ลองตั้งดูเผื่อจะมีอะไรคุย
Last posted
Total of 1000 posts
ลองตั้งดูเผื่อจะมีอะไรคุย
เจิม
จากคนจบคอมกากๆ
ไอที + GB + Programmer ราบงานตัว
ชื่อกระทู้นี่......
สวัสดี ชาวโลก
เจิม จากคนที่ไม่รู้จบมาได้อย่างไร
กูขอเปิดหน่อยละกัน ต่อจากกระทู้วันศุกร์
ถ้ากูจะสอนเด็กเรื่องวิธีแก้ปัญหา กูจะควรจะเริ่มสอนยังไงดีวะ?
คือกูบ่นไปก็จริง แต่กูก็อยากช่วยให้มันได้ดีกว่านี้นะ
เอาโจทย์พื้นฐานมาให้ทำเลย
ต้องเข้าใจ flow การวิ่งของโปรแกรม
ต้องเข้าใจว่าค่าตัวไหน ณ เวลาไหนเป็นเท่าไหร่
ส่วน db มันลำบากจัง ตอนเรียนกูได้ชีทมาชุดนึง ไม่มีหนังสือ เลยช่วยอะไรไม่ได้
มันต้องยกตัวอย่างให้เห็นภาพทุกเรื่องนะสิ
ว่าไป ทำไมหัดเขียนโปรแกรมตอนเรียน โปรแกรมแรกต้องเป็น Hello world. ด้วยวะ
เลือกคำพลาดไปหน่อย หมายถึงพวกเด็กจบใหม่น่ะ
flow พื้นฐานนั่นน่าจะเข้าใจว่ะ แต่ที่เจอมันประเภทสมมุติกูมี create_activity(article) ที่จะสร้าง activity พร้อม key แบบ "article.create"
ทีนี้กูอยากให้ create_activity มันรับค่าเป็น object อื่นได้ด้วย เช่น upload
แทนที่มันจะทำให้ create_activity มันอ่าน key จากชื่อคลาส มันดันก็อปปี้ create_activity เป็น create_activity_upload
แล้ว replace คำว่า article ทุกคำใน create_activity_upload เปลี่ยนเป็น upload แล้วก็เอามาส่ง
ปัญหาประเภทนี้นะ
ที่ตรงที่สุดที่คิดได้ มึงต้องสอนให้เด็กนั่นมันเห็นความสวยงามของโค้ดล่ะ ว่าทำให้ดีมันดียังไง
ต้องเตือนมันด้วยนะ ทุกอย่างที่เขียนไปเนี่ย มีความน่าจะเป็นที่ต้องแก้เพิ่มในอนาคตอยู่แล้ว
ถ้ามันทำแย่ๆ ก็มีเรื่องแย่ๆ รอมันข้างหน้าเอง
ถ้าสอนให้เห็นความสวยงามของการโค้ดดิ้งได้
กูอยากให้เป็นอาจารย์พิเศษซักมหาลัยจังว่ะ
ขอใส่ไว้อ้างอิงหน่อย
กระทู้นี้แตกมาจากที่คุยกันในกระทู้วันศุกร์ที่สาม เม้นที่ 472-496
https://fanboi.ch/lounge/286/472-496/
สมเป็นโซนคำสาป ย้ายมาปุ๊ป เงียบทันที
กูทักไปเรื่องให้โค้ดมันออกมาสะอาดนะ แต่โดน manager ออกมาบอกว่าทำไปทำไมในเมื่อมันก็ใช้ได้เหมือนกัน
เลยตอบไปว่าเพื่อ maintainability ในระยะยาว แต่ดูเหมือนฝั่งนั้นไม่เห็นคุณค่าเท่าไหร่
อาจจะไม่ตรงประเด็นเท่าไร (เพราะไม่ใช่สายดาต้าเบส) กูดูแลโครงการโอลิมปิกวิชาการ (เป็นผู้สอนและจัดเนื้อหา) ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งมา 5 ปีแล้ว และกูเรียนมาทางสายคอมพิวเตอร์ด้วย โดยเนื้อหาในโครงการนี้จะสอนตั้งแต่เริ่มเขียนโปรแกรมภาษา C จนถึงโครงสร้างข้อมูลขั้นสูงอย่าง Fenwick tree, Link-cut tree และอัลกอริทึมอย่างพวก maximum flow, dynamic programming เป็นต้น ซึ่งกูจะพูดถึงนักเรียนในความหมายของเด็กมัธยมนะ ไม่ใช่นักศึกษา เพราะไม่มีประสบการณ์ตรงนั้น
สิ่งที่สังเกตมากหลายอย่างคือ นักเรียนหลายคนไม่มีความสามารถในการแก้ปัญหาเลย เวลาให้โจทย์ที่ไม่ยากมากไป (ระดับเดียวกับวิชา 101 ในมหาลัย) บางทีทำไม่ได้ แต่พออธิบายขั้นตอนให้ฟังก็เขียนได้ พอลองให้โจทย์ที่ปรับปรุงจากข้อเก่าไปนิดหน่อย กลับทำไม่ได้อีกแล้ว แต่เด็กบางคนที่ไปไว เค้าก็ไปเองได้โดยแค่ชี้ทางหลักๆ (แค่หัวข้อ เนื้อหาไปหาอ่านเอง) ก็ทำได้เต็มไปหมด (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างจากวิชาอื่นเท่าไร) แต่พอดีว่าเป็นโครงการโอลิมปิก เด็กตัดใจออกจากโครงการง่ายเมื่อรู้ว่าไปต่อไม่ไหว (แต่ก็ยังมานั่งเล่นเกมตากแอร์ในห้องคอม - -) บางทีเจอคำถามแบบ "ใช้ตัวแปรกี่ตัวดีอ่ะ" ก็อึ้งไปเหมือนกัน (โน้ต: นี่ไม่ใช่โปรแกรมใหญ่ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องจำนวนตัวแปร)
จำได้ว่าเคยมีกระทู้นึงในพันทิบ ออกมาบ่นว่าเหตุผลที่นักเรียนไทยไปสายคอมพิวเตอร์ไม่ค่อยรุ่งเพราะเป็นสายที่ต้องสังเคราะห์อะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา ขณะที่ระบบการศึกษาไทยไม่เคยสนับสนุนการสังเคราะห์เลย ซึ่งคิดว่ามาจากประเด็นนี้แหละ ทำให้สกิลการแก้ปัญหาต่ำ เวลาสอบเข้ามหาลัย/ในมหาลัยก็ใช้วิธีจำแนวโจทย์ให้ได้เยอะๆ แทนที่จะเข้าใจเนื้อหาให้ปรับใช้ได้ สังเกตว่าส่วนใหญ่ในระดับมัธยม/มหาวิทยาลัย เด็กจากโครงการโอลิมปิก หรือเด็กที่เคยเขียนโปรแกรมมักจะเรียนเก่งกว่าเด็กทั่วๆ ไป (หรืออย่างๆ น้อยๆ ที่ๆ ผมเรียนก็เป็นงี้นะ)
ที่กูทำงานมาก็เซ็งเรื่อยๆ นะ เวลาคิดอะไรออก ว่าทำไงดี ไอ้ตอนคิดได้มันก็ดีใจล่ะนะ
แต่ถ้าหันกลับมาดู มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ นั่นแหละ แต่ทำไมตอนแรกไม่คิดจะทำยังงี้
ไม่เกี่ยวกับข้างบน แต่สงสัยว่าเหตุผลที่เด็กไปสายคอมกันเยอะส่วนหนึ่งเพราะ "อยากทำเกม" กันหรือเปล่าวะ
>>20 ที่ๆกูจบมานะ
หลายคน (เกินครึ่งสาขา) มาเพราะสอบตรงติดเลยเอาไว้ก่อน (สาขากูสอบตรงมันรับเยอะๆไว้ก่อนแล้วคัดทิ้งตอนเรียน) หรือไม่ก็ไม่รู้เลยว่า IT เค้าเรียนอะไรกัน นึกว่าสอนใช้คอมใช้ออฟฟิซทำเอกสารมั่งไรงี้
พวกที่มาเพราะอยากทำเกม อยากทำหุ่นยนต์นี่มีแค่นิดๆหน่อยๆว่ะ 2 อย่างนี้รวมกัน ไม่น่าถึง 15% ของคนที่เข้ามา
กูเขียนโปรแกรมไม่เป็นนะ แต่กูชอบดูพวกโปรแกรมเมอร์คุยกัน โลจิคมันแปลกดี
ที่กูถามแค่กูเคยโดนเพื่อนๆ ของน้อง (ม.ปลาย) ที่รู้ว่ากูทำงานเขียนโปรแกรมมาถามอยากให้สอนเขียนเกม
เลยสงสัยว่ามันเป็นกี่เปอร์เซ็นกันที่เข้าสายคอมเพราะเหตุผลนี้
แต่กูมองว่าถ้าเข้าด้วยเหตุผลนี้ แล้วไม่ใช่พวกที่มุ่งมั่นจริงๆ ไม่น่าไปรอดนะ
ตอนแรกกูก็อยากจะทำเกมน่ะนะ
แต่ในประเทศนี้ก็ยังงี้... ยังดีที่กูชอบเขียนโปรแกรมอยู่บ้าง
เป็นงานฝีมือไม่กี่อย่างที่กูพอจะทำได้
เพื่อนที่สนใจเขียนโปรแกรมก็ไปต่อหมอนะ
กูไม่สนใจเขียนโปรแกรม แต่มาต่อคอม
กูเคยเจอคุณหมอที่ดีบั๊กโปรแกรมได้.....
เผื่อไม่รู้ เด็กโอลิมปิกคอมจำนวนพอสมควรเข้าหมอศิริราช เวลาแข่ง ACM ที (เขียนโปรแกรมระดับมหาวิทยาลัย) ทีมหมอศิริราชชนะประจำเลย - -"
หมวดนี้แม่งอาถรรพ์จริงๆวุ๊ย ตอนอยู่เล้าจน์ยังคึกคัก มาอยู่นี่เงียบเป็นป่าช้า
คิดว่าคนเข้าเยอะนะ แต่ไม่รู้จะคุยอะไรดี เอ้า ใครเปิดประเด็นหน่อยซิ!
จะให้อวดสเป็คเครื่องคอมเป็นซูเนโอะก็คงไม่ได้ล่ะนะ เปิดประเด็นละกัน มีความสุขกับงานโปรแกรมเมอร์ที่ทำอยู่ตอนนี้มั้ย ?
ที่บริษัทตอนนี้มีปัญหาอยู่ว่าลูกค้าคิดว่าจำนวนโปรแกรมเมอร์เยอะแล้วจะช่วยให้งานเร็วขึ้น
แต่กลายเป็นว่าคนที่ทำมาก่อนแล้วต้องมานั่งเสียเวลาแก้ให้โค้ดมันเป็นไปตามที่เขียนมา
โดยสรุปแล้วทำให้งานช้าลง เพราะต้องมานั่งแก้แม่งทุกอัน บางอันแก้เยอะขนาดเขียนใหม่ยังจะเร็วกว่า
กูควรจะบอกลูกค้ายังไงดีให้ดูไม่น่าเกลียด
กูเคยบอกไปแล้วววววววววว แล้วแม่งก็เอาแต่หามาเพิ่มมมมมม
คุยอะไรกันดี !
ลองเปิดประเด็นว่าช่วงนี้มีภาษาใหม่ๆ อันไหนน่าลองจับมั่ง พวก Go, Rust, Clojure, Scala, Groovy, Kotlin etc.
> Scala
> ใหม่
ถ้า่เขียน Java อยู่แล้วก็ลอง Scala/Groovy ดูก็ได้ (Kotlin คิดว่ามัน vendor lock-in ไปหน่อยเพราะมันของ JetBrain)
Rust คิดว่าให้มันออก 1.0 ก่อนดีกว่า ตอนนี้ยังไม่ stable เลย
จริงๆ พวก Rust, Go เป็นภาษาที่ดีนะ แค่ส่วนมากทำได้แค่ backend นั่นแหละ (เป็นของถนัดมันเลย) เพราะ library binding กับ gui library ดีๆ ไม่ค่อยมี เท่าไร เคยพยายามเอามาเขียน GUI อยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายกลับไป C++ ตลอด
ตัวไหนน่าจะมีแววรุ่งโรจน์ นิยมใช้ในอนาคตมั่งมั้ย จะได้หัดๆจับๆตั้งอต่ตอนนี้
Go มีใช้ในบริษัทใหญ่ๆ หลายที่อยู่ แต่ในไทยอย่างหวัง
Scala น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เล่น Clojure อยู่ แต่คำสาปภาษาตระกูล Lisp มันจะไม่เป็นที่นิยม
บอร์ดกามเปิดมาวิ่งเร็วกว่า tech
กูจะบ้าตาย
บอร์ดกามวันนึงแม่งคงเท่า Tech ทั้งปี
There was a joke back in the 80s when Reagan's SDI program was in full
swing that someone stole the Lisp source code to the missile interceptor
program and to prove it he showed the last page of code...
)))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))
แล้วก็ร้างเหมือนเดิม orz
อาถรรพ์แม่งแรงจริงๆห้องนี้
กูไม่ได้จบสาย Coding แต่เริ่มสนใจงานด้าน Coding เอาหลังจบ มันจะไหวมั้ยวะ
ตอนนี้ก็เรียนรู้อยู่ ก็สนุกดี เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง ถ้าเก่งๆแล้วกูอยากทำพวก App ขาย
ถ้าทำแค่แอพเล็กๆ ถึงกลางๆ อย่างเกมหรืออะไรพวกนี้ไม่มีปัญหาหรอก
ถ้าทำงานใหญ่ๆ พวก embeded system, network, hardware, low-level, dsp หรือบ้าจี้เขียน C++ อาจจะมีปัญหาบ้าง แต่ก็หาหนังสืออ่านเองได้ (แต่ยากหน่อย)
อาจจะเป็นกูคนเดียว แต่เขียนไปเรื่อยๆ แล้วกูชอบ statically typed language มากกว่าว่ะ
ไม่หรอกว่ะ static language ก็โอเค กูยังอยากให้ Python มันเป็น static typing เลย
ลองนั่งเล่น Rust แล้วมันส์มากกกกกก
อยากให้ภาษามัน stable เร็วๆ จะเอามาเขียนอะไรเล่น ตอนนี้แม่งเปลี่ยน syntax ทุกเวอร์ชั่นเลยสาด
ส่วนตัวชอบ Go มากกว่า Rust
แต่ Rust คงเป็นความหวังสุดท้ายของ unmanaged.... (ยังไง std::unique_ptr มันก็ยาวมากกอยู่ดีแหละ)
จะต้องหางานแล้วเขียนได้หลายภาษาแต่เป็นแบบเป็ดเป็นอันนั้นอันนี้พอสมควรไม่มีถนัดจริงจัง หรือเก่งไป เลย ทำไงดีวะ
เป็ดนี่ขนาดไหนอ่ะ? โดยทั้วไปงานสายโปรแกรมเมอร์มันต้องเรียนรู้งานจริงเยอะ ถ้าไม่ได้แบบเขียนได้กะท่อนกะแท่นจริงๆ ไม่น่าทีปัญหา
การเขียนโปรแกรม สิ่งที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องภาษาที่เขียนได้เลย มันอยู่ที่กระบวนความคิดกับความสามารถในการแก้โจทย์ที่เจอซะมากกว่า
เรื่องภาษาที่ใช้มันสามารถ transfer ข้ามไปข้ามมาได้ พอเขียนได้ภาษานึง (และเข้าใจหลักการพื้นฐาน) การไปเริ่มอีกภาษาไม่ใช่เรื่องยาก
เวลาเรียนภาษาใหม่ สิ่งที่เรียนคือ syntax กับคอนเซปใหม่ของในภาษานั้นๆ (แล้วก็ stdlib lol) ที่เหลือคือความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วที่ถูก generalize
วิธีที่อยากจะแนะนำคือเขียนภาษานึงให้คล่องก่อน อะไรก็ได้ แล้วก็ไปหัดภาษาใกล้ๆ กันต่อให้คล่องอีกภาษา แล้วจะเข้าใจเอง
ส่วนถ้าต้องการเดิน career ด้านนี้จริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะทำอะไรล้วนๆ เลยหว่ะ
ถ้าสายเว็บก็ควรจะมีความรู้ด้าน RDBMS มีความรู้เรื่อง web stack (ตั้งแต่ client ยัน server อย่างละนิดหน่อยก็ได้) ถ้าได้ frontend ด้วยจะยิ่งดี
EXP งานจริงน้อยอะไปตอนฝึกงานก็ได้แต่เขียนเว็บสินค้านิดหน่อยตอนนั้น Jquery boom ก็ ได้ Jquery มาเสริม PHP HTML SQL ฯลฯ เรื่องแก้โจทย์คิดว่าไม่น่ามีปัญหาคิดว่าอัลกริทึมน่าจะดีแต่มีปัญหาเรื่องไม่เคยเขียนอะไรที่มันดูเหมือนจะเอาไปทำการทำงานได้จริงทำให้แม่งไม่ค่อยมั่นใจสมัครตำแหน่งอะไรดีความรู้ทีมีพอรึยัง รึสมัครไปไม่ผ่านลองงานค่อยว่ากันดี
>>59 ขอแย้งครับ เขียน C เป็นไม่ทำให้เขียน Clojure, Scheme, Prolog หรือ Haskell เป็นเลยครับ โอเค จริงจังก็ได้ จริงๆ มันย้ายได้แค่ในพาราดามเดียวกันแหละ ข้ามพาราดามก็ต้องเรียนใหม่พอสมควร
>>60 สมัครไปก่อนก็ได้แหละ ไม่ลองจะรู้ไหมว่าทำได้หรือเปล่า ถ้าได้บริษัทดีมีคนช่วยก็ดีไป ปัญหาที่อาจจะเจอคืออาจจะเริ่มโปรเจคใหม่ๆ ยาก คงต้องดูเรื่อง design pattern หน่อย แล้วลองอ่านโค้ดโปรเจค open source ก็พอช่วยได้ ถ้าในไทยรู้ HTML/PHP/jQuery ก็พอแล้ว (ไม่อยากใช้คำว่ารู้ภาษา SQL เพราะคิดว่าโปรแกรมเมอร์สายเว็บทั่วๆ ไปอ่าน SQL เป็นหน้าๆ ที่มี sub query, stored procedure เต็มไปหมดได้ แต่ถ้าทำได้ก็ขอโทษด้วย)
>>61 จาก C ไปภาษาที่ใช้ S-exp มันก็ไม่ยากมากนะ แต่เห็นด้วยว่าถ้าไปแถวๆ Prolog, Erlang, Haskell นี่เหนื่อยจริง
แต่ประเด็นที่ต้องการจะพูดไม่ใช่ตรงนั้น แต่เป็นเรื่องสกิลที่สำคัญที่สุดมันคือสกิลแก้ปัญหาที่ถูก generalize ให้ไม่ขึ้นอยู่กับ syntax
ถ้ามีสกิลนี้แล้วจะไปภาษาไหนมันก็ใช้ได้ (ถึงอาจจะติดกำแพงตอนหัดเขียนก็เถอะ)
>>60 ถ้าแบบนั้นลอง hack อะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาซักอันสิ ลองให้ใครมารีวิวด้วยจะยิ่งดี ทำแบบนั้นแล้วจะรู้ขอบเขตตัวเองได้ดีขึ้น
กูเป็นคนปรับตัวยากว่ะ ถนัดเขียน JAVA แล้วก็ชินกับการมี IDE ช่วย / มีการเช็ค type / ชินกับพวก library ที่แถมมากับภาษา
พอต้องมาเขียน JS นี่แทบกระอัก
เออ กูถามหน่อย กูยังเป็นนศ.หวะ กูสงสัยว่าตอนสมัครงานแรก เค้าจะแคร์กับการฝึกงานของเรามากปะวะ?
คือตอนนี้กูกำลังขึ้นปี 4 แล้วกูไม่ได้ฝึกงาน เพราะกูมาลงซัมเมอร์วิชาที่กูซิกแซกไม่เรียนเอาไว้
(คนปกติที่ซิกแซกของกูจะลงตัวที่ 1 ในซัมเมอร์ปี 1 และลงตัวที่ 2 ในซัมเมอร์ปี 2 แต่กูมีปัญหาครอบครัว เลยได้ลงตัวที่ 1 ในซัมปี 2 และ ตัวที่ 2 ใน ซัมปี 3)
เอาแต่โปรแกรมที่เคยพัฒนาไปใส่พอร์ตได้ปะ
หลุดมาเป็นปีแลัวนะ ไอ้นี่น่ะ
มู้นี้นิ่งไปแล้วใช่ปะ
ก็มีคนเช็คเรื่องๆ อะนะ แต่ไม่รู้จะโพสอะไร
http://pantip.com/topic/32258393
อ่านแล้วสิ้นหวังจังเลยว่ะ
มันเกิดจาก User ไม่รู้ความต้องการตัวเองจริงๆไง
พวกนี้ต้องแก้ไขต้องการวิเคราะห์ระบบธุรกิจการวางแผนและการออกแบบระบบ
ผมเรียนสาขานี้มา ทำเก่งด้วยนะแต่อ่ะนะไปที่ไหนใครๆก็ไม่รับ T T อยากได้โปรแกรมเมอร์กันสาด
ที่พูดคือฝั่งลูกค้าต้องมีคนวิเคราะห์ระบบน่ะ เพราะ โปรแกรมเมอร์ยังไงก็ไม่มีทางรับความหลากหลายได้เยอะขนาดนั้นหรอก
ขอถามนอกประเด็นนะครับ คนที่เป็นโปรเเกรมเมอร์ส่วนใหญ่มีเวลานอนกันมั้ย?หรือถ้าเวลางานมาก็ต้องอยู่โต้รุ่งอย่างงี้รึเปล่า เเล้วส่วนใหญ่จบกันมาเป็นโปรเเกรมเมอร์เพียวๆกันอย่างเดียวไม่มีอาชีพเสริมเลยสินะครับ เเล้วส่วนใหญ่ทำงานที่ไหนให้ส่วนใดกันมั่งครับ
>>76 มีสิวะ แต่มากน้อยขนาดไหนขึ้นอยู่กับแต่ละคน ตัวงานที่ต้องทำมันใหญ่มันยากมันซับซ้อนก็อาจจะต้องเจียดเวลานอนมาทำบ้าง กูว่ามันโคตรปกติของชีวิตคนทำงานเลยนะ
จบมาทำอย่างเดียวไม่มีอาชีพเสริมหรือเปล่า เพื่อนกูควบงานโปรแกรมเมอร์กับนักดนตรีอยู่คนนึงก็เห็นชีวิตมันมีความสุขดี ของแบบนี้ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลล้วนๆ เลย
คำถามที่สามไม่เก็ทว่าถามอะไร
ตอนนี้ศึกษา Haskell ดูน่าเรียนดี ถ้าใครอยากได้ พาราไดมแนว Functional Programming cotoe.shgiupo
ฮาดีฟะ กูชอบเฮะ แม่งบอกว่าของพวกนี้ศึกษาเองได้ เอ่อ แล้วมันจะเรียนกับอาจารย์ไปเพื่อ ???
555 ตรรกะวิบัติจริงๆ
กูโพสไปคงโดนด่าแหงแซะ แต่ในความคิดกู โปรแกรมเมอร์ที่ตลาดต้องการส่วนมาก... ควรจะเรียนในสายอาชีพ
เอาระดับคนทั่วไปนะ ไม่ใช่พวกบอร์นทูบีหรือเนเจอร์เป็นโปรแกรมเมอร์แล้ว ที่กลับบ้านไปก็เขียนโปรแกรมเล่น ค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอด (ประเภทนี้ ไม่ต้องเรียนตามระบบก็เก่ง)
สายโปรแกรมเมอร์เนี่ย ถ้าต้องการพัฒนาคุณภาพบุคคลากรจริง ๆ
มหาลัยกับสถาบัน ควรต้องจับมือกับพวกซอฟท์แวร์เฮาส์ มีบังคับฝึกงาน 1-2 ปีอย่างต่ำ แบบพวกหมออินเทิร์น ให้ไปฝึกดูทุกแผนก ไม่ผ่านก็ไม่ให้จบ
เพราะการเรียนปกติมันจะได้แค่แนวภาพกว้าง ๆ ซึ่งโคตรมั่นใจเลย เรียนแค่ 3 หน่วยกิต (1 ตัว) ก็ยังไม่รู้หรอกว่าที่เรียนไปนี่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบรึเปล่า
กูสงสัยมากกว่า คือโปรแกรมเมอร์ในไทยน้อยลงเรื่อยๆ ไอ้คนที่เคยทำมาก่อนก็เลิกทำ เด็กจบใหม่เขียนไม่เป็นไม่นับเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ความต้องการสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วทำไมค่าจ้างมันไม่แปรผันตามหลักดีมานด์-ซัพพลายวะ
คนเก่งๆ หายาก มีแต่คนต้องการตัว แต่ค่าจ้างเท่าเดิม พิลึกว่ะ
ก็เก่งที่มันอยากได้คือระดับเทพไง แต่เงินเดือนแม่งติดดิน
บริษัทที่เริ่ม 40-50k มันก็มี ไม่ได้ต้องการสกิลยอดมนุษย์อะไรด้วย
ปัญหาคือคนที่มาสัมภาษณ์ ตอบคำถามง่ายๆ (ง่ายกว่าให้เขียน Fizz Buzz อีกด้วยซ้ำ) ยังตอบกันไม่ได้เนี่ยดิ
เลยยิ่งสงสัยว่าคนที่มีฝีมือจริงๆ มันไปบริษัทที่ต้องการมหาเทพกันหมดหรือไงวะ
คำถามง่ายๆ นี่ประมาณไหนอ้ะ ยกตัวอย่างมาให้ซักข้อสองข้อได้ปะ
ปกติเวลาที่จะเริ่มเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ มีเทคนิคอะไรบ้างมั้ย หรือมีหนังสือค่ายไหนแนะนำบ้างมั้ยนะ?
>>94 ปกติจะอ่าน tutorial ทางเน็ตเอาพอเป็นไอเดียว่าพวกของพื้นฐานของภาษานั้นๆเขียนยังไงบ้าง แล้วก็อาจจะเอามา map กับภาษาที่ถนัด (ถ้ามันพอไปกันได้)
พอจบแล้วถ้าต้องทำงานหรือจะลองทำอะไรก็ลุยไปเลย ติดหรือไม่แน่ใจตรงไหนเน้นพึ่ง Google + Stackoverflow อะไรที่พลาดก็ค่อยมาไล่แก้ทีหลัง ซึ่งจริงๆก็อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ แต่ถ้าต้องใช้ทำงานทำแบบนี้ในระยะสั้นมันได้งานเร็วกว่าการไปนั่งไล่อ่านแล้วไม่ได้ลองลงมือทำจริงๆ
>>95
อืม พื้นฐานจริง ๆ ด้วย
ถ้าปกติไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ธรรมชาติ 2 คำถามหลังนี่ตอบว่าไม่มีไม่เคยแน่ ๆ
แต่อาจจะมีลอจิกเขียน live code Fizz Buzz ได้นะ
>>96 ส่วนใหญ่ก็แบบนี้ป่ะ มากกว่านี้คือไปหาหนังสือมาอ่านเพิ่ม ไม่ว่าจะเล่มหรือ pdf ขึ้นกับสไตล์
สุดท้ายก็ google + stackoverflow หาเมธอดตัวอย่างมาอ่าน code แล้วปรับใช้เอง
แต่ไอ้ที่ลำบากอีกอย่างเวลาเปลี่ยนภาษานี่คือ setting environment มั้ง ตอนเปลี่ยนจาก editor ธรรมด๊าธรรมดามาใช้ eclipse เขียนอีกภาษานึง เซ็ทนั้นแล้วไอ้นี่ error ไอ้นู่น error รัน emulate server ไม่ขึ้น นั่ง FUCK ทั้งวัน ขนาดนั่งทำตาม tutorial นั่งหาวิธีแก้เป็นชั่วโมงเป็นวัน สำหรับคนกาก ๆ แบบกูอ่ะนะ
เดี๋ยวนี้หลายทีมี vagrant template ให้เลย ชีวิตง่าย
ใช้ Editor ตัวไหนกันอยู่วะ
Me - Komodo Edit 8.5.3
กูไม่ได้จับโค้ดมาตั้งกะเรียนจบละ อยากรู้ว่า อีดิท+ นี่แม่งยังมีคนใช้อยู่ป่าววะ
แม่งยังมีคนใช้แบบกูด้วย คารวะ
ตอนสอนเค้าก็ให้พวก editplus แหละ ไม่ก็ notepad++
Vim -> TextMate -> Sublime -> Vim -> Emacs -> IntelliJ
ทำไมมาจบที่ IDE ได้ก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน…
NotePad -> EditPlus -> Eclipse -> Sublime -> Vim -> IntelliJ (Java, PHP, Python)
EditPlus -> Dev-C++ -> Visual Studio (C, C#)
Sublime (Go, Rust)
ช้างบนนั่นบนวินโดวส์ บนลินุกซ์ตอนนี้ยังเป็น Vim ล้วน
มีเรื่องอยากบ่นว่ะ กูเจอลูกค้าไม่เรื่องมาก แต่คนเขียน requirement ฝั่งตัวเองเสือกเรื่องมากแบบไม่มีเหตุผล แถมเอาลูกค้ามาอ้างบังหน้าซะงั้น
บางเรื่องลูกค้าก็พูดอยู่มันก็อุตส่าห์จะเนียนบิดเบือนคำพูดลูกค้าอีก
หัวหน้าก็ดันเป็นคนดีไม่อยากไปก้าวก่ายหน้าที่ส่วนของมันอีก กูก็ยอมรับนะว่ามีมันอยู่ก็เบางานคุยกับลูกค้ากับงานเอกสารของโปรแกรมเมอร์ไปได้หลายส่วน แต่หลังๆชักสร้างปัญหามากกว่าจะช่วยงานแล้ว
แสดงว่ามันออกแบบเยอะเกินไงมึง แม่งพวกโลภมากก็งี้
มีวิธีตั้งค่าUtorrent ให้หยุดpeerเมื่อ ratio=1 มั้ยครับ
initial seed ไม่ได้เรอะ
ไม่รู้จะตั้งถามที่ไหน ถามกระทู้กูรูเลยละกัน คือ utorrent กูตอนนี้มัน อยู่ๆ 1-2 วันที่ผ่านมามันก็กากอะ โหลดไฟล์ช้าผิดปกติ ทั้งที่ขึ้นว่ามี seed 1000 (ไฟล์ 300 mb) แต่ความเร็วแค่ 10 kb
แถมโหลดเสร็จขึ้น flush to disc แล้วก็ค้างเติ่งซะงั้น มันเกิดไรขึ้นวะ
CLion Goes Public: http://www.jetbrains.com/clion/
แลปทอปกูแดกน้ำเข้าไปวะ อาการคือ เปิดไม่ติด
กูต้องทำใจมั้ย
ส่งเคลมดู ถ้าไม่ช็อตอาจจะรอดได้มั้ง
อย่าเพิ่งมึง ทิ้งให้แห้งก่อนค่อยเปิดอีกที เผื่ออาจจะติดเพื่อมาแบ็คอัพ แล้วลงเคลมเบย
เราซื้อโน้ตบุ้คมาจากร้าน jib พันทิพน่ะ ทางร้านลงทะเบียนวินโดว์ จากนั้นพาไปร้านลงโปรแกรมให้ เอามาเปิดที่บ้าน มันมีแต่ไดรฟ c ไม่มีการแบ่ง พาร์ติชั่นใดๆทั้งสิ้น
ถ้ามันเป็นแบบนี้เรามาแบ่งเองได้ทีหลังไหม รึต้องลงวินโดว์ใหม่หมดถึงจะแบ่งได้ แล้วถ้าดันทุรังใช่ต่อไปจะมีผลเสียยังไง
แบ่งเองทีหลังได้ และควรแบ่ง เก็บไฟล์รักๆไว้คนละไดร์ฟกับวินโดว์ เวลาวินพังจะได้ไม่หมดตูด ลองดูพวก partition magic
แต่กูแนะนำ ไม่แบ่งนะ หา HDD External มาใส่ดีกว่าฟะ
แบ่ง partition ไว้กับใช้ HDD External ไปด้วยทั้งคู่ก็ดี
บริษัทนี้ดูแล้วน่าทำไหม https://www.blognone.com/node/61419
พึ่งซื้อคอมใหม่ การ์ดจอ AMD จอ LG เวลากูชี้เม้าแถบปุ่มstartแสงหน้าจอมันจะมืดลง พอชี้กลับไปที่ตรงกลางแสงมันดันสว่างขึ้น แก้ไงดีวะ ปวดตาชิบ
ไม่รู้ปรับตรงไหน
ตอนกูใกล้เรียนจบนี่เค้าลือกันว่า 1 ปีที่ Accenture = 3 ปีที่อื่น เลยนะ ทั้งในแง่งานหนักและประสบการณ์ที่ได้
แล้วก็อยู่ได้ 3 ปี เงินเดือนคูณ 2 (อันนี้ไม่รู้จริงมั้ย)
แต่กูมีเพื่อนทำอยู่ 2 คนก็ไม่เห็นงานหนักอะไร อาจจะโชคดีไม่โดนไม่ก็ยุคสมัยเปลี่ยน
Looking for one Senior eCommerce startup skill for one retail in SEA take care 180 staffs of operation team
Salary 500,000 THB per month with 1.5 Millions bonus every 6 months
Location to work HK, SG, BKK and PH (always work on the air)
If your interesting please email me tum@tum.im krub
โหดดี
ถ้าจะทำเว็บเปิดโปงพวกสินค้าผิดกฏหมายนี่ จะทำไงไม่ให้โดนจับได้ดี
facebook ไปก็น่าโอเคแล้ว มันเคยส่งเหี้ยไรให้ตำรวจด้วยหรอ
ยัดผ่าน Tor ไปอีกขั้นก็ไม่น่ามีทางตามได้แล้ว
แปลว่ามันจำมึงไม่ได้ไง มึงจะซ่อนตัวหรือเล่นเฟสก็เลือกซักอย่างละกัน
จะฝึก Domain Driven Design ยังไงดี
ถามในนี้ได้ปะ ถามโง่ๆเลยนะ ที่เซนต์หลุยส์รัฐมิสซูรี นี่มันมีอะไร ทำไมถึงเป็น target ของพวกแฮคเกอร์ง้ะ พอดีดูเว็บนี้ละสงสัย http://map.ipviking.com/
>>137 น่าจะอันนี้นะ http://en.wikipedia.org/wiki/St._Louis#Major_companies_and_institutions
มีMaster card กับธนาคารที่ติด1ใน4ของอเมริกาอยู่ที่รัฐนี้
คืออะไรยังไง ?
