Fanboi Channel

【アークナイツ】Arknights มู้ที่ 23 หมดตัวไปกับแมวเศร้า แต่เพิ่งรู้ตัวว่าอาทูเรียกำลังจะเข้า เพชรที่ดองไว้จะพอมั้ยนะ!?

Last posted

Total of 1000 posts

934 Nameless Fanboi Posted ID6:Y2WgFOVJlb

[Part 1]
AK Events – To the Grinning Valley
กลับมาเจอกันอีกครั้งสำหรับการสรุปอีเว้นท์ของเกม Arknights สำหรับคราวนี้เป็น Mini event เนื้อหาสั้นๆ ไม่ยาวมากอย่าง To the Grinning Valley ที่จะพาพวกเราเข้าสู่ Rim Billiton ดินแดนแห้งแล้งที่มีการกล่าวถึงมาตั้งแต่เกมเปิด แต่ไม่เคยมีเนื้อเรื่องของประเทศนี้ซักที
อีเว้นท์นี้ตอนแรกก็คิดว่าค่อนข้างสั้นและเนื้อหาไม่ซับซ้อนเพราะยังไงมันก็เป็นแค่อีเว้นท์คั่น
ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในช่วงแรกถึงช่วงกลางของเนื้อเรื่อง ก็เลยคิดว่าง่ายละที่จะเขียนสรุป
แต่พอเข้าช่วงท้ายปุ๊บนี่ล่ะผู้เขียนก็ถึงกับติดสตั้น เพราะมีอะไรหลายๆ อย่างไม่เข้าใจเลย เพราะเนื้อหามันไม่ได้บอกตรงๆ ขนาดลองแว่บไปหาข้อมูลในเพจ lore ยังไม่มีสรุปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น กลายเป็นว่าแทนที่จะได้เรื่องราวที่เข้าใจได้ กลับมีแต่เรื่องที่ชวนงงเพิ่มซะงั้น ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ช่วยกันแก้หน่อยแล้วกัน

และเช่นเคยก่อนจะเข้าสู้เรื่องราวก็ต้องมาเกริ่นเบื้องหลังกันก่อนเล็กน้อย
Rim Billiton คือชื่อประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของ Terra มีลักษณะเด่นเป็นดินแดนแห้งแล้งเต็มไปด้วย Barrenland มีประชากรส่วนใหญ่เป็นพวกเหล่ากระต่าย Cautus เป็นอาณานิคมขุดเหมืองเนื่องจากมีสายแร่จำนวนมหาศาล ประเมินคร่าวๆ คือสายแร่ทั้งหมดใน Terra มาอยู่ที่ Rim Billiton ไปแล้วซะครึ่งนึง ทำให้อาชีพหลักของคนในพื้นที่แถบนี้คือการทำเหมือง จนมีบริษัทขุดเหมืองจำนวนมากเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากแม้ว่าจะเป็นดินแดนที่ค่อนข้างอันตรายและเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและภัยพิบัติก็ตาม
แถมสิ่งน่าแปลกก็คือ ว่ากันว่าดินใน Rim Billiton นี่ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นนอกจากแครรอทด้วย
และเพราะในเหมืองอาจมีอันตรายนั่นเอง จึงได้บังเกิดอาชีพ Pitsinker ขึ้น ซึ่งมันเป็นอาชีพเอกชนที่ทำงานคล้ายๆ ทหารรับจ้างเข้าไปตรวจสอบ + กำจัดสิ่งอันตรายต่างๆ ในเหมือง อาทิเช่นสัตว์ร้าย ก๊าซพิษ ซึ่ง Ray ตัวเอกของเรื่องราวนี้ก็ทำอาชีพมาก่อน และเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดของเรื่องด้วย

[Part 2]
เรื่องราวในครั้งนี้ก็เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1098 ก่อนเกิดเรื่องที่ Victoria ขึ้นไม่นาน
Potlid “Warmy” สาวกระต่ายตัวน้อยที่อุดมไปด้วยรอยยิ้มและความชื่นชอบในการทำอาหาร เธอใช้ชีวิตอยู่กับ Alanna ที่เป็นช่างเครื่องและคนขับรถโดยสารขนส่งระหว่างเมือง ทำให้ชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเธอทั้งจึงอยู่บนรถโดยสารคันโตซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนี่ก็นับว่าครบ 2 ปีแล้วที่ Potlid ได้มาใช้ชีวิตกัดก้อนเกลือร่วมกันอยู่บนรถแบบนี้ในฐานะเด็กสาวที่ไม่มีที่ไป
ซึ่งก็น่าเสียดายที่การเดินทางครั้งนี้ น่าจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของพวกเธอ

