ตระกูลผมเป็นครอบครัวนักธุรกิจ ทุกบ้านอาแปะ อาโกว มีกิจการ เฮียๆ ก่อนหน้าผมทุกคนเรียนสายบริหาร ไม่ก็วิศวะ ผมที่เป็นเด็กเรียนโอเคคนหนึ่ง ก็ถูกคาดหวังว่า จะสานต่อเส้นทางนั้น คือจบคณะดูมีสาระ (ในสายตาผู้ใหญ่) จากมหาลัยดีๆ และกลับไปดูแลธุรกิจต่อจากที่บ้าน เหมือนพี่ๆ น้องๆ แต่ตอน ม.หก ผมเริ่มค้นพบว่า ตัวเองชอบงานเขียน ชอบงานสร้างสรรค์
.
ตอนเอนทรานส์ (แอดมิดชั่น ยุคนั้น) ผมได้คะแนนโอเคพอสมควร ญาติๆก็บอกให้เลือกเศรษฐศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง คะแนนเกินขั้นต่ำของปีที่แล้วมาสามสิบกว่ายังไงก็ได้ ผมไม่หือไม่อือ ตอนนั้นก็แค่อยากให้ที่บ้านภูมิใจที่สอบติดมหาลัยแบรนด์ดิ้งดี
.
แต่พอเลือกเสร็จแล้ว คืนนั้นผมนอนไม่หลับ มันเหมือนพึ่งเลือกชีวิตอีกสี่ปี ไม่สิ เส้นทางตลอดชีวิตที่เราไม่ได้เห็นด้วยขนาดนั้น เช้าวันต่อมา ผมเริ่มหาข้อมูลจนพบว่า มันทำเรื่องเปลี่ยนแปลงสี่อันดับที่เลือกได้ ผมนั่งสายเจ็ดไปหัวลำโพง และต่อ ม มอเตอร์ไซด์ไปจุฬา เพื่อทำไปเรื่องที่ศาลาพระเกี้ยว เดินเรื่องไม่นานก็เปลี่ยนให้คณะสายนิเทศศาสตร์ขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ แทนได้ จำได้ว่า เอกสารมันบางๆเหมือนใบเสร็จสีฟ้า มีรูปเราติดหัวมุมขวา ขนาดจตุรัสประมาณฝ่ามือ แค่นี้เลย กระดาษเปลี่ยนชีวิต
.
สุดท้าย ผมได้เรียนสายนิเทศศาสตร์สมใจ ตลอดสี่ปีในมหาวิทยาลัย ผมใช้เวลาทั้งหมดเพื่อผลักตัวเอง ฝึกงานนิตยสาร เข้าเวิร์คช็อปโฆษณา และประกวดหนังสั้น อยากทำให้คนรอบข้างมั่นใจได้ว่า ผมอยู่รอดได้ในเส้นทางที่เลือก ไม่อยากได้ยินว่า “ก็บอกแล้วไง” ขณะทำอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นก็คิดฝันในใจอยู่สองอย่างว่า อยากเขียนหนังสือไม่ก็กำกับหนังโฆษณา ไม่รู้หรอกว่า จะสำเร็จไหม แค่เชื่อว่า ถ้าเลือกทำตามเสียงหัวใจแล้ว สุดท้ายมันจะโอเคแหละ ทำสิ่งที่เรารัก มักจะดีเสมอ
.
ตัดภาพมา สิบกว่าปีให้หลัง พี่น้องผมเทคธุรกิจต่อจากที่บ้าน อยู่บ้าน โคตรชิล สะสมอาร์ตทอยเป็นงานอดิเรก ส่วนผมเป็นทั้งนักเขียนและผู้กำกับโฆษณา นอนตีหนึ่งนั่งแก้ต้นฉบับยิกๆ ไหล่ก็ปวด หลังก็เมื่อย ตื่นมาวันรุ่งขึ้นไปแก้สีหนังโฆษณา ต้องไล่ดูดสีเขียวจากต้นไม้กระถาง เพราะเดี๋ยวคนดูจะนึกถึงสีแบรนด์คู่แข่ง หลังยังปวดตุ้บๆหัวเริ่มปวดแล้วด้วย น่าจะเชื่อฟังที่บ้านเขา ไอ้สัตว์ ไอ้ควย หน้าหี แม่เย็ด
ลอกมาให้อ่านเหมือนเห็นตัวเอง 555 แม่ฝากเข้า scg สบายๆไม่ชอบอยากพิสูจน์ตัวเอง เป็นไงล่ะสัส