเคยทำก็ขายของหน้าร้าน คียคอมได้นิดหน่อย กูเปลี่ยนงานบ่อยเพราะกูเจอพวกรังเกียจคนง่อยกับชอบกดหัวคนง่อย กูง่อยแล้วไงวะ สัส
>>493 กูเคยไปนั่งคีย์ประวัติพนักงานเป็นร้อยๆคน เขาบอกว่ากูพิมพ์ช้า สัสแล้วตอนกูเทสสปีดกูก็เท่านั้นมึงรับกูมาทำเหี้ยไร วันนึงกูคียประวัติแบบโคตรละเอียดได้วันละแค่สิบกว่าคนอะแต่ละคนแม่งส่งพวกประวัติการศึกษาประวัติงานมาแบบสำเนาเลือนๆ แล้วโปรแกรมจัดเก็บฐานมันกากสัด อินเสิร์ทแล้วแม่งไม่ชิพเซลล์แม่งเขียนทับเลย สรุปคือแม่งแกล้งให้กูพิมพ์ไปเรื่อยๆ พอกูรู้กูเลยทำเป็นพิมพ์ๆไปจนครบวันเงินเดือนออกครึ่งแรกกูลาออกเลย หัวหน้าทีมเหี้ยมันกำลังจะโดนเด้งแมเนเจ่อเหี้ยกว่าเอาเรื่องที่ไอ้หัวหน้านี่แกล้งกูมาเล่นงานไอ้หัวหน้าทีม การเมืองเหี้ยๆ สรุปกูแม่งเป็นหมากใช้แล้วทิ้ง กูรู้เพราะมีคนที่อยู่ในบ.โทรมาบอกว่าไอ้หัวหน้านั่นลาออกไปแล้วหลังจากกูออกได้แค่สัปดาห์เดียว อว.หัวควย
กูเดาว่ามึงคงพิมพ์งานได้ช้ากว่าปกติ คิดว่าจะฝึกให้พิมพ์ได้เร็วมากขึ้นไหวมั้ย ไม่ต้องเร็วขนาดพนักงานพิมพ์ดีดกูว่าก็หาได้ง่ายขึ้นเยอะนะ อย่าง callcenter ais dtac งี้
>>496 กูพิมพ์ได้แค่ยี่สิบสองคำต่อนาทีกูยอมรับว่ากูช้านะ แต่อีกเหตุที่กูช้าเพราะเวลาจะใส่แต่ละฟิลล์กูต้องเลือกตัวเลือกที่มันมีอยู่ในฐานก่อนแล้วอีฐานข้อมูลนี้มันสกอลหาได้อย่างเดียวพิมพ์ใส่ไม่ได้ หมายความว่ากูต้องสกอลหามันทุกฟิลล์ คนนึงมีประมาณ30-50ฟิลล์ ถ้าหาไม่เจอต้องไปสร้างตัวเลือกเพิ่มแต่ถ้าสร้างเพิ่มมันจะกลับไปหาปัญหาอีกอย่างคือฐานมันถูกเขียนทับไม่ได้ออกแบบมาให้มันแทรกเข้าไปอะ หมายความว้าทุกครั้งที่กูเพิ่มมันจะมีฟิลล์ที่โดนลบแก้ กูไม่รู้จะอธิบายยังไงกูอธิบายได้แค่นี้ล่ะ
เวลาว่างๆตอนอยู่ที่ทำงานทำไรกันวะ ที่ไม่ใช่เล่นเน็ตเข้าเฟสนะ
อ่านหนังสือกก.งาน? เคลียร์งานอื่นเพิ่ม? คืออาทิตย์หน้าจะทำงานแล้วน่ะ
คือเป็นคนที่ตอนเรียนทำงานเร็วกว่าชาวบ้าน พอเสร็จก็จะนั่งเหม่อ จานก็จะเขม่นว่าอินี่ไม่ตั้งใจเรียน
ซึ่งตอนทำงานไม่อยากให้เป็นงั้นน่ะ เพื่อนที่เคยทำบอกว่า ถ้าบางวันถ้านายไม่เข้าก็จะว่างมากๆงี้
ลองไปทำก่อน แล้วจะรู้ว่าจะว่างอย่างที่คิดมั้ย แล้วถ้าว่างจะทำอะไร ปรับตัวไปตามสถานการณ์ อย่างงานกูค่อนข้างว่างเยอะ แต่กูไม่ชอบอยู่เฉย มันง่วงและน่าเบื่อ เวลาว่างกูชอบไปช่วยงานจุกจิกของคนอื่นในแผนก เบาสมองดี งานกูเครียด ผลพลอยได้คือทำให้กูเป็นที่รักของคนในแผนกด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อตัวกู แต่ถ้ามึงไม่เต็มใจทำ หรือถ้าไปช่วยงานคนอื่นแล้วคนอื่นไม่เกรงใจ เห็นว่ามาช่วยก็จิกใช้แหลก อันนี้ไม่แนะนำ วันหลังจะซวยเอา อย่างแผนกกูเค้าเกรงใจกูตัวลีบตัวแบน ดังนั้นถ้ากูไม่ออกปากเสนอความช่วยเหลือเอง จะไม่มีใครกล้าใช้กูเด็ดขาด กูเลยช่วยได้ วันไหนอยากช่วยก็ช่วย วันไหนไม่อยากช่วยก็ไม่ต้องช่วย
>>497 22 คำต่อนาทีถ้าไม่ใช่พนักงานคีย์ข้อมูลอย่างเดียวทั้งวันกูว่าเร็วเหลือเฟือแล้วว่ะ กูเป็น programmer ยังพิมพ์ช้ากว่ามึงเลย 555 แถมไอ้งานที่มึงไปเจอนั่นระบบก็กากเกิ๊น เคยลองไปสมัครคอลเซนเตอร์ ais dtac รึยัง รังเกียจงาน tele sale มั้ย งานพวกนี้ไม่ต้องการประสบการณ์ เริ่มใหม่มีเทรนทุกคน หรือไม่ก็.....มึงเรียนอะไรมา มีความรู้อะไรทำให้เลือกงานอย่างอื่นได้มั่งมั้ย เอาจริงๆกูอยากถามว่ามึงพิการขนาดไหนด้วยล่ะ จะได้แนะนำได้ถูก
เหี้ย บ่นหน่อย กูพึ่งย้ายงานมาที่ใหม่ได้ 3 เดือนละ งานก็ดี เงินเดือนก็ขึ้นเยอะ แต่ไม่รู้ทำไมน่าเบื่อชิบหายเลย..........กูแม่มอยากกลับไปที่เก่าแล้ว กูอยากโดนโทรตามตอนตี 1 ตี 2 กูอยากโดนกดดัน แม่มเอ๊ยยยยยยยยยยย ทำไมกูเป็นงี้วะ
กูก็เบื่องานว่ะสหายโม่ง เงินเดือนดีนะ แต่เจ้านายแม่งอารมณ์แปรปรวน วันไหนดีกูแทบไม่ต้องทำอะไร
แต่ถ้าวันไหนมันอารมณ์ไม่ดีนะเร่งงานกูยิกๆๆ เซ็งว่ะเพื่่อน
มีใครทำงานหกวันมะ คือเครียดๆนิดหน่อยกลัวตัวเองจะไม่ไหว ไม่เคยทำยาวๆติดกันมาก่อน เล่าให้ฟังหน่อยดิ๊
เลขาคนญี่ปุ่น 6 วัน 25k กำลังคิดๆอยู่ว่าทำไปหาปสก.ค่อยย้ายอัพฐานเงินเดือนดีกว่า -.-
ตดกลางห้องมีตติ้ง ห้องประชุม อย่างดังงง จะแก้เขินยังไงดีวะ พวกเคยกันป่าววะ