ทั้งนี้เรื่องมาจากสัมปทานของ Alanna นั้นหมดสัญญาลง ทำให้ขบวนรถโดยสารของพวกเธอนั้นจะยุติให้บริการ Alanna กับ Podlit จึงได้เริ่มวางแผนที่ใช้ชีวิตกันต่อโดยตั้งใจว่าจะย้ายเข้าไปในเมือง Iron Carrot แทน แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเธอก็อยากจะทำงานขนส่งครั้งนี้อีกหนเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการปิดฉากธุรกิจรถโดยสารของพวกเธอก่อนจะย้ายกันไปใช้ชีวิตในเมืองเริ่มต้นชีวิตใหม่
และเพื่อเป็นการถอนทุนคืนบางส่วน ก่อนที่จะได้เริ่มออกเดิน Podlit จึงได้ตั้งใจจะเอาข้าวของส่วนตัวที่เธอเก็บเอาไว้บนรถไปทยอยขายเลหลัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นขยะไม่ก็ของตกรุ่นทั้งนั้น ทำเอาลุงซาเล้งรับซื้อของเก่าจึงถึงกับปวดขมับกันเลยทีเดียว
ในระหว่างที่ Potlid พยายามต่อรองราคานั่นเองก็มีผู้หญิงชาว Cautus ผมสีม่วงหนึ่งเข้ามาในร้าน แล้วถามหาถึง Sandbeast ทั้งที่ร้านนี้เป็นร้านขายของชำ ซึ่งทั้งคู่ก็แค่สบตากันก่อนจะแยกย้ายไปทำธุระของตัวเองในเวลาไม่นานเท่านั้น

ในระหว่างเดินทางกลับ Potlid ได้บังเอิญเจอกับชาว Sarak คนหนึ่งเข้า ซึ่งเขานั้นได้ถามว่าจะไปเมือง Iron Carrot ยังไง Podlit จึงได้บอกเขาไปว่ารถโดยสารของ Alanna จะออกจากท่าเตรียมไปยังเมือง Iron Carrot ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ซึ่งนอกจากสาวหัวม่วงกับชาว Zalak หนุ่มขี้ตื่นแล้ว Podlit ยังได้พบกับกระต่ายสาวผมขาวในชุดเปิดรักแร้อีกคนด้วย ซึ่งกระต่ายสาวคนนั้นก็ได้แอบมอง Podlit อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาทักทายเธอ ยื่นนามบัตรให้แล้วบอกให้ Podlit นำไปให้ผู้ปกครองอ่าน
แน่นอนว่ากระต่ายสาวคนนั้นก็คือ Savage จาก Rhode Island นั่นเอง

หลังจากจัดการธุระต่างๆ เสร็จเรียบร้อย Podlit ได้กลับมายังรถโดยสารและเข้าห้องส่วนตัวของเธอไป ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รถโดยสารเตรียมที่จะออกจากท่า ระหว่างนั้นเอง Podlit ก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อยเพราะอีกไม่นานก็ต้องคืนรถคันนี้แล้ว ทั้งที่เธออยู่กับมันมาตั้งนาน
ทว่าในระหว่างกำลังเศร้านั่นเองก็มีประกาศเสียงตามสายดังขึ้นมา
แจ้งว่ารถโดยสารคันนี้ได้ถูกเข้ายึดโดยโจรสาวปริศนาเป็นที่เรียบร้อย~

