Fanboi Channel

นิยายจากโม่งโดยโม่งเพื่อโม่ง

Last posted

Total of 780 posts

763 Nameless Fanboi Posted ID6:Wtw9S+ohto

>>400 อันนี้ดี อ่านแล้วคิดถึงแฟนเก่า

764 Nameless Fanboi Posted ID:KIMw5QQfQq

มิลค์อายุ 21 ปี
เรื่องนี้ไม่ได้อ้อมค้อมอะไรมาก มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ มิลค์ อายุ 21 ปี เราไม่จำเป็นต้องพร่ำพรรณนาอะไรถึงบรรยากาศรายล้อมอันจะกลายเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า เพียงแต่โดยสังเขปของมิลค์นั้นเราจะเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นหญิงสาววัยกำลังจะพ้นมหาวิทยาลัย รูปพรรณสัณฐานของเธอสามารถบอกคุณได้อย่างไม่ต้องคิดว่าเธอเป็นคนไทยเชื้อสายจีนเป็นแน่แท้ ด้วยดวงตาลีบเล็ก ผิวขาวเหลืองออกสว่าง ผมเงาตรงเป็นธรรมชาติ แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์ เธอเป็นลูกครึ่งไทย-เวียดนาม แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะเดาไม่พลาดคือเธอเป็นลูกคนอันมีจะกินซึ่งก็ไม่น่าจะเกินจินตนาการนักจากระดับการศึกษาของเธอ มิลค์เป็นผู้มีใจใส่ในกิจการงานสังคมอย่างแม่นมั่นมาแต่ไหนแต่ไร เธอหวังว่าวันหนึ่งพลังของเธอจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ อันเป็นแรงผลักดันแก่กล้าให้เธอดั้นด้นจากความเป็นลูกแกวย่านตลาดห้าแยกเมืองอุดรมาเป็นสาวสังคมมหาวิทยาลัยชื่อก้องในด้านรัฐศาสตร์ ซึ่งนับได้ถึงปัจจุบันก็นับเข้าปีที่สี่เสียแล้ว
มิลค์เป็นคนที่มีอุปนิสัยที่แน่วแน่ มุ่งมั่น กล้าหาญ และโอบอ้อมอย่างลึกซึ้ง วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอจะต้องใช้ชีวิตในโลกอันเธอเห็นว่าเลวร้ายเหลือคณา ในโลกที่ผู้คนล้วนแก่งแย่งชิงดี รบราฆ่าฟันกันเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยในโลก และมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายที่สุดเกินกว่าสปีชี่ส์ใดๆ ในโลกจะเสมอเหมือน เช้านี้ยังคงเป็นอีกวันที่โหดร้ายสำหรับเธอ โลกอันทุกข์ทรมานนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อเธอเดินออกจากหอพักใกล้มหาวิทยาลัย สิ่งแรกที่เธอได้เห็นคือกลุ่มของวินมอเตอร์ไซค์ที่ดักรออยู่หน้าปากซอย พวกเขาต่างยกไม้ชูมือส่งสัญญาณมาทางเธอ และทันใดที่เธอหันไปสบตากลับเป็นเสี้ยววินาทีเดียวกันกับที่เธอต้องหลุบตาหนี สัญลักษณ์แปลกๆ ที่คนเหล่านั้นส่งมาทางเธอคือนิ้วชี้ขึ้นข้างบน “แม่งเอ๊ย ไอ้พวกชายเป็นใหญ่” เธอสบถก่อนจะเดินกอดกระเป๋ามุดหลบสายตาจากคนเหล่านั้นด้วยท่าทีกระวนกระวาย ครั้งหนึ่ง เธอเคยพยายามสร้างความตระหนักทางสังคมว่าด้วยการล่วงละเมิดทางเพศในที่สาธารณะแบบนี้ด้วยการเขียนที่มีชื่อว่า “การผลิตซ้ำวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ด้วยสัญลักษณ์มือของกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วยสัญลักษณ์มือและ cats call” ซึ่งผลออกมาไม่ดีนัก อาจารย์ที่รับหน้าที่บรรณาธิการบอกว่าบทความของเธอเต็มไปด้วยอคติต่อเพศตรงข้าม และในวันนั้น มันเป็นวันที่บทความนี้ถูกเสนอหน้าชั้น เสียงหัวเราะของเหล่าเพื่อนร่วมรุ่นที่มีต่อบทความของเธอมันทำให้รู้สึกราวโดนโลกทั้งใบถล่มใส่ เหตุใดการสร้างความตระหนักให้สังคมกลับถูกมองเป็นเรื่องตลก ยิ่งไปกว่านั้น เธอได้ตระหนักถึงความจริงของเธอข้อหนึ่งว่า มันไม่แปลกเลยที่อาจารย์คนนั้นจะปัดตกบทความของเธอ นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้ชาย มันเรื่องอะไรที่เพศชายจะยอมรับว่าวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่มีอยู่จริง ก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าการชี้นิ้วขึ้นบนของคนพวกนั้นมันหมายถึงอวัยวะเพศที่ชี้โด่ขึ้นบนฟ้า การแสดงท่าทีแบบนั้นมันมีแต่พวกดักดานเท่านั้นที่รับได้ แต่ก็ใช่ เพราะสังคมอันเลวร้ายด้วยชายเป็นใหญ่เธอจึงต้องยอมศิโรราบ แต่ไม่ใช่สำหรับเธอผู้มีความมุ่งมั่นทำลายปิตาธิปไตยให้หมดไป ในครั้งต่อไปที่ต้องเข้าเรียนวิชานั้นอีกครั้ง เธอเลือกที่จะสวมหูฟังอันใหญ่แล้วนั่งในจุดที่คนเห็นเยอะที่สุด อาจารย์ถามกับเธอว่าทำไมถึงได้สวมหูฟังในขณะที่กำลังอยู่ระหว่างการสอน เธอทำท่าทางไม่ใส่ใจจนกระทั่งเพื่อนข้างๆ สะกิดตัวเธอ เธอจึงลุกพรวดขึ้นมาแล้วกล่าวคำปลุกใจเอาไว้ว่า

