Last posted
Total of 260 posts
ช่วงนี้เพจและช่องเติมโตขึ้นไปมากเลยครับ เลยถือโอกาสแนะนำซีรีย์ที่ผมรักที่สุด ที่เป็นที่มาของชื่อเพจนี้สักหน่อยว่า ทำไมมอนไดจิ ถึงเป็นอนิเมะ ไลท์โนเวลที่แตกต่างและมีจุดเด่นแตกต่างจาก "ต่างโลก" โดยทั่วไป สำหรับผมที่สัมผัสแนวต่างโลกมาอยู่พักใหญ่ๆช่วงมัน Fever ครับ
จุดเด่นหลักๆ 5 อย่างที่ผมคิดว่ามันคือจุดขายของมอนไดจิ ตัวป่วนชั้นเซียนมาตบเกรียนถึงต่างโลก นอกจากจุดขายของพระเอกที่เทพซ่าส์ เดินทางไปต่างโลกแล้ว จุดเด่นต่างๆที่ทำให้ผมหลงรักเรื่องนี้ และมันเป็นเสน่ห์ที่เป็นจุดขายของเรื่องนี้คือ
//แตกต่างอย่างมีชั้นเชิง//
1.พระเอกที่โครตเก่ง แต่โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเอง
ซาคามากิ อิซาโยอิ คือพระเอกที่เก่งเทพมากๆ เรียกว่าใครได้อ่านนิยาย หรือ ดูอนิเมะก็ตาม คงจะตกใจกับความเทพซ่าส์พี่แกที่มีของ อัดศัตรูปลิวเป็นใบไม้ร่วงกันเลยทีเดียว ซึ่งมันเป็นปกติของแนวพระเอกเทพในต่างโลกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ทำให้เหนือไปอีกด้วยการที่
"เจอระดับบอส แต่ก็ยังต่อยทีเดียวปิดฉากได้"
นั่นคือช่วงที่ได้เจอกับบอสช่วงแรกของเรื่องครับ ซึ่งใครๆก็คิดว่ามันตึงมือแล้วแน่ๆ เอ็งเจอของจริงแน่อิซาโยอิ แต่สิ่งที่เรื่องนี้นำเสนอคือพี่แกก็ยังเก่งเวอร์ชนะจอมมารได้อย่างสบายๆอยู่ดีๆ (ซึ่งมาเฉลยทีหลังว่าจอมมารโดนเนิฟไปมากแล้ว)
โดยที่พอมันเป็นแบบนี้ ใครเบื่อแนวพระเอกเทพอาจจะเบือนหน้าหนีไปเลย เพราะเดาพลอตได้ใช่ไหมครับว่า ไอ้พระเอกเทพแบบนี้ เวลาสาวๆมีปัญหา เดี๋ยวพี่ก็ก็เคลียร์ให้ แต่เปล่าเลยครับ พระเอกเรื่องนี้
"โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเอง"
เพราะพี่แกจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ในสถานการณ์ต่างๆเกินควร และต่อให้เก่งขนาดไหน มันก็ยังมีจุดเด่นที่ทำให้เรื่องนี้แตกต่าง ที่ทำให้มันคือจุดขายที่ไม่เหมือนใครและเป็นความ "แตกต่างที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้" ดังข้อที่สองครับ
2. กฎของกิฟท์เกม ที่ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องทำตามกติกา
โลกของเรื่องนี้ มีโลกทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับเกมครับ เราเรียกมันว่า "กิฟท์เกม" ซึ่งมันทำให้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนี้นั้นจะมีการต่อสู้ด้วยเกมเป็นเดิมพัน หากทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วย ก็ไม่สามารถเริ่มเกมได้ และ ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งระดับไหนก็ต้องทำตามกฎของเกม
ตัวอย่างที่เราเห็นได้ง่ายๆคือมีตัวตนระดับที่ หากอ้างอิงจากนิยายเล่มล่าสุดที่ Last Embryo 8 นั่น นี่คือตัวตนที่เก่งที่สุดของเรื่องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ด้วยกฎของกิฟท์เกมที่มาชนะทางเธอ ทำให้ตัวเธอนั้นต่อให้จะแข็งแกร่งขนาดไหน ในอนิเมะช่วงท้ายของซีซั่น 1 นั้น เราก็จะเห็นว่าเธอไม่สามารถทลายกรงขังนั้นออกมาได้
