Last posted
Total of 1000 posts
แต่พูดจริง ๆ ในจัมป์ช่วงปีที่แล้วมายันปีนี้มันไม่มีซีรี่ส์ใหม่ที่ดึงดูดใจจริง ๆ สักเรื่องเลย อย่างชุดใหม่ที่มานี่ก็มีเรื่อง neverland นี่แหละที่น่าสนใจสุดแล้ว แต่ดูแล้วคงรอดยากพอควร ไปลงพวกหัวอื่นอาจหวังให้ยาวได้ ส่วนที่ดูจะเชียร์กันเยอะหน่อยก็ black clover แต่เรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกว่าลอก(ต้องใช้คำนี้จริง ๆ)พล็อตเรื่องนู้นนี้มาปะติดปะต่อกัน พระเอกนี่ยังกะลอกนารุโตะมา กระแสบอร์ดนอกด่าเรื่องนี้เยอะพอควร
กูว่า เอาผีฮาเรมมาก็ใช่ว่าไม่ดีนะเมิง
ปล. เผื่อโดนหลุมดำอีกรอบ ล้างไปเลยก็ดี
>>222 มันถามเรื่องที่สนุกๆ สำหรับกูที่อ่านการ์ตูนในจัมป์ทุกเรื่อง กูว่ามีสนุกเยอะอยู่
แต่กระแสคนส่วนใหญ่ไม่ได้อ่าน (และไม่รู้จัก) เท่านั้นเอง
คิเม็ตสึโนะไยบะ
ซามอนคุงวะซัมมอนเนอร์
เซะสุจิโอ๊ะพินโตะ
ทาคุอันโตะบัตสึโนะนิจิโจเอ็นมะโจ (หลังๆ เริ่มเลอะเทอะ คิดว่าคงอยู่อีกไม่นาน)
แต่ถามว่ามันจะดังปังแบบพวกนารุโตะได้มั้ย ก็ไม่
เพราะแนวเรื่องมันไม่ได้เป็นการ์ตูนสูตรจ๋าที่จะฮิตได้แบบนั้น
ใครอวยผีออนเซ็นกุรู้ระดับเทสเลยว่ะ
ดีนะในโม่งไม่อวย
คือมันเอาไฮคิวหรือซูโม่มาลงแทนก็ได้นะที่จริงถ้าไม่อยากlcเพิ่ม
กูสงสัย v มันจะทำเป็นแม็กกาซีนทำไม พวกแม็กกาซีนกูไม่ซื้ออ่านเลยเพราะกูตามอย่างเก่ง 2 เรื่องต่อหัว กูเลยรอเก็บรวมเล่มอย่างเดียว เปิดขายเป็นตอนกูยังอยากซื้อมากกว่าเจอราคาเหมาแล้วต้องอ่านเรื่องไม่อยากอ่าน
เออ จะว่าไปการ์ตูนค่าย V กุก็เคยหยิบพวก viva friday , kc weekly มาเปิดอ่านสมัยก่อนแทบไม่เห็นเรื่องไหนมันโดดเด่นขนาดน่าจะขายดีเลย มันคุ้มขนาดนั้นเลยเหรอวะในการทำเนี่ย
เอามาถัวกันไง ถือว่ากิน 2 ต่อ ซื้อรายสัปดาห์แล้วก็รวมเล่ม เมื่อก่อนไม่มีแสกน ก็ต้องอ่านจากพวกนี้ละถึงรู้ว่าสนุกไม่สนุก บางเรื่องรายสัปดาห็ก็นำหน้ารวมเล่มไปไกลมากกกกกก ถือว่ากำไรไป บางเรื่องก็ไม่มีแสกน อย่างบุตรมังกร อัคม่าเกม ผีดิบล้างโลก cmb พวกนี้กูตามอ่านตลอดจนเลิกไป
แต่ก่อนค่ายญี่ปุ่นมันบอกอยากได้ lc เร็วๆ(เดี๋ยวโดนไพเรทตัดหน้า) ก็เอาไปทำนิตยสารก่อน
อีกอย่าง นิตยสาร เขาสามารถยัดเรื่อง ใหม่ๆ มาทำตลาดด้วยไง
น่าจะเรียกว่ายุค Internet ยังไม่รุ่งเรืองดีกว่า สมัยนั้นคอมเป็นอะไรที่แพงมาก น้อยบ้านที่จะมี แถม net ก็ไม่ได้ติดทุกบ้าน
web ก็ไม่มีอะไรให้ดูมาก มีแต่ตัวหนังสือ Google ยังไม่เกิด ความบันเทิงคือแช็ตหน้าจอ ขาวๆ ดำๆ พวก iRC Pirch
แล้วก็นะ มันมีสื่อบันเทิงน้อยมาก ถ้าไม่รอดูการตูนช่อง 9 ตอนเช้า แล้วมันไม่มีสื่ออื่นจะเสพย์ และบ้าน TV เป็นของใช้ร่วมกัน
ช่วงนั้นหนังสือ นิตยสาร มันเลยเป็นตัวเลือกที่สะดวกที่จะแสวงหาความบันเทิงได้ สมัยก่อนเหมือน >>244 บอก
หนังสือเหมือนเป็นหน้า Facebook ที่ใช้จดหมายถาม แล้วถ้าโชคดีถึงจะมีคำตอบบนหน้านิตยสาร สปอย์อะไรไม่มี
นิตยสารสมัยก่อนจึงเป็นสิ่งที่ขายดีมาก เกิดกันเป็นดอกเห็ด
พักนี้ตารางออกหนังสือของสยามรวนตลอดเลยว่ะ วันนี้ควรจะมีเมไจ ดันเลื่อนโตเกียวกูลมาออกก่อน แล้วมันก็ออกหนังสือน้อยลงแบบฮวบฮาบ
กลับกันวิบูลกิจเริ่มออกเยอะขึ้น (คิดทั้งอีบุ๊คและหนังสือเล่ม)
แล้วแบบนี้ใครจะซื้อ LC จาก vbk ต่อละ!!!
สยามยอดขายไตรมาสที่ผ่านมาลดลงเกือบ 40% งบรวมของ บ. ขาดทุนติดต่อกันมา 2ปีครึ่งแล้ว
โดนปัจจัยหลายอย่างเข้าไป ยอดขายตก สแกนเถื่อน
เป็นใครก็ต้องหยุดมองธรุกิจรวมของตนก่อน
แต่กูสงสัยจริงๆ ทำไมไม่ตั้งบ.จัดการปราบเถื่อนในส่วนของตัวเองเชือดไก่ให้ลิงดูแบบแกรมมี่หรืออาร์เอสบ้าง
อย่างนิยายจีนนี่กูเห็นโดนตั้งแต่วันแรกที่ขายกันเลย อดสงสัยไม่ได้จริงๆหรือกลัวเรื่องมีแฟนคลับต่อต้านหรือด่าแบบ บ.ที่ตั้งตัวแทนออกมามีปัญหากัน
อ่านในกระทู้ซีคิดส์ปิดตัวในพันทิป มีความเห็นนึงไปชื่นชม bezald แล้วโดนคนสวนเข้าให้ เวรกรรมจริง ๆ มีพวกที่ชื่นชมบูชาไอ้เว็บเวรตะไลนี่ด้วย ไอ้เว็บนี้ตัวหน้าด้าน ไร้จิตสำนึแถวหน้า ๆ ของพวกทำเวบอ่านเถื่อนเลย
แค่การออกหนังสือก็เป็นเรื่องน่าชื่นชมแล้ว
แผลบๆ
>>249 มีโม่งคนนึงเคยบอกไว้ว่า ถ้าจะฟ้องก็ทำได้ สมมติว่าฟ้องเสร็จแล้วชนะ ได้ค่าปรับมาอะไรมาต้องส่งให้ญี่ปุ่นหมด เพราะมีสิทธิ์แค่พิมพ์ และจัดจำหน่าย ถ้ามันเป็นแบบนี้จริง กูเป็น สนพ. กูก็คงไม่ทำ เสียเวลา เสียเงิน แถมชนะแล้วไม่ได้เงืนอีก
ยกเว้นว่ากูรวยมาก กูจะเชือดไก่ตัวใหญ่ๆเพื่อความสะใจ
ที่เพจของ SIC มีออกมารับหรือปฏิเสธอะไรมั้ยตอนนี้ เรื่อง C-Kids
กูก็คิดแบบมึง ถ้ามันไม่ปิดมันคงมาปฏิเสธแล้ว
เมื่อวานกูไปร้านการ์ตูนประจำกู กูเห็น C-Kids ตั้งสูง แต่พอมองดีๆ แล้วมันมีเล่นเก่าๆด้วย เล่มใหม่ล่าสุดมี 10 เล่ม เล่มที่แล้ว 5 เล่า ก่อนหน้านั้นก้ 3-4 เล่ม สรุปว่าร้านนี้รับมา 10 เล่ม ขายได้ 5-6 เล่ม น้อยลงเยอะมากนะเนี่ย Boom แม่งชิ่งไปก่อนนี่ถือว่าคิดดีแล้ว
Lpทำไมดูไม่ค่อยเห็นข่าวลางๆว่ามีปัญหาอะไรเลยวะ อย่างvbk nedนี่ก็ชัดเจนอยู่แล้ว sicก็ส่งผลตอนนี้แล้ว ถึงขนาดเอาโนซากิมาได้นี่ก็ต้องโหดพอควรที่สามารถแย่งจากsicได้
>>260 มันส่งเป็นหนังสือแจ้งตามร้าน แต่ยังไม่ได้ประกาศในเพจ+ในเล่ม
http://imgur.com/a/AyTzr
lp แม่งดองสาวรถถังกุ สัส
โทโฮกูล่ะ สัส
ตอนนี้ LP น่าจะขึ้นอันดับ 1 จอมดองยิ่งกว่า vbk แล้ว
ของ L เท่าที่กูเห็นนะ ถ้าออกได้เกินเล่ม 2 ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา
แต่มีพวกที่ออกได้ เล่ม-2เล่ม แล้วหายยาวเยอะอยู่
Ned อย่าพูดว่าดองเลยเพราะมันไม่ออกต่อแน่ๆ
มันจะยังทำธุรกิจนี้ต่อรึเปล่ากุยังไม่ค่อยแน่ใจเลย...
พวกมึงคิดว่าจะมีโอกาสที่ สนพ. ถอดใจเลิกทำกันหมดมั้ยวะ
ทุนแม่งหนากว่าใครเพื่อนตอนนี้
อ่า กูขอโทษให้ข้อมูลผิดไปนิด เล็กกว่าVด้วยสิเนี่ย ทุน30ล้านเอง ดูเสียงตอบรับนักลงทุนก็รู้ ข่าวนี้ออกราคาหุ้นไม่ไปไหนเลย เพราะนักลงทุนก็คงไม่คิดว่ามันจะกำไรดีเด่อะไรหรอก
30ล้านนี่ เปิดร้านลอว์สันได้แค่6สาขาเอง กำไรดีกว่าขายหนังสืออีก
JP มาเองนะมึง แถมทีมงานระดับ N2 อัพ นี่แหละความหวังใหม่ของมนุษยชาติ
ญี่ปุ่นลงทุนต่างประเทศไม่ใช่ว่าประสบความสำเร็จทุกครั้งนะมึง ม้วนเสื่อกลับไปมีเยอะแยะ อย่างบะหมี่เจ้านึงมาไทยแล้วแป้ก เพราะมาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ตั้งเป้าไว้สูงเกิน จนเกือบต้องถอยทัพ ดีสหพัฒน์ขอร่วมทุนด้วย ยอมให้สหพัฒน์ถือหุ้นใหญ่ ถึงรอดมาได้
กำทุนน้อยกว่ายอดกำไรต่อเดือนบริษัทกูอีก
>>264 LP ก็มีปัญหาเหมือนที่อื่นนั่นแหละ แต่ไม่แสดงออกมากเท่าอาจจะเพราะมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางที่เหนียวแน่นพอสมควร (อย่างกลุ่มคุบุฮี้ กลุ่มสาววาย หรือกลุ่มแฟนคลับจุนจิอิโต้) แต่ถ้าไปเปิดดูผลประกอบการกุว่าก็คงตกลงเรื่อยๆ ไม่ต่างจาก สนพ อื่น ไม่งั้นมันคงไม่ขึ้นราคาหนังสือหรอก
>>289 ทีมงาน N2 อัพแม่งก็คนหน้าเดิมๆ แถวนี้นั่นแหละ มึงคิดว่าจู่ๆ จะมีคนเก่งๆ นอกวงการแห่กันมาสมัครงานกอง บก. เงินเดือนสองหมื่นกว่ารึไง
อมรินทร์มันเคยทำการ์ตูนเจ๊งมารอบนึงแล้วนิ ราวๆยี่สิบปีก่อน
สมัยนั้นนำเข้าแต่ของค่ายอีนิกซ์(ก่อนควบรวมเป็นS-E) การ์ตูนมันก็ดีนะแปลอ่านรู้เรื่อง แต่ไม่ตรงกระแสสมัยนั้นเลยเจ๊งไม่เป็นท่า กลับมาทำจะร่วมทุนกะอะไรก็เหอะแต่มันจะรอดรึ ยิ่งช่วงอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ถดถอยหนักแบบนี้ด้วย
อัมรินทุนหนาเหรอ(หัวเราะ) เคยทำลิขสิทธิ์ปีเดียวก็หายไปเลย (เหมือนจำได้เลือนลางว่ามีลิขสิทธิ์ เทนจิมุโย ด้วยเพราะกูเคยซื้อเล่ม1แล้วโดนแจกแพ....แต่ไม่แน่ใจว่าใช่อัมรินไหม)
Z-man กุล่ะ
http://imgur.com/f6t5TJf
กูเคือง
ถ้า สนพ.ล่มหมด แม้แต่ไพรเวทก็ไม่น่ามี คงเหลือแค่สแกนเถื่อน
แต่ส่วนตัวกูว่าสนพ.เอาตัวรแดได้ว่ะ ด้วยE book กับระบบพิมพ์ที่เน้นเรื่องขายออกไว้ก่อน
คิดว่าอัมรินท์มาก็ไม่รอดเหมือนอย่างที่หลบายคนว่านั่นละ ตอนนี้ธุรกิจสิ่งพิมพ์บ้านเราถดถอยหนัก แนวการบริโภคเปลี่ยนไปเยอะ การ์ตูนไม่ได้ทำเงินมากมายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าอัมรินท์ทุนไม่ได้หน้าอะไรมากมาย เคยนึกว่าทุนจะมากนะเนี่ย แล้วพวกการ์ตูนของคาโดคาวะที่มันมีกระแสในบ้านเรานี่ก็ดูจะน้อยนะ ส่วนใหญ่ไปทางชูเอย์ฉะ โคดันฉะ โชงักคุกังซะโดยมาก หรือจะลงทางนิยายเยอะกว่าละนั่น
กูว่าทำการตลาดลำบากฟะพราะการ์ตูนนี่ต่อให้อ่านแสกนฟรีๆ กู ก็ไม่เห็นคนมันจะอ่านแล้วฟะ
อมรินทร์ถ้าทุ่มเงินหนักๆ กูว่าไม่รอดว่ะ ต้องวางแผนงานดีๆ จ้าง N1 เต็มออฟฟิศจะเอาเงินที่ไหนจ่ายเงินเดือน เน้นตลาด LN ที่โดนผลกระทบจากสแกนเถื่อนน้อยหน่อย แต่อย่างว่า ตอนนี้มันไม่ใช่ช่วงขาขึ้นเลย เค๊กก็แทบไม่เหลือแล้ว มองยังไงก็ยากมาก
เมิงไม่ต้องนึกถึงการ์ตูนเอาแค่ นสพ แม่งก็ ยอดตกชิบหายแล้ว เมิงดูจากตอนนี้คนส่ง นสพ บ้านกู บ่นว่ารายได้หดอย่างหนัก คนไปอ่านเวปหมด
อมรินทร์ มุ่งไปที่ทีวีดิจิตอลแล้ว
เงินทุนที่เคยหนา นำไปจ่ายค่าสัมประธานรวมๆหลายพันล้าน เลยออกอาการเสอยู่เหมือนกันช่วงนี้
ยอดสื่อสิ่งพิมพ์ตกลงใกล้ๆกับสยามนะแหละ
>>295 กูหมายถึงร้านราเม็ง
>>300 ไพเรทยังเสี่ยงเลยตอนนี้ ไม่แน่จริงมันไม่พิมพ์หรอก
- N1ส่วนใหญ่เค้าเป็นล่ามโรงงาน คาดหวังเงินเดือนกัน5หมื่น++ โบนัส6เดือน++ น้อยคนนักจะมารับเงินเดือนถูกๆในสายงานอื่น ถ้าสนพ.ไหนไม่จ้างN2มาทำงาน ก็ปล่อยมันนั่งเก้อลมๆแล้งๆไปละกัน
- คาดว่าตลาดLNกับเมะคือเป้าหมายหลักของคาโดฯ และอาจลองทำแบบดิจิตอลมากกว่ารูปเล่มด้วย เพื่อให้เข้ากับแพลทฟอร์มที่ญี่ปุ่น แต่ก็ไม่แน่ ทั้งหมดนี่คือการเดาส่วนตัว
E Book ค่าย V วันนี้ 5 เล่ม
มี Baby Step กะ เพลงรักสองหัวใจ ที่โม่งถามหาด้วย
>>307 หนังสือพิมพ์มันก็เป็นสิ่งพิมพ์ซึ่งกำลังเป็นธุรกิจตะวันตกดิน ส่วนใหญ่ทีมงานสิ่งพิมพ์ลาออกไปขายเต้าฮวยกันยุ่บยั่บแล้ว แต่ก็ยังมีหน้าใหม่อยากลองของอีกเยอะแยะ เปิดนิตยสารแบบเล่มกันใหญ่ ถ้าอยากดูธุรกิจอะไรในไทยอนาคตจะเป็นยังไง ให้ดูประเทศที่เจริญกว่า มันเจริญรอยตามนั้นเป๊ะ อย่างเช่น ต่อไปห้างสรรพสินค้าก็มีแนวโน้มจะแป้ก ตามรอยญี่ปุ่น แต่คงต้องรออีกสักพักใหญ่ๆเลย
ห้างแป้กยาก บ้านเราอากาศข้างนอกมันร้อน คนเลยชอบเดินห้าง
ห้างมันมีไว้ตากแอร์ ยังไงก็ไม่แป้กว่ะ ไม่งั้นเมืองไทยคงไม่มีห้างผุดเป็นดอกเห็ดจนเป็นเหตุหนึงที่ทำให้รถติดทั้งกรุงหรอก
นิสัยคนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่เหมือนพวกเก็บตัวมุดอยู่แต่ในห้องแบบไอ้พวกประเทศขี้หนาวนะ
>>317 ก็รอดูต่อไป กูอาจจะผิดก็ได้ ความเห็นส่วนตัวคือ อีกหน่อยอีช็อปปิ้งจะเยอะกว่านี้ ร้านค้าสินค้าแฟชั่นไม่จำเป็นต้องขยายสาขาตามห้างเยอะแยะให้เปลืองตังค์อีกต่อไป ลูกค้าเช่าพื้นที่ของห้างอีกหน่อยจะหนักไปทางร้านอาหารมากกว่า เอาแค่บิ๊กซีโลตัส ทุกวันนี้คนรอบตัวแม่งไม่ไปเดินกันแล้ว อยากได้ของใช้อะไรกดสั่งซื้อทางเน็ตเอา ให้มันมาส่งที่บ้าน ไม่ต้องไปเข็นรถให้ปวดตับ มีแต่พวกแก่ๆอ่ะที่ยังไปเข็นรถเบียดกันแย่งกันจ่ายตังค์อยู่ ทำให้บิ๊กซีโลตัส หลังๆเน้นขยายสาขาขนาดเล็กลง และทำตลาดออนไลน์
>>318 งานแบบนี้มันระบุเวลาออกหนังสือเป๊ะๆไม่ได้หรอก มึงสามารถตีความไปได้เลยว่า "เมื่อเขาพร้อม"
ไปเปิดเพจของ SIC เจอนักอ่านทวงโอตาคุน่องเหล็กเล่ม 1 เมื่อไหร่จะพิมพ์ เจอคำตอบสุดคลาสสิคจากแอดมิน "รอเซอร์ไพรส์ครับ" กูถึงกับปล่อยก๊าก
>>317 นับกูไปด้วยคนนึง ช็อปปิ้ง Online เดี๋ยวนี้กูสั่งมากขึ้นนะ คือมันประมาณว่าไปเดินอยู่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วเอา
ชื่อรุ่นกรอกใส่มือถือเจอ lazada,tohome ขายถูกกว่ากัน 30% - 40% กูเดินออกจากร้านทันทีแล้วกดสั่งผ่าน net เอา
ปรกติกูชอบเดินเล่นตามห้างอยู่นะ แต่ช่วงหลังๆ ไปเดินตากแอร์แล้วกลับมากกว่า
เพจ v ยังมีคนทวงปกฮายาเตะอยู่เลย
โอตาคุนี่มันยึดติดกับอะไรโง่ๆจริง
เพจ vomf เอาเรื่องภายในเนชันมาเล่า ถ้าจริงนี่แม่งโคตรเลวร้ายอะ วงการมันตกต่ำได้ขนาดนี้ได้ไงวะ
จุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ช่วงเวลาไหนปีไหนเดือนไหน สำหรับกุนะ น่าจะตอนบูมปิดตัว
>>327 มันเป็นกลุ่มปิด
อยากจะบอกว่าเลิกฝันลมๆแล้งๆได้แล้ว ว่าจะมีการรวมตัวต่อรองกับสนพ.เพื่อจัดพิมพ์หนังสือที่พวกคุต้องการได้ง่ายๆ ทุกสนพ.กรอบกันทั้งนั้น ค่าใช้จ่ายเหี้ยไรตัดได้เค้าตัดหมดแหละ มีทางเดียวเลยมึงต้องจ่ายราคาเต็มล่วงหน้าให้เค้าเอาทุนไปหมุนก่อน ไม่งั้นอย่าได้หวังจะเอาโน่นเอานี่
บอกว่าคนชอบไปเดินตากแอร์ที่ห้าง
กุว่าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อนแล้วนะมึง คนมีแอร์กันเยอะมากขึ้น
และมึงอย่าได้ดูถูกความขี้เกียจและมักง่ายของคนไทยนะมึง
ไปเดินไม่ได้หมายความว่าไปซื้อของเสมอไป ร้านค้าเช่าที่ก็ต้องการขายของ ขายไม่ได้ตามเป้าแล้วยังโดนขึ้นค่าเช่า มันจะเช่าทำเกลืออะไร สุดท้ายก็จะมีแต่ร้านอาหารกับร้านบริการเท่านั้นที่อยู่ในห้างได้ จนกว่าคนเราจะกินข้าวทางเน็ตได้น่ะแหละ มันถึงจะเลิกเช่าในห้าง ส่วนร้านสินค้าแฟชั่นต้องกำไรสูงจริงๆถึงจะเปิดช็อปอยู่ในห้างต่อไปได้ รอดู เต็มที่ก็10ปีแหละวะ เทรนด์ช็อปปิ้งออนไลน์+พร้อมเพย์มาเต็มแน่ๆ ใครมีหุ้นศูนย์การค้ากับห้างค้าปลีกแม่งต้องจับตาดูให้ดีเลยว่ามันมีนโยบายยังไง
ไปเดินห้างส่วนมากกูไปเดินชิว กินกาแฟ กินข้าว กินขนม หาที่นั่งเล่น net เปลี่ยนบรรยากาศ
หรือไม่ก็ไปดูหนัง หลักๆ แค่นั้นน่ะ
ส่วนของอื่นๆ อยากจะซื้ออะไร อันดับแรกคือเปิดมือถือเช็คราคาก่อน ถ้าราคาต่างกันหน่อยกูไม่คิดมาก
แต่ส่วนมากที่เจอ online มันถูกกว่ากันเยอะมาก เลยตัดสินใจไม่ยาก
