เม้าท์มอยนิยายเด็กดี จะอวย ชม ติ ด่า วิจารณ์ก็จัดไป
คลังกระทู้เก่า
นิยายเด็กดี บทที่ 1 -- https://fanboi.ch/webnovel/2403/
นิยายเด็กดี บทที่ 2 -- https://fanboi.ch/webnovel/2703/
นิยายเด็กดี บทที่ 3 -- https://fanboi.ch/webnovel/2907/
ตั้งรอจ้า
Last posted
Total of 1000 posts
เม้าท์มอยนิยายเด็กดี จะอวย ชม ติ ด่า วิจารณ์ก็จัดไป
คลังกระทู้เก่า
นิยายเด็กดี บทที่ 1 -- https://fanboi.ch/webnovel/2403/
นิยายเด็กดี บทที่ 2 -- https://fanboi.ch/webnovel/2703/
นิยายเด็กดี บทที่ 3 -- https://fanboi.ch/webnovel/2907/
ตั้งรอจ้า
คุยไรต่อดีคะซิส
ว่าด้วยเรื่องฮาเร็มต่อ
กูจำไม่ได้ว่าเคยอ่านจากที่ไหนมา
ที่บอกฮ่องเต้มีสนมมากมาย เพราะสมัยก่อนทำมาหากินยากลำบากมากๆ
ใครได้เป็นสนมก็หมดกังวลเรื่องนี้ไป
พอเข้ายุคนี้ผู้หญิงทำงานได้ไม่ต้องเพิ่งพาผู้ชายอีกแล้ว เรื่องฮาเร็มเลยหมดไป ยกเว้นบางศาสนาที่ยังคงไว้ด้วยเหตุผลความมั่นคงในประชากรของตน
แต่ทุนนิยมมันแค่ปรับรูปแบบฮาเร็มไป
จากยอมจำเจกับผู้ชายคนเดียว เป็นไม่แคร์เรื่องผูกพันเท่าไร ไม่เหมือนสมัยโบราณ
เปลี่ยนเป็นแนวฮาเร็มในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายผู้หญิงหลายคนได้แทน
คือผู้ชายและผู้หญิงก็มีซัมมิ่งระหว่างกันได้มากมายเกินและไม่ยึดมั่นความรักลึกซึ้งเหมือนเก่า
แบบอย่าถามว่าเธอหรือเขาเคยผ่านแฟนเก่ามาแล้วเท่าไร กว่าจะมาแต่งงานจริงจังกัน
กูขอเรื่องเน็ตวอชบุกหน่อยแล้วกัน จริงๆกูก็เล่นมู้นินทาเด็กดีนะ แต่กูเบื่อเวลามึงเอามู้ที่ไม่เกี่ยวกับนิยายมาแปะมาก เข้าใจเว้ยว่ามู้นิยายคนคึกคักกว่ามู้นินทาที่ตอนนี้เงียบกริบ แต่แม่งมันนอกเรื่องไง แล้วมึงก็ไม่ต้องไปให้ความสนใจพี่ถุยมากก็ได้ ห่า ขยับตัวทีนึง ตั้งกระทู้ทีนึงมึงก็เอามู้มันมาแปะ ก็รู้อยู่ว่ามันวันนาบี มึงเมินๆมันไปมั่งก็ได้ ยิ่งให้ความสนใจมันก็ยิ่งเหลิงป่ะ
กูไม่ค่อยนิยมนิยายฮาเร็มสักเท่าไร แต่กูเคยอ่านอสูรพลิกฟ้าแล้วก็ยอมรับว่าสนุกดีแต่ยิ่งอ่านเนื้อเรื่องเกี่ยวกับผญ.ก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วทำให้รู้สึกหมดสนุกเลยว่ะ หรืออาจจะเป็นเพราะกูไปอ่านสปอยฮาเร็มของมันมาด้วยมั้ง
เห็นโม่งหอบนิยายมาตั้งเยอะ ไม่มีใครสับให้เลย กูจำได้ว่าห้องนี้เริ่มมีคนเข้ามาเยอะเพราะการสับนิยายนี่แหละ ถ้ากูจำไม่ผิดน่าจะเริ่มจากใครสักคนเอานิยายหนูพริมณารามาสับมั้ง แล้วแม่มไอ้นั่นก็เสือกสับได้มีหลักการไม่ลำเอียงด้วย ถึงหนูพริมจะไม่ใช่ที่ชื่นชอบของใครๆ เท่าไหร่ แต่ยอมรับว่าโม่งคนนั้นมันพูดไปตามเนื้องานจริงๆ โม่งคนนั้นถ้ายังเล่นโม่งอยู่กูเป็นแฟนคลับมึงนะ แต่ตอนนี้มีนิยายมากองตรงหน้ากลับไม่มีใครสนใจเลย หรือทาร์เก็ตของห้องมันเปลี่ยนไปแล้ววะ
ตามมาจากนิยายห้อง 3 สรุปไม่มีใครแนะนำนิยายออนไลน์ตลกๆ ให้กูได้สักคนเลยเหรอ หาเองแม่งก็มีแต่พวกขี้โม้ ตลกฝืดหาดีไม่ได้สักเรื่อง
ไม่ก็สับนิยายเจ๋งๆ เรื่องสองเรื่องก็ยังดี จะได้ตามไปอ่าน ช่วงนี้กูว่างงาน
คิดยังไงบ้างกับนิยายแฟนตาซีสมัยนี้
https://www.dek-d.com/board/view/3691370/
นิยายตลกมันต้องมาจากความไม่พยายามว่ะ แบบนึกจะมาก็มาเอง ส่วนมากถ้าพยายามจะไม่ค่อยตลกหรือไม่ตลกเลย
>>>/webnovel/2907/988 ขุดนิยายที่มีคนกองไว้ เผื่อมีใครมาสับ
>>12 เรื่องกรุ สนุกใช้ได้ อ่านง่าย บอกเล่าทฤษฏีในเรื่องผ่านคำพูดตัวละครได้ดี คอนเซปมิติกรุในเรื่องคล้ายๆinsidious แต่ไม่ได้เหมือนเด๊ะ ชอบตรงสร้างเรื่องอาถรรพ์แบบไทยๆมาใส่ได้ดี แต่กุว่ายังเล่นกับความระทึกหรือหลอนได้ไม่สุดเท่าไหร่
ปล. ไม่ได้สับนะแค่ความเห็นเฉยๆ เพราะเคยแค่อ่านผ่านๆเท่านั้นไม่ได้จ้องหาจุดผิด
>>7 ดีจังที่มึงยังวนเวียนแถวนี้ กูยังไม่กล้าทักมึงหลังไมค์ไปเลยว่ะฮิ ฮือๆ (กูโม่งที่คุยกับมึงในห้องแชทวันนั้น)
นิยายตลกกูนี่แต่งไม่ได้เลย เพราะเซ้นด้านอารมณ์ขันของคนเรามันต่างกันมาก พวกคอมิดี้เท่าที่กูเคยอ่านนี่หาตรงจริตไม่ได้สักอัน(ละคร/หนังไทยยิ่งไม่ต้องพูดถึง วนแต่เรื่องตลกหยาบโลนกับตลกเรื่องเพศ)
วันก่อนเห็นคนพูดกันว่า แนวนิยายแฟนตาซีในเด็กดีตอนนี้มันเป็น แนวโรงเรียน > ออนไลน์ > ต่างโลกเกิดใหม่ทะลุมิติ > แล้วเดี๋ยวมันก็จะวนไปโรงเรียนอีก เพื่อนโม่งคิดว่าไง พวกเราจะหลุดจากแนวเดิมๆกันได้มั้ยวะ แนวอื่นต้องทำยังไงถึงจะขึ้นมาได้บ้าง? (เรื่องที่แปลกใหม่นี่กูเจอเยอะนะ แต่มันไม่ค่อยดังอ่ะ...)
