ช่องโหว่ของบริษัทในไทยในการใช้ค่าใช้จ่ายส่วนตัวแอบแฝงในบัญชีบริษัท
ในโลกธุรกิจของไทย มีหลายบริษัทที่มักจะเจอปัญหาคล้ายๆ กันคือ การใช้ค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาฝังอยู่ในบัญชีค่าใช้จ่ายของบริษัทเพื่อทำให้กำไรสุทธิน้อยลง หนึ่งในวิธีที่พบได้บ่อยคือการเอาค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทมาแอบใส่ใน expense เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
ตัวอย่างจากกรณีศึกษาของบริษัท ทองบริบูรณ์ 365
กรณีของบริษัท "ทองบริบูรณ์ 365" ของหนุ่มกะลา เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในเรื่องนี้ ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 20 ล้านบาทต่อปี แต่เมื่อมาถึงกำไรสุทธิ (bottom line) กลับเหลือเพียง 1-2 ล้านบาทเท่านั้น เหตุผลหลักที่ทำให้กำไรสุทธิลดลงมากคือ การเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาแฝงอยู่ใน expense ของบริษัท
ค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่แอบแฝงในบัญชีบริษัท
ในหลายกรณี บริษัทจะเอาค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของเจ้าของและครอบครัวมารวมอยู่ในบัญชีค่าใช้จ่ายของบริษัท เช่น:
ค่าผ่อนบ้านและคอนโด
ค่าผ่อนรถยนต์หลายคัน
เงินเดือนของพ่อแม่และภรรยา
เงินเดือนส่วนตัวของเจ้าของ
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางส่วนตัว เช่น ค่าไปเที่ยวต่างประเทศ ค่าเทอมลูก ค่าประกันชีวิต และอื่นๆ
ตัวอย่างจากข้อมูลที่แสดงให้เห็นค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูงถึง 700,000 บาท โดยรวมทั้งค่าใช้จ่ายในบ้านและการทำงาน อาจทำให้กำไรสุทธิลดลงอย่างมาก เมื่อคูณค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในระยะเวลาหลายปี เราอาจเห็นจำนวนเงินที่สูงถึง 64,800,000 บาทในระยะเวลา 9 ปี
ผลกระทบต่อบริษัทและสังคม
การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัท แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบการจัดเก็บภาษีของประเทศอีกด้วย:
การหลีกเลี่ยงภาษี: การนำค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัททำให้บริษัทสามารถลดกำไรสุทธิลง และชำระภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
ความโปร่งใสในธุรกิจ: พฤติกรรมดังกล่าวขาดความโปร่งใสและความรับผิดชอบทางการเงิน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัทและความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ
การบิดเบือนข้อมูลทางการเงิน: การบันทึกค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องในบัญชีของบริษัททำให้ข้อมูลทางการเงินของบริษัทไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางธุรกิจและการประเมินมูลค่าของบริษัท