ไป join กลุ่มปิดที่ว่ามา เจอนิทานบ้านหลังคาแดงตอนจบด้วย
>>329 มึงลืมนึกถึงความแพงของค่าไฟเรอะมึงนั่งรถเมล์ไปตากแอร์ทุกวัน 1 เดือน ที่ห้างยังถูกกว่าเปิดแอร์ในบ้านทั้งวันนะมึง ถ้ามึงเป็นคนชั้นกลางมึงไม่กล้าเปิดแอร์ที่บ้านทั้งวันหรอก โดยเฉพาะหน้าร้อนต่าไฟจะขึ้นกว่าปกติด้วยปกติมึงเสียค่าไฟ 3000 จะกลายเป็น 4000 ทันทีในหน้าร้อนเลย
กุก็เปิดแค่ช่วงเที่ยง-บ่าย วันที่ร้อนมากๆ แค่นั้นแหละ ไปตากแอร์ที่ห้างมันทำตัวเอกเขนกแบบที่บ้านไม่ได้ไง
นึกถึงอากาศร้อนช่วงเมษาที่ผ่านมา พัดลมไอน้ำเอาไม่อยู่ แป๊ปเดียวน้ำเย็นกลายเป็นน้ำอุ่น ช่วงสายยาวยันช่วงเย็น
อุณหภูมิแม่งเกิบ 40 อีกมั้งตอนกลางวัน ตอนเย็นยังร้อนอยู่เลย ประมาณ 38 องศา =__=
>>344 สมัยกูเรียนมหาลัย แค่พัดลมธรรมดาก็เอาอยู่ว่ะ เพิ่งมี4-5หลังนี่แหละ ที่ร้อนชิบหาย ปรกติ40ก็ร้อนเหี้ยๆ นี่ขึ้นไปที่42-43 พัดลมไอน้ำพอเอาอยู่แต่ต้องนอนนิ่งๆห้ามขยับตัวออกนอกแนวพัดลม
ชนชั้นล่างนี่น่าสงสารที่สุด อ่านข่าวชาวบ้านใช้พัดลมธรรมดาสองตัวแล้วHeat strokeตายแล้วก็น่าเห็นใจ ถ้ามีเงินซื้อแอร์ซื้อพัดลมไอน้ำอาจจะไม่ตายก็ได้
กินแตงโมก็หายร้อนละ บ่นไร
ไอ้นิทานหลังคาแดงนั่นกูเก็ตแล้วว่ะ ว่าทำไมมีควายไปด่าในเพจ VBK ว่า VBK ติดหนี้โรงพิมพ์ 20 ล้าน
คือควายเนี่ยมันก็มาอ่านมาจากกรุ๊ปเพจนี้ แล้วไอ้กรุ๊ปเพจนี้มันเสือกเล่าเรื่องอ้อมๆ บอกว่าหลังคาแดงติดหนี้โรงงานนุ่น ไอ้ควายมันอ่านก็นึกว่า VBK ติดหนี้โรงพิมพ์ ความจริงคือ VBK ติดหนี้ค่ากระดาษ ไม่ใช่หนี้โรงพิมพ์ เพราะมันมีโรงพิมพ์เองเว้ย แต่มันเสกกระดาษเองไม่ได้ ไอ้ควายอ่านเสร็จก็พอดีสมองน้อย เลยไปมั่วเป็นตุตะกว่าเดิม
ร้อนก็ไปหลบใต้กันสาดแดงสิ
กระดาษ GR
Vomf เพจไหนวะ กูนึกไม่ออก
นี้ 14 กันยานะเมิง
VOMF กดขอเข้าร่วมนี้รอนานไหม
อยากมีพลังต้องเปิดพับลิคเว้ย มุดอยู่ในรู ใครจะรู้อะไร
ในกรุ๊ปมีนิทาน เดี๋ยวกูเอามาแปะให้
นิทาน ตอน 1
สวัสดีครับเพื่อนๆ
วันนี้ผมมีนิทานจะมาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังกัน
นานมาแล้วในประเทศนูแทรค ได้มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีหลังคาแดงทั้งหมู่บ้านได้เป็นผู้เริ่มต้นกระแสการติดต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำเข้าตุ๊กตาจากประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากนั้นหมู่บ้านอื่นๆในประเทศนูแทรค ก็ได้มีการติดต่อนำเข้าตุ๊กตาจากเพื่อนบ้านกันอย่างแพร่หลายในประเทศ ต่อมา ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหลังคาแดงได้เสียชีวิตลง จึงได้ให้ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านดูแลหมู่บ้านต่อมา
หลังจากเปลี่ยนตัวผู้นำหมู่บ้าน ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านซึ่งไม่นิยมชมชอบเรื่องตุ๊กตา จึงได้หันไปทำธุรกิจใหม่ นั่นคือ ธุรกิจขายบ้านน็อคดาวน์ ต่อมาเมื่อธุรกิจบ้านน็อคดาวน์เริ่มประสบปัญหา ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านก็เริ่มนำเงินจากการขายตุ๊กตาไปใช้ในการทำธุรกิจบ้านน็อคดาวน์ จึงทำให้หมู่บ้านหลังคาแดงเริ่มจะประสบปัญหาเรื่องการเงิน ลูกบ้านที่เคยมีกว่าครึ่งพันครัวเรือนก็ได้อพยพย้ายถิ่นฐาน จนเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยครัวเรือนในปัจจุบัน ตุ๊กตาที่เคยนำออกมาขายเป็นจำนวนมากเริ่มลดจำนวนลง เนื่องจากปัญหาค้างชำระค่านุ่นที่นำมาใช้ในการผลิตตุ๊กตา จำนวนเงินนับสิบล้าน
ทางผู้ใหญ่บ้านซึ่งตอนนี้ภรรยาผู้ใหญ่บ้านคนเก่าไม่สามารถดูแลลูกบ้านไหวเนื่องจากอายุเยอะแล้วจึงได้เปลี่ยนให้ลูกชายขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่บ้านแทน ได้ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แล้วจึงได้ลดการผลิตตุ๊กตาลงจำนวนมาก หันมาขายเป็นตุ๊กตากระดาษขึ้นมาแทน ท่ามกลางเสียงด่าทอของคนในประเทศนูแทรคที่ได้สะสมคอลเลคชั่นตุ๊กตาผ้าไปแล้วมากมาย
เรื่องราวนี้ยังไม่จบ ผู้คนของประเทศนูแทรคจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อไม่มีตุ๊กตาผ้าจากหมู่บ้านหลังคาแดง ผู้ใหญ่บ้านหลังคาแดงจะสามารถเคลียร์ปัญหาหนี้สินที่ล้นพ้นตัวได้หรือไม่ คนขายนุ่นจะยอมใจอ่อนให้นุ่นเพื่อมาผลิตตุ๊กตาเพิ่มหรือไม่จากข้อมูลล่าสุดผู้ใหญ่บ้านได้ขอเครดิตเพิ่มอีก2ล้าน เราจะมาติดตามเรื่องนี้กันต่อไปอย่างใจจดใจจ่อครับ
ตอนที่ 1.1
วันนี้อยากจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับความเป็นไปของวงการการ์ตูนที่ผมได้พบเจอมาเกือบ20ปีที่ผ่านมาและสิ่งที่คิดว่าอนาคตของวงการการ์ตูนนี้จะเป็นอย่างไรนะครับ ต้องขอบอกก่อนว่าอาจจะไม่จบในตอนเดียว แต่จะเขียนให้รวบรัดและครอบคลุมทุกประเด็นที่สุดนะครับ
สำหรับวงการการ์ตูนมือสองนั้น ย้อนหลังไปประมาณ15ปีก่อน สวนจตุจักรเป็นแหล่งใหญ่ในการขายหนังสือการ์ตูน(จริงๆเป็นแหล่งใหญ่ในการขายหนังสือเก่าเกือบทุกชนิด) ได้มีผู้ชาย2คนที่ริเริ่มความคิด ขายหนังสือการ์ตูนครึ่งราคา(ในตรงนี้จากความทรงจำผู้เขียนนะครับ ถ้าใครมีข้อมูลว่ามีก่อนหน้านั้นแจ้งผมมาจะเป็นพระคุณยิ่งครับ) ได้รวมหุ้นกันเปิดร้านหนังสือที่ขายในราคา50%ทุกเล่ม และรับซื้อในราคา30%ทุกเล่มเช่นกันโดยเริ่มสาขาแรกที่บางกะปิ และอีกคนได้มาเปิดที่สยาม(โดยส่วนตัวจะทราบความเป็นมาร้านที่สยามเสียเยอะ เพราะเมื่อตอนเรียนต้องผ่านทุกวัน วันที่เห็นติดป้ายว่าขายครึ่งราคาทุกเล่ม ตัวผมเองยังคิดในใจเลยว่ามันจะไปรอดหรือ ค่าเช่าในสยามแพงมากๆ) ซึ่งหลังจากมีการเปิดร้านมือสองครึ่งราคาขึ้นมา ตลาดวงการหนังสือการ์ตูนก็เริ่มบูมขึ้น จนทำให้เกิดร้านครึ่งราคาเพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับ(โดยส่วนตัวแล้วที่ตัดสินใจเปิดเว็บขายหนังสือมือสองเหตุผลหลักก็เพราะรู้จักร้านครึ่งราคาค่อนข้างเยอะเกือบทุกร้านในกรุงเทพ)
เมื่อตลาดวงการหนังสือมือสองเริ่มบูม หลายๆร้านก็เริ่มมีความคิดที่จะขยายกิจการเพิ่ม โดยมุ่งไปที่ธุรกิจทำร้านหนังสือเช่า โดยหลายๆร้านจะมีแพ็คเกจสำหรับร้านหนังสือเช่าเพื่อจูงใจให้มาซื้อแพ็คเกจกันอย่างมากมาย ทั้งลด ทั้งแถม ช่วงนั้นจึงมีหลายๆคนที่เปิดร้านเช่าหนังสือ.... แต่ด้วยความที่หลายคนมากๆที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับทั้งการ์ตูนและนิยาย ก็จะโดนร้านที่จัดหนังสือมาให้(ไม่ได้หมายถึงทุกร้านที่เป็นอย่างนี้นะครับ ร้านที่ดีๆที่ผมสนิทกันและไม่ได้ทำอย่างนี้ก็มีครับ)
จัดหนังสือที่คนสนใจน้อยมาให้จำนวนมาก(ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆคือยัดขยะมาให้เยอะๆ) อย่างเช่นแพ็คเกจ10000เล่ม มีของสำนักพิมพ์บูรพัฒน์ หมึกจีน บงกช มากกว่าครึ่ง หรือนิยาย2000เล่ม ได้ของสำนักพิมพ์มันดี ivy ต้นไม้ เกือบครึ่ง เป็นต้น(ไม่ได้หมายความว่าหนังสือของสำนักพิมพ์ที่ว่าไม่ดีนะครับ เพียงแต่อยากสื่อว่าไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่น่ะครับ) และด้วยความที่ไม่ค่อยรู้เรื่องหนังสือมากเท่าไหร่จึงไม่ทราบความต้องการของลูกค้า ไม่สามารถแนะนำหนังสือให้กับลูกค้าได้ และด้วยความที่หลายๆร้านเปิดแข่งกันจึงทำให้ทุกร้านต้องซื้อหนังสือใหม่เกือบทุกเรื่องที่ออกมาเพื่อแข่งขันกับร้านอื่นๆซึ่งทำให้รายจ่ายค่าหนังสือใหม่ที่ซื้อเข้ามาสูงมาก บางร้านซื้อหนังสือใหม่เข้าร้านเดือนละหลายๆหมื่นก็มี
อันนี้คือเหตุผลหลักเลยที่ทำให้ร้านหนังสือเช่าอยู่ไม่ไหว บทต่อไปจะเขียนถึงฝั่งสำนักพิมพ์บ้างว่าทำไมถึงซบเซาและขาดทุนกันเยอะขึ้น
ความเป็นไปของวงการการ์ตูนที่ผมเคยพบเจอมาตอนที่1.5นะครับ
เนื่องจากบทความตอนแรกที่ลงไปกลับมาอ่านแล้วยังรู้สึกว่าข้อมูลบางอย่างอาจจะต้องขยายความเพิ่มอีกนิดนึงเพื่อการกล่าวถึงในตอนที่2จะได้เข้าใจกันง่ายขึ้นจึงขอขยายความเป็นไปของร้านเช่าเพิ่มอีกหน่อยนะครับ
จากตอนที่แล้วจะเห็นได้ว่า ช่วงประมาณ10ปีก่อนจะเป็นยุครุ่งเรืองของร้านเช่า
คำว่ารุ่งเรืองนี่ไม่ได้หมายความเพียงแค่ร้านเช่าทุกร้านจะได้เงินจากธุรกิจนี้มากเพียงอย่างเดียว แต่หมายความรวมถึง มีร้านเช่าหนังสือใหม่ๆผุดขึ้นมาอีกจำนวนมาก ซึ่งจากที่ร้านเช่ามีจำนวนมากนั้นเอง จึงทำให้เกิดการแข่งขันของแต่ละร้าน เมื่อมีหนังสือออกใหม่ ทุกร้านจะต้องซื้อเข้ามาอย่างน้อยปกละ1เล่ม ร้านที่รู้จักบางเรื่องอย่างวันพีซ นินจาคาถา โคนัน ต้องสั่งเข้าร้านถึงปกละ5เล่มเลย และเมื่อมีการแข่งขันที่สูง ทุกร้านจึงต้องซื้อหนังสือที่ออกใหม่แทบทุกเรื่อง เพื่อไม่ให้เสียลูกค้าไปร้านอื่น ดังนั้น สำนักพิมพ์ต่างๆจึงเพิ่มจำนวนการผลิต และซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาเพิ่มเป็นจำนวนมาก จะสังเกตได้ว่าช่วง10ปีที่ผ่านมา มีการ์ตูนเข้ามาในประเทศแทบทุกแนว ทุกเรื่อง ซึ่งเมื่อร้านเช่ายังรุ่งเรืองอยู่นั้นการ์ตูนหลายๆเรื่องก็ไม่เป็นที่นิยมนักในร้านเช่า แต่ที่ต้องซื้อมาเพียงเพราะการแข่งขันระหว่างร้านเช่าค่อนข้างสูง ต่อมาเมื่อจำนวนหนังสือที่ซื้อเข้า และรายจ่ายอย่างอื่นของร้านเช่า เริ่มมากกว่ารายรับที่เข้ามา (ผมมองว่านี่คืออีกหนึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่ร้านเช่าทั่วไปเจอนะครับ เพราะช่วงนั้นส่วนมากปิดตัวเพราะเดือนๆนึงซื้อหนังสือเข้าหลายหมื่น เพราะทั้งนิยายและการ์ตูนได้ออกมาเยอะมากๆ) จึงทำให้หลายๆร้านไม่สามารถอยู่ต่อได้ จึงต้องปิดตัวลง เมื่อร้านเช่าหลายๆร้านได้ปิดตัวลง ยอดขายหนังสือที่เคยขายได้เยอะๆก็เริ่มลดลงไป ทีนี้ผลกระทบจึงมาถึงสำนักพิมพ์และร้านขายหนังสือมือใหม่
ตอนต่อไปจะเป็นเรื่องราวของ สำนักพิมพ์และร้านขายหนังสือใหม่นะครับ
วันนี้จะมีเขียนถึงเกี่ยวกับวงการการ์ตูนที่ผมได้ผ่านพบมากันต่อนะครับ
หลังจากพูดถึงร้านมือสอง50%และร้านเช่าผ่านไปแล้ว ตอนนี้เราจะมาพูดคุยกันถึงร้านหนังสือใหม่ สายส่ง และสำนักพิมพ์กันต่อนะครับ
โดยผมจะอธิบายคร่าวๆถึงการส่งหรือการขายนะครับ
โดยสำนักพิมพ์เอง จะลดให้ร้านค้าที่เป็นเอเย่นต์ หรือสายส่ง ปกติอยู่ที่30%จากราคาปก(ถ้าเป็นไพเรทจะอยู่ที่ลด30-37%จากปก)
โดยสายส่งหรือเอเย่นต์จะกระจายสินค้าให้กับร้านค้ารายย่อยอื่นๆอีกครั้ง โดยจะลดให้ร้านค้ารายย่อยอยู่ที่20-25%แล้วแต่จำนวนและสัดส่วนการคืนหนังสือ
สัดส่วนการคืนหนังสือนั้น โดยทั่วไป สายส่งหรือเอเย่นต์จะมีโควต้าให้คืนได้30%ของยอดที่ซื้อไป
ซึ่งกติกาเหล่านี้เองที่เป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งที่สำนักพิมพ์และร้านหนังสือใหม่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ แต่จะขอเล่าหลังจากนี้นะครับ
จากตอนที่แล้ว ที่เป็นยุครุ่งเรืองของร้านเช่า ทางสำนักพิมพ์ก็ซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาเป็นจำนวนมาก ในส่วนนี้อาจจะอธิบายเพิ่มเติมสักหน่อยว่า ลิขสิทธิ์ที่สำนักพิมพ์โดยมากซื้อมานี่คือไม่ใช่อยากได้เรื่องไหนแล้วจะซื้อเรื่องนั้นๆได้เลยนะครับ หลายครั้งที่จะซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนึงแล้วต้องพ่วงเรื่องอื่นๆมาอีกด้วย
ดังนั้น จำนวนเรื่องที่สำนักพิมพ์ซื้อลิขสิทธิ์มาจึงมีจำนวนเรื่องเยอะมาก และในจำนวนนั้นเรื่องที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมก็มีพอสมควร แต่ด้วยช่วงที่ร้านเช่ารุ่งเรือง หนังสือหลายๆเรื่องที่พิมพ์ออกมาสามารถขายได้ในจำนวนที่ไม่ขาดทุน(ทั้งที่ส่วนใหญ่ที่ซื้อหนังสือที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมคือร้านเช่า และเอาไปก็ไม่ค่อยมีคนเช่า)
ต่อมา เมื่อร้านเช่าทยอยปิดตัวกันลงไป และเข้าสู่ยุคที่รุ่งเรื่องของเว็บแสกน จำนวนหนังสือที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมก็ถูกซื้อน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสำนักพิมพ์ได้ผลิตเรื่องเหล่านี้จำนวนเท่าเดิม แต่ยอดขายได้ลดลงจากเดิม จึงเกิดปัญหาทั้งร้านที่ขายและทางสำนักพิมพ์
โดยร้านที่ขายเองนั้น เมื่อยอดขายได้ลดลง แต่จำนวนที่สั่งกับทางสำนักพิมพ์หรือทางเอเย่นต์ยังสั่งไปเท่าเดิม ดังนั้น หนังสือค้างสต๊อกจากร้านหนังสือใหม่จึงมีเยอะ เพราะจำนวนที่สามารถตีคืนได้ยังเท่าเดิมที่30% ยิ่งช่วงหลังๆนี้เกือบทุกสำนักพิมพ์แก้ปัญหานี้โดยลดจำนวนเรื่องที่พิมพ์ออกมา บางสำนักพิมพ์ออกเดือนนึงไม่ถึง10ปก ทำให้ยอดที่จะคืนได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง และปัญหาของร้านหนังสือใหม่นอกจากปัญหาสต๊อกหนังสือและค่าเช่าร้านค่าลูกจ้างแล้ว ปัญหาใหญ่อีกหนึ่งอย่างคือปัญหาการโดนขโมยหนังสือนะครับ อันนี้จะเล่าให้เพื่อนๆฟังตามที่พอจะทราบมานะครับ
การขโมยหนังสือนั้น มีหลากหลายรูปแบบวิธีการก็จะแตกต่างกันไป บางเคสก็ติดต่อโดยตรงเลยกับผู้จัดการสาขา ที่จับได้คราวนั้นสอบสวนแล้วความเสียหายหลักหลายแสน แต่วิธีการโดยมากคือ ให้คนที่ลงมือเป็นเด็กอายุต่ำกว่า18เป็นคนลงมือ เพราะตามกฎหมายแล้วพวกนี้จะได้รับโทษเบากว่า เมื่อเด็กพวกนี้อายุเกินก็จะเปลี่ยนหน้าที่เป็นคนดูต้นทาง โดยร้านที่จะโดนส่วนมากจะเป็นร้านขนาดใหญ่ และปลายทางแห่งแรกของหนังสือที่ขโมยมานี้ก็จะอยู่ที่ร้านหนังสือมือสองบางร้าน
ซึ่งจากปลายทางแรกนั้นจะเห็นได้ว่า ก่อนหน้านี้จะมีบางร้านที่จะขายหนังสือใหม่ในซีลในราคาเพียง50%เท่านั้น มันอาจจะไม่แปลกอะไรเลยถ้ามีเพียงอย่างละ1ชุด แต่บางร้านที่ว่ากลับมีอย่างละ3ชุดขึ้นไป ซึ่งจากตรงนี้เอง ผมเคยได้ข้อมูลมาว่าร้านบางร้านที่ว่าเคยโดนมาแล้ว แต่เสียค่าใช้จ่ายเพียง1-2แสนแล้วแต่จำนวนหนังสือที่รับซื้อของขโมยมา ซึ่งยังทำให้คุ้มที่จะเสี่ยงอยู่......