นั่นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าใครก็ต้องอยู่ในกฎของเกม เล่นนอกเกมไม่ได้ เพราะกิฟท์เกมคือกฎสูงสุดในเรื่องนี้ และมันคือเอกลักษณ์ของเรื่องนี้เลยหละครับเพราะว่าเรานั้นต้อง
"ใช้ทั้ง พลัง ความกล้าหาญ และปัญญา ในการพิชิตเกมและบททดสอบต่างๆ"
กล่าวคือคุณจะเก่งขนาดไหน ไม่สำคัญ หากคุณมาอยู่ในเกมนั้น คุณก็ต้องเล่นกติกาเดียวกับเกม ทำให้มันคือการบังคับให้พระเอกอย่างอิซาโยอิ ไม่สามารถแสดงความเทพของตัวเองออกมาได้ซึ่งต้องใช้ทั้งพลัง ความกล้าหาญ และความรู้ ความเข้าใจต่างๆ ในการต่อสู้ในแต่ละครั้ง มีแต่บู๊อย่างเดียวไม่ได้ต้องบุ๋นด้วย ทำให้มันมีเสน่ห์ในการต่อสู้ของกิฟท์เกมแต่ละครั้งมาก และมันเลยกลายเป็นตัวละครอื่นมีบทบาทกันไม่มีใครด้อยไปกว่าใครอันเป็นเอกลักษณ์ที่สามของเรื่องนี้
3. การกระจายบทที่ชัดเจน ไม่มีใครเด่นไปกว่าใคร
นี่คือหนึ่งในจุดขายที่ทำได้ยากๆของหลายๆเรื่อง ที่มีตัวละครเยอะครับ ยิ่งมีตัวละครเยอะเท่าไหร่ การกระจายบทยิ่งยากเท่านั้น ปกติมันจะเน้นไปที่พระเอก กับสาวๆแต่ละคน มีโมเม้นหวานชื่น หลังช่วยเสร็จ แต่เรื่องนี้ไม่ เรื่องนี้นั้น แบ่งบทตัวละคร ทั้งโมเม้นต์ ความรัก ความสัมพันธ์ต่างๆ อย่างลงตัว และไม่มีใครเกินหน้าใคร
ฉากสู้ของสองนางเอกที่มากับอิซาโยอินั้น ต่างมีบทบาทที่สำคัญ จากเด็กสาวอ่อนแอ ที่เข้ามาในโลกของทวยเทพ ก็ค่อยๆพัฒนาขึ้น ไล่ตามอิซาโยอิ มายืนเคียงข้างเพื่อร่วมสู้กับเขาได้
การกระจายบทต่างๆ ในฉากสู้นั้น แต่ละคนจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทำให้การรับมือศัตรูนั้นจะต้องใช้ความถนัดของแต่ละคนในการเข้าสู่ ซึ่งแม้หลังๆจะเจอพวกตึงมือมากๆ แต่อีกเอกลักษณ์ที่เรื่องนี้ทำได้ดีก็คือ จุดเด่นที่สี่ของเรื่องนี้
4. การคุมสเกลที่มีชั้นเชิง บทบรรยายการต่อสู้ที่ทำให้เห็นภาพ
ศัตรูของเรื่องนี้จะเริ่มไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามโลกทัศน์ของสวนกล่อง ที่ถูกเซ็ตไว้ด้วย ประตูที่เรียกว่า "หลัก" หลักของตัวประตูนั้นจะเริ่มที่ 7 หลักไปจนถึง 1 หลัก ซึ่งอิซาโยอินั้นจะเป็นคนที่ฝีมืออยู่ระดับกลางๆของโลกสวนกล่องแล้วตั้งแต่เข้ามาแล้ว ทำให้ไม่แปลกเลยที่เขานั้นจะชนะศัตรูในช่วงแรกๆได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งสเกลของศัตรูจะค่อยๆพัฒนาขึ้นไปเมื่อพวกอิซาโยอิต้องไปเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้น ตามสไตล์เรื่องราวแนวต่างโลกนั่นหละครับ แต่สิ่งที่ทำได้ดีมากๆคือการคุมสเกลของตัวละครและการอัพระดับพลังที่ไม่รู้สึกว่ามันไม่ได้คิดมาก่อน
ปกติเวลาคนเขียนตันเนื้อเรื่อง เพราะสร้างตัวละครเก่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโค่นก็ยิ่งเก่งเรื่อยๆนั้น การคุมสเกลจะเริ่มพัง เพราะแบบไม่ได้คิดไว้ก่อน ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่เรื่องนี้ใช้กิฟท์เกม และ ชั้นเชิงการนำเสนอเกี่ยวกับ ลำดับประตูมาเป็นตัวทำให้สิ่งนั้นถูกคุมสเกลได้อย่างดีครับ