ดราม่าในสมาคมโปรแกรมเมอร์เมื่อวานมันจุง
Ruby on Rails ในไทย อนาคตเป็นยังไง
เบือชีวิตโปรเจคจบ
ที่นี่ที่ไหน
สวัสดีครับ
Hello World!!!!
hello
olo
งาน contract เมงดียังไงวะ
มาแชร์เงินเดือนกันไหม จะได้รู้ว่าแต่ละคนได้เรทยุติธรรมไหมอะไรงี้
ขอลิ้งต้นทางที่คุยกันหน่อยเด้ กูงง
เขียนภาษาอะไรแล้วใหญ่ยาวครับ ;)
ปกติแล้วโครงสร้างของโปรเจ็คจะเรียงแบบไหนครับ
DAL
BL
อะไรต่อนะ ขอคำอธิบายด้วยก็ดี
Data Access Layer
Business Logic Layer
Presentation Layer
SharedKernal สำหรับบางอย่างมันใช้ร่วมกันหลาย ๆ Layer
ไม่ต่อกันแล้วเหรอ ?
ที่ใดมีรัก สักพักโปรแกรมเมอร์หนีกลับบ้าน T_T
Tavon Kob Seesenpila
เมื่อเช้าหมาข้างล่าง เห่าผม โฮ่งๆๆๆ ผมก้มหน้ามองลงไปดู จากชั้น 4
แล้วก็นึกว่า เจ้าหมาเอ๋ย เห่าไปก็เหนื่อยเปล่า เพราะยังไงซะ
เราก็ไม่ได้สนใจเสียงเห่าของเจ้าหรอกนะ
แล้วผมก็มานั่งทำงานต่อ เขียนโค้ดเล่นไปเรื่อยๆ
ส่วนหมาตัวนั้น มันก็เห่าต่อไปของมัน เออแปลกดีนะ
นี่หมาสมัยนี้ มันเห่าได้แม้กระทั่งคนอยู่บนตึกสูงๆ เลยเหรอเนี่ย
ว่าแล้วมันก็คงเจ็บคอนะ แหงนขึ้นมา แล้วเห่า ฮ่าๆๆๆ
เนื่องมาจากดราม่าโปรแกรมเมอร์เมื่อเช้า
ไอดอนผมครับ
olo
นี่มันคืออัลไล? เรามาโผล่ที่ไหนกันนี่?
ที่นี่คือบอร์ดโม่งเราสามารถโพสต์สิ่งต่าง ๆ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทำให้ความเห็นไม่โอนเอียงตามชื่อคนตอบ
และสามารถใส่ความเห็นได้เต็มที่กว่า
ขายครีมค่ะ ใครสนใจทำงานจากบ้านเชิญติดต่อได้นะค่ะ
Tavon Kob Seesenpila
คุณกำจัดผมออกจากวงการไม่ได้หรอ เพราะผมทองแท้ไม่แพ้ไฟ
จากประโยคนี้เห็นถึง ความเย้อยิ่งและความใฝ่สูงคิดว่าตัวเองเก่งหนักหนา เก่งหนักแต่ไม่รู้จัก restful คืออะไร โอ้อวดสร้างภาพ ตีราคาตัวเองให้สูง กบในกะลาชัดๆ คิดว่าตัวเองมีผลงานเยอะ แล้วเก่ง เจอคนจริงๆ เข้าไปไม่เห็นตอบคำถามเขาได้ เก่งแต่หน้สเฟสตัวเอง หลอกแดกตังค์จากเด็กๆ ที่หัดเขียนโปรแกรม สุดท้ายได้แต่ workshop ที่ไม่มีแม้แต่ที่มาที่ไปและหลักการ คำพุดประจำตัวว่าตัวเองทำงานเพื่อประโยชน์ไม่หวังเงิน และ ไหนอะผลงาน , และชอบบอกตัวเองทำโน้นนี่คนแรกของปประเทศ แต่ทำไม่มีใครรู้จักชื่อ ไม่เห็นโด่งดังละ
ตาสว่างล่ะ
อยากเขียนเกมด้วยอันเรียว 4 อะ เริ่มต้นยังไงดี
โหลดโปรแกรมมาแล้วมันจะสอนวิธีใช้ให้แบบเรียลไทม์เลย สะดวกดี เข้าใจง่ายด้วย สมัยตอนใช้ UDK กว่าจะใช้เป็นต้องนั่งอ่าน Doc เป็นเดือนๆ ไม่รวมกับต้องศึกษาภาษาสคริปของมันอีก
คุณคิดยังไง เมื่อเงินเดือนของคุณ ถูกเปิดเผยในที่ทำงาน โดยคนที่คุณเคยสนิทด้วย
https://blog.svpino.com/2015/05/07/five-programming-problems-every-software-engineer-should-be-able-to-solve-in-less-than-1-hour
ลองทำเล่นกันๆ กูลองทำแล้วข้อ 1-4 แป๊ปเดียวก็ได้ (แต่ข้อ 4 ติดบัคบางเคส) ส่วนข้อสุดท้ายคิดมาครึ่งวันแล้วยังตันๆอยู่เลย
เพื่อนโม่ง มีใครรู้จัก Microservice มั้ย
คือ อ่านแล้วไม่เข้าใจคอนเซปกับการทำงานมันเท่าไร
>>189 ตอนนั้นกูกำลังรีบปั่นให้ทัน 1 ชม. อ่ะมึง แต่กลายเป็นยิ่งพยายามเร่งตัวเองหัวยิ่งตันกว่าเดิม
พอย้อนกลับมาดูถ้าค่อยๆคิดมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่เห็นตอนแรก แต่พอเขียนส่วนคำนวณหลักๆเสร็จตอนจะ print ผลออกมาเป็นสมการมันต้องมาแก้วิธีส่งข้อมูลอีกนิดหน่อยเพราะไม่ได้คิดเผื่อดีๆตอนแรก
โม่งขอคำปรึกษา กุเพิ่งจบไม่รู้ทำงานไรดี
กะว่าจะเริ่มจากโปรแกรมเมอร์เห็นแม่งคนรับเยอะดี เฝื่อไม่ไหวจะได้ออกไปทำตำแหน่งอื่นได้ คือตอนเรียนกุก็ไม่ได้เกลียดเขียนโปรแกรมไร แต่กุเป็นคนทำงานช้าไง
โปรเจคกุแม่งแบบไม่เข้าพวกไหนในนี้เลย งานสายเกี่ยวกับคอมสำหรับคนพึ่งจบมีอันไหนน่าได้ประสบการณ์เยอะบ้าง
>>194 ใจมากเพื่อน(หรือพี่โม่ง)
เรื่องทำงานช้าคือเป็นมาแต่เด็กแล้วค่อนข้างแก้ยาก ส่วนเรื่องเรียนรู้ ส่วนใหญ่กุอ่านเองไม่ได้ถามใครเท่าไหร่
กุสมัครงานไปแต่ที่ๆเขาเขียนรับเด็กจบใหม่ บางทีตอนกุสมัครไปเห็นเขาเขียนต้องการความรู้เกี่ยวกับด้านนี้ๆ ก็ไม่รู้เขาหวังจากกุลึกขนาดไหนถึงเรียกว่ารู้ด้านนี้
ตอนเขียนresumeกุไม่กล้าโฆษณาว่าถนัดด้านนี้ๆ
>>195 กู >>193 เองนะ เล่า ปสก ให้ฟังละกัน
แรกสุดกูเป็น Product Support ของ IBM (Lotus Application) ซึ่งจะข้ามแม่งไปเพราะคงไม่เกี่ยวกับมึง ต่อมากูมาสมัครบริษัทนึงเป็น PGM ประจำ ได้เงินเดือนไม่มากพอกินพอใช้พอส่งกลับบ้านบ้าง (+เก็บนิดๆ) ทำงานสบายหน่อยเพราะไม่ค่อยมีคนกดดัน โดนจี้งานบ้างแต่ก็ทำไปเรื่อยๆมีดีเลย์อะไรก็หาเหตุผลไปดีๆให้เขายอมรับได้ ไม่ค่อยโดนดุโดนด่าเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มีแต่งเร่งงานกับกดดันแต่ส่วนตัวกูคนชิวๆเรื่อยๆก็ไม่คิดอะไรมากทำไปช่างแม่งเอาให้เสร็จ
ต่อมากูลาออกมาเป็น Outsource ให้กับอีกบริษัทหนึ่งเพราะเหตุผลหลักเลยคือเบื่อ ทำงานไม่มีความท้าทายไม่ทะเยอทะยาน สกิลขึ้นช้าแถมยังถดถอยเพราะต้องทำเอกสารมากกว่า Coding (ตอนบริษัทเก่ากูทำแบบเขาจ้าง Outsource มาช่วยด้วย) แล้วที่ใหม่ให้เงินเยอะมากๆแลกกับที่มึกรู้ดีคือ Outsource มันไม่ค่อยมีสวัสดิการ (มีค่ารักษาพยาบาลให้ปีละหมื่นแค่นั้น) วันหยุดลาคือโดนหักเงิน ทำงานช้าโดนด่า โดนขู่ว่าจะให้คนอื่นมาทำแทนต่างๆนานา ด่าต่อหน้า ด่ากลางออฟฟิศแบบกลาง พนง คนอื่นเลย แต่ด้วยความโชคดีของกูคือเรียนรู้ไวเลยแก้ไขอะไรๆตามความต้องการลูกค้าได้ค่อยข้างทันที แต่ก็เจอแบบเห็นว่ากูทำได้ก็อยากได้อะไรที่มันดูเทพดูพิศดารมากกว่า Simple แบบทำ Report Excel ก็ใส่สูตรใส่กราฟใส่เหี้ยอะไรมากมายเวลา Generate ออกมา แถมให้ออกไปเป็น PDF ต่ออีกงี้
ปัจจุบันกูก็ยังอยู่ไอ้ที่ Outsource ต่อเนี่ยแหละ เพราะยังพอทนอยู่ได้ แลกกับความสบายในอนาคตและการใช้เงินในปัจจุบันเอาล่ะมั๊ง
กุโม่งจบใหม่เอง
>>196 มึงชี้ผิดป่ะ ตกใจหมดเลยนึกว่าจะมีคนสวมโม่งเป็นตัวกุ
เดี๋ยวนี้ตำแหน่งทางitนี่ใช้outsourceกันกระหึ่มใช่มะ เห็นมีหลายบ.จัง
จริงๆมีบ.outsourceเรียกกุไปทำระยะเวลา 2-3 เดือน แต่บอกปัดไปแล้ว ไม่ขอลงลายละเอียด เพราะกุรู้สึกวงการนี้มันแคบ บ.นั้นจำกุได้แน่เลย เด๋วกุโม่งแตก
หลักๆคือกุไม่มีสโคปว่าอยากทำไร ตอนเรียนกุก็กลางๆ ไม่ได้เกาะกลุ่มอย่างชาวบ้าน ตอนเรียนวิชาเลือกเลือกวิชาแปลกๆดูน่าสนใจ เลยเหมือนเหวี่ยงแหเลย
>>197 เออกูชี้ผิด กูเป็นคนเดียวกับ >>194 >>196 เอง
บริษัทส่วนใหญ่มันไม่เลี้ยง PGM ประจำไว้เหตุเพราะค่าตัวแพงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาจ้าง เพราะเฟส Develop จริงๆมันใช้เวลาไม่นาน (พวก SA เก็บ Req ทำ Data Model วาดผัง DB วาด Flow นานกว่าเยอะ) ส่วนใหญ่มีไว้ประปรายไว้ทำ CR เล็กๆหรือแก้ Bug มากกว่า ถ้าจับ Project ใหม่ยังไงก็ต้องมี Outsource อ่ะจ้างมาทำแป๊บๆคุ้มกว่าเลี้ยงไว้เองเยอะ
วงการนี้ไม่แคบ แต่บริษัทดังๆในวงการ IT มันก็รู้จักกันหมด (เช่น Opti***, G-Ab**, Met**, C*S เป็นต้น)
เลือกเส้นทางที่อยากเป็นก่อน เพราะทำงานไปไม่มีอะไรง่ายหรอกทุกสาขาแหละ ถ้ามึงท้อคือจบละ
>>198 ใจมากรุ่นพี่โม่ง ตอนแรกกุนึกว่าเข้ามาถามในห้องนี้นึกว่าจะเงียบเหงาไม่มีคนมาตอบกุแล้วซะอีก
มิน่ากุเห็นบริษัทที่บางอันลงท้ายด้วย solution เปิดรับกันเต็ม ที่แท้มันคือ Outsource
เรื่องเส้นทางทำงานนี่กุโล่งมาก ครั้งจะสมัครในสายที่กุไม่เคยเรียนก็กลัวเค้าไม่รับ ส่วนสายพวกที่เคยเรียนมาก็แทบไม่มีรับกันเท่าไหร่ เลยเหลือ ไม่พวกโปรแกรมเมอร์ ก็สายเทสให้สมัคร
>>200 จะเรียกสายก็บอกไม่ถูกว่ะอย่างที่กุบอกข้างบนว่ากุลงหว่านแหไปหมด
ตอนเรียนวิชาเลือกลง image,HW ,AI ,oop, cg ที่เรียนopenGL ในขณะที่เพื่อนยังลงnetworkเพิ่มอีกตัวไว้กันเหนี่ยวกุไม่ลงเลยจ้า
ตอนฝึกงานก็ทำเทสนิดหน่อยแล้วก็เขียนโปรแกรมยิงhttpที่เขามีไว้ให้ป้อนค่าจากtestcaseที่มี
ตอนโปรเจคจบทำโปรเจคอิมเมจ
ภาษาพวก Java, .Net, C# ก็ได้แหละ แต่ไม่ได้แม่นlibแบบเขียนแล้วไม่ดูเลยได้ เพราะศึกษาเพิ่มมาเอง
Python,c shell,Linux เคยแค่ผ่านๆ คืนไปหมดแล้ว
กุเลยบอกไม่ถูกว่าตัวเองสายไหนกันแน่
เพราะเขียนโปรแกรมก็ได้แหละ Networkกุได้แต่ทฤษฎี6เลเยอร์ database เรียนแค่ mysql ตัวเดียว SWกุยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เทพไร HWก็แทบไม่ได้เขียนลงบอร์ดเป็นจริงเป็นจริง
ยิ่งเขียนยิ่งสิ้นหวังตัวเองหว่ะ OTZ
>>204 ขอบคุณมาก กุซาบซิ้งใจมากที่มึงมาคอยตอบกุชะมัดเลยว่ะ
กุคิดมากไปซินะจะได้แนวทางการโปรยใบสมัคร กุโปรยมาตั้งแต่หลังปีใหม่แล้ว มีเรียกไปสอบแค่ที่เดียว (ไม่นับที่ Outsourceกับอีกที่แม่งให้สอบรIQ,EQกับEngอย่างงี้) สงสัยกุต้องทำresumeใหม่ซะแล้ว ถ้ากุได้งานแล้วเดี๋ยวกุจะมาบอกอีกที (คงไม่บอกชื่อบ.เดี๋ยวโม่งแตก)
สมัครอะไรก็สมัครไปเหอะ เดี๋ยวมึงก็ปรับตัวได้เอง ทำไปสักพักมันจะจับจุดได้แล้วก็ชิน ถ้ามึงพอมีความสามารถในการพลิกแพลงหรือปรับตัวเองให้เข้ากับแวดล้อมหรืองานได้น่ะนะ
เรื่องสอบหลายที่ก็มีสอบอยู่แล้ว กูสมัครทุกที่ก็มีสอบทุกที่นะ Attitude, Eng, Programming พื้นฐาน (อันหลังสุดตอนเป็น Product Support ไม่มี) แล้วก็สัมภาษณ์
แค่นี่โม่งกูก็แตกชิบหายรู้กันหมดละสัส
กูพูดไปงั้นแหละไม่มีใครรู้จักกูหรอก
ป.ล.บริษัทกูมีพนักงานเข้าใหม่ 3 คนวันจันทร์หน้าไม่ใช่ว่ามึงเป็น 1 ในนั้นนะ
ไม่หรอก กูไม่ได้โด่งดังห่าไรขนาดนั้น
ช่วงนี้ SAP คนขาดมั๊ง
ถามเพื่อน (พี่) โม่งหน่อย กูกำลังจะเรียนจบละตอนแรกกูรู้สึกว่าตัวเองอยากทำงานประเภท System Admin ประมาณว่าคอยดูแลระบบ (?)
คือต้องทำไงถึงได้ไปทำงานแบบนั้นได้วะ คอยดูระบบใหญ่ๆ เนี่ย
เท่าที่ลองหาสมัครงานกูเจอแต่โปรแกรมเมอร์
ตอนนี้กูเริ่มลังเลว่ากูอาจไปทางโปรแกรมเมอร์ก่อนดีไหม หลังเรียนจบ อย่างน้อยกูคงไม่อดตาย
เขียนโปรแกรม ถ้าให้เขียนแก้ปัญหาพวกวิชาอัลกออันนี้กูโอเคเลย แต่พอเป็นแอปจริงพวกนี้กูเน่าหมดเกือบทุกโปรเจค
กูควรลองหางานแบบก่อนไหนดี เทส รายงานบั๊ก อันนี้โอเคไหม แล้ว DevOps นี่เป็นไง
ทำใจเพราะกูก็เรียนทางการกออกแบบระบบเหมือนกันสุดท้าย ในไทยไม่ได้ใช้ฟะเพราะ ประเทศไทยยังไม่พร้อมเหมือนกะประชาธิปไตยแหละ สนแต่โปรแกรมเมอร์ กดต๊อกแต๊กๆ
ไอ้งานที่เมิงบอกเขาเหมาให้โรแกรมเมอร์มันทำหมดนะเมิง เริ่มมาเมิงต้องเป้ฯโปรแกรมเมอร์ต๊อกต๋อยอยู่ดี
>>211 Admin ส่วนใหญ่เขาต้องการคนมีประสบการณ์แล้ว เพราะต้องดูระบบไม่เป็นไม่ใช่ใครจะเข้าไปดูก็ได้ ต้องรู้พวกชุดคำสั่งบน Linux Unix AIX Windows เยอะๆรวมถึง Monitoring Job กับเช็ค Database เป็นด้วยแล้วก็ทำ Report รายงาน
งานสายคอมเบสิกสุดก็ PGM หลายๆงานเข้าก็มักให้ PGM เป็นคนทำอยู่แล้ว
>>210 ไม่โด่งดังไม่ได้หมายความว่าไม่มีนะมึง เหมือนกุบางทีชอบไปส่องเฟสชาวบ้านว่ามันทำไรกันแต่ไม่ได้อิจฉาไรมันแค่อยากรู้ว่ามันทำอะไรชอบแชร์จัง
>>211จากการสังเกตพวกรุ่นเดียวกัน ถ้ามึงไม่มีความรู้สายnetworkหรือไม่เคยจับโปรเจคพวกนี้มาด้วยไม่น่าจะได้นะ ไม่รู้ไปทำsupportก่อนค่อยิัพเกรดตัวเองกันขึ้นมาได้รึเปล่า
จากโม่งจบใหม่ข้างบน
ถ้ามึงเป้นโปรแกรมเมอร์ เขาจะให้เมิงทำอะไรฟะ ทำเกม? ทำโปรแกรมซัพพอร์ต ดูแลระบบ พัฒนาโปรแกรมพิ่ม ?
จนถึงตอนนี้กูว่า IT ถ้าไม่ได้ทำบริษัทใหญ่ๆ เมิงก็จะได้เป้นแค่ เจเนรัล เบ๊โปรแกรมเมอร์แค่นั้นแหละเมิง
ไอ้ที่เรียนๆ มาแบบว่า มีคนมาวางระบบให้ เมิงต้องเขียน ให้รับกันนะ เบรนสตรอมกันหาทางวิเคาระห์ ในไทยแม่ง ไม่มีหรอกเรื่องแบบนี้
จาก ปสก ตรง
บริษัทใหญ่ แต่ไม่ใช่บริษัท Software = เข้าไปทำงานเอกสารกับคุม Outsource และเป็น SA
บริษัทใหญ่ที่เป็น Software Solution = ไปเป็น Outsource ให้ชาวบ้าน เวลสกิลทุกด้านพุ่งพรวดๆพร้อมกับโดนกดดันหูดับตับไหม้
บริษัทเล็กที่เป็น Software = รับ Req ลูกค้ามาทำกันเองภายในบริษัท เวลสกิลพุ่งช้ากว่าข้างบนแต่ Stable กว่า ชิลๆกว่า
ถามหน่อย
สมมติว่ากูไม่ได้จบด้านคอมโดยตรง แต่เขียนโปรแกรมได้ แม่นตัวภาษา แต่ไม่ค่อยรู้พวก API และ library ใหม่ๆ ที่ชาวบ้านเขาใช้กัน ไม่มีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทมาก่อนเลย แต่เคยทำโปรเจ็กต์อิสระเองกับฟรีแลนซ์อีกนิดน่อย ภาษาอังกฤษดี
กูพอจะหางานประจำประเภทไหนได้บ้างไหม?
การสอบ cert ทั้งหลายนี่ช่วยไหม
>>217 สู้ๆละกัน มีไรก็มาถามได้จะพยายามมาตอบบ่อยๆ
>>218 API และ Lib เรียนรู้ได้ (Search ไม่ก็เปิด Definition ดูเอา) แต่ส่วนใหญ่แต่ละบริษัทที่เป็น Software โดยตรงจะมี Framework ส่วนตัวให้ใช้กับเรียนรู้อยู่แล้ว เจอบ่อยๆคือพวกจัดการ String เช่นแปลง Date Format เอย ตัดคำเอย ไม่ก็ลองถามรุ่นพี่ที่เขาอยู่มาก่อนดูว่าพอรู้ไหมก็ให้เขาสอนให้
ภาษาอังกฤษดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะไปถามตาม Commu พวก Stackoverflow เอาก็ได้ ทำงานกับต่างชาติก็ดี
ลำบากแค่ไม่จบสายคอมโดยตรงพวก HR ที่ไม่ได้รู้สึกฝั่ง PGM มาก่อนจะคัดใบสมัครออกเพราะเห็นว่าไม่ตรงสาย ซึ่งพวกนี้เขาดู Resume แบบผ่านๆไม่เกินคนละ 1 นาทีอยู่แล้ว (นอกจากจะมีอะไรโดดเด่นออกมาจริงๆ) อาจจะหางานที่ไปเป็น PGM ยากหน่อย
ส่วน Cert ช่วยได้มากถ้าเป็นสาย Network (เช่น CISCO CCNA เป็นต้น) ส่วนสาย PGM แทบไม่ช่วยอะไรเลย กูมี JAVA SE ของ Oracle ใบนึงเงินเดือนก็เท่าเดิม แต่ได้สอบเพราะบริษัทออกให้
ถึงโม่งจบใหม่ที่หวังจะอยู่วงการโปรแกรมเมอร์
มึงทำใจหน่อยละกันถ้ามึงไม่มีผลงานหรือเทพในระดับนึง บางที่แม่ง แค่มึงรู้ if else แค่นี้แม่งไม่พอนะสัด มึงต้องรู้เรื่อง OOP หีหอยอีกมาก
รู้พื้นๆผิวๆก็ไม่ได้ ตอนสมัยกูจบใหม่แม่งกูตอบไป แม่งก็ถามจี้อีก ยิ่งตอบยิ่งถามลึก จนกูเกือบเลิกหางานโปรแกรมเมอร์ละ กูกลับมานอนร้องไห้เลย
แต่กูอาจจะโชคร้ายเจอคนสัมภาษเหี้ยๆด้วย กูเรียกเงินเดือนแค่หมื่นห้า แม่งถามอย่างก่ะกูเรียกห้าหมื่น ควยจริงๆ
เฮ้ยโม่ง กุคือโม่งจบใหม่ที่จิตตกข้างบน
กุไปสอบสัมภาษณ์ 2 ที่ ที่เรียกกุมาแล้ว มารายงานให้พวกมึงรู้
ที่ 1 ข้อสอบมี 2 ข้อให้เขียนโปรแกรมเป็นรูปไหนก็ได้ กับสร้างตารางฐานข้อมูล
ข้อสอบแม่งไม่ยากเวลาเหลือๆ จนกุเพิ่มระดับความเหนือให้ แต่ฐานข้อมูลกุไม่แน่ใจว่าเขียนถูกฟอลม์การเขียนมั้ย แต่ดีไซน์ได้
ส่วนตอนสัมภาษณ์มีภาษาอังกฤษซึ่งโดยรวมกุสัมภาษณ์ได้กากถั่วมากๆเพราะภาษาอังกฤษห่วย
แถมไม่ได้คุยกับฝั่ง dev ด้วย เห็นว่าถ้าผ่ารจะเรียกสัมภาษณ์อีกรอบ
ซึ่งดูจากรูปการณ์แม่งไม่ได้แน่ๆhrคงไม่ให้ผ่าน
ส่วนที่ 2 ข้อสอบเป็นคำสั่ง SQL รัวๆกุทำไปแบบไม่แน่ใจคำสั่งเท่าไหร่แม่งลืมหมดแล้ว ส่วนสัมภาษณ์ภาษาไทย แบ่งมาเป็นคุย hr ทีนึง dev ทีนึง
ที่นี่มีถามกุเอาเงินเดือนเท่าไหร่(กุกรอกไม่ชัดด้วยมั้ง)
โดยรวมที่นี่ตอนสัมภาษณ์กุโอกว่าที่แรก คิดว่าน่าจะได้แต่ไม่กล้าฟันธงว่ะ เพราะที่ๆแล้วคนสัมภาษณ์เป็น dev ทั้ง 2 คน คนนึงชมกุด้วยยังหายต๋อมไปเลย
พอดีข้างบนกุพิมพ์เตรียมระหว่างนั่งรถมาแล้ว ขอตอบข้างล่างต่อแล้วกัน
>>220 ขอบคุณโม่งรุ่นพี่หมายเลข2มาก กุยังไม่เจอถามoopเดี๋ยวถ้ากุต้องร่อนใบสมัครไหนแล้วโดนเรียกจะไปอ่านทวน คืนอ.ไปหใดแล้ว 555 มึงทำให้กุนึกถึงที่แรกกับหมายเลข1ข้างบนเลยว่ะข้างบนที่กุไปสอบมาก
คือที่แรกเขาถามเลยว่าทำไมกุตอบคำถามนี้ๆแทบจะทีละข้อ(แม่งเขียนเป็นengอีกแล้ว)แล้วโจทย์มีคำเช่น เทสเคส เวกเตอร์ ไรพวกนี้แล้วกุไม่ชัวคำถาม(แม่งยิ่งอ่านอังกษแล้วมึนๆอยู่)
ส่วนอีกที่คือหมายเลข 1 ข้างบน พอกุกลับมานั่นอนคิดที่บ้าน คือเหมือนเขาถามล้วงกุเลย ทำไมกุเรียนได้เกรดไม่ดีงี้ (จริงๆแล้ว2.5มันเลวร้ายหรอวะ) พยายามให้กุเหมือนเอาเรื่องตัวเองมาพูดๆให้แม่ง
แล้วปกติกุไม่ชอบตีซี้เล่าประวัติให้ใครโดยที่แม่งฟังกุอย่างเดียว รู้สึกเหมือนถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวชอบกล แล้วตอนแนะนำตัวก็เหมือนมึงกำลังโม้ตัวเองให้ฟังหน่อยๆ
กุเกลียดเวลาให้กุแนะนำตัวเองถามคำถามค้นหาตัวเองกับกุ ยิ่งกว่าถามทำไมข้อสอบถึงตอนอย่างงี้ซึ่งเหมือนมึงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมากกว่า
ฉะนั้นตอนให้แนะนำตัวกุตอบแค่ชื่อนามสกุลจบจากไหนเต็มที่ก็โปรเจคซึ่งสั้นโครต
>>220 นี่เลยที่กูกังวล เพราะตอนฝึกงานกูเคยลองยื่นไปสามที่
ที่นึงนี่ HR ปัดกูทิ้งตั้งแต่เห็น resume กูเลยมั้ง เกรดกูไม่ค่อยสวยเท่าไร มีวิชาที่ดีและแย่
แต่ที่หนักกว่าคือ โปรเจคที่เคยทำมันแทบไม่มีอะไรเลย
เพื่อนกูที่ไปสมัครด้วยกันนี่บอกเขาดูสนใจโปรเจคที่ทำมาก ถามเกี่ยวกับโปรเจคซะส่วนใหญ่อะ
อีกที่นึงตอนสัมภาษณ์ถามเรื่อง OOP ได้ไหม ซึ่งตอนนั้นกูคิดว่าได้ระดับหนึ่งละ
แต่ก็ตอบเค้าดูไม่มั่นใจ ตอนนั้นเค้าสัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ เลยไม่ได้ให้ลองอะไรหรือถามอะไรลึกมาก
สุดท้ายเค้าคงไปดูเกรดมั้ง ซึ่งวิชาที่มี OOP ตอนนั้นเกรดกูกากมาก เพราะโปรเจคกูเน่าด้วยไรด้วย
แน่นอนว่าไม่รับ ฮา
ถึงตอนนี้กูคิดว่ากูกลับมาแม่นขึ้นกว่าเดิม แต่ก็คิดว่าถ้าโดนถามลึกนี่กูก็คงไม่รอดอยู่ดีอะ (เผลอๆ อาจโดนปัดทิ้งตั้งแต่เห็นเกรด)
รู้สึกเสียดายหน่อยๆ แฮะที่โปรเจคของแต่ละวิชากูไม่ตั้งใจเท่าไร
กูก็ยังกังวลอยู่ว่าเรียนจบกูอาจได้ไปเป็นแค่ support หรืออื่นๆ
กลัวสกิลไม่พัฒนาอะไม่ใช่ไร (กูโม่งที่กำลังเรียนจบ และอยากทำงานเก็บเวลเยอะๆ ก่อน)
สำหรับพี่โม่งที่จบแล้วกำลังหางานอยู่ สู้ๆ เว่ย เดี๋ยวอีกเดี๋ยวกูจะเริ่มวิ่งหางานบ้างเหมือนกันละ (ตอนนี้พึ่งลองสมัครไปที่เดียว)
ปล.กูก็ไม่ค่อยชอบเล่าประวัติตัวเองเหมือนกัน บางมุมมันจะดูเหมือนกูกำลังโม้อยู่อะ
หายไปหลายวันเลยนะพวกมึงหนิ กูก็มานั่งรอตอบทุกวัน
อย่าไปซีเรียสเรื่องสอบ ส่วนใหญ่จะถามที่เป็นพื้นฐานทั่วไป ถ้าจบใหม่ไม่น่าจะยาก ไอ้ที่จบไปแล้วจะมาทำอ่ะยากกว่าเพราะแม่งลืมทฤษฎีไปหมดแล้วเป็นแต่ปฏิบัติ
OOP กับ SDLC สองตัวนี้ต้องจำขึ้นใจเพราะใช้ตลอด
เกรดจบกูไม่ถึง 2.5 ด้วยซ้ำ F ก็ติดหลายตัว เรียนก็ไม่จบตามเกณฑ์ กูยังมาถึงจุดนี้ได้เลย เก็บสะสมประสบการณ์เอา
แต่ที่เขาชอบดูโปรเจคกันเพราะมันคล้ายกับมาจากการทำงานจริงๆไง เกรดวิชาแม่งเดี๋ยวก็มีงาน มีเช็คชื่อ มีแลป หรืออาจารย์ใจดีให้ง่ายอีกวัดยากกว่า
อยากจะบอกว่าไอ้ที่เรียนมาอ่ะ ไม่ใช้หรอก เขาเองก็คาดหวังแค่มึงเข้ามา ปรับตัวได้ เรียนรู้ไว แค่นั้นแหละไม่สนกับในมหาลัยหรอก
เริ่มแรกมึงต้องจับปลาตัวแรกให้ได้ก่อน แล้วต่อๆไปมึงจะเป็นแล้วอะไรๆจะง่ายขึ้น (เช่นสมัครงานครั้งต่อไปเขาก็ไม่ดูที่มึงเรียนมาแล้ว ดูจากงานเก่าที่มึงทำมากกว่า)
เห็นพูดเรื่องหางานแล้วเหนื่อยใจ
กูควรไปเขียนโปรแกรมลงแอ็ปสโตร์แทนขายดีไหมวะ
>>223 พยายามเข้า ถ้ามั่นใจจบ 100℅ กับมีเวลาวิ่งยื่นวิ่งไปมาลองสมัครเลย
ขนาดตอนนี้ม.กุยังขึ้นสถานะกุเป็นนักศึกษาอยู่เลย (พอดีกุจบเทอม1อ่านะ) ว่าแต่พวกมึงทำโปรเจคจบกันเสร็จแล้วหรอวะ
ตอนฝึกงานกุก็ได้เป็นคนท้ายๆเหมือนกัน เกือบจะรำคาญส่งฝึกงานกับฝ่ายเทคโนโลยีในม.แล้ว
ถ้าเพื่อนมึงเก่งสัส แนะนำว่ามึงอย่ายื่นสมัครงานเหมือนๆกัน ถ้าเขารับคนเดียวมึงเจ็บจึกเพราะมึงจะไม่ได้เข้าไปทำ แต่ถ้ารับทั้งคู่มึงจะกดดันที่เพื่อนแม่งเก่งกว่า (จะไม่เป็นถ้ามึงมีจิตใจอันประเสริฐซึ่งยากว่ะ)
>>224 โทดทีๆที่ทำให้มึงต้องเข้ามาเช็คห้องร้างๆทุกวัน พอดีหลายวันก่อนมันไม่มีประเด็นไรใหม่พูดไงมึง ก็เลยเงียบไปแต่เข้ามาเช็คเรื่อยๆ แสดงว่าพวกมึงก็ซุ่มอ่านเหมือนกันซินะ 555
กุก็จบช้าไปครึ่งปีเพราะขี้เกียจทำโปรเจคจบ (คู่โปรเจคแม่งแทบไม่ทำไร) แต่กุไม่ได้ซีเรียสเรื่องจบช้า หรือเคยF(กุไม่เคยดรอป มีFแค่ตัวเดียว ตอนนั้นโครตช๊อค) แต่เจ็บตรงรู้สึกว่าตัวเองเป็นสินค้าไร้มูลค่าตอนสมัครงานนี่ล่ะ เหมือนกุผิดที่จบใหม่งั้นล่ะ
>>225 ท่าจะยากนะมึงถ้าโซโลไปคนเดียว บอกตรงๆตั้งแต่ใช้แอนดรอยมา ยังไม่เห็นแอปคนไทยดีๆเท่าไหร่เลย
กุถามหน่อย ปกติเค้าไม่ฝึกงานกันก็ได้หรอวะกัน เห็นบางที่ถาม งง
กู >>220 นะ
>>223 มึงเล่าแค่สิ่งที่ถนัด ไม่ถนัดก็พอแล้ว เล่ามากคนฟังก็รำมึง คิดง่ายๆอะ ถ้ามึงเป็นคนสัมเด็กใหม่ มึงอยากฟังเรื่องอะไรบ้าง มึงก็พูดตามนั้น
แต่ติดตลกบ้างก็ดี แม่งช่วยเปลี่ยนบรรยากาศเครียดๆให้กันเองจนกรรมการมันเริ่มเปิดใจให้มึงได้ แต่ดูหน้าแม่งด้วยนะ บางคนแม่งก็ไม่ฮาจริงๆ
แล้วถ้ามึงกลัวว่าพูดสั้นนะ มึงเอาโปรเจ็คมึงอะมาบรรยายเลย บอกว่าอะไรจากไหนยังไง ถ้าคนสัมมึงแม่งเป็นนะ มึงก็แต้มบวก ถ้าแม่งไม่เป็นยิ่งหวานเลย
กูเคยไปสัมที่นึง กรรมการทั้งห้องแม่งไม่มีใครรู้เรื่องเขียนโปรแกรมจริงๆเลยไอสัด แบบเอา HR มานั่งอะ กูแม่งก็เล่าไปๆ เล่าแต่ไอเรื่องดีๆ
เรื่องคอนเซ็ปนะ โม้ไปเรื่อยๆอะ แม่งกลายเป็นคิดว่ากูเก่ง รับเฉยเลย แถมต่อรองเงินเดือนได้ด้วยนะ (ตอนนั้นงานที่แรกกูเลย start 23k)
แต่กูก็เขียนได้จริงๆนะ แค่ไม่แม่นทฤษฎีเท่าไหร่
>>223 กูเข้าใจมึงเลย กูเขียนโปรแกรมได้ท็อปๆของรุ่นนะ แต่กูเสือกมีปัญหากับอาจารย์ โดนแม่งแกล้งตอนสอบปลายภาคได้ 0 เลยเย็ดเหี้ย เกรดหายไปเลยอะ 40 คะแนน ซึ่งจาก ปสก กู กูค้นพบเทคนิคทำให้เกรดมึงหมดความหมายเว่ย มึงแค่ยอมไปทำงานกับ บ เล็กๆ เงินเดือนกากๆซักปี แล้วพอมึงมีประสบการณ์ + มีผลงานซักนิดที่โชว์ได้เท่านั้นล่ะ มันจะมีพวก HR โทรหาจีบมึงบ่อยๆแน่นอน ที่สำคัญ เริ่มกับ บ เล็กๆแม่งดีอย่างนะ ยิ่งพวก บ ตั้งใหม่อะ คือมึงไม่ได้ทำแค่เขียนโปรแกรมแน่ๆ มึงอาจต้องดูฐานข้อมูล ทำหน้าเว็บให้เขา หรือแม้แต่ลงวินโด้ด้วย คือมึงจะเป็นรอบด้านกว่าทำ ม ใหญ่ๆที่ทำงานซ้ำๆ พออยู่ไปซักพัก มึงก็เขียนไลบรารี่ใช้เอง จนมึงแทบไม่ต้องทำอะไรใหม่ๆแล้ว จาก ปสก ที่กูอยู่ บ เล็ก แม่งเขียนแทบทุกอย่างเลยสัด php html css c++ obj-c mssql ชงกาแฟ ส่งพัสดุ นวดไหล่หัวหน้า บลาๆๆ
>>225 เขียนแอปแม่งไม่ง่ายนะมึง กูนอนเอาตีนก่ายหน้าผากคิดมาครึ่งปีละ กูยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเขียนแอพไรให้คนโหลดดี
>>227 ไม่แน่เสมอไป เพื่อนกูกากกว่ากูอีก แต่เขาเสือกรับเพราะแม่งตอบคำถามๆนึงได้(ไม่เกี่ยวกับโปรแกรมมิ่ง) ในขณะที่กุตอบผิด
ส่วนเรื่องฝึกงานมันขึ้นอยู่กับ ม แล้วก็ คณะ มั้ง กูเห็นเพื่อนกูเรียนเอกภาษา แม่งก็ไม่ได้ฝึกงานนะ
กู >>223 เอง
มีพี่โม่งมาให้กำลังใจเยอะจนกูตกใจ 555 ขอบคุณมากๆ
รู้สึกมีกำลังใจในการสมัครงานขึ้นมาเลย
กูกะจะลองสมัครกับบริษัทเล็กๆ ก่อนเหมือนกันเพราะอยากเก็บประสบการณ์หลายๆ ด้านก่อน
แต่ตอนนี้ขอเวลาพยายามลุยกับโปรเจคก่อน เผื่อจะมีอะไรไปพูดเวลาสัมภาษณ์มากขึ้น (ตอนนี้ยังไม่ถึงไหนเลย)
เออ นึกขึ้นได้ กูก็มีความทรงจำไม่ค่อยดีตอนฝึกงานพร้อมเพื่อนด้วยนะ 55
ได้ไปที่เดียวกันกับเพื่อนที่เป็นหัวแถวของรุ่น คือก็ไม่ได้เกลียดมันนะ แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไร (แค่เกือบลืมชื่อเอง)
แต่วันแรกที่ไปฝึกคือพี่เค้าแค่คุ้นๆ หน้า แต่จำไม่ได้ใครเป็นใคร เค้าเลยถามเกรดว่าเกรดเท่าไร (จะได้จำได้ว่าเราคนไหน)
คือกูโอเคนะที่จะบอกเกรดเค้าแบบไม่อาย แต่รู้สึกเหมือนเค้าจำกูด้วยเกรดอะ ละเพื่อนที่ฝึกด้วยแม่งก็หัวแถวของรุ่นไง ...