TOT กูได้N2 แล้วนะมึง แต่ที่นี่เริ่มงานสายแล้วคนก็น่ารัก แต่กูว่าเงินมันน้อยปายยยยยยยยยยยย
เห็นเพื่อนกูทำสายล่ามหลายคน แม่มรวยๆทั้งนั้น ยิ่งไปตีกอล์ฟกับนายได้ด้วยนะมึงงงงงงง
กูเป็นพวกใช้เงินแล้วรู้สึกผิดว่ะ พอใช้เงินก้อนใหญ่ๆ ซื้อของสำคัญๆ แล้วต้องพยายามหาเงินก้อนนั้นมาคืน ทั้งๆ ที่ชีวิตกูเองก็หาเงินได้เรื่อยๆ มีเงินเก็บฉุกเฉินไว้พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย
กุเพิ่งไปทำงาน แต่รู้สึกคิโมจิวารุ่ยมาก คือเป็นIntrovertที่ต้องตีหน้าว่าเป็น Ex งานมันก็ไม่ได้หนักอะไร แต่กุเหนื่อยใจ ทำไงดีวะโม่ง
กุขี้เกียจยิ้ม กุอยากทำหน้าตูด กุอยากมุดเข้าห้องน้ำแล้วอยู่คนเดียวสักพัก กุไม่อยากเฟรนด์ลี่ กุไม่อยากปรับตัว สันดานกุคือหอยกาบ
แต่กุต้องทำตัวเป็นฟลามิงโก้ TOT ไม่อยากคุย ม่ายยยยยยยย กุรู้สึกคอนทราสต์ วิญญาณกุกำลังแตกสลาย สกิลตอแหลกุกำลังดีขึ้น
กุมองหน้าแม่ค้าแล้วสามารถยิ้มการค้าให้นางได้ภายในสิบวิทั้งที่กุไม่อยากยิ้ม ฮือๆๆๆๆ
>>521 เหมือนกุนั้นละแล้วมึงจะเริ่มศูนย์เสียความเป็นตัวเองในที่ทำงานไปทีละนิดแล้วก็กลายเป็นสองบุคลิกเวลาอยู่บ้านและที่ทำงาน มึงจะเริ่มรู้สึกว่ามึงไม่มีความสุขมึงต้องการพื้นที่ส่วนตัวที่รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย และจากนั้นพอมึงได้อยู่ตัวคนเดียงมึงจะรู้สึกว่ามันช่างน่าเบื่ออะไรอย่างนี้ เล่นคอมไปแบบซังกะตาย ชายตาออกข้างนอกมองต้นไม้ ผู้คน สิ่งต่างๆที่ไหลไปตามเวลา มึงจะคิดว่าทำไมมันน่าเบื่ออย่างนี้ ควรหาอะไรทำแก้เบื่อ แต่พอลองเล่มทำในสิ่งที่สนใจแต่ก็ดันคิดว่าทำไมไม่เหมือนที่คิดเลยวะ มึงก็จะเริ่มคิดว่าตัวเองเป็นอะไรไป มึงเริ่มกลับมามองตัวเอง เข้าไปดูการตอบของตัวเองในโลกของอินเตอร์เน็ต ดูรูปเก่าๆ เฟสบุ๊คเมื่อวันวาน สิ่งที่ได้ทำไปในอดีต แล้วมึงก็จะเริ่มหัวเราะกับตัวเอง สิ่งมันก็ช่วยเยียวยาตัวมึงได้ แต่ก็ได้แค่ช่วงประเดี๋ยวเท่านั้น แล้วมึงก็เริ่มคิดว่าทำไมเวลาผ่านไปเร็วอย่างนี้ และก็กลับสู่วัฎจักรเดิม เช้ามาไปทำงานเย็นกลับหรือต่อกับเพื่อน แล้วก็อยู่กับตัวคนเดียว รอคอยสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่ไม่อยากเหมือนเดิมเหมือนดอกไม้ไฟ แต่มึงก็จะกลับเฉไฉว่ามึงต้องการเก็บตัวทั้งๆที่ใจของมึงต้องการสิ่งที่แปลกใหม่ การแสวงหาสิ่งที่ตอบสนองความประหลาดใจ ความน่าตื่นเต้น ความสนุกสนานกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง สังคมที่ไม่มีพิษภัยไม่ตัดสินมึงในการกระทำต่างๆ มึงต้องการสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่การอยู่คนเดียวในที่ๆปลอดภัย ฉะนั้นก็จงทำซะ มาเป็นแฟนกุ กุเหงาครับ ถ้ามึงเป็นชายก็ไปไกลๆแล้วลืมสิ่งที่กุพิมพ์ๆมาไปให้หมดเลย
มีใครเป็นตัวของตัวเองในที่ทำงานได้ด้วยเรอะ.... เมื่อกี้เพิ่งเปลี่ยนสกรีนโทวกะจังเป็นรูปหมาจิ้งจอก ซิกๆ ต้องปกปิดความโม่ยของตัวเอง ม่ายยย
522 มึงตลกดี ผ่าน ยินดีด้วย เอาเมลมาสิ 55
ดีเหลือเกินที่กูทำตัวคุที่ทำงานได้
อื้ม กุมองแก้วไททัน 60 เมตรกะแก้วมักเกิ้ล กำลังคิดว่าจะเอาแก้วไหนไปไว้ที่ทำงานดีวะ....
ที่ทำงานมึงมีคนแบบไหนบ้างอะ บ.กูเป็น Startup บอสยังอายุแค่ 36 เอง กูเลยคุเอาฟิกเอากันพลาไปวางบนโต๊ะได้
ที่ทำงานกูมีคนเอาฟิกเกอร์ตั้งบนโต๊ะนะ แต่คนตั้งเป็นผู้หญิงเลยไม่มีใครว่าอะไร มีแต่คนชมว่าของเล่นน้องน่ารัก
ถ้าเป็นผู้ชายทำบ้างนะมึง ไม่อยากจะคิด...
มึงก็พูดเว่อร์ไป TwT ไม่ใช่ฟิกวับๆแวมๆสิวะ กูชอบตั้งพวกฟิกม่ากับกันพลาอะ กูเลือกพวกนี้เพราะมันขยับได้
เวลาเครียดๆกับงาน กูให้เวลาสัก 5 นาทีมาจัดท่ามันเล่นเนี่ย คลายเครียดดี
เลือกไอเทมในระดับไม่โม่ยก่อนดิ แก้วน้ำอนิเมะ ไรงี้ ละค่อยขยับขั้นเพิ่มความโม่ยทีละนิดแบบเนียนๆ
ถ้าอยู่ๆจะเอา Alter 1/6 ไปตั้งโต๊ะก็โม่ยไปนะ
อ้อ พวกด๋อยนี่ถ้าเป็นไซส์ปุจิกูว่ายังดูไม่ค่อยโม่ยนะ แต่ถ้าเอาไปเป็นแผงก็โม่ยว่ะ
กูตั้งที่บ้านกูย้งรู้สึกโม่ยตัวเองเลยวะ สุดท้ายซื้อมาเก็บเข้ากล่องลงหลืบอันมืดมิด เอามาเชยชมบ้างเมื่ออารมณ์อยากโม่ยมันมา
กูมีฟิกเกอท่านคิมอยู่บนโต๊ะ ไม่เห็นมีใครบ่นกูเลย....
