เมื่อโลกมันบัดซบ มองไม่เห็นความหวังบนโลกนี้ สู้ยังไงก็ไม่ชนะ ทำยังไงก็ตาย แล้วทำไมไม่ยอมแพ้ไปซะ? เอาชีวิตรอดให้ตัวเองสบายไปไม่ดีกว่าเหรอ?
ผมคิดว่าทหารโรมันน่าจะถามแบบนี้กับคริสเตียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 เหมือนกัน
แน่นอนเหล่าคริสเตียนเหล่านี้ก็คงสงสัยว่าหากพระเจ้าดำรงอยู่เหตุใดพระองค์จึงปล่อยให้เรื่องเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นบนโลก
ทำไมความอยุติธรรม ความเลวร้าย ความหิวโหย ความตาย การถูกกวาดล้างและข่มเหงจึงเกิดขึ้น?
ศัตรูไม่ใช่แค่จักรพรรดิแห่งโรมัน แต่คือโลกอันเลวร้ายโสมมนี้ทั้งใบ
ในช่วงเวลานั้น จดหมายหลายฉบับถูกส่งไปยังคริสตจักรที่กำลังทุกข์ทน
จดหมายเล่าถึงภาพของสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า "สวรรค์" และโลกเมือมองจากมุมมองของผู้ที่อยู่บนสวรรค์
ผู้ที่อ่านและได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นมองเห็นภาพภาพหนึ่ง เป็น vision ถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่เหมือนบนโลก
ผู้ที่อยู่ในสังคมที่อยุติธรรมย่อมมองว่าความอยุติธรรมเป็นเรื่องธรรมดาเป็นกฎธรรมชาติ เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของโลก แต่จดหมายฉบับนั้นบอกว่า ไม่นะ บนสวรรค์ไม่มีความอยุติธรรม ความอยุติธรรมจึงเป็นเรื่องที่ไม่ปรกติ
ความเลวร้าย ความหิวโหย ความตาย ความไม่เท่าเทียม เป็นเรื่องไม่ปรกติ เมื่อมองจากมุมมองของสวรรค์
ผู้คนงุนงงกับ ภาพที่อยู่ในหัวนี้ พวกเขาประหลาดใจว่ามันเป็นไปได้เหรอ ในโลกที่ย่ำแย่ขนาดนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?
เรื่องที่น่างุนงงที่สุดในจดหมายเหล่านั้นคือ ผู้เขียนไม่ได้บอกว่า "เราจะไปถึงสวรรค์ได้อย่างไร" แต่บอกว่า "สวรรค์จะลงมาในโลก"
vision ของผู้ที่เขียนจดหมายนี้คือ ในวันหนึ่ง ความชั่วร้ายจะถูกทำลาย และโลกจะเป็นเหมือนสวรรค์
vision นี้จุดประกายบางอย่างขึ้นในตัวของผู้คน
ใน Lord's prayer หรือคำอธิษฐานของพระเยซู ซึ่งเป็นบทอธิษฐานที่สำคัญที่สุดของคริสเตียน ท่อนหนึ่งคือ "Thy kingdom come, Thy will be done in earth as it is in heaven"
"ขออาณาจักรสวรรค์จงมาถึง ขอให้พระประสงค์จงสำเร็จบนโลกเหมือนบนสวรรค์"
เราไม่ได้อธิษฐานว่า "เมื่อตาย ขอให้เราได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์" แต่เราอธิษฐานว่า "ขอให้โลกนี้เป็นสวรรค์ ขอให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นบนโลกเหมือนที่เกิดขึ้นในสวรรค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก"
ขอให้ vision ภาพสวรรค์ที่เราเห็นนั้น เป็นเกิดขึ้นบนโลกนี้ ขอให้สิ่งดีที่เราเห็นใน vision เกิดขึ้นบนโลกเพราะนั้นคือ พระประสงค์
นี่คือความหวังของคริสเตียน เป็นความหวังว่าวันหนึ่งสวรรค์จะซ้อนทับกับโลกจนเป็นเนื้อเดียวกัน
คนบอกว่า สวรรค์คือเทพนิยายที่สร้างขึ้นของคนขี้ขลาด
แต่เป็นเช่นนั้นไม่ vision นั้นคือสิ่งที่ทำให้คนที่ไม่หวั่นเกรงกับสิ่งใด แม้แต่ความตาย
vision นี้คือสิ่งที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้า และทำใช้ชีวิตของเราไม่สำคัญเท่ากับพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่สำคัญเท่าที่คนรุ่นต่อจากนี้จะได้เห็นสวรรค์บนโลกใบนี้
นี่คือสิ่งที่พระเยซูเห็นก่อนที่จะเดินเข้าไปในเมืองเพื่อเตรียมถูกทรยศ และถูกตรึงกางเขน
คือสิ่งที่เหล่าคริสเตียนยุคต้นเห็น เมื่อเลือกที่จะเดินเข้าไปในคอลอสเซียมเพื่อเป็นเหยื่อสิงห์โตมากกว่าจะเลิกเชื่อในภาพที่เห็นนี้
คือสิ่งที่มาร์ตินลูเธอร์ คิงก์ จูเนียร์ กล่าว เมื่อเขาบอกว่า I have a dream และคนนับล้านก็เห็นภาพฝันเดียวกับเขา
ภาพฝันที่ส่งมาร์ตินลูเธอร์ คิงก์ จูเนียร์สู่ความตาย จากการลอบสังหาร
แต่ภาพเหล่านี้ไม่ได้ตายไปพร้อมกับเขา
ภาพนี้แหละคือสิ่งที่ทรงพลังที่สุด
มันคืนชีพขึ้นมา มันจุดประกายบางอย่าง และเป็นกำลังให้กับผู้คน มันกลายเป็นความจริง และยังมีชีวิตอยู่
พี่น้องทั้งหลาย อย่าเป็นของโลกอันชั่วร้ายนี้ แต่ให้เป็นของสวรรค์ อย่ามองอย่างโลกอันอยุติธรรมนี้ แต่มองแบบชาวสวรรค์
รักษา vision นี้ไว้ให้มั่น และส่งมันต่อไป
นี่จะเป็นพลังที่ทำให้เราก้าวต่อไป จะเป็นพลังที่ทำให้ผู้คนก้าวไปพร้อมๆกับเรา
จนถึงวันที่ความชั่วร้ายทั้งหลายพินาจไป จนถึงวันที่สวรรค์นั้นมาถึงบนโลก