“อาจารย์กำลังกระทำการ mansplaining ตลอดเวลาที่ทำการสอนด้วยการถือว่าตัวเองเป็นผู้ชายและมีการศึกษาแล้วยังเป็นการด้อยค่าผู้หญิง แค่นั้นอาจารย์ยังใช้ seniority เพื่อแสดงอำนาจและ manipulate กฎเกณฑ์ในห้องนี้โดยที่จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย แล้วพวกคุณที่เหลืออยู่ในคลาสเป็นอะไรกันไปหมด เห็นการกระทำกดขี่ทางเพศอยู่ต่อหน้าแล้วยังเพิกเฉยอีกได้ยังไงกัน การเพิกเฉยต่อความไม่ถูกต้องคือการเข้าข้างผู้กดขี่นะ” ไม่มีใครปริปากอะไร “พวกคุณกำลังปล่อยให้ฉันสู้ลำพัง” เป็นอันแน่นอนว่าหลังจากนั้นก็ได้มีการเรียกเข้าไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ของทางมหาวิทยาลัยต่อการกระทำของเธอซึ่งสิ่งที่แน่นอนยิ่งกว่าคือการที่เธอไม่ยอมรับข้อตัดสินใดๆ ทุกกรณี เธอกล่าวว่าคณาจารย์ท่านอื่นกำลังโทษเหยื่อต่อการกระทำของเธอ และเธอยังกล่าวไว้อีกด้วยว่า Silent is violence แต่ราวกับว่าโลกนี้หันหลังให้กับเธออีกครั้ง ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เธอพยายามต่อสู้และดิ้นรนเพื่อเอาชนะโลกอันแสนโหดร้ายนี้เลย และจนท้ายที่สุด เธอจึงได้หันหลังให้กับโลก นับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น เธอก็ทำเพียงแค่การเข้าเรียนไปเพียงให้ผ่านและหวังว่าเธอจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ได้ในวันหนึ่ง
กลับมายังปัจจุบันกันดีกว่า แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะผ่านไปแล้วนานหลายเดือนหรือปีไม่ทราบ เพราะความทรงจำอันเลือนรางนั้นมันเป็นสิ่งที่เธออยากจะปลดปล่อยมันออกไปที่สุด และเธอหวังว่าเรื่องเลวร้ายนั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง เธอเดินลัดเลาะไปตามอาคารที่เป็นหอพักอื่นๆ ใกล้เคียง ร้านค้าแถวนี้ไม่ใคร่อยากจะค้าขายอะไรกับเธอนัก ด้วยอุปนิสัยเอาจริงเอาจังของเธอนี่แหละ ครั้งหนึ่งเธอเคยต่อว่าแม่ค้าขายน้ำส้มที่พยายามจะขายน้ำส้มแบบราคาพิเศษให้กับเธอด้วยราคาสามขวดห้าสิบบาทจากราคาปกติขวดละยี่สิบ จริงอยู่ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ช่วยประหยัดเงินได้ถึงสิบบาท แต่เธอมองว่าการตลาดด้วยการลดราคานั้นเป็นเพียงเหยื่อหลอกล่อเข้ากับดักของทุนนิยมอันเลวทราม แม้ว่านั้นจะเป็นเวลาสี่ทุ่มและแม่ค้าก็ออดอ้อนว่า “ซื้อยายเถอะลูก ยายอยากกลับบ้านแล้ว” นั่นยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดโมโหเข้าไปใหญ่ การใช้ความอ่อนแอของช่วงวัยและความพิกลพิการมาหากินเป็นเรื่องที่อภัยไม่ได้ และการที่ยายตาฝ้าฟางจนบอดไปข้างหนึ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อการตลาดเท่านั้น เธอจึงยืนเทศนาคุณยายท่านนั้นไปยกใหญ่ นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเห็นแกอีกเลย สำหรับเธอแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ดีกว่า อย่างน้อยมันก็ดีที่ตรงข้างทางจะได้ดูสะอาดสะอ้านน่ามองมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่แม่ค้าเหล่านั้นไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับเธอนัก เธอเชื่อว่าแม่ค้าคนอื่นๆ สนับสนุนการค้าขายตามไหล่ทางอันเป็นการจัดการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อที่สาธารณะ แต่เคราะห์ยังดีสำหรับเธอในวันนี้ เพราะมีร้านอาหารมาเปิดใหม่ซึ่งเธอเองก็ใคร่อยากจะเข้าไปหาอะไรใหม่ๆทานพอดี
“ขอออมเล็ตไม่ใส่ไข่ค่ะ” เธอกล่าวต่อพนักงานหน้าร้าน ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะเป็นอีกคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เรียนไม่จบจนจำเป็นต้องมาเปิดร้านอาหารด้วยเงินค่าเทอมที่หลอกขอพ่อแม่มา
“อะไรนะครับ” เจ้าของร้านไม่เข้าใจ แน่นอน คนโง่ๆ เรียนไม่จบอย่างเขาไม่มีทางเข้าใจอะไรเธอหรอก
“ขอออมเล็ตค่ะ แต่ไม่ใส่ไข่นะ” เธอยังพยายามพูดด้วยท่าทีที่เป็นมิตรยิ่งขึ้น
“ผมไม่เข้าใจ ออมเล็ตไม่ใส่ไข่จะเป็นออมเล็ตได้ยังไง” ใช่แล้ว เขาโง่เกินกว่าจะเข้าใจเธอจริงๆ ด้วย
“ก็ใส่เต้าหู้อ่อนไง คนๆ แค่นาทีเดียวก็ได้แล้ว คุณทำอาหารวีแกนไม่เป็นเหรอ” ตอนนี้เธอเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อยซึ่งปกปิดไม่ได้ด้วยสายตาและหัวคิ้วที่ปรับจูนเข้าหากัน
“งั้น.....” เขาหยิบจานขึ้นมาวางบนโต๊ะ โรยเกลือ พริกไทย “เอนจอยครับ”
เธอรู้ได้ทันทีว่าเขาประชดเธอ ไม่รอช้าเธอสับเท้าก้าวออกจากร้านในแทบจะวินาทีเดียวกัน เธอโกรธจนแทบจะร้องไห้ โลกนี้มีแต่พวกคนกวนประสาท ไม่เคยมีใครสักคนเลยที่เข้าใจเธอ เขามองตามหลังเธอไปจนลับตาแล้วค่อยอุทานออกมา “อีห่า ประสาท ออมเล็ตบ้านพ่องใช้เต้าหู้ทำ” แน่นอนเขาบ่นให้เธอเพราะขาดความรู้ ออมเล็ตจะใส่อะไรก็ได้ ขอแค่เรานิยามมันว่านี่คือออมเล็ตมันก็คือออมเล็ต แม้กระทั่งมาการีนก็ยังเป็นเนยสดหากคุณนิยามว่ามันคือเนยสดและสังคมเห็นดีเห็นงามกับคุณว่ามันคือเนยสด เมื่อเธอรู้ตัวว่าล้มเหลวแล้วในเช้านี้กับการสั่งออมเล็ตไม่ใส่ไข่ ทางเลือกสุดท้ายในตอนที่เธอต้องการรู้สึกได้พลังงานที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือน้อยลงเต็มที เธอจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านกาแฟเจ้าดังที่มาเปิดสาขาอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแทน เพียงไม่กี่นาทีกาแฟก็มาเสิร์ฟแต่