สวัสดี เราคือโม่งอารี ความจริงกลับมาเล่นโม่งได้สักพักแล้วแต่ขี้เกียจแสดงตัว เพราะจำได้ว่าติดวิจารณ์นิยายพวกนายอยู่เรื่องหนึ่ง
พูดก็พูดเถอะนะ ความจริงไอ้นิยายเรื่องนี้เนี่ยอ่านจบไปตั้งแต่เดือนสิงหานู่นแล้ว แต่ไอ้นิยายยาวเหยียดเรื่องก่อนแม่งสูบพลังกูฉิบหายเลย แถมมีงานเข้าด้วย เลยปล่อยเบลอไป วันนี้ก็ขอมาเคลียร์หนี้ให้ครบก็แล้วกัน ถ้าวิจารณ์ได้ไม่ดี หรือลืมเรื่องไปบ้างก็ต้องขออภัยก่อนนาจา
เรื่อง : The Parallel Dimensions
link : https://writer.dek-d.com/nukrob/story/view.php?id=1308156
จำนวน : 47 ตอน
สถานะ : จบแล้ว
เอาล่ะ สำหรับเรื่องนี้กูอ่านแล้วจำได้ว่าสนุก แถมยังจบแล้วด้วย ถ้าไม่ติดที่เรื่องก่อนหน้าดูดวิญญาณกูจนแห้งล่ะก็กูคงเขียนวิจารณ์ได้ยาวเหยียด แต่ก็เอาเถอะ ไอ้47 ตอนนี่จริงๆแล้วไม่ค่อยยาวเท่าไหร่ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
ธีมของเรื่องน่าสนใจ มันเป็นโลกในอนาคตนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ประมาณว่าโลกของเราเกิดเหตุโรคระบาดขึ้นทั่วโลก รัฐบาลโลกก็เลยต้องสร้างเขตปลอดเชื้อ คนแต่ละคนก็อยู่แต่ในบ้านของตัวเองในเขตปลอดเชื้อนั่น แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์อื่นใดนอกจากคุยกันผ่านเน็ตอะไรงี้ อารมณ์ว่าเป็นโลกที่สะดวกสบายมาก มึงไม่ต้องออกจากบ้านก็สามารถสั่งซื้อของ เรียนหนังสือ บลาๆ ทำอะไรต่อมิอะไรคนเดียวได้ แต่รัฐบาลก็อยากให้คนมีสังคมไง เลยพยายามผลักดันให้คนออกจากบ้านบ้าง แบบบังคับให้เด็กต้องไปโรงเรียนถึงแม้ว่าจะเรียนผ่านเน็ตได้สบายๆ ไรงี้
จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งของเรื่องก็คือโลกนี้(หรืออย่างน้อยก็คือในเขตปลอดเชื้อ) ไม่มีสัตว์ เพราะถือกันว่าสัตว์เป็นตัวเชื้อโรค ดังนั้นเกมเสมือนจริงจึงเป็นสิ่งที่คอยปลอบประโลมคนในโลกใบนี้ อย่างเช่นพระเอกของเราที่ชื่อไอดิน เขาเล่นเกมสัตว์เลี้ยง เลี้ยงมังกรมังกรเหี้ยเห้ออะไรเต็มไปหมดอยู่ในโลกเกม
ในวันที่สงบสุขวันหนึ่ง จู่ๆก็มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในเมือง พระเอกก็รีบกลับบ้าน ล็อกบ้านแน่นหนาเพื่อป้องกันเชื้อโรค และทางหน่วยงานรัฐก็รมยาฆ่าเชื้อทั่วทั้งเมืองไป ผ่านมาหลายวันไม่มีเหตุผิดปกติ จนมาถึงคืนที่สี่ก็มีไอ้ตัวประหลาดท่าทางทรมาณมาเคาะหน้าต่างห้องของพระเอก พระเอกแม่งสงสารก็เลยปล่อยให้เข้ามา ไอ้ตัวประหลาดนี่หน้าตาเหมือนเสือแต่มีขนปุยๆ มีเขาและก็มีปีก เอาเป็นว่าแม่งเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นตั๊ลลั๊คคค นั่นล่ะ แต่พระเอกแม่งเสือกแพ้ขนสัตวก็เลยจาม ไอ้สัตว์นั่นแม่งฉลาด รู้ว่าพระเอกแพ้ก็เลยยอมหลบมุมไปนอนไกลๆ
ขี้เกียจพิมพ์ยาวละ เล่าแบบรวบรัดไปเลยแล้วกันว่าไอ้สัตว์เนี่ยมันชื่อว่าโคซาน ซึ่งเป็นร่างแรก โคซานเมื่อรวบรวมพลังเวทก็สามารถแปลงร่างไปเป็นคนได้ คนก็แนะนำตัวว่ากูเนี่ยชื่อมุส มีตำแหน่งใหญ่โตอะไรสักอย่างในโลกต่างมิติ ที่ข้ามมิติมาก็เพื่อที่จะมาตามล่าโจรขโมยไข่สัตว์เทพ(จริงๆมันมีชื่อไข่แต่กูขี้เกียจจำ)
มุสโม้ว่าจริงๆตัวแม่งเนี่ยเก่งเทพสัสๆเลยนะ แต่ว่าต้องรอชาร์จพลังแปลงร่างเป็นร่างสามก่อน มุสรู้สึกแปลกใจมากที่โลกนี้ชาร์จพลังได้ยาก จนในที่สุดไอดินก็หาคำตอบได้ว่า ที่ชาร์จพลังได้ยากเพราะมียาฆ่าเชื้ออยู่ในอากาศ และเวลาที่มุส(หรือโคซาน) เดินผ่านเครื่องฆ่าเชื้อ แม่งก็จะง่อยเปลี้ยเสียขาไปด้วย (สรุปว่าไอ้ห่านี่แพ้ยาฆ่าเชื้อนั่นเอง)
ไอดินต้องจำใจพามุสไปโรงเรียนด้วย แต่เนื่องจากโลกใบนี้มันไฮเทค ขืนให้มุสเดินท่อมๆไปเรียนก็คงไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลส่วนตัวอะไรอยู่ในฐานข้อมูลเลย ก็เลยให้มุสแปลงร่างเป็นโคซานจิ๋ว หลอกคนอื่นว่ามันเป็นหุ่นยนต์ สาวๆเห็นสาวๆก็กรี๊ดเพราะมันน่ารัก แต่มีเด็กผู้หญิง(สวย) คนนึงในห้องที่ตกใจเมื่อเห็นโคซาน เธอชื่อเกล็ดแก้ว ที่เธอตกใจก็เพราะเธอรู้ว่ามันไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่เป็นสัตว์จากต่างมิติ ซึ่งสาเหตุที่รู้ก็เพราะเกล็ดแก้วได้ให้ที่พักพิงแก่ลาทีฟ ซึ่งเป็นโจรขโมยไข่เทพที่มุสกำลังตามหานั่นเอง
เรื่องก็ผจญภัยไปเรื่อยๆ มีการเอาโคซานไปที่ห้องทดลองเพื่อเปรียบเทียบดีเอ็นเอบลาๆ อ่านเพลินๆก็สนุกดีแต่ขี้เกียจเล่า เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้วที่ลาทีฟขโมยไข่มาเพราะมีเจตนาดีอะไรสักอย่างที่กูจำไม่ค่อยได้ แต่มันก็มีนักเวทชั่วอีกกลุ่มหนึ่งที่ตามล่าลาทีฟมาจากโลกต่างมิติเหมือนกัน พวกไอดิน+มุส+เกล็ดแก้ว+ลาทีฟ ก็ช่วยกันสู้บ้างอะไรบ้าง สุดท้ายมุสสามารถรวบรวมพลังจนแปลงร่างเป็นขั้นสามได้ก็จัดการโชว์เทพ สู้ชนะ แล้วก็พาลาทีฟกลับไปรับโทษที่มิติของตัวเอง
แต่ตอนสุดท้ายไอ้ลาทีฟนี่ก็ไม่ได้รับโทษหรอก ประมาณว่ามุสช่วยแก้ตัวต่อราชาให้ว่ามีเจตนาดีงู้นงี้ ลาทีฟจึงได้ครอบครองไข่สัตว์เทพ พอฟักก็เลี้ยงดูอย่างดีบลาๆ ตอนจบมุสก็ข้ามมิติกลับมาเยี่ยมไอดิน แฮปปี้เอนดิ้ง
เอาล่ะ ต่อไปเป็นการให้คะแนน
ต่อจาก >>18 ให้คะแนนเรื่อง The Parallel Dimensions
ก่อนอื่นต้องขอโทษทั้งเจ้าของเรื่องและพวกมึงด้วยนะ เมื่อกี้รู้สึกว่าเล่าเรื่องน้อยไปหน่อย แต่จริงๆแล้วสาระสำคัญมันก็มีอยู่ประมาณนั้นล่ะ
คำผิด : ไม่ค่อยพบคำผิดเท่าไหร่ น่าเสียดายที่ตอนอ่านละเอียดอ่านไว้นานแล้วเลยจำไม่ค่อยได้ว่ามีการเขียนผิดแบบน่าเกลียดๆรึเปล่า เมื่อกี้ลองกลับไป skim อ่านมาก็ไม่เห็นคำผิดอะไรนะ อย่างมากก็แค่เว้นวรรคแปลกๆ หรือพิมพ์ตกนิดหน่อย ให้ 9/10 ละกันค่ะ
การบรรยาย : เนื่องจากเป็นการบรรยายแบบบุคคลที่หนึ่ง เพราะงั้นเตรียมใจไว้ได้เลยว่าจะต้องโดนกูหักคะแนนแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นการเล่าเรื่องก็ลื่นไหลไม่ติดขัด มีการเลี่ยงการใช้คำซ้ำ อ่านการบรรยายแล้วสามารถเข้าถึงอารมณ์ของพระเอก และยังพอที่จะวาดภาพสภาพแวดล้อมของเรื่องออกมาได้ ต้องขอชื่นชม กูให้ 8/10