935 Nameless Fanboi Posted ID6:Y2WgFOVJlb

[Part 3]
ในส่วนนี้เนื้อหาได้เปลี่ยนไปโฟกัสที่ Alanna ที่กำลังกลุ้มเล็กๆ เนื่องจากรถโดยสารของเธอโดนปล้นโดยโจรสาวปริศนาที่มีผมสีม่วงแถมท่าทางเหมือนกับไม่มีอะไรในหัว อีกทั้งเธอยังโดนหน้าไม้กระบอกโตจ่อหัวอยู่ด้วย เพื่อลดความตึงเครียดเธอจึงพยายามชวนอีกฝ่ายคุยพลางก่อนจะถามว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ทำไม
โจรสาวคนนั้นตอบกลับว่าที่เธอต้องการคือเดินทางไปยัง Grinning Valley เท่านั้น และให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายใครพร้อมกับยื่นข้อเสนอว่าผู้โดยสารคนไหนอยากจะลงก็จะไม่ห้าม และจะปล่อยให้พวกเขาลงตอนที่เดินทางถึงเมืองข้างหน้า
ตรงนี้เองสองสาวมีการคุยเถียงกันเล็กน้อย เพราะ Alanna บ่นว่าตั้งใจจะไปเริ่มใช้ชีวิตใหม่ในเมืองแท้ๆ แต่ไหงซวยมาโดยปล้นซะนี่ ทางโจรสาวหัวม่วงก็เลยสวนกลับไปทำนองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนชีวิตก็เป็นเหมือนเดิม ฟังดูเหมือนจะเป็นการเถียงกันแต่นั่นก็ทำให้อุณหภูมิในห้องโดยสารค่อยๆ เย็นลง โจรสาวได้ลดหน้าไม้ลงก่อนที่เปลี่ยนใจไปเจรจาต่อรอง เพื่อให้ Alanna พาไปส่งที่ Grinning Valley

ในระหว่างที่กำลังเดินทางนั่นเอง รถโดยสารของพวกเธอก็ได้มาถึงด่านตรวจแห่งหนึ่งเข้า ซึ่งก็เป็นจังหวะนรกมาก เพราะรถของพวกเธอถูกสุ่มตรวจทั้งที่ปกติจะปล่อยผ่าน
โจรสาวหัวม่วงบอกว่านี่อาจะเป็นการตรวจหาผู้ติดเชื้อบนรถ ทำเอา Alanna ถึงกับสะอึก เพราะเธอรู้ดีว่าบนรถคันนี้ Potlid คือคนๆ เดียวที่ติดเชื้อ Oripathy
แม้จะพยายามเฉไฉ + เจรจา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล การตรวจหาผู้ติดเชื้อดำเนินต่อไป
และด้วยสาเหตุบางอย่าง (ในเรื่องไม่บอกเลย) Potlid ถึงได้ถูกเหล่าเจ้าหน้าที่คุมตัวไป โดยเธอก็แสร้งทำเป็นยิ้มและให้สัญญาว่าจะกลับมาให้ไว ทั้งที่ในใจกลัวแทบแย่อยู่แล้ว ยังนับว่าเป็นโชคดีของเธอที่โจรสาวหัวม่วงตัดสินใจเข้ามาขัดขวางเจ้าหน้าที่ แล้วพาตัว Podlit หลบหนีขึ้นรถ พร้อมให้สัญญา Alanna รีบชิ่งหนีพากันแหกด่านตรวจหนีไปยัง Barrenland ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

การเผชิญเรื่องเสี่ยงด้วยกันทำให้ Alanna เริ่มเปิดใจกับโจรสาวคนนั้นแล้วถามชื่อ ซึ่งเธอก็บอกว่าทุกคนเรียกเธอว่า Ray พร้อมกับแนะนำเจ้า Sandbeast คู่หูให้ทุกคนได้รู้จัก แถมยังบอกว่าเจ้านี่พูดได้ทำเอาทุกคนถึงกับเงียบเพราะไม่รู้ว่าโจรสาวคนนั้นพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่

[Part 4]
เรื่องราวตัดมาทางพ่อหนุ่ม Zalak ที่ติดรถโดยสารมาแล้วไม่ยอมลง ชื่อของเขาคือ Jerry เป็นคนขายประกัน แต่ค่อนข้างไร้ซึ่งความมั่นใจแถมยังขี้ขลาดขนาดว่าตอนเกิดเรื่องพี่แกก็เอาแต่ไปหลบอยู่ในห้องของ Potlid ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นแท้ๆ
หลังจากพากันแหกด่านมาได้สำเร็จ พวก Alanna ก็ได้มาหยุดพักที่ Barrenland และพยายามจัดหาเสบียงเท่าที่จะทำได้ หนึ่งในนั้นคือน้ำ บังเอิญว่าใกล้ๆ พวกเธอมีต้น Bottletree อยู่พอดี ซึ่งมันเป็นพืชที่เก็บน้ำเอาไว้ในลำต้น เธอจึงสั่งให้พวก Ray กับ Podlit ไปเอาน้ำมาตุนเอาไว้ในระหว่างที่เธอจะซ่อมรถซักหน่อย
แล้วก็ช่างบังเอิญที่ใกล้ๆ พวกเธอมี Platform ขุดเหมืองอยู่พอดี
พวกจึงได้ไปแวะพักที่นั่นชั่วคราว พร้อมกับจัดแจงข้าวของเตรียมเดินทางต่อ