765 Nameless Fanboi Posted ID:KIMw5QQfQq

“อาจารย์กำลังกระทำการ mansplaining ตลอดเวลาที่ทำการสอนด้วยการถือว่าตัวเองเป็นผู้ชายและมีการศึกษาแล้วยังเป็นการด้อยค่าผู้หญิง แค่นั้นอาจารย์ยังใช้ seniority เพื่อแสดงอำนาจและ manipulate กฎเกณฑ์ในห้องนี้โดยที่จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย แล้วพวกคุณที่เหลืออยู่ในคลาสเป็นอะไรกันไปหมด เห็นการกระทำกดขี่ทางเพศอยู่ต่อหน้าแล้วยังเพิกเฉยอีกได้ยังไงกัน การเพิกเฉยต่อความไม่ถูกต้องคือการเข้าข้างผู้กดขี่นะ” ไม่มีใครปริปากอะไร “พวกคุณกำลังปล่อยให้ฉันสู้ลำพัง” เป็นอันแน่นอนว่าหลังจากนั้นก็ได้มีการเรียกเข้าไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ของทางมหาวิทยาลัยต่อการกระทำของเธอซึ่งสิ่งที่แน่นอนยิ่งกว่าคือการที่เธอไม่ยอมรับข้อตัดสินใดๆ ทุกกรณี เธอกล่าวว่าคณาจารย์ท่านอื่นกำลังโทษเหยื่อต่อการกระทำของเธอ และเธอยังกล่าวไว้อีกด้วยว่า Silent is violence แต่ราวกับว่าโลกนี้หันหลังให้กับเธออีกครั้ง ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เธอพยายามต่อสู้และดิ้นรนเพื่อเอาชนะโลกอันแสนโหดร้ายนี้เลย และจนท้ายที่สุด เธอจึงได้หันหลังให้กับโลก นับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น เธอก็ทำเพียงแค่การเข้าเรียนไปเพียงให้ผ่านและหวังว่าเธอจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ได้ในวันหนึ่ง
กลับมายังปัจจุบันกันดีกว่า แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะผ่านไปแล้วนานหลายเดือนหรือปีไม่ทราบ เพราะความทรงจำอันเลือนรางนั้นมันเป็นสิ่งที่เธออยากจะปลดปล่อยมันออกไปที่สุด และเธอหวังว่าเรื่องเลวร้ายนั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง เธอเดินลัดเลาะไปตามอาคารที่เป็นหอพักอื่นๆ ใกล้เคียง ร้านค้าแถวนี้ไม่ใคร่อยากจะค้าขายอะไรกับเธอนัก ด้วยอุปนิสัยเอาจริงเอาจังของเธอนี่แหละ ครั้งหนึ่งเธอเคยต่อว่าแม่ค้าขายน้ำส้มที่พยายามจะขายน้ำส้มแบบราคาพิเศษให้กับเธอด้วยราคาสามขวดห้าสิบบาทจากราคาปกติขวดละยี่สิบ จริงอยู่ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ช่วยประหยัดเงินได้ถึงสิบบาท แต่เธอมองว่าการตลาดด้วยการลดราคานั้นเป็นเพียงเหยื่อหลอกล่อเข้ากับดักของทุนนิยมอันเลวทราม แม้ว่านั้นจะเป็นเวลาสี่ทุ่มและแม่ค้าก็ออดอ้อนว่า “ซื้อยายเถอะลูก ยายอยากกลับบ้านแล้ว” นั่นยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดโมโหเข้าไปใหญ่ การใช้ความอ่อนแอของช่วงวัยและความพิกลพิการมาหากินเป็นเรื่องที่อภัยไม่ได้ และการที่ยายตาฝ้าฟางจนบอดไปข้างหนึ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อการตลาดเท่านั้น เธอจึงยืนเทศนาคุณยายท่านนั้นไปยกใหญ่ นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเห็นแกอีกเลย สำหรับเธอแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ดีกว่า อย่างน้อยมันก็ดีที่ตรงข้างทางจะได้ดูสะอาดสะอ้านน่ามองมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่แม่ค้าเหล่านั้นไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับเธอนัก เธอเชื่อว่าแม่ค้าคนอื่นๆ สนับสนุนการค้าขายตามไหล่ทางอันเป็นการจัดการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อที่สาธารณะ แต่เคราะห์ยังดีสำหรับเธอในวันนี้ เพราะมีร้านอาหารมาเปิดใหม่ซึ่งเธอเองก็ใคร่อยากจะเข้าไปหาอะไรใหม่ๆทานพอดี
“ขอออมเล็ตไม่ใส่ไข่ค่ะ” เธอกล่าวต่อพนักงานหน้าร้าน ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะเป็นอีกคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เรียนไม่จบจนจำเป็นต้องมาเปิดร้านอาหารด้วยเงินค่าเทอมที่หลอกขอพ่อแม่มา
“อะไรนะครับ” เจ้าของร้านไม่เข้าใจ แน่นอน คนโง่ๆ เรียนไม่จบอย่างเขาไม่มีทางเข้าใจอะไรเธอหรอก
“ขอออมเล็ตค่ะ แต่ไม่ใส่ไข่นะ” เธอยังพยายามพูดด้วยท่าทีที่เป็นมิตรยิ่งขึ้น
“ผมไม่เข้าใจ ออมเล็ตไม่ใส่ไข่จะเป็นออมเล็ตได้ยังไง” ใช่แล้ว เขาโง่เกินกว่าจะเข้าใจเธอจริงๆ ด้วย
“ก็ใส่เต้าหู้อ่อนไง คนๆ แค่นาทีเดียวก็ได้แล้ว คุณทำอาหารวีแกนไม่เป็นเหรอ” ตอนนี้เธอเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อยซึ่งปกปิดไม่ได้ด้วยสายตาและหัวคิ้วที่ปรับจูนเข้าหากัน
“งั้น.....” เขาหยิบจานขึ้นมาวางบนโต๊ะ โรยเกลือ พริกไทย “เอนจอยครับ”
เธอรู้ได้ทันทีว่าเขาประชดเธอ ไม่รอช้าเธอสับเท้าก้าวออกจากร้านในแทบจะวินาทีเดียวกัน เธอโกรธจนแทบจะร้องไห้ โลกนี้มีแต่พวกคนกวนประสาท ไม่เคยมีใครสักคนเลยที่เข้าใจเธอ เขามองตามหลังเธอไปจนลับตาแล้วค่อยอุทานออกมา “อีห่า ประสาท ออมเล็ตบ้านพ่องใช้เต้าหู้ทำ” แน่นอนเขาบ่นให้เธอเพราะขาดความรู้ ออมเล็ตจะใส่อะไรก็ได้ ขอแค่เรานิยามมันว่านี่คือออมเล็ตมันก็คือออมเล็ต แม้กระทั่งมาการีนก็ยังเป็นเนยสดหากคุณนิยามว่ามันคือเนยสดและสังคมเห็นดีเห็นงามกับคุณว่ามันคือเนยสด เมื่อเธอรู้ตัวว่าล้มเหลวแล้วในเช้านี้กับการสั่งออมเล็ตไม่ใส่ไข่ ทางเลือกสุดท้ายในตอนที่เธอต้องการรู้สึกได้พลังงานที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือน้อยลงเต็มที เธอจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านกาแฟเจ้าดังที่มาเปิดสาขาอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแทน เพียงไม่กี่นาทีกาแฟก็มาเสิร์ฟแต่

766 Nameless Fanboi Posted ID:KIMw5QQfQq

"วันนี้กาแฟรสชาติเพี้ยน" เธอพึมพำกับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหยิบเอาไอแพดโปร 256 GB ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ปลายนิ้วของเธอสั่นระริกที่ขอบเคสแป้นพิมพ์จากร้าน 425Degree แน่นอนมันต้องมาจากยี่ห้อที่ดีที่สุดเท่าเที่เธอจะหาได้จากร้าน คิ้วขมวดเข้มของเธอขนานเข้ากับขอบบนของเครื่องสื่อสารนั่น เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆแล้วบรรจงพลิกเปิดมันออกมา หน้าจอล็อคปรากฎภาพของ คาร์ล มาร์กซ นักคิดชื่อก้องที่เธอบูชาเขาเสมือนเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมิอาจแปดเปื้อนรึอาจเอื้อมตนไปเสมอเหมือน เธอไล่นิ้วไปตามหน้าจอเพื่อค้นหาโน้ตพร้อมเรียบเรียงความคิดของตนไปพลาง ทันทีที่เธอหาแอพพลิเคชั่นนั้นเจอ มันกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการขับเคี่ยวระหว่างตัวเองและกระบวนทัศน์ที่หล่อหลอม องค์ความรู้ที่ถูกกวนเข้า เคี่ยวอย่างประณีต หมักบ่มเป็นเวลานาน บัดนี้ไอน้ำแอลกอฮอล์ทางการเมืองพวยพุ่ง เธอเปลี่ยนท่าทางเป็นการนั่งหลังตรงพร้อมพลิกหน้าจอไปแนวตะแคงอย่างทันท่วงที
"รสชาติกาแฟที่ผิดเพี้ยนจากปกติทุกวันทำให้ข้าพเจ้าพึงตระหนักได้ว่า ในสายธารแห่งการแข่งขันและทุนนิยมอันเดือดดาลท่ามกลางน่านน้ำสีแดงชาดอันเจิ่งนองไปด้วยเลือดของผู้ปราชัยในสนามแห่งการค้ากาแฟเหล่านี้นั้น ไม่เพียงเป็นการพยายามอย่างเลวทรามในการช่วงชิงพื้นที่ทางความเชื่ออันว่าด้วยการดื่มกาแฟเป็นเรื่องจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต แต่หากหมายถึงการพรากนำเอาจิตวิญญาณของการดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่สำคัญในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปเสียด้วย การที่พนักงานไม่สามารถควบคุมรสชาติให้อยู่ได้อย่างเป็นมาตรฐานนั้นเกิดจากการที่รัฐไม่ยอมเข้าแทรกแซงกระบวนการค้าและสายการผลิตของภาคเอกชนและปล่อยให้ตลาดเสรีได้ใช้งานทั้งทรัพยากรมนุษย์และเวลาไปอย่างสูญเปล่า อีกทั้งยังสะท้อนปัญหาการใช้แรงงานอย่างล้นเกิน เป็นภาวะความล้มเหลวในการสร้างรูปแบบชีวิตที่ดี ความเหนื่อยล้าของพนักงานที่ต้องทำงานเกินควรจะเป็นรวมไปถึงการพยายามลดต้นทุนการผลิตของเหล่านายทุนได้ก่อให้เกิดมหัยตภัยทางเศรษฐกิจอย่างไม่อาจเยียวยาให้หายขาดได้ ความสัมพันธ์อันเกี่ยวโยงกันอย่างไม่สามารถตัดขาดนี้เป็นอีกหนึ่งวงจรที่ไม่สามารถหนีพ้น เป็นบ่วงแห่งทุกขกรรมที่มนุษยชาติล้วนหลีกหนีไม่ได้ เป็นสังสารวัฏแห่งความเหลื่อมล้ำและการถูกกดขี่ ชีวิตแรงงานอันไร้ความหมายในสายตาของเหล่านายทุนไม่อาจถูกหล่อหลอมเยียวยาให้สามารถกลับมาเป็นดังควรได้ และแม้ความผิดเพี้ยนของกาแฟนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเล็งเห็นได้แล้วว่า มิคคสัญญียุคไม่ได้เป็นเพียงนิทานปรัมปราหรือปกรณัมในศาสนา หากแต่เป็นการจำต้องทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กรอบแห่งสภาวะสังคมทุนนิยม"
เธอจดโน้ตเสร็จแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดเขม็งเริ่มคลายออก ความรู้สึกฟื้นฟูคืนชีวิตชีวาราวกับพึ่งสำเร็จความใคร่ถาโถม โดปามีนหลั่งไหลไปตามระบบประสาท เธอยิ้มออกมาที่มุมปากครั้งหนึ่ง ความผ่อนคลายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เธอยกมือขึ้นเหนือศีรษะตัวเองเล็กน้อยพลางหันไปมาราวร้องขอความช่วยเหลือ และแล้วพนักงานคนหนึ่งได้เผอิญสบสายตาเข้ากับเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ

767 Nameless Fanboi Posted ID:KIMw5QQfQq

"ขอโทษนะคะ ฉันอยากพบกับผู้จัดการของคุณ" พนักงานผู้อับโชคได้แต่เดินตัวสั่นไปเรียกผู้จัดการมาให้เธอก่อนที่มันจะกลายเป็นมหากาพย์การเทศนาอย่างยาวนานกว่าสิบนาทีว่าด้วยกาแฟที่ผิดเพี้ยนไป และแม้จะไม่ถูกต้องนักแต่ทางร้านกาแฟก็ต้องจำยอมต่อเธอด้วยประการทั้งปวงและชดเชยด้วยการมอบขนมกับกาแฟที่ชงใหม่ให้ ซึ่งมันทำให้เธออารณ์ดีขึ้นเล็กน้อยจนถึงกับต้องจดลงไปในโน้ตว่า “การเอาคืนทุนนิยมอย่างสาสม”
คลาสเรียนในวันนี้ก็ยังคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อด้วยเรื่องเดิมๆ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งในตอนบ่ายที่เธอคิดว่ามีช่วงหนึ่งที่อาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งได้กล่าวเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง Listen and believe การฟังและเชื่อ เป็นแนวคิดที่ตอบรับทุกสภาพสังคมโดยเฉพาะสังคมที่เธอเชื่อว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้ อันว่าด้วยการรับฟังคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหยื่อไม่ตั้งคำถาม และไม่คาดคั้น โดยให้เราเชื่อว่าเรื่องที่เหยื่อพูดนั้นคือความจริงเสมอ มันคือความยุติธรรมที่สุด มันชอบธรรม และมันเที่ยงธรรม เมื่อกระบวนการทางยุติธรรมมันเต็มไปด้วยการโทษเหยื่อ แล้วทำไมคุณถึงยังก้มหัวให้แก่ความยุติธรรมที่อยุติธรรมเหล่านั้น การใช้ศาลมันไม่ต่างอะไรกับการเอาเหยื่อไปขึ้นเขียงให้ตายทั้งเป็นจากการโดนทั้งสอบสวนทั้งตั้งคำถามซ้ำไปซ้ำมา กลายเป็นว่าเป็นการตอกย้ำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจเข้าไปอีก ความยุติธรรมทางสังคม จึงยุติธรรมกว่า ไม่ต้องผ่านกระบวนการชายเป็นใหญ่ ให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน และเครื่องมือเดียวที่จะช่วยให้ความยุติธรรมเหล่านี้เป็นจริงได้คือ วัฒนธรรมคว่ำบาตร Cancel Culture เท่านั้น เธอตาวาวเป็นประกายเมื่อรู้ว่าตัวเธอสามารถใช้มันเพื่ออะไรได้บ้าง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ผู้คนที่อ่อนแอกว่า เพื่อต่อกรกับปิตาธิปไตยที่เธอเกลียดชัง เพื่อช่วยเหลือเหยื่อและเอาผิดผู้กระทำในวันที่ความยุติธรรมของศาลไม่สามารถเอื้ออำนวย มันทั้งชัดเจน เด็ดขาด และรุนแรง คุณไม่จำเป็นต้องกังวลด้วยซ้ำว่ามันจะไม่ได้ผล มันได้ผลเสมอ และหากต่อให้มันผิด หากมันเป็นการกล่าวหาลอยๆ เธอก็เชื่อว่าอย่างน้อย มันก็ได้สร้างความตระหนักรู้ให้แก่สังคมได้มากกว่า มันไม่คุ้มอย่างนั้นหรือที่เราจะยอมเสียสละใครสักคนเพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องการกระทำความรุนแรงทางเพศ สำหรับเธอแล้ว นี่เป็นวิชาที่เธอชอบที่สุดนับตั้งแต่เรียนมาเป็นเวลาสามปีกว่าด้วยซ้ำ
เย็นวันนั้นเป็นวันที่เธออิ่มเอมที่สุด ด้วยเนื้อหาสิ่งที่เธอได้เรียนมา มันนับเป็นทางสว่างของสังคมเลยก็ว่าได้ เธอตั้งมั่นว่าเธอจะเอาการคว่ำบาตรนี้ไปช่วยเหลือสังคมให้ได้มากที่สุดโดยตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ว่าเมื่อกลับไปถึงห้องในคืนนี้เธอจะ Cancel ใครบ้างสักคนสองคนเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า แต่อย่างไรก็ดีช่วงหัวค่ำแบบนี้จะต้องหาอะไรกลับไปกินที่ห้องเสียก่อน เธอแวะที่ร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งพร้อมกับสั่งว่า “ผัดผักรวม ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่น้ำมัน ไม่ใส่ผงปรุงรส ไม่ใส่ซอสหอยนางรม ไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่น้ำตาล กลับบ้าน ไม่ใส่กล่องโฟม ไม่เอาช้อนพลาสติกค่ะ” ผู้คนหันมามองเธอทั้งร้านชั่ววินาทีหนึ่ง แต่เมื่อทุกสายตาจับจ้องเธอแล้วก็หุบลงในแทบจะทันที ถ้าจะกล่าวได้ว่าเธอเป็นบุคคลมีชื่อเสียงก็คงจะไม่แปลกนัก ระหว่างที่เธอกำลังนั่งรออยู่นั้นมีกลุ่มผู้ชายเดินเข้ามาพร้อมกับสั่งกะเพราไข่เยี่ยวม้า ทันใดเธอรู้สึกผะอืดผะอมคลื่นเหียนมาในทันที เพราะเธอได้รู้ความจริงข้อหนึ่งเกี่ยวกับความเลวร้ายของมนุษย์ที่สร้างสรรค์เมนูนี้ขึ้นมา เธอเคยเขียนเอาไว้ด้วยว่า