เคยเอาโยทสึบะ Bigsize22cm ไปตั้งว่ะ
นอกนั้นพวกด๋อยยังไม่กล้าเอาไปตั้ง ส่วนฟิกบิโชโจนี่กุไม่กล้าแน่ๆ
โม่งกุคงไม่แตกนะ
กูว่าโยทสึบะนี่คุณค่ามันเข้าขั้นหนังดีๆเรื่องนึง
กล้าแนะนำให้คนไม่คุที่เทสดีๆ อ่านได้สบายๆเลย
(จริงๆกุก็ไม่คุแหละนะ)
วันศุกแล้วไอสาสสสสสสสสสสสสสสส
มีใครเป็นแบบกูบ้างวะ ทำงานมา 4 ปี ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ไม่นั่งเปิดหางานในเว็บ อยากออกทุกวัน แต่ปรากฏว่าจนวันนี้กูก็ยังอยู่ที่เดิม =_="
ตอนเรียนมหาลัยตกเย็นกูก็กลับมาหาข้อมูลคณะอื่นๆทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดจะซิ่ว
อ้าว กลายเป็นเด็กๆ อาการหนักกว่ากูอีก ;_;
สู้ๆ นะ เดี๋ยวมาทำงานแล้วมึงจะเซ็งกว่าเดิม (อ้าว อินี่ ไม่ได้ให้กำลังใจเลย 555555)
แต่กูว่าทำงานมันตัดสินใจเปลี่ยนงานง่ายกว่าซิ่วนะ เพราะซิ่วมันต้องไปเริ่มเรียนใหม่หมดเลย ถ้าสาขาใกล้เคียงอาจจะโอนหน่วยกิตได้บางวิชา แต่ก็จะจบช้า มันเลยทำให้ตัดสินใจยาก แต่ทำงานมันไม่มีระยะเวลาตายตัวเหมือนเรียน เลยตัดสินใจง่ายกว่า แต่กูเครียดเพราะกูเคยเปลี่ยนงานแล้วแย่ลงกว่าเดิมมากๆ ทำให้เกลียดตัวเอง โกรธตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดที่ก้าวออกจากสิ่งดีๆ มาสู่สิ่งเหี้ยๆ และเกิดความกลัวครอบงำจิตใจว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีก จะเสือกก้าวออกไปหาสิ่งที่เหี้ยกว่านี้อีก กูควรทำไงดีวะ ฮือออ
วันจันทร์อีกแล้ว ห่าเอ๊ยยยย
เพิ่งสั่งซื้อ PS4 มือสองไปเมื่อวาน วันจันทร์หน้าเงินเดือนออกค่อยไปรับ ตอนนี้ใจกูบินไปถึงตอนนั้นแล้วเนี่ย อาห์ เป็นการเริ่มสัปดาห์ใหม่ที่เปี่ยมสุข
กูคนนึงละไม่ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง
กูหากระทู้โม่งชายชวนคุยไม่เจอว่ะ ขอถามในนี้ละกัน กูกำลังหากระเป๋าไปใหม่อยู่ อยากได้แบบสะพายหลังไม่ก็ใบเล็กๆหน่อยเพราะปวดไหล่ มียี่ห้อแนะนำมั้ย
กุเพิ่งทำงานว่ะ แล้วบอสกุเป็นผช. พูดตรงๆนะ คือกุไม่รู้จะพูดอะไร มากแค่ไหนยังไงดี บางทีกุก็อยากเอาใจบอสแต่กุก็เข้าใจเรื่องลิมิตนู่นนี่นั่น
คือกุคิดมากจนเขารู้สึกว่ากุอึดอัดลังเลอ่ะ มีทางไหนที่กุจะหายมะ บางทีกุก็อยากคุยกะบอสแต่บางทีบอสก็โคดยุ่ง -_-; ถ้ากุเป็นเลขาเขากุก็ควรสนิทกะเขาช่ะ แต่กุไม่แน่ใจเรื่องการคีปดิสแท้นท์การตีสนิทอะไรงี้
>>558 เป็นเลขาไม่จำเป็นต้องสนิทสนมกับบอสก็ได้นี่มึง แค่มึงทำหน้าที่รู้ว่าบอสมึงต้องการอะไรอยากได้อะไรก็พอ
อ่านกระทู้นี้เป็นตัวอย่าง เลขาจริงๆไม่จำเป็นว่าต้องสนิทกับบอสเหมือนในละครไทย แต่ควรเป็นผู้ช่วย/ที่ปรึกษาให้บอส
http://pantip.com/topic/32794105
กุทำงานมาสองทิด ทำงานพลาดไป ―_-;รู้สึกได้ว่าความน่าเชื่อถือลดฮวบ โดนใช้แต่งานเจเนรัลเบ๊ รู้สึกติดลบ ทำไงดีวะโม่ง
>>561 จะเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง ได้รับมอบหมายมาให้วางแผนจัดรถรับส่งเทรนนิ่งพนักงานทั่วๆไป ทำไปทำมาซักสองเดือนมารีวิวงานตัวเองแล้วช็อกขนหัวลุกเลย วางแผนง่ายๆพลาด บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาสองแสน
ตอนนั้นเพิ่งเข้างานใหม่ไง เงินเดือนหมื่นหน่อยๆเอง เดินไปคุยกะไดเรคเตอร์แบบคิดในใจเลยว่าถ้าบริษัทบอกให้เขียนใบลาออกจะเซ็นโดยดีเลย แต่นายไม่ว่าไร บอกคนทำงานการทำอะไรผิดพลาดเป็นเรื่องปกติแล้ว คุณทำงานให้บริษัท อย่าไปคิดอะไรมากมาย
แล้วนายให้กำลังใจมาเพิ่มด้วย เราทำงานให้บริษัทแย่สุดอย่างมากก็โดนไล่ออก ไม่ถึงตาย ถ้าเราทำเต็มที่แล้วโดนไล่ออกก็ออกไปหางานใหม่ได้ มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดของโลกไง
เพราะงั้นเรื่องคิดลบจิตตกนั่นเอาให้เต็มที่เลย แต่อย่าลืมเรื่องสำคัญ อย่างมากก็โดนไล่ออกเว้ย ไม่ถึงตาย พอลุกได้ก็ทำงานต่อ ล้มจมอยู่นานก็เสียเวลาชีวิตนานน่ะ
mbti มันกลายเป็นสัทธิอะไรซักอย่างไปแล้วป่ะว่ะ จากแค่แบบทดสอบ กลายเป็นการตัดสินคนๆนั้นซะงั้น
คนเราจะตัดสินได้แค่จากแบบทดสอบจริงๆเหรอ? เพราะกูแอบได้ยิน HR บ.กูเริ่มจะเอามาใช่คัดคนเข้าบ.แบบจริงจังแล้ว
ช่วงสมัยหลงทางสายชีวิตกูเลยฮิตอ่านพวก mbti อยู่พักใหญ่เลย ตอนนี้ทำงานอยู่สายงานที่ตราหน้าว่าไทป์กูไม่เหมาะมากๆๆๆๆอยู่ ก็โอเคดีนะ ส่วนตัวกูว่ามันบอกอะไรได้เยอะ แต่มันไม่ scientific พอที่จะเอามาตัดสินชีวิตใครหว่ะ คนเรามัน unique กว่าการที่จะโดนเหมารวมอยู่แค่ใน 16 กลุ่มนะ
มันจะเอาไว้ดูว่าคนใหนเหมาะกับงานใหนที่สุดป่าว ทำงานใหนจะทำออกมาได้ดี แต่มันก็คลาดเคลื่อนได้นะถ้ามึงไม่ตอบคำถามแบบที่เป็นตัวมุงจริงๆ
มันมากบางกลุ่มที่พวก HR จะร้องยี้ไม่อยากรับกันเลยนะ เคยคุยกับ HR เค้าก็บอกจะตัดพวกกลุ่มนี้ออกก่อนจริง พวก sp เนี่ยตัวดีเลย ถ้าไม่ใช่งานสายอาร์ต
กูทำงานอยู่ตปท.ก็ไม่มีหลักการนี้มาใช้พิจารณารับคนนะ แต่จะว่ามันตรงก็ตรงอยู่นะ คือบอกอาชีพกูถูกต้อง
แต่ว่าแนวคิดบางอย่างก็ไม่ตรงกับกู ส่วนตัวกูชอบให้คนดูถูกกูว่าโง่ รึไร้ความสามารถเยอะๆ กูไม่ต้องการคำชม
เพราะกูอยากรู้ข้อเสีย กับด้านลบกูเยอะๆ แต่คนที่ด่ากูได้มันต้องบอกกูด้วยว่ากูโง่รึผิดยังไงน่ะ
ใครเคยมีประสบการณ์ย้ายไปอยู่บ.ซัพพลายเออร์ของบ.เดิมที่ตัวเองเคยทำงานบ้างง่ะ กูกลัวจะต้องโคจรมาเจอกันตอนประชุมแล้วจะมองหน้ากันลำบาก -*- แต่บ.กูแม่งมีซัพพลายเออร์หลายร้อยเจ้า จะหางานในสายเดิมที่ไม่ใช่ซัพพลายเออร์ของตัวเองแม่งช่างยากเย็นยิ่งนัก กูยังชอบงานสายนี้อยู่