ตอนหน้าเราจะมาว่ากันถึงสำนักพิมพ์กันบ้างนะครับว่าเค้าโดนอะไรกันบ้าง ทำไมส่วนมากถึงขาดทุนกันอย่างต่อเนื่องในระยะหลังมานี้
มาเล่านิทานตอนที่3กันต่อนะครับ
ย้ำอีกครั้งว่านี่คือเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงนะครับ ไม่มีตัวละครหรือสถานที่ใดๆในเรื่องที่มีอยู่จริงแม้แต่คนเดียวเลยนะครับ
มาเล่ากันต่อถึงกระบวนการ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ของหัวหน้าหมู่บ้านหลังคาแดงที่ทุกคนรอคอยนะครับ
จากตอนก่อนที่ทุกคนได้ทราบแล้วว่าหัวหน้าหมู่บ้าน มีหนี้สินกับผู้ขายนุ่นอยู่จำนวน2xm จึงทำให้ผู้ขายนุ่นไม่สามารถขายนุ่นให้กับหัวหน้าหมู่บ้านได้ ผู้ขายนุ่นจึงได้แจ้งกับหัวหน้าหมู่บ้านไปว่า ถ้าคุณต้องการซื้อนุ่น คุณต้องใช้เงินสดเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาแผ่นทองคำที่เคยให้เป็นค่านุ่น เจ้าของนุ่นได้ทำตกลงพื้นแล้วมันเด้งลอยไปบนฟ้า จึงทำให้ทราบว่าแผ่นทองคำนี้ไม่มีราคาเสียแล้ว และในเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านไม่มีเงินจะซื้อนุ่น จึงจำต้องเปลี่ยนการขายจากตุ๊กตาผ้ามาเป็นตุ๊กตากระดาษแทนในช่วงหลังมา
และหลังจากเหตุการณ์ที่ผู้ขายนุ่นไปขนตุ๊กตามาให้ผู้กล้า3รอบแล้วไม่สามารถหาผู้กล้ารายต่อไปที่จะขนตุ๊กตามาขายรอบที่4ได้แล้วนั้น นายPเองได้คุยกับผู้ขายนุ่นถึงวิธีการอยู่รอดของหมู่บ้านนี้คือ ตนเองจะเข้าไปซื้อตุ๊กตาที่หมู่บ้านนี้ได้เก็บไว้ในหมู่บ้าน ที่เป็นตุ๊กตาที่เป็นที่นิยม โดยให้ราคาสูงถึง50%ของราคาตุ๊กตานั้น ตัวอย่างตุ๊กตาที่นายPเสนอไปคือ ตุ๊กตากบ3ตา ตุ๊กตาใส่หน้ากากตอนเที่ยงคืน ตุ๊กตาโงกุน และอีกหลายตัวที่นายPเคยเห็นในหมู่บ้าน ใช้เงินในการซื้อทั้งหมด1ล้านบาท แต่ปรากฏว่า หัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ยอมขายให้นายP แต่กลับไปขอเครดิตผู้ขายนุ่นอีกจำนวน1ล้าน ซึ่งแน่นอนว่าผู้ขายนุ่นไม่ยอมให้เงินตามที่หัวหน้าหมู่บ้านขอยืมมา และหลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านไม่ยอมขายตุ๊กตาที่นายPเสนอไปแล้ว ด้วยความสงสัยนายPจึงได้ไปสอบถามกับผู้คุมโรงงานตุ๊กตาว่า ตุ๊กตาที่นายPต้องการซื้อนั้น เหลืออยู่มากน้อยเพียงใด คำตอบที่ได้มานั้นทำให้ทุกคนต้องอึ้ง....(clickbait)
ผู้คุมได้แจ้งว่า ตุ๊กตาที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เหลือถึงหลัก1000ตัว ต่อหนึ่งแบบทีเดียว ซึ่งผู้คุมเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมหัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่ขาย แล้วเลือกที่จะทำลายตุ๊กตาทิ้ง เพราะก่อนหน้านี้นั้น ผู้คุมโรงงานนี้เองที่เป็นคนสั่งทำลายตุ๊กตาหมอป๊อก ตุ๊กตาผีดูดเลือด ตุ๊กตาไดอารี่แมวและอีกหลายๆตัวที่ผู้เขียนนึกชื่อไม่ออก โดยได้ผลตอบแทน กิโลกรัมละ3.50 เท่านั้น โดยวิธีทำลายเพียงแค่กรีดตรงพุงตุ๊กตาเบาๆ และคนที่มาชั่งกิโลไปก็ได้นำตุ๊กตาพวกนี้มาขายในตลาดอีกทีหนึ่ง ด้วยราคาที่กำไรเกินกว่า10เท่าตัว และตุ๊กตาที่นายPมาขอซื้อนั้นอีกไม่นานก็จะมีคำสั่งให้ทำลายและนำมาชั่งกิโลขายเหมือนที่เคยเป็น
หลังจากที่ความพยายามครั้งแรกได้ผ่านไปแล้ว ผู้ขายนุ่นก็ได้พูดคุยกับนายPต่อว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เนื่องจากค่อนข้างกังวลว่าหนี้ที่มีอาจจะเป็นหนี้เสีย นายPจึงได้แจ้งทางผู้ขายนุ่นไปว่า ให้ผู้ขายนุ่น ไปเอาตุ๊กตาที่ดังๆเช่นตุ๊กตาเด็กโข่ง ตุ๊กตาครูจอมแสบ ตุ๊กตาไอ้หนุ่มผมยาว ฯลฯในโกดังออกมาขาย โดยคิดราคาเท่ากับที่หมู่บ้านนี้ขายส่งให้กับหมู่บ้านใหญ่ๆ ที่ลดให้30% แล้วนำมาขายให้ลูกค้าในตลาดตุ๊กตาในราคาลด30%เท่ากัน เพื่อจะได้นำเงินมาหมุน และลดหนี้ที่มีอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดขณะนั้น
แต่ปรากฏว่าหัวหน้าหมู่บ้านไม่ตกลงด้วย และยังยืนยันคำเดิมว่า ถ้าอยากจะนำตุ๊กตาของเค้าแลกหนี้ จะต้องแลกกับตุ๊กตาที่ไม่มีคนสนใจแล้วเพียงเท่านั้น หรือไม่ก็จะขอใช้หนี้เป็นบ้านน็อคดาวน์เพียงอย่างเดียว ซึ่งสร้างความหนักใจให้แก่ผู้ขายนุ่นเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ของหมู่บ้านนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนต่อไปนะครับ
ขอประชาสัมพันธ์หน่อยนะครับ สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการหนังสือแบบเป็น"เล่ม"สามารถเข้าไปแสดงพลังในกลุ่มที่ผมลงลิ้งค์ไว้ในคอมเม้นนะครับ
ปล.รูปประกอบเป็นรูปของร้านผมเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหานิทานแต่ประการใด
ไอ้พวกชอบพิมพ์ยาวๆในโม่งนี้ส่วนใหญ่เชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
วันนี้จะมาเล่าถึงวงการการ์ตูนที่เคยพบเจอมาให้อ่านกันอีกหนึ่งตอน ซึ่งส่วนตัวคิดว่าตอนนี้คือตอนสำคัญที่สุดสำหรับแฟนๆการ์ตูนนะครับ อยากให้ได้อ่านกันจะได้เข้าใจปัญหาของสำนักพิมพ์กันบ้าง
หลังจากสองตอนที่ผ่านมา ได้มีการพูดถึง ร้านมือสอง ร้านเช่า ร้านหนังสือใหม่ และปัญหาการขโมยหนังสือที่ทางร้านหนังสือใหม่ได้พบเจอกันมาแล้ว
ตอนนี้จะเพิ่มเติมให้ฟังว่า ไม่ใช่แต่เพียงร้านหนังสือใหม่เท่านั้นที่ประสบปัญหาโดนขโมยหนังสือ
สำนักพิมพ์เองก็โดนด้วยเช่นกัน โดยแต่ละบริษัทก็โดนจำนวนมากน้อยแตกต่างกันไป ตามจำนวนหนังสือที่มี โดยผมจะพูดถึงเคสใหญ่ๆที่เคยเจอมาดังนี้
-ค่ายสุขุมวิท ช่วงประมาณ7ปีก่อน มีหลุดมาครั้งละ1คันรถกระบะ ของเข้าอาทิตย์ละ2ครั้ง แต่กรณีนี้ผมเองไม่แน่ใจว่าหลุดมาจากสำนักพิมพ์เลยหรือมาจากร้านใหญ่ที่ไหน แต่มีเฉพาะค่ายนี้เลย
-ค่ายลาดพร้าว เคยหลุดเพราะคนขับรถส่งของและลงข่าวหนังสือพิมพ์เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว และยังคงหลุดออกมาอย่างต่อเนื่องประปราย โดยช่วงหลังที่โดนจะเน้นนิยายจีน และการ์ตูนชุด อันนี้ตัวผมเองเคยโดนเสนอกับตัวเองเลย เพราะเคยซื้อขายกับเด็กที่ไปออกบูธบ่อยๆเลยมีพนักงานที่รู้จักโทรมา ส่งรูปให้ดูเป็นสิบมัด เรื่องนึงมี5-10ชุด
-ค่ายบางนา เคยหลุดตั้งแต่ประมาณเกือบสิบปีแล้วเช่นกัน แต่ถึงตอนนี้ไม่มีข่าวว่าหลุดจากโกดังแล้ว เรื่องที่หลุดมาช่วงแรกๆที่เจอเลยคือ ดราก้อนบอล บิ๊กบุค พร้อมกระเป๋า ชุดนี้ที่ทราบมาหลุดมาหลักร้อยชุด โจโจ้63เล่มพร้อมกระเป๋า เท่าที่ทราบมา รวมแล้วเกินครึ่งพัน โดเรมอนสันทอง อันนี้ก็หลักร้อยชุด แสลมดั้งค์ บิ๊กบุค,ฮิคารุบิ๊กบุค,โจโจ้สตีลบอลรัน 3เรื่องนี้ช่วงที่มีหลุดออกมาได้ข่าวว่าเดือนละไม่ต่ำกว่า50ชุดต่อเรื่อง และยังไม่รวมพวกpocketbook อีก
-ค่ายถนนพระอาทิตย์ หลุดต่อเนื่องยาวนาน ก่อนหน้านี้ ทุกเล่มที่มีออกใหม่ ของค่ายนี้จะสามารถพบเจอได้ที่ร้านบางร้าน มาให้เลือกซื้อเป็นมัด จนเมื่อประมาณ2ปีก่อน ได้เปลี่ยนวิธีการเก็บ จึงทำให้ของที่หลุดออกมาแทบไม่มีเลย แต่หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ก็ได้มีออกมาสู่ร้านมือสองอีกรอบนึงแล้ว
หลายท่านคงสงสัยว่า แล้วหนังสือจำนวนมากอย่างนี้ ปลายทางคือร้านมือสองอย่างเดียวเลยหรือไม่ ขอตอบไว้เลยครับว่า เกือบทั้งหมดเลยมาอยู่ที่ร้านมือสอง ซึ่งบางร้านก็ปิดไปแล้ว บางร้านก็ถึงกับเจริญรุ่งเรืองเพราะขายของขโมยเลยทีเดียว และถามว่าของที่ขโมยมาเยอะแยะมากมายเนี่ย ร้านที่รับซื้อเค้าเอาไปปล่อยต่ออย่างไรถึงปล่อยหมด ขายแค่หน้าร้านอย่างเดียวคงไม่น่าจะหมดเมื่อจำนวนมันเยอะมากขนาดนี้ คำตอบอยู่ย่อหน้าต่อไปครับ
(ต่อ)
อย่างที่ได้พูดถึงวิธีการขายจากสำนักพิมพ์ไปแล้ว สิ่งสำคัญของกรณีที่จะกล่าวถึงคือ"การคืน" ซึ่งหนังสือที่ถูกขโมยจากทั้งร้านมือหนึ่งและจากสำนักพิมพ์เอง ที่ได้มาอยู่ในร้านขายหนังสือ50%เองนั้น ได้ถูกกลุ่มคนที่สามารถคืนหนังสือ(เพื่อความปลอดภัยขอไม่ระบุว่ามีกลุ่มคนกลุ่มไหนบ้างนะครับ) ได้ซื้อหนังสือขโมยในราคา50% และนำไปตีคืนโดยได้ราคา70% ถึงแม้บางครั้งจะไม่สามารถตีคืนได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถทบไปคืนในรอบต่อไปได้ ซึ่งกลุ่มคนกลุ่มนี้คือลูกค้าชั้นดีของร้านที่รับหนังสือขโมยเลยทีเดียว ซื้อกันเดือนนึงหลักหมื่นบาท(ซื้อที่ราคา45-50%)
และหลายคนอาจเกิดคำถาม ทำไมเราซื้อหนังสือใหม่ แต่พอแกะซีลออกมา หนังสือที่ได้กลับเป็นหนังสือร้านเช่า มีรอยเทป บางเล่มมีรอยปั๊มตราร้านด้วยซ้ำ ผมจะไขข้อข้องใจให้ทราบนะครับ
เนื่องจากกลุ่มคนดังกล่าว รู้จักกันดีกับร้านหนังสือมือสอง ดังนั้น จึงมีการสั่งออเดอร์กับทางร้านไว้ว่า ถ้ามีหนังสือปกใหม่เข้ามา(ก่อนหน้าสั่งปกราคา45บาท ช่วงหลังต้อง50-55บาทเท่านั้น ส่วนของค่ายลาดพร้าวให้ดูโลโก้ตรงหัวเล่ม ถ้าโลโก้เก่าทางสำนักพิมพ์ไม่รับคืน) โดยนักอ่านหรือพ่อค้าที่เข้าตามร้านมือสองจะเห็นบ่อยๆว่ามีการเก็บหนังสือใหม่ๆใส่ถุงไว้ให้คนกลุ่มนี้ เพราะกลุ่มนี้กำลังซื้อสูงมาก แทบจะเรียกได้ว่าไม่จำกัดเลย ขอเพียงให้มีของให้เค้าได้เท่านั้น
ต่อมาทุกท่านคงจะเกิดคำถามต่ออีกว่า เค้าเอาหนังสือมือสอง ไปทำให้เป็นหนังสือใหม่ได้อย่างไร ผมจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังนี้ครับ
หลักๆที่ทุกคนเห็น ค่ายที่สุขุมวิทเองนั้น แค่เพียงใส่ถุงแล้วรีด ซึ่งตั้งแต่แรกนั้น ถุงไซส์นี้คือถุงร้อนที่สั่งทำเฉพาะ (เป็นถุงร้อนเบอร์5.5x9นิ้ว) ซึ่งแทบไม่สามารถพบเจอตามร้านขายพลาสติกทั่วไป แต่ ช่วงหลังๆมา ได้มีการผลิตถุงร้อนไซส์นี้ออกมาจำนวนมาก แต่สถานที่ขายยังมีอยู่ไม่กี่แห่ง แต่ไม่กี่แห่งที่ว่าก็ถูกรับรู้โดยกลุ่มคนที่เอาไปตีคืนได้ ซึ่งเรื่องนี้ค่ายสุขุมวิทเองก็ทราบเรื่องแล้วเพราะมีคนบอกไปหลายครั้งเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรแม้แต่น้อย
แล้วค่ายใหญ่แถวบางนากับลาดพร้าวล่ะ เค้าไม่ได้ใส่ถุงเหมือนค่ายสุขุมวิทนะ จะโดนเหมือนกันหรือเปล่า คำตอบคือ โดนเหมือนกันครับ เพราะกลุ่มคนกลุ่มนี้ ด้วยจำนวนที่คืนมีค่อนข้างเยอะ เค้าเลยใช้วิธีรวมกลุ่มกันแล้วไปจ้างโรงงานพลาสติก ให้ทำถุงให้ เพราะเนื่องจากรวมกลุ่มกัน ทำให้จำนวนเยอะราคาต่อหน่วยจึงถูกลง
และหนังสือที่มีการตีคืนนี้ก็ได้กลับเข้าสู่โกดังของแต่ละสำนักพิมพ์อีกครั้งเพื่อรอออกมาขายใหม่ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบางคนซื้อหนังสือใหม่ แต่ได้เป็นหนังสือเช่า หรือหนังสือมือสอง มีรอยปากกา รอยนั่นนี่เต็มไปหมด
ดังนั้นเมื่อเรารู้ปัญหาของสำนักพิมพ์แล้ว ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเพื่อให้สำนักพิมพ์หลายๆแห่งอยู่รอดคือ ต้องช่วยกันรณรงค์ไม่ซื้อของที่ยังอยู่ในซีลจากร้านมือสองครับ เพราะนั่นไม่ต่างกับการสนับสนุนให้มีการขโมยหนังสือมาขาย จริงๆร้านที่ว่าก็มีเหลืออยู่ไม่กี่แห่งล่ะครับ ผมเชื่อว่านักอ่านหลายๆท่านหรือพ่อค้าหลายๆท่านต่างก็ทราบ แต่ด้วยเพราะมันเป็นหนังสือใหม่ ขายง่าย(สำหรับพ่อค้า)หรือคุ้มที่ซื้อหนังสือใหม่ได้แค่ครึ่งราคา นั่นคือคุณได้สนับสนุนกลุ่มคนกลุ่มนี้และได้ทำลายวงการการ์ตูนที่คุณรักไปแล้ว ส่วนตัวผมเองเมื่อก่อนยอมรับว่าซื้อมาบ้าง แต่มาตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดจึงหยุดซื้อมาหลายปีแล้ว แต่ท้ายที่สุดวงการการ์ตูนก็ยังมาถึงจุดนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ช่วยกันแสดงออก อย่างน้อยก็แชร์ออกไปให้เพื่อนๆของเราได้รับรู้และหยุดอุดหนุนของขโมย
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายนะครับ การเปลี่ยนแปลงในวงการและอนาคตที่ผมคิดไว้
ก่อนจาก ฝากกลุ่มของแฟนๆผู้รักการ์ตูนแบบ"เล่ม" มาร่วมแสดงพลังกับพวกเราได้นะครับ
กลุ่มVoice Of Manga Fans(VOMF) ลิ้งค์ในเม้นนะครับ
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนนะครับ นิทานตอนที่4มาแล้วนะครับ
ย้ำให้รับฟังกันอีกทีนะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ ไม่มีบุคคลหรือบริษัทใดๆหรือหมู่บ้านไหนที่เป็นเรื่องจริงนะครับ
ตอนนี้จะมาแจ้งถึงสถานการณ์ล่าสุดของหมู่บ้านหลังคาแดงให้เพื่อนๆได้ฟังกันนะครับ
ตอนนี้ เนื่องจากผู้ขายนุ่นให้ ยื่นคำขาดว่า ถ้าจะซื้อนุ่นจากเค้า จะต้องซื้อแบบ"เงินสด"เท่านั้น
และสถานการณ์ภายในหมู่บ้านนี้อย่างที่ทราบกันว่าการเงินเข้าขั้นย่ำแย่ ถึงขนาดต้องไปขอยืมเงินเจ้าของนุ่นเป็นจำนวนถึง2ล้าน เพื่อเป็นค่านุ่นที่จะผลิตตุ๊กตา และอีกส่วนหนึ่งเอาไปให้กับลูกบ้านที่ผลิตตุ๊กตา ซึ่งแน่นอนว่าผู้ขายนุ่นไม่ให้ยืม
หัวหน้าหมู่บ้านจึงต้องแก้ปัญหาโดยการ ลดจำนวนคนในหมู่บ้านให้น้อยลง จากคนที่เคยอยู่กว่า500หลังคาเรือน ณ ตอนนี้เหลืออยู่ประมาณ50หลังคาเรือนเท่านั้น รถที่เอาไว้ขนตุ๊กตาเองจากที่เคยมีกว่า10คัน ตอนนี้เหลือคันเดียว และลูกบ้านที่จะขับรถก็เหลือคนเดียวแล้ว(ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่าเลย) วิธีการลดจำนวนคนในหมู่บ้านคือ จำกัดการทำงาน โดยให้เงินเดือนเท่ากับเงินเดือนขั้นต่ำต่อวัน โดยให้ทำงานเพียงวันจันทร์-ศุกร์ ไม่มีโอทีทุกกรณี ใครที่อยู่ได้ก็อยู่ไป คนที่อยู่ไม่ไหวก็ขอลาออกกันไป ขณะนี้เท่าที่ทราบมาคือฝ่ายขายตุ๊กตานั้น เหลือเพียงแค่คนเดียวเช่นกัน ลูกบ้านที่ถูกส่งออกมานอกหมู่บ้าน จากที่มีหลายที่ ที่ละหลายๆคน ขณะนี้ก็ถูกยุบเหลือเพียงสองที่เท่านั้น ที่หนึ่งคือที่ที่เป็นสถานที่ขายส่งของตุ๊กตานุ่นของทุกๆหมู่บ้านจะมารวมตัวกัน ที่ตรงนี้เมื่อก่อนมีคนในหมู่บ้านนี้เกือบสิบคน แต่ปัจจุบันมีเหลือสองคน และหนึ่งในสองนั้นจะออกจากหมู่บ้านนี้ตอนสิ้นเดือนนี้ ส่วนอีกที่นึงจะอยู่ในห้างสรรพสินค้าแถบชานเมือง อันนี้ก็มีเรื่องเล่าเช่นกัน
รายได้หลักของหมู่บ้านนี้อีกอย่างหนึ่งคือ ให้เช่าพื้นที่ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ โดยมีทั้งหมด(เท่าที่ทราบ)2สาขา 1คือแถบชานเมืองใกล้คุก 2คือเลียบคลองน้ำเน่าชื่อมีอาหารใต้เป็นส่วนประกอบ โดยได้ค่าเช่าแห่งละกว่า2แสนบาท และร้านขายตุ๊กตาที่อยู่ชานเมืองกำลังจะต้องซอยห้อง เพื่อให้ได้ค่าเช่าเพิ่มเติม
บางคนอาจจะสงสัยเพิ่มเติม ทำไมช่วงนี้มีตุ๊กตานุ่นออกมาขายในตลาดบ้างแล้ว ขอแจ้งให้ทราบตรงนี้เลยครับ รายได้ที่นำมาซื้อนุ่นนั้น หลักๆคือเพราะลดต้นทุนค่าใช้จ่ายคนในหมู่บ้าน และรายได้อีกอย่างนึงคือ รายได้จากการขายตุ๊กตากระดาษ จึงสามารถนำมาซื้อนุ่นเพื่อทำตุ๊กตานุ่นได้ และขายในราคาที่แพงขึ้นกว่าเดิมเพื่อจะได้มีเงินหมุนไปซื้อนุ่นมาเพิ่มได้ สำหรับแฟนๆตุ๊กตานุ่นทั้งหลาย ถ้าอยากให้ตุ๊กตานุ่นของท่านๆทั้งหลายไม่ถูกส่งไปทะเล ก็ต้องช่วยกันลุ้นให้มีคนซื้อตุ๊กตากระดาษกันเยอะๆเพื่อจะมีเงินไปซื้อนุ่นกันนะครับ ไม่เช่นนั้นมั่นใจได้ว่า ตุ๊กตาได้ไปเที่ยวทะเลแน่นอน
สุดท้ายนี้ผมขอฝากไปถึงชาย"ในหน้ากาก"หน่อยนะครับ
สิ่งที่คุณทำอยู่นั้น คุณทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อองค์กรของคุณกันครับ
คนที่อยู่ในองค์กรมานานอย่างคุณ ผมเชื่อว่าในวงการน่ะ คุณน่าจะรู้เรื่องอยู่บ้าง สิ่งที่เป็นช่องโหว่ขององค์กรของคุณก็น่าจะทราบพอสมควร แต่คุณไม่ได้ดำเนินการใดๆเพื่อให้มันดีขึ้นเลย แล้วพอองค์กรของคุณมันแย่ มันตกต่ำ คุณก็มานั่งบ่นเหมือนตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ แต่คุณเคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นบ้างไหม คนที่เค้าเป็น"เหยื่อ"ขององค์กรของคุณ คนที่เค้าสนับสนุนคุณมา บางคนสนับสนุนกันมาเกิน20ปี แต่ต้องมาโดนหักหลังจากการกระทำแย่ๆอย่างที่คุณกำลังทำอยู่
ตัวคุณเองก็ต้องอยู่ในสถานะ"ผู้บริโภค"ในด้านอื่นๆด้วย เคยคิดไหมว่าถ้าคุณเป็น"ผู้บริโภค"แล้วเจอการกระทำของ"ผู้ผลิต" เช่นนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร ช่วยเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยนะครับ ไม่ใช่อะไรๆก็ให้คนอื่นเค้ารออย่างมีความหวัง แล้วผลัดเวลาไปเรื่อยๆ คนรอไม่มีใครเค้ารู้สึกดีหรอก อย่าให้ผมต้องพูดอะไรมากกว่านี้เลย ผมรู้ คุณก็เข้ามาอ่าน
........