ทุกการปรากฎตัวของศัตรูที่ออกมานั้น จะมีการเพิ่มระดับสเกลที่เรารับได้ คือมันเก่ง แต่มันก็คือเก่งแบบมีเหตุผล และบทบรรยายในการต่อสู้ของเรื่องนี้บอกได้เลยว่า ถ้าอ่านไปจินตนาการตามไปนี่คุณเห็นภาพแน่นอน เพราะคนเขียนอย่างอาจารย์ทัตสึโนโกะ ทาโร่นั้นจบจาก มัธยมปลายที่เกี่ยวกับสาขาการต่อสู้ครับ
ฉะนั้นเขาคืออาจารย์ที่รู้จักการต่อสู้อยู่แล้ว (แล้วมาเป็นนักเขียนำทำไม 5555) เลยสามารถเขียนฉากสู้ของเรื่องนี้ได้สนุกมาก เมื่อเหล่าตัวละครระดับสูงเข้าปะทะกัน และมันมีถึงขั้น ฉากที่แบบ อ่านไปขนลุกไปเมื่ออิซาโยอิต้องเผชิญกับกำแพงจริงๆ ที่โหดหินยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่หลายๆคนยกให้ช่วงนั้นคือช่วงที่มอนไดจิพีคที่สุดและกลายเป็นที่กล่าวขานในวงกว้างสำหรับศึกนั้นเลยหละครับ
และมันนำไปสู่จุดเด่นสุดท้ายที่เรียกว่าเป็น คอร์หลักที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ผมติดตามเรื่องนี้และทำเพจมอนไดจิขึ้นมาเลยครับนั่นคือ
5. ปริศนาที่วางไว้อย่างแยบยล และเชื่อมโยงกับตำนานต่างๆได้ลงตัว
มอนไดจิคือนิยายที่ผมกล้าพูดเลยว่า หากคุณลิสต์ข้อสงสัย หรือคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบนั้น หรือยังรอการเฉลยนั้น มันเกิน 20 คำถามแน่ๆครับ เพราะคนเขียนนั้นฉลาดในการเล่าเรื่องมาก
บางสิ่งที่คุณคิดว่ามันไม่มีประเด็น อ่านผ่านๆไป เมื่อคุณอ่านไปถึงบางช่วงที่เรื่องมันเฉลยข้อมูลบางอย่างออกมาแล้ว และคุณกลับไปหยิบสิ่งที่คุณอ่านข้ามหรือไม่เข้าใจในตอนแรกอีกครั้ง มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า
"การเชื่อมโยงและคำถามใหม่"
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมสนุกมาก ที่ต้องไล่คิดตามคนเขียนว่า ตาทัตแกวางอะไรไว้ และแกวางไว้ไกลแค่ไหน เสน่ห์อย่างถึงที่สุดของมันเลยคือ เมื่อคุณอ่านไปถึงภาคสอง มันจะมีบางสิ่งที่แกวางไว้ถึงในตอนแรกตั้งแต่เขียนมา และนับถัดไปอีก 7 ปี ถึงจะเฉลย และเป็นการเฉลยที่
"โครตลงตัวแบบลงตัวมากๆ"
ชนิดว่าหาก คิดไปเขียนไปไม่มีทางทำได้เลยครับ เพราะมันจะขัดกันไปหมด แต่อันนี้ไม่มีรอยต่อตรงนั้นเลย ทำให้การเชื่อมโยงเรื่องนี้นั้น โยงกันยุ่งเหยิงไปหมดจนผมต้องมาทำเพจ เพราะมันละเอียดและมีอะไรให้คุยกันเยอะมาก ออกมาเล่มเดียว แต่คุยกันได้เป็น 100 โพสยังได้เลย เพราะเรื่องนี้มันมีปริศนาที่น่าติดตามและคนเขียนวางพลอตไว้ไกล และคุมได้ดีมาก
ซึ่งไอ้ความลับ ปริศนาพวกนี้หละที่มันจะไปโยงกับ ตำนานของทวยเทพ กิฟท์เกมต่างๆที่เป็นจุดเด่นนั้น จะถูกเล่าผ่านตำนานเรื่องเล่าที่เรารู้จักกันดี แต่ถูกปรับแต่ง เสริมใหม่ให้เข้ากับบริบทของเรื่อง การจะไขปริศนาบางอย่างต้องใช้ความรู้จากตำนาน ซึ่งสิ่งที่ผมเขียนไว้ว่าแกวางไว้ 7 ปีนั้น มันมีบางตำนานที่โยงกับสิ่งนั้นด้วยครับ และแบบผมขนลุกมากว่า แกคิดไว้ถึง 7 ปีเลยเนี่ยนะ จะ Just The Plan เกินไปแล้วตาทัต!!!