ตัวกูไม่เคยย้าย แต่มีพี่ที่เคยทำงานด้วยกันย้ายไปบริษัทลูกค้า มีต้องมาทำงานด้วยกันบ้างก็แซวกันไป ฝากฝังตัวเองเผื่อย้ายงานซะเรียบร้อย พี่ได้ดิบได้ดีแล้วอย่าลืมทางนี้ด้วยนะ ไม่มีมองหน้าไม่ติดอะไรนะ อาจเพราะสายงานกูคนเดิมๆก็เวียนกันอยู่นี่แหละ ย้ายไปย้ายมาอยู่ไม่กี่บริษัท
กุเป็นคนชอบเผลอแบบโง่ๆ ขี้หลงขี้ลืม จะแก้นิสัยไงดีวะ ชอบเหม่อคิดอะไรหลายอย่างพร้อมกันด้วย
รถแม่งติดมาร่วมสิบกว่านาที
ตรงเลนยูเทิร์นแม่งก็ปล่อยให้รถแม่งเทิร์นอยู่นั่น
แปปๆรถก็ออกมาจากซอยด้านข้างอีก
รถที่อยู่บนเส้นหลักนี่รอจนตะคริวแดกละสัส
เมื่อวานไปงานรับปริญญาที่มหิดลมา เกือบๆสองปีแล้วที่กูไม่ได้ว่างในวันที่คนอื่นเค้าทำงาน ครั้งสุดท้ายที่ลากิจคือตอนเพิ่งทำงานใหม่ๆ
ระหว่างรอรุ่นน้องกูรับเสร็จกูเกิดความรุ้สึกขี้เกียจอย่างบอกไม่ถูกว่ะ อยากลาออก(จริงๆก็จะออกตอนสิ้นเดือนอยู่แล้ว) ไม่อยากทำงาน
อยากมีวันหยุดในวันที่คนอื่นทำงานกัน อารมณ์เหมือนทำงานนี้มานานแล้วก็เกิดเบื่อๆอยากลาออกมาหาอะไรใหม่ๆทำ
แต่พอมาวันนี้ก็กลับเข้าสู่ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอีกรอบ ตื่นเช้าไปทำงานต่อ บ้านไม่รวยก็เงี้ย ยังไงก็หนีการทำงานไม่พ้น
จบการบ่น
กุไลน์ถามบอส บอสบอกเรื่องเบสิคแบบนี้ถามบอสอีกคนแล้วกันนะ กุเจ็บเบาๆเหมือนเขารำคาญ กุควรเจ็บไหม หรือนี่ด่าเบาแล้ว 55 กุเพิ่งเริ่มทำงานเอง
>>578 ยังถือว่าไม่แรงมากเท่าไร แต่ครั้งหน้าก็ระวังๆเรื่องนี้ เลี่ยงไปถามรุ่นพี่ในที่ทำงานดีกว่า ที่สำคัญคืออย่าอายที่จะถาม ไม่รู้ไม่ผิด แต่มึงจะผิดถ้าไม่รู้แล้วทำงานโดยมโนว่ากูรู้แล้ว
>>579 กูไปวันรับจริงทีเดียวเลยว่ะ ตอนแรกกะว่าจะไปสองวันนะ ทั้งซ้อมใหญ่แล้วก็รับจริง แต่รุ่นน้องกูบอกว่าวันซ้อมมีพ่อแม่มาด้วย กูเลยคิดว่ามาหาวันรับจริงทีเดียวเลยดีกว่า ปล่อยให้เค้าอยู่กับครอบครัวตอนวันซ้อม ขาไปวันรับจริงนั่ง 515 จากอนุเสาวรีย์ แปปเดียวถึง แต่ขากลับนรกมากเลยมึง นั่ง515เหมือนเดิม จากห้าโมงครึ่งกว่าจะถึงรังสิตก็สามทุ่มครึ่ง รวมเวลาเดินทางก็ 7 ชั่วโมงไปกลับอ่ะมึง แถมขาไปเสือกถึงเร็ว(กูรีบออกกลัวรถติด) ถึงบ่ายโมงกว่าๆ กว่าพิธีจะเลิกก็สี่โมงครึ่ง สรุปว่าวันจันทร์กูเสียเวลาไป 10 กว่าชั่วโมง เพื่อคุยแล้วก็ถ่ายรูปรุ่นน้องกูแค่ 30 นาที
แต่ก็ไม่ได้เสียดายอะไรนะ ยังไงมันก็เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของเค้า กูได้มาเจอหน้าได้ทักทายแสดงความยินดีกูก็พอใจและ
เพื่อนโม่ง คือกูกำลังจะได้งานทำอีกครั้งว่ะหลังจากไม่ได้ทำงานประจำมาราวเกินครึ่งปี
ที่ไม่ได้ทำงานเพราะมีเหตุจำเป็นน่ะ แต่ระหว่างนั้นก็ทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ให้ได้เงินใช้ และมีเงินเก็บอยู่บ้างเลยไม่เดือดร้อน
พอกำลังจะทำงานอีกครั้งรู้สึกทั้งประหม่า ทั้งขี้เกียจ เหมือนพวก loser อย่างบอกไม่ถูกเลยว่ะ สงสัยเพราะเสพติดช่วงอิสระมากไปหน่อย ใครพอมีวิธีช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้บ้างไหม? (คือกูว่าพอได้ทำงานไปแล้วมันคงดีขึ้นเองแหละ แต่ช่วงนี้รู้สึกใจมันปั่นป่วนพิกล)
>>581 กูเคยเป็น และเข้าใจมึงเลย ตอนเรียนจบใหม่ๆกูกลัวการสมัครงานว่ะ รู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตแบบขอเงินพ่อแม่ไปเรื่อยๆ ตื่นกี่โมงก็ได้ นอนดึกก็ไม่ต้องกลัวตื่นสาย แต่สุดท้ายก็สงสารพ่อแม่กู ก็ไม่อยากเป็น NEET เป็น Loser หางานไม่ได้ สุดท้ายก็กัดฟันออกไปสมัครงานจนได้งานนี่แหละ พยายามเข้านะเพื่อนโม่ง
>>582 จริงๆกูแอบชอบน้องเค้าด้วยล่ะ :p เลยยอมลงทุนถ่อจากรังสิตไปหาถึงศาลายา ตอนแรกจะเอามาเล่าในมู้ปัญหาหัวใจแต่วันนั้นมันมีประเด็นเรื่องเบื่องานอยู่ด้วยเลยเล่ามู้นี้แทน
>>584 ตรงข้ามกับกูเลยว่ะ ตอนกูจบใหม่เต็มไปด้วยความรู้ ความสามารถ ความมั่นใจ ความตื่นเต้น สนุกกับการหางานและสัมภาษณ์งานมากๆ พอแก่มาเนี่ยดิแม่งเบื่อไปหมด กลัวไปหมด ขี้เกียจไปหมด ความรู้เหี้ยอะไรก็ไม่มีแล้วระเหยหายไปหมด ตอนนี้สภาพเหมือนมือถือเก่าๆ ที่แบตเสื่อมไปแล้วชิบหาย
ตอนนี้กูต่อกิจการที่บ้านล่ะ โครตลำบากเลยฟะ แต่ช่วยไม่ได้ ลูกคนโตนี่หว่า
กูสงสัยคำว่าฟรีแลนซ์นี่มันหมายถึงอะไรบ้างวะ พูดรวมๆคนจะนึกถึงสายกราฟิคและอื่นๆ มันรวมพวกที่ทำพาร์ทไทม์อะไรพวกนี้ปะ
>>590 ทำพาร์ทไทม์ไม่ถิือเป็นงานอิสระนะ ทำพาร์ทไทม์ก็บอกว่าทำพาร์ทไทม์ไปนั่นแหละ
ฟรีแลนซ์มันจะหมายถึงคนที่ทำงานอิสระ ไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพนักงานขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง และก็ไม่ได้มีกิจการหรือตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง รับงานจากองค์กรหรือบุคคลอื่นมาทำอย่างอิสระ มีสัญญาผูกพันเฉพาะเรื่องงาน แต่ไม่มีสัญญาเรื่องตัวบุคคล ประมาณนี้ล่ะมั้ง งานฟรีแลนซ์มีเยอะนะ นอกจากสายกราฟฟิคก็มีพวกไอที พวกทำเว็บ พวกทำโฆษณา พวกล่าม พวกรับงานแปล พวกนักกฎหมาย นักวาด คอนซัลแทนท์ ฯลฯ ที่กูยังนึกไม่ออกตอนนี้
ย้ายมาทำงานที่ใหม่ ทำได้ 10 วัน โดนยุบแผนก..... กูกลับไปเป็นฟรีแลนซ์ดีมั้ย...........