กูแบบ ... เชี่ยยยยยยยยยยย โคตรเหมือนเศษฝุ่น แทบอยากกลับบ้านตอนนั้นเลย ช่วงสัปดาห์แรกกูรู้สึกไร้ค่าจริงๆ
แต่ฝึกไปก็โอนะ พี่เค้าก็ใส่ใจกูดี ทำงานไปกูก็รู้สึกว่าเพื่อนหัวแถวรุ่นมันก็ไม่ได้เพอเฟคหรอก มีด้านที่กูดีกว่าบ้างไรบ้าง (นิดนึง)
ถ้าให้ไปพร้อมเพื่อนในรุ่นอีกนี่อันนี้กูคงคิดหนักจริงๆ (ยกเว้นเพื่อนในกลุ่มที่รู้ฝีมือกันอยู่แล้วอันนี้กูโอเค)
ปล.กูจะพยายามมาอ่านแถวนี้ให้บ่อยขึ้นนะ 555 ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ โม่งมาก
แปลว่ากุไม่ได้คิดไปเองสินะว่าบางที่ไม่ต้องฝึกงาน
>>228>>231 คุยอย่างงี้แล้วกุคันปากอยากจะเล่าให้ฟัง
มีคนในรุ่นคนหนึ่งที่กุไม่ชอบขี้หน้าเพราะนิสัยเหมือนเกาะชาวบ้านเก่ง+ดูร่านเวลาคุยกับผู้ชาย ถ้ามึงมีประโยชน์ไรกับมันนี่เสียงหวานเลย กุเลยไม่ค่อยชอบพวกมันทั้งกลุ่ม
หนึ่งในเหตุการณ์ที่เจอกับมัน(ปกติกุจะพยายามหลบๆมัน ไม่ค่อยจะเจอกับมันหรอก) เป็นวิชาเขียนโปรแกรมแล้วมันมาขอลอกโค๊ตกุ ซึ่งมันมาเอ่ยปากกับกุๆให้ไป หลังจากนั้นมันเดินไปที่โต๊ะมันล็อกอิน user password กุก็อบไปเฉยๆ ทั้งๆที่กุไม่เคยบอกมันเลย หลังเลิกเรียนกุต้องกลับเปลี่ยน password เลย โครตเงิบ
หลายๆวิชา (ซึ่งมันโง่กว่ากุแล้วกัน) เกรดดีกว่ากุอีก อย่างวิชาที่กุตกก็มีกุคนเดียว (ไม่อยากจะพูดหรอกนะว่าอ.คนนี้เหมือนเค้ากดเกรดคนที่ดูเงียบๆเหมือนไม่สนใจเรียนหรือพวกดูไม่ค่อยเก่ง ซึ่งจริงๆแล้วแม่งเก่ง)
อย่างตอนคัดคนไปบ.ที่กุฝึกงานกุอยู่ชิดติดขอบเหตุการ์จริงเลย
เรื่องมีอยู่ว่าเขาจะเอา 3 คนแต่มีคนสมัคร 4 ซึ่งมี ไอ้เด็กไปแข่งค่อนข้างเก่ง กุ เด็กเรียนใช้ได้ค่อนข้างดี แล้วก็ตุ๊ดเก่งอิ้ง
ไอ้เด็กเก่งกับเด็กเรียนใช้ได้มันเป็นเพื่อนในก๊กเดียวกัน
ทีนี้สัมภาษณ์ทางสไกลทีละคนตามลำดับข้างบน ซึ่งคำถามมันเป็นคำถามเชิงจิตวิทยาแต่ยกเหตุการ์แหละ มันพีคตรงที่ว่าเขาถามว่าถ้าเรือรั่วมีคนนั่งจะจมทำไง(เป็นคำถามที่คนก่อนหน้าไม่โดนถาม) เด็กเรียนค่อนข้างดีมันตอบว่าให้ปล่อยไป กุนี่อยากจะเอาพายยางตบแม่ง
อย่างที่รู้กันมึงผลออกมาว่ามันไม่ได้ แต่พอดีตุ๊ดมันทิ้งไอ้นี่มันเลยได้ไป
ทีนี้ตอนฝึกงานตอนแบ่งแผนก ไอ้2คนนี้ก็ยังอยู่แผนกเดียวกัน เขียนโปรแกรมอีก
เป็นมึงจะรู้สึกไงล่ะถ้าเจอแบบนี้ แม่กุเสพมาม่าดูพวกมันอยู่ห่างๆ 555
>>229 ไม่ต้องบ.เล็กก็ได้ บ.ไหนที่รับมึงช่วงเศรฐกิจไม่ดี ไม่รู้ตอนมึงจบกุจะหางานได้ยัง 555
>>230 สู้ๆ มึงคงไม่ว่างมาตอบพวกกุเหมือนเดิมแล้วสินะ...
>>232 อ่าแล้วเหมือนกุตีความหมายไม่ชัด
กุหมายถึงถ้าไอ้เด็กเรียนใช้ได้ค่อนข้างดีมันไม่ตอบทิ้งให้เรือล่ม กุอาจจะได้ไปหาที่ฝึกงานใหม่อีกแน่
พูดมาตั้งนานไม่ได้บอกเลยว่ากุเป็นโม่งหญิง(อ้วน เพราะฉะนั้นฝันสลายไปซะ) เขียนโปรแกรมอยู่กลางๆของรุ่น แต่พอเทียบกับผู้หญิงค่อนข้างจะเก่ง เพราะผู้หญิงแม่งให้ผู้ชายช่วยเยอะชิปหาย
ส่วนเพื่อนสนิทกุ แม่งเขียนโปรแกรมเทพมาก แต่ซิ่วไปเพราะตกวิชาพื้นฐาน กุก็อาศัยมันเป็นคนสอนวิธีการเขียนแปลกๆนี่ล่ะ
ถ้าเพื่อนในรุ่นกุมาอ่านเจอแม่งโม่งแตกแน่เลยว่ะ 555
ว่างมาตอบอยู่ กูดูเรื่อยๆ เพราะนึกไม่ออกว่าจะเขียนยังไง
SA ก็ Design มาได้ Simple มากเลย ควย Logic เหี้ยอะไรก็ไม่ให้ เหมือนไปฟัง User Requirement แล้วจดใส่กระดาษมาให้เฉยๆว่าเขาต้องการอะไร ไอ้สัสแบบนี้กูไปนั่งฟังเองก็ได้ เงินเดือนก็เยอะกว่ากูด้วยนะ
บ่นไปงั้นแหละนั่งทำอยู่ เส้นตาย 19 นี้ตอนนี้ได้แต่จอเกือบเสร็จละ เหลือใส่ Logic Validate Field ว่าช่องนี้ๆๆให้เป็นตัวเลขเท่านั้นถึงจะอัพเดทได้ อะไรแบบนี้
>>235 กุขอถามโง่ๆได้ป่ะ ปกติเวลาเค้าเรียนlinuxเค้าเรียนไรกันวะ กุเคยแต่ลง linux ใช้คำสั่งลิสไฟล์งี้ 555 (คือรู้ว่ามันใช้ดูแลเซิฟได้แล้วยังไงต่องง)
>>236 มึงพูดถึง SA แล้วกุสงสัยว่าเดี๋ยวนี้ตำแหน่งสาย IT ทั้งหมดบ.กลางหน่อยเน้นภาษาหมดเลย คือมันได้ใช้จริงหรือแค่ถูไถอ่านออกก็พอวะ
ระหว่างที่กุกำลังโปรยใบสมัครโดยเฉพาะพวกตำแหน่ง SA QA SE นี่เจอแบบนี้เยอะเลย
กูโม่งบ่นงานเอง มาถึง Office ละเปิดโม่งก่อนทำงานเลยกู
>>237 หลักๆเลยกูเขียน Shell Script กับ Oracle Report แล้วยัดใส่ Linux ให้มันรัน
แล้วเน้นภาษานี่หมายถึงภาษา Programming หรือภาษาในการสื่อสารวะ อันแรกก็เน้นตามที่เขาอยากได้แหละว่าบริษัทพัฒนาด้วยอะไรอยู่(บางบริษัทก็มีหลายภาษา) ส่วนอันหลังนี่สำคัญมากเพราะบริษัทส่วนใหญ่ต้องติดต่อกับลูกค้า/User หรือแม้แต่พนักงานด้วยกันเองที่เป็นคนต่างชาติ อย่างบริษัทกูแขกเยอะมากเพราะเป็นบริษัทของสิงคโปร
โม่งแตกแน่นอนกู
>>234 มึงให้มันไปเจอลูกค้าอะดีละ คิดซะว่ามึงมีเกราะรองรับอารมณ์อยู่ เพราะถ้าโปรแกรมมึงมีบัคเหี้ยๆอะไรแบบนี้ ก็ส่งมันไปให้ลูกค้าด่า
แต่ถ้าแม่งไม่ทำไรเลยนอกจากเอาเอกสารมาโยนแปะ แล้วเดินหายไปเลยตลอดกาล แบบนั้นมึงโวยเหอะ
แต่กุว่าจริงๆแล้ว SA แม่งไม่จำเป็นเท่าไหร่มั้ง SE สำคัญกว่าอีก
>>239 สุดท้ายเดี๋ยวมันก็มาด่ากู จี้กูให้แก้ไง
SA สำคัญ ถ้ามันทำ Data Model หรือ System Flow มาให้ กูก็แค่ Code 9ามนั้นง่ายนิดเดียวไม่ต้องคิดอะไร แค่หา Code ที่ให้มันทำงานตาม Flow ได้หรืออัพเดทลง Database อะไร Field อะไรตามที่ SA ลิสต์มาให้ก็แค่นั้น(ง่ายด้วยไม่ต้องไล่หาเอง) แถมถ้าเป็นสูตรก็ต้องไปหามาให้ว่าจะเอาข้อมูลตรงไหนบ้าง มาทำอะไรกันบ้าง แล้วเราก็ค่อยมาเขียน PL ตามที่มันวางไว้ นี่คือหน้าที่ของ SA นะ(และเงินเดือนมันก็เยอะกว่า PGM อยู่แล้วไม่เถียง)
แต่ไอ้ SA หน้าหีที่มันแค่สั่งลอยๆเหมือน User ไม่หาหีแตดอะไรมาให้กูเลยเนี่ย ลาออกแล้วให้กูควบสองตำแหน่งรับเงินเดือนแทนมึงเถอะขยะเอ๊ย
วันนี้ถาม Parameter ที่จะเอามาใส่ใน Logic ว่าจะให้เช็คอะไรบ้าง ทักไปแม่งก็ไม่ตอบ แต่ยังเห็นนั่งอยู่โต๊ะอยู่นะ(ทำควยไรวะ)
>>240 แสดงว่ามันแค่ SA wannabe ไม่ต้องห่วงในไทย wannabe เยอะ
กูจบSA มา กูทำได้แบบว่าเมิงเขียนโค๊ด สบายเลยแหละ
จบมาหางานในไทยทำตรงสายไม่ได้เลยฟะ ทำใจ เมืองไทยยังไม่พร้อมสำหรับอาชีพนี้
ที่มีส่วนใหญ่ก็แค่ Sale ความรู้โปรแกรมมิ่งแค่หางอึ่ง ไม่ได้เรื่องดอก บ่องตง
เพื่อนรุ่นกูจบออกมา ไม่มีใครได้ทำSA จริงจังเลยซะคน
หวัดดีทุกท่านหลังจากหายไปอาทิตย์นึง กุคือโม่งจบใหม่เตะฝุ่นเจ้าเก่าเอง
นี่อาทิตย์นึงแล้วบ.ที่กุไปสัมภาษณ์เขายังไม่ติดต่อกุมาเลย เขาบอกว่าจะติดต่อมาภายใน2อาทิตย์ หมดหวังอีกแล้วสินะ (;_;)
ล่าสุดบ.หางานส่งไปบอกเขาเรียนกกุ นัดวันไรกันเสร็จเรียบร้อย แต่พอกุไปค้นในกูเกิ้ล
ดูแล้วเป็นบ.เล็กๆยังไม่เท่าไหร่ สาด คนตั้งบ.เป็นส.ส. แถมยังเจอจม.ร้องเรียนโดนให้ออกแต่จ่ายไม่ครบอีก
แล้วไกลโครตนั้งรถ 3 ชม.ยังไม่ถึงเลยมั้ง กุเลยปฎิเสธไป
กุเสียความรู้สึกที่ว่าคนที่เค้าหางานให้กุดันเป็นคนรู้จักกัน เขามองว่ากุเป็นของขายไม่ออกแล้วใช่มั้ยเนี่ย
(ถึงเขาจะให้วงเงินสตารต์กุเยอะก็เถอะ)
เรื่องนี้สอนให้กุรู้ว่า อย่าพึ่งตัดสินใจไรที่ได้ยินผ่านทางโทรศัพท์เป็นอันขาดก่อน ถ้าให้ตัดสินใจไรที่ไม่รู้รายละเอียดให้ส่งเมลมาก่อนอย่าพึ่งตัดสินใจ
ก็ไปสัมภาษณ์ก่อน ถ้าเดินทางพอไหวก็เอา
>>245 บอกยกเลิกไปแล้ว
เจอข่าวบริจาคเงินให้พรรคการเมืองที่ตัวเองอยู่ด้วย
กุเจอแค่นี้กลัวแล้ว สมมุติวันไหนกุพูดไม่ถูกหูโดนใครวิ่งโร่ไปฟ้องโยนว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามนิเสร็จเลย
ยิ่งพี่ๆทหารอยู่กันยาวๆอย่างนี้ต้องมีบ่นหลุดมาแน่
การเมืองเดี๋ยวนี้ยิ่งจับแพะชนแกะขีดเส้นแบ่งฝั่งคนอยู่
เมื่อกี้พึ่งมีบ.เรียกมาแล้ว(กุนิชูมือขึ้นสูงๆเลย) \(;_;)/
สู้ๆต่อไป ถ้ามึงไม่เลือกงานมากจริงๆยังไงแม่งก็มีให้ทำ เพราะสายงานนี้มีความต้องการเยอะและตลอด ขนาดที่บริษัทกูยังรับเพิ่มเลยตอนนี้(แต่ยังไม่ได้มาซักทีเพราะแม่งไม่ถูกใจหัวหน้ามั๊ง)
ช่วงนี้กูงานเยอะเลยไม่ค่อยได้มาตอบต้องขอโทษด้วย
จาก โม่งเหี้ยไรดีล่ะ โม่งสิงคโปร์ ละกัน
เพื่อนโม่งกุโม่งจบใหม่มารายงานพวกมึง กุได้งานแน่ๆแล้ว 555
พึ่งไปสัมภาษณ์มาเมื่อวาน คุยเสร็จเขาบอกรับกุเลย เหลือให้ hr โทรมาชี้แจงให้เป็นทางการอีกที งานที่ได้ตำแหน่ง software eng เขียนโปรแกรมควบคุม HW กับระบบโรงงาน มีวิ่งไปมาระหว่างออฟิสกับโรงงาน
บ.ที่ไปเป็นของไต้หวัน วันนี้กุลองไปค้นประวัติบ.ในเน็ตดู เห็นคนบ่นกันเยอะเลยว่าทำงานโรงงานงานหนักเอาเปรียบเยอะ กุชักสยองๆแล้ว ว่ากุจะรอดมั้ยเนี่ย (;_;) กุไม่รู้เรื่องไรเกี่ยวกับโรงงานเลย แถมตำแหน่งที่ทำออกทางวิศวอิเล็อทรอนิคอีก
ส่วนพวกที่รอสัมภาษณ์อาทิตย์หน้า นี่กุควรรอhrโทรมาเป็นทางการแล้วค่อยยกเลิกสินะ
>>251 กุจะพยายามดูดสกิลมาให้เยอะที่สุด เพราะคิดว่ากุคงไม่มีโอกาสหลุดเข้ามาในตำแหน่งยากๆอย่างนี้ที่อื่นอีก 555
ในรุ่นกุ กุแทบไม่ได้ยินใครไปทำงานสายอิเล็กทรอนิคเลย ยิ่งมีเกี่ยวกับอิมเมจไม่เคยเห็น มีแต่ มีแต่ทำ SW Network
เขาบอกแผนกที่กุทำแผนก r&d ถ้าเห็นอันไหนดีกว่ามึงแย้งแก้ได้เลย แลดูเอาแต่ใจดีว่ะ แถมตอนสัมภาษณ์เมื่อวานไม่มีข้อสอบเทคนิค มีแต่engอีก เอ่องงดี
ตอนที่เขารับกุเลยกุก็งงถามเขาเหมือนกัน เพราะกุถามเขาผลออกเมื่อไหร่ เขาบอกเดี๋ยวออกผลเลย แล้วออกไปคุยอีกห้องกลับมาบอกกุ
ว่าเขาให้ตามเงินที่กุเรียก(กุเขียนไป18000ซึ่งแม่กุด่าว่าน้อยไป ถ้ามีไปตจวน่ามากกว่านี้) เขาบอกแผนกเขามีอำนาจในการตัดสินใจได้เลย เหลือส่งให้ hr เดือนหน้าน่าทำงานได้เลย
เวลาเรียกเงินเดือนให้เรียกเยอะๆเอาไว้ก่อนเลยเพราะเขาจะต่อมึงแน่ๆแล้วก็เขาจะถามว่าทำไมถึงเรียกขนาดนี้ ซึ่งถ้ามึงตอบได้โดนใจก็บิงโกได้เงินตามนั้นแหละ
ใช้ได้เฉพาะบริษัทที่ไม่มีโครงสร้างเงินเดือนชัดเจนนะ บางที่จะมีเรทสำหรับเด็กจบใหม่อยู่แล้วอันนี้เขาก็จะถามว่าที่นี่ให้ xx,xxx สำหรับเด็กจบใหม่น้องโอเคมั๊ย ประมาณนี้
ตอนกูเข้ามาสมัครที่ปัจจุบันนี้ก็เรียกไปจำนวณนึง ก็โดนเขาต่อลงมาอีกเยอะอยู่(เป็นหมื่น) สุดท้ายก็ไปจบกันที่ตรงกลางจากส่วนต่างของที่เขาต่อกับที่กูเรียกเป๊ะ(สลัดผัก)
จากโม่งสิงคโปร์ที่หายไปนาน
>>253 พูดถึงเรื่องเรียกเงิน วันนี้มีอีกบ.รับกุว่ะ เป็นบ.เล็กๆมีกันไม่ถึง10คน แต่บ.นี้กุฮาตรงที่แม่งเหมือนเล่นประมูลเลย ตอนโทรมาครั้งแรกมีถามราคาด้วย พอวันนี้โทรบอกผลมีการถามราคาอีกฝั่ง ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าdevมารับคนเองเลยยังงงๆกับชีวิต
ตอนนี้กุเลยกลายเป็นมี2ตัวเลือกเลย ระหว่างที่ใหญ่ เขียนโปรแกรมควบคุมHW เสียวงานยากไปไม่ผ่านโปร กับที่เล็กเป็นโปรแกรมเมอร์ ออกจากนี่มีงานรองรับเยอะ
เรื่องเงินเท่ากันก็จริง ที่ใหญ่ไม่รู้มีวันเสาร์กับลดเงินตอนโปรมั้ย ที่เล็กลดเงินช่วงโปรแต่ถ้าอยากเพิ่มบอกต่อรองได้(ไรฟระ)
ที่เซ็งคือถ้ากุไปสายไหนสายหนึ่ง อีกหน่อยกุจะเปลี่ยนไปอีกสายยากเลย
ชักเริ่มปวดหัวแล้วเอาอันไหนดี
ก่อนหน้านี้เงียบกริบกันหมด ทีนี้พอกุได้งานปุปโทรเรียกสัมภาษณ์กันเป็นแถว
เมิงก็ ลองๆ ไปดู ทั้ง 2 ที่ซิ
ที่เหลือเมิงต้องไปดูสถานที่ ที่ไหนไปง่ายกว่า ตรงนี้สำคัญนะเมิงการเดินทาง และเมิงต้องดูสถานที่เมิงทำงานด้วย คอมพร้อมไหม แรงพอไหม ไม่ใช่ที่เก่ากู ให้กูใช้ 486 เขียนโปรแกรม แบบนี้ไม่ควรใช้งาน เครื่องมือใหม่ป่าว สัสดิการดีไหม ลาป่วยได้กี่วัน ลากิจได้กี่วัน เข้มงวดเวลาหรือเปล่า
>>257 หลายๆอย่างกุดันลืมโง่ไม่ได้ถามโดยเฉพาะที่ใหญ่ กุว่ารอเขาติดต่อมาอีกรอบถามรายละเอียดอีกที
สถานที่ : ไกลจากบ้านทั้งคู่ เวลาเดินทางน่าพอกัน ที่ใหญ่มีออกไซต์
คอม : มี pc ให้ทั้งคู่ ส่วนคอมใหม่ป่าวนี่กุยังไม่รู้ละเอียดขนาดนั้นว่ะ 555
การทำงาน : เห็นที่ใหญ่ดูในเน็ตมันมีสายโรงงานมีเสียงสรรเสริญ(ด่า)ไว้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเวลา คน ลักษณะการทำงาน แต่งานของกุไม่แน่ใจว่าโดนโรงงานหนักแค่ไหน สงสัยโดนทำวันเสาร์แน่ ส่วนที่เล็ก 5 วันเวลาไม่ฟิต
สวัดดิการ : ที่ใหญ่ยังไม่ได้คุย เห็นบอกที่พักออกไซต์บอกฟรี แต่ดูในเน็ตข้อมูลไม่ตรงกัน ส่วนโบนัส,ลาลืมถามทั้งคู่
กูขอคำปรึกษาบ้างดีกว่า จริงๆกูได้งานและทำมาได้สักพักแล้ว แต่พักนี้กูเริ่มมีความรู้สึกว่าถ้ากูออกจากที่นี่ กูจะไปทำงานอะไรได้บ้าง
ความสามารถกูก็ประมาณนี้
แม่น OOP
โปรเจ็กต์ไม่ได้ใช้ OOP เท่าไหร่ แถมทำเรื่องพื้นๆง่ายๆ (ความท้าทายตอนนั้นคือ ทำยังไงให้มันเร็วในระดับที่ใช้การได้จริงในทรัพยากรที่จำกัดจำเขี่ยมากๆ)
ภาษาที่เขียนได้ รู้คอนเซ็ปต์ แต่ไม่เคยทำโปรแกรมใหญ่ๆ JAVA, C++, Python, Parallel Processing
ใช้ Linux ได้เขียน Shell Script ได้
มีความรู้ด้าน Network อยู่บ้าง เขียน Expect Script ได้ คุ้นเคยกับ Software กลุ่ม Network Monitor, Packet Analyze สูง (อ่าน Packet, เข้าใจ SNMP ฯลฯ)
คือลักษณะงานคือ Project Implementer ทำงานร่วมกับ Pg เจ้าของ Product ที่ต่างประเทศ
หน้าที่เริ่มตั้งแต่คุย Requirement กับลูกค้าไทย เขียนสรุป Requirement ให้ Pg ต่างชาติ ภาษาอังกฤษกูเรียกตัวเองว่าอยู่ในระดับพอใช้
รับทราบ Bug จากลูกค้า Investigate เก็บข้อมูล และบอกวิธี Reproduce ให้กับ Pg
Bug บางส่วนที่เป็น JSP ก็แก้เองบ้าง (ส่วนมากในแง่ของ Front-end เช่น render report ไม่ออก หรือเพี๊ยน)
เขียนโปรแกรมสำหรับแก้ไขข้อมูลของระบบผ่าน API ที่เปิดไว้ให้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
คิด Test Case, ทำ Automate Test ได้
Maintenance ระบบที่เป็น Linux ทั้ง HW และ SW
คิดว่าตัวเองมี Problem Solving skill สูง เพราะเจอกับ Bug ทุกวันทั้งต้องหาสาเหตุ reproduce ให้ได้ ยันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ลูกค้าพอใจระหว่างรอ Pg แก้ root cause
คือตอนนี้กูมีความรู้สึกลบๆว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง ไม่ดีเด่สักอย่าง กลัวมากๆที่อีก 2-3 ปีข้างหน้าถ้าจะออกจากที่นี่ กูจะทำงานที่ไหนก็ไม่ได้
กูก็เลยสับสนตัวเองว่ากูควรจะทำงานแบบไหนต่อไปดี
เข้าไปมึงก็เรียนรู้เพิ่มตามโครงสร้างของ IT แต่ละที่ๆมึงเข้าไปทำงานอยู่ดี ไม่ต้องซีเรียสเรื่องความสามารถนักหรอก
กูเห็นหัวหน้ากู กากกว่ากู ทำเอากูอึ้ง แต่เขาฝีมือ พรีเซนท์เก่งกว่า ดังนั้นเป้นโปรแกรมเมอร์เมืองไทย พรีเซนต์เก่งมีชัยไปกว่าครึ่งแล้วฟะ
ทำได้ไม่ได้ ช่างแม่ง
สกิลภาษา สกิลนำเสนอสำคัญกว่าสกิลเฉพาะทาง อันนี้จริงๆนะ
ส่วนสกิลเลียก็เป็นอีกด้านนึงที่สำคัญไม่แพ้กัน มีไม่มีก็ได้แต่ถ้ามีจะขึ้นไว 555555
ดังนั้นไม่ต้องห่วง ต่อให้มึงจบการแสดงมาเป็นโปรแกรมเมอร์ เน้นนำเสนอให้สวยงามอย่างเดียวพออย่างอื่นช่างหัวแม่ง
กูพูดเล่นนะ
ถามความรู้หน่อยครับ ตอนนี้อยากอัพสกิลตัวเอง กำลังเรียนอยู่ปี1อยู่ มีแหล่งมั้ยครับ เห็นคนแนะนำในไปเรียน udemy มันก็แพงไป
เห็น nectec เปิดสอบ ITPE ดูแล้วน่าสมัครสอบมั้ยวะ
เห็นว่าเป็นโครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที แต่โดยส่วนตัวกุไม่ค่อยเชื่อว่าจะทำได้เท่าไหร่
Cert ถ้าไม่ใช่สาย Network CCNA นี่แทบไร้ประโยชน์
พึ่งไปตอบคำถามในกลุ่ม Angular มา
โชคดีที่เข้าใจการทำงานเรื่อง Event Loop ของ JavaScript เลยหาทางแก้ได้เร็วขึ้น ไม่หลงทางไปไกล
ถ้าเป็นตอนหัดเขียน JS ใหม่ๆ ต้องคิดว่ามันเป็น Bug ของ library แน่ๆ(เพราะแก้ไม่ได้)
ย้ำอีกครั้ง...Front end developer จำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐาน JS ให้ดีครับ
หนังสือแนะนำ
- Secret of JavaScript Ninja
- Series: You don't know JS
- Speaking JavaScript
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพื่อนโม่ง line pay นี่มันเสถียรหรือยังอ่ะ ปลอดภัยไหมด้วย อยากลองใช้แต่กลัวอ่ะ
Angular ใช้ๆ ไป สุดท้ายยอมแพ้ กรูหนีกลับไปใช้ jQuery เขียนถึกๆ เหมือนเดิมดีกว่า
แม่งโคตรกาก bug DOM เยอะสัดๆ แถมมัดมือชก ทุกอย่างต้องเอาไปไว้ที่ Google หมด ไม่งั้น page speed คะแนนเตี้ยติดดิน
เคยเจอล่มครั้งนึง อยากจะกรีดร้อง ไม่มี Support WTF
เพื่อนโม่ง มีรหัส aes 256 บิท ชุดนึง รู้cipher รู้plaintext แต่ไม่รู้key จะหาkeyยังไงวะ
เพื่อนโม่งคนไหนเขียนJAVAเป็นช่วยแนะแนวหน่อยสิว่า ถ้าอยากเป็นJAVAสาย Web developmentนี่จำเป็นต้องเรียนรู้พวกPHPไรงี้มากมายมั้ยวะ? คือมีพื้นฐานHTMLอยู่แล้วไงแต่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับSQLเลยไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไงนี่ดิ ตอนนี้เพิ่งหัดเรียนเขียนJAVAอ่ะ อยากเรียนเพราะเห็นแม่งเข้าได้กับทุกplatformแถมไม่ต้องมีpointerเหี้ยไรให้งงชิบหายแบบCและC++ด้วย
>>280 PHP กูว่าถ้าอยากรู้จะศึกษาก็ได้ แต่ไม่ได้จำเป็นเพราะสายงาน backend Java มันก็มี Java ใช้อยู่แล้ว
SQL กูมองว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างพื้นฐานนะ ยังไงก็ควรรู้ไว้ ยิ่งงานทาง backend ใหม่ๆยังไงก็ต้องใช้
อนึ่งไอ้ที่ Java ชอบโฆษณาว่ารันได้ทุก platform มันเป็นอะไรที่เก่าแล้ว พวกภาษา script ใหม่ๆเดี๋ยวนี้ก็ข้าม platform ได้ทั้งนั้น
ปล. ขอถามเพื่อความชัวร์ว่ามึงไม่ได้กำลังหมายถึง JavaScript แต่เข้าผิดว่ามันคืออันเดียวกับ Java ใช่มั้ย เพราะเห็นพูดถึงงานสายเว็บเป็นหลัก
>>281 กูแยกแยะออกอยู่แล้วว่าJavascriptกับJavaแม่งคนละตัวกันเพราะเคยลองJavascriptมาก่อนแต่แม่งใช้งานยุ่งยากสัสๆ แต่กุยังสงสัยไงว่าถ้าเรียนSQLเดี่ยวๆแบบไม่ต้องเรียนPHPมันจะได้มั้ย แล้วกูสงสัยด้วยนะว่าถ้าเอาjavaมาเป็นตัวพัฒนาเว็บแล้วมันจะใช้แทนPHPเลยใช่มั้ย? เพราะHTML+CSSกูพอมีพื้นฐานมาบ้างแล้วก็กำลังจะศึกษาพวกBoostrapเพิ่มเติมด้วย
ปล.ว่าแต่ถ้าจะเรียนรู้งานFront-endด้วยกูจำเป็นที่จะต้องรู้Javascriptด้วยป่ะวะ? ไม่ค่อยอยากใช้งานมันเพราะแม่งsyntaxจำยากสัสๆ
>>282 SQL ศึกษาแยกจาก PHP ได้อยู่แล้ว
จริงๆแล้วมันก็เป็นส่วนเกี่ยวกับ database ที่มักถูกเรียกใช้งานจากโค้ดซึ่งเป็นภาษาอื่นๆก็ได้ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้อง PHP
แต่หลักสูตรการสอนทั่วไปเวลาเรียนคอร์สเกี่ยวกับเว็บหลายที่มันชอบเอาไปไว้ใกล้ๆกับ PHP เฉยๆเพราะมันเป็นส่วนที่ต่อกับ backend
ส่วน Java กับ PHP มันเป็นส่วน backend เหมือนกัน ถ้าเคสทั่วไปก็คือแทนกันไปเลยนั่นแหละ
ส่วนงานเว็บทำ frontend ยังไงก็ต้อง JS อ่ะ มันคงอยู่ไปอีกนาน
ถึง framework ที่มาครอบหลายอย่างจะทำให้รูปแบบการเขียน JS เปลี่ยนไปมากจนแทบจะเหมือนเขียนภาษาใหม่ก็เถอะ
แต่ยังไงศึกษาพื้นฐานของมันให้พอรู้ไว้บ้างดีกว่า
ถ้ามึงไม่ชอบ syntax มัน การใช้ framework กับหา tool ดีๆมาช่วยอาจจะช่วยให้มึงไม่รู้สึกแย่กับมันมากจนเกินไปได้อยู่
ถามเพื่อนโม่ง อยากเริ่มศึกษาJavaเพื่อเขียนแอปแอนดรอยต้องเริ่มจากไหนดี ภาษาอังกฤษก็ได้ กุลองมาหลายที่แล้วตามเวป หนังสือก็ซื้อมาแต่ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะออกแนวให้พิมๆตามมันไป แล้วลองรันโค้ดตัวอย่างดูไรงี้ มันไม่อธิบายว่า แต่ละคำที่มันให้พิมทำหน้าที่อะไร กุรุ้สึกไม่ต่างจากจดตามที่ครูพูดให้ฟังสมัยเรียน จำได้แต่ไม่เข้าใจ
จุดประสงค์คืออยากทำแอปดิกเป็นของตัวเอง กุเป็นนักแปล โปรแกรมดิกที่ใช้มีศัพท์น้อยมาก เพิ่มเองไม่ได้ เปิดดิกเป็นเล่มก็ไม่สะดวก ช้าด้วย
เลยคิดว่า อยากทำแบบที่ตัวเองอยากได้ขึ้นมาเองเลย
แบบนี้ควรไปศึกษาอะไรบ้าง
>>284 เริ่มศึกษา Java ยังไงดีนี่กูแนะนำไม่ค่อยได้แหะ แต่ส่วนตัวไม่ได้อ่านหนังสือไทยเพราะไม่ชอบที่มันชอบแปลศัพท์เทคนิคหลายๆคำที่ควรจะทับศัพท์ไปเลย
ส่วนการเขียน App Android นี่สำคัญคือพื้นฐาน Java ควรจะดี พวก syntax พื้นฐาน, OOP, พวก utility พื้นฐานที่มากับโปรแกรม ควรจะต้องรู้ไว้ก่อน
ที่ต้องรู้อีกอย่างคือ XML เพราะ config file กับไฟล์จัด layout หน้าต่างๆใช้ XML เกือบหมด
จากนั้นตอนจะเริ่มเขียนที่ต้องเริ่มจากแบบ tool กับ framework ของ Google เพราะมันใช้ภาษา Java เขียนก็จริง
แต่การเขียนให้มันเป็น App Android ก็คือต้องเขียนตาม framework ของมันอีกที โดยเฉพาะพวก Activity Lifecycle นี่ถ้าไม่แม่นจะงงมาก
อื่นๆที่อาจจะต้องใช้ (ถ้าทำๆไปแล้วต้องใช้ค่อยศึกษาก็ได้) SQL, REST API, JSON, library หรือ framework อื่นๆนอกจากตัวมาตราฐาน
ระหว่าง PostgreSQL MySQL MariaDB อันไหนใช้งานดีสุด
มึงกูขอถามไรหน่อย ไม่รู้ถูกมู้ไหม คือกูอยากบล็อกเว็บโม่งอ่ะ ลองบล็อกจากrouterแล้วมันไม่ได้ มึงมีวิธีไหม
พวกมึง คือตอนนี้กุเรียนวิศวะคอม ม แห่งนึงในไทย
กุมีความสงสัยว่า กุเข้าไป กุมีความรู้แค่เขียนภาษา C แบบพื้นๆ
กุจะจบออกมาได้ขนาดไหนวะ ถ้าคิดว่ากุเข้าไปในมหาลัย กุตั้งใจเรียนเหี้ยๆ
แล้วจบออกมา งานแม่งหาง่ายยากยังไงแค่ไหน ช่วยบอกกุที
AngularJS มันต้องเขียนตัวเว็บให้มี API ดึงได้สินะ แลดูแล้วเหมือนจะมีช่องโหว่เยอะ ไม่เหมาะกับมือใหม่...
