ky นะ พอดีอยากแต่งฟิค หาพล็อตลงไม่ได้ เลยมาจบกับพล็อตนี้เฉย 55555 ซอมบี้บุกซุยรัน
----------------------
เอ็นโจพาร์ท
ตอนนั้นยังจำได้อยู่เลยว่ารู้สึกขบขันกับหนังซอมบี้เลือดสาดที่มาซายะเอาไปเยี่ยมยูกิโนะที่โรงพยาบาลขนาดไหน
แต่พอได้เจอกับตัวแล้วทำเอาหัวเราะไม่ออกสักนิด
ภาวนาว่านี่คงเป็นเพียงความฝัน
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”
แต่เสียงหอบหายใจถี่แทบจุกอก ลำคอแห้งผากจนแสบคอ ความเจ็บปวดบนร่างกายก็ตอกย้ำเสมอว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
แต่คือความจริง
เสียงกรีดร้อง โครมครามดังรอดออกมาจากช่องว่างของประตูที่นั่งพิงอยู่ ต้องค่อยๆพยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้อยู่ในระดับปกติ ผมกุมขมับพลางนึกย้อนทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ซอมบี้ ซากศพของคนตายที่ลุกขึ้นมาเดินเต็มเกลื่อนโรงเรียนซุยรันไปหมด ตอนแรกก็นึกว่าเป็นการแสดงของชมรมใดสักชมรมในงานโรงเรียน แต่ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่เมื่อซอมบี้เหล่านั้นเริ่มไล่ล่าฝูงคน เมื่อถูกกัดก็จะกลายเป็นพวกเดียวกับมัน
ผมหัวเราะขื่นๆ ราวกับชีวิตจริงนี้กลายเป็นหนังไปแล้ว
แต่แท้จริงแล้วมันไม่ตลกเลยสักนิด
เหล่านักเรียนซุยรันพากันวิ่งหนีตาย--- อืม น่าจะใช้คำนี้ได้เลยล่ะ พวกเขาต่างพาวิ่งหนีกันเข้ามาหลบภัยในอาคาร ด้วยความที่ซุยรันเป็นโรงเรียนชั้นนำก็เลยมีห้องหลบภัยอยู่ในตัวด้วย ทุกคนจึงไม่ลังเลเลยที่จะมุ่งเป้าไปที่ห้องที่ว่านั่น
แค่มีชีวิตรอด ทุกคนก็พร้อมใจที่จะผลักไสคนอื่นออกไป ช่างเห็นแก่ตัว แต่มนุษย์ก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ พลางนึกถึงตอนที่ผลัดหลงกับยูกิโนะ ไหนจะมาซายะ คุณคิโชวอิน หรือคนรู้จักอื่นๆที่ตอนเกิดเหตุซอมบี้บุกก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างแล้ว
อยากจะหาตัว แต่เพราะฝูงนักเรียนซุยรันมหาศาลก็ดันตัวผมให้ไหลเข้ามาในอาคารอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์ตอนเห็นแก่ตัวช่างน่ากลัว ยิ่งวันนี้เป็นงานโรงเรียนที่เปิดให้คนนอกเข้ามา คนก็เยอะกว่าเดิมเท่าตัว จำได้ว่าถูกผลักให้หลีกทางอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น แล้วก็มีคนมาเหยียบซ้ำ ตอนนั้นชุลมุนเกินกว่ามองออกว่าใครเป็นคนทำ แค่เบนตัวหลบฉากออกมาไม่ให้ถูกทับตายก็แทบเต็มกลืนแล้ว
สุดท้ายก็เข้าห้องหลบภัยไม่ทัน และถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ข้างนอกกับซอมบี้
ยศศักดิ์หรือฐานะในตอนนี้ไม่สำคัญอีกต่อไป
รอยเท้าเด่นชัดบนเสื้อนอกสีขาวจนอยากจะถอดทิ้ง แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ ผมเลิกฟุ้งซ่าน มองลอดช่องว่างของประตูออกไป เห็นนักเรียนหญิงโชกเลือดคนหนึ่งเดินโซเซผ่านห้องที่ผมอยู่ไป เสียงครางต่ำในลำคอราวกับสัตว์ป่าก็สรุปได้ว่าน่าจะกลายเป็นพวกมันไปแล้ว
อยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ทำ ผมหยิบมือถือขึ้นมา สัญญาณเหลือขีดเดียว แต่ก็ตัดสินใจที่จะโทรหาเพื่อนสนิทตัวเอง มาซายะ เมื่อไม่มีท่าทีที่จะรับก็เลยตัดสายทิ้งไป
ผมเหลือบมองไม้เบสบอลที่ตกอยู่ไม่ห่างจากตัว น่าจะเป็นพร็อพประกอบอะไรสักอย่างที่ห้องนี้จัด ผมเอื้อมมือไปหยิบมาถือไว้ อย่างน้อยมีอาวุธก็น่าจะอุ่นใจกว่า พลางนึกแผงผังโรงเรียนในหัว จำได้ว่าห้องหลบภัยไม่ได้มีห้องเดียว ถ้าคนอื่นๆรอดล่ะก็จะต้องได้พบสักที่ในโรงเรียนแน่นอน
...ก็หวังให้รอด
ผมอยู่ในอาคารหนึ่ง ถ้าจะไปห้องหลบภัยอีกห้องก็ต้องไปที่อาคารสอง ถ้าจะเสี่ยงวิ่งออกไปตรงๆ ก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ เพราะในอาคารไม่ค่อยมีซอมบี้มากเท่าข้างนอก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย
ถ้าอ้อมไปข้ามสะพานเชื่อมชั้นสามน่าจะปลอดภัยมากกว่า
ตัดสินใจได้แล้วผมก็ลุกขึ้น กระชับไม้เบสบอลในมือเล็กน้อย พลางแอบมองช่องว่างของประตูอีกครั้ง ไม่มีใครอยู่ ไม่ได้ยินเสียงอะไรในบริเวณนี้เลย
ผมค่อยๆแง้มประตูออกไปอย่างระมัดระวัง มองซ้ายมองขวาเล็กน้อย ก่อนจะออกมาจากห้องที่หลบอยู่ เลี้ยวซ้ายออกไปทางบันได ค่อยๆเดินเลียบผนังไปเรื่อยๆ ถ้ามีอะไรก็สามารถหลบเข้าห้องเรียนสักห้องได้ ผมเดินขึ้นบันไดจนมาอยู่ตรงทางชั้นสอง แอบชะโงกหน้าไปก็ยังไม่มีใคร
เสียงซอมบี้ที่อยู่นอกอาคารก็ทำเอาประสาทเสียได้ไม่ยาก แต่ก็เลือกที่จะไปต่อ หวังว่าพอไปถึงแล้วจะเจอกับเพื่อนๆสักคนก็ยังดี ถึงจะยังคิดไม่ออกว่าจะให้เปิดประตูห้องหลบภัยยังไงดีก็เถอะ
ผมเดินขึ้นมาถึงชั้นสามแล้ว แต่เสียงโวยวายโหวกเหวกเรียกซอมบี้ก็ดังมาจากอีกข้าง เด็กหนุ่มที่ดูจะคุ้นหน้าคุ้นตาดีวิ่งมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“คาซึรางิคุง?”
ทั้งๆที่คิดว่าพูดออกไปเบาๆแล้วนะ แต่หมอนั่นกลับหยุดชะงักและหันขวับมามองผมตรงบันไดชั้นสามซะได้
พลาดซะแล้ว