เพื่อนบ้านบอกว่า พระรูปนี้นำเอาข้าวของที่ผู้มีศรัทธานำมาถวายท่านมาให้คุณมารศรีผู้เป็นภรรยาขายที่ร้านขายของชำ สังเกตได้จากข้าวของที่นำมาขายนั้นมักเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ผู้คนนิยมนำไปถวายพระนอกจากนี้ บางครั้งคุณมารดศรียังเผลอเล่าในเชิงอวดว่า ตัวเองมีกินมีใช้ ไม่ลำบากอะไร เพราะมีบุญเก่า มีคนช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าการนำข้าวของที่คนอื่นถวายพระมาขายเพื่อนำเงินมาใช้ส่วนตัวเป็นสิ่งที่ผิด แต่คุณมารศรีก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ระยะหลังๆ ถ้าหากใครถามเรื่องนี้ เธอมักจะบอกว่า ที่วัดไหนเขาก็ทำกัน ขายของได้เธอก็นำเงินไปถวายวัดนั่นแหละ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถมีใครรู้ได้ว่าเธอนำเงินไปถวายวัดอย่างที่พูดจริงหรือไม่
แล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้นกับคุณมารศรีโดยไม่ทันตั้งตัว
หนึ่งเดือนหลังจากที่คุณมารศรีเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคหัวใจอยู่ดีๆระหว่างที่เธอกำลังยืนคุยอยู่กับดิฉัน เธอก็เป็นลมล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา เมื่อดิฉันพาไปหาหมอจึงพบว่า เธอมีอาการหลอดเลือดในสมองตีบ คุณหมอบอกว่า คนที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะมีอาการชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีกทันทีทันใด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น กล้ามเนื้อของคุณมารศรีก็ยังยึด ทำให้ร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่าง
ปากที่เคยค่อนแคะ นินทาคนอื่นมานักต่อนักของคุณมารศรีบิดเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ดูแล้วน่าเกลียดน่ากลัว คล้ายคนกำลังร้องไห้โหยหวนไม่มีผิด แม้คุณมารศรีจะพยายามรักษาด้วยการไปหาทั้งหมอพื้นบ้าน หมอแผนปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาอาการแขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซึก พูดไม่ชัด และปากเบี้ยวให้หายขาดได้
เพื่อนบ้านได้แต่มองคุณมารศรีอย่างสังเวช ต่างพูดกันว่า นี่คงเป็นผลกรรมจากการที่ชอบนินทาคนอื่น มิหนำซ้ำยังนำข้าวของที่คนอื่นถวายวัดมาขาย นำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอีกด้วย ผลกรรมที่ทำไว้จึงรุนแรง ทำให้ได้รับผลอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันได้ประสบมากับตัว จึงสามารถบอกได้ว่าคำพูดของคนเรามีอานุภาพมาก ดังนั้นจะคิด พูด ทำสิ่งใด เราต้องมีความระมัดระวัง อย่าประมาทว่า “เป็นแค่เพียงคำพูด”
เพราะไม่เช่นนั้นก็อาจประสบกับเคราะห์กรรมอย่างคุณมารศรีก็เป็นได้