แต่ JavaScript เร็วจริง
ถามนิด คือตอนนี้กูพอเขียนโปรแกรมเป็น มีพื้นฐานภาษา c,c++,java
แต่กูไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเขียนเว็บเลย ถ้ากูอยากฝึกเขียนเว็บกูควรศึกษาภาษาอะไรบ้าง และถ้าเป็นไปได้อยากให้ช่วยแนะนำเว็บหรือหนังสือให้ด้วยก็จะขอบคุณมาก
>>296 อ่านอิ้งออกก็จัดไป
http://w3schools.com/
ปูพื้นฐานไว้ก่อน
http://codeschool.com/
อันนี้แจ่มมาก เรียน Angularjs Jquery หรือภาษาอื่นๆ สอนได้ดีมากๆ
บอทมายคราฟ...
https://www.blognone.com/node/83219
>>296 ถ้าเว็บส่วนที่เป็น frontend จริงๆก็ HTML --> JavaScript + CSS
แล้วที่เหลือก็ไปศึกษา framework / library อื่นๆต่อ อย่างพวก bootstrap, JQuery
ถ้างาน backend ด้วยก็ต้องศึกษา Database กับตัวงาน backend ถ้าเขียน java เป็นอยู่แล้วลองเริ่มดู JSP แล้วไปต่อพวก Java EE
หรือถ้าอยากเขียนเป็น JS เพราะยังไงก็ต้องเรียนอยู่แล้วก็ลองดูพวก Node.js
จริงๆภาษา backend มีตัวเลือกอื่นๆอีกเยอะอย่างเช่น PHP แต่ก็ต้องเรียนภาษาใหม่เพิ่มอีก
ถ้าไม่ได้มองแนวที่ต้องเขียนเองเป็นหลักลองดูพวก CMS สำเร็จรูปอย่าง WordPress, Joomla, Drupal ดู
โม่ง กูถามหน่อยดิว่าเรียนเขียนเว็บฝั่งback-endพวกมึงเริ่มกันที่ไหนบ้างวะ? ส่วนตัวกูมืดแปดด้านอย่างรุนแรงเลยหว่ะ
>>300 กูเริ่มกับบริษัทคนจีน win app ว่ะ มาถึงมันก็จับให้เล่นสดกับ ERP บริษัท ผ่านไป 2 ปี เงินเดือนน้อยแต่ประสบการณ์เพียบ
พอเปลี่ยนงานใหม่ หลังจากนั้นไม่ว่าอะไรๆ ก็ง่ายไปหมดเพราะจากเดิม db หลายพัน table หลายร้อย columns เหลือไม่ถึงร้อย table
ระบบอะไรก็เข้าใจหมดแล้ว
แถม web มี framework สำเร็จรูปนี่ง่ายเข้าไปใหญ่ วางระบบเสร็จปุ๊ป เสร็จที่เหลือมึงแทบจะก็อปวาง backend code โครงสร้าง
แม่งเหมือนกันหมด อย่างเก่งก็เสียเงินดูคอส์เวลา framework หรือมี tech อะไรใหม่ๆ แค่นั้น
กูมีข้อสงสัยนะโม่ง คือ กูเรียนHTML+CSS มาพอจับทางได้ว่า
-HTMLมันเหมือนโครงของเว็บ เป็นที่อยู่ให้เนื้อหา แบ่งหมวดหมู่ต่างๆ
-CSS เอาไว้ตกแต่งเว็บให้มีหน้าตาที่ดีขึ้น ทำหน้าที่หนุนหลังให้HTML
แล้วทีนี้กูเริ่มเรียนjavascriptกูเลยเกิดคำถามในหัวนะว่า มันเอามาใช้ทำอะไรวะ? คำตอบที่ค้นอากู๋มามันบอกว่าเอาไว้ทำให้เว็บมีการตอบโต้กับผู้ใช้งานได้ แต่ก็ยังไม่เก็ทอ่ะว่าตอบโต้แบบไหนนอกจากสร้างกล่องpop-up กับ นาฬิกาอัตโนมัติบนเว็บได้ คือ มันต่อยอดไปแนวๆไหนวะกุไปไม่เป็นเลยกับjavascriptอ่ะ? มันจะช่วยให้เว็บที่กูเขียนดูดีขึ้นมายังไงมั่งวะ?
Javascript เข้าใช้ในการแปลงหน้าเวปให้มีการคำนวนอย่างง่ายๆ น่ะ แต่มันไม่เหมือนPhp หรือASP นะ อันนั้นมัน ต้องลิงค์กันกับเซิร์ฟเวอร์ ให้มันทำงานแต่อันนี้ใมันจะรันในเครื่องไคเอนท์เลย แบบการแสดงผล ออกมาเป้นเลขหนึ่งแต่กูต้องการให้มันแสดงเป็น 2 เลยให้ไป บวก 1 ลงไปแบบนั้น
ประโยชน์อะไรเหรอ มันก็ ไว้ทำ หน้าเวป ให้มีการคำนวนขึ้นมาแค่นั้นแหละสมัยก่อนชอบๆกันแต่สมัยนี้ ... มันไม่ใช้แล้วล่ะ 5555
>>302 ง่ายๆ น่ะมึงลองดูเว็ป panasonic ก็ได้
https://dream-fita-rio2016.panasonic.com/ja/
แล้วมึงคิดว่าหน้าเว็ปแบบนั้นใช้ถ้าใช้ css อย่างเดียวจะไหวไหม
ตย. JS
http://openlayers.org/en/latest/examples/draw-features.html
อันนี้ใช้วาดรูปทับบนแผนที่
>>302 ลูกเล่นการเคลื่อนไหวของหน้าเว็บเกือบทั้งหมดเป็น js (แต่สมัยนี้รู้สึกว่าจะมี css ที่ทำอะไรคล้าย ๆ กันได้บ้างแล้วเหมือนกัน) ดึงข้อมูลจาก server มาโดยไม่ต้องโหลดหน้าใหม่ก็ใช้ js จะโพสต์สเตตัสในเฟสบุ๊คก็ใช้ js กดไลค์ก็ใช้ js จะคุม state ในหน้าเว็บก็ต้องใช้ js ส่วนที่ interact กับผู้ใช้ ถ้าจะเขียน logic ลงไปก็ต้องใช้ js ถ้ามี form ให้ผู้ใช้กรอก จะ validate ก็ต้องใช้ js ประโยชน์มันเยอะมาก ถ้าเขียนเว็บยังไงก็ต้องใช้เป็น เพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้มี framework มาครอบ พักหลัง ๆ เลยเริ่มใช้พวก framework กันมากกว่าน่ะ
จะว่าไป เขียนเว็บให้ดีไม่ใช่สักแต่โค้ด ต้องออกแบบเป็นด้วย ไปทำความรู้จักกับ ui/ux ด้วย
http://www.javadeathmatch.com/ เล่นกันๆ รอบแรกกูได้คะแนนเดียวเอง 555
>>310 ไม่ควรอ่ะ framework เป็นตัวครอบ JS ให้มันเขียนง่ายขึ้น ยังไงตัวภาษามันก็คือ JS อยู่ดี
สไตล์การเขียนมันเปลี่ยนไปจนดูต่างกันมากตามการ design ของ framework ได้หลายหลายเพราะตัวภาษามันยืดหยุ่น
ยังไงถ้าอยากข้ามอย่างน้อยๆก็ควรศึกษา syntax พื้นฐานกับทำความเข้าใจลักษณะตามธรรมชาติของภาษาหลักๆไว้ก่อน
ระบาย กุสัมภาษณ์ไปหลายที่ละ ไม่เรียกซักที่ 555 เป็นเพราะฝีมือกุต่ำเอง ตอนเรียนแม่งไม่ตั้งใจไง เวลาเรียนกับทำงานแม่งต่างกันลิบลับ พวก jsp, servlet, spring, mvc, IIS, web service, multi-tier กุไม่เคยเจอตอนเรียนเลยวะ พึ่งมาได้ยินตอนจะหางานนี่แหละ ตอนเรียนเค้าสอนแต่ภาษาเขียนอย่าง java ก็สอนพวกที่อยู่ใน java ไม่ได้สอนใช้ เฟรมวงเฟรมเวิคห่าไรเลยเรียน vb ก็แค่ vb ไม่สอนพวก asp.net มาให้กุอีก ตอนนี้ก็กำลังหาอ่านหัดเขียนพื้นฐานพวกนี้แหละ เผื่อไปสัมภาษณ์ได้คุยกะเค้ารุ้เรื่องมั่ง แต่บางที่ก็ดีอยากรับเด็กจบใหม่ บางที่บอกรับเด็กจบใหม่ แต่ไหงกุดูสกิลที่เค้าต้องการ คือ คงอยากได้แบบ full stack อ่ะ 5555
รู้สึกช้ำใจ อยากจะทำสาย front end เพราะสมัยมัธยมรู้สึกชอบกับการเขียนเว็บด้วยมือ เขียนโปรแกรมกับ C ไรงี้ แต่ทิ้งทุกอย่างไปนานเกินเพราะมัวแต่เรียนคณะที่ไม่ตรงสาย ตอนแอดกลัวว่าคะแนนจะไม่ถึงเลยไม่ได้เลือกคณะพวกนั้นไว้ อีเหี้ยอยากจะย้อนกลับไปตบกบาลตัวเองชิบหาย สี่ปีผ่านไป ลองเปิดหางานดูนี่รู้สึกว่ากว่าจะได้ requirement หลายอย่างต้องลองทำเองอย่างน้อยสุดๆ หกเดือนถึงหนึ่งปี โปรเจคท์จบก็ไม่มี ไม่มี advantage เหี้ยอะไรเลย พูดอะไรไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้าอ่านก้มหน้าทวนยามว่าง หางานอื่นทำไปก่อน
ตอนแรกว่าจะระบายเฉยๆ ไม่มีคำถาม แต่เพิ่งสงสัย บริษัทเขาจะโยนเรซูเม่ทิ้งเลยรึเปล่าถ้าไปสมัครตำแหน่ง dev แต่ว่าไม่ได้เรียนวิทย์คอม/วิศวะคอม หรือว่าเน้น port มากกว่า
บริษัทกูโปรแกรมเมอร์หลายคนก็ไม่ได้จบคอมนะ มีพวกจบวิศวะไฟฟ้า วิศวะสื่อสารกันเต็มเลย
แต่คงต้องหาทางพรีเซ้นต์ตัวเองใน resume ให้ HR รู้ว่ามึงเขียนโปรแกรมได้นะ
>>316 พวกนั้นยังพอว่า กูว่าเหี้ยกว่าคือพวกคำถามวัดความจำ หรือเอาโค้ดแบบที่คนไม่เขียนมาถาม output
คือของพวกนี้มันไม่ได้วัดว่าคนจะทำงานได้รึเปล่าตรงไหนเลย
อีกอย่างคือพวกคำถามที่ถามเจาะอยู่เรื่องเดียวที่ไม่เกี่ยวกับงาน อย่างกูไปสอบ PHP คำถาม 20 ข้อ แม่งถามเจาะ framework ที่กูไม่เคยใช้อยู่ 7 ข้อ
ตอนสัมภาษณ์กูถามเค้าดูว่าใช้ตัวนี้ทำงานหรอ เค้าก็บอกเปล่า คือแบบนี้แม่งเสียคะแนนฟรีๆเลยนี่หว่า
แถมถ้าคนสัมภาษณ์ไม่ดูข้อสอบแล้วเค้าเห็นคะแนนน้อยก็โยนทิ้งเลยก็เสียโอกาสอีก
>>317 จับมือ กูก็โดนเหมือนกันว่ะถามแบบคำสั่งที่ปรกติเข้าไม่ใช้ หรือไม่ก็เอาชุดคำสั่ง beta มาถามบ้าง
ข้อสอบที่กูเจอก็แม่งเอาไปทำ plug in ขายได้เลย พอกูทดสอบผ่านแล้วมันดันให้ไปเขียนข้อสอบสด
เวลาสัมภาษณ์กับทีมแขกใน silicon valley เฉย จ้องหน้ารายบรรทัดบน collabedit รู้สึกเหมือนมันเหมือนจะกวนที่
กูเรียกไปเยอะ
พอผ่านหมด สุดท้ายมันต่อต่ำกว่าที่เก่า บายจ้า (งบไม่ถึงแล้วเรียกมาทำ...)
พวกมึงว่า Java (ไม่นับ android) มีอนาคตแค่ไหน
ถ้าหมายถึง J2SE อันนี้มันตายไปนานแล้ว อืดชิบ
เวลาใช้ก็ยุ่งยากชิบหายขนาด connect database ง่อยๆ ยังต้องโยน error กันเป็นว่าเล่น
update อะไรทีซวยหน่อยโปรแกรม error
ทุกวันนี้ที่ทำงานกู มันจะมีเครื่องที่เอามาใช้ตรวจวัดค่าซ่อมของลูกค้า
แล้วเสือกชอบมีปัญหากับจาวาง่อยๆโหลตไม่ผ่าน
"จาว่าเร็วส์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คอสลดราคาเหลือ 300 จัดอันไหนดี ใน Udemy อยาก Single Page Application Restful
Assembly > All >>>>>>>>>>>>>>>>>> Java
ไม่รู้ถามในนี้ได้ไหมน่ะ เห็นบอร์ดอื่นเงียบกันหมดเลย
สายแลนติดๆดับๆ(cable unplug > enable ใช้ได้แปปนึง > หลุด วนลูป )ไม่รู้เป็นไรแต่ยกไปเสียบกับสายแลนที่อื่นก็ปกติดี
ลืมบอกซื้อสายแลนเปลี่ยนแล้วยังเป็นเหมือนเดิม
สัญญาณจาก router มาถึง com ไม่แรงพอ ไปลองสลับช่องสาย Lan ที่ตัว router
ถ้าอยู่ที่จุดสลับไม่ได้ ไปหาซื้อ router มาตัวนึง มาต่อทวนสัญญาณให้ com อีกที
สลับแล้วเพื่อนโม่งยังไม่หายเลย เดียวพน.ไปหาเราเตอร์มาเปลี่ยน
ไปสัมภาษณ์งานที่นึงมาเจอข้อสอบถามแนวๆ Troubleshooting เยอะมาก แปลกดี
แลดูมีสาระกว่าพวกถาม output หรือวัดความจำเยอะ แต่กูทำไม่ได้ ฟฟฟฟ
ภาษา elixir น่าสนใจมั้ย
งาน IT นี่พวกมึงคิดว่าเรียนโทมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างวะ กูโดนพ่อแม่กดดันให้เรียนหนักมาก แต่กูยัง blank อยู่เลยว่าจะเรียนอะไรดี
เรียนโทถ้าไม่ได้เรียนเพื่อหา connection เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปเรียน Eng + ฝึกภาษาโปรแกรมตามเทรนดีกว่า
โม่ง กูถามไรหน่อยดิ ถ้ากูพัฒนาเว็บด้วยPython ตอนหาDomainกับHostเพื่อตั้งเว็บนี่กูต้องดูด้วยมั้ยวะว่าเจ้าไหนรองรับPythonไรงี้ด้วยรึเปล่า
Rail ทำงานตามบริษัทใช้ ide ตัวใหนดี
>>333 ถ้าอยากทำวิจัย มึงก็เรียน แต่ถ้าจะเรียนเฉยๆ หรือไปทำงาน มึงเรียนคอร์สเฉพาะทางไปเลยดีกว่า เช่นเขียนโปรแกรม เขียนออพ เขียนเว็บ ออกแบบเว็บ กราฟฟิก เลือกแบบนี้เอา เพราะไอทีโท มันจะเป็นเรื่องการลงลึกถึงทฤษฎี การคิดค้นอัลกิริทึ่มใหม่ที่ทำให้อก้ปัญหาเดิมได้ดีกว่า การทำโปรเจคใหม่ๆ มันเป็นการวิจัยแล้ว ม.กู ป.โทหลายคนยังไม่จบซักที เรียนนานเหี้ยยยย นานมากกกก เพราะทั้งวิจัย ทั้งเขียนเปเปอร์ เข้าคอนเฟอเรนท์ มันไม่ได้เรียนแบบป.ตรีนะ
กูก็หนึ่งในนั้น 55
ม.ติดมอเตอร์เวย์ แถวสุวรรณภูมิ
>>65 แล้วแต่ที่ว่ะ มึงไม่ลองฝึกอันที่ได้สร้างผลงานหรือมั่นใจได้ละวะ ตอนกูฝึกกูฝึกไมโครซอฟท์ มีตั้งแต่เด็กมัธยมที่กำลังขึ้นปี 1 ไปจนถึงเด็กปี 4 อะ เค้าดูความสนใจเรากับสาขาที่เรียน ถ้ามั่นใจเค้าก็ให้ฝึกงานเลย เป็นโครงการโดยตรง ไม่ต้องเสี่ยงไปกับพวกบริษัทที่ไม่รู้ให้ไปชงกาแฟเปล่า
facebook เดี๋ยวนี้ hack กันแบบนี้เลยวุ้ย
http://pantip.com/topic/35638088
"ลูกค้าเขียน code ใช้ API ผิด แต่โปรแกรมทำงานถูกได้มาปีกว่าๆ
dev แก้ code API 1 บรรทัดทุกอย่างพินาศโดยพลัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จบวิดวะไฟฟ้ามา เคยเขียน embedded ด้วย c กะ assembly ด้วยฝีมือกากๆ เคยเรียน computer programing มา
FPGA ก็เคยเขียนหนุกดีนะ แต่ยากสัดๆ เรื่องที่ทำได้ง่ายๆในc กลับนึกเป็นชาติใน FPGA อย่างว่ามัน low level กว่าอะนะ
ตอนนี้ทำงานเบื่อสัดๆ อยากเบนมาเขียนโปรแกรมบ้าง สนใจ python แนะนำทีกูจะเริ่มยังไงดี ตอนนี้โหลด pycharm มาลงและ
"นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว นักพัฒนาโปรดักส์ยักษ์ๆ เค้าใช้ภาษาอะไรกันบ้าง? มาดูกันนะครับ
- Google Search เดิมทีเดียว "BackRub" search engine ตัวแรกเขียนด้วย Java กับ Python แต่ตอนหลัง Front end เขียนด้วย C และ C++ ส่วนด้านหลัง spider เดิมเขียนด้วย Python แต่มีปัญหา crash บ่อย กำลังเขียนใหม่ด้วย C++
- Google Chrome เขียนด้วย C++, Assembly, และ Python
- Adobe ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด (Photoshop, Acrobat, Illustrator ฯลฯ) เขียนด้วย C/C++ และ JavaScript (Adobe ทำเองชื่อ ActionScript) คุม UI
- Microsoft (Word, Excel, Powerpoint) เขียนด้วย C/C++ และมี VB engine ฝังอยู่, UI ใช้ VB.
- Windows 10 OS เขียนด้วย C++, Kernel เป็น C
- Apple - Mac OS X เขียนด้วย Objective C, Kernel เป็น C, subsystem บางส่วนเป็น Embedded C++
- Linux เขียนด้วย C เป็นส่วนใหญ่, Apps เป็น Python เยอะ, KDE เป็น C++, Linux Kernel เป็น Assembly
- AutoCAD - เขียนด้วย C ผสม Assembly, เวอร์ชั่นใหม่เป็น C++, Wrapper เป็น AutoLISP, Visual LISP, VBA, Dot NET และ JavaScript
- YouTube ตัวแรกเป็น PhP เปลี่ยนเป็น Python ตอน Google ซื้อมา
- Facebook ใช้ PhP (เขียนด้วย XHP และ runtime เป็น HipHop for PhP) และใช้ JavaScript กับ Erlang มากด้วย
- Dropbox ใช้ Python"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
If you have to copy code from Stack Overflow,
copy from the answer.
Don't copy the question.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ได้คีย์วิน 10 education จากมหาลัยมาว่ะ แล้วในเครื่องมีวิน 10 ที่อับเดทมาจาก 8 อยู่แล้ว เป็นวินเถื่อน อยากรู้ว่าถ้าเอาคีย์ที่ได้มาจากมหาลัยแอคทิเวทเลยได้มั้ยหรือกูต้องติดตั้งลงวินใหม่ กูมีงานสำคัญและอะไรอีกมากมายใรเครืีองว่ะ ไม่อยากลงวินใหม่เลย
activate ได้เลย
>>354 อันนี้ความรู้ใหม่กูเลยจริงๆ เพราะเวลาทำงานกูติดอะไรนี่ google ก่อนถามพี่ในทีมอีกยกเว้นเกี่ยวกับโค้ดเก่าหรือ business ของ project
ที่กูทำอยู่ก็ enterprise project แพงๆนะ แต่ใช้ net research กันแทบตลอด ไม่มีนี่ไม่ต้องทำงานแน่นอน
code ที่พวก SA ต่างประเทศเขียนเป็นโครงมาให้บางอันก๊อป tutorial ในเน็ตมาแบบลืมเปลี่ยนชื่อตัวแปรลืม format code กันด้วยซ้ำ 555
โม่ง ในสายงานEthical Hacker ตำแหน่งPenetration Tester นี่คือตำแหน่งใหม่ในวงการป่ะวะ? กูย้อนไปอ่านหนังสือแนะนำงานบางเล่มที่ผ่านมา10กว่าปีไม่มีข้อมูลตำแหน่งงานตรงนี้เลยหว่ะ ถ้าทำงานทดสอบเจาะระบบนี่ หลักๆไปสายไหนได้มั่งวะ?
งานเขียนเว็บfrontendนี่ปกติใช้boostrapกันรึเปล่า
ไม่นานก่อนหน้านี้คนกำลังเห่อ Angular2 กันอยู่ดีๆ แป๊ปๆ React มาจากไหนไม่รู้ วันนี้คนแห่มา Vue2 กันแล้ว
framework JS แม่งจะเปลี่ยนเร็วไปไหนวะเนี่ย OTL
vue2 กูว่ารอไปซักพักดีกว่า performance ไม่ได้ดีเด่นอะไรมาก อย่าพึ่งเห่อรีบตาม
งานแบบมีระเบียบแบบแผนหน่อยทำด้วย Angular2 มันก็เป็นมาตรฐานที่ดีเพราะเริ่มนิ่ง ไม่ได้แย่อะไร
ส่วนตัวกูนะ เอาจริงๆ พวก fw พวกนี้ส่วนตัวกูโคตรเกลียดว่ะ 555+ แรกๆ มันดู ok เหมือนมันจะเขียนง่าย
แต่ติดตั้งยากชิบ เครื่องลงใหม่ๆ น่ะพอ ok ตามคู่มือได้ แต่ถ้าเครื่องผ่านการลงโน่นลงนี่ เวลาจะติดตั้งตัวใหม่
แทบต้อง format ทิ้ง สำคัญคือคู่มือแม่งไม่เคลียร์ บางทีหน้าแรกบอกลงตามนี้ๆ ไปเจอ q/a เจือกบอกว่ามีบักสัด
ที่สำคัญหา server ถูกๆยาก แบบ cloud ก็ลงลำบากชิบหาย คำนวนผิดก็โดนเข้าไปบาน
>>362 ส่วนเรื่อง skill ภาษาโปรแกรม ในความเป็นจริงแบบ >>361 กูว่าระดับธรรมดานะ เพียงแต่
ใจกล้าหน้าด้าน บริษัทใหญ่ๆ resume น่ะส่งไปเหอะ ถ้าจังหวะมันว่างเดี๋ยวมันก็เรียกเอง บริษัทใหญ่งานน้อยเงินเยอะ
ที่เหลือส่วนที่จะรับคนตามบริษัทพวกนี้น่ะ
- ภาษาอักกฤษต้องดีมาก เขียน essay ได้ราวกับจะไปสมัครแอร์สายการบิน
- present ตัวเองโคตรเทพ
- ส่วนคำถามเกี่ยวกับด้าน programming มักจะถามคำถามเหมือนตอนเรียน แค่นั้นเอง
ทำไมกูอ่านแล้วรู้สึกว่ามันเขียนอวดวะ กูอาจจะอคติไปเองนะแต่อ่านแล้วเหมือนบทความชวนฝันเท่ๆแนวฮิปสเตอร์ไปหน่อย
ตอนนี้กูอายุ 25 เหมือนกัน เงินเดือน 50k ซึงถือว่าเยอะเทียบกับในรุ่น คนอื่นโหดๆในรุ่นกูเท่าที่รู้เยอะสุดมีเกือบๆ 70k บางคนก็ 60k
ปัจจัยสำคัญๆมากกว่า skill คือตาม >>363 จริงๆนะ พรีเซ้นตัวเองดีๆ ใจกล้าหน้าด้านกล้าขอเยอะหน่อย
โปรย resume เยอะๆแล้วค่อยเลือกทีหลัง จังหวะดีโอกาสดี ถ้าเงินสำคัญก็เลือกบริษัทที่สวัสดิการน้อยหน่อยแต่แลกกับเงินเยอะ
ทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆนี่ HR จะชอบมากทั้งที่แม่งแทบไม่ใช่ปัจจัยว่าจะทำงนดีรึเปล่าเลย
สาส มาระบาย พวกมึงคงจำกูไม่ได้ แต่กูจำตัวเองได้ กุมาโพสต์กระทู้นี้ประมาณ 4 เดือนที่แล้ว เรื่อง ไปสัมภาษณ์งานไม่ได้ซักที่ มาถึงตอนนี้ ไม่ผ่านทดลองงานสาส หัวกุคงไปด้านเขียนโปรแกรมไม่ไหวจริงๆ พวกมึงว่าลาออกงานช่วงทดลองงานจะบอกสัมภาษณ์ที่ใหม่ว่าไงดีวะ แต่หัวหน้ากุบอกให้กุเขียนใบลาออก เหตุผลไรก็ว่าไป จะได้ไม่มีประวัติไม่ผ่านทดลองงาน และตอนนี้กุว่าจะไปสายอื่นที่ไม่ใช่เขียนโปรแกรมล่ะ มีสายงานไรแนะนำมั่งวะ เกี่ยวกับด้านไอดีอ่ะ มืดแปดด้านเลยกุ ทำงานครั้งแรกก็เฟลแล้ว เซ็ง มัน เซ็ง
>>367 tester กับ ba คงไม่แล้วหล่ะ คิดว่า support, helpdesk, system engineer, network engineer อะไรพวกนี้ต่อยอดไปไกลป่าววะ เล็งอยู่เหมือนกัน แล้ว skill ถ้าจะสมัครพวกนี้เค้าต้องเอาไรบ้างวะ หรือใส่พวกภาษาเขียนโปรแกรมที่เราเคยทำ เค้าจะรับไหม หรือพวกนี้ไม่ต้องใช้สกิลเขียนโปรแกรมเลย ยังงงอยู่
ชอบหาข้อบกพร่อง มี logic แต่ไม่ถนัดโปรแกรมมิ่ง
- Tester
ถนัด config network, server, network priority, ประกอบคอม
- System Administrator (จะเรียก Support Helpdesk ก็แล้วแต่ Role บริษัท ดีหน่อยก็ไม่ได้เจเนรัลเบ๊)
ถนัด config network ออกแบบโครงข่าย ฯลฯ
- Network Enginner , Sales
System Engineer นี่ก็สายโปรแกรมเมอร์เต็ม ๆ เลยนะมึง
ขอถามหน่อยนะ wix กับ wordpress มันมีข้อแตกต่างกันมากป่าว
ตอนนี้กำลังเล็งอยากลองเขียนเกมเล็กๆลงเว็บดูน่ะ แต่ไม่รู้อันไหนจะเวิร์คกว่ากัน เคยลองใช้WPแค่ใส่นิยายเอง ส่วนWixยังไม่เคยใช้
แถมเขียนได้แค่โค้ดง่ายๆแบบHTML , CSS , JavaScriptอ่ะ คิดว่าน่าจะพอล่ะมั้ง... Y _ Y
ช่วงเทอมแรกๆไม่น่าไม่ตั้งใจเรียนเลย ฮือ ไปขอโทษอาจารย์ทันมั้ย...
it support ทดลองงาน 6 เดือน เป็นพวกมึงจะทำป่าวว่ะ กุสมัครไปถึงกับอึ้งเลย
กำลังจะไปสัมภาษณ์ it support หว่ะ เรื่อง network ต้องมีพื้นฐานเตรียมตัวไรไปบ้างวะ กุไปหาข้อมูลมันก็บอกแบบกว้างๆ คือ lan wan network router confignetwork อะไรพวกนี้ อยากจะลงรายละเอียดอีกซักนิดคือพวกเซิฟเวอร์เนี่ยเวลา config ส่วนมากบริษัทจะให้ทำไรวะ เช่น เปลี่ยน ip กำหนด ip เอง หรืออะไร แนะนำหน่อย
system operator นี่ต่อยอดไรได้บ้างวะ กุจะสมัคร it support ดันเอาตำแหน่ง system operator มาให้กุซะงั้น ทำงานเป็นกะอีก ให้มอนิเตอร์พวก server อ่ะ มันต่อยอดได้ไกลป่ะวะ หรือ it support กับ helpdesk ต่อยอดได้โหดกว่า
System Operator = System Admin
System Operator > IT support
IT support = ฐานต่ำสุดของสายนี้แล้ว
แต่เมืองไทย มักจะเอะอะ ๆ ก็โยนให้ IT Support หมดเลยนะเมิง ทั้งๆที่คนละสายงานชิบหาย
System Operator = System Admin = System engineer << จิงๆแล้วคนละแบบเลย สมัยกูทำงานยังไม่มีเลยนะเมิง System Operator มีแต่ Admin กะ Engineer
System Admin คือคนทำงานดูแลระบบทั้งหมด Engineer คือ มองโครงสร้างของระบบ วางแผนออกแบบระบบ แต่Admin จะสร้างไม่ได้
แต่เมืองไทยแม่งยัดเยียดหมดเลย เลยเป็นซะแบบนี้
>>378 ประเทศไทยมีแยกแต่มึงต้องอยู่ บ.ใหญ่ๆ หน่อย ไอ้บริษัที่จ่ายเงินเดือนพนักงานเดือนละ 1-2 แสนไหวน่ะ
ส่วนที่เหลือตามบริษัททั่วไปมันครือๆ กัน อย่าว่าแต่ไทยเอง ตปท. ก็เป็น บริษัทที่ไม่ใหญ่มาก มักจะจับตำแหน่ง 3-4 ตัวรวมกัน
เผลอๆ โยนงานนี้ให้ Programmer ทำอีกต่างหาก =__=
ส่วน HR ในไทยแยกงาน IT Support กับ System ทั้งหลายเหล่ ไม่ได้มองเป็นตำแหน่งเดียวกันเพราะฐานเงินเดือน แค่นั้นจริงๆ
โปรแกรมเมอร์หลายคนประกอบคอมไม่เป้นนะเมิง
ebook ใหม่ๆโหลดที่ใหนได้มั้งนะโม่ง ขออัพเดทใหม่ๆนะ
ค่าหนังสือแพงนะ ไม่มีตัง
Code Star นี่มันหลอกลวงป่าววะ
สึส กุเคยทำโปรแกรมเมอร์แล้วไม่ผ่านโปรแล้วตอนนี้บอสัททำพวก it, support engineer ติดต่อให้ไปทำงานด้วยวะ สัมพาดผ่านแล้ว ให้เงินเดือนเท่าตอนทำโปรแกรมเมอร์เลยแต่บวกค่าวิชาชีพอีก 3k เท่ากับว่าเยอะกว่าที่กุทำโปรแกรมเมอร์ที่เก่าอีกน่ะ สวัสดิการก็ดี ดีมากอยู่แหละ บริษัทก็ใหญ่ แต่กุไม่บอกหรอกบริษัทไหน คือหน้าที่ก็พวกเช็คสต้อก hardware ดูเซิฟเวอร์ว่าทำงานปกติไหม ออกใบ https ความปลอดภัยให้เว็บไรพวกนั้น(บริษัทให้บริการอันนี้เหมือนกัน) ละก็แตะพวก unix, linux นิดหน่อย(จริงๆ) กุต้องคอนเฟิมเค้าไวๆ ว่ะ ยิ่งตอนนี้กุว่างงานอีก แต่ใจนึงกุก็อยากไปทำโปรแกรมเมอร์ คือตอนนี้ก็ลุ้นโปรแกรมเมอร์อีกที่นึง เค้าบอกจะติดต่อมาเร็วๆ นี้ คือกุรุ้สึกมีแววว่าจะได้นะ แต่ขอไม่บอกเหตุผลเดี๋ยวคนรุ้จักมาอ่านแล้วซวยสัส ตอนนี้กุต้องเลือกถ้ากุรองานโปรแกรมเมอร์แล้วกุไม่ได้ แม่งแป๊กเลยน่ะงานต้องหาใหม่อีกซักระยะ แต่ถ้ากุเลือกงานอันแรกคือ it พวก support engineer ไรพวกนั้น เงิน สวัสดิการดีก็จริง แต่กุไม่ค่อยมั่นใจในอนาคตว่ะ ว่าจะไปต่อสายอะไรยังไง กุเลยยังลังเลอยุ่ เพราะต้องให้คำตอบเค้าเร็วๆ นี้ว่ะ ใครก็ได้ให้ความเห็นกุหน่อย
programmer ถ้ามึงเก่งจริง ไม่ต้องทำงานบริษัทก็ได้ เขียน app ขาย หรือไม่ก็ทำ web ที่เป็นพวก service รายได้มากกว่าทำงานบริษัท
ปล่อย resume ปุ๊ป แป๊ปเดียวมีคนโทรมาตามลากให้ไปทำงานด้วยเพียบ
แต่ถ้ามึงกาก อย่าพึ่งทำ เพราะไม่ค่อยมีที่ไหนสอนงานให้หรอก ไปปุ๊ปก็โยนงานใส่ทำไม่ได้เค้าก็ไม่เลี้ยงไว้ให้เปลืองเงินหรอก
กุพลาดเลยหว่ะพวกมึง ปฎิเสธอีกบอสัทนึง บอสัดใหญ่ สวัสดิการดี เงินดี(งาน support, network) เพื่อรอโปรแกรมเมอร์ แม่งงานโปรแกรมเมอร์ดันไม่โทรหากุอีก 555 ซวยสัสๆ
เห็นฝรั่งชอบเล่นมุกว่าเสียเวลาทำงานไปเยอะเพราะโง่ลืมใส่ ; เวลาเขียนโปรแกรม
กูสงสัยว่าพวกนี้ compiler มันเตือนกันแบบเห็นชัดๆเลยไม่ใช่หรอวะ ทำไมเอามาเป็นประเด็นเล่นกันได้ขนาดนั้น
จ่ายไป 300 บาท นั่งเรียน Web Dev บน Udemy...