ตัวละคร : เฉยๆ คือต้องบอกไว้ก่อนว่าเวลาของการดำเนินเรื่องมันน้อย ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเนี่ยผ่านมาแค่แป๊ปเดียวเองมั้ง เลยทำให้ไม่ค่อยเห็นการพัฒนาของตัวละครสักเท่าไหร่ แต่คาแร็คเตอร์ของพวกมันก็ชัดดี อย่างไอ้เจ้าพระเอกก็ดูซื่อๆ เอ๋อๆ หงอๆ ไอ้มุสก็ดูหน้าหม้อ เกล็ดแก้วก็ดูหยิ่งๆ ยิ่งเมื่อบวกกับการบรรยายด้วยมุมมองบุคคลที่หนึ่งก็ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจความนึกคิดของตัวละครอื่นๆนอกจากพระเอกเลย ให้ 7/10 แล้วกันนาจา
เนื้อเรื่อง : ชอบการเซ็ตธีมของเรื่องมากตรงที่พูดถึงเมืองในอนาคตได้อย่างมีมิติ กล่าวคือไม่ใช่แค่พูดว่าโลกเผชิญปัญหาโรคระบาด เมืองเลยต้องเป็นระบบปิดแค่นั้นจบ แต่ผู้เขียนมีการอธิบายถึงระบบต่างๆของเมือง เช่น ไปซื้อของยังไง สวนสาธารณะ การปกครอง การผลิตอาหาร การกำจัดขยะ ซึ่งขอชื่นชมมาก สำหรับตัวเนื้อเรื่องจริงๆ ถ้าจะย่อให้สั้นมากๆก็คงได้ว่า "ตามล่าหัวขโมยจากต่างมิติ สุดท้ายก็ตามเจอแล้วพากลับไป จบ" คือเนื้อหาส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่การเคลียร์ปมหลักของเรื่อง ปมรองๆเท่าที่เห็นก็มีแค่ จะปกปิดพ่อแม่ยังไงไม่ให้รู้ว่าพระเอกแอบเอาสัตว์เข้าบ้าน ประมาณนี้ ถ้าเพิ่มปมย่อยเข้ามาก็จะทำให้เรื่องมีสีสันมากขึ้น ให้ 7.5 /10 นาจา
สรุปผล 31.5/40 ถือว่าเป็นนิยายดีๆอีกเรื่องที่ไม่ค่อยซู อ่านสนุกเพลินๆได้ แถมยังเขียนจบแล้วด้วยไม่ต้องกลัวค้างคาหรือลอยแพ หนูยกนิ้วให้ค่ะ
>>18 >>21 มึงสับได้รู้สึกน่าอ่านมาก ว่างๆ กูไปลองอ่านดีกว่า
>>22 อ่านเม้นมึงแล้วกูเลยไปค้น ปรากฏว่าเขาคือคนแต่งเรื่อง Half Twin ที่พิมพ์กับเอนเธอร์ ซึ่งกูซื้อมาแต่ดองไว้นี่หว่า(...) เขียนจบหลายเรื่องดีวุ้ย นับถือ
แต่เรื่อง The Parallel Dimensions นี่กูว่าเขาเขียนแนะนำเรื่องได้ไม่ดีอ่ะ เขียนว่า "เรื่องของไอ้บ้าที่ข้ามมาจากมิติสารพัดสัตว์ มาพบกับไอ้บ้ารักสัตว์ในมิติที่ไม่มีสัตว์" มีไอ้บ้าตั้งสองครั้งจนกูแอบคิดว่าถ้ากูเข้าไปอ่านแล้วกูจะบ้ามั้ย แถมมันดูลอยๆ งงๆ เลยไม่เชิญชวนเท่าไร เม้นกับเฟ็บน้อยมากจนน่าตกใจ(ซึ่งขัดกับความรู้สึกกูมาก เพราะอารีสับแบบกูรู้สึกว่าน่าอ่าน) ยังไงเดี๋ยวกูไปลองอ่านดูเองก่อนแล้วอาจจะมาคุยว่าคิดเห็นอะไรต่างกับคนอื่นมั้ยนะ
กูไปหามาละ ไม่ได้ออกกับเอนเธอร์นะ เขาเขียนให้สถาพรมา 2 เรื่องแล้วนะตรีพันธ์เนี่ย
>>27 พอฟังงี้กูแล้วนึกสงสารพวกเขียนแนวดาร์คๆ จริงๆ ว่ะ เมื่อกี้กูเพิ่งเข้าไปอ่านมู้ที่โม่งมาแปะ >>9 ท่าทางพวกนี้คงหา สนพ ตีพิมพ์ยากจริงๆ แต่กูก็ไม่ได้ตำหนิอะไร ตรีพันธ์ นะ เขาเป็นมวยเรื่องส่งต้นฉบับซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะงานเขามันก็อ่านเพลินดีอยู่ ส่วนพวกดาร์คก็คงต้องสู้ต่อไปในเมื่อใจรักจะเขียนแนวนั้น ก็ต้องทำใจกับเรื่องตลาด
กูโมโม่(จั)งตัวจริงนะ มู้ที่แล้วกูเล็งไว้เรื่องหนึ่งแต่สับไม่ทัน มาสับมู้นี้ละกัน
Fantasy High School มาสร้างโรงเรียนเวทมนตร์กันเถอะ
เนื้อเรื่องน่าติดตามทุกตอน อ่านถึงตอนล่าสุดกูนี่กัดฟันเลย สนุกมากกก พล็อตจะแปลกใหม่ดี เป็นนิยายที่ว่าด้วยเบื้องหลังโรงเรียนเวทมนตร์ที่แท้จริงแล้วมันก็แค่ละครเรื่องหนึ่งที่พวกภูตหานักแสดงเป็นมนุษย์มาเดินเรื่องตามบทที่เขียนไว้โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว มีแซะว่าพระเอกนั้นบทต้องเด่นตั้งแต่เปิดตัวเช่น มาสาย โชว์เทพช่วยนางเอก แรกๆ กากกว่าตัวร้ายแล้วจะไปเก่งในช่วงหลังๆ ทำตัวผิดกฎแล้วเจอความลับของโรงเรียนกลายเป็นผู้ถูกเลือก บลาๆ คาร์นางเอกต้องสาวซ่า พระรองสุภาพบุรุษ นางรองแม่พระ ตัวร้ายโคตรอันธพาล ตรงจุดนี้ทำให้กูนึกถึงละครไทยขึ้นมาเลย แต่นิยายเรื่องนี้ยังมีการหักมุมเบาๆ ที่มีการแทรกแซงจากบุคคลลึกลับทำให้บทละครเริ่มเพี้ยน เช่นนางร้ายที่มีบทว่าแอบชอบพระเอกมีพลังแฝงมากกว่าหนึ่ง พระเอกเป็นตุ๊ด ความทรงจำถูกดัดแปลง
โดยรวมนับว่าดีงาม มีแซะพล็อตโรงเรียนเวทมนตร์และคาร์ตัวละครที่ส่วนใหญ่มาแนวเดียวกันหมด ถึงบางช่วงจะเล่าเรื่องงงๆ อยู่หน่อยก็พอให้อภัย คำผิดแทบไม่มีสำนวนลื่นไหลใช้ได้ เซ็ตติ้งโลกโอเค มีชื่อไทยชื่อฝรั่งผสมกันอย่างมีเหตุผล คือตั้งให้ดูอินเตอร์นักเรียนที่เป็นคนไทยจะไม่ได้สงสัย แอบฮาตรงที่เคยคิดจะให้ครูในโรงเรียนเวทมนตร์มีชื่อไทยแต่ถูกค้านเพราะมันดูไม่อินเตอร์นี่แหละ
สรุปคะแนน 8/10 บางฉากยังเรียงลำดับได้มึนนิดหน่อยนะ
ปล.ใส่ธีมในตอนย่อยแถมเป็นพื้นขาวอีกอ่านแล้วปวดตาว่ะ กูอ่านในมือถือนี่โครตเซ็ง
โม่งฮิ โม่งอารี โมโม่(จั)ง พวกมึงรียูเนี่ยนกันในกระทู้นี้แล้วสินะ กูดีใจ T_T
หลังๆมานี่รีวิวมีแต่อวยว่ะ กูอ่านไปสามตอนได้แต่ส่ายหัว
>>33 ไม่ขนาดนั้นมั้ง มันแล้วแต่คนชอบมากกว่า มึงจำไอ้คนที่มันมาตั้งมู้ไม่เห็นด้วยกับ บก ที่ปฏิเสธงานมันในเด็กดวกได้ไหม ต่อมามันก็ตั้งมู้ใหม่หลังจากส่งไป สนพ ที่สอง บก สอง สนพ นี่วิจารณ์ไปคนละทางเลย จนกูยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ว่ามันส่งเรื่องเดียวกันไปหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่ามันรีไรท์งานดีขึ้น กูบอกเลยว่าไม่เชื่อ ในเมื่อมันก็บอกเองว่าไม่เห็นด้วยกับ บก คนแรก กูเลยมาสรุปเอาเองว่าคนเรามันชอบต่างกัน มันอยู่ที่ว่าแต่ละคนจะเอาส่วนไหนมาพิจารณา ตัวกูเองชอบดูสำนวนการเขียนและการเดินเรื่อง ไอ้พวกใช้คำซ้ำรูปประโยคกำกวมนี่กูไม่อ่านต่อแน่ แต่ถ้าสำนวนดีเดินเรื่องช้ากูก็วางเหมือนกัน
https://www.dek-d.com/board/view/3691582/ การกระทู้นี้ อยากมาถามเพื่อนโม่งว่าคิดยังไงกับเม้นที่ 3 ของพีทคุง ที่ว่าการเม้นนิยายเป็นเรื่องใหม่ ฝืนธรรมชาติ
ส่วนตัว กูคิดว่าเพราะเมื่อก่อนช่องทางการติดต่อกับนักเขียนโดยตรงมันไม่ค่อยมี คนก็เลยไม่ได้เม้นกัน(แต่ก็มีจดหมายเขียนไปคุยกับคนแต่งบ้าง ถ้าเป็นกรณีลงในนิตยสาร) แต่ตอนนี้เทคโนโลยีมันมาไกลแล้ว เพราะงั้นการเม้นนิยายก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติเท่าไร ...ทั้งนี้ทั้งนั้นกูไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับเม้นที่ 3 นะ เพียงแต่อยากลองเอามาถามว่าเพื่อนโม่งคิดยังไงกันบ้างอ่ะ?