768 Nameless Fanboi Posted ID:KIMw5QQfQq

“ฟัวกราส์ ไข่เยี่ยวม้า นมปรุงรส เมนูอาหารสุดเลวระยำด้วยน้ำมือความต่ำช้าของมนุษย์ เมนูฟัวกราส์หรือตับห่านนั้นเกิดจากการกรอกอาหารปริมาณมากลงไปในคอห่านเพื่อให้เกิดอาการตับพอกจากไขมันส่วนเกินที่ห่านจะต้องกิน การยัดอาหารลงไปอย่างไม่สนใจความทุกข์ทรมานของมันนั้นช่างอำมหิตจนผิดมนุษย์ ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือการตัดต่อพันธุกรรมวัวนมที่เดิมมีนมไว้แค่ให้กับลูกวัว แต่ความมัวเมาของมนุษย์นั้นเหมือนหลุมไร้ก้นบึ้ง ความละโมบโลภมากขับเคลื่อนมนุษย์ด้วยทุนนิยมจนเพาะพันธุ์วัวที่รีดนมมาให้พวกเขาได้อย่างไม่จำกัด ไม่เพียงแต่นมจืดสีขาวธรรมดาเท่านั้น แต่นมหวานสีเขียวที่เกิดจากการบังคับให้แม่วัวทานหญ้าหวานที่ผิดจากอาหารธรรมชาติของมันช่างเลวร้ายขึ้นไป แค่นั้นยังไม่พอ พวกกลุ่มนายทุนที่หน้าเลือดยังคัดเลือกตัดต่อสายพันธุ์สีน้ำตาลขึ้นมาเพื่อนมรสช็อกโกแลตไปจนถึงความโหดเหี้ยมที่เอาวัวไปอาบรังสีเพื่อให้มันผลิตนมวัวสีชมพูที่ออกรสชาติมาผิดธรรมชาติอย่างรสสตรอว์เบอร์รี่ ฉันเคยเห็นจากฟอร์เวิร์ดเมล์ของกลุ่มวีแกนต่างชาติว่า วัวสีชมพูนั้นไม่ได้เกิดเป็นสีชมพูแต่ถูกอาบด้วยรังสี Strawber - ray จนเลือดซึมออกจากผิวหนังแล้วจึงนำมากลั่นเป็นนม และที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ นั่นก็คือเมนูไข่เยี่ยวม้า อาหารไทยเชื้อสายจีนที่มีประวัติมาเป็นพันๆ ปี โดยในแต่ละปีทั้งคนไทย จีน และประเทศวัฒนธรรมร่วมอื่นๆ บริโภคไข่ประเภทนี้ถึงปีละสองล้านฟอง นั่นแปลว่าเราจะต้องทำการตอนม้าเพศผู้ในวัยก่อนเจริญพันธุ์ถึงปีละหนึ่งล้านตัวเพื่อเอามาทำอาหารสนองความอยากของมนุษย์อย่างนั้นหรือ เปลือกไข่สีชมพูนั้นก็เป็นแค่เครื่องพรางตาสีสันสดใสที่ปิดบังเรื่องราวอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในที่ดำไม่ต่างกัน มันคือเมนูอาหารที่อุดมไปด้วยความเลวทรามต่ำช้ำ ความละโมบโลภมาก ความหน้าไม่อายและความอำมหิตจิตวิปลาสที่สุดเท่าที่จะหาได้จากที่ใดก็ตามในโลกนี้ และเพราะเหตุนี้ฉันจึงปวารณาให้ตนเองเป็นวีแกน เพื่อหวังว่าในวันหนึ่ง ผู้คนทั้งโลกจะเข้าใจได้เสียทีว่าความอัปยศเหล่านี้ไม่เป็นที่ยอมรับและน่ารังเกียจ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้คนจะตาสว่าง” แต่ก็เช่นเคย งานเขียนของเธอไม่เป็นที่ยอมรับครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้คนโดยทั่วไปแล้วล้วนย่อมต้องปกป้องสิ่งที่ตัวเองเชื่อ สิ่งที่ตาเห็น มากกว่าจะเอาข้อเท็จจริงมานั่งคุยกันถึงเหตุและผลของสรรพสิ่งในโลก เหตุใดกัน ไม่ว่าจะแม่ค้าขายน้ำส้มหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่เรียนมาสูงกว่าเธอถึงได้ไร้วิจารณญาณได้ถึงขนาดนี้ Critical Thinking ไม่เคยมีความหมายในสังคมนี้เลย
ความคิดของเธอขาดห้วงในตอนที่ป้าร้องเรียกเธอเพื่อบอกว่าอาหารของเธอได้แล้ว เธอไม่ชอบสายตาดูถูกของคนพวกนี้เลย โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่จ้องมองเธอโดยไม่เคยขอความ ยินยอม Consent นั้นสำคัญมาก มันจะเป็นอย่างไรหากเราต้องถูกรุกล้ำอธิปไตยส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา “ห้าสิบบาทลูก” พูดไม่ทันขาดคำ การละเมิดความยินยอมที่พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ก็ถาโถมเข้าใส่เธอ เพราะอะไรกัน ทำไม ทำไมคนพวกนี้ถึงได้เรียกเธอด้วยสรรพนามที่เธอไม่ยินยอม เธอไม่ได้เป็นลูกของพวกเขาสักหน่อย เธอไม่ใช่น้องของเจ้าของร้านถ่ายเอกสารด้วยซ้ำ เธอไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการถูกละเมิดด้วยเรื่องที่คนในสังคมบอกว่า “จะอะไรนักหนา หยวนๆ ไปไม่ได้เหรอ” ใช่สิ เพราะคำว่าหยวนๆ อันเป็นลักษณะนิยมของคนไทย เป็นอุปนิสัยไร้อารยะแบบนี้ ประเทศนี้มันเลยเป็นได้แค่ประเทศโลกที่สาม การไม่ให้เกียรติกันเพียงเพราะเอาคำว่าสบายใจมาเป็นข้ออ้าง มองยังไงก็เลวร้ายไม่น้อยกว่าการทำร้ายจิตใจ “น้องผู้หญิงลูก ได้ยินป้ามั้ย” พอมาถึงเวลานี้สติของเธอเริ่มพร่ามัว คุรเป็นใครกันมาตัดสินและเรียกฉันด้วยเพศสภาพ ใช่ ฉันอาจจะเป็นผู้หญิง อาจจะใช้ she/her แต่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันล่ะ ถ้ามันเป็นคนที่จริงจังกว่านี้ การเรียกด้วยสรรพนามที่ผิดอาจหมายถึงการสร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับคนๆ นั้นจนบานปลายได้ การเรียกคนอื่นด้วยเพศสภาพควรกลายเป็นความเคยชินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และหากสังคมจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเธอคงไม่มีวันได้พบเจอกับความเจริญที่เธอคิดถึง และถ้ามันเลวร้ายไปกว่านั้น ด้วยค่านิยมที่ล้าหลังและมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตื่นรู้ active citizen อย่างเธอไม่ต่างอะไรจากสัตว์ประหลาด พวกเขาย่อมต่อต้านเธอ ใช่ มันเป็นเช่นนั้น สังคมไม่ยอมรับเพราะคิดว่าเธอคือสิ่งแปลกปลอม แต่ความถูกต้องท่ามกลางสิ่งที่บิดเบี้ยวย่อมแปลกปลอมไม่ใช่หรือ ระหว่างที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น

769 Nameless Fanboi Posted ID:KIMw5QQfQq

“คุณ คุณ เฮ้ยคุณ!!!” มีเสียงหนึ่งเรียกเธอพลางสะกิด เสี้ยววินาทีเธอคิดได้ว่าอย่างน้อยก็มีคนที่พูดภาคนอยู่ละแวกนี้บ้าง ไม่เรียกเธอว่าน้อง หนู ลูก หรือผู้หญิง
“เฮ้ยคุณเหม่ออะไรวะเนี่ย” เจ้าของเสียงเขย่าเธออีกที เป็นไอ้หนุ่มออมเล็ตเมื่อเช้า
“นี่คุณอย่ามา Sexual Harassment ฉันนะ” แทนที่เธอจะขอบคุณเขาแต่ดันทำท่าทางไม่พอใจ เธอโมโหเพราะการที่เขามาแตะต้องร่างกายเธอโดยไม่ยินยอมนั้นแปลว่ามันคือการล่วงละเมิดทางเพศอย่างไม่มีข้อแม้ ตอนนี้สายตาจับจ้องมาทางพวกเขาทั้งคู่ นายคนนั้นยังคงยืนคิ้วขมวดจ้องหน้าเธอ ในวินาทีนั้นเธอน้ำตาคลอขึ้นมา เธอเชื่ออย่างสุดหัวใจว่ากำลังโดนล่วงละเมิดทางเพศอยู่จริงๆ เธอไม่ทำอะไรอีกนอกเสียจากการเดินไปตบเงินลงบนโต๊ะแม่ค้าแล้วรีบวิ่งกลับหอ ทิ้งนายออมเล็ตยืนงงอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งสามีของคุณแม่ค้าเดินมาตบบ่าเขาทีนึง
“หนุ่มเอ้ย ครั้งแรกก็ตกใจแบบนี้แหละ เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”
มิลค์กลับมาถึงห้องร้องไห้ฟูมฟายกรีดร้องลงบนหมอน คิดทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอตลอดวันที่ผ่านมานี้ ทำไมกัน ประเทศนี้ สังคมนี้ไม่เคยพร้อมที่จะพัฒนาเลยหรืออย่างไร ทำไมถึงมีแต่คนแย่ๆ มากมายในสังคม เธอทำอะไรไม่ได้สักนิดเลยหรือ แม้เพียงเล็กน้อย โอกาสที่จะทำให้เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นบ้าง แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ดำมืดและโดดเดี่ยวที่สุด ก็ย่อมเห็นแสงดาวชัดเจนที่สุด เธอจำสิ่งที่เรียนไปวันนี้ได้ เธอรีบเขียนลงในทวิตเตอร์ลงไปในทันที
“วันนี้เราโดนเจ้าของร้านอาหารเช้าหน้ามอ SH เมื่อตอนเย็น ตอนนี้สภาพจิตใจเราแย่มาก ไม่อยากพบเจอใครเลย เราขอเตือนภัยเพื่อนๆ ไม่อยากให้เจอแบบเดียวกับเรา #sexualharassment #sexualassult #มหาลัยไม่ปลอดภัย #metoo”
ราวสี่สิบหน้านาทีหลังจากนั้น มีคนรีทวีตเธอพร้อมรูปภาพ เป็นร้านของหมอนั่นโดนอิฐปาจนกระจกแตกพร้อมพ่นสเปรย์ด่าเอาไว้ว่า HARASSER MUST DIE และบรรดาของตกแต่งถูกเผาจนวอด และเธอก็ได้รับรู้ว่า สังคมนี้ไม่ใช่ว่าไม่พร้อม แต่มันพร้อมแล้ว ผู้คนพร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอ เพียงแค่จากในเงามืดเท่านั้น และเพียงเชื่อแบบนั้น เธอเองก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว และวันนี้นี่แหละ คือวันที่เธอมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
HAPPY ENDING