โม่งคนไหนสนใจงานมั่นคงดี ๆๆๆๆๆ ลองดูที่นี่ได้เลอ
>>395 มึนๆกับชื่อตำแหน่งภาษาไทย นักวิเคราะห์ระบบ/นักวิเคราะห์ระบบอาวุโส นี่มันคือ
System Analyst กับ Senior System Analyst ใช่ป่ะ
requirement งานค่อนข้างน้อยนะสำหรับตำแหน่ง SA (และเงินเดือนเริ่มต้นก็น้อยด้วย)
หรือ SA เค้ามันงานคนละอย่างกับ SA ที่เรียกกันทั่วๆไปวะ
เขานิยม JavaScript กันแล้ว เซิฟเวอร์ที่รันมันราคาถูกลงแล้วรึ?
โง่ math สัสๆนี้ จะมีผลกับการเขียนโปรแกรมปะวะ
แต่แบบหัดโค้ดไปและพัฒนาคณิตศาสตร์จาก Khanacademy ไปนะ
>>402 สำหรับกูไม่นะ แต่งานเขียนโปรแกรมบางสายมันต้องมีความรู้เรื่องพวกนี้ด้วย
เช่นแข่งเขียนโปรแกรม พวกเน้นเขียนเกี่ยวกับ algorithm ที่ซับซ้อนมากๆ หรือพวกโปรแกรมเกี่ยวกับ multimedia บางด้าน
ถ้าพวกเขียนโปรแกรมทั่วๆไปกูว่าเข้าใจพื้นฐานหรือหลักการนิดๆหน่อยๆก็พอ ลืมก็เปิดหนังสือเช็ค
จำเป็นต้องใช้ทำอะไรเป็นพิเศษก็หา library สำเร็จรูปมาช่วยเอา
พื้น math มีก็ดี แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจำเป็น สายที่เกี่ยวกับคอมมากๆหน่อยจะเป็นพวก Discrete math จะเอาไว้ดูเล่นๆก็ได้
กูว่าสิ่งสำคัญสำหรับการเขียนโปรแกรมคือเข้าใจพื้นฐานนิดๆหน่อยๆแล้วลองไปทำโจทย์
ตรงนี้จะช่วยให้เห็นภาพว่าการเขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหามันเป็นยังไง ได้ไอเดียการประยุกต์การใช้ความรู้พื้นฐาน
ต่อมาคือความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีที่ใช้ รู้ว่ามันมีความสามารถอะไรมาทุ่นแรงเราได้บ้างแล้วใช้ให้ถูกทาง รู้ว่าเวลาเกิดปัญหาต้องแก้ยังไงอะไรพวกนี้
จะบ้าไล่ตามเทคโนโลยีอะไรกันนักหนา อยากเขียนโปรแกรมเก่งน่ะฝึก math ไว้เหอะ
ดูอย่าง n-gram ค้นพบกันมานานกี่ปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังใช้กันอยู่
เก่ง match อย่างเดียว เงินเดือนไม่ไปไหน
พูดเก่ง present ตัวเองเก่ง เทคใหม่งูๆ ปลาๆ เงินเดือนพุ่งเอาๆ
โง่ match ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าโลกนี้ยังมี stackoverflow
>>405 เอิ่ม คือถามจริงๆเถอะว่า n-gram นี่คนเขียนโปรแกรมใช้ประจำหรอ ต่อให้มึงใช้ประจำมึงจะนั่งเขียนใหม่เอาตั้งแต่ต้นหรอ
ไม่ได้ทำงานสาย algorithm เฉพาะทางมากๆที่ต้องวิเคราห์เรื่องพวกนี้กันแบบละเอียดรู้ไปก็ไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้น
ไอ้การมีเทคโนโลยีดีๆช่วยแต่ดันใช้ไม่เป็นหือใช้ผิดแล้วแก้ปัญหาไม่ได้นี่แหละตัวทำเปลืองแรงเปลืองเวลาของแท้
ถ้าแค่จะเขียนเว็บเฉยๆ math ไม่ต้องก็ได้ รู้ไปแค่สะดวกขึ้นหน่อย
แต่อยากให้รู้ไว้ งานสาย AI machine deep learning ใช้ math มาก เรื่องสถิติ หาอนุพันธ์ ใช้เยอะ อย่าปิดตัวเองเลย งานสายนี้กำลังมา รู้ไว้ก็ดี
https://pantip.com/topic/36057197
คิดว่าที่บอกเงินเดือนตัวเองเยอะๆในกระทู้นี้โม้ตามสไตล์ pantip ป่าววะ
>>402 ถ้าสายพัฒนาอัลกอริธึม โมเดล (งานสายนี้กำลังเริ่มบูม)
แต่ถ้า enterprise ทั่วไปก็ แค่ + - * / ปกติ เน้นฝึกวิธีการคิด การมองระบบแบบ OOP ดีกว่า
ถ้าบริษัทเปิดกว้างหน่อยเน้นอัพเดทตามเทคโนโลยีอยู่เสมอ จะทำให้เราพัฒนาระบบง่ายขึ้น
เน้นเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับระบบ จะลดเวลาการพัฒนา
เออขอเพิ่มเติมนิดนึง กูสาย .NET แต่ตอนนี้อยากทำ fullstack javascript ว่ะ ใครมีโปรเจคแปลกๆ น่าสนใจแนะนำมั่งวะ
อันนี้ความรู้สึกกูนะ เลขอาจจะใช้ในการเขียนโปรแกรมบางด้านก็จริง แต่ไม่ได้เหมือนเวลาเรียนเลขอ่ะ
กูเป็นคนนึงที่มั่นใจเรื่อง logic ตัวเองนะ เรียนเลขแล้วกูเข้าใจหลักการ (เป็นบางเรื่อง) แต่จำสูตรไม่ได้ คิดเลขไม่แม่น
แถมตีโจทย์ข้อสอบในวิชาเลขไม่ค่อยจะออก สุดท้ายทำโจทย์บนกระดาษไม่ค่อยจะได้คะแนนวิชาเลขเลยเน่ามาตลอด
แต่เวลาเขียนโปรแกรมแบบที่ต้องใช้เลขสิ่งที่จำเป็นมันคือเข้าใจหลักการ ประยุกต์เป็น แล้ว"สั่ง"ให้คอมคิดให้ ลืมอะไรก็เปิดหนังสือดู
ซึ่งมันไม่เหมือนกับการทำโจทย์เลขบนกระดาษเลย ไม่เก่งเลขกูว่าไม่ใช่ปัญหาขนาดนั้นหรอก
ถ้าเขียนๆโปรแกรมไปแล้วต้องใช้เลขสาขาไหนมาช่วยก็ค่อยไปทำความเข้าใจเพิ่มเติมเอาทีหลังก็ยังได้
อันนี้ความรู้สึกกูนะ เลขอาจจะใช้ในการเขียนโปรแกรมบางด้านก็จริง แต่ไม่ได้เหมือนเวลาเรียนเลขอ่ะ
กูเป็นคนนึงที่มั่นใจเรื่อง logic ตัวเองนะ เรียนเลขแล้วกูเข้าใจหลักการ (เป็นบางเรื่อง) แต่จำสูตรไม่ได้ คิดเลขไม่แม่น
แถมตีโจทย์ข้อสอบในวิชาเลขไม่ค่อยจะออก สุดท้ายทำโจทย์บนกระดาษไม่ค่อยจะได้คะแนนวิชาเลขเลยเน่ามาตลอด
แต่เวลาเขียนโปรแกรมแบบที่ต้องใช้เลขสิ่งที่จำเป็นมันคือเข้าใจหลักการ ประยุกต์เป็น แล้ว"สั่ง"ให้คอมคิดให้ ลืมอะไรก็เปิดหนังสือดู
ซึ่งมันไม่เหมือนกับการทำโจทย์เลขบนกระดาษเลย ไม่เก่งเลขกูว่าไม่ใช่ปัญหาขนาดนั้นหรอก
ถ้าเขียนๆโปรแกรมไปแล้วต้องใช้เลขสาขาไหนมาช่วยก็ค่อยไปทำความเข้าใจเพิ่มเติมเอาทีหลังก็ยังได้
ถามหน่อยดิโม่ง เวลาสมัครงาน สมมุติ ผ่าน 5 ที่ ทำไงต่อดีวะ ต้องไปแคนเซิลที่เราผ่านรึปล่าววะ แล้วจะมีผลอะไรกับอนาคตใหมวะ กูกลัวโดน HR เกลียดขี้หน้าว่ะ เผื่อ 2 ปีย้ายไปสมัครใหม่อาจกลายเป็นโดนบอยคอต 4 ที่แบบนี้รึปล่าววะ วงการนี้มันเป็นยังไง
โม่ง กุสงสัยหว่ะ เวลาเขียนอัลกอก่อนแล้วพอมาจับมาแปลงเขียนเป็นโค้ดนี่มันจะมีบางจุดที่เข้ากันกับโค้ดไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องปกติป่ะวะ?
>>417 ไม่ควรจะเป็นนะ ลองดูว่าเขียนอัลกอผิด เลือกอัลกอผิดหรือไม่เหมาะ หรือเจอข้อจำกัดของภาษาบางอย่างแล้วดัดแปลงไม่ดีพอ พอเขียนอัลกอบางอย่างในจาวาได้ พอมา C++ แล้วเจ้ง บางทีอาจจะลืมไปว่าไม่มี garbage collection แล้วอัลกอที่เขียนก็ไม่ได้มีจุดที่ไว้จัดการเมโมรี่ไง เจอหนักๆ เข้าแม่งก็ค้างได้ หรือพวก float array arithmetic การ pass ค่า การ assign ค่า อะไรแบบนี้แม่งมีเรื่องที่ปกติไม่ต้องมาแคร์เลยด้วยซ้ำ แต่บางทีมันก็พาซวย
กูเขียนอัลกอภาษาc แต่ว่าเขียนโค้ด้เป็นpython ปัญหาคือ ตอนกูใช้ฟังก์ชันinput อ่ะ กูไม่รู้ว่าจะใช้ยังไงให้ถูกมาตรฐานของcomplierหรือIDE ส่วนใหญ่มากที่สุด ทุกวันนี้กูยังงงๆเลยว่าinput() ของpythonมันใช้งานกับตัวแปรยังไง คือ งงมาก
พวกมึงเคยเป็นเด็กใหม่แล้วเจอให้ไปที่ไซต์ลูกค้าไหม กุนั่งงมบัคทั้งวันเลยว่ะ เสร็จไม่ทันอีก โดนกดดันอยุ่เนี่ย แล้วที่ไปมีกุคนเดียวอีก
เด็กจบใหม่เรียกเงินเท่าไรดี?
มันขึ้นกับหลายปัจจัยนะ ทั้งชื่อสถาบันกับเกียรตินิยมถ้ามีก็โก่งค่าตัวเพิ่มได้ ข้อสอบบริษัทเค้าทำได้คะแนนดีรึเปล่า
ภาษาอังกฤษได้รึเปล่า บริษัทต่างชาติที่ไม่ใช่อังกฤษหรืออเมริกาถ้าได้ภาษาบริษัทแม่ก็โก่งเพิ่มได้
ถ้าทำงานสายที่คนไม่ค่อยอยากทำเช่น COBOL หรือกำลังบูมแล้วคนไม่พอตลาดอย่าง mobile ก็จะได้มากกว่าสายอื่น
แนวทางของตัวบริษัทเองก็ด้วย บางที่เน้นสวัสดิการแต่เงินน้อย บางที่ก็เงินเดือนเยอะแต่สวัสดิการน้อย
รุ่นกูนี่มีตั้งแต่ 15k จนถึง 48k เลย เรียกว่าส่วนต่างมันกว้างมาก
ในรุ่นถ้าทำงานใน กทม. เรียนเก่งเกรดดี 3.0+ พื้นฐานเขียนโปรแกรมแน่นพอประมาณ แต่โปรไฟล์ไม่มีอย่างอื่นหวือหวาจะได้ประมาณ 22-26k กัน
อาจจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยหน่อยเพราะเป็นภาคอินเตอร์
กูสงสัยนะ พวกเด็กราม มสธ. ที่เรียนcom sci กับ IT มา ตอน บ. เค้าจะรับเข้าทำงานไรงี้จะดูอะไรมั่งวะ? เพราะมหาลัยมันเปิด แถมไม่ได้คัดเด็กเหมือนที่อื่นๆอีก
ตามนั้นวะ ข้อสอบ คือถ้าไม่มีความรุ้แม่งจะทำข้อสอบได้ไง อันนี้เป็นข้อสอบประมาณมีเทสเขียน ต่อ base นุ้นนี่นั่น เล็กๆ น้อยๆน่ะ ถามว่าเคยทำไรมามั่ง
เท่าที่กูตามหามานานสัสๆ ตอนนี้ในไทยแม่งไม่มีที่ไหนรับพวกเขียนpythonเข้าทำงานเลยเหรอวะ? มองไปทางไหนก็เจอแต่javaๆๆๆ มันเขียนง่าย พัฒนาง่ายกว่าภาษาตัวอื่นหรือยังไง?
ทุกวันนี้กูเป็น Java Programmer อยู่ ซึ่งกูเลือกเพราะชอบภาษานี้ อยู่มาก็ไม่นานมากหรอก
แต่ทุกวันนี้พยายามเรียนภาษาอื่นๆแล้วรู้สึกมันไม่เข้าหัวเลยว่ะ เหมือนเคยชินกับภาษานี้ไปแล้ว ไปเขียนภาษาอื่นเจออะไรนิดหน่อยก็ขัดใจไปหมดว่าทำไมไม่เหมือน Java
แต่ Java มันก็เริ่มขาลงแล้ว ถึงจะยังไม่ตายสนิท กูก็เริ่มกลัวนะว่าวันนึงจะกลายเป็นคนแก่ที่หนีไปไหนไม่ได้เพราะทำงานกับเทคโนโลยีเก่ามานานจนหัวไม่รับอะไรใหม่ๆแล้ว
เพื่อนโม่ง กูอยากเขียนโปรแกรมเป็นว่ะกูชอบ กูควรเริ่มไงว่ะ กูเคยลองหัดเขียนเองซื้อหนังสือมาหมดไปหลายพันไม่ได้เหี้ยอะไรเลย
แต่กูอยากศึกษาอีกครั้ง มึงแนะนำหน่อยกูควรเริ่มยังไง
>>433 กูมั่นใจว่าตัวเองแม่น algorithm พื้นฐานที่ใช้บ่อยๆครบนะ วิชาสายประยุกต์ algorithm ก็ทำได้ดีมาตลอด
คือไม่ได้เก่งถึงขั้นแข่งเขียนโปรแกรมแนวโอลิมปิกคอมไหวแต่ก็คิดว่าดีกว่าค่าเฉลี่ยของคนรุ่นเดียวกันอยู่
พอมาทำงานจริงทำ backend ธรรมดาๆชีวิตมันวนเวียนอยู่กับ CRUD ง่ายๆไม่กี่แบบ
ตอนนี้เลยเริ่มทำโจทย์แนวประยุกต์ยากๆหน่อยไม่ไหวแล้ว แต่พื้นฐานยังแม่นอยู่
ปัญหาที่กูเจอคือเวลาเรียนภาษาใหม่ๆมันเกิดความรู้สึกต่อต้านอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมมันต้องออกแบบ syntax มาแบบนั้นแบบนี้วะ
Java เคยเขียนแบบนี้ทำไมภาษานี้มันต้องเขียนอีกแบบด้วยวะ กูชอบและชินกับ syntax Java จนเหมือนใจไม่เปิดรับอะไรใหม่ๆ
ซึ่งมันไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีหรอก แต่กูพยายามแก้ตั้งแต่ตอนเรียนปี 2 จนทุกวันนี้ทำงานมาหลายปีนอกจากไม่หายแถมยิ่งอาการหนักกว่าเดิม
บางเรื่องก็ไม่ใช่แค่ syntax แต่เป็นเรื่อง library หรือ framework ซึ่ง Java มีเยอะ พอภาษาใหม่ๆบางตัวไม่มีแบบที่เคยใช้มันก็ขัดใจไปหมด
นานๆทีเจออะไรที่ Java เคยต้องเขียนเยอะๆ แต่ภาษายุคใหม่เขียนได้ง่ายๆกูก็จะแบบ เออ หรอ ก็เจ๋งดี แล้วก็กลับไปเขียน Java เดิมๆของกูต่อไป
ส่วนนึงคือกูคิดว่ามันยังไม่มีเหตุให้ต้องเขียนภาษาอื่นแบบจริงจังด้วย มันเลยเหมือนไม่มีแรงผลักดัน
ภาษาอื่นที่เคยต้องศึกษาแล้วเอามาทำงานจริงจังอยู่ช่วงนึงคือ JS + JQuery ทำ UI ที่โดนบังคับมาทำฝั่งนี้เพราะคนไม่พอ
ผลคือกูเกลียดแม่งทุกอย่างตั้งแต่ concept พื้นฐานของภาษา JS (ยังดีที่มี jQuery ช่วย ไม่งั้นคงเกลียดมันมากกว่านี้) ยังเนื้องานของ frontend
สุดท้ายทนทำมา 4 เดือนยังไม่มีวี่แววจะได้กลับไปทำ Java backend กูก็ทนอยู่ไม่ได้ ต้องขอย้ายโปรเจคไปเลย
>>434 ตอบแบบปีหนึ่งไปแนะนำน้องม.5 ที่โรงเรียนแล้วกัน
ถ้าเป็นแล้ว (อ่ะ สั่งให้เขียน bubble sort ในภาษาที่บอกว่าเป็นได้แล้วกัน) ก็ learnxinyminutes.com เลย อ่านโค้ดเป็นหนึ่งภาษาก็อ่านโค้ดเป็นทุกภาษา (ยกเว้นไอ้เหี้ยจัญไรๆ พวก Assembly)
ถ้าไม่เป็น เชิญ Codecademy แนะนำให้เรียน Python -> HTML -> CSS -> JavaScript จะได้เริ่มจากภาษาโปรแกรมมิ่งให้เข้าใจการทำงานของคอมก่อน คือเหมือนหย่อนตีนเข้าไปใน Computer Science แล้วค่อยมาเอาลง HTML CSS JavaScript ไว้ทำเว็บ เพราะสาย web dev กำลังมาแล้วมันไม่ตายง่ายๆ
หลังจากนั้นก็น่าจะพอเก็ตแล้วว่าสายคอมแยกไปหลักๆ สองสายคือพวก applied เช่นเขียนเว็บ กับพวกที่ไปทางแมทหนักๆ หรือไปทางการคิดหนักๆ เช่นเขียนทำ problem solving, theory of computation, machine learning (ที่จะใช้คณิตจ๋าๆ) อะไรประมาณนั้น ก็ไปต่อเอาเอง
>>435 ไม่แปลกหรอก อะไรใช้ชินมือแล้วก็ถนัดอ่ะ นี่ทุกวันนี้คิดอะไรไม่ออกก็ Python ไว้ก่อน แซะภาษากันไปๆ มาๆ เพื่อนที่เขียน C จ๋าๆ ก็สนุกจะตาย
เออ แต่ถ้าถามว่าอยากอะไร อยากไปเรียน C/C++ ใหม่ ทิ้งไปหมดแล้ว มันคือ mandatory language ของโปรแกรมเมอร์จริงๆ เหมือนภาษาครูอ่ะ แล้วแม่ง extend ไปได้ไกลฉิบหาย
แต่ Java ไม่น่าตายง่ายๆ นะ คือโอเคมันขาลงแต่ trends ของการลดมันก็ไม่ได้ขนาดนั้นในสายตาผมแฮะ
>>434 เอ้อ ลืมบอกไป สิ่งที่เจอตอนนี้แล้วหลายคนพูดตรงกันคือเด็กชอบตัดวิดีโอชอบทำกราฟิกแล้วบอกว่าชอบคอมอยากเขียนโค้ดทั้งที่ไม่เคยลอง เฮ้ยคนละงานกันนะ ถ้าชอบโค้ดจริงๆ ส่วนใหญ่จะชอบ visualise ปัญหาแล้วแก้อะไรประมาณนี้
อ่ะ เอาโจทย์ไปหนึ่งข้อ สมมติว่ามีวงโม่ง48 แล้วอยากทำเว็บให้คนจัดอันดับเมนตัวเองโดยเปรียบเทียบทีละสองคน จะต้องเปรียบเทียบกี่ครั้งถึงกล้าพูดว่าอันดับนั้นแม่นยำ จะเรียงคนที่ชอบยังไง จะเรียงคะแนนยังไง ถ้าจะจัด 1-by-1 match คือเอาความเป็นไปได้ของการเลือกคู่ทั้งสองคู่มาให้ผู้ใช้จัดอันดับทั้งหมด จะเกิดการเปรียบเทียบ 48C2 = 1128 ครั้ง โอ้โหตายก่อนพอดี
นั่นละ เออถ้ารู้สึกทำอะไรแบบนี้แม่งสนุกก็มาถูกทางแล้ว
กู >>434 เองนะ ตอนนั้นที่กูลองเองใหม่กูหัดเขียนโปรแกรม Android ด้วย Java แต่ตอนนี้กูลืมไปหมดละ ละที่นี้กูอยากเริ่มใหม่ควรเริ่มที่ Python
ใช่ไหม บางทีกูค่อนข้างสับสนว่ากูควรทำยังไง แล้วกูขอถามหน่อย เขียนโปรแกรม Android นี้ต้องเขียนพวก code ภาษา Java เป็นด้วยใช่ไหม
เอาจริงๆกูก็อยากเขียนไรเป็นหลายๆอย่างหลายๆภาษาแหละ
ละกูควรมีโปรแกรมที่ไว้เขียนโปรแกรมไรคิดเครื่องไว้ไหม
ติดเครื่อง พิมพ์ผิด
>>439 มันคือปัญหาที่ struggling กับเราตอนนี้อ่ะ คือเข้าวิศวะคอมมาแล้วพบว่าค่อนข้างจะเบื่อๆ อัลกอหนักๆ อะไรพวกนี้ สมองไม่ไหว ก็เลยคิดว่ามันเป็น hardest path ที่คนคงไม่ "เอ็นจอย" กันเท่าไหร่นัก เลยเอามาแนะนำเพื่อที่ถ้ารู้สึกแม่งสนุกก็คือมึงไปรอดแน่ๆ 555555
>> 440 Python มันคือเหี้ยอะไรเนี่ยรันได้อ่ะมึง ในขณะที่สมมติมึงเขียน C จะรับ input ทีต้อง `int v; printf("Input v: "); scanf("%d", &v);` นี่ถ้ามึงมา Python มึง `v = int(input("Input v: "))` เลย มันเลยเป็นภาษาที่เหมาะมากกับคนไม่เคยเป็นอะไร แต่มึงจะเสียนิสัยเพราะความมั่วซั่ว
จะเขียน Android ปกติเค้าก็เขียน Java อ่ะ แต่มันก็มีทางอื่นเช่นเขียนเป็น HTML+CSS+JS แล้วใช้พวก Framework เช่น Ionic หรือไม่ก็เขียน C# ไปรันบน Xamarin ซึ่งเออ C# ก็น่าเขียน
>>441 http://repl.it/ เว็บเดียวน่าจะพอถ้ายังไม่อยากคิดอะไรมาก
กูลองเข้าไปในเว็บที่มึงแนะนำมา คำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษละกูงงฉิบหาย มีแบบภาษาไทยก่อนไหม
คหสต. การที่คิดว่ารู้ algorithm พื้นฐานครบ เขียนโปรแกรมภาษานึงได้โอเคแล้วจะต้องเขียนภาษาอื่นได้ อ่านภาษาอื่นได้นี่เป็นความคิดที่น่ากลัวนะ
คือพื้นฐานสำคัญก็ใช่ แต่การใช้เทคโนโลยีเป็นก็สำคัญ การให้โฟกัสแต่เรื่อง algorithm จนไม่สนใจเรื่องรายละเอียดของแต่ละภาษานี่แม่งไม่ใช่แล้ว
ไม่ต้องตัวอย่างหลุดโลกแบบ Assembly หรอก เอาภาษาที่คล้ายกันโคตรๆแบบ C กับ Java งี้
คนเคยเขียนแต่ C เจอ try-catch-finally ใน Java ยังไงก็งง
หรือให้คนมาเขียน Java มาเขียน C แบบมึนๆนี่เจอ memory leak เพียบแน่นอน
แต่ถ้ามันเป็นภาษาใน paradigm คล้ายๆ กันก็ควรจะงมได้อยู่นะ ยกเว้นว่าจะจำแต่ syntax แล้วไม่จำ concept
สมัครงานแล้วเจอคำถามแบบให้เขียนฟังค์ชั่นที่มองยังไงก็เป็น O(n^3) ให้เป็น O(n^2) แล้วใช้พื้นที่ O(n) แบบนี้ในเวลา 2 ชั่วโมง 5 ข้อ
มี input a เป็น array ที่มีขนาดเป็น n จงหาและนับจำนวน triplets ของ index (d, e, f) ใน array a ที่ตรงตาม 0 <= d < e < f < n และค่าต่อไปนี้เป็นจริง
a[d] + a[e] > a[f]
a[e] + a[f] > a[d]
a[f] + a[d] > a[e]
ข้อจำกัด
- ใช้ time complexity สูงสุดที่ O(n^2)
- ใช้ space complexity สูงสุดที่ O(n) ไม่รวม input
แซมเปิ้ล input [10, 2, 5, 1, 8, 12]
แซมเปิ้ล output 4
ตัวอย่าง index ของ triplets ที่ตรงตามโจทย์
(0, 2, 4), (0, 2, 5), (0, 4, 5), (2, 4, 5)
ไม่ใช่ที่สอบอะนะ แค่ตัวอย่างจากที่เดียวกัน
โจทย์นี้ทำเองได้แค่ O(n^3) ไปดูเฉลยแล้วทำ O(n^2) ได้จริงๆ
ที่โดนให้ทำมีทั้งยากกว่านี้และง่ายกว่านี้ แต่เวลาจำกัดกว่าเยอะ เลยทำได้แค่ไม่กี่ข้อ มั่นใจว่าไม่ผ่านชัวร์
>>452 อ่านโจทย์แล้วพอเห็นคำตอบคร่าวๆ แต่ยังไม่ได้ลองว่าใช้ได้จริงมั้ย
2 ชั่วโมง 5 ข้อสำหรับโจทย์แนวนี้แม่งโหดนะ โคตรโหดเลยด้วย สำหรับเด็กคณะกูทำได้ 1-2 ข้อก็เทพแล้ว
ว่าแต่งานมึงเป็นสายที่เน้นเรื่อง algorithm หรอถึงเอาโจทย์แบบนี้มาให้ทำ ถ้าไม่ใช่นี่กูว่ามันวัดว่าทำงานได้รึเปล่าแทบไม่ได้เลยนะ
ky อยากเป็นแฮกเกอร์นี่ทำไงวะ
>>456 https://www.youtube.com/watch?v=KEkrWRHCDQU
ลองดู tutorial อันนี้ดูมึงน่าจะพอเห็นภาพมากขึ้น เสร็จแล้วลองทำตามดูมึงจะรู้เองว่าต้องเรียนเรื่องอะไรบ้าง
ที่เหลืออยากรู้เรื่องไหนก็พึ่งอาจารย์ Google เอาเป็นเรื่องๆไป
เวลาไปสัมภาษณ์งานนี่เค้าจะถามเกี่ยวกับอะไรบ้างวะ
แล้วพวกข้อสอบนี่จะออกเป็นแนวไหน
>>460 ถามเรื่องทั่วไป กับทำอะไรมาบ้าง ถ้าไม่ตอบอะไรพิลึกๆ น่ะผ่านหมดไม่สนเท่าไหร่หรอก
วัดกันที่ portfolio กับ logic เวลา test ล้วนๆ
ส่วนสอบ กูเคยเจอแบบเชี่ยหนักๆ
skype สัมภาษณ์ไปด้วย แล้วจับ test online กันเดี๋ยวนั้น
เปิด web กลางคล้ายๆ พวก google doc ฝั่งโน้นตั้งโจทย์
แล้วด้นสดอะไรๆ มองเห็นหมด code ยังไง ตรงไหนผิด
ตรงไหน logic ห่วย สนุกสนาน
ปัญหามันไม่ใช่ให้เขียนลงกระดาษหรือไม่ไง มันคือในโลกจริง ไม่มีใครเขาโค้ดกันแบบนั้น
online test/whiteboard test พวกนี้มันแทบวัดห่าอะไรไม่ได้เลย เพราะมันเป็นคนละสกิลกับการทำงานจริง
คือมึงต้องหัดทำพวกนี้บ่อยๆ ถึงจะทำได้ดี แต่โอกาสใช้มีแค่เวลาสัมภาษณ์งาน แล้วเวลาทำงานจริงมันใช้สกิลอีกอย่าง
สกิลอีกอย่างตอนทำงานนี่มึงจะสื่อถึงมันก็คือประสบการณ์ในด้านการเขียนโปรแกรมนั้นๆใช่มั่ยวะ? แล้วพวกโปรแกรมเมอร์นี่จะไปหาของพวกนี้จากไหนมาเก็บเกี่ยวไว้เผื่อใช้ตอนสัมฯอ่าา?
