#เรื่องเล่าเกนชิน | กำเนิดราชวงศ์แห่ง Khaenri'ah
-----
ในอดีตอันไกลโพ้น ในยุคที่อารยธรรมยังคงรุ่งโรจน์ แม้จันทราแดงจะร่วงหล่นสู่ห้วงเหวไปนานแล้ว แต่กลับมีนักบวชผู้ดื้อรั้นคนหนึ่ง เกลี้ยกล่อมให้ราชาผู้โง่เขลาบนบัลลังก์เชื่อว่า
“เศษซากจันทราแดงที่อยู่เหนือฟากนภาคือ ‘ผู้ปกครองสรรพสิ่ง’ เพราะแสงจันทรานั้นได้ไหลเวียนอยู่ใต้เนื้อหนังของมนุษย์ และความมืดมิดที่ซ่อนอยู่ใต้ห้วงเหว ก็ปรากฏออกมาจากจันทราแดงเช่นกัน”
เช่นนั้น ราชามนุษย์จึงเรียกตนเองว่า “จันทราแดง (Crimson Moon)” เขาเฝ้าติดตามแสงและเปลวเพลิงจากสองโลก สร้างหอคอยสูงตระหง่านมากมายนับไม่ถ้วน เฝ้าอธิษฐานให้จันทราแดงที่ดับสูญไปเนิ่นนาน นำพาความรอดมาสู่ตน
ทว่าสุดท้าย ก็เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่รอดพ้นจากหายนะของการล้างเผ่าพันธุ์ โดยหลบซ่อนอยู่ใต้เงาของสุริยันดำที่ไม่เคยสาดแสง
และเมื่อถึงยุคที่สุริยันดำได้ส่องสว่างไปทุกสารทิศ ชื่อของจันทราแดงจึงเลือนหายไปพร้อมกับสีแดงที่ไหลริน คงไว้เพียงชื่อ “เดือนดับ (Balemoon)” บนเศษซากสิ่งสกปรก
คนโสมมที่ต้องคำสาป หรือผู้บริสุทธิ์ที่ไม่แปดเปื้อนโชคชะตา ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถอ้างตนว่าเป็น “ผู้ติดตามแห่งจันทราแดง” ได้อีกต่อไป กระนั้นพวกเขาก็ยังเฝ้าหวังว่า จันทราแดงตอบแทนความแค้นของพวกเขา แต่สิ่งที่เรียกว่ารางวัลนั้นกลับไม่เคยมาถึง
ในท้ายที่สุด “สุริยันดำ (Eclipse)” ก็ตกอยู่ภายใต้ความโง่งมและเย่อหยิ่งเช่นกัน เมื่อหายนะกลับมาเยือนอีกครา แสงจันทราจึงยิ้มเยาะไปยังสุริยันที่มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
“โชคชะตาเอ๋ยโชคชะตา โชคชะตาที่น่าหวาดหวั่นและซีดจาง เหตุใดจึงยอมจำนนต่อเผด็จการผู้เหี้ยมโหดเช่นนี้”
“หากเศษซากเดือนดับพันธนาการเจ้าไว้จนตัวตาย แล้วความแค้นในอดีตจะมีความหมายเช่นไรเล่า”
“หากโชคชะตาที่ท่านถักทอได้เยาะเย้ยเราเช่นนี้ งั้นจงให้เราได้เยาะเย้ยโชคชะตาอย่างกึกก้องเช่นเดียวกันเถิด”
“จนกว่าเงาสุดท้ายของสุริยันจะแผดเผาโลกาเก่าให้หมดสิ้น จนกว่าจันทราแดงจะแลเห็นรุ่งอรุณอันพิสุทธิ์”