770 Nameless Fanboi Posted ID6:SwOcsXWe9t

ถ้าหากเธอเป็นท้องฟ้าจะงดงามขนาดไหนกันนะ

เธอที่เป็นมนุษย์
ตอนนี้คงโดนตอกสด
ตอนนี้คงโดนกดหัวอย่างรุนแรง
ตอนนี้คงโดนย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี
ตอนนี้คงกลืนน้ำไอหนุ่มนั่น
ตอนนี้คงลืมเราไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงงดงามเสมอ

แต่ท้องฟ้า
ท้องฟ้าไม่โดนตอกสด
ท้องฟ้าไม่ถูกกดหัวอย่างรุนแรง
ท้องฟ้าไม่โดนย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี
ท้องฟ้าไม่กลืนน้ำไอหนุ่มนั่น
ท้องฟ้าที่ไม่จดจำเราตั้งแต่แรกแล้ว และไม่จดจำไอหนุ่มไหนทั้งนั้น
ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า คงจะงดงามกว่าตอนนี้ขนาดไหนกันนะ

771 Nameless Fanboi Posted ID:Ri4OYitgKJ

ในขณะที่ไอ้หนุ่มนั่นเสียบจนมิด
ทุกอย่างก็บิดเบี้ยวไปจนหมด
ทั้งใบหน้าของเธอ
ทั้งหัวใจของผม

772 Nameless Fanboi Posted ID:J5thNfPrYD

เป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่ได้รับปลูกถ่ายดวงตามา ทำให้เขาเห็นฉากการฆาตรกรรมผู้บริจาคร่างกายจัดฉากว่าเป็นการปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีความผิดในคดีฉ่อโกง forex หลายหมื่นล้าน หนทางเดียวที่จะลบภาพหลอนในตาได้ คือ ต้องช่วยไขคดีให้ความเป็นธรรมกับเจ้าของดวงตา โดยร่วมมือกับ หญิงสาวที่ได้รับบริจาคหัวใจ และเด็กที่ได้รับบริจาคไต ที่มีอาการอวัยวะต่อต้านเพราะเจ้าของอวัยวะต้องการความเป็นธรรม
ผู้ร้ายตัวจริงจะเป็นใคร เอาไปแต่งต่อเองนะ

773 Nameless Fanboi Posted ID6:5X2ItQVy04

เอลิชาตายแล้ว
หญิงสาวผมสีทองซีดยกมือขึ้นกุมแก้มบวมช้ำของตนเอง ดวงตากลมโตเผยความรู้สึกยากจะเชื่อความจริงที่ปรากฏตรงหน้า ภาพสะท้อนผ่านกระจกทองเหลืองคือเอลิชาในวัยสิบแปดปี ใบหน้าที่มีเค้าโครงความงาม หากแต่เปรอะเปื้อนด้วยคราบสกปรก เบ้าตาลึกโบ๋จากการขาดสารอาหาร แก้มซูบตอบจนเห็นกระดูกบริเวณโหนกชัดเจน ริมฝีปากแห้งกร้านและซีดเซียว ไหนจะร่างกายผ่ายผอมเหมือนไม้ขีดในชุดสาวใช้ชั้นต่ำ
“ไม่…จริง…..เป็น…ไปไม่ได้” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น สองมือขยุ้มเส้นผมบนศีรษะจนยุ่งเหยิง สีหน้าที่แสดงออกมาในยามนี้คล้ายกับสตรีวิกลจริต “ไม่…จริง….ข้า…ฆ่า..นาง…ไป..แล้วด้วยมือคู่นี้“ นางก้มมองมือเหี่ยวแห้งที่หยาบกร้านจากการทำงานหนัก พลันนึกถึงสองมือเรียบเนียนในอดีตซึ่งถูกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด
มีดแหลมคมเล่มนั้นนางยังจำได้ดี รวมถึงวินาทีที่เสือกอาวุธมีคมลงในกายเนื้ออุ่น ๆ ของเอลิชา ใบหน้าน่าขยะแขยงของหญิงสาวที่นางเกลียดชังเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ออกมา ราวกับปล่อยวางสิ่งสำคัญทุกสิ่งในชีวิต
บุตรสาวดยุคเอเรส นักบุญแห่งสหราชอาณาจักร และคู่หมั้นขององค์รัชทายาท
“เป็นแค่บุตรสาวนอกสมรสที่มีสายเลือดโสโครกจากสตรีชั้นต่ำ” เสียงหัวเราะจากลำคอแห้งผากเต็มไปด้วยความขมขื่น หัวใจริษยายามนี้เหมือนถูกหนามแหลมทิ่มแทงเข้ามา
นางเป็นถึงอามีเรีย เอเรส บุตรสาวที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่านพ่อ ผู้สืบทอดตำแหน่งนักบุญศักดิ์สิทธิ์ และคู่หมั้นรัชทายาท
แต่แล้วสตรีนางนั้นกลับแย่งชิงทุกสิ่งไปจากนาง ความปรารถนาทั้งหมดพังทลายลงชั่วพริบตา ไม่เว้นแม้กระทั่งความรักของบุรุษที่นางรัก
คิดแก้แค้นจนทำลายเอลิชาแล้วอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายกลับปล่อยวางทุกสิ่งที่นางทุ่มเทอย่างง่ายดาย
หญิงสาวยกมือขึ้นสัมผัสกระจกทองเหลืองซึ่งสะท้อนภาพตนเองออกมา ดวงตาโศกเศร้าเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำ นางไม่อาจยอมรับความจริงได้ว่าได้…กลายเป็นเอลิชา

พล็อตล้นจนมาแต่งว่างๆ ส่วนนิยายหลักยังดองอยู่เพราะแต่งไม่ออก ไม่รู้จะแก้หัวตันเรื่องเก่ายังไง

774 Nameless Fanboi Posted ID:aDTK53KgDc

พศ 2660 มีศูนย์กลางอยู่ที่อารยธรรมภายในกำแพงวงกลมสามชั้น ความรู้ที่เผยแพร่ในท้องถิ่นบันทึกว่ามันเป็นร่องรอยสุดท้ายของอารยธรรมมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ชาวละโว้ผู้อยู่อาศัย ถูกทำให้เชื่อว่าเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว มนุษยชาติถูกทำให้เกือบสูญพันธุ์หลังการปรากฏตัวของฝูงลิงยักษ์ศาลเจ้า กับฝูงลิงปรางค์สามยอด ที่โจมตีและแย่งชิงอาหารของมนุษย์ จนทำให้เกิดการขาดแคลรอาหารมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก มนุษยชาติส่วนที่เหลือที่เป็นชาวตลาดได้สร้างกำแพงยักษ์และหลบซ่อนหลังกำแพงร่วมศูนย์กลางสามแห่ง และดำรงชีวิตอย่างสงบสุขประมาณศตวรรษหนึ่ง

775 Nameless Fanboi Posted ID6:fFPwLxjTc7

“นี่... ให้เสี่ยวตี้ปรนนิบัติท่านเถอะ”

ชายหนุ่มเหลือบตามองดวงหน้าของหญิงสาวที่นอนอิงอยู่แนบอก ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากกล่าวว่า “หญิงใดจะใจกว้างเท่าภรรยาเราไม่มี แต่งงานกันได้ไม่ถึงขวบปี ท่านก็เสนออนุภรรยาให้แก่ข้าเสียแล้ว”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นค้อนขวับ ดุว่า “เสี่ยวตี้ติดตามรับใช้ข้ามาตั้งแต่ยังเล็ก มารดานางก็เป็นแม่นมของข้า ข้าก็ย่อมต้องเป็นห่วงอนาคตของนาง”

“จึงให้ข้ารับนางเป็นอนุภรรยากระนั้นหรือ”

“แล้วจะมีอันใดมิได้ นางติดตามข้าแต่งเข้าตระกูลท่าน จะมีบุรุษใดบังอาจมาสู่ขอนางได้อีก หรือท่านคิดให้นางตบแต่งกับบ่าวไพร่ในบ้าน”

“ยอดรัก เสี่ยวตี้เพิ่งจะอายุได้สิบสี่สิบห้ากระมัง อีกสักสองสามปีค่อยคิดถึงเรื่องนี้ก็ยังมิสาย”

“สิบสี่สิบห้าแล้วอย่างไร บุรุษโสโครกเช่นพวกท่านมิใช่ชมชอบมีภรรยาอายุน้อยหรอกหรือ”

ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ใช้มือมารที่ใต้ผ้าห่มบีบเข้าที่บั้นท้ายของนางเบา ๆ “อายุเท่านี้ออกจะเยาว์เกินไป” มันกล่าว “อีกอย่างหนึ่ง ภรรยาข้าคนนี้ก็ยังสาวยังสวย ไยข้าต้องไปคิดหาสตรีอื่น เอาไว้อีกสักสิบปี ข้าค่อยคิดหา...”

