คือวันนี้ประหลาดใจ และกึ่งเศร้าใจมากนะ โดยเฉพาะกับเพื่อนๆ น้องๆ หลายคนในโซเชียล
การคัดค้านเรื่องนโยบายแจกเงินหมื่นนึงเนี่ย ถ้าจะค้านประเด็น
1. วินัยการคลัง ต้องกู้มาเพิ่ม จะทำให้ไม่มีช่องว่างงบประมาณเหลือพอทำนโยบายอื่น
2. ระบบการแจกที่ไม่แน่นอน ไม่ตรงที่หาเสียง
3. การกระตุ้นเศรษฐกิจอาจไม่ตรงเป้า หมุนได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ ไม่คุ้มค่า
4. การโปรโมทที่ดูเป็นการหาเสียง (แต่ก็ธรรมดาของการทำนโยบายการเมือง)
อะไรราวๆ นี้ เข้าใจได้เลย และยกมาฟังขึ้นด้วย ผมก็เห็นด้วยหลายกรณี
แต่เพื่อนๆ หลายคน ที่ก็สนับสนุนการกระจายรายได้ เพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนแบบถ้วนหน้ามาก่อน ดันไปหลงตามแห่ประเด็นภาษีกู ชนชั้นกลางไม่ได้อะไร ชาวบ้านคนจนเอาเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเนี่ย ผมล่ะงง เหมือนกับที่ผ่านมาเราคุยกันคนละภาษาเหรอ ทำไมพลิกกลับไปเหมือนสมัยปีื 49 ปี 57 กันได้ขนาดนี้
เราคนชั้นกลางจนถึงค่อนสูงเนี่ยใช้ภาษีของส่วนรวมที่รัฐบริหารนะครับ ใช้ในแบบที่คนจนคนอื่นไม่ได้ใช้หรือไม่มีโอกาสใช้แบบไม่รู้ตัวด้วยเยอะมาก ตั้งแต่เรียนมัธยมปลายจนมหาวิทยาลัย (รัฐอุดหนุนทุกคนมากน้อยต่างกัน) ถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า สนามบิน จนถึงระบบสัญญา กฎหมาย บังคับใช้ให้เราสามารถอยู่ในสังคมเป็นปกติ ดีบ้างมากบ้างน้อยบ้างต่างกัน อันไหนยังไม่ดีเราก็ต้องให้มันปรับปรุงให้ดี อันไหนไม่เข้าท่าก็ต้องด่า ไม่ใช่ว่าคุณไม่เคยได้อะไรมาก่อน
เราเสียภาษี เราขอลดหย่อนภาษีได้ บริษัทเสียภาษี จดแวท เอาภาษีซื้อไปหักภาษีขายได้ คนธรรมดาทั่วไปไปขอหักลดหย่อนภาษีที่กินใช้แต่ละวันได้ไหม ก็ไม่ได้ป่าวครับ
การใช้งบประมาณจากภาษีให้เกิดประโยชน์ เป็นหน้าที่รัฐ โครงการไหนทำเสียเปล่าไม่ได้ประโยชน์ มีการคอรัปชั่นก็วิพากษ์วิจารณ์กันได้ ปกติ ผมเห็นด้วย จะด่ารัฐบาลก็เป็นปกติ แต่ไอ้เรื่องการจับจดไปแคปภาพแคปโซเชียลหรือข่าวที่แทบไม่มีที่มาที่ไป ใครจะเขียนจะโพสต์ยังไงมาด่าคนที่ได้เงินในส่วนรวมเนี่ย ผมไม่คิดเลยว่าหลายๆ คนซึ่งผ่านมาเคยดูหัวก้าวหน้าจะเป็นกันได้ขนาดนี้
คือถ้าเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมทางเศรษฐกิจเดิม พวกนายแบงค์ นักเสดสาดสายเดิมๆ ที่ค้านนโยบายสวัสดิการ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้วนี่ไม่แปลกเลย
คือถ้าแจกสวัสดิการเงินคนชราเดือนละ 3000-5000 แล้วคิดเหรอว่าจะไม่มีคนชราเอาไปซื้อหวยซื้อเหล้า หรือใช้หนี้ หรือถ้าให้ทุนเยาวชน เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าจะเอาไปเติมกาชา ไปซื้อกล่องสุ่ม รึเปล่า ถ้าเรามั่นใจในวิจารณญาณของประชาชน เราก็ต้องคิดแบบเดียวกันกับการแจกเงินหมื่นก้อนเดียวนะ เพราะถ้ายิ่งวางข้อจำกัดการใช้ไว้มาก ผลที่จะได้ตามมาก็ยิ่งจะจำกัดมาก และผมก็คิดว่าที่ผ่านมาเนี่ยเราก็คงจะเคยพูดกันเรื่องนี้มาเยอะแล้ว แถมก็น่าจะเคยเห็นตรงกัน เลยยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ว่าทำไมมาวันนี้คิดกันแบบนี้ หรือแค่ว่าพอกลายเป็นการเมืองคนละฝ่ายทำแล้วก็แตกหักกันจนไม่ยืนอยู่ในความคิดเดิมเสียอย่างนั้น เฮ้อ