กูมองว่าการเมนต์คือ การทดสอบนิยายโดยตรงเลย ไม่ได้ฝืนอะไรทั้งนั้น
เพราะคนอ่านนิยายสามารถบอกอะไรกับคนเขียนได้โดยตรงในหน้านิยาย
ถ้าแค่ทำให้คนอ่านมีอารมณ์ร่วมในเนื้อหาตอนนั้นๆ ไม่ได้ แสดงว่ายากที่จะเดินต่อ นอกจากเขียนเล่นๆ ไม่หวังอะไรก็เป็นอีกเรื่อง
เคล็ดลับในการเขียนนิยายแบบหวังส่งเข้าสนพ.ก็เหมือนกัน
ถ้า 5-10 ตอนแรกทำให้คนอ่านติดตามเรื่องไม่ได้
นักเขียนหลายคนแนะนำว่าให้เลิกเขียนเรื่องนั้นได้เลย หรือนำกลับไปปรุงแต่งใหม่ให้ดึงดูดคนอ่านเข้ามาให้ได้สักจำนวนหนึ่งจึงพอมีลุ้น
>>37 มึงตัดข้อความของ คห.3 มาไม่ครบนะ ตอนแรกที่กูอ่านเม้นมึงก็นึกว่าไอ้ห่านั่นบ้า อยู่ดีๆมาบอกว่าเม้นนิยายฝืนธรรมชาติ
จริงๆคือแม่งบอกประมาณว่า ปกติแล้วเวลาเราอ่านนิยายน่ะก็คืออ่านไปเรื่อยๆจนจบ ไม่ใช่ว่าจบตอนนึงแล้วจะต้องอยากคอมเมนต์ เว้นแต่ว่าจะมีอะไรที่มันตื่นเต้น ขัดใจ ซึ่งก็จริงอะนะ เคยเป็นมะแบบเวลาอ่านบทสนทนาจี๊ดๆแล้วจู่ๆก็วางหนังสือลุกพรึ่บ เดินวนไปวนมา โอ๊ย แม่งโดนจัย
สรุปก็คือ ไม่มีคนเมนต์ไม่ได้แปลว่าไม่สนุก แค่อาจไม่ค่อยมีอะไรให้ลุ้น ไม่ค้างคา ไม่จี๊ดหัวจัย
>>38 มีอารมณ์ร่วมมากๆ ก็เลยรีบกดตอนต่อไปอ่านโดยไม่เมนต์ก็มีนะมึง กูก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัล
>>17 >>19 กูว่านิยายแฟนตาซีไทยหลุดเทรนยาก ต้องตามกระแสไม่งั้นขายไม่ได้ แนวนิยายแฟนตาซีในเด็กดีก็คงวนไปแหละตอนนี้แปลจีนกำลังมาก็โผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ดมีเรื่องดีๆน้อยมาก นอกนั้นกูทนไม่ไหวอ่านไปสองสามตอนก็ลาละ แนวจีนก็เป็นเกิดใหม่ต่างโลก/ทุละมิติซะค่อนนึง...
ส่วนนิยายแฟนตาซีฝรั่งที่ดังๆ ก็มีวนๆอยู่แค่ dystopia, fairy tale retelling, epic/high fantasy, paranormal romance, urban fantasy (พวกแวมไพร์ shapeshifter ปีศาจเทวดา historical ฯลฯ) เรื่องก็วนๆกันอยู่ประมาณเนี้ยเดี๋ยวพอมีอะไรดังได้สร้างเป็นหนังก็มีแนวเดียวกันตามมาอีกเป็นสิบ เท่าที่กูเห็นก็มีแค่นี้ ส่วนแนวเกมออนไลน์ย้อนยุคเกิดใหม่แบบบ้านเรา/เอเชีย ฝั่งโน้นไม่ค่อยมีเท่าไหร่
เปรียบเทรนด์นิยาย นิยายแหวกแนวมันก็เหมือน อีปลวกเพื่อนกู ที่มันหน้าตาขี้เหร่ มันชอบตัดพ้อด้วยคำว่า "พิมพ์นิยม" พุดแม่งทุกจังหวะที่เห็นคนสวยกว่า ทำไมคนเราจำเป็นต้องไปศัลย์หน้า ทำผิวขาว ทำจมูกโด่งตามโลก ไม่งั้นหาผัวไม่ได้หรอ?
เขียนนิยายแหวกแนว ก็เหมือนสะเออะจะแรด หัวหยิกก็ตัดผมสั้น หน้าก็บานเป็นถาดใส่เส้นมะละกอร้านส้มตำ สินสอดเป็นล้านมึงอย่าหวัง ให้ข้าวแถมอีกสิบกระสอบเขาก็ไม่เอา
แน่นอนอีปลวกเพื่อนกูมันอาจจะนิสัยสันดานดี แต่ถ้ามันไม่ตามเทรนด์ เฉิ่ม ใครเขาจะมองมัน เอวังดีออก เอวัง กูเลยแนะนำให้มันเอานิยายมันไปสไลด์เขื่อนแทน
เพื่อนโม่งมึงสับให้กุหน่อย ลองเขียนแบบไลท์โนเวล กุเพิ่งลงได้สองตอนดีป่าวไม่รู้เลย
https://writer.dek-d.com/fictionpersi/story/view.php?id=1527867
>>44 มึงนี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจอะไรเรื่องบทนงบทนำเลยนะ บทแรกมันควรเป็นบทนำ ที่สามารถบอกอะไรได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องของมึงมันเกี่ยวกับอะไร การต่อสู้ ความรัก ต่างโลก อะไรก็ได้ แต่กูอ่านได้ประมาณครึ่งหนึ่งกูมีความรู้สึกว่า มันคือการเดินเรื่องในบทธรรมดา เปิดฉากมาตัวเอกเล่นปาจิงโก๊ะมันทำให้กูคาดหวังว่า กูจะได้รู้ว่ามันไปทำอะไรในนั้น ภายในหนึ่งหรือสองย่อหน้าที่ไม่ยาวมาก แต่กูอ่านไปจนถึงกลางบทกูก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันเข้าไปทำอะไรในนั้น มึงต้องหัดสร้างประเด็นให้ตัวเอกก่อนว่ะ มึงต้องตอบให้ได้ว่าแต่ละฉากมันมีเพื่ออะไร อยากบอกอะไรกับคนอ่าน ไม่ใช่มีปมอยู่ในใจแค่ปมเดียวแล้วเขียนไปเรื่อยเปื่อยหาทางเข้าปมเดียวอันนั้นให้ได้ โดยไม่สนใจว่าที่ผ่านมาตัวเองเขียนอะไรที่ไม่ได้เกี่ยวกับปมนั้นเลยยาวมาเป็นหน้าๆ กูอยากฝากไว้ว่าทุกฉากทุกการกระทำมันควรมีเหตุผล เอาไปปรับปรุงซะ
สงสารพวกเด๋อที่เอานิยายตัวเองมาลงโม่งแต่โดนด่า
>>43 ไม่ถึงขนาดนั้นปะมึง นิยายตลาดอาจเปรียบเสมือนคนสวยแบบพิมพ์นิยม อะไรล่ะ หน้าวีเชพ ขาวโอโม่ ตาโต นมใหญ่
แต่ถ้านิยายของกูเป็นสาวตาคม ผิวเข้ม ยิ้มสวย มันจะถึงขั้นไม่มีคนชายตามองเลยรึ
แม่งก็แค่จับกลุ่มลูกค้ากันคนละกลุ่มแค่นั้น ไม่ได้หมายความว่าเขียนแหวกแล้วจะไม่ดีนี่หว่า