“หา” หญิงสาวแหว ถลึงตามองสามีอย่างดุดัน “อีกสิบปีแล้วจะอย่างไร ถ้าข้าไม่สาวไม่สวยแล้วท่านก็จะไปมีสตรีอื่นอย่างนั้นหรือ”

ชายหนุ่มยิ้มแหย “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น” มันพยายามแก้ตัว “ที่ข้าจะกล่าวคือ ข้าไม่ได้คิดอยากจะรับอนุภรรยาในตอนนี้...”

“...แต่ถ้าเมื่อใดข้าไม่สาวไม่สวยแล้ว ท่านก็ค่อยเริ่มคิดสินะ เฮอะ บุรุษโสโครกก็ย่อมเป็นบุรุษโสโครกวันยังค่ำ”

ชายหนุ่มโอบรัดร่างบางไว้แนบอก กระซิบคำง้องอนที่ข้างหูของนางอยู่หลายคำ ครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงค่อยเอ่ยคำขึ้นว่า “ข้าให้เวลาท่านห้า... ไม่สิ สามปี”

ชายหนุ่มครางหืม ย้อนถามว่าหมายความว่าอย่างไร เมื่อนั้นหญิงสาวจึงกล่าวต่อว่า “ข้าให้เวลาท่านหาอนุภรรยามาตบแต่งด้วยสามปี ท่านคิดจะตบแต่งกี่ร้อยกี่พันนางก็เรื่องของท่าน แต่เมื่อพ้นกำหนดสามปีนี้แล้ว ห้ามมิให้ท่านรับธิดาตระกูลใดเข้าบ้านอีก”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ใช้เสียงเล็กเสียงน้อยถามนางว่า “ยอดรัก ทำเช่นนี้จะเกิดประโยชน์อันใด”

“ข้าจะได้มีเรี่ยวแรงสู้รบกับพวกนางได้อย่างไรเล่า” หญิงสาวแหว “ขืนรอจนแก่ ข้าจะเอาอะไรไปสู้กับนางจิ้งจอกทั้งหลาย คงได้กลายเป็นขี้ปากของผู้คนไปทั่ว”

ชายหนุ่มตีหน้าขรึมพยักหน้ารับ “ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนสำรวจไปตามบ้านต่าง ๆ ลูกเล็กเด็กแดงบ้านไหนหน้าตาจิ้มลิ้มจะสู่ขอเผื่อเอาไว้ พอพวกนางอายุสิบเจ็ดค่อยให้เข้าบ้าน... ยอดรักอย่าร้อง ข้าเพียงแต่กล่าวล้อเล่นเท่านั้น”

ชายหนุ่มพยายามที่จะกอดภรรยาเอาไว้ แต่หญิงสาวถลันตัวหลบ ลุกขึ้นนั่งกอดอกหันหลังให้ ร้องว่า “อย่ามายุ่งกับข้า”

ชายหนุ่มชักมือกลับ หุบปากสนิท แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังไม่กล้าระบายออกโดยแรง เกิดความเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะร้องไห้โฮ หันกลับมาใช้หมัดน้อย ๆ ทุบตีสามี ปากก็ฟูมฟายว่า “ท่านไม่รักข้าแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่รักได้อย่างไร ยอดรัก ข้ารักท่าน” ชายหนุ่มร่ำร้องออกมา รีบยกสองแขนขึ้นโอบกอดนางเอาไว้ “ข้าขอโทษ ๆ เพียงแต่คิดหลอกล้อท่านเล่นเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าท่านจะถือเป็นจริงจังเพียงนี้”

“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่... ไม่ง้องอนข้า”

ชายหนุ่มเผยสีหน้าจนปัญญาออกมา กล่าวเบา ๆ ว่า “ยอดรัก เมื่อครู่นี้เป็นท่านเองที่สั่งไม่ให้ข้ายุ่งกับท่าน”

หญิงสาวดันตัวออกจากอ้อมอกของสามี ร้องอย่างขุ่นเคืองแง่งอนว่า “แล้วอย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านเชื่อฟังคำพูดข้า”

776 Nameless Fanboi Posted ID:PhlkOdsLkJ

ตอน แพนเค้กที่เละอยู่บนพื้น ตอนพิเศษ

เหตุการณ์ตอนที่แล้ว :ตูมมมมม พลังโมเอะญี่ปุ่น ปฐมยุค ของจิตเวชแรกกำเนิด เข้าจู่โจม องญเกาหลีเกลือ พลังโจมตี 1000 ล้าน เข้าใส่ร่างองญ ไร้ทางต่อต้านโดยสิ้นเชิง องญเกลือพ่ายแพ้!! อย่างไม่คาดคิด ไม่มีผู้ใดคาดเดาถูก นี่คือพลังของจิตเวช ไร้เทียมทานเสียจริง
สิ่งที่เหลือ เป็นเพียงกระดาษพับจรวจสีสันผ้าฉูดฉาด แปลกตา 6 จรวจ เท่านั้น ราวกับของที่เหลืออยู่คือกระดูกขององญเกลือ ลูกกระจ๊อกที่เหลือต่างแตกรังทันที จิตเวชได้ส่งหน่วยต่างๆเข้า
จู่โจมทั้งทาง1000ทิพย์ ท่อแดง นกX เฟสบนบก การต่อสู้จบลงด้วยความรวดเร็ว นี่จะเรียกต่อสู้ได้อย่างไร มันคือการสังหารหมู่ชัดๆ

อยู่ๆ โม่งป้าข้างบ้านที่สะบักสะบอมหนีทัพ ก็กล่าว ข้าไม่อาจแพ้มินต์ๆๆ พวกเขาท่องย้ำๆในใจ ราวกับคนสูญเสียสติ

"เจ้าพ่ายแพ้ให้ข้าแล้วโม่งป้าข้างบ้าน แหล่งพลังงาน เกลือของเจ้า ได้ดับสูญไปเรียบร้อยแล้ว ตัวเจ้านั้นจะเอาพลังมาจากไหนมาต่อสู้ได้อีก ฮ่าาาา555555+"
การต่อสู้จบลงด้วย ด้วยความรวดเร็ว โม่งป้าข้างบ้านโดนกระทืบสะบักสะบอม ฟันร่วงหมดปาก ตาบอดทั้ง 2 ข้าง นิ้วมือทั้ง 10 ล้วนหัก ทั้งสิ้น ไม่สามารถพิมอะไรได้แล้ว
โม่งจิตเวชดั้งเดิม กำลังง้างเท้าพร้อมกระทืบโหลกให้แหลกเละคาตีน พร้อมกับพูดว่า " มีอะไรจะสั่งเสียไหม แต่จู่ๆได้กลิ่น แพนเค้ก เชื่อมน้ำผึ้ง หอมๆ จากโรงอาหารพอดี

โม่งป้าข้างบ้านกล่าว เราอยากให้ม่วงมินต์ยุบไปซะ ยังไงองญเกลือก็ไม่อยู่แล้ว แต่หางตาก็เกลือบไปเห็น แพนเค้ก
อยู่ๆ โม่งป้าข้างบ้านก็พูดด้วยเสียงแหบพร่า "อยากกินแพนเค้ก"

เอ้ากินซะสิ จิตเวชดั้งเดิม โยนแพนเค้ก จนเละลงพื้นดูไม่น่ากินสักนิด แล้วโม่งป้าข้างบ้านก็เริ่มคลาน ง่ำกินไปนึงคำ@#!#@!#@!$!#$%@$ อยู่ โม่งป้าข้างบ้านอาการกำเริบทันที
พร้อมน้ำตาที่หลั่งริน