>>592 เคยทำมาหลายรูปแบบนะ
แบบที่สมัครด้วยตัวเองแล้วผ่าน - งานจะเป็นประเภทไม่ถึงขั้นใช้ความสามารถสูง มีความรู้ระดับ ปวส. หรือปริญญาตรีก็ทำได้ ประเภทงานบัญชีทั่วไป งานคุมสต็อกของ งานตรวจสอบความถูกต้อง งานธุรการ ซึ่งบริษัทจะเป็นระดับกลาง ๆ ค่อนไปในทางเล็ก แน่นอนว่าเงินเดือนจะไม่ได้ตามมาตรฐานที่เราต้องการแต่ก็ดีกว่าไม่มีงานทำ และงานก็ไม่ถึงขนาดที่ว่าเราจะทำไม่ได้
เวลาเราสมัครต้องอาศัยคารมนิดหน่อยและมีความสามารถที่ว่ามาเนี้ยะติดตัวในระดับหนึ่งแล้ว (จริง ๆ คืออีก 2 อย่างซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างล่างก็เช่นกัน) ส่วนมากสัมภาษณ์แค่ 1-2 ฝ่ายแล้วตัดสินจากการทดลองงาน
แบบที่สมัครด้วยตัวเองแล้วต้องพึ่งโชค - อันนี้บอกไว้เลยว่าดวงจริง ๆ งานประเภทนี้กูเคยเป็นแคนดิเดทแต่ก็พลาด มันคืองานอะไร? มันคืองานประเภทที่มึงคิดว่ามึงอยากทำอ่ะ ประมาณว่าไม่ได้จบมาในสายงานนั้นแต่ชอบและเคยทำเป็นงานอดิเรก
เป็นงานที่อาศัยลักษณะเฉพาะพอสมควร สมัครแล้วต้องผ่าน 2-3 ฝ่ายอะไรทำนองนั้น เช่น จบรัฐศาสตร์หรือนิติศาสตร์มาแต่อยากทำพิสูจน์อักษร หรือเขียนบทความ ก็อาศัยข้อได้เปรียบตอนเรียนให้เป็นประโยชน์ซะ + ความรู้ในแขนงที่เขาต้องการ อะไรล่ะ...เช่นเล่นเกมเงี้ยะ แปลงานเงี้ยะ (ของที่ทำเป็นงานอดิเรกแล้วชอบ)
บริษัทเขาอาจจะเห็นความสามารถและความพยายามของมึง แต่ขณะเดียวกันคนจบมาตรงกับสายงานมันจะได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว (ถึงบอกไงว่าพึ่งโชค) เคสกูนี้บริษัทเขายังชมเลยว่าความสามารถดีมาก...แต่ก็พลาดนะ
แบบอาศัยคนรู้จัก - คือมึงมีเพื่อนอ่ะครับ และมึงก็บอกเพื่อนไว้เลยว่า "ตำแหน่งไหนในบริษัทมึงที่ว่างและคิดว่ากูทำได้มึงเรียกกูเลยนะ" ทำนองเนี้ยะ
งานใน field นี้อาจจะเป็นประเภทคล้ายคลึงกับแบบแรกแต่เงินเดือนจะดีกว่า หรืออาจจะตรงกับที่เรียนมาเลยก็ได้แต่ก็ต้องอาศัยโชคเหมือนแบบที่สองเช่นกัน ทำไมเป็นแบบนั้น? เพราะถ้ามึงมีเพื่อนดีเขาจะเสนองานในตำแหน่งที่ค่อนข้างโอเคที่สุดกับเรา ในขณะเดียวกันเราก็ต้องสัมภาษณ์ให้ผ่านฝ่ายบุคคลเช่นกัน
ข้อดีคือมึงมีเพื่อนในบริษัทฝ่ายบุคคลจะถามความเป็นไปเป็นมากับเพื่อน และเราสามารถนัดแนะกับเพื่อนได้เหมือนมีแบ็คอัพ แต่ข้อเสียคือ นอกเหนือกรณีที่ฝ่ายบุคคลค่อนข้างจะเขี้ยวจนทำให้เราพลาด (อันนี้จะกลายเป็นเคสปกติ เหมือนสมัครงานทั่ว ๆ ไป) ถ้าเราได้ทำงานจริง ๆ มึงจะต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งในสิ่งที่เรียกว่า "ความรับผิดชอบต่อเพื่อน" เพราะนอกจากเราแบกรับงานของเราแล้วเรายังต้องแบกรับหน้าเพื่อนไว้ด้วย
แบบพิเศษ (แถม) คือให้บริษัทรับจัดหางานเป็นตัวเลือก - ซึ่งกูก็เคยทำ แต่บังเอิญว่าหลังฝากประวัติแล้ว กูสมัครงานเองได้พอดี แต่ภาพรวมน่าจะเหมือนลักษณะประเภทแรก
หลัก ๆ เลยในเรื่องการสมัครงานไม่ตรงกับที่เรียนมาคือต้องแสดงให้ฝ่ายบุคคลเห็นว่าทำงานนี้ได้ ซึ่งในความจริงแล้วมึงก็ควรต้องทำงานนั้นได้จริงระดับหนึ่งแหละไม่งั้นก็อย่าสมัครเลยเปลืองพลังชีวิต เงินและเวลาเปล่า ๆ เหมือนตัวอย่างที่ยกไปแหละ จบนิติฯ รัฐศาสตร์ มันยังพอจะไปด้านงานเขียนหรืองานตรวจเอกสารได้ ถ้ามีทักษะด้านภาษา ไม่ใช่จะพรวดพราดไปสายงานกราฟฟิคอะไรเงี้ยะ ต่อให้มึงชำนาญโปรแกรมแต่พอร์ตไม่มี ทางก็หายไปแล้วครึ่งนึง (มันคือการยกตัวอย่างเปรียบเทียบน่ะ อาจไม่สมเหตุสมผลหน่อยแต่ก็มีรูปธรรมให้เปรียบเทียบ)
ลองดูแล้วกันเพื่อนโม่งว่าอะไรใกล้เคียงกับนายมากที่สุด อาจจะเลือกไม่ได้เสียทีเดียว แต่หากโอกาสอำนวยก็เลือกในอะไรที่ทำได้นั่นคือดีแล้ว
การทำงานบริษัทต้องเปิดใจให้เพื่อนร่วมงานมากแค่ไหน ต้องสนิทต้องซี้กันจนรักกับเป็นเพื่อนจะเป็นจะตายเลยรึเปล่า วันก่อนน้องที่ออฟฟิศเมาแล้วพร่ำเพ้อว่าไม่รู้สึกสนิทกับใครกับใครเลย อยากสนิทอยากเปิดในกับทุกคน อยากเป้ฯเพื่อนกับทุกคน แต่กูมองว่าเรื่องพวกนี้มันแล้วแต่คน
>>595 สำหรับกูนะเอาแค่ทักทายพอเป็นพิธีก็พอและ กูยอมรับว่าเป็นคนที่มนุษย์สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานแย่มาก เคยโดนหัวหน้าเตือนเรื่องนี้ตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ กูคิดว่าเพื่อนร่วมงานเป็นเพื่อนที่มีความผูกพันน้อยที่สุดในชีวิตถ้าเทียบกับเพื่อนในช่วงเวลาอื่น เช่นเพื่อนมหาลัย เพื่อนมัธยม
เพื่อนร่วมงานเหมือนมาเจอหน้ากันทำงานด้วยกัน แต่พอเลิกงานมันก็จบแค่นั้น วัยทำงานเป็นช่วงวัยที่ต่างคนต่างมีครอบครัว ทำงานเสร็จก็ไปหาลูกหาเมีย หรือต่อให้เป็นคนโสดก็อยากใช้เวลาพักผ่อนมากกว่าว่ะ จะมาเที่ยวดูหนังกินข้าวดื่มเหล้าเหมือนเพื่อนสมัยมหาลัยมันก็ไม่ใช่ อย่างดีก็แค่มีกินเลี้ยงสังสรรค์ของบริษัท หรือตอนงานเลี้ยงอำลา
อันนี้เฉพาะประสบการณ์ของกูนะ บางคนอาจเจอเพื่อนร่วมงานดีๆที่เหมือนเพื่อนสนิทกันก็ได้
กูอยู่บริษัทสตาร์ทอัพ ทั้งออฟฟิศมีสิบกว่าคน ในเวลางานทุกคนเฮฮาพูดเล่นแซวนุ่นนี่กันตลอดวัน ก็มีความสุขดี
เพราะมันต้องทำงานเป็นทีม แถมทั้งบริษัทเองยังคนน้อย ถามว่าสนิทมั้ย มันก็สนิท แต่มันก็แค่เวลางานแหละ ก็ถือเป็นเพื่อนที่ดีกันทุกคน
ลักษณะตำแหน่งกูต้องติดสอยห้อยตามหัวหน้าไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ลูกค้ายังพึ่งเริ่มจำหน้าจำบทบาทกู กูก็สนิทกับหัวหน้ากูมาก
ก็เคยคุยกันเรื่อยเปื่อยนู่นนี่ อารมณ์พี่สาวน้องชาย วันไหนเค้าขับรถผ่านทางกลับบ้านกู กูก็ติดไป เป็นงี้กันทั้งบริษัทแหละ ก็เรื่อยๆดี
แต่นอกเวลางานกับวันหยุดก็อยู่ใครอยู่มันกันหมดทุกคน อาจจะมีกินเลี้ยงกันบ้างเดือนละครั้งทั้งบริษัทตอนเย็นของสักวัน หรือเวลาจบโปรเจ็กต์ไหนได้
เออลืมพูดอีกว่าแบบนี้มันดียังไง คือลักษณะฟิลด์ของบริษัทอะ ไม่ใช่ฟิลด์ที่กูสนใจเท่าไหร่ แต่เงินมันโอเค เพื่อนร่วมงานดีกับกูงี้ทุกคน
การทำงานของกูก็เลยเป็นเรื่องสนุก กูไม่ค่อยรู้สึกว่าไม่อยากไปทำงานเท่าไหร่ มันก็เลยทำให้มีความสุขกับงานระดับนึงโดยปริยาย