>>44 สำนวนใช้ได้ แต่ก็อย่างที่หลายๆ คห.บอกไปว่าอ่านแล้วงง มึงควรเน้นเรื่องการตัดฉากให้ดีกว่านี้ พยายามหาทางลงให้แต่ละฉากมีจุดมุ่งหมายของมัน ไม่ใช่เขียนลากยาวไปเรื่อยๆ คนอ่านเขาคิดไม่ทันมึงหรอก ยังไงก็สับสน
แต่มีแนวโน้มที่จะพัฒนาได้นะ กูอ่านแล้วพอรับได้แต่คงพูดอะไรไม่ได้มากเพราะมีแค่ 2 ตอน ตั้งใจเขียนฝึกฝีมือไปแล้วกันนาจา
การโดนสับนิยายมีข้อดีข้อเสียของมันนะครับ
คือนักเขียนบางคนเพิ่งเขียนไง สำนวน เนื้อเรื่อง คาแรค ยังไปไม่ถึงไหนเลย คือมันยังเร็วไปที่จะให้วิจารณาด้วยซ้ำ
อย่างต่ำๆ ต้องมี 100 หน้าขึ้นไปนะ คราวนี้ไม่ต้องให้ใครวิจารณาหรอก ในเบื้องต้น กลับไปอ่านงานตัวเองก็ขนตูดลุกแล้ว ตอนแรก กับตอนล่าสุด แม่ง เหมือนคนเขียนคนละคน
ดังนั้น อยากเป็นนักเขียนจริงๆ ต้องลองๆ คลำทางดูก่อน ถ้ามาให้สับแค่สี่ห้าตอน ยังเร็วไป
>>59 มันแล้วแต่นะ ถ้าสามารถอ่านเองได้แล้วรู้ว่าพิมพ์นิยมคืออะไร เขียนไปร้อยตอนก็แก้ข้อผิดพลาดน้อยไม่ต้องแก้มาก แต่ถ้าไม่รู้อะไรจริงๆ แล้วเขียนไปร้อยหน้า คิดว่านักเขียนคนนั้นคงต้องทำงานหนักมากในเรื่องแก้ สู้ฟังคำแนะนำแค่ตอนสองตอนแรกแล้วค่อยๆ ปรับปรุงงานจะเบากว่าไหม
>>60 ช่างเหอะกูไม่คิดมากหรอก มันจะเขียนเรื่องอะไรก็ช่าง การที่กูจะอ่านหรือไม่อ่าน สับหรือไม่สับ มันไม่ใช่ว่ากูลำเอียงหรือไม่อยากช่วย มันอยู่ที่อารมณ์กู ณ เวลานั้นๆ ว่ากูอยากอ่านอะไรแนวไหน ถ้ากูไม่มีอารมณ์อยากสับกูก็ปล่อยผ่าน เพราะคนที่มาวางงานก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับกู มันแค่เวลาผิดปกติของกู ถ้าปกติกูก็ช่วยดูให้อยู่แล้ว แต่บางทีกูก็ไม่ได้อยู่ในโม่งตอนใครวางงานให้สับ กูว่ามันก็มีแค่นั้นนะ
>61 ไม่ไง ถ้าให้วัดแค่ 3-5 ตอน มันจะน้อยเกินกว่าจะมาสับแล้วเกิดประโยชน์ อันนี้มุมมองส่วนตัวนะ
>>62 กูเข้าใจมึงนะ คือมึงจะอ่านเรื่องไหน จะสับเรื่องไหนมันก็เป็นสิทธิ์ของมึงนั่นล่ะ มันก็ต้องยึดตามความสะดวกของมึงไว้ก่อนอยู่แล้วแหละ มึงอย่าคิดไรมาก กูที่พวกมึงสับแล้วก็สนุกดี มีแต่ไอ้ตัวตะแง้วๆเรียกร้องให้คนมาสับ งอแงๆนี่ล่ะที่น่ารำคาญ ยิ่งมีการปั่นกระแสตัวเอง ไอดีเดียวกันยิ่งตลก
เห็นนิยายพิราบเรื่องโรงเรียนกลับมาแล้วว่ะ มีบ่นท้ายตอนว่าจะเปลี่ยนมาใช้คำพูดแบบผู้หญิงไม่พูดว่าครับหรือใช้ผมอีก มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องเลิกตีพิมพ์ปะวะ ดูเขาเฟลๆ ไงไม่รู้ว่ะ
กุมาดูผลตอบรับแล้ว...ขอบใจพวกพวกมึงมาก
>>45 ขอบคุณสำหรับความเห็นตรงๆของมึงนะ
>>46 รอกุรีก่อน เดี๋ยวให้ใหม่อีกทีหนึ่ง
>>47 นั่นสิมันขาดๆเกินๆเหมือนที่มึงบอกนั่นแหละ
>>48 กุเห็นภาพล่ะ แต่พระเอกมันไม่ได้เล่นปาจิงโกะนะมึง มันเสี่ยงโชคต่างหาก ขอบใจหลายๆ
>>49 นี่กุเพิ่งรู้เลยนะเนี่ยว่าเขาไม่เคาะข้างเครื่องหมายกัน กุงมโข่งโลกไหนมาวะเนี่ย
>>53 กุจะพยายามลองแก้ดูก็แล้วกันแต้งกิ้ว
มีความโง่ในการใช้ไอดีซ้ำ
https://www.dek-d.com/board/view/3691743/1/?comment=16 ทำไมกูอยากให้ดอกขาวปะทะกับ ND111 จังวะ ถ้าเกิดขึ้นจริงคงเป็นมวยในฝันของกูเลย แนวๆ ว่าดอกขาวมันเป็นพวกโผล่ทุกกระทู้ แต่ ND111 มันเป็นประเภทรักสันโดษนานๆ จะเห็นมันไปตอบกระทู้ใครสักที แต่ดูในมู้นี้รู้สึกดอกขาวจะไม่กล้ายุ่งกับ ND111 เท่าไหร่ แหมกูตื่นเต้นจริงๆ นะเนี่ย ถ้าสองคนดังปะทะกันบอร์ดสะเทือนแน่ๆ
เออ น่ารำคาญมากอยากนินทาตัวบุคคลไสหัวไปที่อื่น กูไม่อยากรู้จัก ที่นี้เน้นสับนิยาย
มีใครอยากเอานิยายให้กูสับไหม กูโม่งฮู สับให้เรื่องนึงอะ
>>74 สับให้หน่อยนะ
>>78 กูเลือกปฏิบัติตรงไหน กูแค่สงสัยเอง แล้วนี่นินทาเหี้ยไร มึงอย่าโยงทุกอย่างไปนินทา กูบอกแค่นิยายแม่งเศร้าที่มีหลุยไปไกด์ไปโชว์เทพ กูก็พูดถึงนิยายอยู่เนี่ย ไม่ใช่ด่าบุคคลรัวๆ มึงอย่าอคติขนาดนั้นดิห่า
จริงๆอยากให้>>73 สับนิยายล็อตก่อนที่มีคนมากองไว้ เรื่องนี้เดี๋ยวกูสับให้ก็ได้ กูเข้าไปสไลด์กวาดสายตาตอนแรกแล้วเห็นบางอย่างที่อยากสับ
https://my.dek-d.com/vanaya/writer/view.php?id=1484470
1. ทำไมไม่เอาย่อหน้าแรกสุดเป็นบทนำ เพราะไอ้ที่เขียนว่าบทนำจริงๆ มันจืดชืดไร้ความตื่นเต้นโดยสิ้นเชิง
2. สำนวนยืดเยื้อไร้ความกระชับ คำซ้ำต่างๆ อ่านดูก็รู้ผู้เขียนไม่มีความรู้เรื่องการหลากคำและลงจังหวะแต่ละประโยคน้อยมาก โดยเฉพาะสรรพนาม "เธอ" วางในประโยคติดกันเป็นขบวนรถไป