ในวันนี้นิทานที่จะเขียนได้ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายแล้วนะครับ
ถึงนิทานจะจบแล้ว แต่ในชีวิตจริงยังดำเนินกันต่อไปนะครับ ซึ่งยังจะไม่สามารถฟันธงได้นะครับว่าในชีวิตจริงนั้น เรื่องราวจะจบเมื่อไหร่ แต่ถ้าถามผู้เขียนเองน่าจะเร็วๆนี้ล่ะครับ ยังไงเพื่อนๆก็ลองติดตามดูนะครับ ว่าในโลกความจริงนี้ จุดจบจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ติดตามกันด้วยใจระทึกกันต่อไป บอกใบ้ให้นิดนึงว่ามีข่าวว่าลูกบ้านที่กลับบ้านกันช่วงปีใหม่จะมีหลายคนอยู่ที่ไม่กลับมาหมู่บ้านนี้อีกแล้ว
หมดแล้ว จากที่กูอ่าน กูคิดว่ามันเป็นมุมมองของคนที่อยู่ในการการ์ตูนไทยแบบไทยๆ อย่างแท้จริง และเป็นเหลือบไรของวงการที่อาศัยมุมที่มีช่องว่างแดกโน่นแดกนี่ไปเรื่อยๆ วนเวียนกับการพิมพ์การ์ตูนเถื่อน ใช้ชีวิตกับการขายการ์ตูนมือสอง เลห์หลอกในวงการ แต่ไม่ได้มีเม็ดเงินหรือคุณค่าอะไรหมุนเวียนเข้าไปในระบบเลย เอาแต่ก่นด่าระบบจากจุดยืนของคนนอกโดยไม่คิดจะเข้าไปข้างในเลย
ก็คิดซะว่าได้อ่านมุมมองด้านอื่นมั่ง
เพื่อความสนุกสนานและเป็นสีสัน เรามาเล่นเกมทายชื่อตุ๊กตาแถมท้ายละกัน โจทย์มีดังนี้
1. ตุ๊กตาหมอป๊อก
2. ตุ๊กตาผีดูดเลือด
3. ตุ๊กตาไดอารี่แมว
4. ตุ๊กตากบ3ตา
5. ตุ๊กตาใส่หน้ากากตอนเที่ยงคืน
6. ตุ๊กตาโงกุน
7. ตุ๊กตาเด็กโข่ง
8. ตุ๊กตาครูจอมแสบ
9. ตุ๊กตาไอ้หนุ่มผมยาว
ใครตอบถูกที่สุด รับไปเลยมาสเตอร์คีตันครบชุด (ถ้ามันได้พิมพ์นะ ฮ่าๆๆๆ)
พวกร้านมือสองมันไม่ชอบเหรอที่หนังสือจะกลายเป็นของสะสมเนี่ย น่าจะขายได้ราคาดีกว่าเดิมนะ
ได้ข่าวแม้แต่สกุลไทยก็ยังไม่รอด
สมัยก่อนเคยตัดการ์ตูนเด็กในเล่มมารวมเป็นเล่มเองเลย
มีนิตยสารอีกฉบับนึงที่ขายได้100%ทุกสัปดาห์ ยอดขายสม่ำเสมอ นั่นคือนิตยสาร........จะเรียกแบบนี้ดีไหมนะ เอาเป็นว่าหนังสือแทงม้าก็แล้วกัน หน้าสนามม้าอ่ะ 555555+
ของมันขายไม่ได้ ยังมาขาย กูว่า ตรรกะเพี้ยนๆ นะเมิง
คู่สร้างคู่สม ยังขายได้อยู่ป่ะวะ
http://pantip.com/topic/35595880
ไอ้ดอกๆนั้นคือแท่นพิมพ์ห่วยหรือไงวะ
ตอนแรกกูนึกว่าเอฟเฟคแบบเศร้าๆประมาณฝนตก ต้นฉบับแม่งดำสนิทนี่หว่า
มันเกิดจากการพิมพ์น่ะ
ใบ้หวยด้วยไง. นี่ก็ขายดีสัด
หลังๆ ใบ้หวยกันทางเพจแล้วมึง
เดี๋ยวหนังสือหวยจะตามไป
เด็กขายเรียงเบอร์หายไปตรึมเลย เค้าตรวจหวยทางเน็ตกัน
เอาไว้ชาวโลกแดกข้าวดิจิตอลได้ หรือนิยมแดกแคปซูลแทนข้าวกันเมื่อไร กูจะบอกให้ญาติปิดร้านอาหารตามสั่งละ 555+
อ้าวพระเอกผู้กล้าSICไปๆมาๆจะเข้าตี้เดียวกับอาแปะVBKซะแล้ว
ร้านนี้มันเปิดมากี่ปีละวะ
เริ่มแรกเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวป่ะ เคยเห็นมีคนแซว
จะว่าไปตอนน้ำท่วมใหญ่โกดังเก็บหนังสือของสำนักพิมพ์กระทบอะไรบ้างหรือเปล่าวะ
เพราะล่าสุดที่ได้จากงานหนังสือพวกแพ็ครวมเล่มถูกๆ มักจะมีรอยบวมน้ำหน่อยๆ
>>388 ชนชั้นล่างไม่มีรายได้มากพอที่จะเข้าถึง Internet ว่ะ Notebook เครื่องล่ะเป็นหมื่น มือถืออย่างถูกๆก็ 3-4พัน ไม่รวมค่าเน็ตรายเดือน สำหรับคนรายได้น้อยแล้วมันแพงเกินไป และอีกเหตุผลคือเนื้อหาในนิตยสารระดับล่างมันไม่มีในเน็ตด้วย ข้อมูลเรื่องพระเครื่อง เรื่องผี เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ มันวงแคบอยากรู้ก็ต้องตังวงคุยกันในหมู่เซียนพระ นิตยสารพวกนี้มันเลยพออยู่ได้
ส่วนคู่สร้างคู่สมกูเคยดูรายการหมายเหตุประเภทไทยเค้าบอกว่าเป็นหัวเดียวที่อยู่ได้ด้วยเงินจากยอดขายไม่ต้องพึ่งโฆษณา คงเพราะลูกค้าหลักเป็นเมียเช่าฝรั่งไม่ก็ผู้หญิงที่อยากจับฝรั่งรวยๆ นี่ไม่ได้โทรลนะแต่พูดเรื่องจริง เนื้อหาในคู่สร้างคู่สมส่วนมากทำออกมาเพื่อแนะนำผู้หญิงที่อยากแต่งงานกับชาวต่างชาติ
คู่สร้างคุ่สมมันครอบจักวาลว่ะ มีเรื่องให้อ่านหลายแนว กูยังอ่านเลย ร้านข้าวแถวที่ทำงานเค้าซื้อไว้
คู่สร้างคู่สม เนื้อหาจุดขายคือ คู่สามีภรรยาที่รวย ชีวิตดี๊ดี + เรื่องคนรวยในต่างประเทศ
คนซื้อกลุ่มหลักกูว่าน่าจะเป็นรุ่นป้าที่เลยวัยกลางคนไปแล้วเขาซื้อมาอ่านแล้วฝันกัน
ร้านทำผมพวก เสริมสวยนี้ต้องมีประจำไว้ มันคงขายดีอยู่แล้วล่ะ
กูตลกตรงที่ ญี่ปุ่น ประเทศต้นแบบ สื่อสิ่งพิมพ์ยังอยู่ได้ คือรายได้ลดลงเหมือนกัน แต่มันยังอยู่ได้ แต่ไทยแม่งล่มแล้ว เพราะอะไร เพราะคนนี่แหละ และความไร้จิตสำนึก การไม่เข้มงวดกับการเอาจริงๆเอาจังในการตามจับลิขสิทธิ์ในเว็บมากพอ
-กูโตมากับการซื้อสะสมเป็นเล่มๆ ตอนนี้กูก็ยังชินอยู่ ยังไงกูก็ซื้อเก็บ
-แต่เด็กรุ่นใหม่โตมามีแทบเลตให้อ่านในเว็บแล้ว มันไม่เคยผ่านช่วงเวลาที่ทุกอย่างต้องซื้อ มันก็ไม่เข้าใจความสำคัญตรงนี้ ด่ากูด้วยนะว่าโง่ ซื้อทำไม หาอ่านเอาได้ เออ คิดแบบนี้แหละของลิขสิทธิ์มันถึงอยู่ไม่ได้
ไมพวกมึงไม่ลองหาข้อมูลประเทศอื่น อย่าง อินโด ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บราซิล มาบ้างวะกุเห็นมึงเอาแต่บ่นเทียบกับญี่ปุ่นทั้งที่รู้ว่าทางนั้นมันเป็นยังไง ... ไมมึงไม่ลองเทียบกับประเทศระดับใกล้ๆ กันหน่อยบ้างว่าสถานการณ์ตอนนี้พวกนั้นเป็นยังไงกันบ้าง
ยุคสฤษธิ์คนไทยอ่านกันเยอะนะ ยุคทองของวงการนิยายเพราะเผด็จการครองเมืองจำกัดเสรีภาพสื่อ ความบันเทิงหลักยุคนั้นคือนิยาย มันบูมถึงขนาดว่ามีนิตยสารรายสัปดาห์ที่ออกมาขายนิยายรายสัปดาห์โดยเฉพาะ แถมพอนักเขียนลงจนจบเรื่องก็เอามาพิมพ์ขายได้อีกต่อ
วงการนิยายไทยมาทรุดช่วงปี 2520 ตอนนั้นทีวีสีเริ่มมีทุกบ้านและธุรกิจร้านเช่าวีดีโอเริ่มบูมขึ้นมา การอ่านของคนไทยก็ลดลง
มีการทำโพลในบอร์ดโม่งรึยังวะ สนพ.ไหนจะเจ๊งก่อน-หลัง ตามลำดับ
http://pantip.com/topic/35596037
พวกขยะอ่านสแกนแล้วทำมาอวด วงการหนังสือเจ๊งต้องเพราะพวกมัน
โทริโกะโดนพวกเกรียนเห่อสแกน เอารูปมาสปอยล์พร้อมกับtextแหลกราญทุกสัปดาห์ สนพ.ก็ไม่เห็นไปขอความร่วมมือจากพันทิปเลย
ไอ้ห่าน aya+eve ก็หน้าด้านสปอยต่อเพราะกลัวสาวกจะหาย
สวะจริงๆ ไอ้ห้อยไอ้โหนใช้การ์ตูนดีๆเป็นเครื่องมือหาสาวก
บากิ ก็โดนแม่งทุกสัปดาห์ กลายเป็นคนรอดูกระทู้สปอยล์ฮะๆมากกว่ารอซื้ออีก
แล้วอย่าง tokyo ghoul re นี่มา text ทั้งตอนนี่ไม่มีปัญหาไรเรอะ เห็นมาทุกสัปดาห์
พวกเหี้ยนี่ น่าขยะแขยงว่ะ
คนไทยไหลตามน้ำเรอะพวกมึง
อย่างนี้ต้องตั้งห้องประจานศาสดาจอมปลอมพวกนี้แล้วฮะ
ปล่อยไว้เป็นพิษภัยต่อวงการมังงะมากๆ
VBK แค่ดูดีขึ้นจากก่อนหน้า ยังห่างไกลกับคำว่ารอดเยอะ
Ned นี่กูว่าล้มแล้วล่ะ นอนนี้คลานอยู่
TKO มันนอนในหลุมมานานแล้ว
SIC ตอนนี้แข้งขาเริ่มอ่อนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
>>434 มีมู้นินทาในห้อง Netwatch อยู่ เมื่อก่อนก็คุยกันเยอะนะ แต่เดี๋ยวนี้ตันที่มู้6 กูว่าอย่าไปให้ราคามันเลย ทำเมินๆไป พวกสวะนี่ต่อให้ไม่มีสแกนยังไงก็ไม่ซื้อของลิขสิทธิ์หรอก
>>422 เอาเข้าจริง ที่ตลาดหนังสือบูมช่วงเผด็จการเพราะสื่อทางเลือกมันน้อยด้วย ทีวียังเป็นขาวดำแถมยังแพง สมัยนั้นร้านกาแฟมีไว้เพื่อเรียกลูกค้าเลยนะ ให้คนมานั่งกินกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าวจากทีวีในร้าน(กลายเป็นสภากาแฟ) สื่อบันเทิงราคาถูกคือนิยายนี่แหละ แล้วนักเขียนนิยายชั้นครูของไทยผลิตผลงานในยุคนั้นออกมาเยอะมาก ส่วนNon-fiction ก็บูมนะ แต่ไม่ใช่หนังสือเล่ม จะเป็นพวกหนังสือทำมือที่นักศึกษาทำขายกันเองถ้าเคยอ่าน "แล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฎ" ช่วงนี้คือยุคทองของพวกชนชั้นกลางพวกนักศึกษาเลย
พอมาตอนนี้สื่อบันเทิงมันมีทางเลือกมากขึ้น ความบันเทิงจากนิยายเลยกลายเป็นกลุ่มเล็กๆ นิยายที่ยังพอขายได้ก็พวกนิยายรักแจ่มใสขายสาวน้อยมอ้น กับพวกนิยายแปลจีนที่มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่อนักอ่านไทยค่อนข้างมาก ที่เหลือก็แทบไม่รอด
ส่วน Non fiction ก็ยังพอไปไหว(มั้ง) ทั้งสนพ.เล็กๆอย่าง Openwolrd Welearn ก็เห็นออกหนังสือแนวสารคดีหัวใหม่เรื่อยๆ ถึงไม่เยอะแต่ก็ขายได้ งบการเงินของ Welearnก็ได้กำไรมาตลอด ผิดกับค่ายใหญ่อย่างมติชนที่ติดลบ
ปล. เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ซีรี่ย์เรื่องเล่าจากร่างกายของ นพ.ชัชพล เกียรติขจร เป็นซีรี่ย์ Non-fiction ที่พิมพ์มากว่า10ครั้ง น่าจะขายได้เป็นหมื่นเล่ม แปลว่าคนไทยจริงๆก็ชอบการอ่าน เพียงแต่นักเขียนต้องเก่งพอที่จะเขียนเรื่องยากๆให้เป็นภาษาเข้าใจง่าย
>>443 หนังสือของมติชนถ้าไม่ใช่แปล กูว่าเอียงซ้ายมากไป ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่ตีความข้อมูลออกไปทางนั้นเกิน คนเลยไม่ค่อยชอบ บางอันกุก็อ่านเพื่อเปิดมุมมองใหม่ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยน่าอ่านเท่าไหร่ โดยเฉพาะศิลปะ-วัฒนธรรมที่ยิ่งมายิ่งเอียง กูก็มีแนวคิดแบบ liberal แต่การเอามันมาตัดสินความในประวัติศาสตร์กูว่าเลอะเทอะ เอาค่านิยมของสมัยนี้ไปตัดสินคนในอดีต ผิดฝาผิดตัวจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นอ.
แอดมินเพจvแม่งก็มีความอดทนดีนะ ไม่แบนไอ้ลูฟี่กูยังเฉยๆเพราะถึงมันจะแซะแต่อย่างน้อยมันยังไม่ด่าแบบหลุดคำหยาบมา
แต่ไอ้cนี้แม่งไม่ใช่ละด่ากราดไปหมดแถมหลุดคำหยาบมาเต็ม ไม่คิดจะทำอะไรสักหน่อยหรอ
vbk พักนี้ออกรัวจังแหะ วันจันทร์ก็ qed ก็ออก
>>444 กูมองว่าหัว ศิลปะ-วัฒนธรรม มันเป็นอีกด้านของประวัติศาสตร์ที่ไม่มีในตำราเรียน
อย่างหนังสือการเมืองการทหารไทยในสมัย ร.6 ก็ไม่ได้เล่าเรื่องแบบมีอคติ ก็แค่รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ช่วงนั้นมาเรียบเรียงให้คนอ่านฟัง
อย่างประโยค "จะยอมแพ้เพราะผีหัวขาดไม่ได้" ทำเอากู WTF มาก คือเปิดโลกให้กูเลย(จากที่ปรกติก็หัวซ้ายอยู่แล้ว) ว่าเสือป่ามันก็แค่เกมตำรวจจับโจรที่เด็กๆเล่นกัน ส่วนนายในกูอ่านแล้วยอมรับว่าคนเขียนมีอคติจริงๆ เหมือนจะพยายามเปิดประเด็กว่าเกย์ให้ได้
>>445 ก็ถูกแล้วนิ จะไปแบนไอ้หมวกฟางมันทำไม เค้าคงไม่ให้ราคาหรอก เกรียนธรรมดา พอไม่ออกเล่มมาด่า พอออกเล่มก็ด่า สรุปคือมันจะด่าให้ได้ไง เขาถึงไม่สนใจ ส่วนไอ้พวกปากหยาบๆมันก็ประจานตัวมันเองอยู่แล้ว ใครเห็นใครก็คงส่ายหน้า คนเรามันปูมหลังไม่เหมือนกันอ่ะนะ ถ้ากูเป็นแอดมิน แทนที่จะแบน กูปล่อยทิ้งไว้ประจานว่าใครโพสต์อะไรยังดีกว่า
ถ้าไม่โลกสวยมากก็น่าจะรู้นะว่ามันมีงบพิเศษถึงทำการ์ตูนได้มากกว่าเจ้าอื่นๆมาตลอด ทั้งที่แม่งก็บอกขาดทุนๆแต่ดันเอาเงินมาถลุงได้
พอไอ้งบพิเศษนั่นหายไปอาการมันเลยออกทันที
สยามยังมีแบล็กดี
ดูคำนำของนิยายจีนก็รู้ว่าใครแนะนำ
แต่จะโอเวอร์ออกแบบเดิมไม่ได้แล้ว เพื่อนโม่งก็รู้ๆว่ายอดขายในส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ตกกว่าปีที่แล้วเกือบ 40%
และออกจะแปลกที่สแกนเถื่อนนี่จ้องค่ายนี้เป็นอันดับแรกๆ อย่างนิยายจีนนี่โดนทุกปก
พวกมึงไม่ต้องห่วง เดี๋ยวอมรินทร์xคาโดคาว่ามันมากอบกู้วงการเอง
ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดีทั้งโลก มันจะยอมทนเจ๊ง 2 ปีเหรอ
ทำไมพวกมึงคิดว่ามันไม่มีอนาคต ?
สองปีกูก็ว่ายาก ถ้ามันคิดจะอยู่ในตลาดจริง มันก็ต้องทำตามสภาพตลาดตอนนี้แหละ ไม่มีพระเอกขี่ม้าขาวมาหรอก
ทีมงานระดับทอป
สายส่งระดับทอป
โรงพิมพ์ระดับทอป
นะมึง
คราวนี้อาจได้เห็นทุกค่ายดองหนังสือออกใหม่มาขายรวดเดียวในงานหนังสือก็ได้
เห็นออกกันกระปริดกระปอยเหลือเกิน
สิ่งพิมพ์อนาคตยังไงก็ไม่รอด มันมีคนจำนวนหนึ่งจะยังซื้ออ่านอยู่ แต่ว่าจะมากำไรอื้อซ่าแบบเมื่อก่อนมันเป็นไปไม่ได้ หมดยุคแล้ว สำหรับพวก sic vbk ned ก็มีแค่ 2 ทาง ลดระดับมาเป็นแค่ sme ทำแค่ไม่กี่เรื่องเหมือน LP ออกเฉพาะงานหนังสือ ยังเงี้ยอยู่ได้ แต่ถ้ารับตัวเลขปัจจุบันไม่ได้ เคยได้เท่านี้ไม่ได้เท่าเดิม ไม่อยากทำต่อก็ต้องเลิกกิจการ
สิ่งพิมพ์ยังไม่ตายหรอก จนกว่าจะยกเลิกตำราเรียนหนังสือภาคบังคับโน่นอ่ะ
ก็เหมือนวงการสิ่งทอ ตัดเย็บผ้าไทย ที่ไม่สะเทือน ถ้ายังบังคับนักเรียนนักศึกษาแต่งชุดเครื่องแบบ(กูขี้เกียจดราม่าแต่งชุดนักเรียนไม่ต้องเถียงตรงนี้นะ)
หนังสือที่ยังซื้ออยู่ คือพวกตำรานี่แหละ ประมวลงี้ สามสี่ร้อยหน้าซื้อเอาดีกว่า
พวกตัวอย่างฎีกาแบบย่อก็ต้องซื้อหาเอาเหมือนกัน
C-Kids เล่มใหม่มันจำนวนหน้าการ์ตูนไทยกับการ์ตูนปุ่นแบ่งเป็น 50:50 แล้วนี่หว่า
>>475 สิ่งพิมพ์น่ะตราบใดที่ยังต้องใช้พวกฮาร์ดก็อบบี้ที่เป็นภาษาไทยอยู่ มันก็ยังไม่ตายหรอก
พวกเอกสาร แท็กซ์ กฎหมาย หนังสือพระที่มันหนาๆ มันไม่มีคนเอามาทำเป็นซอร์ฟก็อบปี้เหมือนเมืองนอก
ส่วนสิ่งทอ ไอ้ที่จะทำให้วงการตายน่ะมันพวกโมเดิร์นเทรดใหญ่ๆ ชุดนักเรียนที่ขายตามห้างดังถูกๆน่ะ ถ้าไม่ใช่พวกมียี่ห้อไม่ได้ผลิตในไทยหรอกนะ
ตลาดชุดนักเรียนมันตายไปนานแล้ว
ตลาดที่ทำให้สิ่งทอไทยยังพออยู่ได้คือพวกยูนิฟอร์มกับพวกแฟชั่นราคากลางๆ-สูงต่างหาก
ทุกวันนี้ต้องยอมรับเอกชนไทยเม่งเก่งพอตัวเลยกัดฟันสู้โดยไม่มีรัฐบาลช่วยเลย ที่จีนรัฐเม่งช่วยตั้งแต่ภาษีไปยังเรื่องโลจีสติก
ถ้าไม่ปิดสนพ. ก็ต้องปรับตัว หาทางทำยังไงก็ได้ให้คนซื้อหนังสือมากขึ้น เป็นกูก็ไม่ทำต่อหรอก เหมือนเอาเงินไปทิ้ง เสียดายสัส สู้เอาไปทำอย่างอื่นได้กำไรดีกว่า ไม่รู้ว่าผู้บริหารไม่มีความสามารถมากพอหรือวงการมันจะตันแค่นี้จริงๆ กูพยายามย้ายตลาดอยู่ จะได้ไม่ต้องกังวลว่ามันจะปิดไม่ปิด สัสเอ้ย
อย่าง lp นี่ไม่มีวี่แววจะเจ๊งเลยนะ
เดินงานหนังสือเห็นพวกคุต่อแถวซื้อกันเหมือนฝูงควายถูกต้อน เจ๊งยากๆ
>>483
สภาพอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์มันเป็น sunset แล้ว จะมาหวังรายได้แบบตอนฟู่ฟ่าไม่ได้หรอก
ตราบใดที่ผู้บริหารระดับบน - เจ้าของ ยังฝันหวาน มองว่าจะมีรายได้แบบสมัยก่อน ใช้จ่ายแบบสมัยก่อน ก็มีแต่ตาย
โดยเฉพาะไอ้พวกตัวใหญ่ๆเก่าๆ ที่อุ้ยอ้ายปรับตัวยากจะไปก่อนใคร บางทีผู้บริหารเก่งเจอโจทย์แบบนี้ก็คางเหลืองนะ
สิ่งพิมพ์อาจไม่ถึงกับตาย แต่คงไม่โตแล้ว หดขนาดลงเรื่อยๆ
พวกที่เหลือรอดไปได้ในช่วง 2-3 ปีนี้ คงพออยู่ตัวไปเรื่อยๆได้
>>486 มันไม่เจ๊ง แต่มันไม่ได้ขายดีมากหรอก อย่าวัดจากงานหนังสือ ตลาดของ LP มันแคบ เด็กมัธยมบางกลุ่มมองว่าการ์ตูน LP มันตุ๊ด (กลุ่มนี้คือพวกที่ชอบอ่านการ์ตูนจัมพ์ ซึ่งตอนนี้หันไปอ่านแสกนกันแทน) ร้านทั่วๆไปไม่ค่อยเอามาวางหรอก แต่กลุ่มลุกค้าของ LP ค่อนข้างจงรักภักดี พร้อมจ่าย ชอบสะสม พวกนี้ได้รับผลกระทบจากแสกนน้อยหน่อย
Vbk 70 บาทแว้ว
เบอเซิกนี่คงเล่มละร้อยแหง
ทำแบบ S สิ พูดหล่อๆ เข้าไว้ จริงไม่จริงก็ช่างมัน เดี๋ยวติ่งก็อวยเอง
ปรับตัวออกอีบุ๊คก็ถูกแล้ว มันต้องทันโลกหน่อย ดีกว่ายึดมั่นความคิดตัวเองเกิน คิดว่าแน่ สุดท้ายต้องขายทิ้ง พวกที่ด่านี่มึงไม่เข้าใจโลกธุรกิจรึ
มีแต่คนบอกให้ปรับตัวออก ebook กูละอยากให้สำนักพิมพ์มาแฉยอด ebook จริงๆ เล้ย
ขายได้ถึง 100 เล่มเปล่าว่ะ eบุ๊กเนี่ย
ฤทธิ์ดาบไร้ปราณีกับลูกผู้ชายพันธ์ผยองมีอีบุ้คด้วย ดีจัง
กุสงสัยว่าทำไมติ่งv ในนี้ถึงได้ชอลแขวะค่ายs จัง มันมีเรื่องอะไรกันมาก่อนป่าวหว่า
เพราะบังยี
วันนี้ว่างๆ ไปเดินร้านหนังสือห้างแถวบ้านดู หลังจากที่ไม่ได้ไปเดินซะนาน พบความเปลี่ยนแปลง หลายอย่าง
- หนังสือ boylove เต็มชั้น ทั้งไพเรทและ ถูกลิขสิทธิ์
- เดิมทีร้านนี้มันจะลด 10% ตอนนี้ขายตามปกไม่ลดซักบาท
- ไม่เจอหนังสือเล่มใหม่ๆ ของ vbk
สุดท้ายกูก็ซื้อมาพอประมาณ กลับมาพบว่าหนังสือค่าย LP เล่มใหม่ๆ มันไม่มีหิมะตกแล้ว หมึกดำสนิท
ไม่ด่างแถมไม่มีหิมะ กระดาษขาวขึ้น ทั้งๆ ทีเดือนก่อนแม่งกระดำกระด่างหิมะตก 0_o
ส่วนหนังสือค่าย siam lot ล่าสุดสิ่งที่กูสงสัยคือ สงสัยเครื่องเข้าเล่มมันเสียล่ะมั้ง รอยกาวสันปกไม่เป็นเส้นเรียบเหมือนแต่ก่อน
ดู >>506 มึงเห็นภาพแล้วใช่มะว่าเป็นไง หมอนี่ก็วนเวียนอยู่แถวนี้ตลอด กูไม่เข้าใจว่ารักหรือเกลียดกันแน่
มันก็เคยโดนด่ากันทุกเจ้าแหละ ขนาดเทวดาหมื่นสาวกอย่าง LP ก็ยังโดนด่า แต่การด่า VBK ในพันทิปส่วนนึงมันเป็นกระแส แข่งกันด่า แข่งกันแซะ ไม่เกี่ยวเหี้ยอะไรก็แซะ นำโดยเซเลบขาใหญ่หลายๆคน กรณีเดียวกันพอเป็นเจ้าอื่นจะเฉยๆ แต่กูไม่ได้บอกว่า V ไม่ผิดนะ เหี้ยอะไรหลายๆ อย่างมันก็งี่เง่าสมควรโดนด่าแหละ
