ถ้าใครได้ดูบทสัมภาษณ์นี้ของหยกในรายการ Daily Topics เราคิดว่าคุณจะรักในตัวตน และศรัทธาการต่อสู้ของเด็กคนนี้มากๆ คุณจะเห็นความฉะฉาน ความฉลาด และระบบตรรกะที่แข็งแรง ที่มองถึงความก้าวหน้าของการเปลี่ยนแปลงกฎที่ล้าสมัย และสร้างทางเลือกให้กับเด็ก
คนที่พูดเรื่อง "ลดความเหลื่อมล้ำ" ทุกวัน จนเป็นคำติดปาก หลายคนยังไม่เข้าใจคำนี้ แบบที่หยก เด็กวัย 15 คนนี้เข้าใจจริงๆอย่างถ่องแท้ด้วยซ้ำ
ความเหลื่อมล้ำมันมีทุกที่ มันมองด้วยตาเปล่าก็เห็น แต่ทางที่เราจะลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่การทำให้คนมีอะไรเหมือนๆกัน ได้ในสิ่งเดียวกันแล้วจะลดความเหลื่อมล้ำได้ ถ้าการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก สิ่งที่ต้องทำคือ 'การเพิ่มโอกาส' ให้เข้าถึงทรัพยากรได้ง่ายขึ้นต่างหาก จึงจะลดความเหลื่อมล้ำที่แท้จริงได้
หยกพยายามพูดเรื่องกฎระเบียบที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ว่าควรมีการเปลี่ยนแปลง โดยที่เธอเชื่อว่า เธอมีเวลาแค่ 3 ปีในช่วงมัธยมศึกษาตอนปลายนี้ ที่จะขับเปลี่ยนมัน ก่อนที่เธอจะจบการศึกษาไป เธอเห็นมาตลอดว่า สู้กันมาเป็น 10 กว่าปี ตั้งแต่ยุคเนติวิทย์, นักเรียนเลว จนมาถึงตัวเธอ แต่ก็ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงได้ เธอจึงพยายาม raise awareness เรื่องนี้ เพื่อทำให้ผู้ใหญ่เห็นว่ามันถึงเวลาของความเปลี่ยนแปลงจริงๆแล้วนะ ที่ผู้ใหญ่ต้องรับฟังเสียงของเด็ก
เธอยังคงไม่ลืมเคารพเสียงของคนที่อยากรักษาชุดนักเรียนว่าคนที่อยากใส่ก็มี แต่คนไม่อยากใส่ก็มีเช่นกัน มันจึงควรเป็น "ทางเลือกของเสื้อผ้าบนเรือนร่าง ไม่ใช่กฎข้อบังคับ ที่ผิดต่อหลักสิทธิมนุษยชน"
สิ่งที่เรารู้สึกได้จากบทสนทนานี้คือ "เด็กคนนี้มีหัวคิดก้าวหน้า และฉลาดมาก" เก่งกว่าผู้ใหญ่ในยุคเราเสียอีก ยิ่งกว่านั้นคือความกล้าในแบบที่ตอนเราเป็นเด็ก เรายังทำไม่ได้แบบเธอเลย ได้แต่หดหัวทำตามครูสั่ง ทั้งๆที่กฎมันต้องเปลี่ยนแปลง เพราะมันไร้การเคารพความเป็นมนุษย์บนร่างกายเรา
แต่ยังมีผู้ใหญ่จำนวนมากที่คิดไม่ได้ว่า "เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ถูกต้องมาถึงแล้ว" เราแค่อยู่ในกฎจนเคยชินกับระเบียบ ก้มหัวให้อำนาจนิยมจนมันกลืนกินควบคุมความเป็นเราโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายแล้ว ผู้ใหญ่ลืมฟังเสียงของเด็ก ไม่เคยมีโอกาสหาทางพูดคุยไปสู่ทางออกที่ทำให้เรื่องชุด ทรงผม หรือระเบียบที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น มันควรมีกฎเหล่านั้นหรือไม่? กฎที่ดีต้องไม่เป็นอุปสรรคทางการศึกษา แต่ผู้ใหญ่กลับไม่เคยรับฟัง หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อพวกเขาเลยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
ผู้ใหญ่ฉลาดๆก็ไปลดความเหลื่อมล้ำจนบริษัทผลิตเครื่องแบบนักเรียนรายได้อู้ฟู่ทุกเทอมการศึกษา และขณะเดียวกัน เด็กก็เงียบกริบ อยู่บนความหวาดกลัวกับระเบียบ ควบคุมง่าย ราวกับระบอบเผด็จการในโรงเรียน
แล้วเมื่อไหร่จะเปลี่ยนแปลง?