>>32 >>34 สมัยนี้นักสันติภาพนิยม-สิทธิมนุษยชนนิยม ถึงพยายามขยายแนวคิด take action เข้าไปถึงตั้งแต่ก้าวแรก คือในโรงเรียนหรือแม้แต่ในชุมชนเลยไงล่ะ สมัยก่อน (ไม่ต้องก่อนมากหรอก เอาตอนกูเป็นเด็กพอ สัก 20-30 ปีก่อน) มึงเป็นผู้ชายมึงต้องสู้คนว่ะ การฟ้องครูฟ้องพ่อแม่ถือว่ากระจอก แล้วผู้ใหญ่จะไม่มายุ่ง ตราบใดที่ไม่มีการรุมหรือใช้อาวุธ (ผู้หญิงก็เหมือนกันนะ ถ้าถูกผู้หญิงรังแกก็ต้องสู้เองเหมือนกัน สมัยก่อนหนังหรือละครที่พูดถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ ร.ร.หญิงล้วน ก็มีอยู่) เพราะคนยุคนั้นเชื่อว่า ผู้ใหญ่ปกป้องเด็กตลอดไปไม่ได้หรอก ยังไงก็มีช่วงเวลาที่มันอยู่คนเดียวแล้วต้องปกป้องตัวเองรวมถึงคนที่รัก แต่ยุคหลังๆ มันมีแนวคิดว่าจุดเริ่มต้นของความรุนแรงมาจากการซึมซับตั้งแต่เด็กนี่แหละ โจร มือปืน มาเฟีย จุดเริ่มต้นของหลายๆ คนก็มาจาการถูกรังแกแล้วต้องสู้เองแล้วก็เลยเถิดไป แล้วที่ที่มีการรังแกมากที่สุดก็หนีไม่พ้นในโรงเรียน ดังนั้นถ้าตัดวงจรแต่นั้นได้ ไม่มีการรังแก ก็ไม่ต้องแข็งแกร่งเพื่อให้รอด เด็กก็ไม่ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ความรุนแรงตาต่อตาฟันต่อฟัน สุดท้ายคือเป้าหมายว่าในยุคหนึ่งมนุษย์จะบอกลาความรุนแรงไปจากนิสัย (หรือสันดาน) ได้ในที่สุด
มันก็อารมณ์เดียวกับ SOTUS นั่นละ ถ้าลองย้อนไปสัก 10-20 ปีก่อน หัวข้อที่ถกเถียงกันคือ ลดความรุนแรงหรือกิจกรรมเสี่ยงๆ ลงได้ไหม? แต่ยังมองว่าระบบนี้ยังจำเป็น เหมือนกับการจำลองสถานการณ์ว่าไปทำงานเจอเจ้านาย เจอหัวหน้างี่เง่า มึงก็ต้องทนน่ะเพราะงานหายาก แต่สมัยนี้มองว่าทำไมต้องทนล่ะ ที่ทำงานไม่ดีก็ลาออกสิ สมัยนี้โอกาสในชีวิตมีเยอะแยะ อะไรแบบนี้แหละ