>>698 เขามองว่าทำไมต้องอดทนไง เหมือนเรื่อง SOTUS ถ้าถามคน gen ก่อนๆ เขาจะถกเถียงกันว่าจะลดกิจกรรมรุนแรงและเสี่ยงอันตรายลดอย่างไรได้บ้าง แต่จุดประสงค์ของแนวคิดยังจำเป็นเพราะเหมือนกับการซ้อมกลายๆ ว่าถ้ามึงไปทำงาน เจอเพื่อน เจอเจ้านาย เจอลูกน้องงี่เง่าจะได้ไม่หลุดเหวี่ยงวีนได้ง่ายๆ ให้ชินกับการโดนด่าแบบไร้เหตุผล (เพราะจริงๆ มนุษย์แม่งก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลเท่าไรหรอก fake news โซเชียลเป็นตัวอย่างที่ดี เห็นมาเยอะละ คนระดับนักการเมือง นักธุรกิจใหญ่ๆ นักวิชาการ ดร. แม่งยังเผลอแชร์กัน เพราะมัน trigger ปมของคนคนนั้น) จะได้มีงานทำยาวๆ แต่ gen z จะมองว่าทำไมต้องทนกับความไม่มีเหตุผลด้วยล่ะ
ซึ่งตรงนี้สิ่งที่ทำให้ gen z ต่างจาก gen อื่นๆ ก็ตรงการโตมากับโซเชียลนี่ละ เครื่องมือนี้กล่อมเกลาให้มีวิธีคิดว่าสังคมต้องเปลี่ยน สภาพแวดล้อมต้องเปลี่ยนเพื่อให้โอบรับปัจเจกชนทุกรูปแบบ ในขณะที่คนรุ่นก่อนหน้าเขาสอนกันว่าเราทำได้แค่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าเท่านั้น ทีนี้ถามว่าโซเชียลมันมีพลังขนาดนั้นเลยหรอ คำตอบคือใช่ เพราะมันทำให้คนที่คิดเหมือนกันแต่เคยถูกจำกัดด้วยระยะทาง (ไกลคนละเมือง จังหวัด ประเทศ) ได้มาสุมหัวรวมตัวกัน พอมันมาสุมกันเยอะๆ เข้าก็ตามธรรมชาติของมนุษย์คือเสียงดังเป็นธรรมดา แล้วก็คิดว่าเราจะต้องเปลี่ยนโลกเปลี่ยนสังคมให้มันดีขึ้นตามวิถีที่เราเชื่อ แนวคิดเริ่มปรับตัวเองเข้ากับสังคมเลยถูกลดทอนความสำคัญลงไป โซเชียลจึงทำลายคำกล่าวที่ว่าพอโตขึ้นเดี๋ยวความคิดเปลี่ยน เพราะคนรุ่นก่อนๆ เป็นแบบนั้น เรียนจบ ทำงาน อุดมการณ์ก็ต้องทิ้งเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว แต่รุ่นใหม่แม่งดันสื่อสารปั่นกระแสกันตลอดเวลา เลยก่อหวอดได้ในทุกวงการไงล่ะ