ระหว่างเดินซื้อของกันนั้น Jerry ได้ชวน Ray คุยแล้วบอกว่าเขาประทับใจในตัวเธอก่อนที่จะเล่าว่า อันที่จริงเขากำลังจะไปเข้าพิธีหมั้นในเมือง Iron Carrot แต่เพราะนิสัยกลัวซะทุกสิ่งของตน เลยพยายามเตะถ่วงเวลาให้ไปถึงเมืองให้ช้าลง แถมตอนนี้ดูเหมือนว่างานนั้นต้องยกเลิกซะแล้ว เพราะรถโดยสารโดน Ray ปล้นจนออกนอกเส้นทางซะก่อน ทำเอาโจรสาวเลิกคิ้วมองบนกันเลย
แต่ Jerry ก็ไม่โทษเธอ กลับกันรู้สึกขอบคุณซะด้วย เพราะมันทำให้เขาโล่งอกที่จะได้เลือกชีวิตของตัวเอง แทนที่จะโดนบังคับเข้าพิธีตามที่ครอบตัวของตัวเองคาดหวัง ตรง Ray ออกความเห็นว่าไม่เข้าใจ เพราะเธอโตมาอย่างโดดเดี่ยว เลยอยากขอให้เล่าเพิ่ม
แต่ครั้นพอหันหลังกลับไปนั้นก็พบว่า Jerry ได้หายตัวไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

Jerry นั้นขี้ขลาดอย่างมาก เขาวิ่งหนีจาก Ray มาเพียงเพราะมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาหา แล้วไปซ่อนตัวบนรถขนส่ง ทว่ารถที่เขาขึ้นนั้นดันเป็นคนละคันกับของ Alanna ซะงั้น โชคดีที่รู้ตัวทันและพยายามจะหนีออกมา แต่ตอนนั้นเองเขาก็บังเอิญได้เจอกับผู้หญิงชาว Cautus คนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ และบังเกิดกลายเป็นรักแรกพบกันซะงั้น
ตรงนี้ไม่ขอเล่ามาก เพราะสาระแทบไม่มี เอาเป็นว่าทั้งสองไปเที่ยวเล่นกันในเมืองกันพักใหญ่
กลับมาอีกครั้งก็พบว่า Jerry ตัดสินใจจะแต่งงานกับสาวคนนั้นเป็นที่เรียบร้อย

936 Nameless Fanboi Posted ID6:Y2WgFOVJlb

[Part 5]
ย้อนกลับมาในระหว่าง Jerry ออกไปเที่ยวเล่นเล็กน้อย
Ray ยืนคุยอยู่กับชายแปลกหน้าที่เข้ามาหา แล้วพบว่าเขาแค่มาโฆษณาโปรโมชั่นร้านของเขาเท่านั้น ตอนนั้นเอง Ray บังเอิญปรายตามองไปเห็นกระต่ายสาวผมสีน้ำตาลตัวเล็กคนหนึ่ง กำลังเดินมากับกระต่ายผมขาวและชายใส่ชุดคลุมทั้งหัวโดยบังเอิญ ซึ่งพวกเธอก็คือ Amiya กับ Savage และตัวเรา Doctor นั่นเอง
ตรงนี้ตามเนื้อหาบอกว่าตัว Doctor กับ Amiya เดินทางมายัง Rim Billiton เพื่อดูงาน + พา Amiya มาหวนรำลึกบ้านเกิดเท่านั้น จึงให้ Savage ที่เกิดและโตที่นี่มาเป็นไกด์นำทาง ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อทำใจให้สงบก่อนที่จะเริ่มแผนการบุก Victoria ในอนาคต