//ต่างโลกที่แตกต่างและมีชั้นเชิงอย่างถึงที่สุด//
และนั่นคือมอนไดจิ เรื่องที่ผมรักที่สุดอันเป็นที่มาของเพจนี้ครับ มันคือนิยายที่มีความเป็นต่างโลก ที่อิงกับตำนานต่างๆสูงมาก มีการคุมสเกลตัวละคร แบ่งบทตัวละครที่ชัดเจน พอถึงจุดบิ๊วก็บิ๊วได้ดีมาก จุดที่วางไว้ให้เราสงสัยเมื่อเฉลยมันก็พีคมาก พีคจนบางทีขนาดรู้สปอยไปแล้ว กลับมานั่งอ่านอีกครั้งก็ยังพีค เพราะคนเขียนเขาบรรยายความรู้สึก ฉากสู้ และความลับต่างๆได้ดีมากจริงๆ
มันไม่แปลกเลยครับที่มอนไดจิจะเป็นเสาหลักของ นิยายต่างโลกของ Kadokawa Sneaker Bunko ด้วยยอดขาย 3 ล้านเล่ม ซึ่งตอนนี้น่าจะ 4 ล้านเล่มไปแล้ว และเป็นอีกเรื่องที่หากมีอนิเมะต่อและได้ทำไปถึงช่วงเล่มหลังๆนั้น เรื่องนี้จะต้องดังและมีผู้คนมากมายให้ความสนใจไม่แพ้ต่างโลกเสาหลักในยุคนี้แน่นอนครับ
แล้วคุณหละ? ถ้าอ่านมอนไดจิ คุณคิดว่าอะไรคือเอกลักษณ์ที่ทำให้มอนไดจิ แตกต่างจากต่างโลกอื่นๆ คิดเห็นยังไงก็มาเล่าให้ผมฟังได้นะครับ
ไอเหีัย เพิ่งไดดูโลกนี้ โลกหน้า ข้าก็พระเจ้า
ความประทับใจแรกคือ นี่มันงานเผามืออาชีพชัดๆ โคตรเหี้ยเลย (ชม)
แม่งขนเทคนิคงานเผามาแทบจะทุกประเภท
ทั้งแช่ภาพนิ่ง เลื่อนภาพแบบสไลด์โชว์ ซูมเข้าซูมออกให้ดูเหมือนภาพขยับ รียูสซีนซ้ำเปลี่ยนแค่บทพูด
cg มอนส์เตอร์ก็โคตรกะหลั่ว (แต่กูฮา)
แต่ที่หนักสุดคือ มันถ่ายฟุตเทจรถแทรคเตอร์ของจริงมาแล้วแปะหน้าตัวละครทับลงไปว้อย
ไอ้สัส เจออันนี้เข้าไปกูหัวเราะลั่นห้องเลย
ฉากที่รายละเอียดเยอะๆ ก็ใช้ภาพพิกเซลแบบเกมสมัยก่อนแทนการวาดมือซะเลย เช่น ฉากซ่อมแชมเมือง
หรือฉากฝูงมอนส์เตอร์ก็ใช้สไปรต์แบบเกม rpg ถมให้เต็มหน้าจอเอา
เนื้อเรื่องก็น่าสนใจดีแต่กูบันเทิงกับการดูงานเผาของแม่งมากกว่าว่ะ
>>236 เอกลักษณ์เรื่องนี้คือคนเขียนเทซีรีย์ตัวเอง เทแฟนคลับตัวเอง เทตัวตนเก่าทุกอย่างในเน็ต เพื่อที่จะไปเป็นนักเขียนในจั้ม
เพจมอนไดก็ต้องกัดฟัน เปลี่ยนแนวทางเพจไปแปลเรื่องอื่นแทนเพราะรับไม่ได้กับการตัดสินใจแก แต่บอกยอมรับในการตัดสินใจแก้เขินไปงั้นและ จริงๆโกรธจารย์คนแต่งตายห่า