ตาม >>507 เรื่องโดนด่าโดนทุกค่าย แต่ V มันจะโดนขุดตลอด เรื่องเก่าแค่ไหนก็โดนขุดมาด่าได้ ขณะที่ค่ายอื่นๆโดนแล้วก็จะจบไป
เวลามีกระทู้ด่าค่ายอื่น V แม่งก็มักจะโดนขุดมาด่าด้วยในกระทู้นั้นตลอด
อย่างปกฮายาเตะ เนี่ยเป็นอะไรที่โดนบ่อยมากๆ ขณะที่ S เป็นค่ายที่มีปัญหาปกเยอะกว่าแต่โดนด่าแล้วก็จบไป
เลยกลายเป็นด่ากันเอามันเอาสนุกเป็นกระโถนไป
โดนด่าแล้วจบตลกชิบหาย 10 ปีก่อน S โดนด่าทุกกระทู้ที่มีการเปรียบเทียบสำนักพิมพ์เลยมึง มึงต้องไปถามก่อนสิวะ ว่าช่วง 10 ปี ไอ้ V มันทำห่านอะไรทำไมคนยังขุดมันมาด่าอยู่ แล้วไอ้ S มันทำห่านอะไรทำไมมันโดนด่าน้อยลง ไม่หัดยอมรับในสิ่งที่เกิดแล้วมึงก็จะเอาแต่คิดว่า มันเป็นกระแส มันเป็นโน่น เป็นนี่ชาตินี่ V ก็โดนด่าไปตลอดกาลนั่นละ
เรื่องปกไส้ในวันพีซที่โรบินสองคนไปถึงไหนแล้ววะหรือจบแล้ว
เออ กุจะรอดูเรื่องปกวันพีซ ว่าแม่งจะโดนแซะโดนขุดตลอดกาลแบบฮายาเตะมั้ย 555
ติ่ง v มันก็โง่เนอะ เสือกไปเชื่อว่าสนพ มันจะพิมพ์ปกฮายาเตะมาให้เปลี่ยน
ดูจากรากเหง้าสนพ ที่เกิดมาจากโจรละเมิดลิขสิทธิ์ พูดอะไรมาก็เชื่อไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
กี่กระทู้ก็วนเวียนแต่เรื่องหัวควยนี่แหละ แขวะVแขวะS พวกมึงก็ติ่งพอกันแหละไอ้ส้นตีน ห้องการ์ตูนจะคุยกันเรื่องการ์ตูนให้มันดราม่าน้อยๆหน่อยไม่ได้รึ ผลัดกันด่าสนพ.แล้วก็แขวะกันเองจะได้เหี้ยอะไร บางทีคนเค้าปูเรื่องมาดีๆก็มีติ่งหัวควยพวกนี้มากัดกัน ถุย
>>518 อยากคุยเรื่องมังงะ ไปที่ >>>/animanga/2985/ ครับ กระทู้นี้มันมีไว้ด่าบริษัทอยู่แล้ว
>>519 พูดคุยและวิจารณ์ เล่มหนังสือมังงะ สนพ. และร้านค้า vol.6
คุยเรื่องหนังสือการ์ตูนที่ห้องนี้ไม่น่าผิด กูเห็นเค้าคุยเรื่องสถานการณ์สิ่งพิมพ์กันอยู่ดีๆ แต่ที่ผิดคือพวกติ่งบางตัวไม่ได้วิจารณ์สนพ.ไง มันด่าทำนองระบายปมในใจส่วนตัวกับสนพ.มากกว่า ด่าเฉยๆก็ยังดี เดี๋ยวก็คงจบๆไป แต่นี่มีถึงขั้น คนอื่นพูดโน่นนี่บ้าง แมร่งมาด่าอีกฝ่าย จะบ้าเหรอ พวกแมร่งด่ากันเอง สนพ.มันจะมาเดือดร้อนเต้นเร่าๆเพราะพวกแมร่งไหม แมร่ง
โคตรกระบือ
จะดีที่สุดคือ ใครอยากด่าสนพ.ก็ด่าไปเป็นการส่วนตัว ให้มันจบๆไป อย่าเสือกไปด่าคนอื่นที่เขามาโพสต์ แค่นี้ทำไม่ได้อย่าไปอยู่ในประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยเลย ไม่งั้นแม่งได้ยาวเป็นสิบๆร้อยๆเม้นท์ก็ไม่จบ วนอยู่ในอ่างอย่างงี้แหละ ควายตัวไหนมันเกรียน ก็อย่าไปเกรียนตอบมัน ปล่อยมันเห่าไป เดี๋ยวมันก็เงียบ ขืนต่อปากต่อคำ มันก็เลียปากพวกมึงอยู่นั่นแหละ
สมมติว่า v ได้กูลre ไป จะกล้าขาย 50 เเบบสยามไหมครับ
ถุย
ที่ด่าs ในนี้ เพราะหมั่นไส้กับอคติอยากเอาชนะพวกหมื่นทิพสินะ สินะ ข้างบนไม่ไกลมากกุเห็นมีตัวเปิดมาแซะsก่อน อีกตัวก็มารับลูกอย่างรวดเร็ว สนุกสนาน เฮฮาเชียวนะครัช ตอนนี้ทำเป็นเครียด
ขอบ่นมาก ส่วนตัวกูนะ
S อยากให้มันออก ebook เยอะกว่านี้หน่อย เยอะแบบ vbk ได้ก็ดี เพราะมันลดคุณภาพเพลทเครื่องพิมพ์ล่าสุดที่ซื้อมาชัดเลย
ภาพแตกเพราะเพลทกาก กาวเยิ้ม ถ้ามีทางเลือกแบบดิจิตอลครบทุกเรื่อง ต่อให้ราคาเท่ากับกระดาษ กูคงกดแบบดิจิตอลทันที
เพราะช่วงหลังมานี่บางเรื่องนี่พิมพ์ออกมาคุณภาพแย่มาก ภาพแตก
VBK หนังสืออยากให้มันเอามาขายร้านปรกติบ้าง ช่วงหลังเหมือนมันไม่ค่อยส่งไปร้านหนังสือทั่วไปเท่าไหร่แล้ว ส่วน ebook ดีแล้วที่ทำออกมา
เพราะอย่างน้อยก็ไม่อยากเก็บแบบกระดาษทุกเรื่อง แต่ถ้า ebook มันลบคำเซ็นเซอร์ออก สำหรับกูคงกดซื้อเล่มเก่าๆ ไปหลายชุดแล้วเหมือนกัน อย่างน้อยๆ คงกด เนกิมะ กับ Air gear ไปล่ะทั้งๆ ที่มีแบบเล่มแล้ว แต่นี่แม่งควับคว้างมาครบหมด ความรู้สึกอยากซื้อหดหาย
LP ถ้ามันออกแบบพิมพ์ล่าสุดได้เสมอต้นเสมอปลายก็ไม่มีอะไรให้ด่ายกเว้นตัดกระดาษเบี้ยวไปนิดหน่อย ถ้ามันขาย 70 หรือ 80
เท่า DEX ด้วยคุณภาพนี้กูก็ว่ามัน ok ระดับนึงอยู่ เพราะเพลทใหม่คุณภาพ พิมพ์ชัดไกล้ญี่ปุ่นอยู่ แต่ส่วน ebook ค่ายนี้กูอยากให้มันออกเยอะๆ มากที่สุดเพราะปกหลายๆ เรื่องเวลาถือในที่สาธารณะ มันทำใจลำบาก แถมเวลาไปซื้อร้านแม่งก็ให้แต่ถุงใส
บงกซ สำหรับค่ายนี้เฉยๆ ว่ะ เพราะมันทำได้ครบทุกอย่างที่กูต้องการอยู่แล้ว
กูจะบอกอะไรให้นะ มึงจะแขวะ V เท่าไหร่ก็ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก เพราะติ่ง V แถวนี้มันไม่ได้เป็นติ่ง V จริงๆ มันแค่เกลียด SIC เฉยๆ
แล้วกูสังเกตอย่างนึงนะ ติ่ง SIC แม่งจะมีปฏิกริยากับคำว่า "เซเลบพันทิป" หรือ "ด่าตามกระแส" อะไรทำนองนี้มาก พอได้ยินปุ๊บจะดิ้นมาด่า V อย่างกับศัตรูฆ่าพ่อ สงสัยจังเลยน้อว่าทำไม
กูถึงบอกไงเรื่องความชอบความเกลียดมันเป็นเรื่องส่วนตัว จะด่าสำนักพิมพ์ไหนก็ด่าไป พูดไป แต่"พยายาม"อย่าไปด่าคนอื่นที่มาโพสต์ ไม่งั้นมันก็จะด่าตอบกันเรื่อยๆไม่สิ้นสุด เหมือนบอร์ดประมูลสมัยก่อนน่ะแหละ คุยกันดีๆก็ได้ พวกมึงโตๆกันแล้วนะ
>>526 ถ้าเอาตามความรู้สึกกู Sมันไม่เคยเดินเกมนำชาวบ้านเลยนะ รอชาวบ้านเสี่ยงก่อนตลอด แต่ไหนแต่ไรแล้ว จะให้มันทำอีบุ้คเยอะๆ ยอดอีบุ้คของค่ายอื่น หรือของมันเอง แม่งต้องแสดงให้เห็นว่าคุ้มค่าก่อนอ่ะนะ
กฎหมายอีบุ้คมันยังไม่โหดเท่าแบบเล่ม เรื่องเซ็นเซอร์ที่จริงVมันน่าจะลดลงในฉบับอีบุ้ค แต่คาดว่าคงไม่ทำมั้ง จะเสียเวลาลบออกทำไมอีก ในเมื่อใส่หมอกไปแล้ว
ส่วนLกูคิดว่าไม่น่าขายหนังสือราคาแพงเกือบเท่าdได้ ที่จริงอยากให้dออกหนังสือเยอะๆเลย เพราะรูปเล่มแม่งใหญ่สะใจดี ยัดใส่ชั้นวางแล้วรู้สึกฟิน แต่เท่าที่ตามข่าวก็เห็นdทำอีบุ้คแล้วด้วย
Bไม่ได้อ่านของมันสักเล่ม ตั้งแต่มันเปิดสนพ.แล้ว ของดคอมเมนต์ใดๆ
Nตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว ถ้าไม่มีOPMออกมาก็คงไม่ต้องเสียเงินให้มันอีก
จะว่าไป nida publishing คิดว่ามันจะอยู่ยืดไหมวะ เคยซื้อมาเล่มนึง cos chu อะไรนี่ล่ะ พิมพ์ดีกระดาษดีแต่เซ็นเซอร์อุบาว์ทมาก
ควับคว้าง มาเต็ม เจอไปอย่างเซ็ง สำหรับกูแค่เล่มเดียวพอ เซ็งมาก -__-
ที่เห็นในนี้ก็มีแต่นักอ่านทั่วไปกับติ่ง v
ติ่งค่ายอื่นไม่ค่อยมาดิ้นเป็นพยาธิเท่าไหร่
ติ่ง V ต้องแบบคห.1คับ มาตอบได้ทุกกระทู้ที่เห็น ถถถ
http://pantip.com/topic/35607684
นิด้ากลับไปขายตุ๊กตุ่นอะดีแล้ว นำเข้าตุ๊กตุ่นจากโคโตมาขายแบบไม่แพงให้ได้กุก็ฟินและ
จะว่าไปที่กูรำคาญพวกด่า VBK อาจเพราะไอ้พวกด่าไม่มีสาระแบบไอ้ลุงต้นไม้นี่ก็ได้มั้งเนี่ย
เฮทเตอร์ข้างๆคูๆทำให้เกิดแฟนบอย สัด
ลุงต้นไม้นี่กูรู้สึกเหมือนเจอตั้งแต่เว็บก่อนที่จะมาเป็นCartoon.co.thอีกวะ เว็บนั้นแม่งชื่ออะไรลืมไปแล้วก่อนมาเป็นเว็บนี่แล้วก็เจ๊งไป
ลุงต้นไม้น่ะเหรอเป็นเฮทเตอร์กะโหลกกะลา ที่ชอบเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆหรือเหตุผลโง่ๆมาด่าเรื่องที่มันไม่ชอบอยู่เรื่อย
ม่มีคนพูดเรื่องที่บูรพัฒน์มันพิมพ์ไซอิ๋วเวอร์ชั่นเถื่อนเองเลยเหรอวะ
รู้ได้ยังไงว่าเถื่อน ใครบอก
กูเบื๊อเบื่อพวกไม่รู้จักหาข้อมูลแล้วมั่วไปเรื่อย จนเค้าลือกันไปทั้งบาง
เรื่องมันมีอยู่ว่า มีคุมาบ่นในกลุ่มตูนว่า Vขายคินดะอิจิภาคแรกฉบับพิมพ์ย้อน เล่มละ190บาท แล้วก็ด่ากันยาวเหยียดในกลุ่มการ์ตูน
สุดท้ายกูเข้าไปดูรูปปก ควย! ฉบับนิยาย -*-
แสดงพวกแม่งไม่ได้ซื้อแล้วทำเนียนมาด่าว่าเค้าขึ้นราคาคินดะภาคแรกฉบับพิมพ์ย้อนเนี่ยนะ ว่าแต่ภาคแรกมันพิมพ์ย้อนซะที่ไหน
อ้ะ ไปไว้อาลัยC-Kids และวงการมังงะในเมืองไทยกันอีกกระทู้
http://pantip.com/topic/35613706
เวลาเล่นเว็บบอร์ดถ้าเจอสมาชิกใช้รูปตัวตูนจากLN,เมะ,มังงะ โม่ยๆ มึงจะรู้สึกว่าเจ้าของล็อกอินแม่งโม่ยด้วยไหมวะ
มีลุงคนนึงอายุ 40 กว่าๆ ใช้รูปมินเนี่ยนตัวเหลือง
http://pantip.com/topic/35613706 ********** ปิดตำนาน C-KiDs **********
อ่านคอมเมนท์แล้วพันดริฟท์นี่เต็มไปด้วยคนดีจริงๆ
เอาไรกับพวกนี้ ปลิงอ่านสแกนแล้วมาสปอยเรียกสาวกแบบ aya + eve ยังเป็นเซเลปที่น่านับถือเลย
เอ่อ ไม่สังเกตรึ พักหลังมีไอ้ห่าหน้าใหม่โนเนมตัวนึง ตั้งมู้ปรีวิวการ์ตูนรายสัปดาห์รัวๆเลย พอตัวเต็มมาก็เอามาสปอยล์ต่อ โคตรจังไรอ่ะ แหล่งที่ไปขุดก็มีทั้งจีนเกาหลีeng คือมึงอ่านเงียบๆคนเดียวก็ไม่มีใครว่านะ จะปรีวิว+สปอยล์ ด้วยของเถื่อน โชว์เหนือหาควยอะไร
"เสียดายครับ ซีคิดกับบูมทำให้ผมรู้จักคำว่าลิขสิทธิ์ กลับต้องมาตายเพราะสื่อไร้ลิขสิทธิ์ อยากรู้ว่าไอ้เพจโจรสลัดอะไรนั่นจะแชร์ข่าวครั้งสำคัญของวงการครั้งนี้บ้างรึเปล่า "
Aya+EVE
หล่อแบบไม่อายหมาเลย สงสัยกำลังหาเมียผ่านทางเว็บบอร์ดอยู่
พวกทำสปอยล์หนักๆในบอร์ดที่มีคนเล่นเยอะๆ แม่งก็มีส่วนกระทืบวงการLCไม่ต่างจากพวกเอาลิงค์สแกนมาแจกหรอก
เอาแค่บากิรวมเล่ม คนรอบตัวกูเลิกซื้อกันสักพักแล้ว พอถามว่าทำไมเลิกวะ
มันบอกอ่านสปอยล์ในพันทิปก็รู้เนื้อเรื่องคร่าวๆแล้ว ซื้อมาอ่านก็ไม่มีอะไรเซอร์ไพรซ์ เพราะช็อตเด็ดถูกสปอยล์เละเทะหมดแล้ว
ตกลงเครือสยามเจอวิกฤติอะไรจากวงการบอลวะ กุไม่ดูบอล ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
http://pantip.com/profile/151169#comments
ดูกระทู้ที่มันไปเม้นต์ก็รู้แล้วไอ้ห่านี่ปลิงตัวพ่อ ทั้งสแกนทั้งเมะ
>>577 http://www.posttoday.com/sports/football/420619
สยามเป็นฝ่ายของ วรวีร์ อดีตนายกฟุตบอล และ อดีตสมาชิกฟีฟ่า แล้วทีนี้ วรวีร์ ดันเจอฟีฟ่าเล่นงานแบนรัวๆ ทำให้ต้องออกจากตำแหน่งนายกสมาคม สยามกีฬา ก็ดันทำตัวเป้นลูกไล่เกินกว่าเหตุด้วยการสนับสนุนอย่างโน้นอย่างนี้ โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วพอต้องเลือกนายกใหม่ ฝ่ายตรงข้ามรวบรวมเสียงได้มากพอจนได้เป็นนายกสมาคมแทน สยามที่ดันเลือกข้างสุดลิ่มเกิน สุดท้ายเลยเจอขั้วใหม่ปลดเรียบจากการเป็นผู้ถือสิทธิ์บอลไทยไปเลย อ้อ แต่มันไม่ได้นึกปลดก็ปลดนะ แต่เพราะ สยามทำเซ็นสัญญากับสมาคมแบบงี่เง่ามีลับลมคมในด้วย เพราะข้อสัญญาที่เขียนเอาไว้ไม่เป็นประโยชน์กับสมาคมเลย ก็เลยเจอสาเหตุให้ถูกปลดโดยฟ้องกลับอะไรไม่ได้
กุว่าพวกพูดอ่านสปอยก็พอไม่ต้องไปซื้อ มันแค่ข้ออ้างว่ะ จริงๆ กุว่าต่อให้มันไม่อ่านสปอยแม่งก็คงไม่อยากซื้อ แล้วหาทางอื่นอย่างอ่านที่เว็ปแสกน eng อ่านอยู่ดีเชื่อได้เลย เพราะถ้าแม่มคิดจะซื้อก็ไม่จำเป็นต้องอ่านสปอย หรือ อ่านไปยังไงก็ซื้ออยู่ดี
ก็ยังมีไอ้โง่มาบอกออกให้ทันญี่ปุ่น ออกให้ก่อนเถื่อนสิ...
เถื่อนมันออกก่อนญี่ปุ่นอีกไม่ใช่เหรอ
บล็อคญี่ปุ่นเว็บบอร์ดญี่ปุ่นรีวิวสปอยล์มังงะออกเยอะหนังสือยังขายได้ อ้างแบบนั้นก็แค่เหตุผลดริฟต์ๆเข้าข้างตัวเองแหละ
ไอ้กระทู้สปอย ส่วนตัวมองว่าทำได้นะ มันเป็นการหาเพื่อนคุยแบบนึง ก็ติด tag spoil อะไรให้เรียบร้อย คนชอบอ่านก็เข้าไปอ่าน
>>582 ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า สปอยล์บากิมันทำให้ตลกขบขันกว่า เล่มต้นฉบับ จนคนสนใจกดอ่านกันเยอะ ขนาดกูไม่เคยอ่านบากิ ได้ยินแค่ชื่อตัวละครมาบ้าง พอกูกดดูกระทู้สปอยล์บากิ(มันติดกระทู้เด็ดประจำสัปดาห์บ่อยๆ)ก็ยังรู้สึกขำกับมุกคนสปอยล์ แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่า ทำแบบนี้มันเยอะเกินไป ใช้รูปเยอะมาก ถึงมันจะเชียร์ให้ซื้อของลิขสิทธิ์ก็เถอะนะ
แล้วพวกสปอยล์นิยายแบบเอารูปลงหมดเล่มล่ะ... ถึงจะอ้างว่ารูปนับเป็นไม่กี่หน้าก็เถอะนะ
บากินี่ภาคก่อนๆ อ่านใน viva เลยไม่ซื้อเล่มเก็บ
มาภาคนี้นี่ซื้อรวมเล่มเพราะความฮากับโมโตเบะเลย
>>582 ต่ออีกนิด ลืมตอบ พวกเพื่อนกูมันไม่ได้สนใจการ์ตูนอะไรมากมายแต่แรกแล้ว คือถ้ามีขายบางเรื่องอยากอ่านก็ซื้อมาอ่าน มีอ่านฟรีก็อ่านฟรี และถ้ายิ่งรู้เนื้อเรื่องโดยไม่ต้องเสียเงิน มันก็จะไม่เสียเงิน ส่วนสแกนENGมันไม่อ่านแน่ๆ เพราะไม่ได้เข้าเส้นขนาดนั้น แถมมันยังเคยบอกว่า พวกเหี้ยนี่แปลไม่ค่อยรู้เรื่อง ส่วนกิจกรรมหลักของพวกเพื่อนๆคือ ตีกอล์ฟ,ดูบอล,หาหญิงมาเย็ด,ตระเวณกินของอร่อย แค่นี้คงเข้าใจนะว่า การ์ตูนเป็นส่วนน้อยในชีวิตพวกมันขนาดไหน มันไม่แคร์หรอกว่าใครจะทำอะไรยังไงในวงการตูน
การห้ามไม่ให้คนเข้ากระทู้สปอยล์มันลำบากว่ะ คนที่ติดตามเรื่องใดๆอยู่ ถ้ามันไม่ใช่พวกสปอยล์โฟเบียตัวจริง มันต้องมีกดเข้าไปดูกันบ้างล่ะ ไม่ว่าจะมันซื้อหรือไม่ซื้อก็ตาม ทีนี้ถ้าไปเจอคนสปอยล์มันทำสปอยล์แบบละเอียดยิบ ก็คิดดูละกันความรู้สึกอยากซื้อของมันจะเป็นยังไง ลดลง/เพิ่มขึ้น/คงเดิม??? ถ้าเจอพวกคลั่งฟูลเซ็ท ถึงเจอสปอยล์ไปแล้ว มันก็คงซื้อมาเก็บต่อให้ครบๆ แต่ถ้าไปเจอพวกเก็บก็ได้ไม่เก็บก็ได้อย่างเพื่อนๆกู โดนสปอยล์ทีนึงนี่ ความอยากซื้อถึงขั้นติดลบเชียวนะ ยิ่งถ้าสปอยล์กันได้ทุกตอน อย่าไปคาดหวังเลยว่าคนพวกนี้จะซื้อ
ปล.คนไร้สาระนี่มันเป็นใครวะ เห็นขยันโพสต์รายการการ์ตูนทั้งไทยทั้งญี่ปุ่น ทำมาหลายปีละ ไม่ได้อะไรยังไงกับเค้านะ แค่อยากพูดกับเค้าว่า "จิตสาธารณะดีแท้พ่อคู๊ณทูนหัว ว่างมากเลยรึ 555 แต่ก็ขอบคุณนะ"
>>593 ถ้าถามกุ กุมองว่าคงเดิม ก็อย่างที่บอกคนมันจะซื้ออ่านหรือไม่อ่าน มันมีธงอยู่ในใจแล้ว ต่อให้สปอยแค่ 2 - 3 บรรทัดไม่ต้องมาละเอียด ก็ทำให้มันตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อได้แล้ว ถ้ามีธงว่าจะซื้อ สปอย = ยั่วกิเลสให้ยิ่งอยากซื้อ ถ้ามีธงไม่ซื้อ = สปอยสั้น 2 ประโยคไม่ต้องยาวก็ทำให้แม่งไม่ซื้อแล้ว
หมาน่ารัก กูกดเข้าไปดูหมามากกว่ากร์ตูนอีก
นอกเรื่องนิด Gamemag เลิกพิมพ์ไปอีกหัวแล้ว
มันสะท้อนตั้งแต่เปลี่ยนจากรายปักษ์เป็นรายเดือนอย่างกะทันหัน เตะถ่วงมาได้ไม่กี่เดือนเอง ปิดซะเลย หมดๆเรื่อง
ลงแต่ข่าวเกมมือถือซะเยอะ
หนังสือเกมสมัยนี้เขาต้องการบทสรุปที่ละเอียดกว่าไปขอส่วนบุญตามบอร์ดอ่ะนะ
ข่าวเกมเสพที่ไหนก็ได้
ยังเปิดมาได้ป่านนี้ก็ถือว่านานละ จริงๆ กุว่า gamemag มันน่าจะปิดไปตั้งนานแล้วนะ หนังสือมันแทบไม่มีอะไรเลยเทียบกับสมัยก่อน เมก้า ยังดูดีกว่าอีก
พอโดนฟ้องเรียกเงินค่าปกเลยปิดๆแม่งไปเลยสินะ (ตกลงมีคนบอกให้เรียกเงินเพิ่มอันนี้มันทำได้เหรอวะ)
มีคนบอกว่า ยังเหลือ TV Mag กับ Hobby & Toy รึไงนี่แหละที่ยังทำอยู่
Hobby & Toy เจ้าของเดียวกันกับ Gamemag นิ
Gamemag นี่เคยหลงไปซื้อสรุปเกมสมัยเด็กๆ
คือเชี่ยมาก เขียนรู้เรื่องครบๆแค่บทแรกๆ กลางๆข้อมูลเริ่มขาดๆเกินๆ เขียนย่อๆลวกๆแบบไม่ค่อยรู้เรื่อง
ส่วนบทท้ายๆแม่งตัดไปเลยไม่เขียนถึง พวกจุดสำคัญๆแม่งก็ไม่เฉลย แต่บางจุดมีการกวนตีนคนอ่านด้วยการเอาไปเขียนแอบไว้ตรงปกหลังตัวเล็กๆ คือทำเพื่อ?
พอโตขึ้นมาถึงเข้าว่ามันเหี้ย
เมก้านี่เจ๊งยังวะ
ที่ pantip ตอนนี้ รู้สึกเริ่มมีสาวกสปอยล์มาดิ้นใหญ่
นี่ไงตัวอย่าง สปอยล์แบบนี้แหละ เพื่อนกูถึงเลิกซื้อกัน
มองไปรอบตัวก็ไม่เหลือใครแล้ว
แป๊บเดียวจริงๆ
สังคมที่สปอยการ์ตูนทันทีที่มีหลุดออกมาไม่ว่าจะภาษาไหน ถึงอ่านไม่ออกก็จะใส่ภาพมากรี๊ด
พอตัวเต็มมาก็ตั้งกระทู้สปอยละเอียดอีกครั้ง บอกว่าถึงอ่านสแกนรายสัปดาห์แต่ผมก็ซื้อร่วมเล่มนะ (ถึงตรงนี้กูถามจริง มึงคิดว่ามันเหมือนกันเหรอวะ มึงขโมยนิตยสารแล้วไปซื้อรวมเล่ม บอกไถ่บาปแล้ว พวกเหี้ย)
แล้วนิตยสารรายสัปดาห์ที่ลงเรื่องพวกนั้นก็ปิดตัวลง คนในสังคมนั้นมาร่วมกล่าวไว้อาลัยด้วยความเสียดาย รวมทั้งศาสดาที่ต้องไฝ่หาสปอยด้วยความเร็วแสงทุกอาทิตย์จะได้มีสาวกเยอะๆ
ควยไรของพวกแม่งวะ ไอ้สัสขรรม
>>614 Aya + eve ผู้พิทักษ์ลิขสิทธิ์ไม่กล้าโผล่หน้ามาเลยเว้ย ปกติเห็นมาเสือกตลอด
http://pantip.com/topic/35589456/comment7
http://pantip.com/topic/35565317/comment4
http://pantip.com/topic/35540653/comment10
ยังแค้น Gamemag มาจนถึงทุกวันนี้
- บทสรุปโปเกม่อน Gold Silver หน้าปกเขียนว่าเผยวิธีจับเซเรบิล
> ข้างในบอกจับอันโนนครบทุกแบบแล้วจะเจอ
> พ่อง กูจับครบก่อนซื้อหนังสือมืงอีก
- บทสรุปวาริโอ 3 GBC ฉบับสมบูรณ์
> ข้างในมึแค่ครึ่งเกม เฉลยไม่จบ ไม่มีเล่มต่อ
> พ่อง กูซื้อมาเพราะเล่นติด แต่กูเล่นเลยหนังสือมึงก่อนซื้ออีก
ตอนเด็กๆ กูติดเกมแม็คมากกก ซื้อมาอ่านตลอด อ่านแล้วสนุกดี พอโตขึ้นมากลับมาอ่านอีกที อ้าวไอ้เหี้ย ข้อมูลแม่งมั่วจัง ข่าวเกมบางอันนี่แม่งนั่งเทียนเขียนเดาจากภาพ กูละฮา
Gamemag Special เมื่อก่อนกุว่าค่อนข้างทำได้ดีนะ แต่นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่สมัย PS1 ..........
