ทาคาเทรุดูเผินๆภายนอกเหมือนจะเป็นคนอ่อนโยนและให้การยอมรับกับทุกคนที่เข้ามา แต่จริงๆแล้วคนที่เขาลดการป้องกันมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย การได้ฟังปัญหาจากเขา ผมก็รู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับและความไว้วางใจเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาจริงๆ
ผมอยากให้เขาพึ่งพิงผมให้มากกว่านี้ อยากช่วยแบ่งเบาภาระ ผมอยากช่วยเขา แต่ทาคาเทรุกลับไม่ยอมให้ช่วย...ทำได้แค่รับฟังอย่างเดียว
นอกจากนั้น เขาก็เล่าเรื่องน้องสาวที่ก่อปัญหาให้หนักใจไม่หยุดหย่อน แววตาดูเคร่งเครียด
ทางบ้านคิโชวอินอยากจะจับคู่เธอกับลูกชายบ้านคาบุรากิ แถมมาดามคาบุรากิก็ดูเหมือนจะอยากให้มาเป็นลูกสะใภ้ เพราะอย่างนั้น คุณน้องสาวก็เลยคิดว่ามาซายะคุงเป็นของเธอ เที่ยวหึงหวง อาละวาด ตามกลั่นแกล้งคนที่มาเข้าใกล้ผู้ชายของเธอ
ถึงจะไม่มีเรื่องของมาซายะคุง แต่เธอก็ยังใช้อิทธิพลของที่บ้านอวดเบ่งบารมีไปทั่ว เป็นเด็กผู้หญิงที่เจ้าอารมณ์ นิสัยแย่เหลือรับ และแน่นอนว่าพ่อและแม่ของเธอก็ล้วนแต่เห็นดีเห็นงามที่ทำแบบนี้ ให้ท้ายเธอจนกลายเป็นคนร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆแบบกู่ไม่กลับ
รู้สึกว่ามาซายะคุงคนนั้นจะมีคนรักอยู่แล้ว ความรักของคุณชายบ้านคาบุรากิน่ะดังกระฉ่อนไปทั่วซุยรันเลยล่ะ ขนาดผมที่จบมาหลายปียังได้ยินข่าวมาเข้าหูว่าจักรพรรดิคนดังแห่งซุยรันไปคว้าเอาเด็กสาวบ้านๆที่ไม่คู่ควรกับตระกูลคาบุรากิมาเป็นแฟน แถมยังหักหน้าคิโชวอิน เรย์กะอย่างยับเยินด้วยการออกตัวปกป้องเด็กคนนั้นทุกครั้งที่ถูกกลั่นแกล้ง
จากที่ทาคาเทรุเล่า เรื่องนี้เองก็ทำให้มาดามคาบุรากิเร่งรัดแผนการจับคู่หนักข้อขึ้น ตอนนี้ก็ถึงขั้นมาทาบทามด้วยตัวเองถึงบ้านแล้ว คิดว่าคงจะจัดงานหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ มาซายะคุงก็คงโดนบังคับให้เลิกกับเด็กคนนั้นแล้วมาแต่งงานตามที่ทางบ้านจัดหาให้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่เมื่อเห็นแววตาของเขาในวันนั้น ผมคิดว่าเรื่องมันไม่น่าจะจบง่ายๆแค่นั้นหรอก
.
.
.
.
ทาคาเทรุทะเลาะกับพ่อ หนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่คราวนี้รุนแรงถึงขั้นออกจากบ้าน เป็นตายยังไงก็ไม่กลับไปอีก
ผมเลยไปหาเขา สอบถามสาเหตุที่มาที่ไป แต่ทำยังไงทาคาเทรุก็ไม่ยอมพูด ถึงจะรู้ว่าเป็นปัญหาส่วนตัวในครอบครัว แต่ก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน
แต่เขาก็ยอมเล่ามาหนึ่งเรื่อง นั่นคือเรื่องงานหมั้นของคุณน้องสาวกับมาซายะคุง
งานได้ถูกเตรียมการขึ้นแล้ว มาดามคาบุรากิบีบบังคับให้ลูกชายเลิกกับแฟนได้สำเร็จ คิดว่าการ์ดเชิญคงมาถึงมือผมในไม่ช้านี้
ดูท่าทางเขาคงไม่คิดจะไปร่วมงานหมั้นที่ว่านั่น ถ้าทาคาเทรุไม่ไป ผมเองก็ไม่ไปเหมือนกัน
จากนี้ไปเขาคงมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่เยอะ ผมเลยได้แต่เสนองานที่บริษัทให้ และบอกว่าที่ตรงนี้จะว่างสำหรับเขาเสมอ
.
.
.
.
.
ต่อมา ผมได้ยินข่าวที่น่าตกใจมากเรื่องหนึ่ง
คิโชวอินกรุ๊ปล้มละลายแล้ว
ผมที่กำลังท่องเที่ยวอยู่มัลดีฟส์ยกเลิกทริปที่เหลือทั้งหมดแล้วบินกลับญี่ปุ่นทันที ลองเช็คข่าวจากหลายๆที่ก็พบว่าประธานคิโชวอินโดนแฉเรื่องทุจริตด้วยฝีมือของมาซายะคุง แถมยังเป็นกลางงานหมั้นของลูกสาว เรียกได้ว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูลคิโชวอินโดนทำลายย่อยยับหมดทุกทาง
...แล้วทาคาเทรุตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ
ที่แรกที่ผมไปหลังจากแตะแผ่นดินญี่ปุ่นคือแมนชั่นของทาคาเทรุ ดูเหมือนเขาจะไม่อยู่ที่ห้อง โทรเข้ามือถือก็ไม่รับสาย
แต่จากที่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี ผมรู้ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนตอนที่ไม่สบายใจ พอลองไปที่นั่นดูก็เจอจริงๆด้วย
ภาพเขาที่เหม่อมองทะเลทำให้ผมรู้สึกปวดใจขึ้นมา ทาคาเทรุในตอนนี้ดูเปราะบางเหมือนพร้อมจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ
ผมถอดเสื้อโค้ตคลุมตัวเขา นั่งลงข้างๆมองทะเลไปด้วยกัน ให้ความเงียบไหลผ่านพวกเราไปช้าๆ ในตอนนี้ก็ทำได้แค่รอให้ทาคาเทรุเอ่ยปากพูดออกมาเอง
“รู้เรื่องหมดแล้วใช่มั้ย อิมาริ”
“ใช่”
“พอเดาออกสินะว่าฉันทำอะไรลงไป”
“ฉันอยากรู้จากปากทาคาเทรุมากกว่า”
“ถ้าฉันบอกไปนายจะเกลียดฉันมั้ย”
“นายก็รู้ว่าฉันไม่มีวันเกลียดนายได้หรอก”
“น่าแปลกนะ อิมาริ” ทาคาเทรุแค่นหัวเราะ “ทั้งๆที่ฉันน่ะคิดว่าตัวเองไม่เหลือเยื่อใยกับคนพวกนั้นแล้วแท้ๆ แต่ทำไมฉันต้องรู้สึกเจ็บขนาดนี้ก็ไม่รู้”
เขายังคงพึมพำคำว่า “ทำไมกันนะ” ซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มช้าๆโดยไร้เสียงสะอื้น ผมเลยดึงเขาเข้ามากอด
ผมกลัวว่าถ้าไม่จับเขาไว้ เขาอาจจะเดินลงทะเลไปต่อหน้าต่อตาเลยก็เป็นได้
อาจจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ในตอนนี้ผมก็นึกอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้วจริงๆ
.
.
.