ตัดมาทาง Alanna เธอได้พา Podlit มายังอาคารแห่งหนึ่ง โดยอ้างว่ามาหาคนรู้จักเพื่อขอข้อมูลและเส้นทางที่จะไป Grinning Valley ซึ่งคนรู้จักที่เธอว่าก็คือ Asbestos นักสำรวจชื่อดังของ Rim Billiton และเป็นหนึ่งใน RI Operator เธอได้รับคำเตือนว่า Grinning Valley ไม่ใช่สถานที่ที่จะเดินทางไปได้ง่ายๆ แถมมีการพยากรว่าอาจจะเกิดภัยพิบัติบริเวณใกล้ๆ นั้นด้วย
Asbestos ย้ำว่าอันตรายบ่อยครั้ง ทำเอา Alanna รู้สึกรำคาญ แต่ Asbestos ก็บอกว่านี่เป็นความเห็นของนักสำรวจมืออาชีพ ก่อนที่ Alanna จะขอตัวกลับมาเธอได้ถาม Asbestos เกี่ยวกับคำพูดบางอย่างที่เธอได้ยินมา ประกอบด้วยคำ 3 คำคือ Ray of light, Shadows as tall as mountain และ Talks
Asbestos ได้ยินเช่นนั้นก็แก้คำสุดท้ายเป็น Feranmut ในภาษา Sargonian
แน่นอนว่านั่นทำเอา Alanna สงสัยว่ามันคืออะไร แต่ Asbestos บอกไปว่าอย่าได้ใส่ใจ เพราะเธอเองก็อธิบายที่มาของคำๆ นั้นไม่ได้เช่นกัน และย้ำเตือนอีกครั้งว่าสถานที่ที่พวกเธอจะไปนั้นอันตราย ขอให้ระวังตัวเอาไว้ ก่อนที่พวกเธอจะมุ่งหน้ากลับไปยังรถโดยสารเพื่อเตรียมเดินทางต่อ

พอกลับมาก็พบว่า Jerry มารออยู่แล้ว แล้วบอกว่าเขาจะไม่ไปด้วย แถมยังส่งจดหมายเชิญไปงานแต่งงานกับสาวคนใหม่ที่เขาได้พบอีก ทำเอา Alanna กับ Ray นี่ถึงกับงง แต่ไม่นานนักพวกเธอก็เตรียมออกเดินทางต่อ ทว่าตอนนั้นเองที่ Podlit เริ่มแสดงอาการไม่ดี และล้มป่วยลงก่อนจะพาไปนอนที่ห้องเครื่อง

[Part 6]
ตัดมาทางพวก Rhode Island Savage กำลังเตรียมตัวพา Amiya กับ Doctor เดินทางกันต่อ โดยตั้งใจจะตามรอยความทรงจำของ Amiya ตามที่ขอ แต่ในระหว่างที่กำลังจะไปนั่นเอง ก็พบว่านอกเมืองมีรถโดยคันหนึ่งกำลังเกิดควันโขมงลอยขึ้นมาสะดุดตา พวกเธอจึงรีบมุ่งหน้าเข้าไปตรวจสอบดูเพราะคิดว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ได้
ครั้นพอไปถึงก็พบว่านั่นคือรถของ Alanna ที่กำลังเจอวิกฤต เพราะโรค Oripathy ของ Podlit เกิดกำเริบขึ้นมาจนควบคุมไม่ได้ Art ของ Podlit สามารถทำให้อุณหภูมิรอบๆ สูงขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายทั้งตัวเธอและคนรอบข้าง เธอจึงใช้วิธีแบบบ้านๆ ที่เคยรู้มาอย่างการมัด Podlit เอาไว้กับหม้อน้ำหวังให้เธอเย็นลงโดยมี Ray คอยดูแลอย่างห่างๆ ห่วงๆ ส่วน Alanna ก็พยายามกันไม่ให้พวก RI เข้ามายุ่ง
Alanna พยายามเฉไฉว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ RI ต้องมายุ่ง แต่ตอนนั้นหม้อน้ำก็ทนอุณภหูมิไม่ไหวแล้วเกิดระเบิดขึ้น ทำให้เธอกลบเรื่องไม่มิดแล้ว Ray เองก็โดนลูกหลงจนออกมาในสภาพโชกเลือด แถมยารักษาก็ไม่มี จนไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่านี่คือสถานการณ์วิกฤต
ทว่าคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในสถานการณ์นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น Doctor ตัวเรานั่นเอง

