>>885 คนส่วนใหญ่มักจะเคยได้ยินกันว่า มาม่าสะท้อนสภาพเศรษฐกิจ
แต่กูก็คิดว่า การ์ดเกมสะท้อนสภาพเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกัน
กูเคยลองคิดเล่นๆนะ อ่ะ ตามกูมาเข้าโลกมโน ซู๊ดดดดดดดดกาวกันด้วย
---
ถ้าเศรษฐกิจมันดีอ่ะ ปัญหาที่วงการการ์ดเป็นอยู่ทุกวันนี้น่าจะไม่มีเกือบๆ 80%
Trading Card Game กูคิดว่าจุดประสงค์อันดับหนึ่งคือการนำมาเล่น การซื้อขายแลกเปลี่ยนคืออันดับสอง
ถ้าสมมุติเศรษฐกิจดีมาก ทุกคนมีรายได้เหลือๆที่จะพอซื้อได้คนละตั๊นเลยงี้(เว่อร์ไป เอาซักคนละ 2-4 บ๊อกก็พอ ดูเป็นไปได้)
การหา singles ก็จะเกิดขึ้นน้อยมาก การ์ดล้นตลาด ราคาการ์ดก็ปั่นให้สูงได้ยากเพราะ supply เยอะ
ร้านก็ไม่เจ๊งเพราะลูกค้าซื้อคนละหลายบ๊อก และลูกค้าทุกคนมีรายได้มากพออยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเริ่มเล่น
ดังนั้นเวลาแข่งก็ไม่มีใครคิดจุกจิกเรื่องรางวัลกัน แต่มาเอาสังคม มาหาความสนุกจากการเล่นการ์ดจริงๆ
ซึ่งก็พอจะสะท้อนได้ว่าทำไมเมื่อก่อนสภาพแวดล้อมมันดีกว่านี้ (กูเกิดไม่ทัน)
---
แต่ปัจจุบันพอเศรษฐกิจไม่ดี การซื้อขายแลกเปลี่ยนกลายเป็นอันดับหนึ่ง การนำมาเล่นกลายเป็นอันดับสอง
แม่งสลับกันเลย บ่อเงินอยู่ที่ไหน กูจะไปที่นั่น กูไม่เล่นหรอกแต่กูมาเก็งกำไร ใช้กันผิดวัตถุประสงค์มากสัส
แต่ทำไงได้ เศรษฐกิจมันแย่ และพวกล่ารางวัลก็เกิดขึ้นมาได้เยอะกว่าในช่วงนี้
คนเล่นทั่วไปก็มีงบในการซื้อน้อยลง จำนวนการ์ดในตลาดก็น้อยลง
พวกคนปั่นก็ง่ายขึ้น เพราะอ้าง supply ที่น้อยได้ ร้านเองก็ร่อแร่ ต้องมามีระบบเช็คกันเลยว่ามึงซื้อของร้านกูมั๊ย ไม่ซื้อก็ออกไป
แล้วพอเศรษฐกิจแย่ เวลาว่างของคนก็มักจะน้อยลงไปด้วย ทำให้คนที่มาเอาเวลามาแข่งทีนึงก็คิดละว่าอย่างน้อยต้องได้อะไรติดมือไปบ้าง
คิดถึงรางวัลไว้ก่อน คนที่เล่นตรงข้ามกูจะเป็นยังไงก็ช่าง กูไม่ได้มาเอาสังคม กูมาเอารางวัล
---
นั่นแหละมึง แค่สภาพเศรษฐกิจเปลี่ยน แม่งก็หนังคนละเรื่องเลย
นี่คือสิ่งที่กูเคยคิดเล่นๆ ซู๊ดดดดด อ่ะกูวางละ