หลบหนีไปแล้ว ทั้งสิบโทมือแฮก และภรรยาที่เป็นพยาบาล …
‘ชัยวุฒิ’ นำทีมแถลง ยังจับ ‘สิบโทมือแฮกเกอร์ 9near’ ไม่ได้ ลั่น หากอยู่แผ่นดินไทยจับได้แน่ ยังไม่สรุปหลุดจากหมอพร้อมหรือไม่
วันนี้ (7 เม.ย.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งโต๊ะแถลงความคืบหน้าหลังรู้ตัวมือแฮกเกอร์แฮกข้อมูลคนไทย 55 ล้านคน
นายชัยวุฒิ เผยว่า ขณะนี้รู้ตัวคนร้าย และล็อกเป้าได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถจับกุมได้อยู่ระหว่างการหลบหนี ซึ่งในขณะนี้ต้นสังกัดของทหารนายดังกล่าวได้ทราบเรื่องแล้ว แต่การจะจับกุมทหารต้องมีกระบวนการรทางกฎหมาย ซึ่งหากเป็นประชาชนทั่วไปสามารถจับกุมได้เลย
สำหรับมูลเหตุการก่อเหตุนั้นได้มีการตั้งเอาไว้หลายประเด็นทั้งการเอาข้อมูลไปขาย การสแกรมข้อมูลบางส่วน เพื่อหลอกขายข้อมูลให้กับคนร้ายด้วยกันเอง หรือการดิสเครดิตหน่วยงานและคึกคะนอง ส่วนการขายข้อมูลให้ใครบ้างนั้นต้องรอการตรวจสอบ รวมไปถึงข้อมูลหลุดจากหน่วยงานไหนก็ต้องรอการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ยืนยันว่า หากคนร้ายยังอยู่ในแผ่นดินไทยจะสามารถจับกุมได้แน่นอน
“เขาเป็นทหาร ใครจะไปจับทหารก็ต้องขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา หรือเป็นกระบวนการระหว่างตำรวจ-ทหาร ที่ต้องพูดคุยกัน มันไม่ใช่ประชาชนธรรมดา ถ้าเป็นประชาชนธรรมดา เราก็จับกุมได้เลย”
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าข้อมูลหลุดมาจาก แอพพลิเคชั่นหมอพร้อม หรือไม่ ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ ก็มีในหลายหน่วยงาน อีกอย่างหมอพร้อมเป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลเยอะ เป็นเป้าหมาย แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับแอพพลิเคชั่นหมอพร้อมด้วย เพราะยังไม่ได้ตัวคนร้ายมา
ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ ได้กล่าวขอโทษพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถดึงข้อมูลที่รั่วหลุดออกไปแล้วกลับมาได้ พร้อมกับฝากเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังในกรณีที่มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาหา ขอให้อย่าหลงเชื่อ และเตือนผู้ที่นำข้อมูลของบุคคลของผู้อื่นไปใช้ ก็ถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกัน
ขณะที่ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.เผยว่า ได้รับเรื่องข้อมูลรั่วตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม จึงได้สืบสวนจนรู้ตัวคนร้าย ต่อมาวันที่ 2 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอศาลออกหมายจับตามความผิด 2 ข้อหา คือ พรบ.คอมฯ และ พรบ.PDPA ซึ่งทางตำรวจพยายามติดตามจับกุมคนร้าย แต่คนร้ายปิดโทรศัพท์หนีไป ก่อนจะมาตรวจสอบพบภายหลังว่าบุคคลที่ถูกออกหมายจับนั้นเป็นทหาร ยศสิบโท ที่ปฎิบัติหน้าที่ในสังกัดที่เกี่ยวกับยานพาหนะ ซึ่งไม่ใช่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
พล.ต.ท.วรวัฒน์กล่าวว่า ตรวจสอบประวัติพบว่าคนร้ายรายนี้ เป็นบุคคลที่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์สูง จึงเชื่อได้ว่า การกระทำเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้นสังกัด เนื่องจากดูจากเจตนาคนร้ายแล้วพบว่า จุดประสงค์เปลี่ยนไปตลอดเวลา ซึ่งเบื้องต้นได้มีการประสานไปที่ต้นสังกัดเพื่อตรวจสอบว่าทหารนายนี้ ยังรับราชการอยู่หรือไม่ สำหรับภรรยาของคนร้ายที่มีรายงานว่าเป็นพยาบาล จะมีความเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ภรรยาก็หลบหนีเช่นเดียวกัน
สำหรับข้อมูลที่คนร้ายนำไปเปิดเผย ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลทั่วไป เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร ซึ่งยอมรับว่ามีการรั่วไหลของข้อมูลจริง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะรั่วถึง 55 ล้านรายชื่อหรือไม่
เมื่อถามว่า ได้รับแจ้งตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.แล้วทำไมไม่มีการแจ้งเตือนประชาชน นายชัยวุฒิ ระบุว่า ตามกระบวนการต้องมีการสืบสวนสอบสวนก่อน ถ้ารีบแจ้งเตือนบางทีอาจทำให้คนตื่นตระหนก เพราะว่าไม่รู้ว่าเป็นคำอ้างหรือเป็นสแกรมไปหลอกลวง แต่ว่าเมื่อมีการพัฒนาของกระบวนการมาเรื่อยๆ จึงมีการพยายามสืบสวนดำเนินคดีมาจนถึงวันนี้ ยืนยันว่าทำให้ดีที่สุด และให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่ามีกฎหมายและหน่วยงานรองรับ เพื่อคุ้มครองประชนชนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
หลังจากนี้หากประชาชนถูกนำข้อมูลไปใช้ก็สามารถแจ้งความได้ หรือฟ้องร้องต่อศาลได้ แต่เมื่อถามว่าไปแจ้งเอาผิดกับหน่วยงานใด หรือบุคคลใด เลขาฯ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ระบุว่า สามารถดำเนินการได้ทั้งตัวผู้ต้องหาเอง และตัวหน่วยงาน แต่ต้องรอให้จับกุมตัวคนร้ายให้ได้เสียก่อน ซึ่งการดำเนินคดีนี้เป็นลักษณะแบบต่างกรรมต่างวาระ
ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหามีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองระดับบิ๊กของประเทศหรือไม่ พล.ต.ท.วรวัฒน์ ไม่ได้ระบุว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยกล่าวว่า เป็นการโยงข้อมูลจากคำพูดสุดท้ายของผู้ต้องหาว่าจะแฉว่าใครเป็นสปอนเซอร์ที่เป็นนักการเมือง