เรื่องการทดสอบแบบวัดว่าคนทำงานเป็นรึเปล่าไม่ได้นี่เป็นอะไรที่กูไม่ชอบเลย
บางครั้งมาจาก HR หรือพวก Sale ยังพอเข้าใจได้ว่าเค้าไม่ได้ทำงานสายนี้โดยตรง
แต่มาก Programmer หรือ SA นี่บางทีก็ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้ไม่รู้จริงๆหรอข้อสอบแบบนี้มันวัดอะไรไม่ได้น่ะ
>>465 ตอบแบบทื่อๆ ก็ประสบการณ์ ตอบแบบดีๆ หน่อยก็ domain knowledge
เช่นสมัครบริษัททำเว็บข่าว ระบบมันเป็นแค่ CRUD ธรรมดาๆ แต่สัมภาษณ์สั่งให้ invert binary tree มันก็ไม่ใช่ป่ะ
domain knowledge ในกรณีนี้จะเป็นประเภท รู้จักไหมว่า N+1 คืออะไร MVC คืออะไร ควร cache อะไรตรงไหน
ประเด็นของกูคือ ที่ให้ทดสอบเขียนโปรแกรมส่วนใหญ่มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำเลยไง
มันมีเยอะนะ คนที่ทำทดสอบเขียนโปรแกรมมาได้ดี แต่ทำงานจริงแทบไม่ได้
มีตั้งแต่รู้อัลกอริธึ่มแต่ไม่รู้จักภาษาที่จะใช้งานดีพอ เลยเสียเวลาเขียนอะไรที่มีอยู่ใน standard library ซ้ำ
ใช้ HAVING/GROUP กับ aggregate function ไม่เป็น เลยลูปทุกแถว (บน local ไม่ต้องห่วง roundtrip แต่บนเซิฟเวอร์มันมี overhead)
ตัวอย่างชัดๆ หน่อยก็ทำระบบ login แล้วเก็บรหัสผ่านเป็น plain text แทนที่จะใช้ password hash function (อันนี้คือไม่มีประสบการณ์)
หรือทำระบบ login แล้วเก็บรหัสผ่านด้วยการเข้ารหัส (อันนี้คือประสบการณ์ไม่พอ ให้ถูกคือต้องใช้ one-way hash เช่น PBKDF2 หรือ bcrypt)
ทั้งหมดนี้คือ domain knowledge ที่การที่ทำ invert binary tree บน whiteboard ได้ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
โม่งกุมีโจทย์ข้อสอบเก่าของวิชาalgorithm(เป็นแค่พื้นฐานการเขียนflowchartนะ ยังไม่เข้าเรื่องพวกบิ๊กโอหรือdata structureเลย) ที่ อ. แจกให้ลองฝึกๆทำดูหว่ะ โจทย์มันว่างี้นะ
.
กำหนดให้Array A(1000) และ B(1000) โดย A คือ จังหวัดที่ขายสินค้า(sort) แล้ว และBคือ จำนวนสินค้าที่ขาย ดังตัวอย่าง
---------------------------------------------
|_________A__________|__________B__________|
__________1__________|__________12_________
__________1__________|__________23_________
__________2__________|__________50_________
__________3__________|__________45_________
________......__________|__________72_________
________......__________|__________....._________
________......__________|__________....._________
________76__________|_________120_________
________76__________|_________12__________
________77__________|_________24__________
________77__________|_________23__________
โดยแต่ละจังหวัดมีจำนวนพนักงานขายไม่จำเป็นต้องเท่ากัน เช่น
จังหวัดที่1 มีพนักงานขาย 2 คน ในขณะที่บางจังหวัดอาจจะมีพนักงานขายถึง 50 คน ให้เขียนผังโปรแกรมในการทำงานเฉพาะส่วนของการออก รายงานดังนี้(สมมติว่าข้อมูลดังกล่าวอยู่ในmemoryเรียบร้อยแล้ว) ข้อตกลงการทำงานมีดังนี้ คือ ห้ามสร้างArrayเพิ่มนอกเหนือจากที่กำหนดให้(A,B) มาทำงานนี้ โดยรายงานที่ปรากฎมีรูปแบบดังนี้
------------------SALE REPORT MAY 2015---------------------
|___AREA____|____NO.__of__SALE__MAN__|____SALE__VOL____|
______1______|______________2______________|______35___________|
______2______|______________1______________|______50___________|
______....._____|_____________..... _____________|______....___________|
______....._____|_____________..... _____________|______....___________|
______....._____|_____________..... _____________|______....___________|
_____77______|______________3______________|______80 __________|
______________________TOTAL__OF__SALE=................____________
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ.แกไม่ได้เคร่งมากเรื่องทำแสดงoutputออกมาให้เป็นตารางนะ ขอแค่ทำให้ตัวเลขออกมาในตำแน่งถูกต้องและค่าไม่เพี้ยนก็พอ
.
สิ่งที่กูงงสัสๆเลยคือ ตอนกูเขียนflowchartอ่ะ กูต้องสร้างพวกกล่องรับข้อมูลเข้าArray A กับ Bไรพวกนี้อีกมั้ยวะ? พอดีลองทำเองละไปดูเฉลยที่รุ่นพี่ทำๆกันกลับกลายเป้็นว่ากูสร้างมาเกิน แล้วไอคำว่า "สมมติว่าข้อมูลดังกล่าวอยู่ในmemoryเรียบร้อยแล้ว" นี่สื่อถึงอะไรวะ?
เข้าใจว่าน่าจะหมายถึงไม่ต้องเขียนว่ารับข้อมูลมา assume ไปได้เลยว่า A, B มีอยู่แล้ว
โจทย์มันให้นับจำนวนว่า A ซ้ำกันกี่ครั้ง (= จำนวน salesman) แล้วเอา B ที่ตรงกับที่ A ซ้ำไป sum (= จำนวน sales) ใช่ไหม
ถ้ากูลืมพวก big o แถมเขียน flow chart ไม่เป็น . แต่ใช้ framework เป็น ทำออกมาเป็นชิ้นงานได้ . เปอร์เซนต์ผ่านจะเป็นไงบ้าง . framework มันใหญ่มากว่ะแถมพวกที่กูไม่ได้ใช้ก็ลืมหมด . จะเจอไรบ้างวะ
>>473 อันนี้กูสงสัยหน่อยๆ ปกติยังเรียน flow chart กันเหรอวะ ของม. กู ไม่เน้นเลย เลย เขียนระบุ รับส่ง input นี่ไม่มี แต่จะเป็นการเขียนอธิบายอัลก่อว่ะ ไม่บอกวิธีทำงานยิบย่อย เน้นอธิบายแนวคิด คือ ถ้าไม่แยกเช็ค if/loop นี่จับstatement หลายอันรวมกันเลย ส่วน big o กูว่าใช้จริงนี่ดู loop แล้วตอบคร่าวๆ เอา สองloop ก็ n^2 พวก binary tree ก็ log n ไรงี้ กังวลจำไปก็ได้มั้งคืนเดียวพอกูว่า framework ใครๆ ก็ลืมพูดเลย มีงานไปให้เขาดูนี่ดีกว่าอีก
>>473 กูเรียนราม มันเลยมีวิชาเขียนอัลกอแบบพื้นฐานอยู่นะ เป็นวิชาแยกจากดิสครีตเลย ส่วนตัวกูมองว่าโอเคดีนะ เหมือนปูพื้นฐานให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องห่าไรเลยมาเรียนจริงๆ ปีหนึ่งเทอมหนึ่งมีวิชาแนะแนวแบบintro to comsci หลักสูตรดูเก่าไปหน่อยแต่ก็แหงหละ มหาลัยค่าหน่วยกิต25-50บาทเอาไรมากวะ ดิสครีตไม่เรียนถึงbig o นะ เพราะปีนี้อ.สอนดิสครีตคนล่าสุดเกษียณไป คนใหม่มาสอนแทนเลยให้แนวเนื้อหาง่ายมากๆ(เนื้อหาหนักสุดแค่ การนับ และ reccurence function เพราะเน้นความน่าจะเป็นกับพวกลำดับอนุกรม ) ขนาดพวกหัวข้อตรรกศาสตร์ยังไม่มีพวกproofกับfor all for some เลย(เห็น อ. แกบอกว่าเรื่องแนวๆนี้เจอในวิชาAI เนื้อหายากเกินสำหรับปี1 ) ไอพวกวิทย์คอม ม.ดังๆ หรือมหาลัยที่เด็กเทพเยอะกูมองว่าคณบดีก็อยากท้อปฟอร์มไรงี้มั้ง มันเลยเอาวิชาเขีนรflow. ไปยัดลงวิชาเขียนc หรือดิสครีตแทน แล้วตอนออกข้อสอบนี่นรกเหี้ยๆหว่ะ ยิ่งข้อเขียนยิ่งอเวจีเลยมึง กูรู้สึกลอยลำมากๆที่วิชาดิสครีตที่กูจะสอบตอนนี้เห็นB+มาแต่รำไรเพราะเสือกออกข้อสอบแบบปรนัยอีกตะหากกกกก
คณะกูสอนเขียน flowchart ในวิชา C ซึ่งเป็นวิชาสอนเขียนโปรแกรมตัวแรกของคณะที่เจอตั้งแต่เทอม 1 เลย
มาแบบไม่มีวิชา Intro ปูพื้นตัวอื่นมาก่อนซึ่งเป็นวิชาที่ทำเด็กเหวอแดกเยอะมาก
ยิ่งเจอวิธีการสอนของอาจารย์ที่โยนโจทย์ยากๆใส่เด็กตั้งแต่แรกๆยิ่งทำให้เด็กกลัวโดยไม่จำเป็นเข้าไปอีก
ส่วน discrete นี่สอนในเชิง math เพียวๆเลย อาจารย์ที่สอนก็เป็นอาจารย์สอน math
เท่าที่นึกออกมีตรรกะศาสตร์ matrix vector ทฤษฏีจำนวน ทฤษฏีกราฟ อะไรพวกนี้
หลักๆก็เป็นเลขส่วนที่ควรจะรู้ concept ไว้สำหรับคนที่ต้องเขียนโปรแกรม (ยกเว้นทฤษฏีจำนวน?)
ส่วน Big O เรียนในวิชาอีกตัวที่สอนเกี่ยวกับ Data Structure กับ algorithm ในเชิงการเขียนโปรแกรมไปเลย
ปล. ทำงานจริงกูว่าใช้ framework เป็นสำคัญกว่าจริงๆนะ แต่พื้นฐานรู้ไว้คร่าวๆก็ดี
อย่างเรื่อง Big O ไม่ต้องรู้ลึก แต่ก็เอาไว้เตือนสติให้ระวังการเขียนโค้ดแบบที่ทำให้โปรแกรมทำงานมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ไรเงี้ย
>>477 ไม่รู้นะ ม.เราคนละที่กับ 476 แน่ๆ แต่ปีหนึ่งมี Computers and Programming หนึ่งตัว (ซึ่งวิศวะสอนรวม แต่ภาคคอมแยกออกมาด้วยเนื้อหาไม่เหมือนชาวบ้าน) ก็เจอทั้ง fibonacci และ factorial นะ แต่ไม่หย่อนตีนเข้าไปใน Dynamic Programming หรืออะไรพวกนี้ แค่นี้บางคนที่ไม่เคยเรียนคอมมาก็ร้องไห้แล้ว
ดังนั้นก็เลยไม่รู้ว่าปกติไหมที่ถ้าบอกว่าพวก recursion หรือ algorithm ที่เริ่มจะหย่อนตีนลงไปเนี่ย สอนเวลานี้ก็ปกติดีละ
เข้าประเด็นนี้ก็นึกขึ้นได้ ทำไมบ้านเรามันมีคนคิดว่าใช้ Word ใช้ Excel เป็น ชอบเล่นเน็ต เลยอยากลองเป็นโปรแกรมเมอร์เยอะจังวะ
>>479
เมื่อก่อนมีสถาบันอบรมคอมพิวเตอร์(เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่นะ แถวๆคลองตันแต่ตอนนี้เจ๊งหนักมาก สอนได้แต่พิมพ์สัมผัสไวแล้ว) สมัยนั้นมันสอนแต่พวกพิมพ์ดีด การใช้คอมฯเบื้องต้น พวกโปรแกรมสำนักงานทั้งหลายแหล่ ไม่ได้สอนถึงขั้นตัดต่องานกราฟฟิก วิดีโอ สามมิติมากมายก่ายกอง หรือสอนเขียนโปรแกรมเหมือนสมัยนี้ ผู้ใหญ่ยุคเบบี้บูมเบอร์มันทันเรื่องพวกนี้พอสมควรในช่วงวัยทำงานเลยเป็นตัวปลูกฝังให้คนรุ่นเจนxกับy คิดกันว่าใช้คอมเป็น เล่นเน็ตได้ โปรแกรมเอกสารได้คือผ่าน ทั้งๆที่จริงแล้วมันคนละเรื่องเลย โลกวิทย์คอม วงการไอที มันเปลี่ยนไปเร็วมาก นี่คือสิ่งที่กูคิดนะ
>>477 กูขอไม่บอกละกัน แต่เป็นมหาลัยรัฐค่อนข้างดังในไทย
ฟังดูเหมือนเรียนกันโหดนะ ซึ่งก็โหดจริงๆแหละ ยัดห่าอะไรมาไม่รู้เยอะมาก
แต่ผลที่ออกมามันไม่ได้ดีหรอก คนที่เรียนจบมาได้แล้วเขียนโปรแกรมได้จริงๆจังๆด้วยนี่มีไม่เยอะ
ถ้าจำทฤษฏีไปทำข้อสอบได้ก็ผ่านแบบคะแนนไม่น่าเกลียดแล้ว โปรเจคก็ไปหาเกาะคนเก่งๆเอา
ยิ่งปีหลังๆยัดวิชาที่เป็นสายท่องจำไปสอบมาเยอะมาก ถ้าทำคะแนนวิชาพวกนั้นได้ดีก็ได้เกรดจบดีๆทั้งที่แทบเขียนโปรแกรมไม่เป็นได้
ส่วนเรื่องโจทย์ ตอนปี 1 เจอโจทย์ factorial กับ fibo เข้าไปคนก็ทำไม่ค่อยได้กันหรอก
แต่หลังๆมันเป็นตัวอย่างที่ใช้บ่อยจนเด็กจำได้เอง พอเจอในวิชาอื่นต้องทำเลยไม่มีปัญหากัน 555
>>481 ในโม่งมึงไม่ต้องกลัวหรอกสัส มู้รักการเรียนในห้องไลฟ์บอกชื่อสถาบันกันโจ๋งขรึม ถ้ามันเรื่องจริงใครเค้าจะฟ้องมึงวะ? แถมมหาลัยดังเด็กเรียนกันเป็นร้อยเป็นพัน ปรับหลักสูตรกันทุกๆสี่ปี ถ้าให้กูเดาๆ อยู่ICTแต่เรียนนานาชาติค่าเทอม70000ทุกๆเดือนมั้ย? ถ้าห้าหมื่นนี่กูเดาออกละว่าที่ไหน ถ้าไม่แถวๆบางมดก็ติดๆสุวรรณภูมิ
สอบแลปนะ
เอา Dynamic Programming มาสอบแม่งก็โหดเกิ๊น ถึงจะสอบแลปก็เถอะ
หลักการแม่งเข้าใจไม่ยากนะ แต่เจอโจทย์เข้าไปกูทำไม่ได้ซักกะข้อ 555
เออโม่ง อยากทำ machine learning ว่ะ มี guidelines ไหมว่าควรเริ่มจากตรงไหน take course อะไรอ่ะ
>>487 จริงๆ Machine learning มันก็เป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อให้โปรแกรมได้เรียนรู้+แก้ปัญหาต่างๆได้ด้วยตัวมันเองนะ (คือพัฒนาตัวเองได้ เรียนรู้ แก้ไขได้ (ปัญญาประดิษฐ์)) มีภาษาหลายภาษาที่เอาไว้ใช้สำหรับการเขียนAI แต่ส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างซับซ้อน สำหรับผู้เริ่มต้นแนะนำให้เรียนภาษาPython เรียนรู้รูปแบบการเขียนและลองฝึกเขียนAlgorithmแก้ปัญหาง่ายๆดูก่อน ก่อนจะขยับไปทำสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น
มีใครได้ลองจับงานด้านbioinformaticsบ้างครับ
คือมาจากสายไบโอตรงๆตอนนี้ยังเป็นscriptkiddiesอยู่เลย เขียนRเป็นหลัก เวลาแก้ปัญหาก็ไปถาม stackoverflow เอา ทีนี้อยากเรียนperl-phytonเพิ่มเติม มีที่เรียนที่เริ่มจาก 0 เลยมั้ยครับนี่
โม่ง ในนี้มีใครรู้วิธีเขียนอัลกอริทึมเพื่อหาunion กับ intersection ระหว่างset 2 sets มั่งวะ?
>>493 เอาแบบวิธีเถือกคร่าวๆ สมมุติมี Set A กับ B จะให้เอาผลไปใส่ Set C
โดยที่ Set ในที่นี้อาจจะไม่ได้ต้องเป็น Data Structure ที่มีคุณสมบัติเป็น Set จริงๆก็ได้ สมมุติง่ายๆก็เอาเป็น array ธรรมดา
สมมุติว่า Set A กับ B ไม่มีสมาชิกที่ค่าซ้ำกันเพราะโจทย์กำหนดมาว่าเป็น Set
Union
1. วนลูปยัดสมาชิกทุกตัวของ A ลงไปใน C
2. วนลูปยัดสมาชิกของ B ลงไปใน C ถ้าสมาชิกตัวนั้นๆไม่มีอยู่ใน A (วนลูปเล็กข้างในเช็คหรืออะไรก็ว่าไป)
Intersect
1. วนลูปยัดสมาชิกของ A ลงไปใน C ถ้าสมาชิกตัวนั้นๆมีอยู่มีอยู่ใน B ด้วย (วนลูปเล็กข้างในเช็คหรืออะไรก็ว่าไป)
ปล. 1 ถ้าใช้ภาษาที่มีของสำเร็จรูปให้ใช้อยู่แล้วเช่น Java ควรใช้ของสำเร็จรูป สั่งให้มันคิดให้เลย
ปล. 2 ถ้าภาษาที่ใช้ไม่มี Set สำเร็จรูปให้ใช้ แต่มี method หรือ function สำหรับเช็คว่าใน array มีค่าตัวที่เราหารึเปล่า
ควรใช้การเช็คด้วยวิธีนี้มากกว่ามาวนลูปซ้อนลูปเอง
Union https://hastebin.com/oreyazuron.py
น่าจะ O(n) ข้อเสียคือห้ามมี duplicate
Intersect https://hastebin.com/fapocubeci.py
ใช้วิธีเดียวกันกับข้างบน ห้ามมี duplicate เหมือนกัน
วิธีการทำงานของมันคือ sort ทั้ง 2 list ที่รับเข้ามาแล้วลูปทีละหลักของทั้ง 2 list พร้อมๆ กัน
ถ้าหากสมาชิกในตำแหน่งที่หาของ list หนึ่งไม่เท่ากับของอีก list หนึ่ง แปลว่าค่านั้นไม่มีอยู่ในอีก list
เทียบแบบนี้ได้เป็นผลจากการ sort มาก่อน
เช่นมี 2 list
a = {1 2 4 5}
b = {2 3 4 5 6}
ลูปแรก i = 0, j = 0 เทียบได้ว่า 1 < 2 แปลว่า 1 ไม่ใช่สมาชิกของ list b (เพิ่ม i)
ลูปสอง i = 1, j = 0 เทียบได้ว่า 2 == 2 แปลว่า 2 เป็นสมาชิกของทั้ง 2 list (เพิ่ม i, j)
ลูปสาม i = 2, j = 1 เทียบได้ว่า 4 > 3 แปลว่า 3 ไม่ใช่สมาชิกของ list a (เพิ่ม j)
ลูปสี่ i = 2, j = 2 เทียบได้ว่า 4 == 4 แปลว่า 4 เป็นสมาชิกของทั้ง 2 list (เพิ่ม i, j)
ลูปห้า i = 3, j = 3 เทียบได้ว่า 5 == 5 แปลว่า 5 เป็นสมาชิกของทั้ง 2 list (เพิ่ม i, j)
ลูปหก i = 4, j = 4 ขนาดของ i เกินจำนวนสมาชิกใน list a แปลว่าสมาชิกที่เหลือของ list b ไม่ใช่สมาชิกของ list a
จะยัดมันลง output หรือเปล่าขึ้นอยู่กับว่าเป็น union หรือ intersection
กรณี union ต้องเขียนอีก 2 ลูปไว้เก็บสมาชิกที่เหลือของ list a หรือ list b ลง output ด้วย (แต่จะรันแค่ลูปเดียว)
ทำให้อัลกอริธึ่มนี้จะใช้เวลาเท่ากับจำนวนสมาชิกที่ unique ของทั้ง 2 list บวกกับเวลา sort
/ยกมือถาม
คนนอกสายนะ อยากถามว่าพวกฟังก์ชันมันทำงานยังไงเหรอมันถึงได้เร็วกว่าวิ่งลูป? เอาอย่างกรณีข้างบนก้ได้
>>497 เดาว่าคำถามหมายถึงที่ >>494 บอกให้ใช้ function สำหรับเช็คแทนที่จะลูปเอง อธิบายในกรณีนี้ก็คือ
ในกรณีที่ภาษามันมี Set มาให้อยู่แล้ว ส่วนมาก Set ที่มีมาให้จะเขียนโดยใช้ data structure ที่เหมาะสมกับลักษณะของ data
เช่นการเก็บเป็น array แบบ [1, 2, 3, 4, 5] การหาว่าจะมี 5 อยู่หรือไม่ ต้องไล่เทียบสมาชิกทีละอัน (กรณีนี้ก็คือ 5 ครั้งกว่าจะเจอ)
แต่ถ้าเก็บเป็นแบบ binary tree เก็บ 1, 2, 3, 4,5 มันจะใช้เวลาการหาน้อยกว่านี้มาก (อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะแค่ 2-3 ครั้ง)
เพราะ tree จะเก็บข้อมูลเป็นแบบนี้ http://imgur.com/Aww4U72
ถ้านึกภาพไม่ออกลองนึกเป็น folder แล้วแต่ละ folder มี 2 folder ย่อยก็ได้ 2 folder ย่อยที่ว่านี้จะเรียกว่า ซ้าย และ ขวา
ต้องการหา 5 จาก tree นี้ก็สามารถหาได้โดยการเทียบว่า
5 > 3 ... 5 มากกว่า 3 ... เลือกด้านขวา
5 > 4 ... 5 มากกว่า 4 ... เลือกด้านขวา
เจอ 5
หรือจะหา 6 จาก tree นี้ (ซึ่งค่านี้ไม่มีอยู่) ก็จะได้เป็นแบบ
6 > 3 ... 6 มากกว่า 3 ... เลือกด้านขวา
6 > 4 ... 6 มากกว่า 4 ... เลือกด้านขวา
6 > 5 ... 6 มากกว่า 5 ... เลือกด้านขวา
ไม่มีด้านขวาต่อ แปลว่าค่านี้ไม่มีอยู่
เลยเป็นเหตุผลว่าถ้าภาษานั้นๆ มี Set มาให้อยู่แล้ว และมี function ที่ต้องการ ใช้ของที่มีอยู่แล้วดีกว่ามานั่งทำเองใหม่น่ะ
>>497 ถ้าไม่ใช่การทำโจทย์/ข้อสอบหรืองานบางอย่างที่มันใช้ของสำเร็จรูปไม่ได้จริงๆ
การที่เราใช้ของสำเร็จรูปเวลาทำของพื้นฐานอย่าง Set หรือการเช็คว่าใน array มีของที่เราหาอยู่มั้ยเนี่ยมันมีข้อดีหลายอย่างนะ อย่างเช่น
- เราจะได้โฟกัสกับของที่ต้องทำจริงๆ
- ตาม >>499 คือหลายๆอย่างจะเร็วกว่าเราเขียนเอง เพราะมันมักผ่านการคิดมาแล้วว่าปัญหาแบบนี้แก้ด้วยวิธีไหนถึงจะเร็ว
- มันผ่านการเทสมาแล้ว กรณ๊ทั่วไปถ้าเราใช้ถูกวิธีมันก็น่าจะทำงานถูก เราก็ไปโฟกัสกับความถูกต้องของส่วนที่เราเขียนเอง
- ได้ผลลัพท์เหมือนกันโดยไม่ต้องเขียนมาก --> ทำง่าย ไม่เปลืองแรง โค้ดไม่รก อ่านง่ายกว่า
- ของสำเร็จรูปที่คนอื่นๆก็ใช้กันเวลาคนอื่นเค้ามาทำงานต่อจากเรา เค้าก็จะทำความเข้าใจได้ง่าย
เรามาถึงจุดที่เด็กคอมมาหาคนทำการบ้านให้ในโม่งแล้วหรือนี่...
หมายความว่าคอมมูนิตี้ป่าช้านี่เริ่มมีชีวิตแล้วไงล่ะ!
>>507 ดูแล้วมึงอาจจะไม่แม่น c จะเขียนละเอียดหน่อยๆ
union ใช้ stl มี set ให้ใช้
ทำไว้สองเซ็ต A,B union ก็ insert ของใน B ลง A ก็ได้ จบ ได้ union set แล้ว stl ของ c++ ไม่เก็บค่าซ้ำ และภายในมันเรียงเป็น binary tree ให้เสมอ ใส่ของ1ตัว ก็logn nตัวก็ nlogn
intersect มี A ก็ใช้ iterator ดึงของใน B ทีละตัว มา find ใน A ตัวนี้มีในAมั้ย มีก็ใช่ นี่ก็ nlogn
อีกวิธี
เลขมากสุดได้กำหนดมั้ย ถ้าไม่เกินล้านและไม่เป็นลบใช้ array ดีกว่า เก็บเป็นbitmap เช่นมีเลข 5 ก็ A[5] = 1 ไรงี้ ที่ไม่มีก็ค่า 0 อยู่แล้ว ทีนี้ตอน access จะเร็วล่ะ union ก็ทำ A ไว้ B มาก็ให้เซ็ทมันเป็น 1 ทั้ง B กับ A เลขไหนมีก็เป็น 1 ล่ะ intersect ทำA ไว้ B มาก็ -2 ก็ได้ คราวนี้ตัวซ้ำเป็น -1 ล่ะ วนปริ้นตัวซ้ำ เวลาก็ n
อืมถ้า malloc หรือ new มาอย่าลืมเซ็ทค่าเริ่ม =0 และแนะนำให้ malloc หรือ new เพราะมันไปจองหน่วยความจำใน heap ซึ่งมันใหญ่ มึงจองได้เกินล้านช่องก็ได้(คิดว่านะ) ถ้าประกาศธรรมดาโปรแกรมมันจะไปจองให้ที่ stack จองได้ไม่เยอะ อย่าลืม memory leak (ต้อง)free เมื่อเลิกใช้ด้วย
คนเก่งจริงๆเขาไม่ร้องกันหรอก เรื่องของหลังบ้านจะทำอะไรยังไงก็ช่าง ลูกค้าขอแค่มันทำงานได้ เขาไม่สนหรอกว่ามันจะเขียนยากห่าจิกง่ายเหี้ยๆหรืออะไรก็ตาม ที่ออกมาร้องนี้เหมือนไม่มีลูกค้า ก็ Server พวก nodejs แพงเหี้ยๆ จะอะไรอีกละ...
Latest posts
All posts
มองในทางกลับกัน ถ้าหลังบ้านมันแทนได้ด้วย WordPress ก็แปลว่ามันไม่ได้ต้องการสกิลเก่งอะไรมากมาย
ใช้ wordpress ไม่ได้หมายความว่ากาก ระบบหลังบ้านถ้าไม่มีตัวสำเร็จรูปก็ต้องเขียนเพิ่มเข้าไปอยู่ดี
แถมกรณีถ้าจะเอาระบบเขียนเองมาต่อกับ ตัวสำเร็จรูป ต้องเขียน query เก่งระดับหนึ่งด้วย ไม่งั้นอืด time out แน่ๆ
บริษัทพรรค์นี้มันก็มีด้วยเหรอวะ ออกจากงานไปก็ไม่ให้ได้ดีเลย แถมบังคับกดดันให้ล่มจมอีก ซวยชิบหายเกิดมาทำงานบริษัทนี่
https://www.blognone.com/node/93225
>>516 เมื่อก่อนมันไม่มีนโยบายเฮงซวยขนาดนี้ แต่พอรายได้มากขึ้นละยิ่งเหลิง ดูจากนโยบายก็รู้เลยว่าเลี้ยงคนไม่เป็น กลัวโดนลอบกัดหรือไปเข้ากับบริษัทเจ้าอื่นแล้วมาหักหลังตัวเอง ง่ายๆคือทำตัวเหมือนโจโฉในสามก๊กเลย. ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นแม้แต่คนในองค์การ ถ้าหมดศรัทธากับตัวเองก็ห้ามไปเข้าร่วมกับคนอื่น ร้ายกาจสุดๆ. เมื่อก่อนกูชอบเล่นYu-Gi-Oh เพราะไอนี่นะ แต่พอหลังปี55-56ไปนี่กูไม่เอาอีกเลยเพราะแม่งหาแดกกับลูกค้าแล้วกดดันกับพนักงานภายในแบบเหี้ยเกิน
ไม่แปลกนะ บริษัทยุ่นที่เกาะมันใส่ชื่อบริษัทจัดหางานแทนอยู่แล้ว ไม่ได้ใส่ว่าทำงานที่ไหนมาก่อน
ต่อให้บริษัทฝรั่ง ที่ดังๆ หน่อยพวก G,A,M มันก็ไม่ให้ใส่เหมือนกัน ใส่ได้แต่ชื่อบริษัท agency แทน
เพื่อนโม่งปรึกษาหน่อย คณะการท่องเที่ยวมีเรียนเขียนโปรเเกมมั้ยวะ เรื่องคือพี่สาวเราฝึกงานเกี่ยวกับITเจอนักศึกษาฝึกงานอีกคนเรียนการท่องเที่ยว(ฝึกคนละตำเเหน่งกับพี่เรานะเเต่โต๊ะใกล้ๆกัน)มันชอบโม้เเล้วเกทับพี่สาวเราว่ามันเก่งITมาก คณะมันสอนเขียนโปรเเกมด้วยมามันได้A ตลอด พอพี่สาวเราได้งานเขียนโปรเเกมมา(JAVA) มันถามพี่เราว่าJAVAคืออะไร เเล้วมันชอบมายุ่งกับงานพี่เราจนงานไม่เสร็จทั้งๆที่งานไม่เกี่ยวกับมัน อยากรู้จริงๆว่ะเพื่อนโม่งว่าคณะมันมีสอนจริงๆหรอหรือเป็นวิชาเลือก
>>519 กูว่ามันอ่อนประสบการณ์มากๆในเรื่องIT ถ้ามันคิดว่าเก่งจริงๆลองให้พี่มึงแกล้งโยนโจทย์อัลกอโหดๆหรือโจทย์แข่งเขียนโปรแกรมACM-ICPCซักตัวให้แม่งไปนั่งแก้ดิ แล้วถ้าทำได้ตอนพักงานอยู่ โม่งแบบกูยังเชื่อคำพูดมันอ่ะ คณะการท่องเที่ยวนี่มันแนวๆฝึกงานพวกโรงแรมการจัดการธุรกิจทัวร์ไรงี้ไม่ใช่เหรอวะ? เขียนโปรแกรมนี่คนละโยชน์กับสาขาคณะนี้เลยนะ
>>519 เมื่อกี้พิมไม่ติด มันเข้าใจคำว่าITมีเเค่พวกเวิร์ดเปล่าจากประสบการณ์ที่เคยฝึกงานITที่โรงเเรมกูเจอทั้งการท่องเที่ยว การโรงเเรมมันเข้าใจITเเค่ว่าทำคอมไม่รู้ว่ามีเขียนโปรเเกม กูว่าโปรเเกมที่มันเข้าใจของพี่มึงคือโปรเเกมทำทัวร์มากกว่า มันถามว่าJavaคืออะไรกูว่ามันไม่ได้เก่งITเเล้วล่ะ บอกพี่มึงเฉยๆกับมันไปถ้ามันมายุ่งกับงานก็บอกพี่เลี้ยงเดี๋ยวเค้าก็จัดการกันเอง
http://www.mict.go.th/assets/portals/1/files/591129_ประกาศรับสมัครจ้างเอกชนดำเนินงาน2560.pdf
โม่ง กูไปเห็นตำแหน่งงานในกระทรวงนี้มาหว่ะ(กระทรวงนี้ตั้งแต่เปลี่ยนใหม่มาแม่งoutsourceกับสัญญาจ้างชั่วคราวรัวๆ ไม่ค่อยรับราชการด้วยนะ) ตำแหน่งสนับสนุนวิชาการคอมฯนี่มันทำงานแนวๆไหนวะ? แล้วเงินเดือนคุ้มกันกับไอตำแหน่งเหี้ยนี่มั้ยวะ?