ดีจนกูแอบกลัวว่าวันนึงกูต้องออกไปจากที่นี่ไปที่ใหม่เพื่อไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆมากขึ้น กูกลัวว่าที่ใหม่กูจะไม่ดีแบบที่นี่
>>597 หัวหน้ามึงก็เสือกไปนะ ก็ไม่สนิทใจ ไม่ได้อยากสนิท ทำไมต้องไปอะไรมากมาย แค่ถามแล้วตอบ ทำงานด้วยกันได้ งานสำเร็จ แค่นี้ก็ดีแล้ว หัวหน้ามึงจะอะไรนักหนา
กูอยู่แวดวงราชการ เกลียดมากกกกก วันๆ นั่งคุยเรื่องละคร นินทาชาวบ้าน ไม่ก็บ่นลูกผัวตัวเอง รำคาญชิบหาย ทำงานกันเงียบๆไม่เป็นรึไง กูนั่งทำเงียบๆก็หาว่ากูหยิ่ง กูไม่ดูละคร ไม่มีครอบครัว ไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน แล้วจะให้กูคุยยังไงวะไอ้แอนิมอล
ส่วนตัวกูชอบออฟฟิศพี่กูว่ะ บ.ยุ่นปนไทย พี่กูเล่าว่าที่นี่ไม่ยุ่งกันเท่าไหร่ แต่เลิกงานแล้วก็ไม่มาจับผิดหรือคิดว่าทำงานดึกคือขยัน ทำงานให้เสร็จตามกำหนดก็พอ จะดีจะเหี้ยก็เรื่องของมึง ถ้ากูจบสาขาเดียวกับพี่กูคงรีบสมัครเลย อยากทำมาก ชอบสังคมแบบนี้ที่สุด
>>600 กูก็ไม่ได้อะไรนะ เพราะตอนเข้าไปทำงานแรกๆกูก็ยอมรับว่าไร้มนุษย์สัมผัสจริงๆ ผิดมารยาทของสังคมไทยด้วยมั้ง ไปไม่ลา มาไม่ไหว แทบจะไม่ทักทายอ่ะ สแกนนิ้วเสร็จก็จบ หัวหน้ากูก็เตือนๆเพราะหวังดีด้วยนั้นแหละ กูก็ยอมรับว่าเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวจริงๆ ไม่อยากทักทายถ้าไม่จำเป็น
แวดวงราชการกูไม่อยากทำ เพราะกูทำเอกชนมาสองที่เจอหัวหน้าดีๆหมด เพื่อนร่วมงานก็ดี ถ้าเจอแวดวงราชการแบบเดียวกับมึงคงแย่ว่ะ แต่กูก็ถือคติในการทำงานว่า คนที่ตัดสินกูมีแค่หัวหน้ากับ HR กูก็เคยมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานนะ แต่ก็เฉยๆไม่เก็บมาคิดมาก ปล่อยแม่ง ช่างแม่ง
สุดท้ายคนประเมินกูก็หัวหน้ากับ HR อยู่ดี
ถ้าเลือกได้กูอยากทำงานเอกชน แต่ความสามารถกูอาจจะไม่ถึง สุดท้ายต้องหางานราชการสอบเพื่อนเงินเดือนที่แน่นอนและสวัสดิการล่ะวะ
แต่ทุกวันนี้ก็พยายามพัฒนาตัวเองให้อยู่ในสายงานของเอกชนได้อยู่
>>602 กูกำลังสิ้นไร้ไม้ตอกเนี่ยดิ แต่กูยังไม่ได้สอบภาคก.เลยว่ะ พอดีไม่ทันของปีนี้
มันแย่ยังไงบ้างเล่าให้ฟังบ้างดิ เผื่อมันอาจจะเป็นเรื่องที่กูเฉยๆ ไม่ซีเรียส
ส่วนเรื่องเงินเดือนพอดีว่าแถวบ้านกูมันเป็นจังหวัดที่กดเงินเดือนชิบหาย
ภาคเอกชนกับราชการเลยเงินเดือนไม่ต่างกันเลยว่ะ เผลอๆ ราชการได้มากกว่าด้วยซ้ำ
>>604 แต๊งกิ้วมากที่ช่วยตอบให้ 2 3 4 ที่ไหนก็เป็นนะ เอกชนก็เป็น แต่ 1 นี่ไม่เคยเจอจริงๆ ว่ะ ของกูมีอะไรระดับผู้บริหารต้องรับก่อนเพราะทุกอย่างต้องผ่านการ approve จากคนพวกนั้น ...ทำงานที่ไหนก็มีปัญหาเนอะ เหนื่อยว่ะ บางทีก็เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรเลย แต่ตราบใดที่ยังแดกข้าว ยังต้องจ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ยังต้องมีที่ซุกหัวนอน ก็ยังต้องทำงานต่อไป
ตอนนี้กูอยากทำงานกับเอกชนนะ รู้สึกว่ามืออาชีพกว่าและสบายใจกว่างานราชการ แต่ความสามารถกูไม่ถึงว่ะ จบกฎหมายเกรดสองกว่า ไม่มีเนติไม่มีตั๋วทนาย กำลังคิดจะเปลี่ยนสายงาน เพราะที่ทำงานกูสั่งให้ไปสอบ TOEIC กูกะว่าถ้าได้ซัก 650 น่าจะหางานสายภาษาไปเลย ภาษาญี่ปุ่นกูก็ฝึกๆอยู่ เพิ่งผ่าน N5 มา กะว่าจะไปN3 ให้ได้ภายในปีหน้า
งานราชการถึงจะฟังดูนาเบื่อ แต่สำหรับเด็กที่เกรดไม่สวยอย่างกูก็ถือว่าเงินเดือนสูงวะ เริ่มหมื่นห้าไหลไปเรื่อยๆตามตำแหน่งก็ดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้ตัวเลือกของกูกูเลือกพัฒนาตัวเองแล้วไปหางานเอกชนดีกว่า
กูอยู่บริษัทฝรั่งที่ชอบโปรโมตว่าเราอยู่กันอบอุ่นแบบครอบครัวไรงี้ว่ะ ตอนนั้นบริษัทอื่นไม่เรียกเลยไม่มีทางเลือก
เข้ามาแจ๊กพอตแตกเจอบริษัทประเภทเฟคเข้าหากัน ชอบเล่นละครปาหี่ทำเป็นว่าทุกคนสนิทกันเหลือเกินอะไรพวกนี้ น่าคลื่นไส้ชิบหาย
แถมเจอกิจกกรมปัญญาอ่อนให้มาเต้นเหมือนเด็กอนุบาลตอนไปเที่ยวของแผนกไรงี้ด้วยว่ะ
เสียดายที่ตอนแรกกูแทบจะเป็นคนเดียวในแผนกที่ไม่ชอบอะไรแบบนี้ กว่าจะมีคนที่เข้ามาหลังๆที่ไม่เอาด้วยเยอะกูก็ดันกำลังจะออกพอดีอีก
พึ่งสัมมาหวะ ตอนเรียกเงินไปนี่ เค้าถามว่าพอหรอ จะเหลือเก็บหรอ นี่ถือว่าเรียกน้อยใช่ปะ เค้าจะเติมให้เพิ่มปะ กูจบใหม่ยังละอ่อน
>>605 2 3 4 ไม่ได้เป็นทุกที่นา ถ้าทำเอกชนแล้วเจอแสดงว่าบริษัทกาก หาใหม่ซะ แต่ราชการนี่เป็นทุกที่ชัวร์ๆ
>>608 เรียกเผื่อๆไปเลย เรียกเกิน(ไม่เยอะ)เค้าจะต่อรองเอง แต่เรียกน้อยเค้าก็ให้เท่าที่เรียก แล้วมึงจะมาเสียใจเองทีหลัง ที่เค้าถามคือมึงอาจเรียกน้อยไปมากๆจนเค้ากลัวว่าไม่นานจะต้องเปลี่ยนงานอัพเงินเดือน
>>609 หาอยู่เนี่ย หามานานแล้วด้วยยังไม่ได้ซักทีว่ะ ;_; เลยต้องทำงานที่เดิมไปพลางๆ ก่อน
กูมีประสบการณ์ทำมาแล้วทั้งบ.เล็กและบ.ใหญ่ระดับข้ามชาติ ที่กูเจอความเหี้ยมาคือพวกบ.เล็ก กูก็ไม่อยากเหมารวมนะว่ามันจะเป็นทุกบ. แต่มันทำให้กูเข็ดขยาดไปเลยว่ะ เวลาเจองานที่ JD น่าสนใจในบ.เล็กเลยกลายเป็นไม่กล้าสมัครแล้ว กลัวจะไปเจอความเหี้ย ความมั่ว ความยืดหยุ่นที่มารู้ตัวอีกทีว่ามันยืดหยุ่นเพื่อเอาเปรียบกูนี่หว่า สัส อยากกลับไปทำงานบ.ที่เป๊ะๆ เหมือนเดิม แต่เลือกงานมันก็เลยหางานยาก
อีพวกเพื่อนร่วมงานกูเป็นไรกันมากป่ะวะ กูไม่ได้ทำไรไม่ดีหรือทำเหี้ยไรให้ใครเลยนะ อีดอกจับกลุ่มนินทากูละ แม่งเดี๋ยวนินทาคนนั้นคนนี้ อยากรู้แม่งนินทากันเองด้วยป่ะวะ ก่อนหน้ากูแม่งนินทาอีกคนให้กูฟังแต่ละอย่างตรรกะป่วย ง่อยแดกมาก เค้าแค่ไม่ทักทายมันแม่งจับมานินทาเป็นวรรคเป็นเวร อีดอก กูเกลียด กูอยากลาออก อยู่ด้วยละอึดอัด อีห่าราก
ออฟฟิศกูจัดใหม่ กูได้นั่งข้างพี่ที่หล่อมาก แล้วอยู่ๆดีๆ ก็โดนรุ่นพี่ที่เกลียดขี้หน้าให้ย้ายไปนั่งข้างๆกัน =_=; เหตุผลลึกๆคือนางหึงอ่ะ
ไหนๆนางก็ไม่ชอบกูอยู่แล้ว พอนั่งข้างกัน นางก็อัดกูวันเว้นวัน ลูกค้าด่านางก็มาอัดกู กูเหนื่อย กูเครียด ยิ่งเครียดยิ่งทำพลาด นางด่ากูต่อหน้าทุกคนยิ่งกว่าเจ้าของบริษัท แต่พอพี่หล่อมา นางจะค่อยๆเฟดเลิกด่ากูไปเอง...
