สปอยเทียนกวาน อาร์ค 2 ต่อจาก >>191 เทียนกวาน Part.65
.
.
.
.
.
เมื่อกลับไปยังราชวังด้วยอารมณ์ที่เย็นลง ในที่สุดราชาก็เห็นชอบที่จะให้ลูกชายมอบความช่วยเหลือ ส่วนราชครูกลับไม่ได้กล่าวอะไร หลังจากที่ได้มาทำงานจริงแล้วก็ทำให้เซี่ยเหลียนเข้าใจถึงความยากลำบากในการปกครองคนขึ้นมา รับรู้ว่าหลายเรื่องกว่าจะตกลงกันได้ต้องใช้เวลาคุยกันนานแค่ไหน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหากส่งทหารออกไปจัดการชาวหย่งอันก็จะเปิดโอกาสให้อาณาจักรอื่นอ้างว่าเซียนเล่อโหดร้ายต่อประชาชนแล้วเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองได้ แต่พอคิดว่าชาวหย่งอันขาดเสบียงและอาวุธก็ไม่ได้มีมากมาย พวกเขาจึงตัดสินใจที่เป็นฝ่ายตั้งรับดึงเวลาให้ฝ่ายตรงข้ามสิ้นกำลังไปเอง
หลังจากผ่านไป 2 เดือนชาวหย่งอันก็เข้ามาโจมตีเมืองหลวงอีกครั้ง แต่แค่เซี่ยเหลียนใช้กระบี่เนื้อบาง โดยไม่ต้องสวมเกราะ ไม่ถึง 2 ชั่วโมงชาวหย่งอันก็ต้องพ่ายแพ้ ทหารและประชาชนชาวเซียนหล่อต่างพากันดื่มเฉลิมฉลองในชัยชนะ เต็มเปี่ยมด้วยกำลังใจที่มีเทพมาอยู่ข้างเดียวกันกับพวกตน ขณะที่เซี่ยเหลียนหลบไปอยู่ที่มุมหนึ่งของหอคอยกำแพงเมืองด้วยใจที่เจ็บปวดและนิ้วมือสั่นเทา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฆ่าคน และเขาก็สังหารไปหลายพัน ตอนนั้นเองเฟิงซิ่นกับมู่ฉิงก็ตามมา ทั้งสองก็จะไม่ได้ยินดีกับผลการรบเท่าไร ทั้งยังสังเกตได้ว่าการโจมตีครั้งนี้ของหย่งอันรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ มาก อีกฝ่ายมีจำนวนเพิ่มขึ้น มีอาวุธกับเกราะมากขึ้น อีกทั้งยังมีการจัดรูปแบบทัพดีขึ้น ราวกับพวกเขากลายเป็นกองทัพขนาดย่อมจริงๆ มู่ฉิงบอกว่ามีบางอย่างไม่ปรกติ ส่วนเฟิงซิ่นก็คิดว่าศัตรูได้รับการสนับสนุนจากที่อื่น
เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเจ้านาย เฟิงซิ่นก็ถามว่าเซี่ยเหลียนยังไปสร้างฝนที่หย่งอันอีกใช่ไหม มู่ฉิงบอกว่าตอนนี้ถึงจะแก้ภัยแล้งได้ ชาวหย่งอันก็ไม่ยอมกลับบ้านเกิดกันแล้ว ถึงจะรู้ดีแต่เซี่ยเหลียนก็คิดว่าอย่างน้อยช่วยให้ประชาชนที่ยังอยู่ในหย่งอันไม่ขาดน้ำตาย แล้วเขาก็ดึงผู้ติดตามมาใกล้ เอ่ยขอบคุณที่ทั้งสองยังอยู่เคียงข้างและหวังว่าพวกเขา 3 คนจะยืนต่อสู้เคียงบ่ากันจนกลายเป็นตำนานเล่าขาน