ทิ้งซีรีย์ตัวเองครวยคา hee ไม่เยิบให้เสร็จๆไป
ไม่ใช่แบบ กลัวจะเขียนจบออกมากากเหมือนซีรีย์ปัจุบัญช่วงนี้อะ แม่งไม่ทำครวยอะไรเลย
ทิ้งซีรีย์ที่ตัวเองสร้างกะมือ ละไปทำกิจการ ไปทำตามความฝันหีแตตอะไรไม่รู้แม่ง
ถ้าพวกแม่งทำแบบคนแต่ง AoT
ที่เขียนเรื่องจบกุไปทำธุรกิจออนเซ็น บ่อแช่น้ำพุ
เออกุไม่บ่นหรอก เพราะถือว่าแกทำภารกิจลุล่วงแล้ว ถึงซีรีย์มันจะจบ Mid จนถึงเข้าขั้นกากก้เหอะ
เห็น black clover หนังโรงโผล่มาให้เห็นพวกแนะนำหนังจาก netflix กดเข้าไปดูเล่นๆกลายเป็นดูยันจบเรื่องทั้งที่ดูเมะแค่ตอนอัสต้าเพิ่งเข้าหน่วยกระทิงดำกับโนแอลยังเป็นคุณหนูเชิดๆคุมพลังไม่ได้ มังงะก็เพิ่งมาตามอ่านตอนมีแปลไทยที่แม่งก็ปลายเรื่องอยู่ละ
หนังโรงมันทำภาพสวยดีนะ บอสเป็นพวกอดีตจักรพรรดิเวทมนตร์แล้วเก่งกันทั้งนั้นเลย ดูจบเลยมีไฟไปดูแบบทีวีต่อละ เมะมี170ตอนต้องฟังอัสตาแหกปากไปเป็นร้อยตอนเลย เอาวะเพื่อมิโมซ่ากับโนแอลและซิสเตอร์ลิลลี่ ว่าแต่ผกกเมะกับคนเขียนมันนึกไงให้อัสตาเวลาพูดปกติแม่งยังต้องตะเบ็งเสียงตลอดคนพากย์แม่งก็เข้าถึงตัวละครอัสต้าดีจริงๆ ชม
ทำไม พอคนดูเรื่องที่เห็นตัวเอกชอบทำตัวเหลี่ยมๆ โชว์ฉลาดแบบขั้นเทพ เป้นจอมบงการในเมะ แบบอายาโนะโคจิ พวกคุถึงอยากเล่นเป้นคนฉลาดตามบ้าง
>>243 ถ้ามึงจะดู Black Clover อนิเมะ กุขอเตือนว่าพอดูถึงช่วงราวๆ 115-120 มึง skip ไปดูตอน 140 เริ่มภาคทวิปปีศาจได้เลย
ที่เหลือแม่งตอน Filter ขยะๆครึ่งเรื่อง เสียเวลาดูมาก
เกไม่พอ บทแม่งเนิร์ฟสมองจักรพรรติเวทมนตร์ทุกตัว ทำห่าอะไรกับพวกก่อกบฏที่แทบไม่มีเวทมนต์ หรือมีแต่เวทกากๆทั้งนั้นเลย
black cover ed กุชอบเพลง new page ว่ะ
>>243 เรื่องตะเบ็งเสียงนี่เหมือนจะเป็นแค่ตอนแรกๆ นะ กูก็รำคาญฉิบหาย พอสัก 10 กว่าตอนก็ไม่ค่อยทำเสียงตะเบ็งละ(แต่แหกปากเหมือนเดิม)
แล้วมึงอย่าโดนมูฟวี่หลอกเรื่องคุณภาพล่ะ ซีรีส์นี่ยังไงมันก็งานรายสัปดาห์อะ อย่าไปคาดหวังเยอะ (แต่ไอ้ซีนเทพๆ นี่แม่งก็ดีสัตว์ๆ ไปเลย) กับเพลง Haruka Mirai (เพลง OP แรก)นี่เพลงชาติเรื่องนี้เลย ฟังครั้งแรกแม่งก็ J-rock ดาดๆ ทั่วไป แต่พอเอามาใช้ในเรื่องแม่งกลายเป็นขาดไม่ได้เลย 555555