กากเสมอต้นเสมอปลายต้องบทสรุป เมก้ามันท จัดเนื้อหาไม่เคยลงตัว
ต้นเล่มยัดแต่น้ำ จนปลายเล่มต้องพยายามยัดข้อมูล บางทีที่ไม่พอตัดทิ้งไปเลยก็มี
กูยังมี SRW F - Final อยู่ F แม่งละเอียดสัด ภาพใหญ่ มีแมพฉาก มีดาต้า หุ่น-ตัวละครครบ
พอ F Final แม่งเผาเหลือนิดเดียว ไม่มีแมพแต่ละฉาก ไม่มีดาต้าอะไรเลย
พวก Special โตขึ้นมาเข้าคิโนะถึงรู้ว่ามันเอา official guide book มาแปล
นอกจากเอาของนอกมาแปลก็มีอีกเจ้า
เดินไปตามทางแล้วกดคุยไปเรื่อยๆ ชนะบอสก็จะได้พบฉากจบที่สวยงาม
หรือมึงจะเอาแบบtonbo ช่วงต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นเช่นหาของ ใช้ไอเทม ใข้มือเขียนลงไปเลย(สมัยนั้นไม่ค่อยมีฟ้อนญี่ปุ่นให้พิมพ์)
YK Group นี่ของเจ้าไหนว่ะ พวกแปลมาจากไกด์บุ๊คเจ้านี้ดีสุดละ
Animate group นี่มึงหวังว่าจะสนับสนุนลิขสิทธิ์เหรอวะ?
เวลาชอบสัมภาษณ์คนที่บอกว่าเป็นคนการ์ตูนรุ่นเก่า ก็มักแสดงความเห็นเชิงแขวะวงการลิขสิทธิ์บ่อยๆ ว่าสมัยก่อนทำอะไรก็ได้ตามใจไม่เคยต้องแคร์ลิขสิทธิ์ มีอิสระกว่านี้ เคยแซะกระทั่งว่า เดี๋ยวนี้ยังมีของเล่นแถมขนมเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนสมัยก่อนมั้ยล่ะ?
เคยแปลกใจด้วยซ้ำว่าทำไมGamemagมันยังอยู่รอดได้นานสองนานโดยไม่โดนฟ้อง
หยุ่นลาออกจากเนชั่นแล้ว คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนมะ
บก.แผนกหนังสือการ์ตูนก็เพิ่งลาออกจากเนชั่นเช่นกัน
ตรรกะวิบัติสัตๆ
C-Kidsปิดตัวลง มันเอาไปเทียบกับนิตยสารสกุลไทยว่า สกุลไทยไม่มีคนสปอยล์ของในเล่มก็ยังปิดตัวเหมือนกันเลย
คาดว่าตรรกะที่ว่า "ถ้าหนังสืออะไรไปไม่รอด ไม่ใช่เพราะสปอยล์กับสแกน เพราะเจ้าของหนังสือไม่ยอมปรับตัวเองตะหาก" จะกลายเป็นข้ออ้างของปลิงเมืองไทยไปอีกนานว่ะ
นิตยสารการ์ตูนที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่นอกจากยอดขาย
แล้วยังมีสปอนเซอร์โฆษณาเกม,การ์ตูนในเล่มด้วย
ส่วนของไทยสปอนเซอร์หนีไปลงสื่ออื่นๆหมดล่ะ
นิตยสารน่ะ ถ้าไม่มีคนมาอุ้มแบบนิตยสารเล่มนึงของฝรั่งเศส มันก็เตรียมเน่าทั้งนั้นละ ต่อให้การ์ตูนไม่มีแสกนก็อาจได้แค่ยืดชีวิตไปอีกแค่ 2 - 3 ปีเท่านั้นก็ได้ว่ะ
เห็นมีคนบอก เด็กรุ่นใหม่มันไม่อ่านการ์ตูนแล้วไปดูการ์ตูนใน youtube มากกว่า ไอ้พวกที่อ่านแสกนจริงๆ ส่วนใหญ่คือพวกอายุ 20+ ซะมากกว่า มึงคิดว่าไงกับคำนี้บ้าง ?
>>645 ทำความเข้าใจใหม่อีก กุยกมามันกล่าวว่าเด็กยุคนี้ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการขายหนังสือการ์ตูน เนี่ยมันอ่านการ์ตูนน้อยลง บางที อาจไม่แม้แต่เข้าเว็ปแสกนไปอ่านการ์ตูนด้วย เน้นเข้าแต่ไปดูอนิเมะ หรือ เข้าไปดุอะไรต่างๆใน youtube แทน คนที่อ่านการ์ตูนปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกอายุ 20+ ซึ่งเมื่อก่อนเคยซื้อหนังสือการ์ตูน แต่ปัจจุบันมันหันไปอ่านแสกนกันแทน ผลคือ ลูกค้าใหม่เลิกซื้อ ไอ้ลูกค้าเก่าก็ดันไปอ่านแสกนแทน ผลคือ นิตยสารเลยเน่าเพราะกลุ่มเป้าหมายใหม่ไม่ได้อ่านแล้ว กลุ่มเก่าที่เป็นคนอ่านก็ดันเลิกซื้อด้วย
สะปอยสกุลไทยตอนล่าสุดมาดูเร็ว!! พ่อง
เด็กมันดูการ์ตูน youtube เอาแล้วตอนนี้
มาแว้ววว สแกนคู่สร้างคู่สม ผัวเมียละเหี่ยใจตอนล่าแซ่บมากกกก
กระทู้สกุลไทยในห้องการ์ตูนแม่งพูดคุยกันน่าสมเพชมาก วิเคราะห์กันเป็นตุเป็นตะทั้งที่ไม่รู้ห่าเหวอะไรเลย
ที่ว่า "สกุลไทยยอดลดลง" ถูก แต่ "สกุลไทยยอดขายต่ำจนอยู่ไม่ได้" ผิดว่ะ
ณ วันที่ประกาศปิดตัว ยอดขายสกุลไทยยังอยู่ในระดับที่สนพ.อื่นเห็นแล้วน้ำลายหยดเป็นกาละมังอยู่เลย
แล้วสาเหตุที่ปิดแม่งง่ายนิดเดียว "เจ้าของตาย ทายาทไม่อยากทำต่อ" จบปิ๊ง
ไอ้ที่ประกาศกันว่าเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ขาดทุน อะไรนั่นน่ะเป็นการหาทางลงสวยๆ เท่านั้นแหละ
เกิดมึงประกาศว่า "เจ้าของใหม่ไม่อยากทำก็เลยเลิก" สิ คนอ่านมันคงยอมรับได้หรอกนะ
แล้วทีวีแมกกาซีนนี่ถือว่ายังเอาตัวรอดไหวมั้ย?
เคยแปลกใจนะว่า นิตยสารการ์ตูนกับข่าวสารแนวๆนี้ ปิดตัวไปหลายฉบับ บางเล่มทำออกมาดีกว่าทีวีแมกกาซีนด้วยซ้ำ
แต่ทีวีแมกกาซีนดันกลายเป็นนิตยสารที่อยู่รอดได้นานที่สุด ทั้งๆที่เป็นหนังสือที่เน้นกลุ่มเด็ก
รอขายหัวเราะมหาสนุกเจ๊งก่อน ถึงค่อยว่าคนไม่อ่านการ์ตูนกันแล้ว
>>655 พวกที่มีทายาทเนี่ยถ้าธุรกิจที่ทำอยู่มันทำเงินน้อย เป็นหนี้ มันก็ไม่อยากทำทั้งนั้นละว่ะ ญาติ กุก็เป็นมีโรงงาน แต่แม่งทำแล้วกำไรแทบไม่มี เป็นหนี้เป็นล้านต้องให้ญาติมาช่วยซื้อเพื่อปลดหนี้ แถมต้องเดินทางไกลเพื่อเป็น Sale สุดท้ายมีลูกตั้งหลายคนไม่มาสืบทอดสักคน แล้วมึงลองดูพวกทายาทธุรกิจใหญ่สิอย่าง King Power ก็ได้ที่เป็นเจ้าของเลสเตอร์ก็ได้กุว่าลูกมันจริงๆ คงอยากเป็นนักฟุตบอลมากกว่านะแต่ธุรกิจมันใหญ่มีเงินเลยมาสืบทอดดีกว่า หลักๆ คือ ธุรกิจมันดี ทำเงินได้มากปัญหาเกิดน้อย หรือเปล่าต่างหากที่จะทำให้ลูกมาสืบทอดต่อหรือเปล่า
>>653 มันปรับตัวด้วยการยัดโฆษณามาเยอะๆตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อนแล้ว เลยอยู่รอดได้ตลอด แต่กุว่าคงยืดได้อีกไม่นานละมั้งเพราะจะว่าไปกุก็แทบไม่เห็นมันตามแผงร้านหนังสือทั่วไปเท่าไหร่แล้วนะ เห็นแค่แบบพวก B2S
ธุรกิจมันค่อนข้างปริ่มน้ำ ไม่ลอยก็จม ถ้ามีทางเลือกคนจะไม่อยู่กับธุรกิจแบบนี้หรอก
การ์ตูนผีเล่มละ5บาทนับไหมวะ กูก็เข้า7-11หลายสาขาอยู่ เห็นของมาลงแล้วหมดไวเหมือนกัน ยอดขายน่าจะดี
ความจริงที่น่าหัวเราะ โรสทำลิเกขายรวยกว่าขายอนิเม
เรามาจุดนี้ได้อย่างไร มาคุยเรื่อสกุลไทยในกระทู้ด่า VBK
กูขอโทษด้วย กูเชื่อละ ลุงฯ เซเลบห้องการ์ตูน เป็นhater Vจริงๆน่ะแหละ นอกจากตามด่าเช็ดVทุกโอกาส ยังเลียไข่Sจนกูต้องยอมเชื่ออีกอย่างว่ามันเป็นติ่งSด้วย ที่พูดนี่ไม่ได้ให้พวกมึงมาดราม่ากันเองในนี้นะ แค่จะบอกว่ากูขอโทษที่กูไม่เชื่อพวกมึงว่า ลุงฯเป็นhater V
ชงกันเองอีกแระ IHAYO อยู่แถวนี้หรือเปล่าครัช
IHAYOหมอนี่น่าจะแฟนคลับVค่อนข้างจะแน่(มั้ง) แต่ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือไม่ ไม่อยากฟันธง
ว่าแต่มีไอ้โง่ออกมาบอกว่า ถ้าLCเจ๊งกันหมด สนพ.เถื่อนจะเริงร่า เลยอยากให้เจ๊งๆไปให้หมด จะได้กลับไปเป็นยุคก่อนLCด้วยว่ะ เริงกระดอสิ พิมพ์เหี้ยไรมาก็เสี่ยงหมดแหละสมัยนี้ ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ สนพ.เถื่อนยังไม่อยากพิมพ์เลย
>>669
เคยอ่านเจอคนบอกว่า ถ้าสนพ.เจ๊งหมด จากนี้ไปก็อ่านแสกนได้โดยไม่ผิดกฏหมายแล้วสิ เพราะไม่มีผู้ถือลิขสิทธิ์
...เจอประโยคนี้ไปกุมขมับเลยว่ะ อ่านแต่แสกนจนสมองเสื่อม คิดไม่เป็นไปแล้วใช่มั้ย?
เชื่อเหอะ ต่อให้ระบบสนพ.LCมีอันเป็นไปหมด พวกไพเรทเถื่อนยุคนี้พิมพ์ไปก็ใช่จะรอด
ที่ไพเรทยุคเก่าออกหนังสือแข่งกับสนพ.LCได้ส่วนหนึ่งเพราะใช้วิธีเลือกเรื่องที่ยังไม่LC กับพวกเรื่องเก่าๆที่LCไม่พิมพ์ซ้ำ
แต่มาถึงยุคนี้คือ ต่อให้พิมพ์ไป ก็ยังต้องแข่งกับสแกนอยู่ดี แม้แต่ไพเรทเจ้าใหญ่อย่างหมึกจีนยังไปไม่รอดเลย
เออ อ่านแสกนก็อ่านไปนะ แต่ถ้าเสือกมีเรื่องที่ไม่มีแสกนขึ้นมาแล้วมึงอยากอ่านมึงหาไม่ได้นะเว่ย
ถ้า สนพ. เจ๊งหมด ตามความคิดกูนะ
ไพเรทคงรอดยาก พิมพ์น้อยต้นทุนสูง พิมพ์มากคนไม่ซื้อ สุดท้ายก็จะพิมพ์แต่เรื่องดังๆ ไม่กี่เรื่อง
แสกนมีเรื่องดังจะมีสารพัดเจ้าแปลด้วยเทพ google ด้วยสาเหตุคันไข่ อยากหาคนเลีย เรื่องนอกกระแสไม่มีคนแปล
และเดี๋ยวสักพักเดี๋ยวก็มีตีกัน ตามสังคมคุณตะพาบ ก็อปคำแปลเถื่อนด้วยกันเอง 555+
lc กูยังไม่ซื้อ แล้วคิดว่าไพเรทกากๆกูจะซื้อเรอะ ฝันไปเถอะ ไปอ่านแสกนต่อละ
จากที่ บนๆว่าทางเลือกมันเยอะขึ้นไหมนะ
คนที่เคยชื้อตอนเด็กๆโตมาแม่งก็อ่านแสกน
ไอพวกเด็กๆมันมีทางเลือดเยอะขึ้น เกมอนิเมะบลาๆ เที่ยวบลาๆ การ์ตูนมันเลยไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆที่ชื้อ
คิดยังไง
>>679 ไม่หรอกหลังๆ มือถือมันแข่งกันเยอะ ได้ตังค์น้อยกว่าเดิม จนมีบางค่ายเริ่มแตกทีม กลับมาทำ Console บ้างแล้ว
แต่ไม่กลับมามือเปล่านะ เอาระบบกาชะติดไม้ติดมือมาซะด้วย เติมเข้าไป หมุนซะ ผลลัพธ์มีแต่เกลือ
แถมจัด event สูบตังค์เดือนละครั้ง 2 ครั้ง ปั้มตังค์เข้าบริษัทเรื่อยๆ ด้วย -__-")
เพิ่งรู้ว่า เดี๋ยวนี้คำว่า"ไดโนเสาร์" เอาไว้เรียกคนที่ยังอ่านหนังสือจากกระดาษหรือเสียเงินซื้อหนังสือเป็นเล่มๆอยู่ได้ด้วย
พ่วงด้วยคำว่า "ไม่รู้จักปรับตัว" ที่จะติดปากไทยเด็กรุ่นหลังไปอีกนาน
ขายหัวเราะรอดอยู่ได้ เพราะไปคิงไม่สนหรอกคัฟ
ตะกี้อ่าน C-Kids หน้าสุดท้ายของเจ้าหนูข้าวจี่มีเขียนไว้ว่าติดตามต่อ C-Kids ฉบับ 44/2016 ด้วย แต่เล่ม 43 มันเป็นเล่มสุดท้าย เราคงจะไม่ได้อ่านเจ้าหนูข้าวจี่ต่อแล้วใช่มั้ย
ไม่รู้ว่า บก.แกนึกยังไงที่จะเปิดการ์ตูนทำอาหาร คือถ้าทำออกมาแล้วโดนเปรียบเทียบกับโซมะ กูว่าเอาของเก่าอย่างชมรมวารสารมาทำเป็นเลิฟคอมจะดีกว่าถ้าโดนเปรียบเทียบกับนิเสะโค่ยอย่างน้อยก็แนวถนัดของนักวาดและวัตถุดิบ(ตัวละครสาวๆ)ก็ถือว่าใช้ได้อยู่เหมือนกัน
การ์ตูนทำอาหารไม่ต้องเป็นแนวทำอร่อยเวอรืก็ได้ เป็นดราม่า อบอุ่นใจแบบ อันโดนัทซึ หรือ ผีซ่า ก็ว่าไป
สัสเอ้ยคนแต่งไม่น่าตายเลย
>>693 กูเคยไปเห็นเรื่องนี้วางอยู่ที่แผงหนังสือ สนใจชื่อเรื่องมันแปลกดีเลยลองหยิบมาพลิกไป-พลิกมาดูปกหน้า-หลังอยู่หลายเล่ม กูกับเพื่อนก็เกิดฉงนว่า"ทำไมหน้าปกมันมีแต่ตัวผู้2ตัวทุกเล่มเลย แล้วไหนเจ๊วะ อย่าบอกนะว่า...." สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อมาลอง 5555+
>>689 การ์ตูนทำอาหารที่วาดอาหารไม่ค่อยน่ากินแต่สนุกก็มีนะ ....แต่ก็ไม่ใช่ข้าวจี่....
กูอยากอ่านยอดเชฟครัวท่านฑูตต่อ อยากให้พีคแบบเดิม
อ่านกุราเมะแล้วเอียนความโม่ย เนื้อหาก็ไม่สนุกเท่ายอดเชฟ ชอบคนแต่งแต่ก็ต้องดรอปไป
ตอนนี้อ่านโนบุนากะเรื่องเดียวเลย เรื่องนี้ทำได้ดีจริงๆ
โม่ยแปลว่าอะไรอะพวกมึง กูไม่รู้จักศัพท์แสลง โปรดกูหน่อย มีศัพท์อะไรที่กูต้องทราบอีกป่ะ กูรู้แต่ศัพท์แสลงของแนว
ไอ้คนสปอยโทริโกะในpantip มันจะลงรูปกระทู้นึงแล้วตั้งกระทู้คุยอีกกระทู้ทำไมวะ กูเห็นหลายรอบละ
ถ้าโม่ยขนาดนั้นนั้น กุไปซื้อเล่มต่อมาอ่านดีกว่า
กุดรอปไปตอนเล่ม1
ตัวเอกน่าแดกดี แผล่บๆ
กูราเม่ เขาไม่ได้ดูอาหาร เขากินสาวๆ กัน
กุไม่เคยอ่านเชฟท่านทูตแต่เคยอ่านกุราเม่ เล่ม 1 อ่านจบกุไม่ซื้อต่ออีกเลย รู้สึกไม่ชอบคอนเซ็ปต์อาหารสื่อใจของเรื่องมันเท่าไหร่มันดูแข็งตรงเกินไปหน่อย เทียบกับยอดเชฟโนบุนางะ อาหารมันสื่อใจเหมือนกันแต่คนเขียนทำเนียนกว่ามาก
>>683 ขายหัวเราะนี่เสียดายอย่างคือ บก.แกไม่ปั้นงานายคอมิค พอการ์ตูนบาสกับกลมกลิ้งสิงห์สตั๊ดจบก็ไม่มีเรื่องใหม่เข้ามาเลย
เอางานเก่ามาขาย เน้นจบเป็นตอนๆ ซึ่งกูว่าหลังๆนักเขียนก็ไม่ค่อยพีคแล้วว่ะ พี่ปุ๋ยพอเปลี่ยนลายเส้นกูว่าไม่ฮาเท่าช่วงเอานิยายจีนกับวรรณคดีไทยมาเขียนล้อ เรื่องผีตอนเอาเรื่องของครูเหมมาเขียนก็หลอนๆอยู่ แต่พอเขียนออริจินอลของตัวเองกูรู้สึกเฉยๆ
ขวดก็ไม่พีคเท่าช่วงสายลับช่องแอร์ สำหรับกูมีงานของหมูนินจาที่ยังคงมาตรฐานอยู่
ครัวท่านทูตไม่ชอบในแง่การ์ตูนการเมือง
คนเขียนเป็นซ้ายกลางโลกสวย ถึงทุกวันนี้วิเคราะห์ผิดเยอะมาก
>>709 ทุกวันนี้กูยังมีแนวร่วมต๊อง2เล่มจบของขวดเก็บไว้อยู่เลย แต่ไม่คิดจะตามงานเขาอีกแล้วตั้งแต่เห็นแก๊กเสื้อแดงในเดลินิวส์นั่นแหละ แสดงทัศนคติแบบไร้หัวคิดมากๆ งานการ์ตูนก็ถอยหลังลงคลองทุกทีๆ ดูจากสายลับช่องแอร์นี่แหละตอนแรกฉากอย่างดี-มุกเพียบ ตอนหลังๆวาดส่งไปตอนต่อตอน ฉากหลังโล่งๆ แถมบางตอนไม่มีมุกอะไรเลย แค่มาเดินไปเดินมาคุยกันยันจบตอน บ้าไปแล้ว
>>706 พวกมังกะจำพวกกลมกลิ้งสิงห์สตั๊ดหรือบาสนั่น กูเห็นว่าไม่น่าเอามาลงในมหาสนุกเล้ยยยย ทุกวันนี้มังกะหรือการ์ตูนความรู้เด็กก็มีล้นตลาดอยู่แล้ว กูซื้อมหาสนุกเพราะอยากอ่านการ์ตูนแก๊ก ก็ยังเปิดมาเจอการ์ตูนความรู้หรือพวกเกล็ดความรู้สำหรับเด็กไปครึ่งเล่ม เซ็งจนเลิกซื่้อมาหลายเดือนแล้วเนี่ย
เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไป คุไทยสปอยล์กันหลังจากอ่านสแกนตัวเต็ม ไม่ต้องกระดากแล้วเนอะ เห็นประจำอ่ะเจ้านี้ สปอยล์แมร่งสารพัดเรื่อง
>>711 คนที่แม่นๆ ก็มี
ยามากุจิ เคย์จิ เขียนเรื่องอีเกิลเกี่ยวกับลูกครึ่งชนกลุ่มน้อย(เพราะเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเลยเป็นคนญี่ปุ่น)ที่ลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐก่อนโอบาม่าได้เป็นประธานาธิบดีสิบกว่าปี เขียนเรื่องฮิลลารี่ทะเยอทะยานทางการเมืองก่อนจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดียี่สิบปี
ส่วนตัวมองว่าผ่ายขวามองโลกตามจริงกว่า
VBK เริ่มได้อากิตะกลับมาอีกเรื่อยๆละ
ริคุ นี่ไพเรทมันขายเท่าไหร่วะ 60?
pantip นี่มัน pantip จริงๆ
http://pantip.com/topic/35620879
อีกหน่อยกูว่าราคา หนังสือการตูนเท่า LN แหงๆ พิมพ์น้อย ราคาเฉลี่ยนต่อเล่มแพงไปเรื่อยๆ
แต่แปลกใจอย่างนึงนะ ญี่ปุ่น LN กับหนังสือการตูนมันก็ราคาพอๆ กันนะ แต่ LN ไทยขาย ราคาเกือบเท่าญี่ปุ่น ไม่ยักมีคนบ่นกัน
ในพันทิปมันยังไม่รู้ตัวกันว่า อนาคตจะต้องเจออะไรบ้าง
1.การ์ตูนเล่มใหม่จะแพงขึ้นเรื่อยๆ
2.การ์ตูนนอกกระแสจะโดนลอยแพขึ้นเรื่อยๆ
3.พวกแม่งอาจจะต้องง้อเว็บสแกนมากขึ้นเรื่อยๆ
4.หนังสือมือสองเรื่องดังๆเก่าๆจะเป็นของแรร์ราคาแพงบรม
5.บิ๊กบุ้คและฉบับสมบูรณ์ต่างๆจะสูญพันธุ์
นอสตราดาหมอย ทำนายไว้ดังนี้
เด๋ว ที่จะไปพังก่อนเลยคือร้านการ์ตูน ตายแน่นนอน
สายส่งเลิกทำไปก่อนก็ดีเลย ตัวแดกผลประโยชน์หลักในวงการหนังสือ กำไรส่วนใหญ่อยู่กับพวกสายส่งนี่แหละ
ถ้าตัดกำไรจากสายส่งกับร้านค้าไปได้ หนังสือน่าจะถูกลงกว่านี้ คนแปลก็ไม่ต้องรับค่าแปลกากๆอย่างทุกวันนี้ สนพ.ก็มีกำไรเข้ามากกว่านี้
อยากได้การ์ตูนเล่มคุณภาพเท่าญี่ปุ่นมันก็ต้องราคาเท่า LN นั่นแหละ
สมัยก่อนมันเน้นขายแมสเลยดันทุรังไปได้
เดี๋ยวนี้ฐานคนซื้อการ์ตูน(คนอ่าน,ร้านค้า,ร้านเช่าการ์ตูน) หดไปเท่าๆหรือน้อยกว่า กลุมคนซื้อ LN
ราคาเลยสะท้อนตามสภาพ
>>725 มุมมองแบบไอ้ไทยก็งี้แหละ ไม่เห็นคุณค่าของแรงงาน ดูแต่สิ่งที่จับต้องได้ ดีนะมึงไม่พูดว่านิยายเล่มเล็กต้องถูกกว่า
ญี่ปุ่น = ต้นฉบับ / จะการวาดภาพหรือการประพันธ์ก็เป็นแรงงานหนัก ราคามันเลยไม่ต่างกันเท่าไหร่
ไทย = แปล / ความยากงานกับ work hour ต่อเล่มในการแปลนิยายเทียบกับการแปลการ์ตูน+แต่งภาพแม่งผิดกันลิบ
ถูกกว่าได้นะ ถ้ามีคนซื้อเยอะต้นทุนต่อเล่มมันก็ถูกตาม แต่คนซื้อมันไม่เยอะอย่างที่คิดน่ะสิ
กูเคยนั่งคิดว่าราคามันไม่เมคเซนส์มานานแล้วนะ การที่หนังสือที่มีภาพวาด ราคาถูกกว่าหนังสือที่มีแต่ textล้วน ร่วมสามสี่เท่า กูไม่ได้บอกว่านิยายมันทำง่ายนะ แต่การ์ตูนก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
มันคือภาษีกระดาษรู้ป่าวถ้าทำ หนังสือมีตัวหนังสือ ภาษีจะเก็บต่ำกว่า หนังสือมีแต่ภาพ สนับสนุนการอ่านดีไหม
การ์ตูนมึงวาดภาพขึ้นมาใหม่ทั้งหมดรึเปล่าล่ะ ซื้อภาพมามันก็เกือบพร้อมใช้งานแล้ว
ตั้งประเด็นขึ้นมาว่า ที่ญี่ปุ่นราคาพอๆกัน โอเค เท่าที่กูรู้ ต้นทางเขาก็ขายต้นฉบับมาให้ในราคาพอๆ กัน
แล้ว ค่าใช้จ่ายกับเวลาปฏิบัติการที่มึงต้องเอามาทำต่อหลังจากนั้นล่ะ คิดว่ามันเท่ากันเหรอ
ค่าแปลนิยายเล่มนึง เอาไปจ่ายเป็นค่าแปลการ์ตูน+ค่าแต่งภาพได้สองถึงสามเล่ม
แล้วค่าตรวจงานหลังจากนั้นอีก ซึ่งกูก็ไม่รู้ แต่งานนิยายจ่ายมากกว่าแน่นอน
มาพูดว่า ที่ญี่ปุ่นราคาพอๆ กัน ของไทยก็ควรจะราคาพอๆ กัน ตรรกวิบัติเอ๊ย
ค่าแปล = 4% ของเล่ม มันไม่กระทบทำให้ราคาต่างกันไป 2-3 เท่าหรอกว่ะ
ขายหัวเราะวาดเองทั้งเล่มยังขายถูกสัดๆ ต่อให้เอามาซ้อนหนากว่าเท่าตัวยังถูกกว่า
กูว่าปัญหาคือ กลุ่มคนอ่านน้อยตัวหารน้อย ค่าพิมพ์ก็แพงตามตัวหารที่น้อยมากกว่า
ที่มันต้องราคาถูกมันไม่ใช่ผลมาจาก ราคาของไพเรทสมัยก่อนเหรอวะ ......