หลังจากได้รับยา + Amiya ช่วยใช้ Art กล่อม Podlit ก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับ Savage จึงถือโอกาสถามว่าพวก Alanna มาทำอะไรในที่แบบนี้ คงไม่ใช่มาปลูกต้น Bottletree กันหรอกนะ? ตอนนั้นเองที่ Podlit ตื่นขึ้นมาพอดีแล้วบอกว่าพวกเธอกำลังตามหา Feranmut อยู่ และเธอรู้สึกเหมือนกับเห็นแสงสว่างนำทาง พร้อมมีอะไรใหญ่ๆ กำลังเรียกหาอยู่ตอนที่เธอหลับ ทำเอา Ray ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับนิ่งไปด้วยความอึ้ง
เพราะที่ Potlid พูดมานั้น คือสิ่งเดียวกับที่เธอได้รับรู้มาก่อนหน้า
และเป็นเหตุทำให้เธอปล้นรถและออกเดินทางมานั่นเอง

หลังจากนี้จะเหมือนเป็นบท Filler ไม่มีอะไรมากนอกจากคุยกัน + รำลึกความหลังเกี่ยวกับ Amiya ตอนเด็กที่เพิ่งถูกพาขึ้น RI มา พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ช่วง Cage Incident ที่ Rim Billiton ได้ประกาศเอกราช ส่วนใหญ่เป็นรายละเอียดยิบย่อย ฉะนั้นก็ขอข้ามไปเลยก็แล้ว

937 Nameless Fanboi Posted ID6:Y2WgFOVJlb

[Part 7]
ตรงนี้ Ray เล่าความเป็นมาของตัวเองในอดีต ว่าก่อนหน้านี้เธอคือ Pitsinker ผู้ตรวจสอบเหมืองเอกชน ที่จะเข้าเหมืองไปกำจัดสัตว์รบกวนกันตรวจสอบอันตรายตามคำว่าจ้างร่วมกับ Sandbeast สัตว์คู่หูของเธอ ซึ่งภารกิจนั้นเองทำให้ Sandbeast เกิดบาดเจ็บระหว่างทำงาน Ray จึงได้พยายามพาตัวเองหลบหนีออกมาจากเหมืองนั่นโดยอุ้มเจ้า Sandbeast เอาไว้ด้วย
แต่เพราะเส้นทางมันซับซ้อน + ไม่มีการนำทางทำให้เธอหลงทาง แย่กว่านั้นคือมีแผ่นดินไหวและภัยพิบัติถล่มซ้ำอีก แต่ตอนนั้นเอง Ray ได้รู้สึกเหมือนกับเห็นแสงสว่างบางอย่างกำลังนำทางเธอไปยังทางออก จนทำให้เธอสามารถหลบหนีออกมาจากเหมืองได้สำเร็จอย่างเฉียดฉิว

หลังจบเรื่องนี้ทำให้ Ray ไม่สามารถทำงานเป็น Pitsinker ต่อได้ แถมบริษัทยังปัดความรับผิดชอบเบี้ยวค่าจ้างด้วย แม้ Ray จะพยายามจะหาทางรักษามัน แต่เพราะเดิมทีมันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงจึงไม่มีใครที่จะรักษาได้เลย เธอจึงได้แต่งกังวลว่ามันจะเป็นอะไรไปเท่านั้น
แต่ตอนนั้นอยู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงของเจ้า Sandbeast คุยกับเธอเป็นครั้งแรก
และมันก็คุยกับเธอมาตลอดจวบจนทุกวันนี้
ตัดกลับมา ณ ปัจจุบัน หลังจากพวก Alanna เดินทางกันต่อ เจ้า Sandbeast ดูเหมือนจะชอบเสื้อ Hood ของ Doctor เป็นพิเศษ มันถึงได้ไปเกาะอยู่บนหัวของเรา จนเดือดร้อน Amiya ที่ต้องพยายามดึงมันออกมา Ray ที่เคลมว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Sandbeast ยังประหลาดใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ตอนนั้นเอง Alanna เรียก Ray ไปดูพวก Sandbeast ที่ขวางทางรถอยู่ และพบว่านี่เป็นรังของพวกนั่นเอง ทำเอา Ray ที่ทนเห็นความตะมุมตะมิมของพวกมันอดไม่ได้ที่จะลงไปน้วย แต่ระหว่างนั้นตัว Doctor ก็ได้สังเกตเห็นถึงสภาพอากาศเริ่มผิดปกติ จึงได้รีบแจ้งให้ทุกคนกลับขึ้นรถ เพราะรู้ว่ากำลังจะเกิดภัยพิบัติขึ้นจึงแนะนำให้รีบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่าพอรถล้อหมุนออกไปนั้นเอง...
ก็พบว่า Ray ไม่ได้อยู่บนรถซะงั้น!?