โม่งคนไหนจบวิทย์คอมม.ดังบ้างอะ อยากรู้ว่าคนไม่เก่งในคณะ จบออกมาชีวิตเป็นไง ขอแบบจริงๆไม่อวยนะ จะเอาไปตัดสินใจเลือกคณะ
>>526 ของกูเป็นอินเตอร์ซึ่งหลายคนมีกิจการทางบ้านอยู่แล้ว (รวยนั่นแหละ) จบออกมาก็ทำงานที่บ้านต่อ
บางคนไม่เก่งคอมแต่ภาษาได้ก็ไปเป็นแอร์ / สจ๊วต กัน
บางคนเขียนโปรแกรมไม่เก่งก็ทำงานสาย IT พอไหวก็ไปทำงานสาย IT อื่นๆเช่น IT Support, Tester
อาชีพหลักของคนที่จบออกมาแบบพอทำงานได้ไปจนถึงเก่งก็เป็นโปรแกรมเมอร์กัน ซึ่งเงินเดือนของคนไม่เก่งก็อาจจะน้อยหรือหางานยากกว่า
ซึ่งเวลาผ่านไปมันจะค่อยๆทะยอยย้ายอาชีพหนีกันไปเรื่อยๆ
งานส่วนใหญ่ก็เบ๊ ไอทีกะโปรแกรมเมอร์ ถ้าเมิงไม่ชอบ ก็ออกไป
ขอถามเป็นความรู้หน่อยครับ ทำงานบนlanเดียวกัน ทำไมDLของlinuxถึงแรงกว่าwindows มันไปเจอcapตรงไหน
โม่งกูถามหน่อย สายวิทย์คอมในมหาลัยปิดนี่เรียนพวกวิชา
ทฤษฎีคำนวณ
คณิตศาสตร์ประยุกต์
numerical method
artifical inttelligence
คือเรื่องปกติป่ะวะ?
notebook ที่มาพร้อม endless os สามารถลง window ได้ไหมครับ
พวกมึงมีใครเขียน ios ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ใช่ไอฟงบ้างป่ะ
>>531 ไม่รู้นะ แต่ที่ม.เรามีบังคับเรียนวิชา Theory of Computation อ่ะ
ส่วนสายอื่นมีเรียนแหละถ้าจำไม่ผิด แต่ที่สำคัญคือห้องปฏิบัติการวิจัยก็มีค่อนข้างครบ (มี High performance computing, Massive data engineering สองห้องปฏิบัติการ, Theory research lab) ดังนั้นส่วนตัวจะตอบว่าไม่แปลก
หวัดดีโม่ง เราเพิ่งเคสมาสิงห้องนี้ครั้งแรก ยังอ่านไม่หมดหรอก แต่อยากรู้ว่า โม่งที่ทำงานทางด้านนี้บับ คิดไงกะ นศ คณะเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จบจากมหาลัยที่อยู่ใกล้ กทม แต่อยู่นครปฐมที่ขึ้นชื่อเรื่องของทางวิทยาศาสตร์ ความเห็นที่เราอยากรู้คือแบบสำรับการรับเข้าทำงานถือว่าเครดิตดีไหมไรงี้
>>535 สีเขียวย่านบางเขน // แล็บมีครบ แต่อุปกรณ์ไม่รู้ว่าเป็นไงบ้าง แต่ก็เชื่อใจในภาควิชาอันดับต้นๆ ของคณะวิศวะตัวเองนะ
>>539 คณะ ICT จากมหาวิทยาลัยสีน้ำเงินสินะ
จากคนที่สอบติด (ได้ทุน แต่ไม่เอา) ส่วนตัวเท่าที่ดูแล้วติดอยู่นิดหน่อยจริงๆ ตรงที่เหมือนที่นี่จะเป็นคณะอันดับสี่ดันเหนียวของคนเรียนไม่เก่งอ่ะ
แต่เท่าที่ดูคนที่จบออกมาก็โอเคเลยนะ ส่วนเรื่อง reputation เราเชื่อว่ามหาลัยสายแพทย์และวิทยาศาสตร์แห่งนี้พยายามขยาย field ตัวเองออกมาสู่วิศวกรรมและเทคโนโลยีอ่ะ อาจจะยังไม่ดีเทียบชั้นสีชมพู (อันนี้ไม่แน่ใจนะ) แต่ก็โอเคอยู่แหละ
>>544 จัดที่สิทธาคารสินะ จากใจคนที่อยู่แถวๆพุทธมณฑลสายสี่และไปมหาลัยนั้นบ่อย ออเคสมาเล่นฟรีๆแล้วแต่ปีการศึกษาอ่ะนะ แล้วพวกปี1นี่ไม่มีโอกาสได้มาดูหรอก ส่วนมากโดนรุ่นพี่กดดันให้เข้าซ้อมประชุมเชียร์กันหมด ยกเว้นไอคณะไอทีหลักสูตรอินเตอร์สำเนียงไทยอ่ะที่ปล่อยเด็กปี1ให้สนุกกับชีวิตมหาลัยเต็มที่
>>545 ไม่ได้แล้วแต่ปีนะ ปกติ Thailand Philharmonic Orchestra นี่มีโปรแกรมเรื่อยๆ และนักศึกษามหิดลดูฟรีตลอด (ส่วนนิสิตมหาลัยสีเขียวแบบข้าพเจ้าก็ถ่อไปสิทธาคารกันไป ค่าบัตรราคานิสิตถูกกว่าค่ารถอีก ตอน BBC SO มาก็ต้องยอมโดดเรียนไปคอนเสิร์ต 55555555)
ไม่รู้แฮะเรื่องประชุมเชียร์ ไม่ขอออกควาวมคิดเห็น แต่เพื่อนที่อยู่ศิริราชบอกว่าไปฟังเรื่อยๆ ส่วนนึงอาจจะเพราะศิริราชรับน้องตอนเข้าปีสองด้วยมั้ง
>>545 เรียกว่าหลักสูตรอินเตอร์สำเนียงไทยก็ไม่ถูกนะมึง เพราะอาจารย์บางคนแม่งสำเนียงเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่องทั้งคนไทยและฝรั่ง 555
>>546 >>548 ที่คนเข้ามาแล้วซิ่วเยอะมันมีหลายสาเหตุมากเลย
- หลักๆเลยคือข้อสอบสอบตรงง่ายและไม่เอาคะแนนสูงมาก คะแนนแอดมิชชั่นก็ต่ำเพราะเป็นอินเตอร์ แต่การเรียนมันโหดประมาณนึง เด็กที่เข้ามาหลายคนก็เรียนไม่ไหว
- บางคนที่เก่งๆหน่อยเข้ามาเพราะไม่ติดคณะที่ตัวเองอยากเรียน ถ้าปีต่อมาสอบติดเค้าก็ไปที่อื่นที่อยากเรียนมากกว่า
- สาเหตุรองลงมาคือหลายคนไม่มีพื้นฐานเพราะมัธยมไม่ได้สอนพวกนี้เท่าไหร่ แล้วพอวิชาคอมตัวแรกๆเรียนตามไม่ทันก็เหมือนพื้นฐานพัง ไปต่อไม่ได้
- บางคนพอเรียนได้แต่ไปตายที่ภาษาอังกฤษ
- ฯลฯ
>>547 เรื่องประชุมเชียร์คณะนี้ก็มีแต่มันไม่เข้มมาก กูเข้าและเป็นตัวหลักจัดงานตอนปีต่อๆมาแบบงงๆด้วย
แต่ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เข้าแล้วชีวิตจะขาดอะไรไปมากมาย ถ้าไม่ชอบกิจกรรมแนวนี้กูว่าไม่ต้องเข้าก็ได้
>>549 เปลี่ยนแล้วหรอวะ ตอนกูเรียนได้วุฒิวิทยาศาสตร์มา แต่ได้มาก็เท่านั้นแหละ ไม่คุ้มกับที่ตอนปี 1 ต้องเรียนพื้นวิชาสายวิทย์ตั้งหลายตัวหรอก
>>550 วุฒิวิทยาศาสตร์อ่ะยังใช่อยู่นะ แต่ระบุสาขาวิชาของหลักสูตรคือเทคโนโลยีสารสนเทศ แล้วตัวหลักสูตรแม่งยัดๆมาก อย่างดิสครีตงี้อ่ะ บางมหาลัยเค้าไม่สอนยันproofหรือแบบbig O เพราะไปยัดเอาตอนเรียนพวกวิชาAI หรือวิชาTheory of computation ไรงี้ ไม่ก็ไปยัดเนื้อหาในวิชาdata structureก็ได้ นี่แม่งโชว์เหนือมากๆ ถ้าไม่ใช่เด็กหัวไวๆฟรือพื้นฐานด้านคำนวณประยุกต์แน่นๆนี่มีหลุดวงโคจรอ่ะ
>>552 >>553 สวัสดีงับรุ่นพี่ อิจฉามากครับเพราะว่าพวกพี่ค่าเทอมยังไม่ขึ้น7หมื่นชิมิ
>>554
ตอนเรียนดิสครีตรู้สึกว่าชอบวิชานี้มาเลย เพราะปกติเป็นคนสนใจเรื่องคอมแต่ไม่ค่อยชอบวิชาเลข
พอเรียนวิชานี้แล้วได้มองเห็นการเอาทฤษฏีเลขมาประยุกต์ใช้ในการเขียนโปรแกรม รู้สึกเหมือนได้มองเห็นอะไรมากขึ้น
แต่ตอนเรียนไม่ไปลึกถึง BigO นะ อันนั้นไปเรียนในวิชา Data Structure & Algorithm เอา
ส่วน proof มีแค่พวกสมการที่ไม่ยากมากเลยเอาตัวรอดมาได้ ของพวกนี้บางทีก็แล้วแต่อารมณ์คนสอนจริงๆ
ส่วนค่าเทอมนี่ต้องบอกว่าโชคดีจริงๆที่เรียนจบเร็ว คือความรู้สึกตอนนั้นประมาณ 55k+ นี่ก็แพงมากๆแล้ว
ได้ยินว่ารุ่นหลังๆโดน 70k+ เข้าไปนี่เซ็งแทนเลย
>>555 มึงโชคดีมากละครับพี่ นี่ค่าเทอม7หมื่นแม่งล่อเอาไปเปิดแอร์ปล่อยตั้งแต่เปิดตึกคณะยันปิดตึกสี่ทุ่มนู่นแหน่ะ ไหนจะบันไดเลื่อนที่เปิดไปก็งั้นๆขึ้นบันไดธรรมดาเอายังสบายใจกว่า แล้วหนักสุดเลยคือ จ้างครูผู้สอนดังๆมาแต่แม่งหาที่สอนรู้เรื่องๆได้ไม่กี่คน ไอที่เร่งๆสอนก็ทำไปดิ นศ. ในเซคนั้นๆแม่งได้แต่ งงเด้งงเด้ วนไป แล้วเรื่องเงินนี่ใช้ระบบที่หัวโบราณมาก ค่าเทอมเยอะขนาดนี้บางเจ้าเค้าให้ชำระด้วยบัตรเครดิตได้แล้ว แต่ที่นี่กลับให้สั่งจ่ายเป็นเชคจ้าา แถมเรื่องมากไม่รับจ่ายสดด้วยนะคิดดูเอา เหลือเชื่อมาก
>>556 ตอนรุ่นกูบันไดเลื่อนเปิดมั่งไม่เปิดมั่ง แล้วบางวันก็มีเปิดน้ำตกกับน้ำพุ
เด็กก็จะด่าว่าเอาเงินค่าเทอมมหาโหดมาใช้ของประดับ แต่ไม่เอามาเปิดมันไดเลื่อนให้เด็กใช้ประโยชน์ 555
ส่วนอาจารย์ที่สอนไม่รู้เรื่องนี่เยอะจริง บางทีก็การเมืองภายใน หรือพวกอาจารย์นอกก็เป็นการสร้างคอนเนคชั่นกับคนนอกคณะอ่ะ
อาจารย์นอกคนนึงเวลาสอนนี่แค่พูดภาษาอังกฤษเวลาสอนเป็นประโยคยังพูดไม่ได้เลย
อาจารย์บางคนก็พยายามพูดสำเนียงเลียนแบบฝรั่งแบบโชว์พาว แต่ออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ทั้งเด็กไทยและฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง
ส่วนเรื่องมีอะไรดูโบราณประหลาดหลายอย่างนี่เยอะจริง เรื่องค่าเทอมของกูใช้หักเงินจากบัญชีเอา
ที่กูเจอมีทั้งต้องลงทะเบียนด้วยการมาคณะให้อาจารย์ประจำบ้านเซ็น
เอาใบไปยื่นแล้วค่อยไปลงทะเบียนในเว็บโบราณๆที่ต้องใช้ IE เปิดอีกที
ต้องเอางานขนาดไม่ถึง 1MB ใส่ CD ส่งทั้งที่เว็บ elearning มันให้ upload งานได้
คือเยอะอ่ะ แต่ตอนนี้นึกออกแค่นี้
จะกลายเป็นมู้นินทาคณะไหมให้เดา 55555555
ตอนนี้มีใครจำพวก algorithm / heap stack / pathfinding / automaton ได้มั่งปะ
กูลืมไปหลายปีแล้ว จะโดนหาว่าโง่มั้ยเนี่ย ได้ใช้จริงแค่ recursion ไอ้พวก big-o อะไรนี่ก็ไม่ได้ใช้เลย จำแค่กูจะไม่ใช้ for nested for แค่นี้เอง
เลขกูก็ลืมเกลี้ยงแล้ว แคลคูลัสงี้ง่อยหมด แต่เร็วๆนี้เจ้านายเริ่มสั่งให้หัด ML ทำกูอึนหมด
ใครรู้วิธีใช้ Batch file ดาวน์โหลด รูปภาพในเว็บบ้างครับ
ผมมือใหม่สุดๆเลยครับ
แต่ก็งงนะ ว่าไม่รู้เหรอว่า PowerShell มันเป็นของ MicroSoft
ได้ทำงานกับโปรแกรมเมอร์ญี่ปุ่นมา 3 คนใน 3 โอกาส
คนนึงระดับ senior ประสบการณ์เกือบ 20 ปี
คนนึงระดับกลางๆ ประสบการณ์ 5 ปี
อีกคนนึงเป็น junior ประสบการณ์ปีเดียว
แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ด้วยความที่คนญี่ปุ่นส่วนมากใช้ภาษาอังกฤษกันได้ไม่คล่อง
เลยทำให้การรับเทคนิคหรือ best practice ใหม่ๆ จากภายนอกทำได้อย่างเชื่องช้า
และบางทีอย่างผิดๆ (เช่นเวลาที่ไปอ่านบทความที่แปลมาอีกที) หรือเปล่า
ตัวอย่าง
คนที่เป็นระดับ senior เรียก model ใน view บ้าง ทำ inheritance แบบแปลกๆ บ้าง
คนที่เป็นระดับกลางๆ เขียน if ซ้อนกัน 6 ชั้น... แล้วก็ logic พลาดเยอะมาก
คนที่เป็นระดับ junior คิดว่าย้ายโค้ดจากที่นึงไปใส่ฟังค์ชั่นแล้วจะใช้งานได้ (ทั้งไม่รู้เรื่อง return ทั้งไม่รู้เรื่อง variable scope)
(เช่นพยายามเขียน function a(input) { b(); do_something_else(); } และ function b() { if !input { return; } })
คนที่เก่งจริงๆ ก็คงมี แต่เท่าที่เจอตอนนี้เจอ เจอแต่แบบนี้
สองคนล่างยังดีที่พอบอกไปว่าแบบนี้ไม่ได้นะ ก็แก้ให้ แต่จำไหมนี่อีกเรื่อง
แต่ senior ค่อนข้างจะหัวแข็ง ประสบการณ์ฉันมากกว่า ฉันรู้ดีกว่า ไม่ค่อยแก้ตาม
>>579 กูไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มีอะไรจะถามเป็นพิเศษไหมละ เพราะก่อนหน้านี้กูก็ทำงานแต่กับฝรั่งที่หัวทันสมัยพอสมควร
ลองเอาแค่ที่นึกออก และอยากบ่น
บริษัทญี่ปุ่นที่รับงานอยู่ ทำงานแบบ waterfall และทำตาม manual เต็มที่ (PMBOK เอย ISO 21500 อะไรเอย ว่ามา)
เริ่มจากการวางระบบก่อน แล้วให้ project manager วาด gantt chart กำหนดว่าฟังค์ชั่นไหนจะเสร็จเมื่อไหร่
แล้วก็ต้องทำตาม schedule ที่วางไว้ใน gantt chart ให้ได้เป๊ะๆ โปรเจคจะปล่อยได้ต่อเมื่อแผนที่วางไว้ตอนแรกเสร็จ
ถ้าหากไม่เสร็จตาม schedule ที่วางไว้ ถือว่าเป็นความผิดของคุณที่ทำให้โปรเจคล่าช้าและสร้างความเดือดร้อนให้ฝ่ายอื่น
กูเข้าใจนะว่าบริษัทญี่ปุ่นที่ไม่ได้เป็นแบบ waterfall มันก็มีนะ แต่ที่เจอมา 2 บริษัทเป็นแบบนั้นหมด (ที่นึงยันหัวชนฝาว่าตัวเอง agile)
การทำงานมันไม่มีความยืดหยุ่นเลย เช่นเวลาเจอปัญหาที่ควรจะแก้ในตอนนี้ก็แก้ไม่ได้ เพราะ schedule สำคัญกว่า
เวลาต้องคุยกับบริษัทอื่นหรือฝ่ายอื่นเป็นอะไรที่น่ารำคาญชิบหาย เพราะมันจะโยนกันไปโยนกันมา ถ้าไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบตัวเอง
หรือเช่นเห็นอะไรมีปัญหาและไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของเรา จะไปบอกก็ไม่ได้ จะถือว่าเป็นการเสียมารยาทและข้ามหน้าข้ามตา
เช่นกูเห็น API ตัวนึงบอกว่าต้องใส่ API key ถึงจะดูได้ แต่จริงๆ ไม่ต้องใส่ก็ดูได้ พอไปรายงานก็จะโดนด่าว่า อย่ามายุ่งโดยพละการ
หรือจะแก้คำผิดในหน้าเว็บ (ที่แปลภาษาไทย) ก็ต้องส่งเมลล์ไปแจ้งให้ฝั่งนู้นรับรู้ก่อน ห้ามแก้โดยพละการ
(ถ้าเป็นบริษัทฝรั่งกูจะแก้แล้ว FYI ไปบอกหัวหน้าที่เป็นฝรั่ง)
กูทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นแล้วกูก็เข้าใจว่าทำไมซอฟท์แวร์ของญี่ปุ่นที่เคยใช้มา หลายๆ อย่างถึงออกมาห่วยได้ขนาดนั้น
การทำให้ทุกอย่างเป็นระบบจนเกินไป บางทีก็ไม่ใช่เรื่องดี
โปรแกรมเมอร์เขาถามงานเกี่ยวกับอะไรกันเหรอวะ
*ทำ พิมพ์ผิด
รบกวนถาม หลังเรียนจบกูช่วยพ่อแม่ทำกิจการที่บ้าน 5 ปี ทีนี้กิจการมีปัญหา
จะไปสมัครงาน เงินเดือน มันจะตามเกณฑ์เด็กจบใหม่ (พวก 20k) รึปล่าว ?
คือกูต้องส่งเงินช่วยทางบ้านด้วย อยากเรียกสัก 28 -32k เขาจะให้ใหม
ตอนนี้จิตตกมาก คือวันๆกูคิดเงินอยู่หน้าร้าน อยู่ดีดีต้องไปเข้าบริษัท กลุ้มใจเรื่องปรับตัวมาก
ตัว code เขียนได้ มีพอร์ทเป็นชิ้น ๆ ความรู้มี แต่ปวดหัวเรื่องเงินเดือนนี่แหละ
เขียนเลยยยย
มี certification เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมตัวไหนน่าสอบบ้างครับ
พวกแบบ agile, scrum master นี้มี ประโยชน์ ไหม
http://imgur.com/EHO6ROm
Feels Bad Man
โม่ง ปรึกษาไรหน่อย ทำเว็บfront-endด้วยnetbeans มีใครเคยใช้มั่งวะ? เพื่อนกูเห็นบอกทำๆอยู่โปรแกรมค้างบ่อยมากๆเพราะเห็นมันบอกว่าต้องเอาไปรันserverจำลองเพื่อพรีวิวหน้าเว็บด้วย. มันต้องถึงขนาดนั้นมั้ยวะ?
c# พี่ๆโปรแกรมเมอร์ครับ ถ้าผมจะนำภาพมาและสั่งให้ตรวจดูสีของภาพแต่ละพิกเซลว่ามีโค้ดสีอะไรบ้าง ผมต้องใช้คำสั่งอะไรในการตรวจสอบครับ
ขอ Keyword ไปแทนก็ได้เดะผมไปหาต่อเอาเอง ขอบคุณครับ.
ใช้ Composer อัพเกรด Laravel แม่ง Error ไม่รู้จักคำสั่ง laravel เป็นอะไรฟ่ะเนี้ย
รู้สึกยุ่งยากกับไอ้พวกนี้จริงๆ
websocket กับ ajax ใช้ต่างกันยังไง
เวลาที่เขาสัมภาษณ์งานแล้วมีคำถามการเขียนโปรแกรมแนวๆ FizzBuzz นี่ โดยทั่วไปเขาให้ตอบแบบไหนเหรอครับ
ให้พูดอธิบายสดๆ หรือว่าให้เขียนเป็นโปรแกรมออกมาให้เขาดู?
MVC ปกติพวกมึงกำหนดค่าที่ไหนว่ะ กุทำอยุ่กับคนในทีมก่อนๆ เค้าใช้ controller เรียกแล้วเซ็ตค่าผ่าน viewmodel หมดเลย พอคนใหม่มาทำเค้าบอกว่า ทำไมไม่เซ็ตค่าใน viewmodel หมด ทำไมไม่เซ็ตค่าใน controller ไปเลย ปกติ concept จริงๆ เค้าเซ็ตกันที่ไหน
พูดถึง MVC หรือ MVVM?
มีโปรเจคนึงที่ตั้งแต่กูทำงานมาปีนึงแม่งไม่เคย build บนเครื่องกูได้เลย
ชอบเจอ error ประหลาดๆไม่ค่อยซ้ำแบบผลัดกันเด้ง เอา error ไป search แล้วก็ไม่เจอวิธีแก้ หรือเจอก็ใช้ไม่ได้
บางครั้งไม่ error แต่ deploy แล้วใช้ไม่ได้แบบหาสาเหตุไม่เจอ สุดท้ายก็เลยต้องฝากคนอื่นทำให้
อยู่ๆเมื่อวานไม่รู้คิดไงลบ workspace โปรเจคนี้ทิ้ง แล้วโหลดลงมาจาก repo ใหม่
โหลดลงมาปุ๊ปสั่งรัน script แม่ง build ได้ deploy แล้วใช้ได้เฉยโดยไม่ต้องทำอะไรเลย อะไรของแม่งวะเนี่ย...
>> 606 สรุปเค้าเรียก MVVM เหรอว่ะ ที่มี viewmodel เนี่ย
อยากไปเริ่มต้นทำงานด้าน data scientist หรือ machine learning engineer จะปรึกษาใครได้บ้าง
อธิบายไงดีวะเนี่ย
อยากเขียนโปรแกรมที่มันเราเลือกว่าอยากได้ object อะไรบ้าง แล้ว object นั้นๆ จะมีเงื่อนไขของมัน เช่น
- เลือก object C ต้องมี object A 2 อันขึ้นไป หรือถ้ามี object A 3 อันโอกาศสำเร็จมากกว่า 2 อัน หรือ เอา object A+B จะออกมาเป็น C แน่นอน
ไม่รู้จะคลำไปทางไหนดีแนะนำหน่อย
เพื่อนโม่ง คือตอนนี้กูเป็นกราฟฟิก2d อยากทำเกมแนวๆมาริโอหน่อยอ่ะ แต่กุไม่มีพื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมเลย กูควรเริ่มเรียนจากอะไรดี แล้วควรโค้ดก่อนค่อยทำภาพใช่มะ แล้วพวกโปรแกรมที่จะโค้ดให้ระบบแอนดรอยนี่ต้องใช้โปรแกรมไรอ่ะ
>>614 >>616 ถ้าจาว่าเชิญ libgdx https://libgdx.badlogicgames.com/
>>620 อืม ไม่ใช่อ่ะ เขียนเป็นภาษาไพธอน (https://www.python.org/) แต่ใช้ไลบรารี่ (คลังโค้ด) arcade หรือไม่ก็ pygame เข้ามาช่วยทุ่นแรงบางอย่าง
มีวิธีวัดความโหดของโปรแกรมเมอร์ไหมอะ
กูไม่รู้หวะว่าตัวเองเก่งเท่าเด็กจบใหม่ไหม ไม่ได้เรียนมหาลัยนะ แต่เห็นพี่ที่กูเคยฝึกงานเค้าบอกความรู้ส่วนใหญ่ได้มาตอนทำงาน จบมาใหม่ก็อึนๆกันทั้งนั้น นี้มันจริงหรอวะ เวลาไปสมัคงานจริงจะได้พูดได้เต็มปากว่ากูมีฝีมือ
มีใครใช้ git ร่วมกับคนอื่นบ้าง แบบว่า คนนึ่งทำอย่าง อีกคนทำอีกอย่าง แล้วพอ Commit มันจะเกิดอะไรขึ้น ประมาณรวมสายอะ มันจะเป็นยังไง
>>609 ไม่รู้มึงจะยังเข้ามาอ่านอยู่ไหม มึงลองหาเปเปอร์หรือหนังสือมาอ่านก่อนนะ ไม่ต้องเอาพวกแบบเหนือชั้นแล้วมาอ่าน มึงหาแบบเบสิกเลย ให้มึงเข้าใจคอนเซปต์ จากนั้นมึงลองหาเดตามาเล่นเอง เดี๋ยวนี้มีไลบรารีให้ใช้มากมาย R, python หรือถ้ามึงอยากเขียนโปรแกรมประมวลเดตาเองก็ได้
กูไม่รู้ว่ามึงอยู่ขั้นไหน เรียนอยู่ /ทำงานแล้ว ถ้าเรียนอยู่มึงเข้าคลาสกับอาจารย์ก็ได้นะ จารย์ก็จะสอนพื้นฐานให้มึงไปต่อยอดได้ มึงหาตัวอย่างระบบที่เป็น AI / machine learning มาดูว่าเขาเอาความรู้ไปสร้างอะไรกัน จะเข้าใจง่ายขึ้น
>>622 ถ้ามึงไม่ได้เทพมาตั้งแต่สมัยเรียน เด็กจบใหม่มักจะเมาๆ ทำไรไม่เป็นอยู่แล้ว สมัยนี้จบคอมบางคนเขียนโปรแกรมห่าไรก็ไม่ได้ บางทีเข้ามาทำงานนานแล้วก็ยังเขียนโปรแกรมแบบเอาผ่าน รันผ่าน 10 เคสก็พอใจ แบบสมัยเป็นนักเรียน
เวลาไปสมัครงาน ถ้าบ.ไม่มีข้อสอบให้มึงทำ มึงเอาผลงานมึงไปโชว์ ถ้ามึงแน่ใจว่ามึงเก๋า มึงเปิดโค้ดเลย มึงโชว์ว่ามึงเคยเขียนอะไร เปิดโค้ดที่ใช้เทสต์ มึงทำ version control ยังไง เก็บโค้ดที่ไหน โปรแกรมใหญ่สุดที่เคยทำเป็นไง ทำกี่คน มึงออกแบบเองมั้ย ใช้เวลาเท่าไหร่ พยายามบอกเขาว่ามึงทำเป็นจริงๆ และมีหลักฐาน อย่าโม้ก็พอ เพราะถ้ามึงโม้เกินตัว ยังไงเขาก็จับได้
มีใครรู้สึกเหมือนกูมั้ยวะ รับงานทำพวกโปรเจคจบแม่งไม่คุ้มเลย งานแม่งสโคปใหญ่ อาจารย์สั่งแก้ก็บ่อย บางทีแก้แม่งเกือบจะโล๊ะที่กูทำมาทั้งหมด แถมเรียกเงินเด็กเยอะก็ไม่ได้ด้วย เพราะแม่งเด็ก เห้อ จบโปรเจคนี้กูคงไม่รับละ เหนื่อยชิบ
มีเว็บที่ พวกเทพ C# อยู่กันไหม
จะถามปัญหาๆนึง แต่โง่อิง
เว็บที่เจอส่วนใหญ่เป็นแนวๆ php หมดเลย
https://github.com/opendream/progit สอนใช้ GIT แปลไทยแล้วด้วย เพิ่งเจอ...
>>629 ต้องถามว่าโปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่อยู่เว็บไหนด้วย ไม่มีรุ่นพี่เป็นโปรแกรมเมอร์ที่พอจะปรึกษาได้เลย
แถมได้เราทำงานไม่ตรงสาย เงินเดือน 6 พัน นี้ เจ็บสุดๆเรียนมาตั้งหลายปี ทำงานไม่ตรงสาย...