3. ย่อหน้าที่สองของบทนำ อยู่ๆ ก็บอกว่าตัวละครมีแฝด มันไม่ใช่จังหวะที่จะบอกเลยควรโฟกัสที่ตัวละครนี้เดี่ยวๆ ไปก่อน
4. ในส่วนของตัวบันทึกที่เขียนไม่ขอติเรื่องเรื่องการใช้ประโยคหรือคำต่างๆ เพราะบันทึกมันมีค่าเท่ากับบทสนทนาทั่วๆ ไป ดังนั้นมันจึงสามารถมีคำซ้ำได้
***2. สำนวนยืดเยื้อไร้ความกระชับ คำซ้ำต่างๆ อ่านดูก็รู้ผู้เขียนมีความรู้เรื่องการหลากคำและลงจังหวะแต่ละประโยคน้อยมาก โดยเฉพาะสรรพนาม "เธอ" วางในประโยคติดกันเป็นขบวนรถไป
>>80 ขอเสริมมึงแล้วกัน ขอเป็นแนะเรื่องการเขียน การใช้ภาษาแล้วกัน กูค่อนข้างถนัดด้านนี้
สำนวนยืดเยื้อไม่กระชับตามที่ข้างบนบอกไป เหมือนอยากให้ภาษาสวยเลยใช้คำยาก แต่คนเขียนไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น คลังคำน้อย ทำได้แค่จับคำมาเรียงกันเฉยๆ ทำให้ย่อหน้าเดียวกันแท้ๆ แต่ระดับภาษาไม่เท่ากันซะงั้น มีความพยายามใช้ ที่ ซึ่ง อัน จนทำให้ประโยคกลายเป็นวลี ซึ่งไม่ได้จำเป็นเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพยายามสร้างประโยคความซ้อนทำไม เวลาเขียนบรรยาย พรรณนามันใช้ประโยคธรรมดาก็ได้ แบบนี้มันอ่านไม่รู้เรื่องมากกว่า เรียกได้ว่าพยายามประดิษฐ์ภาษาให้สวยจนกระอักกระอ่วน ถึงกูจะชอบเสพวรรณศิลป์ แต่คือบางครั้งเขียนง่ายๆ ให้อ่านเข้าใจและสนุกได้ก็พอแล้ว
อีกอย่างเวลาจัดหน้าทางวารสารศาสตร์ ถ้าอยากให้ท้ายประโยคมันเสมอกันเหมือนในหนังสือนิยาย เขาใช้การจัดหน้าแบบ "กระจายแบบไทย" ไม่ใช่ "เต็มแนว" ในเวิร์ดมีลองเอาเม้าส์ชี้ๆ ดูก็ได้ เพราะใช้การจัดแบบเต็มแนวแล้วมันจะออกมาประหลาดชาติชั่วเหมือนนิยายเรื่องนี้ ที่บางจุดก็เว้นวรรคเป็นโยชน์ อ่านแล้วแทนที่จะดูเรียบร้อยกลับยิ่งขัดหูขัดตา
ส่วนเนื้อเรื่อง...เบื่อ ขี้เกียจอ่าน ดูแค่ภาษาพอละ
ปล.เกลียดการเน้นตัวดำ คนที่เน้นแบบนี้อีกคนคืออีหลุย แม่งเขียนตามๆ กันใช่มั้ย
ลงชื่อ โม่งฮิ จะไปเป็นครูสอนภาษาไทย ถุย
>>83 ขอถามหน่อยนึง คือเราก็กำลังพัฒนางานเขียนตัวเองอยู่ ทีนี้มีปัญหาตรงที่การประดิษฐ์ประโยคนี่ล่ะ คือนิยายเนี่ยถ้าภาษาไม่สลวยมากเอาแค่อ่านแล้วไม่ติดขัดแบบเจอคำซ้ำๆกันในประโยคเดียวเกินไปมันพอจะใช้ได้รึเปล่า คือเราไม่ถนัดใช้คำศัพท์อลังๆด้วยสิ
อีกเรื่องหนึ่งเวลาตัดฉากใช้การBold ตัวอักษรของประโยคแรกที่ขึ้นต้นถือว่าผิดไหม เมื่อก่อนเคยใช้พวกเครื่องหมาย อย่าว ... หรือ ---
ตีเส้นแบ่งไปว่าตรงนี้จบฉากแล้วจะตัดขึ้นอีกฉากแทน แต่หลังๆมาใช้พวกนี้แล้วทันทำให้จำนวนคำฟุ่มเฟือยโดยเปล่าประโยชน์ก็เลยลองเปลี่ยนไปใช้เน้นBold แทนอ่ะ
เห้ย กุโม่งฮู ทำไมมีคนแย่งงานกรูวววว
กุโกรธจนไข่สั่นไปหมดแล้วววว
>>85 มึงต้องเข้าใจให้ถูกต้องก่อนว่า ภาษาสวยกับคำสวยมันเป็นคนละเรื่อง คนที่เขียนภาษาสวยๆ หรือสำนวนสวยๆ มันไม่ได้ใช้คำสวยนะมึง มันอยู่ที่ความคิดในการสื่อและจังหวะการวางคำวางประโยค สำหรับคำซ้ำกูไม่อยากให้กังวลมากสำหรับมือใหม่ เขียนให้ออกมาได้ตามภาพในหัวที่เราคิดก่อนแล้วค่อยปรับคำปรับประโยคทีหลัง ถึงมันจะเป็นการทำงานหลายครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับเพราะเรามือใหม่ แม้กระทั่งมือเก๋าๆ เองเขียนเสร็จเขาก็ยังต้องมาไล่จังหวะไล่คำทั้งหมดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องคำซ้ำ
>>85 ตั้งแต่สับนิยายมา เราแนะนำให้เขียนแบบเบสิคก่อนทั้งนั้นเลยนะ เอาแบบแค่ประโยค who what where when why how ก่อน ค่อยๆ เล่าเรื่องไป การเขียนให้สละสลวยมันเป็นเรื่องของการสะสมประสบการณ์ อาศัยอ่านเยอะๆ แล้วนำมาประยุกต์ใช้เป็นของตัวเองไป อย่าคิดมาก ทุกอย่างมันพัฒนากันได้ถ้าเปิดใจ
ส่วนเรื่องคำซ้ำ อันนี้เคยแนะนำไปแล้วว่าให้ ctrl+f หาดูว่าคำมันซ้ำติดกันไปหรือเปล่า เช่น ย่อหน้าแรกของเรื่องสายรุ้งต้องสาป แค่ 4 บรรทัด ล่อคำว่าที่ไป 5 ครั้ง อันนี้เฟ้อมาก เยอะไป คือต้องคิดตรรกะว่าเราใช้คำว่าที่ เพื่อขยายประโยค แล้วมันจะต้องขยายอะไรขนาดนั้น
ส่วนตัวไม่ชอบการใช้ bold เพราะไม่ค่อยเป็นมิตรต่อสายตาเท่าไร อันนี้เป็นเรื่องของงานพิมพ์ด้วย ลองสังเกตดีๆ ในหนังสือนิยายจะไม่ค่อยใช้ bold ยกเว้นการสื่อที่ว่าตะโกนอะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่ที่ใช้ bold จะเป็นงานวารสารศาสตร์จำพวก ข่าว สารคดี บทความ ที่ใช้เน้นย้ำความสำคัญของพวกชื่อที่ปรากฏมาครั้งแรก //วิชาการสัสๆ
>>88 เอ่อะ...