ครูสิ้นหวังที่เพิ่งออกนี่ของเก่าป่าววะ
เดี๋ยวกูโพสต์สันปกบูรพัฒน์มึงจะหนาว นอกจากราคาขึ้น เล่มยังบางลงครึ่งนึง
>>>/literature/2383/789
เป็นแสนเลยเหรอวะ
World triggerเล่ม6เปลี่ยนกระดาษอีกแล้วแฮะ ชอบอันเก่ามากกว่าอะ สงสัยแม่งคงแพงเกินไป
สนพ.ที่มันเล่นสงครามราคากัน ไม่ยอมขึ้นราคา ทั้งที่ต้นทุนสูงขึ้น มันตลกสิ้นดี ทำไปเพื่อ? อย่าบอกนะว่าทำเพื่อมวลชนชาวสารขัณฑ์(555) การ์ตูนแต่ละเรื่องมันแทนกันได้ซะที่ไหน ถ้าขายการ์ตูนเรื่องเดียวกัน แล้วเล่นสงครามราคา กูจะไม่ว่าเลยสักคำ
ดูผลประกอบการณ์ปีที่แล้วก็เห็นๆอยู่ ขายถูกกว่า แต่สุดท้ายก็ขาดทุนบักโกรกกันถ้วนหน้าอยู่ดี โดยเฉพาะไอ้รายใหญ่ๆทั้งหลายอ่ะ การไม่ขึ้นราคาก็ไม่ได้หมายความว่า คนจะซื้อหนังสือมึงเยอะขึ้น เผลอๆลดลงอีกต่างหาก สู้ขายไปตามต้นทุน หรือตัวเองรับได้ที่ราคาไหนก็ตั้งราคานั้นไปเลย เดี๋ยวคนซื้อมันก็ตัดสินใจเอง ว่าจะซื้อไม่ซื้อ
ทั้งนี้ทั้งนั้นควรตั้งราคาเผื่อโละด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้นกรู้มันเยอะ รอซื้อราคาโละตามงานต่างๆ บางค่ายกูเห็นลดที70% ดูค่ายผู้นำเรื่องการการขึ้นราคาดิ(555)เคยสนใจค่ายอื่นที่ไหน เพราะมันรู้ตัวมันเองไงว่า เล่นสงครามราคาคงไม่รอดแน่ๆ คนอ่านย่อมด่ามันเป็นธรรมดา เพราะเป็นผู้เสียประโยชน์ อันนั้นเข้าใจได้
ไม่ต้องเป็นห่วงกูนะ กูเลิกอ่านการ์ตูนแปลไทยมา7ปีแล้ว หลังจากเรียนจนมีปัญญาอ่านภาษาญี่ปุ่นเองได้ เพราะงั้นสแกนแปลสวะพวกนั้นกูก็ไม่แตะหรอก ไม่อยากนอนเกาควยรอสนพ.ออกหนังสืออีกต่อไปแล้ว จะออกทีนึงนี่ ช้าสัสๆ ไปคิโนะจบทุกอย่าง
อำเภอเมืองต่างจังหวัดจานละ 30 ไม่ไข่ก็อิ่ม
จริงๆ ตอนเล่มละ 20 ข้าวจานละ 10 บาท
ยุคนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลายร้านเจอค่าเช่าที่โขกราคาก็ลดต้นทุน ลดคุณภาพได้บัตซบ
พวกร้านไม่มีปัญหาต้นทุนค่าเช่าที่อาจชิลๆ
ข้าวหน้าเป็ด 40 บาท
http://imgur.com/No93eup
ข้าวหมูกรอบ 50 บาท
http://imgur.com/dSJWV0U
อิ่มเหี้ยๆคับ
(Food) พูดคุยและวิจารณ์ ราคาอาหาร ปริมาณ และร้านค้า dish 1
ประกาศข่าว
ร้านนายอินทร์ (ทั้งร้าน) ซื้อครบทุก 500 บาท ได้ส่วนลดทันที 100 บาท
(เท่ากับว่าซื้อ 1,000 บาท ก็จะได้ลด 200 บาท เป็นสเต็ปราคาส่วนลดไปทุกๆ 500 ครับ)
https://scontent.fbkk7-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/14358909_10154529267781484_4406661190713287486_n.jpg?oh=5d1e9b67cc20aeee170137cf6a0d570f&oe=583AF84D
NED มันมีปัญหาอะไรวะ ทำไม ตราบวันฟ้าใส, โยทสึบะ, วัยกระเตาะฯ มันถึงไม่ออกเล่มใหม่สักที รอหลายปีแล้ว T_T
>>777 http://pantip.com/topic/31429732 งั้นอันนี้คงต้องเรียกของเซ่นสัมภเวสีเลยสิเนี่ย
>>785 อันนั้นกระทู้ 3 ปีที่แล้ว คิดว่าน่าจะตัก 2 คำหมด ลองมาดูอันนี้เมื่อต้นปี http://pantip.com/topic/34738458
คั่วไก่กระทะทองเหลืองให้น้อยเหี้ยๆ ถ้าอยากกินมึงไปกินแถวสวนมะลิดีกว่า มีให้เลือกหลายเจ้า
กูนึกว่าหลงเข้ามาผิดห้องแม่มม
เริ่มออกทะเลไปไกลละมึง ไปตั้งคุยใน life เหอะ
กูกินตรงตลาดวรจักร กินมาหลายสิบปีล่ะจนคนขายจำหน้าได้ กินก่อนพวกมึงเกิด กินก่อนพวกมึงหัดดูบอลตอนหกขวบอีก
บอกให้พวกร้านแดกอะ พอมันติดตลาด คนมาเยอะมันก็จะต้องจ้างลูกจ้างเพิ่ม
แล้วพอลูกจ้างมาก็เริ่มคุมคุณภาพไม่ค่อยได้ บางเจ้าให้ลูกจ้างทำหมดก็มี
สุดท้ายที่แดกแพงๆ กัน เพราะจ่ายให้กับค่าจ้างลูกจ้างทั้งนั้น ไปนั่งแดกร้านแพงๆ ลองนับดูนะ
ลูกจ้างคนล่ะ 400 คนครัว 600 ล้างจาน 300 ต้นทุนต่อวันทั้งนั้น
ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เยาวราช แดกไปก็เหมือนมึงอ่านบากินะแหล่ะ
อร่อย?แต่น้อยชิบหาย อย่างบากิก็ใช่อ่านเอาตลกแป๊บเดียวแม่งจบล่ะ
หรือหยิบไปอ่านตอนขี้ยังเบ่งออกไม่หมดแม่งจบเล่มล่ะ
>>>/lifestyle/3021/
ไปได้แล้ว
ควย หยุดได้มั้ยพวกมึง กูหิว
ไอ้พวกวงในมาแพล่มหน่อยดิ๊ อมคาโดมันมีกำหนดการวางแผงหนังสือบ้างรึยัง?
ปกติเวลากูชื้อหนังสือกูเทียบราคากับค่าข้าวนะ
มื้อละ 50 ประมาณการ์ตูน 1 เล่มนิดหน่อย
ไม่ใช่เพราะแม่งขายได้น้อยลงหรอวะ เลยต้องขึ้นราคา
>>802 กูค่อนข้างเบื่อกับการเทียบแบบนั้นนะ คืออาหารมึงแดกอิ่มใช้เป็นพลังงานแล้วก็ขี้หมดไป มันเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต
ส่วนการ์ตูนเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย มึงสามารถเอามันมาขายต่อเอาเงินคืนบางส่วนได้ด้วยซ้ำ
เทียบกับของจำเป็น ก็ไม่ถูกแล้ว ต้องไปเทียบกับสินค้าฟุ่มเฟือยด้วยกัน แล้วดูว่าตัวไหนเร่งอัตราส่วนการขึ้นราคาสูงกว่ากัน ถึงจะบอกได้ว่าแพงแค่ไหน
งั้นเราจะเทียบการ์ตูนกับการแดกสเต๊กแทน ที่ไม่ใช่ของลุงหนวด
>>803 กูว่าเทียบได้นะ มันไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยหรือไม่ฟุ่มเฟีอย มันเป็นเรื่องของค่าครองชีพ ตอนการ์ตูนเล่มละ 15 บาท ข้าวก็ราวๆ 15 บาทเหมือนกัน ตอนนี้การ์ตูนเล่มละ 60 ข้าวอยู่ที่ 40 บาท (กูนับอันถูกๆนะ) แต่คุณภาพการ์ตูนมันก็ดีกว่าสมัยเล่มละ 15 บาทอยู่โข รวมถึงเรื่องจำนวนหน้าได้
ไอ้การบ่นว่าการ์ตูนแพงมันมีมาช้านานแล้ว การ์ตูนจะเล่มละกี่บาทก็บ่นว่าแพงตลอดแหละ ตอนขึ้นเป็น 40 50 บาทก็ปริ่มอกจะแตกตายกันเหมือนตอนนี้แหละ
เงินเฟ้อไทยราวๆ 3-4% ต่อปี ของราคา 35 บาทเมื่อ 10 ปีก่อน ปัจจุบันจะกลายเป็น 50 บาท
แต่เปรียบเทียบเงินเฟ้ออย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้าเปรียบเทียบสินทรัพย์ที่แน่นอนอย่างทองคำ
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว 600/USD ปัจจุบัน 1320/USD
เทียบกับอาหารควรเทียกับร้านค้าแฟรนไชน์มีลิขสิทธิ์ เสียค่าเช่าพื้นที่ขายตามห้างฯสิมึง
เอาไปเทียบร้านบ้านๆไม่เสียค่าเช่าหรือร้านในหน่วยงานรัฐ เช่น โรงเรียน มันไม่มีต้นทุนบางส่วนมาคิดนี่หว่าแถมกะรายได้คร่าวๆได้ด้วย
แบบนั้นมึงเอาราคาพวกไพเรทที่ไม่เสียลิขสิทธิ์ตั้งราคาไงก็ได้ มาเทียบเลยเหอะ
ถ้าเทียบราคาร้านอาหารแบบเห็นได้ชัด
เป็ดย่าง MK ปี 55 จานเล็ก/ใหญ่ 130/255
ปัจจุบัน 165/330
4 ปีราคาเปลี่ยนแปลง 29%
ถ้าพวกมึงจะซีเรียสดัชนีเทียบค่าขนาดนั้นกูยอมว่ะ กูขอเทียบโง่ๆ พอ พอดีตอนเด็กๆกูก็เรียนเลขไม่ค่อยเก่งด้วย พวกมึงช่วยเทียบให้กูดูจะเป็นพระคุณมาก
ถ้าถามความรู้สึกกูนะ การ์ตูนไม่ได้แพงขึ้นสักเท่าไหร่ แต่ก็แพงขึ้น ช่วงที่เล่มละ 40 บาทกูรู้สึกว่ากูอู้ฟู่ที่สุด หยิบไม่อั้นเลย
ว่าไปพวกมึงเทียบ cpi กันเลยมั้ย 5555
http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=409
CPI ประมาณ 3-4% ต่อปี แต่เทียบอย่างเดียวไม่ได้ปรกติแล้วต้องเทียบสินทรัพย์อย่างอื่นด้วย
กูเองก็เทียบโน่นนี่บ่อยๆ เวลาจะลงทุนอะไร เพราะถ้ามัวแต่ตามข่าวมันกลายเป็นเม่าง่าย - -
อ่ะ จัดให้ เทียบกับCPI
http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPI&ssoPageId=5&language=th&country=TH
สมัย 15 บาทแม่งไม่มีลิขสิทธิ์ จะนับ กูว่าต้องตั้งต้นที่ยุคแรก 25 บาท
10 ปีก่อน 100 บาทซื้อได้ 2 เล่ม เหลือเงินกินข้าวได้อีกจาน ปัจจุบันเล่มเดียว กินข้าวไม่ได้ด้วย แต่ความรู้สึกของคนคือค่าเงิน 100 บาทยังเท่ากับเมื่อสมัยก่อนเพราะรายได้ไม่ได้อัพขึ้นขนาดให้เหลือใช้ให้ไปซื้อได้นั่นละ
รายได้คนมันก็เพิ่มแหละ แต่ดันตีค่าด้วยแบ้งค์ร้อยแค่1ใบ เท่าเก่า
ไม่รู้จักปรับตัว
ถ้ารายได้มันเพิ่มขึ้นเยอะเท่าราคาของ กุว่าคนทั่วไปเค้าคงเอาเงินห้าร้อยหรือพันนึงเป็นเกณท์แทนแล้วว่ะ ที่มันยังเอาแบงค์ร้อยมาเทียบอยู่ก๋เพราะรู้สึกว่าเงินร้อยนึงกว่าจะทำงานได้มันมาก็ยากเท่าเดิม ค่ากินอยู่ในไทยแม่งแพงเมื่อเทียบกับรายได้ต่อหัวของคนไทย
ถ้าเทียบรายได้กูเยอะมากกว่าเดิมปีต่อปีนะ มากกว่าอัตาเงินเพ้อหลายเท่า
แต่อันนี้กูแนะนำนอกเรื่องนะ อย่าเน้นฝากไว้ทั้ง 100% เปลี่ยนเป็นถือครองสินทรัพย์อย่างอื่นด้วย
ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือเงินสกุลอื่นไว้ บ้างก็ดี อย่าหวังอะไรมากกับเงินบาทมาก มันมีแต่ลดค่าลงเรื่อยๆ
แถมลดแบบไม่รู้ตัวอีกต่างหาก =__=
>>819 รายได้เพิ่มขึ้น แต่อย่าลืมว่าของที่จำเป้นกว่ามันแพงขึ้น
คนส่วนใหญ่อยากให้รายได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าของอุปโภคหลักๆ อย่าง ข้าวแกง บะหมี่ ไม่เพิ่มตามแบบนี้ แต่ความจริงรายได้เพิ่มแต่ข้าวแกงจาก 20 กลายเป็น 40 (ไม่นับไอ้เจ้าที่คงราคาได้) บะหมี่จาก 30 บาทกลายเป็น 50 บาท... ถ้าข้าวแกง บะหมี่ ราคาไม่เพิ่มกุว่า ถึงหนังสือการ์ตูนราคาเพิ่มก็อาจจะรู้สึกตรงนี้น้อยกว่า
>>819 รายได้เพิ่มขึ้นก็จริง แต่มันไม่ทันกับค่าครองชีพที่ถีบตัวขึ้นไปด้วยไง คนบางส่วนไม่มองจุดนี้เลยคิดว่าเศรษฐกิจตอนนี้ดีแล้ว พาลมองว่าพวกที่มาบ่นๆกันคือดิสเครดิตทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไปซะฉิบ
ตอนนี้อาหารจานเดียว หรือแม้แต่ของสด ค่าน้ำมัน ค่าโดยสาร ค่ากินอยู่ ทุกอย่างขึ้นราคากันไปหมด สวนทางกับรายได้ต่อหัวที่ถือว่ายังน้อยอยู่สำหรับคนไทยโดยรวมนะ
นึกว่าเข้าผิดห้องนะเนี่ย
แต่เห็นมีโม่งนักแปลบางคนได้เห็นอัตราค่าแปลจากค่ายหน้าใหม่
และพูดออกมาว่าอย่าง.....
ก็ได้แต่คิดว่าจะมีคนไปทำงานด้วยเหรอ
ค่ายหน้าใหม่มันก็คือค่ายหน้าเก่าที่กดราคาได้... อยู่แล้วน่ะแหละ เพียงแต่งวดนี้แค่พ่วงชื่อยุ่นเข้าไป
ขำว่ะ เซเล็ปวงการตัวไหนออกมาพูดว่าค่าแปลจะแพงขึ้นวะ มั่วชิบหาย
เห็นความซบเซาของวงการหนังสือบ้านเราแล้ว อยากรู้ว่าอัมรินท์ที่ร่วมกับคาโดคราวนี้จะยืนระยะได้นานแค่ไหน ไม่ใช่ว่าไม่ถึงปีหรืองสองปีก็จอดป้ายนา
2-3 สัปดาห์ ถ้ามังงะจะชิลมาก ถ้านิยายจะสัดหมามาก ตกลงเรทนี้แปลอะไรกันแน่
กูเข้าใจมาตลอดว่าสนพ.มันเน้นนิยาย LN
กูขอทำนายไว้ว่าเรื่องที่ Kadokawa จะเปิดตัวเป็นนิยายที่เพิ่งถูกทำเป็นอนิเมเมื่อซีซั่นก่อน เป็นเรื่องน้ำดีที่ผู้ชายเต็มไปหมดแต่ไม่วาย //รอดูกันต่อไป
เป็นเสือนอนกินค่าลิขสิทธิ์ดีๆไม่ชอบ
การ์ตูนไม่มีวันตายนะคับ (แต่ปิดซะงั้น)
https://www.facebook.com/Siamintercomics/videos/1305834062812531/
vbk ไม่ทำ kc digimag แล้วหรือไง หายไปนานแล้วนะะะ
>>847 ตอนนั้นฝูงคุชาบูเข้าไปได้ยังไง PRกันล้วนๆ หวานหูจนมดขึ้นเชียว VมันทำPRไม่เอาไหนไง มันเลยโดนด่าเอาๆอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งที่ปัจจุบันSมันก็เป๋พอๆกับVแหละวะ ตอนนี้กูไม่เชื่อใจพวกบิ๊กทรีรุ่นเก่าแล้ว แทบจะซื้อแต่หนังสือของDกับZ ถ้าเรื่องไหนบิ๊กทรีเก่าได้ไป แล้วกูอยากอ่าน กูก็จะซื้อเล่มญี่ปุ่นเอา สั่งคิโนะ จบทุกอย่าง
ตอน S ปากหวานบอก หนังสือการ์ตูนไม่มีวันตาย แล้วให้สัมภาษณ์สวนทางกับ V จน V เสียหมา ตอนนั้นผลฟุตบอลยังไม่ออกมาเปล่าวะกูจำไม่ได้
แต่ช่วงนี้ V ออกรัวๆ คอมเม้นไปทางบวกจนหนังคนละม้วนกับช่วงแรกเลย 555
เดน ยู เดน เป็น ฝัน กู ขอฝัน Yoku Wakaru Gendai Mahou ด้วยซิ กูชอบเจ๊แว่น
V ออกรัวนี้เกี่ยวกะงานหนังสือไหมครับ เช่นว่ากลัวเสียหมาไม่มีเล่มใหม่ๆไปขาย
ช่วงก่อนงานหนังสือมันออกรัวอยู่แล้ว ขืนออกในงานวันละเล่มก็โดนตามด่าอีกหรอก
ช่วงนี้กุเห็นแต่บงกชกับ LP ที่ยังพอมีประกาศ lc เรื่องใหม่ๆ มาเรื่อยๆสม่ำเสมอ มันก็พอสะท้อนสภาพการเงินได้ ถึง LP แม่งจะแทบไม่มีนิยายเลยก็เหอะ
กุเลยอยากรู้เรื่องบงกชอะ เห็นมันทำหนังสือหลายประเภทอยู่ มันมีบริษัทไหนเป็นแบคให้รึเปล่าวะ?
lp เก็บนิยายไว้ถล่มรวดเดียวในงาน ร้านข้างนอกจะฉิบหายช่างมัน
บงกช ขายพวกเอ็ดดูเทนเมนท์รวยหว่าทำการ์ตูน มึงลองไปดูพวกร้านเครื่องเขียนตามบ้านนอกดู (โมเดลแบบโรส -เซ็นชู ขายพวกระบายสีเซนไตรวยกว่า บอกนิดว่าของบงกชคือระบายสีดิสนี่ย์)
ตอน frozen บูม เด็กคนไหนๆก็คงอยากระบายสีเอลซ่ากัน
LP นี่กูค้นพบว่ามันจับกลุ่มเล็กๆแต่พร้อมจ่ายได้กลุ่มนึง คือการ์ตูนของ LP หลายๆ เรื่องจะชัดเลยว่าดังจากที่มีคนแปลไทยให้อ่านออนไลน์ พอ LP เอามาขายก็มีคนที่ตามมาซื้อเพราะว่าเคยอ่านออนไลน์ อย่าง Horimiya ของสยามก็ใช้วิธีนี้ แต่ LP จะเห็นชัดกว่าเยอะ
มันก็มีช่องตรงนี้เกิดขึ้นมา แต่อย่าเหมาไปว่ามันจะทำแบบนี้ได้ทุกเรื่องนะ กูเห็นในพันดริฟท์พยายามขุดว่า แสกนมีประโยชน์นะ ทำแบบนี้ได้
>>856 ไอ้วลีนั้นมาก่อนวรวีจะโดนฟีฟ่าปลด
กูยังขำไอ้พวกกองอวยอยู่เลย แหมบก.S ผู้ได้อย่างคนมีวิสัยทัศน์ ทำไมปีเดียวแม่งเลิกซะงั้นวะ
http://pantip.com/topic/34048841
https://www.gconsole.com/gconhub/?page=forum_detail&id=69625
กูก็ไม่อยากดูถูกหรอกนะแต่พวกห้องการ์ตูนแม่งโชว์อะไรโง่ๆ(แต่พิมพ์เหมือนจะฉลาด)เรื่องธุรกิจมาหลายรอบนานมากล่ะ ไม่พัฒนาสักที
แต่กูก็เสียใจที่มันปิด กูนึกว่ามันจะไปรอดกว่านี้นะ C-Kids
ส่วนใหญ่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อทั้งนั้น ไม่ขอเงินแม่ก็ลูกจ้างระดับล่างสุด แต่เล่นใหญ่กว่าผู้บริหารพันล้าน
ถ้าเกิด V แม่งรอดไปได้แล้ว S กะ N ร่วง นี่ยิ่งยืนยันชัดเลยว่าคุไทยแม่งบ่นเสียงดังแต่ตังค์ไม่ค่อยจ่าย
>>870 Express กูดูยังไงก็ไม่รอดข้อเสียมันหนักเกินไป
ทั้งถีบหัวส่งลูกค้าเก่าที่ทนซื้อกับมันมานาน แต่ลูกค้าใหม่ก็ไม่เพิ่มเยอะพอทดแทนลูกค้าเก่าได้
วันพีชเริ่มขี้โรคหยุดที ก็ไม่คุ้มที่จะซื้อล่ะ การ์ตูนไทยก็ใช่ว่าจะเป้าหมายกลุ่มคนอ่าน
การ์ตูนจบไปหน้าหดลง การ์ตูนญี่ปุ่นใหม่ๆในจั้มป์ก็ไม่กล้าเพิ่มลงไปกลัวแม่งแป๊ก แต่ไม่กลัวลูกค้าซื้อมาไม่คุ้มราคาบ้างวะ
แถมไม่แก้ไขด้วยกะปล่อยแม่งให้นอนฟื้นเองไม่ได้ก็ตายห่าไป
แถมอายุขัย C-kids Express แม่งพอๆกับตอนสยามทำนิตยสารการ์ตูนไทยชื่อ Fusion เลย แต่เสือกไปเล่นกลุ่มตลาดพวกขายหัวเราะมหาสนุก ปีเดียวเลิกเหมือนกัน
เหมือนทำมาลองตลาด ครบปีดูไม่ดีก็เลิกทันทีลอยแพลูกค้า วิสัยทัศน์ดีเหี้ยๆ
>>874 คนละหัวกัน
vision - นิตยสารฝั่ง sunday เช่น เปลวฟ้าผ่าปฐพี
champ - นิตยสารการ์ตูนเกาหลีไซส์เดียวกับอันบน ที่มีพวกโซมาร์ฯ นักรบครบสลึง
d comic - นิตยสารการ์ตูนไซส์เล่มเล็ก ( แอสไพรินกูล่ะ?)