เพื่อนโม่ง กูอยากถามวะ พวกมึงมีแรงบัลดาลใจอะไรถึงมาเป็นโปรแกรมเมอร์วะ?? ตอนนี้กุเรียนอยู่ ม.5 ศึกษาการเขียนโปรแกรมเองมาจะปีละ เข้าใจอัลกอริทึม และ ภาษาพื้นฐานอย่าง Python,Java,C อยู่บ้าง เวลาเห็นโค้ดในแบบฝึกหัด กูตีความได้ว่ามันจะรันออกมาเป็นแบบไหนได้ แต่กูไม่มีจิตนการในการเขียนโปรแกรมเลยวะ คณิตกูก็เรียนกากสัสๆ กูเลยกลัวจะเรียนไม่ไหว ถ้ากุไปต่อ IT หรือ วิทย์คอม กูอยากสร้างทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันก่อนเรียนจบ กูมีความฝันอยากพัฒนาระบบ AI ให้เจ๋งเหมือน Alphago หรือ AI ที่สามารถ Self Aware ได้ แต่พออ่านกระทู้พันดิฟเกี่ยวกับสายงานอาชีพนี้แล้ว กูสินหวังสัสๆเลยวะ ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินเดือนหรอกนะ แต่เหมือนลักษณะการทำงานในอาชีพนี้แม่งดูไม่เป็นอาชีพที่สามารถมีความฝันได้เลย พอจบมาก็ทำงานในบริษัท เจอเพื่อนร่วมงานเหี้ยๆ ลูกค้าเหี้ยๆ ไรเงี้ย ทำงานตามที่ถูกสั่งไปวันๆ กูไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะ กุเข้าใจว่าคนเราแม่งต้องเริ่มจากพื้นฐานแล้วพัฒนาไปเรื่อยๆถึงจะไปถึงความสำเร็จที่ตัวเองฝันไว้ได้ แต่สำหรับกูที่เป็นเด็ก ม.5 กำลังเพ้อฝัน กูเลยอยากถามพวกมึงที่กำลังทำงานสายนี้ว่าพวกมึงมีความฝันหรือเป้าหมายอื่นๆไหมวะ แล้วมีความสุขกับการทำงานรึป่าว กูจะได้ตัดสินใจว่ามหาลัยกูควรต่ออะไร
แล้วพวกมึงคิดว่ากูเพ้อเจ้อปล่าววะถ้าจะมีความฝันในอาชีพแบบนี้
ทางครอบครับกูก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน ถ้าสุมมติว่ากูจบไปแล้วตามฝันไม่สำเร็จ ทนไม่ได้กับลักษณะการทำงาน กูก็ออกมาบริหารธุรกิจต่อจากพ่อแม่ได้ ที่ดินครอบครับกูก็มี ยังไงกูก็ไม่อดตาย แต่แค่กูไม่อยากตายโดยที่ยังไม่ได้ตามฝันวะ
>>631 ตอนนี้กูเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ ถามว่ามีแรงบันดาลใจอะไรก็ตอบไม่ค่อยถูก เหมือนกูชอบเรื่องคอมมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว
ตอน ม. ปลาย ก็เคยลงวิชาเลือกเกี่ยวกับคอมบ้าง เขียนโปรแกรมเป็นแบบพื้นๆมาก โตขึ้นมาเข้าคณะสายวิทย์คอมถึงมาเข้าใจจริงๆจังๆ
แล้วตอนเรียนจบกูพอเขียนโปรแกรมได้ดีเทียบกับเด็กในคณะเดียวกันทั่วๆไปก็เลยลองมาเป็นโปรแกรมเมอร์ดูแล้วก็อยู่กับอาชีพนี้มาเรื่อยๆ
ถามว่ากูมีความฝันหรือเป้าหมายมั้ย คือเด็กๆก็ฝันอยากประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างแบบ บิลเกตส์ อยู่นะ
โตขึ้นมารู้สึกมันเกินตัวไป ขอฟลุคทำอะไรสำเร็จแล้วหาตังได้เยอะๆซักครั้งแบบคนสร้างเกม Flappy Bird ก็ยังดี
คือเริ่มรู้สึกชีวิตมันไม่เห็นอนาคตอะไรนอกจากอยู่ไปเรื่อยๆ กูเองคิดว่าซักพักคงต้องหาทางเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ขอซุ่มดูเทรนด์โลกต่ออีกแป๊ปนึง (ไม่รู้จะซุ่มดูไปเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกทีก็สายรึเปล่านะ 555)
ส่วนเรื่องความสุขในการทำงาน ตอนนี้ก็รู้สึกดีพอควร โชคดีที่ย้ายแล้วงานใหม่มันดีกว่าที่เก่าในหลายๆด้าน
งานไม่หนัก เดินทางง่าย เพื่อนร่วมงานโอเค เงินเยอะพอควร (แต่พ่อแม่ก็ยังชอบยกเงินเดือนญาติที่ทำงานสายอื่นมาแขวะกูบ่อยๆ)
ลูกค้าเหี้ยบ้างนิดๆแต่น้อยกว่าที่เก่าเยอะ พอทนได้ หัวหน้าดีกว่าที่เก่าเยอะ เสียตรงวันลาน้อยกับสวัสดิการแย่
ตอนแรกกูตั้งใจให้งานนนี้เป็นงานชั่วคราว แต่อยู่มาจนเริ่มรู้สึกอยู่ตัว ขี้เกียจขยับตัวไปที่อื่นแล้วหน่อยๆ
ถ้ามึงสนใจด้าน AI จริงๆคือมันเป็นสายเฉพาะทางลึกลงไปอีก เรียนความรู้ในป.ตรี น่าจะไม่พอ
เรียนจบแล้วต้องศึกษาเองเพิ่มเติม ไม่ก็เรียนต่อด้านนี้โดยเฉพาะ
อาจจะไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทก่อนก็ได้
หรือจะลองทำให้รู้ว่างานโปรแกรมเมอร์ในองค์กรณ์เป็นยังไงก่อนก็ได้เหมือนกัน
ถ้ามึงมีความสนใจด้านนี้จริงๆ แถมที่บ้านมีทางเลือกให้รับช่วงธุรกิจต่อกูว่ามันเป็นโอกาสดีที่มึงจะลองนะ
มึงมีพื้นฐานด้านนี้อยู่แล้วด้วย คงไม่เหมือนเพื่อนในคณะกูหลายคนที่เข้ามาแบบไม่รู้อะไรเลย นึกว่าเรียนใช้คอม
พอเจอเขียนโปรแกรมก็เหวอ ซิ่วหนีกันไปเป็นแถว (ส่วนนึงจะเพราะอาจารย์ที่สอนเขียนโปรแกรมคนแรกสอนห่วยด้วยแหละ)
ถ้าลองเรียนแล้วไม่ชอบหรือเรียนจบมาทำงานแล้วไม่โอเคก็ค่อยว่ากันอีกที
ขอเสริมเรื่องเลขนิดนึง กูไม่เคยรู้สึกว่าตัวเก่งเลขนะ แต่เขียนโปรแกรมดันเขียนได้ดี (ไม่นับพวกที่โหดๆแบบเขียนโปรแกรมแข่ง)
กูไม่เคยเขียนโปรแกรมที่ต้องใช้เลขเยอะๆแบบพวก AI หรือว่าด้าน Graphic เลยไม่รู้จะเอาประสบการณ์ตัวเองมาเทียบได้มั้ย
แต่กูกลับรู้สึกว่าการเขียนโปรแกรมทำให้กูเข้าใจเลขมากขึ้นซะงั้น และการเขียนโปรแกรมให้คิดเลขมันไม่เหมือนทำโจทย์เลขบนกระดาษด้วยแหละ
มันเหมือนเราแค่เข้าใจหลักการคร่าวๆก็พอ แล้วที่เหลือคือการสั่งให้คอมทำตามที่เราต้องการให้ถูกมากกว่า
>>631 >>633 ถ้ามึงคือโม่งตัวเดียวกันและเรียนๆโปรแกรมมิ่งมารู้สึกว่ามึงคิดต่อยอดไม่ออกใช่มั้ย งั้นเอางี้นะ ปัญหามึงพอๆกับกูเลยคือ หาคนปูทางให้ไม่เป็นจนไปไม่ได้ตอนอยู่ ม.ปลาย เพราะมึงไม่รู้วิธีเรียนด้วยส่วนนึงนะ โปรแกรมมิ่งทำงานกับคอมแต่คุยกับคนนะเออ ดังนั้นกุเดาๆว่ามึงน่าจะขาดคนที่ไปในทางเดียวกับมึงด้วย สิ่งที่กูพอแนะแนวได้คือ มึงลองอ่านหลักสูตรวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงดูนะ ทำความเข้าใจกับระบบการเรียนของวิทย์คอมที่รามดูก่อน แล้วถ้าสงสัยอะไรลองไล่ๆหากลุ่มของภาควิชานี้แล้วลองโพสต์ถามระบบการเรียนของวิชาที่เน้นๆตั้งแต่เริ่มจนจบดู(หากลุ่มที่เค้าพูดคุยสอบถามกันจริงๆนะไม่ใช่ขายของ โพสคำโปรยหีแตดไรนั่นรีบกดออกจากลุ่มเลย) จากนั้นช่วงปิดเทอมๆนี้แหละ หากมึงสนใจมึงสามารถเข้าไปนั่งเรียนแบบsit inได้ไม่มีใครว่าไรมึงด้วย ขอแค่ใส่ชุดสุภาพไปนั่งฟังอาจารย์เค้าบรรยายแบบวิชาการดู มันให้อะไรมึงไม่ได้มากกับระบบการสอนแบบรามคำแหงนะ แต่เนื้อหาไรงี้มันจะทำให้มึงจับต้นชนปลายถูกได้ว่าควรจะไปทางไหน สายอะไร ทำงานโปรแกรมมิ่งแล้วเอาไปใช้กับอะไร สร้างผลงานเจ๋งๆแจ่มๆเองยังไงดีเป็นต้น
ขอเสริมเรื่องโปรแกรมมิ่งและการเขียนโค้ดนะ กูว่ามึงน่าจะไปได้สวยกับทางนี้พอตัวถ้ามึงบอกว่าเข้าใจหลักการของมัน คือต้องบอกว่าระบบของคอมพิวเตอร์จะเน้นไปทางวิธีการ ตรรกศาสตร์ ระบบวิธีคิด มากกว่าความแม่นยำหรือนิยามยิบย่อยที่นักคณิตศาสตร์ทำกันนะ ที่เป็นแบบนั้นก็ต้องย้อนไปถามคำถามเดิมๆเลยว่ามนุษย์เราสร้างเครื่องจักรมาเพื่อช่วยทุ่นแรง ทุ่นเวลารึเปล่า สรุปให้อย่างนึงละกันนะว่าพวกวิชาคอมโดยส่วนมากๆมันคือintersecของวิชาคณิต และวิชาAIของมึงก็สับเซตของคณิตศาสตร์
ปล.ที่กูเล่าๆมานี่หวังว่ามึงจะไม่งงงวยจนล้มเลิกไปซะก่อนนะ
>>631 โอเค เดี๋ยวเทสให้หน่อยนึงว่าพื้นฐานการคิดเชิงตรรกะทำได้แค่ไหน เอาโจทย์ไปทำ
"งานกีฬาแห่งหนึ่งมีโรงเรียน A, B สลับกันเป็นเจ้าภาพ ในปี 2540 โรงเรียน A เริ่มเป็นเจ้าภาพ ถ้าให้รายการของปีที่ไม่ได้จัด จะหายังไงว่าในปีใดปีหนึ่งโรงเรียนไหนเป็นเจ้าภาพ"
เขียน Python/Java/C/C++ มาให้เลยก็ได้ข้อนี้ อยากดูสกิลเขียนโค้ดด้วย
เรื่องเรียนคณิตนี่พูดยาก พื้นคณิตใช้เยอะอยู่นะ แต่ไม่จำเป็นต้องเรียนในโรงเรียนให้ "ดี" ก็ได้ เราจบจากโรงเรียนเก่ามาด้วยเกรดคณิตเฉลี่ย 2.5x ต่ำรั้งท้ายรุ่น เข้าม.อันดับต้นๆ สายวิศวะคอม เรียนคณิตศาสตร์วิศวกรรมสามตัวในมหาลัยไม่เคยได้เกรดเกิน C แต่กับคณิตศาสตร์เฉพาะทางคอมพิวเตอร์ (Discrete Maths) ก็ได้ A แบบท็อปๆ เซกมา ดังนั้นถ้ากลัวคณิตศาสตร์ไม่ไหวแล้วจะเรียนไม่ได้ เก็บพื้นฐานคอมพิวเตอร์ให้ดี (ตรรกศาสตร์ เซ็ต ความน่าจะเป็น ถ้าอยากทำ AI ตั้งใจเรียนแคลคูลัส) ที่เหลือเอาแค่พอทำข้อสอบเข้าได้ก็พอ
ความฝันหรือเป้าหมายอื่นๆ เรามีไหม อืม ไม่รู้ว่ะ แต่อยู่กับคอมมาตั้งแต่เด็กแล้ว จริงๆ ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่เรียนสายนี้จะเรียนอะไร
เรื่องที่ทำงาน จริงๆ สิ่งที่อยากแนะนำคือลองเรียนมหาลัย top tier ให้ได้แล้วจะพบว่าบริษัทเทพๆ รอจองตัวอยู่ อย่าดูถูกกำลังการจ่ายและสภาพแวดล้อมบริษัทไอทีในไทย จริงๆ แล้วหลายที่ดีมากทั้งบรรยากาศที่ทำงาน สวัสดิการ และเงิน กล้าพูดว่าถ้าเก่งพอสามารถหาบริษัทที่สภาพแวดล้อมใกล้ๆ กูเกิลได้ไม่ยาก เพราะเราไม่เคยรู้สึกว่าจบไปแล้วจะเจอลูกค้างี่เง่าเลย และจะไม่ทนด้วย
ลองดูสมัครงานก็ได้ว่าสภาพแวดล้อมการทำงานใน tech company จ๋าๆ หน่อยเป็นยังไง: https://www.blognone.com/jobs
ถ้าจบวิศวะคอมแล้วล้มเหลว จริงๆ สิ่งที่จะได้ติดตัวไปจากสาขานี้ไม่ใช่น้อยคือ systematic thinking ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นพื้นฐานที่ดีในการไปต่อสายบริหาร
ดังนั้นเป็นกำลังใจให้ เชื่อว่าจะทำได้
เพื่อนโม่ง กูอยากถามวะ พวกมึงมีแรงบัลดาลใจอะไรถึงมาเป็นโปรแกรมเมอร์วะ
>> แรงบันบาลใจกูคือโปรแกรมที่มีขายในท้องตลาดมันกาก ไม่ถูกใจใช้แล้วหงุดหงิดลำคาร กูเลยเขียนมันใหม่ ให้ทำงานแบบที่กูพอใจ
อัลกอรึทึม เป็นคำเรียกให้ดูหรู ในการทำงานจริงโยนทิ้งถังขยะไปเหอะ
สำคัญคือต้องแยกจิ๊กซอโปรแกรมให้ได้ว่าจะทำแบบนี้ ต้องเอาอะไรมาประกอบกันบ้าง
ถ้าแยกได้เขียนภาษาไหนๆ ก็เหมือนกันหมด ส่วนต่อยอดไม่ต้องไปทำสายบริหารหรอกปวดหัว แถมไปคนละทาง
เลื่อนไปทำ scrum master น่าจะตรงสายงานมากกว่า เงินเดือนที่ดีๆ หน่อยก็เริ่มที่ 6 หลัก
แต่ว่ากันตามตรงของที่มีอยู่ในห้องเรียน ไม่ได้อะไรเลยว่ะ สิ่งที่ต้องทำคือต้องเขียนอะไรให้เป็นรูปเป็นร่างบ่อยๆ มากกว่ามาหัดนั่งคำโจทย์ห่วยๆ
ที่ไม่เคยใช้จริงมากกว่า ของในห้องเรียนคำสั่งสำเร็จรูปมีออกถมไป
>>637 " สิ่งที่ต้องทำคือต้องเขียนอะไรให้เป็นรูปเป็นร่างบ่อยๆ มากกว่ามาหัดนั่งคำโจทย์ห่วยๆ
ที่ไม่เคยใช้จริงมากกว่า ของในห้องเรียนคำสั่งสำเร็จรูปมีออกถมไป"
จากที่มึงว่ามานะ เกิดคำถามถามว่า ทำไมยังมีคนมารีวิวอีกว่าสอบสัมภาษณ์ตามบริษัทดังๆของต่างประเทศ การสอบคัดเลือกบางแห่งยังใช้ระบบจัดสอบถอดแบบมาจากของมหาลัยอยู่เลย อย่างเช่น การเขียนโค้ดสดๆบนกระดาษไวท์บอร์ดหรือบนกระดาษเปล่า
>>638 เอ่อจะบอกให้ว่า บริษัทใหญ่ๆ ใน Silicon Valley ก็ไม่มีสอบเขียน code ลักษณะห้องสอบหรอกนะ
- รอบแรกยังให้โจทย์กลับไปทำที่บ้านแล้วเอามาส่งตามกำหนด
- รอบสุดท้ายไปทำในห้องสัมภาษณ์ได้เลย ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งกรรมกรไม่ดูหรอกคำสั่ง เอาแค่อธิบาย flow ถูก กับตอบคำถามนิดหน่อยเพื่อพิสูจน์ว่าทำจริงแค่นั้นเป็นพอ
>>638 จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยสมัครบริษัทใหญ่ๆนะ กูเจอข้อสอบที่ไม่ดีเยอะ แต่ส่วนมากเป็นตัวเลือก ไม่ใช่ข้อเขียน
กูคิดว่าด้วยความที่คนสมัครเยอะ บวกกับบริษัทพวกนี้ชอบไปกวาดคนมาเยอะๆก่อนแล้วค่อยกรอง
ทำให้คนที่ทำงานสายโปรแกรมเมอร์ในบริษัทมาช่วยกรองละเอียดๆไม่ไหว
มันเลยต้องผ่านการกรองของ HR มาก่อน ด้วยความที่ HR ไม่ใช่คนทำงานสายนี้ เค้าเลยต้องพึ่งข้อสอบ
ซึ่งบางทีเค้าไม่เข้าใจว่าของแบบนี้มันวัดว่าคนทำงานโปรแกรมเมอร์ได้รึเปล่าไม่ค่อยได้หรอก
แย่สุดที่กูเคยเจอคือข้อสอบถามเกี่ยวกับเรื่อง framework อันนึงไปซะ 1 ใน 3 พอตอนสัมภาษณ์กูถาม เค้าดันบอกว่าไม่ได้ใช้ทำงานซะงั้น
ขึ้นอยู่กับว่าไปสมัครส่วนไหน ถ้าไปสมัครจูเนี่ยร์ไม่มีพอร์ทอะไรเลย ยังไงก็โดนข้อสอบกระดาษอยู่แล้ว เพราะเค้าไม่รู้ว่าจะกรองคนจากอะไร
ถ้าไม่ใช่จูเนี่ยร์เค้าดูจากพอร์ทงานที่เคยทำ พวกนี้บางที่ไม่ต้องทำข้อสอบด้วยซ้ำ สัมภาษณ์เสร็จปุ๊ปรับปั๊ปเลยก็มี
แต่กูแนะนำให้เขียน program ไม่ว่าจะเป็น app หรือ web ที่ใช้ได้จริง ดีกว่ามานั่งหัดทำโจทย์นะ
เพราะเวลามีพอร์ทแล้วมันมีภาษีกว่ากันเยอะ งานที่มึงทำมันให้คำตอบมากกว่า ข้อสอบที่ทำไม่กี่นาที
ยิ่งถ้าทำ project เจ๋งๆ แล้วไปแปะประวัติไว้ใน linkedin นะ แป๊ปๆ วันนึงก็มีโทรเข้ามาหาหลายสายล่ะ
พวกคำพูดเยอะนี่จบไรกันมาวะ
ยามเช้า
#ผมไม่ได้เขียนเองนะครับ #คนเขียนไม่ขอเปิดเผยตัวตน #ขออนุญาตแล้ว
วาทะกรรม ประจำปีนี้ #คนที่เรามีอยู่ไม่โอเค เราพร้อมจะเปลี่ยนทั้งหมด
พอได้ยินเยอะๆ เค้า เริ่มคิดว่า สรุปที่คนที่มีอยู่ไม่โอเคเนี่ย แม่งเพราะใครฟระ
เอา HRM ที่ทุกคนกร่นด่ามาดูซิ ว่าปัญหาแม่งอยู่ตรงไหน
กระบวนการรับเข้า แม่งบอกอยากได้ Java Programmer 5 Years Exp แสรด ก็กรองกันแบบเนี้ย เมิงหา Object Oriented Real-Experienced มามั๊ย ถ้าพื้นสตรองจริงๆ ภาษาห่ารากอะไรที่เป็น OO แม่งก็ผ่านไปได้หมดแหละ ให้เวลามันหน่อย ลองหา Web-Technology Primer มั๊ยว่าแม่งเข้าใจ HTTP มากแค่ไหน ไม่ใช่ RESTful with return status 200, message {"error": true } เนี่ย Java 5 Years Exp บางคนแม่งก็ย่ำอยู่กับที่ 5 ปีนะโว้ย แค่คุณสมบัติไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเขียนโปรแกรมกันซักนิดและ กะเอามาแบบพรุ่งนี้เริ่มงานได้เลย Java ที่ไหนก็เหมือนๆ กันแหละ #เหมือนกัน...สิ
แล้วไอ้ที่บอกว่า เอาแบบเคยทำ Agile บอกเลย กุทำ software หว่ะ กุไม่ทำ Agile ถ้าอยากได้ Software Dev อยู่ใน methodology หมวด Agile สิ่งที่ต้องทำคือในสองอาทิตย์นี้ เรามี Feature ที่พยายามทำคือ ... เรียงมาให้เรียบร้อย เสร็จคือ พี่ต้องพร้อม deploy ได้นะ รายละเอียดคุยกันเต็มๆหน่อยว่ามีอะไรบ้าง Software Dev ดีๆ เค้าก็ทำได้แหละ แต่ถ้าเค้าบอกว่าไม่ทัน เพราะ บลาๆๆ ฟังมันเฟร้ย ฟัง แล้วหาทางแก้ปัญหาด้วยกัน ไม่ใช่บอกว่า ต้องเสร็จ เรา Agile #Agile...สิ สั่งกันแบบนี้ ยิ่งกว่า Waterfall แล้ว เรียกใช้แรงงานทาสกันเลย
แล้วไอ้ที่บอกว่า Feature นี้ เจาๆๆๆ พอ Dev บอก cost เยอะ ยาก หรือมีวิธีการดีกว่า ไม่ฟังหรอกเพราะนายสั่งมา นี่..กล้าเรียกตัวเองว่า Business กันอยู่ป่าวว่ะ สติ ค่ะ สติ ตื่นค่ะ หมดยุคเดินตามหลังนายแล้วจะเจริญแล้ว เพราะดูสิ นายแม่งยังบอกเลย #คนที่เรามีอยู่ไม่โอเค มันโยนความผิดให้คนที่มีอยู่หมดแหละ น้อยอ่ะที่มันจะสำเหนียกว่าตัวเองผิด ให้โอกาส แล้วเริ่มแก้ที่ตัวเอง วิธีการ 5 ปีก่อน มันใช้ได้กับ 5 ปีนี้แน่หรอ อะไรที่เคยสำเร็จแล้ว มาใช้ซ้ำๆ กับ context ที่เปลี่ยนไป จะได้แน่หรอ ตื่นค่ะ ไม่ได้ว่าเจ้านายดีๆ boss ดีๆ manager ดีๆ ไม่มีนะ มีเว้ย เจอมาทั้งชีวิตเลย เลียแข้งเลียขานายก็เคย แต่เลียด้วยสติงัย ถามนายเลย ทำไมต้องทำอย่างงี้คะ แล้วกลับมาลองหาข้อมูลประกอบ ถ้าไม่ใช่ เดินไปถามใหม่ พอนายเห็นข้อมูลมาขึ้น นายกลับชมด้วยซ้ำ เออ ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ดีมากๆ กุได้คำชมซะงั้น
แล้วไอ้ที่ประเมินกันแต่ละปี หาคนที่ทำงานผิดพลาดน้อยที่สุดแล้ว Promote ซะ พอเกิดปัญหาแม่งก็ถามหาใครรับผิดชอบ ... เกลียดอีคนำนี้มาก เพราะคนจะสะดุ้งแค่คำว่า "รับผิด" ชอบแม่งจะหายไป สรุปว่าคนที่ลองอะไรใหม่ๆ แล้วพลาด แม่งโดนซ้ำเติมกันไป แทนที่จะหาวิธีแก้ไขหรือทำให้ดีขึ้นกัน ก็สร้าง culture พลาดโดนซ้ำกันไป แทนที่จะหาทางให้เค้าได้ลองเพื่อพัฒนาทั้งตัวเองและองค์กร เริ่มแม่งจากน้อยๆ ที่พลาดได้ไม่เจ็บหนัก กลายเป็นใครพลาดกดหัวซ้ำ ตั้งแต่เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ยันลูกน้อง แล้วจะทำให้คนศึกษาสิ่งใหม่ๆ ไปทำซากอะไร พอเวลาผ่านไปก็วนไปที่ #คนที่เรามีอยู่ไม่โอเค
แล้วพอจะหาคนใหม่มา เอาคนเก่งๆ เอาเงินฟาดเลย เด็กสมัยนี้ มีเงินพอใช้ค่ะ เงินเยอะมากอาจจะฟาดได้ แต่ถ้าเยอะมากแต่ชีวิตตรูตกต่ำ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เข้าไปอยู่กับของพังๆ ให้ลองวิธีการใหม่ๆ ก็กลัวหัวหดกัน แล้วมันจะอยากไปอยู่หรอ สอนให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่มีโอกาสให้มันถามมันเถียงเนี่ย คุณไม่ได้มีเงินคนเดียวนะค้าบ บริษัทอื่นที่ดีๆ ก็มีเงิน
พิมพ์อะไรเยอะแยะ ได้อะไรมั๊ย? ไม่ แถมเข้าตัวอีก คนเขียน Agressive Mode
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
data หรือ dev ดีวะ ขอคนมีความรู้มาตอบ
กูถามในนี้สายโปรแกรมเมอร์จะตอบกันได้ไหมวะ....... ลองดูละกัน คือ ถ้าภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาเครื่องของคอมพิวเตอร์กับโน้ตบุ๊คเป็นแอสเซมบลี แล้วภาษาที่ใกล้และเทียบเคียงกับภาษาเครื่องของมือถือคืออะไรวะ?
ภาค 2 ครับ เหมือนเดิม #ผมไม่ได้เขียนเอง #คนเขียนไม่ประสงค์ออกนาม #ขออนุญาตแล้ว
ได้ข่าวมาว่า ดราม่าที่แล้วโดนใจมาก ถึงขนาดที่ว่ามีคนแห่มาถามว่า คนเขียนอยู่บริษัทโน้นหรอ บริษัทนี้หรอ จริงๆ ไ่ม่ได้ตั้งใจจะดราม่าเท่าไรนะ อาจจะเป็นเพราะสำนวนดิบๆ ในสัญชาตญานเวลาเขียนใน FB ส่วนตัวเลยจัดเต็มไปซะ ไม่ได้หมายถึงบริษัทไหนเป็นพิเศษด้วย เพราะฟังมาหลายที่ ไม่ได้เจอเอง ส่วน Bussiness Administration เล็กๆ ในตัวมันเริ่มทำงานสวนกลับกับส่วน Technical ที่รันอยู่เป็น Everyday life ในช่วงนี้
กลับมาเห็นว่าจุดที่เราคิดว่าสังคม Software Development ไม่น่าอยู่เลย ใน 10 ปีก่อนที่เรียนจบมาใหม่ๆ เลยพยายามไปหาทางอื่นดูว่าเค้าเป็นงัยกัน ทำอะไรกัน แล้วพอกลับมาก็มีหนทางที่มันก็น่าอยู่นะ แต่ส่วนด้านมืดก็ยังมีให้เห็นเป็นวงกว้างแหละ โปรแกรมเมอร์กากๆ ที่อาจจะกากแต่ช่วงตัวอ่อนอยู่ ก็ไม่ได้ protect ว่าไม่มีจริง แต่เราเริ่มเห็น pattern ของฝั่ง business ช่วงนี้ที่รุ่นลูกเริ่มกลับมาบริหาร หรือฝ่ายบริหารเห็นความอับแสงของฝั่ง IT เลยเปลี่ยนตัว top เข้ามา หรือหนีไป fork หน่วยงานใหม่ตั้งชื่อเท่ห์ๆ กัน แต่สุดท้ายแล้ว pattern ที่มุมมองภายนอกคือ การไม่ยอมรับความผิดพลาดของสายบริหารที่ไล่ไปจนถึงจุดสูงสุด
การมาของผู้บริหารใหม่ส่วนใหญ่ อาจจะมาจากสายที่วิชาแก่กล้า แต่เข้ามาก็ต้องส่ายหัวกับ human, culture, politics and collective power ของรากฐานที่สร้างไว้กันแต่โบราณ ซึ่งเหมือนมาเป็นตัวแทนจากฝั่งข้างบนมาบอกว่า #คนที่เรามีอยู่ไม่โอเค เพราะ Message ที่ส่งถึงเค้าคือ คุณสร้างทีมได้เต็มที่เลย อาวุธ downstream เดียวของผู้บริหารคือ Human Resource Management และอย่างแรกที่มีโดยที่ไม่ต้องงัดข้อกับฝั่งใดๆ เลยคือ ไล่ออกและรับใหม่ เพราะความกดดันจากด้านบนเช่นกันที่คิดว่า culture เสกได้ แค่เราคิดคำเท่ห์ออกมา ตั้ง motto แปะข้างฝา แค่นี้ culture ก็เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยน...สิ (ว่าจะ soft กุไปและ)
สิ่งต่อมาเวลาที่ฝั่งบริหาร realize แล้วว่า IT เราไม่เวิร์คหว่ะ เราล้าหลัง เราสร้าง software ที่ไม่มีใครรักมันเลย แทนที่จะกลับไปหาปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นนะ ทำทุกอย่างให้ช้าลง คิดให้มากขึ้น แต่ช่วงสองปีที่ผ่านมากลับกลายเป็นว่าหลายๆ เจ้าตัดสินใจปั๊มฟีเจอร์แก้เขิน อุ๊ย เราทำไม่ดีอ่ะ ทำแม่งเยอะๆ เลยละกัน เขิลอ่ะ ... แล้วนึกออกป่ะ แบบของเก่ามันก็ไม่ค่อยสเถียรอยู่ละ เมิงยัง amplify มันให้มากขึ้นมากขึ้น แม่งอย่างกับระเบิดถอยหลังรอวันเอาไม่อยู่ แต่ไม่เป็นไร เราจ้างคนมาค้ำยันระบบไปเรื่อยๆ ได้ ไม่เป็นไรหรอก ... โถๆๆๆ แถมไอ้ฟีเจอร์แก้เขินเนี่ย คืองงมาก product ต่างๆ ในองค์กรต่างๆ ถูกคิดมาอย่างปรานึต ผ่านทีมงานหลายส่วนช่วยกันคิด refine improve วางโครงสร้างต้นน้ำยันปลายน้ำก่อนออกสู่ตลาด แต่ไหงพอเป็น software เหมือนใช้หัวแม่ตีนคิดกัน เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าดีและไปได้ แต่ market research หายไปไหนหรอ ทั้งๆ ที่ product หลักก็ทำกันอย่างดี พอ software ทำไป ก็ราวกับว่าทุกอย่างได้มาฟรีๆ พอมีของที่ทำๆ เร่งๆ แล้วก็ทิ้งๆ วนลูปไปเรื่อยๆ กำลังใจที่จะทำให้ดีมาจากไหนค้าบ
ที่เขียนมาหมดนี่อยากได้อะไร...แค่คิดว่า การที่ผู้บริหารลงมายอมรับความผิดที่วางรากฐานให้ฝั่ง IT แบบนี้ทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ (เช่น การ Promote คนผิด, การเร่งเอาเพียงแค่ Deadline, การไม่เข้าใจ Quality of Software คืออะไรกันแน่, การที่ชี้ทิศทางของ Value ใน Software Product ที่ผิดพลาดไป) กล้าเดินออกมายอมรับกับลูกน้องหน่อยว่าผิดพลาดไปแล้ว ให้โอกาสคนที่เคยเดินตามพวก...มาตลอดหน่อย บอกเค้าให้ชัดเจนว่าอยากให้เค้าเป็นแบบไหน ให้เวลาเค้าพัฒนาตัวเองจริงจัง ไม่ใช่ให้งานเพิ่มจนหัวปั่นกว่าเดิม แต่ถ้าให้โอกาสแล้วมันไม่ไป ก็สุดแล้วแต่กรรมของมัน ฝั่งผู้บริหารเองก็ต้องเปลี่ยน mindset ไม่ต่างกัน ที่ต้องกระโจนลงมาดู Detail หน่อย ปล่อยให้ Middle Management มัน Loop วงจรอุบาทว์เป็นวงจรแม่ผัวลูกสะใภ้ แบบตอนช้านอยู่ช้านก็โดนแบบนี้ แกก็โดนไม่ต่างกัน ต้องทนให้ได้ vision ห่าเหวคิดแทบตาย market research ทุ่มทุนทำไป จ่ายค่า consult เพื่อช่วยวาง strategy กันไปกี่สิบล้าน แต่ middle management ไม่เข้าใจ และวางออกมาเป็น Execution Plan ในระดับที่ย่อยลงไปได้ แม่งก็สูญเปล่านะ เราอยากทำงานกับคนที่เก่งนะ แต่ถ้านายผิดพลาดเป็น และรับผิดชอบไปด้วยกันจะเป็นนายที่น่ารักที่สุดในสามโลก
สุดท้าย Software Developer ทุกท่านที่โอดครวญ ผมไม่ได้อยู่ในวงจรที่คุณเจอ ผมแค่เห็นมา และเห็นใจ แต่สุดท้าย จงจำไว้ว่า อัตหิ อัตโนนาโถ จงพึงเก่งไว้ตลอดเวลา อย่าให้ใครมาบอกว่าทำแค่ก็พอแล้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูถามหน่อยกูเรียนวิทคอมปี2จะขึ้น3ละ เป้าหมายที่กูเข้ามาคืออยากเรียนพวกทำเกมส์ไรแบบเนี้ยแต่พอกูเข้ามาเจอเหี้ยไรไม่รู้เต็มไปหมด ตอนนี้เกรดกูก็ไม่ดีนะแต่พยายามหาแรงจุงใจให้กูไปตามความฝันได้แต่แม่งไม่รู้ดิยิ่งเรียนยิ่งโง่ไอสัส กูถึงกับซื้อหนังสือบันเดิลเขียนเกมส์ของhumblebundle เพื่อมาศึกษานะแต่แค่เรียนกูยังจะตายเลย แต่กูก็ยังอยากจะไปสายเกมส์จริงๆนะ แต่ไม่มีแรงจุงใจเลยวะ อหเหมือนกูมาบ่นเลย โทดละกัน
>>655
- ทำเกมอย่าพึ่งไปฝันทำขนาดใหญ่เอา Casual game ให้รอดก่อน เริ่มจากเกมง่ายๆ
- หาเครื่องมือดีๆ มาทำ Game Engines มีหลายยี่ห้อหยิบมาซักตัว
Construct , Clickteam Fusion , GameMaker Studio ฯลฯ ของพวกนี้แทบ ไม่ต้องเขียน code ด้วยซ้ำ
ขอให้มึงเข้าใจประกอบชิ้นส่วนให้ได้เป็นพอ วิธีใช้ youtube มีสอนจนแทบจะจับเมาส์เขียนให้
พี่โม่งแนะนำที โน๊ตบุ้คพัง ควรจะซื้อโน๊ตบุ้คธรรมดาลงwindowเหมือนเดิมหรือไปเล่นพวกmacbookดี
ส่วนใหญ่ใช้แบบไหนกันครับ
ทำงานแค่ไหน? แมคบุ๊คซื้ไปลงวินโดว์?
กระทู้นี้ตั้งตั้งแต่ 2014 จน 2018 ก็ยังไม่ถึง 1000 โพส แสดงว่าไม่ค่อยมีใครคุยกันในนี้เลยเหรอ
>>658 เกาะด้วย
จะซื้อโน้ตบุ๊คใหม่ อยากหัดเขียนโปรแกรมแต่ใช้งานหลักๆก็พวกดูหนัง พิมพ์งานส่ง ไม่ทราบว่า intel core i3 ใช้ได้มั้ยคะ /แล้วถ้าซื้อโน้ตบุ๊คที่เขียนว่าระบบปฏิบัติการเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ window นี่เราต้องมาลง window เองอีกรอบใช่มั้ย ←ถ้าซื้อโน้ตบุ๊คที่ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการ window แล้วยังใช้พวก words powerpoint excel photoshop ได้มั้ยอะ งงเรื่องพวกนี้มาก
ถ้าเน้นงบประมาณและความคุ้มค่า เปลี่ยนเครื่องบ่อย เผื่อเล่นเกมได้ ก็ไม่ต้องสน Mac หรอกเพราะมันไม่เหมาะ
Macbook ดีตรงมันเบากับแบต แล้วก็ประกันกรณีที่มึงซื้อเพิ่ม
ถ้าเอาไปใช้งานแบบเขียน Code มันเหมาะตรงที่ไม่ต้องยุ่งยากเรื่อง OS กับ backup ให้มากเรื่อง
ซื้อมาแล้วอย่าให้เสียของซื้อ external hdd มาด้วย ต่อ backup ลง time machine เครื่องเสียก็แค่ restore จบ
สามารถโฟกัสไปที่งานอย่างเดียวได้ แต่ถ้ามองถึงเรื่องอื่นก็ข้ามๆ มันไปเหอะ
Adobe กับ Office 365 สองตัวนี้มี version Mac ใช้งานได้ไม่มีปัญหา แต่บอกไว้ก่อนว่า Office 365 ถ้าเน้นแชร์งานกับ
คนที่ใช้งาน Windows เป็นหลักอย่าก็ใช้ Mac เลย เพราะยิ่งพวกใช้สูตรประหลาด หรือ Font ที่ไม่มีบน Mac มันจะมีปัญหาทีหลัง
ถามคนอื่นที่เป็นโปรแกรมเมอร์หน่อยว่าคิดไงกับการเอาวิชาเขียนโปรแกรมเข้าหลักสูตรบ้าง
กูเป็นโปรแกรมเมอร์นะ แต่กูไม่ค่อยเห็นด้วยว่ะ
การที่บางคนอ้างว่าเป็นการสอนให้เด็กเรียนเรื่อง problem solving นี่กูว่ามันเหมือนพูดความจริงข้างเดียว
logic แบบที่คนเขียนโปรแกรมสั่งให้คอมทำงานกับ logic ที่ใช้ในชีวิตประจำวันมันมีส่วนต่างกันอยู่
ถ้าอยากให้เด็กรู้จักคิดมีเหตุผลนี่ กูว่าไปสอนเรื่องแนวคิดพื้นฐานของวิทยาศาสตร์เยอะๆน่าจะดีกว่า
เรื่องคอมที่กูว่าน่าสอนเด็กคือพื้นฐานการใช้งาน ข้อควรระวังไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อภัยออนไลน์ต่างๆ
ทักษะการหาข้อมูลจาก search engine การใช้อีเมลล์ อะไรพวกนี้ดูจะมีประโยชน์กว่า (แต่ไม่รู้มีคนกับอุปกรณ์พร้อมรึเปล่านะ)
ที่น่าเป็นห่วงคือกูกลัวว่าถ้าคนสอนไม่มีทักษะในการสอน แล้วมาถึงก็ยืนพูดยัดเนื้อหาใส่เด็กตู้มๆๆมันจะให้ผลตรงกันข้าม
เพราะสุดท้ายเด็กจะยิ่งเกิดอคติกับการเขียนโปรแกรม แล้วจะปิดใจไม่เอาเรื่องพวกนี้เลย
ซึ่งมันเกิดกับคณะกูมาแล้ว แค่ปีแรกคนซิ่วไปเกือบๆจะ 1/3 ที่เรียนจบออกมาได้ก็ไม่ยอมทำงานโปรแกรมเมอร์กันทั้งที่บางคนมันจะทำก็ทำได้
ปกติประสบการณ์ปีครึ่งพวกมึงเงินเดือนเกิน 25k กันยังวะ หลักๆเขียน asp.net c# mvc webform ไรพวกเนี้ยอ่ะ บอสัทกุอยุ่มาปีครึ่งละโบนัสก็ไม่มี เงินเดือนยังมาน้อยอีก สวัสดิการก็แค่ประกันสังคม(เรียกว่าสวัสดิการป่ะวะ แต่หักเงินเดือนกุจ่ายเองนะ 750 มันสวัสดิการตรงไหนวะกุต้องจ่ายเอง) ถ้ากุย้ายงานจะได้มากกว่า 25k ป่ะ
แล้วบอสัทเนี้ยยย เอาโปรเจคโคตรเก่า เทคโนโลยีก็เก่า มาให้กุทำละก็ mantain แม่งบัคเยอะชิบ ทำทุกวันนี้คือนั่งแก้บัคละก็ปรับ requirement ซะส่วนใหญ่ สรุปคืออยู่ตอนนี้ ไม่ได้จับหรือพัฒนาอะไรใหม่ๆ เลย เซงงกะชีวิต
บอสัท>>บริษัท
เศร้า
[เอามาจากพันดริฟ] ช่วยหน่อย
C# เกี่ยวกับ multi processing ตอนนี้ผมกับลังศึกษาเกี่ยวกับพวกนี้อยู่ครับ
และอยากทราบว่า multi processing มันทำงานและหลักการทำงานของมันคืออะไร
เท่าที่รู้คือการใช้งาเกี่ยวกับระบบ CPU เพื่อให้แบ่งงานกันทำคล้ายกับพวก backgroundWorker และ thread
แต่หาบทความภาษาไทยผมหาไม่ค่อยเจอเลย และวิธีทำก็มีแต่ต่างชาติแถมวิธีเขียนก็มีหลายแบบมาก ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ
ถ้าพี่ๆหรือใครสามารถอธิบายและมีตัวอย่างให้ผมดูหน่อยจะขอบพระคุณมากครับ
ปล.อันนี้ไม่ใช่การบ้านครับแต่ผมอยากรู้เฉยๆ เพราะไม่ค่อยมีแปลไทยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ขนาด backgroundWorker และ thread ผมยังสังสัยอยู่เลยว่ามันต่างกันยังไง
พวกมึงเคยได้รับการติดต่อทำงาน outsource .net ไปทำงานของ ais ที่ bts อารีย์ปะวะ
กุอยากรุ้ว่าเป็นไงมั่ง เห็น recruit โทรมาบ่อยเหลือเกินกับ outsource แถว bts อารีย์เนี่ย
>>677 multi processing อธีบายสั้นๆ นะ
ถ้าเขียนไว้ที่ thread หลัก มันจะไปกวนการแสดงผลพวกหลัก
เอาแค่ย่อขยายหน้าจอก็ทำไม่ได้ค้างไปหมด มันจะค้างไปจนกว่า app ประมวลผลเสร็จ
แต่ถ้าเขียนไว้ที่ thread รอง คือโยนไปทำงานในส่วนที่เหลือ มึงจะย่อจะขยายหน้าจอ scroll ไปมาได้
ไม่รู้สึกว่าโปรแกรมทำงานอยู่เลย คือ เครื่องทำงานลื่นปรกติ
ถ้า app , program ใช้ประมวลผลนิดหน่อยไม่รู้สึกหรอก แต่ถ้าประมวลผลเยอะก็ควรทำแบบ multi processing
สิ่งที่ยุ่งยากของ multi processing คือ มึงต้องทำตัว event แจ้งเตือนกลับมาเวลาประมวลผลเสร็จ
เทรดที่โยนให้ทำงานแบบ multi processing จะไม่นับรวมส่วน thread หลัก แล้วต้องล้างหน่วยความจำเองด้วย
ไม่งั้นทำงานอยู่ดีๆ อาจจะ restart เองเฉยเพราะหน่วยความจำเต็ม
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.