"ข้ายังไม่อยากใต้ตีนมินต์ ข้าอยากมีตัวตน เราไม่อยากอยู่แล้วถ้าไม่มีองญเกลืออยู่ด้วย
เราอยากชิมเกลือ เราอยากให้ม่วงผงาด เราอยากดับสูญพร้อมกับองญเกลือ
เราอยากกินแพนเค้กของม่วง เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้าไม่มีองญเกลือ เราไม่อาจชนะมินต์
เราไม่อยากอยู่แล้ว ถ้าไม่มีองญเกลืออยู่ เราขอไม่มีชีวิตดีกว่า
ถึงจะไม่มีองญ เกลืออยู่ เราอยากกิน แพนเค้กของม่วง ขอแค่ได้กิน เราอยากมีชีวิต เราอยากมีชีวิต
เราไม่อยากตาย

ดวงจิตเวช มองร่างไร้สติ ที่กำลัง พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด หลังจากสูญเสียองญเกลือไป
"ดีแบบนี้แหละข้าชอบ 555555555+ ปิดฉาก องญเกลือที่เจ้าภาคภูมิใจซะ ปลิดชีวิต มันซะเดียวนี้ อย่าปล่อยให้เศษกระดูกกระดาษพับ6จรวจยังหายใจรวยรินอยู่"
โม่งป้าข้างบ้านกรีดร้องราวกับคนเสียสติ พุ่งเข้าหาองญเกลือทันที ฉีกกระดาษแล้วกระดาษเล่าจนไม่อาจปะติดปะต่อกันได้อีก
เมื่อนั้นจิตของเขา ก็เข้าสู่โลกนรกกันต์ทันที!!!

"ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตใหม่ในฐานะ โม่งป้าข้างบ้านไม่มีต่อไปอีกแล้ว คนพิการอย่างเจ้า โม่งม่วงvoid
ข้าจะเปลี่ยนเจ้าเอง ต่อจากนี้ เจ้ารับหน้าที่ดูแลพื้นที่ดับสูญ เจ้าจะมีชิวตอยู่ต่อในฐานตัวตนใหม่ ฮ่าๆๆๆ
ยิ่งข้าทำให้คนเป็นจิตเวชมากเท่าไร พลังก็กล้าแข็งขึ้นเท่านั้น นี่คือ โลกที่จิตเวชสร้างขึ้นมา
ผู้คนทั่วทุกสารทิศต่างหวาดกลัวเขา ชื่อเสียงกระฉ่อนไปไกล ตัวตน ไร้พ่าย จิตเวชปฐมบรรพชน ฉายา จิตเวชแรกกำเนิดoriginal
.
จบตอน... แพนเค้กที่เละอยู่บนพื้น

นิยายกุพอใช้ได้ไหม

777 Nameless Fanboi Posted ID:SpHCe7rJ3a

กูมาแค่เคาะภาษาไทยที่ไม่ได้ใช้นาน ถ้าพิมพ์ผิดก็...ช่างมันละกัน ๕๕๕
---

[สหายย เราเบื่อ]

น้ำเสียงลากคำยาวเหยียดดังทะลุหูฟังท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงรั่วแป้นคีย์บอร์ดและเสียงครืนๆ

"คุณบ่นมากี่รอบแล้วเนี่ย ลูนิค เบื่อนักก็เอาเวลาไปเล่นอีเว้นท์ที่จะหมดพรุ่งนี้เซ่ ไม่ทันผมไม่ช่วยนะเออ"

[พูดเป็นเล่นน่ะ ออร์ก้า นายก็เห็นว่าเราอยู่ที่ไหน คิดว่ากลางป่ากลางเขาแบบนี้มันจะสัญญาณดีพอให--]

ติ๊ง

"หลุดไปแล้ว ...งี้ผมก็ต้อง้ล่นอีกแล้วเรอะ?"

[เห็นว่าฝนตกหนักด้วย ท่าทางจะหลุดยาว]

[ฮ่าๆ เช่ากับไม่เช่าสัญญาณแทบไม่ต่าง ไม่ต้แงเสียเงินก็ได้แท้ๆ น่าสมเพชชะมัดลูนิค]

"ผมล่ะเหลือเชี่อจริงๆ ที่เขายังขยันไปหาที่"

[ทำไงได้ละครับ เขาเป็นช่างภาพอิสระที่เลือกเดินทางรอบโลกละนะ]

สายตาสีน้ำตาลเหลือบมองแมกกาซีนที่เขาเริ่มซื้อจนเป็นกิจวัตรแยู่วางกองอยู่บนชั้นวางหนังสือใกล้ๆ ภาพธรรมชาติที่ลูนิคเป็นคนกดชัตเตอร์ต่างถูกเลือกให้ลงในหนังสือพวกนั้นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เริ่มต้นจากเพียงกรอบภาพเล็กๆ

"ผมไปหาไรกินก่อนละ ถ้าลูนิคกลับมาแล้วก็ช่วยบอกให้เจ้าตัวอย่าอู้นะครับ"

เด็กหนุ่มตัวสูงตามมาตรฐาน ชื่อจริง เรนเดล ลี เบ้หน้าใส่จอสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผมทรงรังนกถูกคาดทับด้วยหูฟังตัดเสียงลดราคาที่ซื้อมาตอน black friday 2 ปีที่แล้ว เขาดึงมันออกแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเช็คแจ้ง้ตือนที่เผื่อจพมีมา แต่ก็เหมือนวันที่แล้วๆ มา ไม่มีสิ่งใดนอกจากเมลล์คูปองลดราคาร้านที่้เขาไม่ได้สนใจ

เวลาตีบอกเวลาสี่โมงสามสิบหก เขาเดินออกจากห้องหลังคว้านหากระเป๋าตังที่น่าจะวางอยู่หน้าจอคอมกับโต๊พตัวเตี๊ยไม่เจอ งั้นมันคงอยู่ที่เสื้อกันหนาวตรงประตู เสียงทีวีดีงแว่วมาจากห้องนั่งเล่นที่เด็กหนุ่มเล่นผ่าน เขาชะโงกหน้าดูเห็นชายวัยปลายกลางคนในชุดอยู่บ้านโอบถังป๊อปคอร์นทำเองที่พร่องไปอล้วถึงหนึ่งในสามนั่งเอกขนกดูแข่งบอลอยู่บนโซฟาสีเข้ม

"พ่อ กลับมาตั้งแต่ตอนไหน" เขาเดินไปข้างโซฟา ถือโอกาศเอาป๊อปคอร?นมากินบ้าง

"จริงๆ ก็ตั้งแต่เที่ยง คนของอีกโรงงานเลื่อนประชุมเพราะลูกค้าน่ะ" ผู้เป็นพ่อรับถังกลับมา "แกจะออกไปซื้อของกินใช่ไหม ตอนกลับมาซื้อไข่กับขนมปังมาด้วย เงินอยู่ที่กระเป๋าเสื้อนอก"

"ได้" เรนเดลพยักหน้า "แล้วเอาแค่นี้เหรอ"

"ถ้าแกอยากซื้ออะไรเพิ่มก็ซื้อมาเถอะ เอามาเผื่อมื้อเย็นพรุ่งนี้ด้วย"

เด็กหนุ่มเดินย้อนกลับไปที่โถงทางเดิน หยุดอยู่หน้าโค้ทยาวสองสามตัวของพ่อ ก่อนจะได้ตัดสินใจว่าต้องเป็นตัวด้านซ้ายกลับมีเสียงลอยไล่หลังมา

"ตัวสีเทาเข้ม กระเป๋าบนสุด"

"บอกแต่แรกสิฟะ"

---
เปิดเรื่องไว้ก่อน ค่อยมาต่อ

779 Nameless Fanboi Posted ID6:Qt1MfLbjm0

มึง กูว่าง ไถ ๆ ดูละเจอ Love Craft Magic ของโม่งสักคนในนี้เลยเอามาเขียนขยายเคาะสนิมฝีมือหลังจากไม่ใช้มานาน

***

ยามสนธยาท้องฟ้าสีส้มแสดเห็นดาวปรากฏเลือนราง จิ้งหรีดเรไรร้องประสานเสียงบรรเลงท่วงทำนองยามค่ำคืน

ที่บ้านหลังเล็กบริเวณชานเมืองภายในมีเพียงแสงรำไรจากเทียนให้ความสว่าง ผนังบ้านเป็นชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยขวดแก้วขวดโหลใส่พืช สมุนไพร รวมถึงสสารอื่น ๆ ทั้งของแข็งและของเหลว

