ใครจำหุ้น stark ได้บ้าง รอบนี้มันใหญ่กว่านั้น 5555
***จิ้กเขามา กูไม่ได้พิมพ์***
ฟองสบู่ VinFast บริษัทรถเวียดนาม 3,000,000 ล้าน ใหญ่กว่าบริษัทไทย ทุกบริษัท /โดย ลงทุนแมน
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา VinFast ธุรกิจรถยนต์ ในเครือ Vingroup ของเศรษฐีรวยสุดในเวียดนาม คุณฝ่ามเญิ้ตเวือง ได้เข้าตลาดหุ้น Nasdaq
โดยหุ้น VinFast หรือ VFS เมื่อคืน ปิดที่ 37 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ตีเป็นมูลค่ากิจการ สูงถึง 3 ล้านล้านบาท
ใหญ่กว่า Mercedes-Benz, BMW, Ferrari, Ford และ GM เป็นรองเพียง Tesla, Toyota, Porsche และ BYD
ที่สำคัญก็คือจะใหญ่กว่าบริษัทในตลาดหุ้นไทยทุกบริษัท และทำให้คนเวียดนามที่เป็นเจ้าของบริษัทนี้ รวยขึ้น 7.5 เท่าในชั่วข้ามคืน จากการตีมูลค่าสินทรัพย์ และรวยกว่าเศรษฐีไทยทุกคนแล้ว..
โดยการเข้าตลาดหุ้นของ VinFast ด้วยวิธี SPAC อธิบายง่าย ๆ คือ
- สร้างบริษัท Shell ขึ้นมา เพื่อระดมทุนเข้าไปก่อน เป็นบริษัทที่ไม่มีสินทรัพย์ และไม่ได้ทำธุรกิจอะไร
- นำเงินสดที่ได้จากการระดมทุน ไปควบรวมกับกิจการที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์
ในที่นี้ ก็คือ Black Spade Acquisition Co หรือ BSAQ ควบกิจการ VinFast เข้าไป
แล้ว VinFast ผลิตรถยนต์อะไร ?
VinFast เป็นบริษัทรถยนต์ใหญ่สุดในเวียดนาม ที่กำลังลุยธุรกิจรถยนต์ EV และการผลิตแบตเตอรี่
โดยมีผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา
ปี 2021 รายได้ 20,543 ล้านบาท ขาดทุน 47,612 ล้านบาท
ปี 2022 รายได้ 18,316 ล้านบาท ขาดทุน 73,686 ล้านบาท
เรียกได้ว่าทั้งรายได้ลดลง และขาดทุนเพิ่มขึ้น ในระดับที่น่าจะเป็นบริษัทที่ไปไม่รอดด้วยซ้ำ
แต่ตลาดกำลังซื้อขายหุ้นตัวนี้กัน สูงระดับ 3,000,000 ล้านบาท ซึ่งก็ดูจะเป็นราคาที่สูงเกินจริงไปมาก
ยิ่งพอมาเทียบกับสถานการณ์รถยนต์ EV ที่เจ้าตลาดอย่าง Tesla หั่นราคาขายลงมาหลายรอบแล้ว
โดยเฉพาะในจีน เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดกลับมาจาก BYD ก็เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายสำหรับ VinFast เหมือนกัน ว่าจะสู้กับรายอื่น ๆ อย่างไร
แต่จากการเข้าตลาดหุ้นของ VinFast เมื่อคืน ก็ได้ทำให้ทรัพย์สินของ คุณฝ่ามเญิ้ตเวือง เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นมาเป็น 7.5 เท่า เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในเวียดนาม รวมถึงรวยกว่าเศรษฐีทุกคนในประเทศไทยทันที..
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่บริษัทรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ พบว่า ตัวเจ้าของ ยังคงถือหุ้น VinFast ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมกันถึง 99%
หมายความว่า มูลค่าที่เราเห็นกันนั้น มาจากการซื้อขายในตลาดเพียงเสี้ยวเดียวของหุ้นทั้งหมดของบริษัท
ซึ่งเป็นไปได้ว่า มีการไล่ราคาหุ้นของบริษัทนี้ให้สูงเกินจริง โดยอาศัยสภาพคล่องที่น้อยของหุ้น
โดยภาษาของวงการตลาดทุน เรียกว่า หุ้นนี้ถูก CORNER นั่นเอง
โดยมูลค่าที่เราเห็นในวันนี้ ก็อาจเป็นเรื่องชั่วคราว เพราะเห็นได้ชัดว่า บริษัทยังขาดทุนหนัก และรายได้ไม่ได้เติบโตขึ้น ซึ่งมันเป็นมูลค่าที่ไม่น่าจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท
และเมื่อถึงเวลานั้น ฟองสบู่ที่ถูกปั่นขึ้นมา ก็อาจแตกลงได้ ในพริบตา..