ไม่ว่าส้มจะได้เป็นรัฐบาล/ทิมเป็นนายกหรือไม่ แต่ก้าวไกลก็ชนะแล้ว เพราะวัตถุประสงค์สำคัญของการตั้งอนาคตใหม่/ก้าวไกล ไม่ใช่การเป็นรัฐบาลหรือมีอำนาจทางการปกครอง แต่คือการเปลี่ยนแปลงสามัญสำนึกทางการเมืองของสังคมไทย ถ้าพูดในภาษาทางทฤษฎีแบบที่ปิยบุตรเคยพูดตอนขับเคลื่อนพรรคอนาคตใหม่ก็คือ เอาชนะสงครามความคิด (war of position) ช่วงชิงวาระทางสังคม กำหนดเส้นขอบฟ้าว่าอะไรคือสามัญสำนึก/ความปรกติทางการเมือง ในแง่นี้ การที่ผู้คนจำนวนมากออกมากดดัน ส.ว.ให้ต้องทำตามกติกาของระบอบประชาธิปไตย (คือโหวตเลือกผู้นำตามเสียงข้างมากในสภาล่าง) โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงกระแสการ turn ของ กปปส. จำนวนมากจากผลการเลือกตั้ง(โดยเฉพาะในกรุงเทพ) ก็คือหลักฐานว่าก้าวไกลเอาชนะในสงครามความคิด สามารถสร้างสามัญสำนึกทางการเมืองใหม่ให้กับสังคมไทยได้แล้ว ซึ่งสามัญสำนึกใหม่ทางการเมืองที่เกิดขึ้นนี้ อย่างน้อยๆที่เห็นชัดจะมีอยู่สองข้อ คือ 1.ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศคืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน (ความชอบธรรมทางการปกครองในสังคมไทยจะต้องเป็นความชอบธรรมที่ผูกกับเจตนารมย์ของประชาชนเท่านั้น) 2.วิธีเดียวในการสะท้อนเจตนารมย์ของประชาชนคือการชนะการเลือกตั้งตามกติกาของระบบประชาธิปไตย (เจตนารมย์ของประชาชนไม่สามารถสะท้อนผ่านวิธีการ/กลไกอื่นๆได้อีกต่อไป โดยเฉพาะการแอบอ้างคุณค่าเชิงจารีตหรือสถาบันทางประเพณีต่างๆ)
ด้วยเหตุนี้ ก้าวไกลจะได้อำนาจทางการปกครอง/เป็นรัฐบาลหรือไม่ จึงเป็นแค่เรื่องของเวลา อย่างมากก็รอไปอีกหนึ่งสมัย แต่ถ้าได้เป็นเลย (ผมเชียร์แบบนี้) ก็คงน่าตื่นเต้นไม่น้อยว่าประเทศไทย (ซึ่งเปลียนแล้วในขณะนี้) จะเปลี่ยนไปได้อีกขนาดไหน