ไอ้ตอนที่ไปช่วยมารีน้องไอ้ซิสค่อมถูกจับไป นึกว่าจะแค่อีเวนท์สั้นๆแค่ทำมาเชื่อมความสัมพันธ์ให้อัสต้าแต่แม่งซัดกับพวกระดับโครตบอสกันหลายตัวเลย ถ้าไม่ยัดตลกแทรกบ่อยระหว่างสู้กันเครียดๆน่าจะดีกว่านี้
ดู black clover จบss1ละ (51ตอน) เท่ากับว่าดูไปได้ 1/3 ของเมะที่มีตอนนี้ ทึ่งตัวเองเหมือนกันดูอะไรเยอะหลายตอนได้ภายใน2-3วันอาจเพราะตอนน้ำไม่ค่อยมีด้วยละมั้งเลยดูได้ไหลลื่น ลงไปวิหารน้ำแม่งซัดบอสสนุกดีหน่วยกระทิงมีบทกันทุกคน สงสารก็แต่กอร์ดอนโดนทิ้งเฝ้าบ้าน555 พักสักหน่อยเดี๋ยวค่อยต่อ ss2ต่อลุยกันยาวอีก50ตอน
>>253 ถ้ามึงซัด 51 ตอนแรกจบใน 3 วันได้นี่ที่เหลือคงไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วมั้ง เพราะกูว่าช่วงก่อนลงวิหารใต้สมุทรนี่แทบจะใช้คำว่าน่าเบื่อได้เลย
ถ้าจำไม่ผิดหลังจากนี้จะมีบทออริฟิลเลอร์คั่นเล็กๆ หน่อยนึง จะย้อนไปว่าทำไมอัสต้าใช้ดาบเก่ง เพราะเจออาจารย์หัวแดงมาช่วยสอน ในมังงะไม่มีตรงนี้จะข้ามก็ได้ แต่พอไปอีกภาคนึงที่ไปป่าแม่มด(ในมังงะมีบทนี้) ไอ้อาจารย์นี่จะมีบทเข้ามาอยู่ในตี้ด้วยซะงั้น แต่ไม่ได้มีผลกระทบกับเรื่องขนาดนั้นหรอก
ฟรานเซลกับเมียอยู่ในนิยาย ブラッククローバー 暴牛の書
ดูจบบทแม่มด พอรักษาแขนหายช่วงแรกที่ศัตรูมาบุกอัสต้าแม่งอวดดียังไงไม่รู้ ไอ้แทรกบทตลกระหว่างกำลังสู้เครียดอยากให้ลดๆลงบ้างโดยมากก็ตอนอัสต้าอยู่ในฉากด้วยนี่แหละ ตอนใช้พลังปิศาจฉากสู้โครตน่าเบื่อแบบครับๆฉากอลังการ(แต่ไม่สวย)แล้วเมื่อไรจะเผด็จศึกไอ้ตัวดูดพลังได้ซะที
ไอ้ช่วงนั้นน่าเหมือนจะเป็นซีนทดลองแอนิเมชันมากกว่า(แล้วผลก็ออกมาแล้วว่าไม่เวิร์ค 5555555) หลังจากนั้นก็ไม่มีอาร์ตสไตล์แบบนี้ละ
ส่วนเรื่องสู้ไปฮาไปนี่หลังๆ ก็แทบไม่มีแล้วมั้ง
สมเป็นอนิเมเวอร์ชั่น ตอนเทศกาลมอบดาว เพิ่มฉากยามะกับแจ็คแข่งกันขายของกับจะไปตีกัน กับฉากชาล็อต แวนเนสซ่าเปลี่ยนชุดแข่งทั้งที่ในเรื่องแค่ดวลไวน์
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.