ประโยคนั้นกูว่าก็ตามที่นักเขียนอยากจะสื่อนะ มันคือการบอกความเป็นมาของตลค.อย่างนึงว่าตัวคนพูดอาจจะเคยคบผู้หญิงมาแล้วเจอปัญหาเรื่องเมนส์ของแฟนผู้หญิงทำให้เกิดอารมณ์งี่เง่าบ่อยๆเวลาเมนส์มา เขาเลยพูดพ้อยท์หลักไปที่เมนส์และความงี่เง่า กูว่าการเหยียดหรือไม่เหยียดอยู่ที่เจตนาคนพูดมากกว่า บางประโยคมันไม่ได้ซับซ้อนแต่คนก็ตีความต่างกันเพราะทัศนคติการเติบโตสิ่งแวดล้อมต่างกัน อยู่ที่มุมการมองล้วนๆ อย่างประโยคคลาสสิคของพวกคอพิซซ่าอิตาเลี่ยน สับปะรดมันไม่ควรอยู่บนหน้าพิซซ่างี้ พูดกันมาเป็นสิบปี จู่ๆเดือนนี้ก็มีคนเอาไปขยายว่าการพูดแบบนี้คือเหยียดคนที่ชอบหน้าฮาวายเอี้ยน ทั้งที่คนพูดมันก็ไม่ได้ไปบังคับให้ใครหยุดกินแต่เป็นการพูดเพื่อบอกว่าตัวเองไม่ชอบไม่มีวันกิน เช่นเดียวกัน ความหมายเขาอาจจะแค่ง่ายๆว่า เมนส์=งี่เง่า(ตามที่ตลค.เคยประสบมา) แต่คนก็เอาไปขยายกันว่า เมนส์=ผู้หญิง ผู้หญิง=งี่เง่า ทั้งที่มันคือความคิดจากปสก.ของตลค.ตัวนึงไม่ได้บังคับให้คนอื่นต้องคิดเหมือนกัน คือเมนส์อาจจะเท่ากับความงี่เง่าได้ แต่ความงี่เง่ามันไม่ได้เท่ากับผู้หญิงอยู่แล้วปะ เจตนาตั้งต้นเป็นหนึ่งแต่คนฟังบวกไปร้อยงี้ ประโยคไหนขัดความคิดก็กลายเป็นเหยียดได้หมดนั่นแหละ