ตอนนี้ค่ามิตรภาพกำลังบวก จู่ๆ เซี่ยเหลียนก็ได้ยินเสียงบางอย่าง เขาชักกระบี่สะบัดไปที่ต้นเสียงแล้วดึงร่างๆ หนึ่งออกมา ใช้กระบี่ดันอีกฝ่ายไปที่ขอบกำแพง ก่อนจะสังเกตได้ว่าคนๆ นี้เป็นเด็กชายอายุน่าจะราว 15-16 ปี สวมชุดทหารของเซียนเล่อ เด็กชายเสียศูนย์จนเกือบจะหล่นจากกำแพง แต่โชคดีที่เซี่ยเหลียนกับเฟิงซิ่นช่วยดึงขึ้นมาได้ทัน
แขนและศีรษะของเด็กชายเต็มไปด้วยผ้าพันแผล การที่อีกฝ่ายมาซ่อนตัวดูน่าสงสัยมากจนมู่ฉิงคิดว่าเด็กชายอาจเป็นสายลับของหย่งอัน แต่เฟิงซิ่นจำได้ว่าตอนปะทะกัน เด็กชายต่อสู้อยู่ในทัพด้านหน้าของเซี่ยเหลียน ทันใดนั้นเด็กชายก็พุ่งเข้าหาเซี่ยเหลียน แต่เขาก็หลบไปด้านข้างได้อย่างรวดเร็ว ก่อนรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่พุ่งใส่หลัง เมื่อเขาจับไว้ก็พบว่ามันคือธนูดอกหนึ่ง ที่แท้เด็กชายต้องการจะช่วยเหลือเขาจะการลอบโจมตี เขารีบกระโดดไปที่กำแพงเพื่อก้มดูจุดที่ธนูดอกนั้นถูกยิงมา ซึ่งก็พอเห็นชายในชุดสีเข้มกลืนกับความมืดคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีไป แม้เฟิงซิ่นจะยิงธนูไล่ตามก็ไม่ทันสียแล้ว
เซี่ยเหลียนรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายต้องเป็นหลางอิง แล้วเขาก็สังเกตว่าที่ธนูดอกนั้นมีเศษผ้าผูกไว้ เมื่อแกะออกอ่านก็เห็นตัวอักษร ฉี เขาจึงรีบสั่งให้ทหารไปตามหาว่าญาติผู้น้องของเขายังอยู่ในวังหรือไม่ แต่ถ้าฉีหรงถูกลักพาตัวไปจริงก็จะชักช้าไม่ได้ เขาสั่งให้เฟิงซิ่นกับมู่ฉิงคอยอยู่กำแพงเมือง เพราะหากพาคนอื่นหรือทหารไปด้วยอาจเกิดการปะทะกันรุนแรง เขาวิ่งไปตามทางที่หลางอิงมุ่งไป แต่แล้วเซี่ยเหลียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมา เมื่อหันไปดูก็พบว่าอีกฝ่ายคือทหารเด็กคนนั้น เซี่ยเหลียนสั่งให้อีกฝ่ายกลับไปแต่เด็กชายก็ยังคงตามมา เขาจึงเพิ่มความเร็ว ทิ้งอีกฝ่ายไว้เบื้องหลังจนพ้นจากระยะสายตา ในที่สุดเขาก็มาถึงยอดเขาเล็กๆ ชื่อว่าเป้ยจื่อซึ่งเป็นป่ารกทึบ เขาพบฉีหรงถูกแขวนห้อยหัวไว้บนต้นไม้ จากสภาพแล้วคงถูกทุบตีมาไม่น้อย เซี่ยเหลียนรีบใช้กระบี่ตัดเชือก ตบหน้าเรียกสติ ก่อนช่วยแก้มัดให้ญาติผู้น้อง ตอนนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจากเบื้องหลัง เมื่อหันไปก็เห็นหลางอิงกำลังเสือกดาบยาวพุ่งเข้าใส่เขา
.
.
.
.
.