ต่อ
เพราะคิดว่ามันดัง มีฐานแฟน หรือนักวิจารณ์หนังบอกว่าดี
เอาเข้าจริงก็เลยเจ๊ง เพราะถ้าผมไม่เคยดูนารุโตะมาก่อน คงดูโบรุโตะไม่รู้เรื่อง หรือพวกเมะแนวรางวัลก็เหมือนหนังแนวรางวัลที่คนดูต้องคิดเยอะหน่อยถึงจะชอบ
พอเจ๊งก็บ่นว่า อนิเมะไม่น่าลงทุน
ทีนี้พอ บังเอิญดวงดี ได้ Kimi no na wa มา คราวนี้ก็เอาไปเทียบกับโคนัน นารุโตะ ที่เคยผิดพลาด
ทั้งๆที่ Kimi no na wa นั้นเป็นอนิเมะสำหรับคนทั่วไป ที่ฐานกว้างมากๆ เราพูดไปยังไงก็ไม่ฟัง
มันกลับกัน คือ เมะฐานคุ ควรจะเน้นของแถมจัดเป็นอีเวนท์หน้าโรงฉาย แล้วอาจจะฉายแค่ไม่กี่รอบ แต่มีอีเวนท์ มีของ จากนั้นก็ขายบล็อกสวยๆ - พวกเมะรางวัลควรจะฉายให้นักวิจารณ์ดู รอบไม่ต้องมาก และไม่ต้องโฆษณามาก จัดประเภทเหมือนหนังอาร์ทรางวัล - ส่วนเมะทั่วไปควรจะอัดโฆษณา และฉายทั่วไป โดยคิดว่ามันเป็นน้องหนังดิสนีย์
จริงๆถ้าแฟนไม่ดันกันขนาดนี้ ไม่มีคอมมูนิตี้ กับพลังของเพจรีวิวที่มากเหมือนสมัยนี้ สุดท้าย Kimi no na wa คงจบประมาณ ลูกหมาป่าเมื่อ 2-3 ปีก่อน
จริงๆนะ ถ้าทำพากษ์ไทย มีงบโฆษณาสักหน่อย ขายของสะสมหน้าโรง คงจะโกยได้มากกว่านี้
อันนี้ไม่จ่ายเลยสักบาท ไม่มีแม้แต่ตัวอย่างฉายก่อนหนังเรื่องอื่น ตอนแรกจะไม่ฉายทั่วประเทศด้วยซ้ำ
ปล่อยให้แฟนดันจนไม่รู้จะดันยังไง ดันจนโดนด่าว่ารับเงิน
คือเหมือนบอกว่า เฮ้ยเงินกองอยู่ตรงหน้านะ แต่ก็ไม่เอา
ก็ไม่รู้จะว่ายังไง
ผมหวังว่า จะไม่เจอประเภท ปล่อยให้รักไร้เสียงหลุด แล้วเอาเงินไปอัดโฆษณา The Red Turtle แก้แค้น Kimi no na wa เพื่อความสะใจของเจ้าหน้าที่ที่เป็นสายหนัง
เป้าหมายส่วนตัวของผมคือ อยากให้คนทั่วไป เข้าใจว่าอนิเมะนั้นมีแนวตลาดที่คนดูได้ทั่วๆไป
ดังนั้น Time line ที่ดีควรจะเป็น ฉายรักไร้เสียงเป็นเรื่องต่อไป โดยโฆษณาว่า จะเจอเรื่องเหมือน Kimi no na wa
แต่ถ้าฉายเรื่องแนวรางวัลเป็นเรื่องต่อไป ผู้ชมก็จะผิดหวัง และกลับเป็นเหมือนเดิม
ก็แล้วแต่ละกันครับ... รายได้ก็ไม่ได้เข้าผมสักบาท
ป.ล. มีคนบอกผมหลังไมค์ว่าไปงานฉายคิมิโนะนาวะแล้วทางผู้จัดฉายบอกว่า สตูดิโอที่ทำรักไร้เสียงนั้นติดต่อยาก - ถ้าผมเป็นผู้ถือหุ้นคงเสียใจ ผมอยากบอกว่า ติดต่อยากก็บินไปสิครับ เคียวอนิมันก็ตั้งอยู่ที่เดิมนะ เงิน 10 ล้าน น่ะจะเอามั้ย ค่าตั๋ว/โรงแรม ไม่ได้หนึ่งในสิบของค่าโฆษณาที่ลงใส่หนังเรื่องอื่นหรอกครับ
#มิตรสหายผู้เคยไปทัวร์วัลฮาล่า