หญิงสาวในชุดคลุมตัวยาวยกขวดแก้วบรรจุของเหลวสีชมพูแกว่งไปมาเกิดเป็นน้ำวนสายน้อย ปากแดงวาดรอยยิ้มพอใจ

เธอเป็นแม่มดเจ้าของบ้านหลังนี้ ผิวกายซีดขาว ผมยาวเหยียดดำสนิทเหมือนม่านหมึกเช่นเดียวกับดวงตาเรียวโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวไร้ประกายแสง “ยาสเน่ห์ทำให้สาวรักสาวหลงตามที่สั่ง อย่าลืมสัญญาของเรา ลูกคนแรกของคุณจะต้องเป็นของฉัน”

ลูกค้ารับขวดแก้วยาสเน่ห์ไปถือ ฟ้าสางประธานแห่งบริษัทเครือเดลต้า—เขาเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า สวมสูทเนี๊ยบเรียบกริบ ผมดำปาดเจลเซ็ตอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาคมคาบเรียบนิ่ง ริมฝีปากเหยียดตรง ดวงตาจับจ้องขวดแก้วในมือไม่บ่งบอกอารมณ์

ว่าแล้วก็แปลกที่ชายหนุ่มเพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และการงานกลับต้องมาพึ่งแม่มดให้ปรุงยาสเน่ห์ ทั้งที่เพียงเขาอยู่เฉย ๆ ก็มีผู้หญิงมากมายที่พร้อมเข้ามาให้เขาเลือกสรร

ที่จริง แม่มดมีความลับอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับออเดอร์นี้ ความลับที่เธอจะเก็บงำมันเอาไว้ กลืนกินและกลบฝังมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่ให้คนตรงหน้าล่วงรู้

ความลับที่ว่าเธอชอบเขา

แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การแอบชอบอยู่ลับ ๆ รู้กับตัวเองคนเดียว ไม่เคยเปิดเผยกับใครที่ไหน และไม่ทำอะไรกับมันกระทั่งฟ้าสางเดินเข้ามาในร้านของเธอขอให้ปรุงยาสเน่ห์ให้

เป๊าะ!

เหมือนหัวใจโดนเข็มหมุดเจาะแตก ค่อย ๆ ฟีบลงเหลือเพียงซากลูกโป่งห่อเหี่ยว ท่ามกลางหยาดฝนที่ร่วงกราว
กระนั้นแม่มดก็แย้มยิ้มการค้ารับออเดอร์เก็บซ่อนความร้าวรานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และคิดค่าความเสียใจของตัวเองเป็นลูกคนแรกของเขาอย่างชั่วร้ายสมจรรยาบรรณวิชาชีพสายดำ

“ลูกคนแรกของผมจะเป็นของคุณตามสัญญา” ฟ้าสางหมุนเปิดผาขวดแก้ว กลิ่นหวานที่ให้ความรู้สึกมัวเมาอวลอยู่ในอากาศ

…ก่อนที่เขาจะสาดยาสเน่ห์ใส่เธอโดยไม่ลังเล

?!

ใบหน้าและเส้นผมของแม่มดเปียกโชก

ยังไม่ทันที่จะได้ยกมือปาดของเหลวบนหน้า ฟ้าสางก็คว้าข้อมือเธอดึงให้เดินออกจากบ้านไปด้วยกัน

“แต่เราสองคนจะเป็นของกันและกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนอย่างเคย แต่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
แม่มดสังเกตดวงตาเขาอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก มันเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เผด็จการ และหลงใหลที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

เธอเม้มปาก รู้สึกว่าความร้อนจากทั่วร่างไหลมากองอยู่ที่ใบหน้า หัวใจในอกพองขยายเสียจนกลัวว่ามันจะแตกออกเพราะความสุขที่ล้นทะลัก

บอกดีไหมนะว่ายานี่เอาไว้ดื่มไม่ใช่ใช้สาดใส่กัน

780 Nameless Fanboi Posted ID6:Qt1MfLbjm0

เชี่ย มีคำผิด เอาใหม่

***

มึง กูว่าง ไถ ๆ ดูละเจอ Love Craft Magic ของโม่งสักคนในนี้เลยเอามาเขียนขยายเคาะสนิมฝีมือหลังจากไม่ใช้มานาน

***

ยามสนธยาท้องฟ้าสีส้มแสดเห็นดาวปรากฏเลือนราง จิ้งหรีดเรไรร้องประสานเสียงบรรเลงท่วงทำนองยามค่ำคืน

ที่บ้านหลังเล็กบริเวณชานเมืองภายในมีเพียงแสงรำไรจากเทียนให้ความสว่าง ผนังบ้านเป็นชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยขวดแก้วขวดโหลใส่พืช สมุนไพร รวมถึงสสารอื่น ๆ ทั้งของแข็งและของเหลว

หญิงสาวในชุดคลุมตัวยาวยกขวดแก้วบรรจุของเหลวสีชมพูแกว่งไปมาเกิดเป็นน้ำวนสายน้อย ปากแดงวาดรอยยิ้มพอใจ

เธอเป็นแม่มดเจ้าของบ้านหลังนี้ ผิวกายซีดขาว ผมยาวเหยียดดำสนิทเหมือนม่านหมึกเช่นเดียวกับดวงตาเรียวโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวไร้ประกายแสง “ยาเสน่ห์ทำให้สาวรักสาวหลงตามที่สั่ง อย่าลืมสัญญาของเรา ลูกคนแรกของคุณจะต้องเป็นของฉัน”

ลูกค้ารับขวดแก้วยาเสน่ห์ไปถือ ฟ้าสางประธานแห่งบริษัทเครือเดลต้า เขาเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า สวมสูทเนี้ยบเรียบกริบ ผมดำปาดเจลเซตอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเรียบนิ่ง ริมฝีปากเหยียดตรง ดวงตาจับจ้องขวดแก้วในมือไม่บ่งบอกอารมณ์

ว่าแล้วก็แปลกที่ชายหนุ่มเพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และการงานกลับต้องมาพึ่งแม่มดให้ปรุงยาเสน่ห์ ทั้งที่เพียงเขาอยู่เฉย ๆ ก็มีผู้หญิงมากมายที่พร้อมเข้ามาให้เขาเลือกสรร

ที่จริง แม่มดมีความลับอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับออเดอร์นี้ ความลับที่เธอจะเก็บงำมันเอาไว้ กลืนกินและกลบฝังมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่ให้คนตรงหน้าล่วงรู้

ความลับที่ว่าเธอชอบเขา

แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การแอบชอบอยู่ลับ ๆ รู้กับตัวเองคนเดียว ไม่เคยเปิดเผยกับใครที่ไหน และไม่ทำอะไรกับมันกระทั่งฟ้าสางเดินเข้ามาในร้านของเธอขอให้ปรุงยาเสน่ห์ให้

เป๊าะ!

เหมือนหัวใจโดนเข็มหมุดเจาะแตก ค่อย ๆ ฟีบลงเหลือเพียงซากลูกโป่งห่อเหี่ยว ท่ามกลางหยาดฝนที่ร่วงกราว
กระนั้นแม่มดก็แย้มยิ้มการค้ารับออเดอร์ เก็บซ่อนความร้าวรานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และคิดค่าความเสียใจของตัวเองเป็นลูกคนแรกของเขาอย่างชั่วร้ายสมจรรยาบรรณวิชาชีพสายดำ

“ลูกคนแรกของผมจะเป็นของคุณตามสัญญา” ฟ้าสางหมุนเปิดผาขวดแก้ว กลิ่นหวานที่ให้ความรู้สึกมัวเมาอวลอยู่ในอากาศ

…ก่อนที่เขาจะสาดยาเสน่ห์ใส่เธอโดยไม่ลังเล

?!

ใบหน้าและเส้นผมของแม่มดเปียกโชก

ยังไม่ทันที่จะได้ยกมือปาดของเหลวบนหน้า ฟ้าสางก็คว้าข้อมือเธอดึงให้เดินออกจากบ้านไปด้วยกัน

“แต่เราสองคนจะเป็นของกันและกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนอย่างเคย แต่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
แม่มดสังเกตดวงตาเขาอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก มันเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เผด็จการ และหลงใหลที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

เธอเม้มปาก รู้สึกว่าความร้อนจากทั่วร่างไหลมากองอยู่ที่ใบหน้า หัวใจในอกพองขยายเสียจนกลัวว่ามันจะแตกออกเพราะความสุขที่ล้นทะลัก

บอกดีไหมนะว่ายานี่เอาไว้ดื่มไม่ใช่ใช้สาดใส่กัน

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.