Comic zone - นิตยสารรายเดือน afternoon เช่น amg,ฤทธิ์ดาบฯ
Fusion - นิตยสารการ์ตูนไทยรายเดือนของสยามอีกหัว แต่มาเป็นการ์ตูนแก๊กแบบขายหัวเราะมหาสนุก
ล่าสุด http://pantip.com/topic/35635218
เห็นมีแต่พวกปากดีมา comment เหมือนเดิม 555
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2316939491778110&id=2179971985474862
คห. 14 มาเขียนไม่ดูตาม้าตาเรือ คงไม่ใช่คนในโม่งนะมึง
>>883 เออ ก็ดีแล้วเห็นมึงมาอะไรๆกับ S กับ N กุละมึน .. N เน่าน่ะยังไม่เท่าไหร่ แต่ S เน่าสะเทือนวงการยิ่งกว่า V อีก ไม่ใช่สะเทือนเพราะคุมันอวย แต่เพราะการ์ตูนที่มันถืออยู่มันเยอะ แถมแต่ละเรื่องยาวพอๆกับที่ V มันถือเลย S เป็นเจ้าที่กุภาวนาให้เน่าน้อยที่สุดแล้วไม่งั้นวงการหนังสือการ์ตูนมีปัญหาแน่ๆว่ะ
>>863 ลิเกนี่เป็นความบันเทิงระดับ "ราก" ของไทยเลยนะ ฐานผู้ชมกูว่าหลักล้านเป็นอย่างต่ำ ถ้าพวกมึงเกิดก่อนยุค 90's
มึงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่าพระเอกลิเกดังๆได้เงินจากแม่ยกลิเกคืนล่ะหลักแสน แสนที่ว่าคือเงินที่ติดพวงมาลัยห้อยคอ
จนบางทีโดนมือปืนตามเก็บเพราะผัวแม่ยกหมั้นไส้ก็มี
ส่วนเพลงลูกทุ่งก็แนวๆเดียวกัน แต่ฐานผู้ชมใหญ่กว่า กูตีว่าไม่ต่ำกว่าสิบล้านน่าจะเป็นรองแค่ละครหลังข่าว
ฐานใหญ่ขนาดนี้ทำสินค้าออกมายังไงก็มีคนซื้อ
ส่วน >>864 กูเดาว่านอกจากพ่อแม่ซื้อให้ลูก ที่โรงเรียนก็น่าจะมีส่วนเสริมด้วยว่ะ โรงเรียนอนุบาลหรือโรงเรียนประถม(ป1ป2)
มันมีกิจกรรมวาดรูประบายสีให้เด็กอยู่ ต้นทุนกระดาษนิดเดียว ขายกำไรต่อเล่มไม่มากแต่ถ้าคนซื้อเยอะๆคงกำไรเยอะอยู่
สิ่งที่คุพันทิปมันไม่เคยมองก็คือยังไงการ์ตูนก็เป็นแค่สื่อบันเทิงกระแสรองที่ฐานลูกค้าไม่มาก
ลิเกที่มันยังรอดอยู่ได้ ก็เพราะกลุ่มเป้าหมายเป็นพวกที่ควักตังซื้อจริงๆ และลุงๆ ป้าๆ พวกนี้ไม่ค่อยได้ใช้ internet เลยเป็นช่องให้ตลาดนี้ยังอยู่รอดได้ อย่างพวกการ์ตูนเด็กอีกช่องนึง กลุ่มพวกนี้ซื้อไปให้ลูกดู ไม่ต้องเรื่องมาก ไม่ต้องดีเด่ ซื้อๆ ซะ จบ เจ้าหญิงเหี้ยไรไม่รู้ เอลซ่าจีนแดง ก๊อปมั่วๆซั่วๆ พ่อแม่ไม่สนใจหรอก
พอคิดๆ ดูว่าตลาดลวกๆ แบบนี้แม่งอยู่ได้ แต่ตลาดคุที่ตั้งใจทำตรากตรำเพื่อไวฟุแม่งกลับอยู่ไม่ได้
>>893 เมิงงจะไปว่าเหมารวมไม่ได้หรอกว่าพวกที่ออกมาพูดไม่ได้ซื้อ พวกมันจะอาจจะซื้อแต่ยอดไม่ถึงจุดคุ้มทุนที่บริษัทต้องการก็ได้ เพราะคนซื้อหนังสือการ์ตูนสมัยนี้ก็ลดลงเรื่อยๆ แล้วกุว่าสนพ. มันต้องคิดก่อนออกอยู่แล้วว่ะ ไม่ใช่อะไรง่ายๆอย่างฟังเสียงแฟนๆอย่างเดียวหรอก
ส่วนเรื่องเอาไม่เอา ebook เอ่อ กุว่าพวกนั้นไม่ได้ต่อต้าน ebook อะไรเลยนะ ก็แค่อยากให้ออกเล่มต่อแค่นั้นแหละ เพราะบางเรื่องเก็บมาสิบยี่สิบกว่าเล่มแล้วต้องไปซื้อ ebookเก็บต่อนี่...คงไม่ได้ล่ะ
>>893 มึงรู้ได้ไงว่ามันไม่ซื้อ ??? มโนมาจากไหน ... มันอาจจะซื้อ แต่ที่ซื้อคือมีแต่พวกมัน มึงก็รู้นีว่าเวลาจะพิมพ์การ์ตูนมันต้องมีโควต้า ถึงไอ้พวกมาเรียกร้องมันซื้อ แต่พวกที่ไม่ได้เรียกไม่ซื้อมันก็ไม่ต่างกัน อย่างพวกเรียกร้องมี 10 คน แต่โควต้าต้องพิมพ์ 100 เล่ม ต่อให้ไอ้ 10 คนซื้อ แต่อีก 90 เล่มมันขายไม่ออกก็จบ
เป็นกูจะเรียกไอ้พวกย้อนแย้งนะ
เช่น
ปากบอกช่วยอุดหนุนลิขสิทธิ์ค่ายนี้อยากให้วงการการ์ตูนเติบโต
แต่พอเป็นค่ายที่มันอคติก็ปากบอกให้ช่วยกันอุดหนุนสแกนเถื่อนเอาแม่งให้เจ๊ง
วงการการ์ตูนมันถึงเจริญเหี้ยๆสิครัช
ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว พอมีคนทำเถื่อนขายโคตรแพงก็เสือกเลียกันจนไข่เปียก
สมมติถ้าพวกมึงทำธุรกิจสนพ.การ์ตูนอยู่ มึงจะมีแผนการตลาดรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ยังไงกันบ้างวะ
>>901 ปิดทิ้ง ทำอย่างอื่น เด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ติดเกมสมาร์ทโฟน แทบเล็ต หนัง ละคร ซีรีย์ เกม ง่ายๆ คือคนไม่ค่อยอ่านหนังสือ ตลาดหดเหลือเล็กลง
อีกอันนึงคือทำให้มังงะเป็นของexclusive คนมีตังเท่านั้นถึงจะซื้อได้ กูจะพยายามสร้างค่านิยมใหม่ ว่าคนที่อ่านมังงะเล่มละ 200-400 คือดูดี แต่คุณภาพก็ต้องดีตามไปด้วย คิดว่าน่าจะกำไรครึ่งต่อครึ่ง แต่จะว่าไปคนที่พอมีตังถึงรวยก็อาจจะไม่อ่านมังงะ วัดดวงเอาทำให้ตลาดแคบไปอีก
สัส กูมั่วนะ จินตนาการล้วนๆ
ซื้อเขามามันปรับตัวยาก ทางแก้คือ
1.ซื้อสนพ.ญี่ปุ่นซะ แค่นี้อยากทำไรก็ทำได้สบายใจ
2.ผลักดันมาตรฐาน E - Book ของสนพ.ไทยให้เป็นระบบเดียว
3.เมื่อทำ 1. ได้ก็จัดการพวกละเมิดได้
ปล.กูคิดอยู่ว่าคาโดริน (คาโดคาวะ+อมรินทร์) จะทำข้อ 3. ได้รึเปล่า ในเมื่อมันเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรง
ปล2.กูฝัน
ตามยุคสมัยครับ ต่อไปหนังสือคงกลายเป็นของหายากกันแล้ว มีไว้เพื่อสะสมกันมากกว่าแล้วละมัง
ก่อนหน้านี้การ์ตูนมีไว้อ่าน
จากนั้นก็มีไว้เก็บ
แล้วก็กลายเป็นของสะสม
>>901
- อัพราคาเน้นขายพวกมีตัง
- มีหน้าสีตามต้นฉบับ
- มีของแถมทุกสัปดาห์ที่ไม่ใช่แค่ปก
- วิ่งหาสปอนเซ่อมาลงโฆษณาแล้วขายสปอนเซ่อเริ่มจากถูกๆพอเล่มละไม่กี่หมื่นต่อ1หน้าก็ว่าไป พอดังแล้วค่อบขยับราคา
- เปิดพรีออเดอร์รวมเล่ม ถ้ายอดถึงก็พิม ไม่ถึงก้ไม่พิม จ่ายก่อนด้วย คืนตังไม่ได้ คืนให้เป็นเครดิตในเว็บ แต่ตั้งยอดแค่เท่าทุน กำไรไปหาเอาจากที่วางแผง
ว่าง่ายๆคือทำให้แม่งเหมือนจัมป์ไปเลย ดิวกับทางนั้นว่ากูขอต้นฉบับก่อนมึงวางแผงจริง แล้วเดี๋ยวกูเอามาแปลแล้วขายพร้อมกัน เน้นขายพวกคนมีตังพอ พวกขยะอ่านฟรีปล่อย
กูลังเลว่าจะไปสมัครคาโดริน สรุปว่าค่าแปลห่วยแค่ไหนวะ จะได้ถอยแต่เนิ่นๆ
>>901 เปิดหัวหนังสือวิชาเพศศึกษาและตรวจช่องคลอด
ซื้อ LC เลียนแบบไอ้ยิวมาทำแปลไทยทั้งคอมมิคโล คอมมิคอั๋น มุเกนกลับชาติ แอนเธอเรี่ยม เพนกวิน โทวาโกะ ไคราคุเทน คอมมิคexe ส่วนBLไว้เฟสถัดไป ฯลฯ รวมเล่มเป็นตัวแทนไถ่เอ้ยแจ้งจับได้
เซนเซอร์ไว้มิดชิด ที่อยู่สนพ.ปลอมเอา อาจมีรับโฆษณาติดไว้
อยากได้ไม่เซนจ่ายแยกอีกเรตหรือเป็นรวมเล่มนักเขียนที่ชอบว่าวให้สั่งจองต่างหากถ้าเป้าเยอะอาจได้ราคาพิเศษพ่วงหน้าสี
เน้นตลาดดิจิตอล โอนจ่ายง่ายๆผ่านตู้atm หรือ ตัดเงินผ่านบริการเสริมมือถือง่ายๆทั้ง3ค่าย
.
.
.
.
โทษทีกูเพิ่งฝันกลางวันมา
ห่าเมิง จัมป์ นี่ เล่มหนา บึ้กๆ ซื้อมาก็ คุ้มแล้ว ถ้า เมิงขายเล่มเท่าจัมป์ เล่มละ 120 กูซื้อเลยนะ
ว่าจะถามนานแล้วก็ลืม ทำไมบ้านเราไม่ใช้กระดาษรีไซเคิลบางๆ แบบจัมป์มาพิมพรายสัปดาห์วะ
กระดาษรีไซเคิล jump รายสัปดาห์มันก็เกรดพอๆ กับ รวมเล่มค่าย s ที่มันฟูๆ หน่อยนั่นล่ะ
แต่หมึก s คุณภาพดีกว่าหน่อยตรงที่ไม่เหม็น jump รายสัปดาห์หมึกเหม็นมาก
แถม jump มันขายถูกได้เพราะได้โฆษณาช่วยเยอะ
ค่ายอื่นที่หนาพอๆ กันที่ญี่ปุ่น มันก็ขายเกิน 400 เยนพอๆ กับร่วมเล่มไปล่ะ
กูว่านะ จัมป์แม่งอยู่ได้เพราะของแถมหว่ะ มึงดูดิแม่งแถมนั่นแถมนี่ แถมชิบหายวายวอด แถมจนซื้อหนังสือมาทิ้งเพื่อเอาของแถมเลยก็มี
จัมป์มันหนังสืออ่านแล้วทิ้งนี่หว่า
จำได้เมื่อหลายปีก่อนแม่งมีคนเก็บพวกจัมป์ ไว้เป็น 10ๆปี บนอพาตเมนท์เก่าสร้างด้วยไม้ ชั้น 2
แม่งรับน้ำหนักไม่ไหวจนถล่ม
อ่านซีคิดส์เล่มสุดท้ายละ สงสัยตรงคอมเมนท์นักเขียนของญี่ปุ่น คือเขียนถึงเรื่องปิดตัวด้วย ไอ้ตรงนี้ซีคิดส์นั่งเทียนเขียนเอาเองหรือเปล่า คือรู้สึกว่าทะแม่ง ๆ อย่างแรงเลย
ทะแม่งยังไงรึ กูไม่ได้อ่าน
แต่ตอนสงกรานต์ก็ยังขอให้ทางญี่ปุ่นวาดปกให้ได้เลยหนิ ขอให้เขาคอมเม้นท์ให้ก่อนปิดกูว่ามันก็ไม่แปลกนา
>>938 http://imgur.com/a/BCi3i
FYI ปกนั้นจริงๆคือปกฉลองโอบ้งของญี่ปุ่น
SIC ขอเฉพาะตัวละครของค่ายตัวเองเอามาทำเป็นปก
แต่คนดูแลเพจเสือกซุยว่าญี่ปุ่นวาดให้เป็นพิเศษ
Q.E.D.
นอกเรื่อง นิตยสารปิดไปอีกหัวแล้ว
>>943 จากห้องlit พลอยแกมเพชร >>>/literature/2383/857
https://www.facebook.com/tigatime/photos/a.220789834617009.70227.129941753701818/1454914671204513/?type=3&theater
ขาดทุนย่อยยับ ซื้อ LC มาแล้ว สุดท้ายวางขายไม่ได้
ยุคนี้มันยุค simulcast อยากขายได้มึงต้องฉายพร้อม jap แบบ funds เลย
แต่เรื่องนี้กูอยากซื้อเก็บนะ กูไม่มีความสามารถด้านยุ่นเลย พวกของแถมก็อ่านไม่ออก ก็คงต้องซื้อของยุ่นเก็บแหละ
ลงขันไม่ผ่านแบบ dex รึ .......
กุลองไปไล่ดูในเพจไทก้าแล้วโปรโมตน้อยจริงๆทั้งที่เป็นเดือนสุดท้ายก่อนหมดเขต เจอแต่โคนัน555
https://www.facebook.com/borkormee/photos/a.624434014242508.1073741828.624413564244553/1321808647838371/?type=3
เหยดเข้ บก หมีจริงๆเหรอวะ เขียนดีมีสาระมาก เล่นเอากุเผลอศรัทธาในตัวมันชั่ววูบนึงเลย
สรุป ... คืองี้
- พวกนิตยสารระดับสูง หรือ นิตยสารแบบสกุลไทย ยอดขายเล่มไม่ใช่ปัญหา คนอ่านก็เท่าเดิม หรือ มากขึ้น
- ปัญหาจริงๆ คือ ไม่มีโฆษณาเข้า เพราะพวกโฆษณาเลือกไปทาง อินเตอร์เน็ท เพราะมันเร็วกว่าหลายเท่าไม่ต้องมานั่งรอนิตยสารออกเป็นอาทิตย์ - เดือน
- ส่วนการ์ตูนต่อให้ทำ E Book ก็รอดยาก คนวงในรู้ว่ายอดมันไม่สูงอย่างที่คิด (ยกเว้นมึงจะยอมทำเถื่อนให้ออกเร็วกว่าแสกน)
- วงการเพลงแย่กว่าวงการการ์ตูน 10 - 100 เท่า
TV Magazine ก็เลยยังอยู่ได้ชิวๆ เพราะมีโฆษณาตลอดไม่ได้พึ่งยอดเล่มสินะ lol
>>958 เร็วกว่าสแกนมันก็เร็วกว่าไม่มากหรอกอย่างเร็วสัสๆก็ 2-3 ชม ก่อนสแกนออก ซึ่งพวกที่ตามสแกนเนี่ยถ้าไม่นับพวกเกาะติดหนึบหรือรัยแจ้งเตือนไวมันอ่านหลังจากออกประมาน6ชม-1วันหลังสแกนออกอะซึ่งถ้าแม่งตามแสกนอยู่แล้วอ่านได้เหมือนกันแม่งก็ไม่มาซื้อกันหรอก เพื่อนกูแบบนี้เยอะแยะ และถึงไม่มีแสกนอ่านมันก็ไม่ซื้ออยู่ดี
เรื่องวงการเพลงคือเดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยดังเป็นวงเหมือนเมื่อก่อนแล้วว่ะมันดังเป็นเพลงๆไป และที่ดังเพราะคนแม่งฟังฟรีในยูทูปและเอามาคุย/แชร์ตามโซเชี่ยลไม่ใช่ซื้อมาฟังแล้วคุยกันแบบเมื่อก่อน
วงการเพลง ยุค80-90 ศิลปินดังๆทำยอดได้หลักแสนตลับนะ ปัญหาเทปเถื่อนไม่มี ฟังวิทยุเจอดีเจพูดแทรก RSแม่งโคตรพีคช่วงนี้
ยุค2000 มีปัญหา mp3 แต่อุตสาหกรรมเพลงยังพออยู่ได้ The star AF เรทติ้งแรกๆค่อนข้างดี วงดนตรีร็อคคุณภาพสูงผลิตผลงานหลายอัลบั้ม ถึงมีปัญหายอดขายที่เจอแวมไพร์แต่ก็ทำกำไรจากคอนเสิร์ตได้ และผ่านการออกโฆษณา วงร็อคช่วงนั้นจะเป็นไอด้อลของเด็กวัยรุ่น
ปัจจุบันก็ร่อแร่อย่างที่ข้างบนบอก วัยรุ่นไทยมีทางเลือก ศิลปินต่างชาติเข้ามามีส่วนแบ่ง เหลือBodyslamวงเดียวที่รอดมาได้ ยังพอมีผลงานและแฟนคลับติดตาม(แต่แนวทางเพลงหลังๆก็เริ่มกลายเป็นเพื่อชีวิต)
โมเดลแบบครันชี่ ตอนล่าสุดอ่านฟรี แล้วตอนถัดมาออกก็จะโดนล็อคเสียตังค์
ขายโฆษณากับตอนใหม่ ขายรวมเล่มตอนเก่า จะรอดมั้ยวะ
หัวใหญ่อย่างจัมป์อาจจะยาก แต่หัวอื่นก็เห็นมีแบบนี้อยู่มั่งแล้ส ทั้งญี่ปุ่นทำเอง หรือ เมกาขอทำแบบครันชี่
สิ่งที่เมกาต่างกับของไทยคือ เรื่องใน jump ที่หัวดังๆ ถ้าไม่ขวนขวายอย่างจริงจังจะหาอ่านเถื่อนไม่ได้
โดน block ตั้งแต่ google หาไม่เจอ โดน DMCA ยิงทิ้งหมด แต่เรื่องอื่นนอกจากหัวดังๆ แทบจะไม่มีคนอ่าน
ส่วน Crunchyroll รายได้จากการขายของเล่นเยอะกว่าส่วนหนังสือการตูน
>>963 สเปนเซอร์ใหญ่คือขนมยูโร จาก บริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด
ที่มีชื่อ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ หุ้น TH
บริษัท ตงฮั้ว โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งทำสื่อและสิ่งพิมพ์
เพื่อนโม่งพอจะมองเห็นความสัมพันธ์บ้างนะ
ทำแบบ DEX ก็ดีนะเหมือนที่ให้ดู LL ฟรี อาทิตย์ต่ออาทิตย์ จบวีคนี้แล้วล็อคอยากอ่านย้อนหลังก็จ่ายตัง
แต่ก็อย่างว่าอะคนไม่ซื้อไม่ก็ไม่ซื้อ
ตัว LL เองก็ใช้ว่าจะขายแค่ตัวอนิเมด้วยนินะ สินค้าอื่นๆที่ dex เอาเข้ามาคงเป็นจุดสำคัญมากกว่า
DEX นี่ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวนี้ขายของเล่นเป็นหลักเหรอวะ ไอ้ร้าน Yumeya ของมันนั่นก็ร้านขายของเล่นดีๆนี่เองนิ
ถ้าเกิดอีกหน่อยสนพ ทำนิยาย มังงะ มาขายแต่ฟุ เป็นผู้ซื้อหลัก มึงจะทำยังไงกันวะ
คุไทยปากดี บ่นแต่ไม่ซื้อ
อยากได้เหมือนญี่ปุ่นหมด แต่กุขอจ่ายเท่าเดิม
บางทีทำมาให้ตามปาก สรุปสุดท้ายเสือกไม่ซื้อ
ทำมาหาแดกกับคุไทยลำบากชิบหาย
ทำไม... ไม่บล็อกเว็บอ่านการ์ตูนเถื่อน ดูเมะเถื่อน แบบที่บล็อกเว็บลามากบ้างวะแหม่
สารภาพว่ากูไม่เห็นจุดที่มันเปิดให้พรีเลย ถึงกูจะไม่พรีอยู่แล้วเพราะไม่ได้ตามก็เหอะ
ไอ้เรื่องของ Tiga จะขายไม่ออกก็ไม่แปลก แม่งเล่นสปอยในเน็ตกันกระหึมว่านางเอกตาย ขนาดกุไม่เคยดูเรื่องนี้สักนิด กุยังไม่คิดจะชื้อมาดู หรือ โหลดมาดูเลย เพราะนางเอกตาย เพราะงั้นมันไม่เกี่ยวกับเว็บเถื่อนหรอก สมัยก่อนกุยังโหลดนาเดชิโกซับอิงมาดู มันก็ยังขายได้นี่หว่า เมะในไทย
จะว่าไป Re zero กระแสแรงขนาดนี้ไม่มีค่ายไหนประกาศ LC ท่าทางจะเข็ดกับคุไทยจริงๆ
วงการ anime ไทยแม่งถ้าจะเข็นไม่ขึ้นจริงๆล่ะวะ
จะออกเรื่องเหี้ยอะไรที ก็จะมีพวกมาสปอยตอนจบจากยุ่นจนหมดเหี้ยน เจอแบบนั้น
ใครที่ไหนมันจะซื้อไปดูต่อถ้าไม่ใช่แฟนจริงๆ
Re zero จะเห่อกันได้สักกี่เดือนขึ้นซีใหม่ก็เปลี่ยนไวฟุกันหมดแล้ว 5555
นาเดชิโก้มี ขายแบบ LC ด้วยเหรอวะกูไม่เคยเห็น
ก็อนิเม กูอยากได้ภาพ HD (720 นะ) แม่งเจือกขายแต่ 480 ตรงนี้ว่าเขาไม่ได้เพราะทางต้นสังกัดมันไม่ได้เอา 720 มาให้
>>990 อยากรู้ไหมว่าพวกสปอยเยอะๆมันอยู่ที่ไหนกัน มึงไปดูในพันทิพดิ มู้มาครอส บรรยายทุกเหตุการ ทุกภาพ ยิ่งกว่าเปิดดูเองอีก กุว่าไอ้แบบนี้ล่ะทำลายวงการยิ่งกว่าแฟนซับสะอีก แฟนซับแม่งก็แค่แปลแบบกากๆ ดูตามก็ไม่รู้เรื่องมากเท่าไหร ถึงต้องตามซื้อ LC ไทย เจอสปอยแบบละเอียด กับในเฟสบุ๊คเข้าไป แม่งไม่ต้องดูล่ะ รู้เรื่องหมดจบยังไง ปริศนาที่วางไว้เป็นยังไง
>>992 ค่ายไหนว่ะที่เอาไอ้มดดำเข้าไทยสมัยเป็นวิดีโออ่ะ กุจำชื่อไม่ได้
รายการโยนขี้ให้สปอยล์ยังมีมาเรื่อยๆ ก็น่าตลกว่าญี่ปุ่นทำบล็อกกันเป็นเรื่องเป็นราวลงภาพลงบทพูดเสร็จสรรพยังไม่เห็นโดนกล่าวหาว่าทำลายวงการ
แล้วซับอิงที่กุดูมันต่างจากที่พวกยุ่น หรือ คนไทยที่ไปอาศัยในยุ่นอย่างเพื่อนกุ อัดวิดีโอไว้ดู ยังไงหรอว่ะ ถึงชอบมาด่าคนดูซับอิงว่าปลิง ในเมื่อดูเสร็จถ้ามันดีกูก็ชื้อ ไม่ต่างจากพวกยุ่นที่อัด
กูว่าปัจจัยจริงๆ ที่ทำให้มันไปต่อไม่ได้คือจำนวนคนที่อ่านหนังสือมันลดลงว่ะ มึงลองสังเกตคนรอบตัว เพื่อนมึงดู มีที่คนที่ยังดูอนิเมะ อ่านมังงะ
จบเหอะไปมู้หน้า เตรียมตั้งยัง
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.