Ray ไม่ขึ้นรถมากับเขาด้วย แต่เลือกที่จะพยายามพา Sandbeast ในรังนั้นหนีจากภัยพิบัติ แต่นั่นก็หมายความว่าเธอก็จะโดยภัยพิบัติเล่นงานไปด้วยเต็มๆ ในขณะที่พวก Sandbeast สามารถขุดดินหลบลงไปได้ กว่าจะรู้ตัวว่าที่ทำลงไปนั้นไม่มีประโยชน์ก็ช้าไปซะแล้ว (สมองกลวงแท้)
แต่ในช่วงวิกฤตนั้นเองพวก Sandbeast ก็ได้มารวมตัวกันทำอะไรบางอย่าง แล้วนำทาง Ray ไปหลบในถ้ำแห่งหนึ่ง Ray รู้สึกคุ้นเคยกับถ้ำแห่งนี้เหมือนเคยได้เห็นในความฝันมาก่อน เธอจึงเลือกที่จะเดินตรงเข้าไปข้างในแทนที่จะรออยู่ตรงทางเข้า
ครั้นพอไปถึงก็ดันพบกับทางตันซะงั้น แต่ด้วยสัญชาตญาณเธอบอกว่าอาจจะไปต่อได้ จึงได้หยิบอุปกรณ์ขึ้นมาหวังจะขุดผนังไปต่อ แต่ตอนที่ลงมือนั่นเองก็พบว่ามีเสียงทุ้มต่ำดังสนั่นขึ้นมา พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนอยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าใสราวคริสตัลปรากฎขึ้นตรงหน้า

ด้วยความหัวกลวง Ray คิดว่านั่นคือ Sandbeast แต่พอลองคุยด้วยไปซักระยะแล้วก็พบว่ามันคือ Feranmut ที่เธอตามหาอยู่ทำเอาเจ้าสัตว์ยักษ์นั่นงงว่าทำไม Ray บอกว่าเธอจำลักษณะของมันที่เคยปรากฎให้ได้และคิดว่าเป็นตัวเดียวกัน และตอนนี้เธออยากจะมาขอบคุณที่ช่วยให้เธอรอดจากวิกฤตในเหมืองนั่น เธอจึงพยายามเดินทางและตามหามันมาตลอด
แต่แทนที่เรื่องจะลงเอยด้วยดี เจ้า Feranmut นั้นกลับไม่รู้ว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร เพราะตามเทคนิคแล้วมันจำศีลอยู่ที่นี่ตลอด ไม่สามารถขยับร่างกายไปไหนได้ จึงสันนิฐานว่าจะเป็น Feranmut คนละตัวกัน
แต่มันก็เปรยมาว่าใน Rim Billiton นี้ก็ไม่น่าจะมี Feranmut ตัวอื่นหลงเหลืออยู่ ต่างฝ่ายต่างจึงได้แต่งงว่ามันเป็นยังไงกันแน่ ทำเอา Ray พยายามที่จะหาคำตอบ
แต่ด้วยความรำคาญ + ความง่วง ท้ายที่สุดแล้วเจ้า Feranmut จึงไล่เธอออกมาแล้วนอนต่อ
ทิ้งให้ Ray และพวกเราที่ยังไม่ได้คำตอบได้แต่งงกันต่อไปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

