9. ที่สำคัญคือรู้ไหมว่ารัฐบาลเอาที่ไหนมาจ่ายหนี้กองทุนฟื้นฟู คำตอบก็คือ 0.46% ของเงินฝากพวกเราทุกคน
ใช่.. ถ้าไม่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในตอนนั้น วันนี้พวกเราทุกคนจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร “เพิ่มขึ้นอีก 0.46%” เงินจำนวนนี้ธนาคารทุกธนาคารจะหักและนำส่งกองทุนฟื้นฟู
ถ้าจะถามว่าวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อ 26 ปีที่แล้ว สร้างภาระให้ลูกหลานจนถึงวันนี้ และยังคงสร้างภาระต่อไปจนถึงวันหน้า ก็คงตอบว่า “มันเป็นแบบนั้น”
ทุกวันนี้คนไทยที่มีเงินฝากต้องเสมือนเสียค่า subscription 0.46% ต่อปี
ถ้าฝากเงิน 10,000 บาท ก็เสียค่าสมาชิกปีละ 46 บาท
ถ้าฝากเงิน 100,000 บาท ก็เสียค่าสมาชิกปีละ 460 บาท..
หลายคนคงเริ่มคิดว่า ลูกหลานของเราที่เกิดมา มีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องมารับภาระจ่ายเงิน 0.46% จากเงินฝากของเขา แต่เขาก็ต้องจ่าย เพียงเพราะเขาเกิดมาอยู่ในประเทศไทย..
10. เรากำลังสร้างหนี้ก้อนมหึมา ที่ขนาดเกือบเท่าหนี้กองทุนฟื้นฟูอีกก้อนหนึ่ง หลายคนยังไม่รู้ว่ามันเยอะขนาดไหน ? เราลองมาเทียบขนาดกัน
งบประมาณสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ 120,000 ล้านบาท
ท่าเรือแหลมฉบัง เฟสสาม 110,000 ล้านบาท
รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ 100,000 ล้านบาท
รถไฟฟ้าสายสีแดง 96,000 ล้านบาท
รถไฟฟ้าสายสีชมพู 53,000 ล้านบาท
รถไฟฟ้าสายสีเหลือง 50,000 ล้านบาท
สถานีรถไฟกลางบางซื่อ 16,000 ล้านบาท
เงินที่รัฐบาลกำลังจะแจกนี้ สร้างโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่กล่าวมาทั้งหมด แถมยังเหลือเงินทอน
ในขณะที่รัฐบาลกำลังจะนำเงินจำนวนนี้มาแจกเพื่อกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น และคาดหวังให้เกิดการใช้จ่ายเป็น Multiplier ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งการทำแบบนี้มันจะเหมาะสมในเวลาที่เศรษฐกิจกำลังเกิดวิกฤติ เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในระดับต่ำ
11. ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่มีความกดดันจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้นเมื่อรัฐบาลแจกเงินจะยิ่งส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ และเพิ่มความกดดันที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามมา และเมื่อไหร่ก็ตามที่ดอกเบี้ยขึ้น ก็จะย้อนกลับมาเป็นต้นทุนการเงินของทุกธุรกิจในที่สุด ซึ่งตอนนี้ธุรกิจที่ต้องระดมทุนด้วยหุ้นกู้ก็ประสบปัญหาต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น บางธุรกิจถึงขนาดไม่มีเงินมาจ่ายดอกเบี้ยและเกิดปัญหาสภาพคล่องแล้ว
12. แน่นอนข้อดีของการแจกเงินที่ทุกคนคาดหวังคือจะให้เกิด Multiplier Effect ที่มากกว่า 1 ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าจะได้มากกว่า 1 หรือไม่ แต่ถึงทำได้ผลจริง การกระตุ้นการบริโภคนี้มันก็จะอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี และมีความเสี่ยงที่ผู้ผลิต ผู้ให้บริการ จะเพิ่มกำลังการผลิตเพราะคิดว่ามีความต้องการ แต่เมื่อความต้องการนั้นหมดแรงกระตุ้น กำลังการผลิตที่เพิ่มมานั้น ก็จะเป็นส่วนเกินในระบบ และจะเป็นปัญหาตามมาในระบบเศรษฐกิจ
13. อีกประเด็นก็คือ การพัฒนาระบบบล็อกเชนเพื่อมารองรับการแจกเงิน ถ้าหากทำจริงก็จะต้องใช้เวลา เงินทุนในการพัฒนา และความเสถียรของระบบการจ่ายเงินด้วยบล็อกเชนสำหรับการใช้งาน 50 ล้านคนทั่วประเทศ ไม่เคยมีประเทศไหนทำมาก่อน แปลว่าประเทศเรากำลังจะเป็นหนูทดลองตัวใหญ่ ซึ่งแปลกดีเหมือนกัน ทั้งที่ประเทศไทยก็มีระบบการจ่ายเงินด้วยพร้อมเพย์ในเป๋าตังอยู่แล้ว
14. สุดท้ายคงต้องฝากถึงรัฐบาล การแจกเงินมันก็เหมือนฉีดยากระตุ้น แต่เราก็คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความจำเป็นต้องกระตุ้นในตอนนี้เพื่อให้คึกคัก แล้วทิ้งภาระให้ลูกหลานอีกสิบปี มาคอยใช้หนี้ที่สร้างขึ้น
หรือเราจะนำเงินก้อนนี้มาทำอย่างอื่น ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อเกิดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ลูกหลานแข่งขันกับประเทศอื่นได้
หรือเราจะเลือกอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องสร้างหนี้แล้วค่อยไปสร้างหนี้ในช่วงเวลาวิกฤติ และมีความจำเป็นมากกว่าตอนนี้ ก็อาจเป็นทางเลือกที่ไม่แย่นัก
26 ปีที่แล้ว บรรพบุรุษของเราสร้างภาระ 0.46% ให้กับเงินฝากของลูกหลาน และตอนนี้เราอาจกำลังกดปุ่มเพิ่มตัวเลขนี้ทางอ้อม ให้กับลูกหลานของเรา โดยที่พวกเขาน่าจะมีสิทธิ์เลือกว่าจะเกิดมาโดยที่ไม่ต้องมีภาระหนี้ก้อนนี้..
26 ปีที่แล้ว รัฐบาลจัดให้เรามีหนี้จากวิกฤติการเงิน 1 ล้านล้านบาท
เราคืนเงินต้นจนเหลือ 6 แสนล้านบาท
ระหว่างทางเราก็มีโครงการต่าง ๆ สร้างหนี้เรื่อยมา ทีละหลายแสนล้านบาท เยอะที่สุดก็ตอนช่วงล็อกดาวน์ที่กู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท
และในตอนนี้เรากำลังสร้างหนี้อีก 5.6 แสนล้านบาท ทั้งที่ไม่เกิดวิกฤติอะไร
อดคิดไม่ได้ว่า
เรากำลังเดินทางไกลมา 26 ปี เพียงเพื่อย้อนกลับไป เริ่มต้นใหม่ที่จุดเดิม อีกครั้ง..
ลุงตูบควรกลับมาหุ้นเน่าเละเทะ ลบ 26 จุด ทุกคนรุมขย้ำประเทศไทย