พระสังคิณี แปล
กุสะลา ธัมมา
- พระธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข มีกามาวะจะระกุศลเป็นต้น
อะกุสะลา ธัมมา
-ธรรมที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นทุข์ มีโลภมูลจิตแปดเป็นต้น
อัพ๎ยากะตา ธัมมา
-ธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นจิตกลางๆ มีอยู่ มีผัสสะเจตนาเป็นต้น
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎ะมิง สะมะเย
-ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง
-จิตที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมนำสัตว์ให้ไปเกิดในกามภพทั้งเจ็ด คือ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖
อุปปันนัง โหติ
-ย่อมบังเกิดมีแก่ปุถุชนผู้เป็นสามัญชน
โสมะนัสสะสะหะคะตัง
-เป็นไปพร้อมกับจิตด้วย ที่เป็นโสมนัสความสุขใจ
ญาณะสัมปะยุตตัง
-ประกอบพร้อมด้วยญาณเครื่องรู้คือปัญญา
รูปารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในรูป มีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
สัททารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในเสียง มีเสียงท่านแสดงพระสัทธรรมเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
คันธารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในกลิ่นหอม แล้วคิดถึงการกุศล มีพระพุทธบูชาเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ระสารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในรสเครื่องบริโภค แล้วยินดีใคร่บริจาคเป็นทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
โผฏฐัพพารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในของอันถูกต้อง แล้วก็คิดให้ทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ธัมมารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในที่จะเจริญพระสัทธรรมกรรมฐาน
มีพุทธานุสสติเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ
-อีกอย่างหนึ่งความปรารภแห่งจิต ก็เกิดขึ้นในอารมณ์ใดๆ
ตัส๎ะมิง สะมะเย ผัสโส โหติ
-ความกระทบผัสสะแห่งจิต จิตที่เป็นกุศลก็ย่อมบังเกิดขึ้น ในสมัยนั้น
อะวิกเขโป โหติ
-อันว่าเอกัคคตาเจตสิกอันแน่แน่วในสันดาน ก็ย่อมบังเกิดขึ้น
เย วา ปะนะ ตัส๎ะมิง สะมะเย
-อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ก็ย่อมบังเกิดขึ้นในกาลสมัยนั้น
อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา
-ธรรมทั้งหลายอาศัยซึ่งจิตทั้ง
หลายอื่นมีอยู่ แล้วอาศัยกันและกัน ก็บังเกิดมีขึ้นพร้อม
อะรูปิโน ธัมมา
-เป็นแต่นามธรรมทั้งหลายไม่มีรูป
อิเม ธัมมา กุสะลา ฯ
-ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข แก่สัตว์ทั้งหลายแล ฯ