‘ใต้ผืนดินของคุณคือทองคำ’ คำแนะนำที่ ’ทิม-พิธา’ ได้รับเมื่อครั้งหนึ่งได้นั่งทานข้าวกับมหาเศรษฐี ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’
.
.
ทิมเรียนปริญญาโทสาขาการบริหารธุรกิจที่ MIT เขาเล่าถึงช่วงเวลาอันแสนพิเศษว่าทุกปีบัฟเฟตต์จะให้เด็กนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเขียนจดหมายไปหา เล่าเหตุผลว่าทำไมถึงอยากไปนั่งทานข้าวกับบัฟเฟตต์
.
แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็คงอยากจะมีโอกาสนี้สักครั้งในชีวิต ทิมเองก็เช่นกัน เขาเลยเขียนเล่าว่าตัวเองชื่นชอบวิธีการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตของบัฟเฟตต์มากขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องการมีความสุขในการลุกขึ้นมาทำงานทุกวัน โชคดีที่ทิมกลายเป็น 1 ใน 10 ของนักศึกษาที่ถูกเลือกให้ไปนั่งทานข้าวกับบัฟเฟตต์ในวันนั้น
.
ร้านอาหารที่เหล่านักศึกษาเอ็มไอทีไปทานอาหารร่วมกับบัฟเฟตต์ในวันนั้นก็เป็นร้านสเต๊กเล็ก ๆ ธรรมดาในเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา บ้านเกิดของบัฟเฟตต์ ไม่ได้เป็นร้านหรูหรือราคาแพงอะไร เด็กนักศึกษาสิบคนนั่งอยู่ที่โต๊ะและบังเอิญวันนั้นเก้าอี้ที่ตรงข้ามกับทิมว่างอยู่พอดี บัฟเฟตต์ก็เลยมานั่งตรงนั้น
.
บัฟเฟตต์ก็เริ่มพูดคุยกับนักศึกษาแล้วพอถึงตาของทิมเขาก็ถามว่า
.
“จบเอ็มไอทีแล้วจะไปทำอะไร?”
.
ทิมรู้สึกดีใจมากที่มีโอกาสได้คุยกับบัฟเฟตต์ ก็เริ่มอธิบายว่าจะกลับไปทำธุรกิจที่บ้าน นำรำข้าวมาผลิตเป็นน้ำมันรำข้าว เล่าถึงกระบวนการว่าจะทำยังไงเพื่อเพิ่มมูลค่าในการขายให้มากขึ้น
.
บัฟเฟตต์นอกจากจะเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขายังเป็นผู้ฟังที่ดีและฟังทิมเล่าจนจบ ก่อนจะบอกว่า
.
“ดีมาก เพราะหลังจากนี้จะเป็นโอกาสของฝั่งพวกคุณ ฝั่งตะวันออก ไม่ใช่ฝั่งตะวันตก”
.
ไม่ใช่แค่เพราะฝั่ง อเมริกา ยุโรป ที่จะแย่ หรือจีนและอินเดียเศรษฐกิจจะดีขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเพราะราคาน้ำมันและอาหารที่จะขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นโอกาสจึงอยู่ในบ้านเรา ฝั่งตะวันออก
.
บัฟเฟตต์บอกกับทิมว่า “ต่อจากนี้ใต้ผืนดินของพวกคุณจะเป็นทองคำ จงบริหารมันให้ดี”
.
มันเป็นทั้งข้อคิดและกำลังใจที่มีค่ามหาศาลกับทิมและตอกย้ำความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นกำลังเดินมาถูกทางแล้วนั่นเอง
.
แต่น่าเสียดายที่มันไม่เกิดที่ประเทศไทย
บริษัทรำข้าวพี่ทิม
ปี59ขาดทุน145ล้านบาท
ปี60ขาดทุน98ล้านบาท
ปี61ขาดทุน89ล้านบาท
ปี62ขาดทุน143ล้านบาท