มาๆ ไหนกูก็สับไม่ทันละ กูจะมาแก้ไขปัญหานี้พวกมึงเองนะเพื่อนโม่ง
ปัญหาเรื่องคนำซ้ำ แก้ไขได้ดังนี้
1.อย่าไปห่วงเรื่องคำสวย
2.เขียนๆ ไป ซ้ำชั่งแม่ม
3.เน้นการเล่าเรื่องให้สนุก ตรงนี้สำคัญกว่าคำซ้ำอีก และขอย้ำอีกที คำซ้ำชั่งแม่ง
4.อ่านทวน
5.คำไหนซ้ำ มึงก็แก้คำนั้น แค่นั้นเอง
เดี๋ยวจะหาว่ากูกวนตีน มา ยกตัวอย่างให้
เขามาจากดินแดนที่ไม่ปรากฏในแผนที่ ว่ากันว่าบริเวณนั้นมีหุบเขาสูงชัน ที่ไม่มีทางเลย ที่มองลงไปถึงก้นหุบเหว ในรอบหนึ่งร้อยปีเท่านั้น ที่จะปรากฏสะพานแสงทองของดวงอาทิตย์ ที่จะสามารถทำให้เห็นทางเข้าดินแดนที่ว่านี้ได้
มึงจะเห็นว่า คำว่า 'ที่' แม่งเต็มไปหมด คราวนี้ มึงก็มาอ่านซ้ำ แล้วเปลี่ยนคำว่า 'ที่' ให้กลายเป็นคำอื่นที่มีความหมายเหมือน หรือใกล้เคียงก้ได้
เขามาจากดินแดนที่ไม่ปรากฏในแผนที่ ว่ากันว่าบริเวณนั้นมีหุบเขาสูงชัน 'อัน'ไม่มีทางเลย ที่มองลงไปถึงก้นหุบเหว ในรอบหนึ่งร้อยปีเท่านั้น 'ซึ่ง'จะปรากฏสะพานแสงทองของดวงอาทิตย์ โดยจะสามารถทำให้เห็นทางเข้าดินแดนที่ว่านี้ได้
อันนี้แค่เลเวลหนึ่งนะ เปลี่ยนแค่ที่ มึงไปฝึกกันก่อน เอาไว้เมื่อโปร ค่อยขึ้นเวลสอง คือเปลี่ยนทั้ง 'กลุ่มคำ'
by โม่งฮู ผู้โดยแย่งงาน
>>91 นี่กองไว้เยอะแยะ ไปสับสักเรื่องสิ >>>/webnovel/2907/988
ไหนๆ วันนี้ก็ว่าง ไม่มีอะไรทำ ขอดึงประเด็นเรื่องการเขียนประโยคมาหน่อยแล้วกัน ใครอยากอ่านก็อ่าน อาจจะไม่เก่งกาจอะไรมาก แต่ไกด์จากคนเคยผ่านงานอีดิตเตอร์มานิดหน่อย อาจจะไม่ได้เทพมาก แต่ถือเป็นไกด์ขำๆแล้วกัน
ขอทำใน doc มันจะได้ป้ายให้เห็นชัดๆ เลย กำลังอีดิตอยู่อยากอ่านตอนเสร็จแล้วก็รอหน่อยนะ
https://docs.google.com/document/d/114JBGxAKQksdZ5sfWsOPCWKWCUWW_HvZwDaPN2nfbyE/edit?usp=sharing
https://writer.dek-d.com/bear_la_bear/story/view.php?id=1503683
ช่วยวิจารณ์พวกการบรรยาย ลักษณะการใช้คำ ตังหวะการดำเนินเรื่องอะไรพวกนี้ให้หน่อยได้มั้ย อยากโดนสับแบบจริงจัง
>>98 1. เปิดเรื่องไม่เห็นภาพเพราะไม่รู้ว่า "ฉัน" ในเรื่องเป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย
ลองเปิดเรื่องแบบนี้ดู
เมื่อเช้าฉันยังเป็นนักเรียนหญิงแต่งเครื่องแบบเรียบร้อยและรวบผมหางม้ามาโรงเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่น
แต่!!! ตอนนี้สภาพฉันคงดูไม่ได้แน่ๆ ชายเสื้อหลุดรุ่ยที่มัดผมหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันกำลังวิ่ง วิ่ง และวิ่ง บลา บลา บลา
กุดูให้แค่นี้แหละเดี๋ยวโม่งฮูมันหาว่าแย่งงานมันอีก
ฮูมาแล้ว จัดปายยย
>>บางครั้งฮูก็ติดนิสัยโลกเบื้องหน้ามามากไป คิดไปคิดมา ไม่ต้องถามหรอก ฮูขอสับให้คิดว่ากำลังพอดี และดีที่สุด เกิดประโยชน์ที่สุดละกัน
อย่างแรก คุณนักเขียนยังเขียนน้อยไป ที่ดูออกเพราะจังหวะการเล่าเรื่องยังแปลกๆ ถ้าให้เดา เพิ่งจะผันจากนักอ่านมาเขียนล่ะสิท่า
'ช่วยวิจารณ์พวกการบรรยาย ลักษณะการใช้คำ ตังหวะการดำเนินเรื่องอะไรพวกนี้ให้หน่อยได้มั้ย อยากโดนสับแบบจริงจัง'
การบรรยายตามที่ >>100 บอก ฮูเห็นด้วย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ขอเรียกคนเขียนว่า 'นาง' นะ
จะว่าไปนางก็เขียนออกมาโอเค พออ่านได้นะในเรื่องของการบรรยาย แต่ที่นางขาด ที่การ set ฉาก
นางต้องบอกนะ ว่าในเรื่องอยุ่ตรงไหน แล้วจะบอกว่าแค่ 'ในปราสาท ในโรงเรียนก็ไม่ได้ มันต้องอยู่ในการเล่าเรื่อง'
"นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?"
ฉันเดินก้าวเท้าอย่างเชื่องช้า มองไปรอบๆ ทางเดินภายในโรงเรียนซึ่งเป็นกำแพงอิฐและมีคบเพลิงแขวนเรียงราย ฉันรู้ได้ทันทีว่าทุกสิ่งหยุดการเคลื่อนไหว เนื่องมาจากเปลวไฟจากคบเพลิงซึ่งควรจะไหวไปมา มันกลับหยุดนิ่งเหมือนภาพวาด
อันนี้คือการ set ฉาก บอกว่านางเอกกำลังเดินในทางเดิน มีกำแพงนะเว้ย เป็นยุคกลางนะโรงเรียนอะ และที่เห็นว่าหยุดนิ่ง เพราะว่าคบเพลิงมันหยุดเคลื่อนไหวนะ
นั่นคือเรื่องแรก...
เรื่องที่สอง จะบอกว่าไงดี อย่ารรีบเกินไป ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าเรื่อง ลงดีเทลหน่อย ให้คนอ่าน อ่านเรื่อยๆ จะเหมาะกว่ากับบทที่ไม่ค่อยมีเนื้อเรื่องอะไรพวกนี้
การใช้คำทำได้โอเค แต่ก็นั่นล่ะ พอกรเล่าเรื่องออกมาไม่ค่อยดี มันก็พังไปหมด ดังนั้น ในเบื้องต้น นางต้องเข้าใจนะ ว่าเวลาคือทุกสิ่ง นางต้องเขียนเยอะๆ เขียนบ่อยๆ แล้วเดี๋ยวสกิลมันจะเข้าที่เข้าทางเอก
สุดท้ายพูดตรงๆ มันไม่มีอะไรให้สับอะ สามตอนเอง ถ้าอยากเก่งขึ้น แนะนำให้เขียนให้เยอะกว่านี้ แล้วค่อยกลับไป ไปทำการบ้านเรื่องการเล่าเรื่องมาใหม่ เอ้อ การ set ฉากด้วย บุรุษ1 มันเป็นอะไรที่มีทั้งดีและไม่ดี มันเป็นตอบสองคม
คมแรก มันทำให้เราเข้าถึงคนอ่านได้ง่าย อินง่ายกว่า บุรุษ3
คมที่สอง อันตรายมาก ถ้าอินเนอร์ตัวเอกน่ามคาน คนอ่านปิดเลย
ไปฝึกมาใหม่ โม่งฮูยังไม่สับให้ไปมากกว่านี้ คำว่าสับ มันมาจากหมูสับ (เหรอวะ) เอาเนื้อชิ้นใหญ่ๆ มาสับ สับให้ละเอียด แต่ตอนนี้ ที่โม่งฮูเห็นมีแค่เศษเนื้อ มันยังสับไม่ได้ว่ะ
ด้วยรัก ขอให้ประสบความสำเร็จ by โม่งฮู
>>109 ขอบคุณมากคุณโม่งฮู
ยอมรับทุกจุดที่ติมาเลย สารภาพว่าตอนนั่งเขียนก็รู้สึกว่าตัวเองใจร้อนมาก มันเป็นความรู้แบบอยากดำเนินฉากนี้ไปให้ไวๆ แล้วไปต่อตรงเนื้อเรื่องจุดอื่นต่อ แต่ก็ลืมคิดไปว่าคนอ่านมันไม่ได้รู้เรื่องกับเราด้วยนี่หว่า
เรื่องการบรรยายฉากอันนี้เราก็ง่อยมากอีก แทบจะไม่มีทักษะทางด้านนี้เลย มันคิดไม่ออกว่าควรใส่มาตรงไหน บรรยายประมาณไหนถึงจะพอดี แต่เราจะพยายามฝึกนะ
ขอบคุณคุณโม่งฮูอีกรอบค่ะ
ลองสับเรื่องนี้ไหมมึง ซูฉี สาวงามสีขาว