พอเล่าให้ที่บ้านฟัง ที่บ้านบอกให้บอกบอสไปตรงๆ ว่าขอย้ายที่นั่งเถอะ ให้อดทนกับงาน แต่อย่าอดทนกับคน
แต่กูกลัวว่ะ เพิ่ง่เข้ามาใหม่ๆ ยังไม่อยากอะไรมาก ไม่อยากให้เขาเข้าใจว่ากูมีปัญหากะพี่เขาด้วย
ที่บ.มีกล้องวงจรปิด ซึ่งบอสเช็คเรื่อยๆ กูว่าบอสก็รู้อยู่แหละ ว่าพี่เขาอะไรกะกูทู้กวัน แต่คงไม่อยากยุ่งเป็น personal matter จนกว่ากูจะทนไม่ไหว
กูควรคุยกะบอสเรื่องย้ายที่มะ?
มึงก็โดนเค้าโขกสับเขาต่อไปแล้วกัน แล้วอีพี่นั่นเป็นใครสั่งให้มึงย้ายที่ แล้วทำไมนางหึง เป็นเมีย?
อีกอย่างถ้ามึงไม่บอก แล้วมึงไม่คิดหรือไงว่าอีพี่นัืนจะเอามึงไปใส่ไฟทีหลัง
กูโดนใส่ไฟอยู่แล้วอ่ะ เห็นๆ...
ส่วนที่ย้ายที่ เจ๊แกไปบอกบอส ว่าให้ย้ายเถอะ ปรับพื้นที่แบบนี้ๆ ฉันกะเขาจะได้ทำงานง่ายขึ้น T^T ซึ่งการจัดแบบที่ว่ามามันก็มีข้อดีจริงๆ
บอสเลยให้ย้าย ส่วนเจ๊ก็ไม่ใช่เมียหรอก เจ๊แค่ชอบพี่เขา
กูเคยโดนย้ายที่นั่งเหมือนกัน จากสวรรค์ในที่ทำงานของกูที่โต๊ะข้างๆ เป็นเด็กจบใหม่ที่แสนจะน่ารักอ่อนหวานและโมเอ้สไตล์พิมฐา กลายเป็นไอ้รุ่นพี่ผู้ชายขี้เก๊กกวนส้นตีนที่กูเกลียดที่สุดในแผนก ยังดีนะมี Partition แม้จะไม่สูงมากบังหัวแม่งไม่มิดบังเสียงมันก็ไม่ได้แต่ถ้าไม่มี Partition กูว่ากูกระอักเลือดตายไปนานแล้ว กูเคยคิดจะบอกนายขอย้ายโต๊ะเหมือนกันนะ แต่กูไม่มีเหตุผลที่ดีว่ะ จะบอกว่ามันปากมากเสียงดังรบกวนสมาธิในการทำงานก็เกรงว่าถ้ารู้ถึงหูมันคงได้ต่อยกันแน่นอน
หมดแรงและหมดเงินกับการสัมภาษณ์งานมากๆ ลาถี่จนนายเริ่มสงสัย (กูแอ๊บลาป่วยบ้างกิจบ้างพักร้อนบ้างสลับๆ กัน พยายามให้เนียน) เริ่มลังเลแล้วว่าจะพับโปรเจคเปลี่ยนงานไว้ก่อนดีมั้ย เก็บเงินเก็บแรงไว้สมัครอีกรอบซักช่วงปลายปี ช่วงนี้ใครหางานกันอยู่บ้างวะ มาแชร์กันๆ
อยากเป็นนีท...
>>621 สมัครไม่เยอะนะ แต่แต่ละที่เรียกสัมฯ หลายรอบทั้งนั้นเลย บางที่ก็ตกลงรับแล้วแหละแต่กูไม่เอา เพราะพอไปนั่งคุยกันจริงๆ JD ไม่ตรงกับที่ประกาศไว้แต่แรกบ้าง กดเงินเดือนบ้าง ซึ่งกูก็มีงานทำอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนงานแล้วดูท่าทางมันจะแย่กว่าเดิมก็ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไมว่ะ ส่วนไอ้ที่ที่อยากได้จริงๆ ตรงใจทุกอย่างมันก็ไม่รับกู เงียบหายไปตามสเตป
ทำงานมาเดือน โดนทักตลอดว่าเพิ่งทำงานมาใช่ไหม ต้องทำไงให้ดูมีมาด มีความมั่นใจกว่านี้วะ
กูเบื่อคนที่ออฟฟิศจะขี้เสือกเรืิ่องของคนอื่นอะไรนักหนา เพื่อนก็ไม่ใช่ พ่อแม่ก็ไม่ใช่ แล้วไอ้พวกที่ตี้ซี้คนอื่นด้วยการปากหมานี่เก็บปากไว้กินข้าวเถอะ ไอ้ห่า รำคาญชิบหาย พ่อแม่บ้านมึงสอนให้เข้าหาคนอื่นวิธีนี้เหรอไอ้สัด
>>624 มึงคนเดียวกับ >>>/lounge/1319/927/ ป่าววะ กูกำลังเจอคนแบบเดียวกันในออฟฟิซเป๊ะๆเลย
โม่งซาลารี่แมนแบ่งเงินเดือนมาซื้อของเล่น มาช็อปปิ้งกันยังไงบ้างวะ
fix ตายตัว เดือนละไม่เกิน 5000 สำหรับของเล่น ใช้เหลือ ยกยอดไปใช้เดือนอื่นได้
ถ้าเงินเดือนมากกว่านี้ถึงจะขยาย
http://fastwork.co/
ถามในนี้ได้ป่ะวะ อยากรู้ว่าเว็บนี้มันเชื่อถือได้มั้ย อะไรยังไงว่ะ
กูเป็นคนเบื่ออะไรง่ายมาก ทำงานแปปๆกูเปลี่ยนบ.อีกแล้ว แต่เห็นกูเปลี่ยนบ่อยแบบนี้ ประวัติงานกูเพอเฟคทุกอย่างมีแต่คนอยากได้กูไป บางที่จ้างกูเป็นที่ปรึกษาด้วย แต่กูรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ จะหาว่ากูแก่แล้วยังเบียวก็ได้แต่กูอยากทำงานกับพวกองค์กรลับไรงี้จังว่ะ คงมีอะไรตื่นเต้นการเก็บเป็นความลับให้กูทำแน่เลย บ.เก่าเคยส่งกูไปส่องข้อมูลสินค้า หาความลับทางการค้าของบ.ข้างเคียงมันก็ลับนั่นแหล่ะ แต่มันไม่ใช่ กูอยากรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ทำงานกับพวกองค์กรลับจังว่ะ
ตั้งแต่กุเพิ่งทำงานมา บอสถ่ายรูปเดี่ยวกุลงกรุปไลนบริษัทไปสามรอบละ คือบ.กุอยู่กันแบบครอบครัวๆอ่ะนะ
แล้วก็ชมว่ากุน่ารัก เขาเอ็นดูกุ หรืออะไรกุป้ะ คือกุปลื้มเขานะ /โหมดมโนและเขินสัสๆ ...ปกติป้ะวะ
ยังไม่มีว่ะ ปกติเขาวางตัวกะกุดี คือมันก็มีระดับความสนิทที่ห่างกันน่ะนะ กุก็ปลื้มที่เขาสุภาพด้วยแหละ
คือตกลงมันไม่นอมอลใช่ไหม กุจะได้เก็บเอาไปจิ้นของกุต่อ
>>638-639 มึงกับบอสอายุเท่าไร
ลักษณะงานที่ทำ มึงเป็นเลขารึเปล่า ถ้าตำแหน่งนี้แล้วบอสชมถือว่าไม่แปลกเท่าไร เพราะตำแหน่งเลขามันก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้บอสด้วย
กับคนอื่นเค้าว่าไงเรื่องนี้มั้ง
