ศิลปวัฒนธรรมศิลปวัฒนธรรม
หน้าแรก ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์
วัฒนธรรมโสเภณี แก้เหงาไม่เฉามือ..จากสมัยพุทธกาลถึงรัตนโกสินทร์
(ภาพประกอบเนื้อหา)
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2536
ผู้เขียน พล.ร.ต.สมภพ ภิรมย์
เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2563
โสเภณีเป็นมรดกวัฒนธรรมของสังคม วัฒนธรรมคือ พฤติกรรมร่วมของมนุษย์หมู่หนึ่ง สังคมหนึ่งที่ประพฤติปฏิบัติร่วมกัน รับสืบทอดต่อกันเป็นมรดกวัฒนธรรม โสเภณีเป็นพฤติกรรมร่วมดังกล่าว ย่อมสืบทอดเจริญขึ้น หรือเสื่อมลงตามสภาพการณ์และเวลาของสังคมนั้น
โสเภณีมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่โสเภณีสมัยนั้นมีคุณสมบัติเฉพาะดังนี้ :
1. รูปร่างดี คือ สวย
2. เล่นดนตรีได้
3. ขับร้องได้
4. ฉลาดในการปฏิสันถาร คือ รับแขก
ในสมัยพุทธกาล เช่น นางสิริมาเป็นโสเภณี เมื่อได้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วสำเร็จโสดาบัน และภิกษุณีวงศ์เคยเป็นโสเภณีมีค่าตัวครึ่งเมืองสีกา เป็นตัวอย่างในโบราณกาล ท่านแพทย์ชีวกโกมารภัจ ท่านเป็นบุตรนางสาลวดี นางบำเรอประจำกรุงราชคฤห์ (จากหนังสือเรื่อง โกมารภัจ)
โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นครโตเกียวของญี่ปุ่นคลาคล่ำไปด้วยโสเภณียืนตามบาทวิถีในค่ำคืน เชิญชวน “ร่วมรสรัก” โดยเฉพาะบริเวณอาซักกูซ่า การปรนนิบัติบางแห่ง “ยอดเยี่ยม” คือมี “ห้องหอรอรัก” บนเสื่อปูนวมแล้วนำอิฐเผาให้ร้อนวางไว้ นำนวมคลุมทับทำให้อบอุ่นเป็นที่นอน “ร่วมรสรัก” เยี่ยมมาก แต่เมื่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นปัจจุบันดีมากจนเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” โสเภณีญี่ปุ่นก็วูบหายวับไป