เราคือ >>100 เองนะ เราเป็นนักเขียนเรื่องสั้น มีผลงานได้ตีพิมพ์ไปพอสมควรแล้วล่ะ เท่าที่อ่านเจ้าของเรื่องสำนวนดีนะ การใช้คำและประโยคทำได้ดี ถ้าจะให้ติคงต้องติเรื่องการบอกลักษณะตัวละคร มันบ่อยเกินไป เช่น สีผม สีนัยน์ตา อะไรพวกนี้ ส่วนจังหวะการเล่าจริงๆ เร็วแค่บางจุด อย่างตอนวิ่งไปใกล้ถึงสี่แยกแล้วรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคนจากอีกด้าน ต้องถามว่าด้านไหนเพราะด้านหน้ามีอยู่สามทางถูกไหม ยังไม่ได้ดุเนื้อเรื่องให้ว่าเบียวอย่างเขาว่าหรือเปล่า อ่านแค่บทนำต้องบอกว่าทำได้ดีทีเดียว
>>110 วิธีฝึกการบรรยายฉากทำได้ง่ายมาๆ นางต้องคิดตลอดเวลา ว่าตัวละครเห็นอะไรบ้าง แต่ไม่ต้องใส่แม่มทุกอย่างที่เห็นนะ เอาลงมาในบทบรรยายทีละนิดก็ได้ แฝงๆ เอาไว้ทีละจุด
มีตัวอย่างมาให้
สมมติตัวเอกอยู่ในโรงอาหาร โต๊ะกินข้าวสีดำไม้เนื้อดี โรงอาหารเป็นห้องโถงเพดานสูง ตรงข้ามมีคนคุยเสียงดัง
"เห้อ วันนี้ก็สอบอีกแล้ว"
ฉันพูดออกไปขณะนั่งลงบนโต๊ะอาหารพร้อมกับฮินะ เสียงจานกระทบกับไม้เนื้อดีส่งเสียงทุ้ม
"อย่าบ่นไปเลยเรย์ วันนี้ศาสตราจารย์เซนก็บอกแล้ว คะแนนไม่ได้มากเท่าไรในการสอบนี้"
ฮินะพูด พลางเขม่นไปยังโต๊ะตรงกันข้าม ซึ่งกำลังมีเด็กปีหนึ่งส่งเสียงจ้อกแจ้ก ให้ตาย เธอคงจะรำคาญพวกเขาพอๆ กับฉัน
"ก็แหม เธอก็รู้ ว่าฉันไม่ได้เก่งวิชาอักขระปิศาจ" ฉันพูดพลางเงยหน้าขึ้นสูงถอนหายใจ มองขึ้นไปยังเพดานสูงของโรงอาหาร ที่ด้านบนมีภูติจิ๋วบินเล่นไล่จับกัน ดูแล้วน่าจะสนุกสุดๆ
ประมาณนี้ ด้นสด ลองเอาไปใช้ดูนะครับ
by โม่งฮู
>>107 เอาจริงมั้ย กูเคยไปสมัครหมวดนักเขียนของเด็กดีด้วย ตอนนั้นว่างงาน เพื่อนขำกันชิบหายว่าอย่างกูนี่นะไปสมัครเด็กดี ถ้าได้จริงจะตำนานในหลายๆ แง่มาก ตอนนั้นกูอยากทำอะไรขำๆ สุดท้ายเขาไม่รับกูนะ ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรเหมือนกัน อาจกลัวกูลาออกไปทำสายแข็ง หรือกูไม่เหมาะกับงานเขาก็ได้ เพราะเขาถามว่าให้เชียร์แจ่มใสนี่ทำได้มั้ย กูหยุดคิดไปนิดนึงแล้วค่อยตอบว่าไม่ถนัด แต่ถ้าเป็นงานก็ทำได้
มีความขำที่ว่าเขาถามว่ากูเคยวิจารณ์มั้ย ให้ไกด์นักเขียนจะทำได้หรือเปล่า สมมติมีนักเขียนที่พล็อตดี แต่ภาษาไม่ดี จะช่วยชี้ช่วยปรับปรุงได้มั้ย กูได้แต่หัวเราะหึๆ ตัดภาพไปที่ทีมงานเขาสิ คุณภาพมากๆ
ทั้งหมดทั้งมวลกูไม่ได้เจ็บแค้นนาจา เพราะกูสิงโม่งเด็กดีมาตั้งแต่มู้แรกแล้ว แฉคนก็ทำมาเยอะ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รับเข้าทำงานแล้วมาพาลเขา กูไม่ได้กลัวโม่งแตกด้วย ขำๆ กันไป
ปล. กูเสนอเรื่องขอให้นิยายในเด็กดีเป็นระบบแท็กแทนหมวดหมู่ไปตอนนั้น โน้ตแม่งเสียมารยาทมากตอนสัมภาษณ์ เล่นจิ้มมือถือตลอด ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทเหรอ มีอตินที่ดูจะสนใจฟังในสิ่งที่กูพูด
>>116 กูไม่ชอบการที่เปิดมาด้วยอาณาจักรนี้ ตัวเอกสีผม สีตา นิสัยนี้ เลยนะ แต่กูขอค้านเรื่องการเขียนบรรยายยาวๆ ไม่ค่อยมีบทสนทนาแล้วกัน คือถ้าเขียนให้ดี มันก็ทำได้นะ มันเป็นสไตล์ที่กูใช้ด้วยแหละมั้ง
ยกงานเก่าที่ไม่มีวันได้เผยแพร่มาเป็นตัวอย่างแล้วกัน อันนี้เป็นการเปิดเรื่องของนิยายแฟนตาซีเรื่องหนึ่งของกู ที่รู้สึกว่าพล็อตเรื่องยังไม่ดีพอเลยโละทิ้ง
‘เคล็ดลับของการรมควันอยู่ที่การเลือกไม้’
เอลิกซ์รู้สึกเหมือนตอนนี้เขาเป็นขาหมูที่กำลังถูกรมควัน...ถ้าปล่อยทิ้งไว้อีกนิดเขาก็คงจะสุกจนกลายเป็นแฮม...
เด็กหนุ่มเคยช่วยป้าเมย์รมควันสารพัดสัตว์อยู่หลายครั้ง ทั้งปลาเทราต์ ไก่งวง เป็ด และส่วนต่าง ๆ ของหมูตัวอ้วน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขาต้องเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางควันไฟแบบนี้เลยสักครั้ง...ถึงมันจะไม่ใช่ควันจากเนื้อไม้ แต่กลิ่นหอมเอียนจากกำยานผสานกับเสียงสวดแหลมสูงที่เกือบจะเป็นเสียงโหยหวนของเหล่านักบวชในชุดขาวก็ทำให้เขาประสาทเสียจนอยากจะกลายเป็นแฮมอบน้ำผึ้งขึ้นมาจริง ๆ
แค่สวดเฉย ๆ ไม่พอเหรอ...ทำไมต้องจุดกำยานรมควันกันด้วย...
สามวันแล้วที่เอลิกซ์ถูกรมควันในพิธีอวยพรจากศาสนจักรแห่งแสง ดวงตาของเขาแดงก่ำเพราะควันหนาทึบ แสบตาเสียจนน้ำตาจะไหลเอ่อออกมาอยู่รอมร่อ แสบจมูกเสียจนไม่รู้สึกว่าเคยมีจมูกไว้หายใจ อันที่จริงเขาไม่ได้อยากจะเข้าร่วมเลยสักนิด ถ้าไม่ติดว่ามีใครดันบ้าจี้ตั้งกฎให้ทุกคนที่เข้าร่วมขบวนตามหาตัวเจ้าชายเกเบรียลต้องผ่านการอวยพรจากเหล่านักบวชในทุกเช้า และใครที่ว่านั่นดันเป็นเจ้าชายรัชทายาทอันดับสองแห่งอาณาจักรอาริไพน์
มีนิยายเรื่องไหนที่ติดท็อปได้โดยไม่ลงทุกวันบ้างป่าววะ
มีเรียนมีงาน ไหนจะต้องมานั่งแก้ขัดเกลาอีก จะให้เขียนลงทุกวันคงเหนื่อยตาย 555
กูขอเปิดประเด็นหน่อย ไหนๆ โม่งฮูก็กล่าวไว้ใน >>109 นิดๆ แล้วว่า "การ set ฉากด้วย บุรุษ1 มันเป็นอะไรที่มีทั้งดีและไม่ดี มันเป็นตอบสองคม
คมแรก มันทำให้เราเข้าถึงคนอ่านได้ง่าย อินง่ายกว่า บุรุษ3 คมที่สอง อันตรายมาก ถ้าอินเนอร์ตัวเอกน่ามคาน คนอ่านปิดเลย" เพราะงั้นกูเลยอยากขอคำชี้แนะจากพวกมึงทุกคนหน่อย คือกูเคยแต่งนิยายเรื่องนึง ตัวเอกเป็นผู้หญิง ใช้การบรรยายแบบบุคคลที่ 1 ก็ไม่มีปัญหาอะไรจนกูจะมาแต่งเรื่องที่สอง กูพบว่ากูมีไทป์คาร์ตัวเอกหญิงที่กูรำคาญเยอะมาก ถ้าไม่ใช่นางเอกแบบนิยายเรื่องแรกของกู กูจะทนอินเนอร์ไม่ได้เลย (นางเอกเรื่องแรกกูออกแนวลุยๆ ห้าวๆ หน่อย) ทำให้เหมือนกูมีไทป์นางเอกที่เขียนได้เพียงไทป์เดียวเท่านั้น เพราะงั้นนิสัยนางเอกในนิยายทุกเรื่องของกูมันก็จะซ้ำๆ คล้ายๆ กัน เลยอยากจะถามเพื่อนโม่งว่า พวกมึงคิดยังไงถ้านักเขียนคนนึงเขียนนิยายหลายเรื่อง แต่ตัวเอก(ในกรณีที่เป็นเพศหญิง) จะคล้ายๆ กันไปหมด ต่างก็แค่พล็อตเรื่องและelementอื่นๆ เท่านั้น ?
ปล. อันที่จริงกูถนัดเขียนผ่านมุมมองตัวเอกชายมากกว่า แต่อยากฝึกเขียนตัวเอกหญิงให้มากกว่านี้ ก็เลยมาถามน่ะ
ปล2. กูลองเขียนมุมมองบรรยายแบบบุคคลที่ 3 มาพอสมควรแล้ว พบว่าตัวเองเขียนแบบมุมมองบุคคลที่ 1 ได้ดี และชอบมากกว่า
โม่งเฮ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.