บอสมึงโดนนินทาเรื่องเจ้าชู่รึเปล่า
บลาๆๆๆๆๆๆๆ
ถ้าข้อข้างบนผ่านหมด มึงอ่... โทดๆ จีบบอสมึงเลย แล้วย้ายไปมู้นี้ >>>/lifestyle/2017
แต่กุเป็นแบบที่ 640 บอกมาทุกอย่างไง เส้า ; ; ไม่มีไรในกอไผ่
นิดนึงครับ แนะนำที่ซื้อเสื้อเชิร์ตใส่ทำงานให้หน่อยครับ คือผมตัวเล็กไง167เซน หาไซส์ใส่พอดีๆตัวยากมากเลย ไม่สั้นไปก็ยาวไป
ไอ้ที่ไซส์สวยๆก็เป็นแนวแฟชั่นซะ
กุโม่ง ญ ทำงานที่ต้องออกภาคสนามค่อนข้างบ่อย สายงานกุก็มีแต่ ผช บางครั้งออกฟีลด์กันก็มีตั้งวงบอลดูหนังโป๊อะไรแบบที่ผู้ชายเค้าดูกัน เรื่องแถวห้องกาม่าที่คนในทีมกุคุยกันแล้วผู้หญิงบางคนอาจจะไม่โอเค ส่วนตัวกุเฉยๆ กุก็ออกตัวว่ากุไม่ถือ คุยได้ แต่เพื่อนร่วมงานเหมือนจะยังเกรงใจที่กุเป็นผู้หญิงอยู่ไง จะคุยต่อหน้ากุก็ดูกระอักกระอ่วนเหลือเกิน ไม่ใช่แค่เรื่อง 18+ ด้วย บางทีเรื่องทั่วๆไปกุก็รู้สีกเหมือนตัวเองแปลกแยกยังไงไม่รู้ ฝ่ายกุว่าตัวเองเรื่อยๆนะ แต่อีกฝ่ายเหมือนบางโมเม้นเหมือนเค้าไม่รู้จะทำตัวกับกุยังไงดี กุอยากสนิทกับทุกคนแบบไม่ต้องรู้สึกกั๊กๆบ้างนะ ถอนหายใจยาวแพร้บบบบ
>>646 มึงเป็นคนดีจัง อุตส่าห์มีเวลามานั่งเป็นห่วงว่าคนอื่นจะต้องมานั่งเกรงใจมึงที่ไม่สามารถพูดอะไรเหี้ยๆ ออกมาจากใจจริงได้ กูนี่ไม่สนใจเลย กูถือว่าอยู่ร่วมกันก็ต้องเกรงใจกันน่ะถูกต้องแล้ว ไม่ชอบให้มาพูดอะไรที่ไม่ควรพูด พูดเล่นนอกเรื่องงานได้ตามปกติแต่อย่ามาตีซี้ ลามปาม เกินเลย เพื่อนร่วมงานก็แค่เพื่อนร่วมงาน ทำงานจบก็แยกย้าย
>>648 กุว่ามึงเข้าใจประเด็นกูผิด กุเฉยมากๆกับเรื่องพวกนี้ไง พูดต่อหน้าหรอไม่พูดคือมันไม่ต่างสำหรับกุ แต่กุอึดอัดที่ทุกคนทรีตกุไม่เหมือนคนอื่น แค่เพราะกุเป็น ผญ
ที่มึงว่ามาก็ถูกว่าเลืกงานก็แยก กับทีมเวลาเข้าออฟฟิศกุค่อนข้างไม่แคร์ แต่ทีมออกสนามบางทีต้องไปอยู่ ตจว ด้วยกันทีนานๆ เลิกงานไม่มีไรทำ ก็ไปกินเหล้ากัน (หัวหน้าทีมกุจะเอาทุกคนไปด้วยให้ได้ เป็น team bonding) เจอแบบนี้มัน awkward นะ
>>649 คืองี้มึง เขาก็ต้องมองว่าถ้ามึงยอมรับtopicนี้ก็ดี แต่ถ้าไม่แล้วพูดไปมันก็เกินปัญหาปะ play safeไม่พูดซะยังดีกว่า
คือถ้ามึงอยากจะบอกเขาว่าสบายๆนะ พูดได้ มึงควรบอกเขาเองนะ เพราะการที่กลุ่มผู้ชายวางตัวงั้นอะถูกแล้ว
กูเป็นอีกคนที่คิดแบบ >>648 คือคุยได้แต่ถ้าลามปามกูไม่โอเค มึงโอเคก็ไม่ว่าอะไรแต่เห็นใจกูกับผู้หญิงคนอื่นหน่อย
ถ้าผู้ชายทุกคนมาคุยทะลึ่งตึงตังด้วยต่อหน้าแบบเอามาตรฐานว่าผู้หญิงต้องโอเค(อย่างที่มึงเป็น)กับเรื่องลามกนี่กูก็awkwardว่ะ
>>651 คิดแบบนี้เป๊ะ เขาไม่พูดก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ผู้ชายดีๆ ที่รู้จักให้เกียรติผู้หญิง มีสามันสำนึกว่าต้องปฏิบัติกับผู้หญิงแตกต่างจากผู้ชายมันก็เป็นเรื่องปกติของโลกที่มีอารยธรรมอยู่แล้ว มันไม่มานั่งอึดอัดไร้สาระห่าอะไรหรอก มันก็แยกแยะได้ว่าเวลาอยู่กับผู้หญิงต้องวางตัวยังไง อยู่กับตัวผู้ด้วยกันค่อยเต็มที่ ผู้หญิงเองก็ไม่ต่างกัน เวลาอยู่กับผู้หญิงด้วยกันก็เต็มที่ในแบบของผู้หญิงได้ แต่เวลามีผู้ชายอยู่ด้วยเราก็มีเรื่องที่ต้องเกรงใจพวกเขาเช่นกัน มันคือมารยาทการอยู่ในสังคม ซึ่งการที่ผู้ชายในที่ทำงานมึงรู้จักวางตัว รู้จักเกรงใจ ไม่ลามปามก็ดีแล้ว พวกเขาวางตัวถูกต้องแล้ว ดีกว่าพวกลามปามไม่รู้จักแยกแยะหญิงชายเยอะ
กูว่าข้อแรกมึงเปลี่ยน common sense ตัวเองใหม่เลย เรื่องการที่เขาปฏิบัติกับมึงไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นเพราะมึงเป็นผู้หญิงน่ะ มันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอึดอัด หรือมึงปฏิบัติกับญ-ชเหมือนกันหมด? กับเพื่อนผู้หญิงกูซบเล่นได้ จับนมเล่นได้ หรืออาจจะพูดคุยเรื่องประจำเดือนหรือเรื่องลับอื่นๆ ตามประสาผู้หญิงด้วยกันได้ แต่กับผู้ชายกูก็ไม่ทำ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกันแค่ไหนกูก็ต้องเว้นระยะห่างบ้างเพราะมันคือ "เพศชาย" มันเป็นเรื่องถูกต้องอยู่แล้วที่คนต่างเพศกันควรจะต้องวางตัวและปฏิบัติต่อกันแตกต่างกัน การที่มึงคิดว่ามันต้องปฏิบัติเหมือนกัน คิดว่าการที่คนต่างเพศกันเกรงใจกันในบ้างเรื่องเป็นเรื่อง awkward กูว่ามึงควรเปลี่ยนความคิดด่วน
ขอบช่ายเนื้อหาของมู้วันศุกร์นี่คือแนวๆไหนอ่ะ ต้องเป็น salary man รึเปล่า? ถ้าไม่เกี่ยวกันเลย (ค้าขายหรือไรงี้) กูต้องไปตั้งใหม่ป่ะนะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.