938 Nameless Fanboi Posted ID6:Y2WgFOVJlb

[Part 8]
วันเวลาผ่านไปเท่าไรก็ไม่ทราบ Alanna ได้งานใหม่เป็นที่เรียบร้อยและกำลังคุยกับ Jerry ถามสารทุกข์สุกดิบก่อนจะชวนเขามาลงทุนด้วย โดยอ้างว่าจะเอาไป Upgrade รถให้ดีขึ้น ก่อนจะตรงไปรับ Podlit ที่สถานพยาบาลของ RI ซึ่งทาง Podlit เองนอกจากได้รับการรักษาแล้ว ยังได้รับการฝึกฝนให้ใช้ Art อย่างปลอดภัย จนตอนนี้อาการ Oripathy ไม่กำเริบแล้วด้วย
ตรงนี้ลืมเล่าเลยว่า Podlit เดิมทีเป็นเด็กที่ถูกพ่อทิ้งเอาไว้บนรถจน Alanna ต้องรับมาดูแล แต่เธอยังมีความหวังว่าซักวันจะได้เจอพ่อของเธออีกที แม้จะเศร้าแค่ไหนเธอก็จะฝืนยิ้มมาตลอดเพื่อให้พ่อจำได้ ครั้นพอรักษาอาการติดเชื้อแล้ว Alanna ก็ปลอบเชิงประมาณว่า พ่อของเธอคงดีใจถ้าได้เห็นเธอควบคุม Art ได้เก่งขึ้น ทำเอาแม่กระต่ายตัวน้อยน้ำตาคลอ แล้วเข้าไปกอด Alanna กันเลยทีเดียว

ตัดมาทาง Amiya และ Doctor ที่ทั้งคู่ได้กลับมายัง RI แล้วเป็นที่เรียบร้อย หลังจากส่งรายงาน Amiya ก็เอาของขวัญให้ Doctor ในฐานะของดูต่างจากหน้า Rim Billiton ก่อนจะตั้งมั่นว่าเธอจะช่วย Victoria จากวิกฤตให้ได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า Ray ได้รับการบรรจุเป็น Operator ของ RI อย่างเป็นทางการแล้ว จึงอยากจะไปแสดงความยินดีด้วย
แต่ก็ไม่วาย Doctor โดนเจ้า Sandbeast แทะหัวอีกรอบ ก่อน Ray จะมาอุ้มมันไป
Ray บอกว่าดีใจมากที่ได้ทำงานมั่นคงซะที เพราะก่อนหน้านี้แม้แต่บัตรประจำตัวก็ไม่มี ตอนนั้นเอง Amiya ถามเชิงสัมภาษณ์ว่าทำไม Ray ถึงได้เลือกมาทำงานกับ RI ก่อนเธอจะตอบว่าเพราะ RI ช่วย Podlit ที่เป็นผู้ติดเชื้อ และเธอเองก็จะทำแบบนั้นเหมือนกันจึงเข้าร่วมกับ RI นอกจากนี้เธอยังอยากรู้ด้วยว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง เพราะก่อนจะจากเจ้า Feranmut มาเธอขอพรว่าอยากหาสถานที่ปลอดภัยให้ตัวเธอและ Sandbeast ซึ่ง RI เองก็เป็นสถานที่ลงตัวไม่เลว

[Part 9]
จบไปแล้วสำหรับสรุปเนื้อหาอีเว้นท์นี้ ก็อย่างที่บอกไปตอนแรกเลยว่าช่วงแรกเนื้อหาเข้าใจไม่ยากอะไร หลักๆ ก็คือ Ray ปล้นรถเพื่อเดินทางไปหา Feranmut แล้วบังเอิญมาเจอกับพวกเราเท่านั้น แต่ตอนที่เจอ Feranmut นี่ล่ะที่ไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องมันพยายามจะสื่ออะไร หรือทิ้งปมอะไรเอาไว้ให้กันแน่
ส่วนเซ็ตติ้งของ Rim Billiton เองก็ยังค่อนข้างตื้นเขนไปหน่อย คาดว่าน่าจะเก็บเอาไว้เล่าให้ลึกลงในอนาคตมากกว่า เพราะเนื้อหาที่เปิดออกมาก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราๆ รู้แล้วกันทั้งนั้น ทั้งเรื่องกีดกันผู้ติดเชื้อ (ปกติของเนื้อหาช่วงปี 1097-1098) เรื่องที่เป็นนิคมทำเหมือง และเรื่องที่เป็นดินแดนแห้งแล้งนี้
เนื่องจากข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื้อหาสรุปอีเว้นท์นี้จึงอาจชวนงงหน่อย แถมน่าจะมีเนื้อหาตกหล่นไปเยอะด้วย จึงขออภัยที่ไม่สามารถสรุปออกมาได้เต็มที่เอาไว้ ณ ที่นี้ก็แล้วกัน

ปล. Podlit ในเรื่องน่ารักม๊ากกกกก แต่ไขไปหลายโรลแล้วน้องไม่ออก!!!

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.