Rainverse -ไทม์ไลน์ในเรื่องนี้อยู่ตอนที่พวกเจ้าแม่อยู่ม.3 หลังฉากต่อยท้อง
--------------------------------
ชูสุเกะเท้าคางมองท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆดำมาตั้งแต่เมื่อครู่ผ่านหน้าต่าง หยดน้ำโหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงจนดูเหมือนเข็มเล่มเล็กๆที่พร้อมทิ่มแทงให้หน้าต่างที่เป็นกระจกนี้แตกละเอียดลงได้ทุกเมื่อ แต่น่าแปลกที่พายุโหมกระหน่ำเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาขนาดนี้ เขากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่นิด
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ไม่ได้ยินเสียงหรอก แต่ทุกคนบนโลกนี้เมื่อถึงเวลาฝนตกก็จะเกิดอาการหูดับไปกระทันหัน ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างด้วยกันทั้งนั้น
วันไหนที่ฝนตก การเรียนการสอนก็จะเปลี่ยนไปในรูปแบบให้อ่านตัวหนังสือแทน หรือไม่ก็ยกเลิกคาบสอนไปโดยปริยาย ตอนนี้เขาก็นั่งว่างอยู่ในห้องสโมสร Pivoine เพราะคาบสอนถูกยกเลิกไป ยังดีที่เป็นวิชาที่สามารถอ่านทบทวนเองได้ไม่ต้องอธิบายเยอะแยะ และเขาก็อ่านมันจบไปตั้งนานแล้วด้วย
ชูสุเกะชอบเวลาที่ฝนตกแบบนี้ เมื่อสายฝนพร่างพรมก็ดูเหมือนโลกจะหยุดนิ่ง เมืองทั้งเมืองเงียบไร้ซึ่งสรรพเสียง ทุกคนจะอยู่ในโลกของตัวเอง และเขาก็จะได้รับความสงบสุข
แต่ก็มีเรื่องรบกวนใจอยู่เสมอในเรื่องหนึ่งและเป็นเรื่องที่คิดมาตลอดทุกครั้งเมื่อมองฝน
อย่างที่รู้กันว่าทุกคนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยในตอนฝนตก แต่จะมีข้อยกเว้น นั่นคือคนที่เป็นคู่กันเท่านั้น ที่จะได้ยินเสียงของกันและกัน
เขาไม่ค่อยชอบเรื่องราวอย่างนี้เท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเรื่องที่ดูโรแมนติคสำหรับใครหลายคน แต่ชูสุเกะว่ามันออกจะดูเป็นการบังคับจิตใจกันเกินไปหน่อย แม้แต่เรื่องคู่ครองก็ยังถูกคนเบื้องบนกำหนดชะตา ถ้าเกิดว่าคู่ของเขาเป็นคนแปลกๆ เป็นคนเลว เป็นอาชญากร หรือว่าอาจจะเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะทำใจให้รักชอบคู่ที่ถูกฟ้ากำหนดมาให้ได้งั้นหรือ
แล้วถ้าเกิดคนที่เขารัก แต่เธอคนนั้นไม่ใช่คนที่ถูกกำหนดมาให้เป็นคู่ของเขาล่ะ จะทนมองเธอคนนั้นไปกับคู่ที่แท้จริงของเธอได้รึเปล่า
ถึงจะคิดไปก็เท่านั้น เพราะเกิดมาสิบห้าปี ชูสุเกะก็ไม่เคยได้ยินเสียงของใครเลยสักคนตอนฝนตก หรือบางทีเขาอาจจะไม่มีวันได้ยินเสียงใครเลยก็เป็นได้
เขาไม่ใช่มาซายะที่ชอบเรื่องราวที่ดูโรแมนติคอย่างเรื่องมีแค่คู่กันเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงกันและกัน และมาซายะคงกำลังจะเสาะหาคนที่ว่านี้ สำหรับเขา เรื่องนี้มันก็แค่ความไม่สะดวกที่เพิ่มมาตอนฝนตก แต่ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนอะไรมากนัก
เวลาล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็น ถึงฝนจะยังไม่หยุดตกแต่ก็เป็นเวลาที่ควรต้องไปได้แล้ว ชูสุเกะปิดหนังสือที่อ่านเก็บใส่กระเป๋า ลุกขึ้นจากโซฟาอย่างอ้อยอิ่งเล็กน้อย
วันนี้มาซายะบอกว่าจะกลับไปก่อนไม่แวะเข้ามาที่ห้องสโมสร ส่วนเขามาที่นี่เพราะอยากได้ที่สงบๆเพื่อฆ่าเวลา มันเป็นสถานที่ที่ดีเพราะไม่มีคนรบกวนหรือพยายามจะมาชวนเขาคุยตอนที่ฝนตก ไม่ได้มาเพื่อจะมาพบใครหรอกนะ
….ว่าไป คุณคิโชวอินก็ไม่มาแฮะ
เพราะเหตุการณ์ในคราวนั้นที่เธออาละวาดใส่พวกเราสองคนไป รวมไปถึงที่มาซายะเขกหัวเธอ และเธอก็ต่อยท้องเขา รู้สึกว่าหลังจากนั้นคุณคิโชวอินจะหลบหน้าหลบตาไปเลยนี่นะ
พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรเขาก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
ชูสุเกะคิดว่าตัวเองหยิบยื่นความ “เป็นมิตร” ให้กับเธอมากกว่าคนอื่นๆแท้ๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำแบบนี้กับใคร ไม่เคยเลยจริงๆ
อย่างไอ้เรื่องยื่นข้อเสนอให้ต่อยเพื่อให้เธอหายโกรธนั่น ต่อให้เป็นมาซายะเขาก็ไม่ทำหรอก
ตัวตนของเธอค่อนข้างจะ “พิเศษ” กว่าคนอื่นๆอยู่มาก เธอเป็น Pivoine เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติที่น่าคบหา อีกทั้งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของมาดามคาบุรากิ ไม่แน่ว่าในอนาคตข้างหน้าเธออาจจะได้มาเป็นคู่หมั้นหมายของมาซายะก็เป็นได้
ถึงไม่เป็นแบบนั้นจะผูกมิตรไว้ก็ไม่เสียหาย ยังไงชื่อตระกูลคิโชวอินก็ดึงดูดให้เข้าหาอยู่แล้ว คบไว้ก็มีแต่ได้กับได้
คิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นก็เดินมาจนเกือบถึงระเบียงทางเดินที่ต้องผ่านก่อนจะไปยังลานจอดรถ เงาร่างที่ดูคุ้นเคยปรากฎอยู่ในระยะสายตาที่มองเห็น
คุณคิโชวอิน
เธอหิ้วกระเป๋านักเรียนไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างแบมือออกไปแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าเหมือนกับดูว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุดตก แล้วเธอยืนอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ
แถวนี้ก็เป็นระเบียงที่นานๆจะมีคนเดินผ่านมาที ถึงจะมีคนผ่านมาก็คงไม่มีใครกล้าเสนอให้เธอติดร่มไปด้วย และดูจากนิสัยแล้วเธอคงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ
เขาหุบร่มลงและสาวเท้าไปยืนอยู่ข้างๆเธอ คุณคิโชวอินแหงนหน้ามองท่าทางตกใจเล็กน้อย ส่วนเขาก็ได้แต่ยิ้ม หยิบมือถือออกมาพิมพ์เป็นข้อความให้อ่าน ฝนตกแบบนี้ถึงจะอ่านปากคู่สนทนาได้ แต่การเขียนก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสาร
“ลืมร่มเหรอ”