Fanboi Channel

มิตรสหายนักพัฒนาซอฟต์แวร์ท่านหนึ่ง

Last posted

Total of 364 posts

350 Nameless Fanboi Posted ID:XKQcSdAsS6

เรื่องนึงที่พูดถึงในคลาสที่แล้วคือ คนเราหลายๆ ทีจะสับสนระหว่างการ “มีอำนาจ“ และการ “มีความสามารถในการควบคุมได้”
หรือภาษาอังกฤษคือ authority does not imply control.
เวลาที่เรา lead บนตำแหน่ง แน่นอนเรามีอำนาจในทีม เราอาจจะสามารถตั้งกฎหลายๆ อย่าง เราอาจจะเดินไปบอกให้ใครต่อใครต้องทำอะไร ต้องเป็นยังไง เรามี authority แน่ๆ
แต่สุดท้าย เราควบคุมใครไม่ได้เลย นั่นคือจริงๆ เราไม่เคยมี control เราทำได้มากสุดก็แค่ตั้ง consequence บางอย่าง แต่ถามว่าเราควบคุมใครได้มั้ย ไม่ได้เลย
ที่เขาทำตามเราคือเขา ”ยินยอม“ นะ อย่าสับสนว่าเราควบคุมคนอื่นได้
เราทำได้มากสุดคือใช้อำนาจที่มี รวมกับความสามารถในการคุมร่างกายตัวเอง พาเอาร่างกายตัวเองไปพูด ไปเคลื่อนไหว ไปกระทำการใดๆ แล้วหวังว่าคำพูดและความเคลื่อนไหวนั้นจะทำให้คนในทีมเรา ”ยินยอม“
เราควบคุมได้มากสุดแค่นั้นแต่เริ่มแล้ว ไม่เคยควบคุมอะไรได้มากกว่านั้น
(มีหลายคนบ่นว่าเด็กสมัยนี้คุมไม่ได้ ผมจะบอกว่าคุณไม่เคยคุมอะไรได้แต่ต้น ทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้วแหละ คุณแค่เข้าใจผิด)
ทีนี้ถ้าเราตระหนักรู้ได้ว่าจริงๆ เราควบคุมใครไม่ได้เลย มันเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้ตามความเป็นจริงครับ
มันเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้กลไกที่จะทำให้มีโอกาสที่จะควบคุมในสิ่งที่เราควบคุมได้คือตัวเอง ไปทำในสิ่งที่เพิ่มโอกาสที่คนจะ ”ยินยอม“ ตามเรามากขึ้น โดยไม่สับสนว่าเราจะต้องควบคุมอะไรได้
เพราะเราควบคุมไม่ได้อยู่แล้วเว้ย
และเมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว มันจะไม่ฝืน
การ ”ควบคุม“ มันต้องเป็นดั่งใจหวัง แกต้องตามฉัน
การ ”ไม่ควบคุม“ แต่ให้ยินยอม เรารู้ตลอดว่าคนยอมตามคำพูด กฎ policy ต่างๆ จากอะไร เราใช้ต้นทุนตรงไหนอยู่
แล้วเมื่อเราเข้าใจต้นทุนที่เราใช้ เราก็บริหารได้ง่ายขึ้น
เรา appreciate เวลาคนมีศรัทธากับเราได้มากขึ้น
เวลาเราสั่งหรือฟาดใคร เราก็เข้าใจว่าเราจ่ายอะไรลงไปมากขึ้น
เราเข้าใจและทำใจว่า action ที่จะทำให้เกิดการ “ยินยอม” มันเปลี่ยนตามยุคสมัยมากขึ้น
ซึ่งมันต่างจากมุมมองแบบที่ว่าเราต้อง ”ควบคุมได้“ ไปเยอะมากครับ คนละเรื่องกันเลย
ถ้าเราเข้าใจว่าคำว่า “อำนาจ” มันมีพลังแค่ไหน ไม่มากเกินที่มันเป็น ไม่น้อยกว่าที่มันเป็น เราก็จะไม่หลงไปกับอำนาจครับ

351 Nameless Fanboi Posted ID:NvGIziFoGX

วันก่อนฟังวิทยากรในงาน Ignite Thailand’s Brainpower ที่จัดขึ้นโดย #บพค. และกระทรวงอุดมศึกษา ฯ มีเรื่องจริงที่เล่าสู่กันฟังบนเวที คือ มีธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นต้องการจะหาบริษัทไทยที่สามารถรับงานทางด้าน semiconductor มาทำให้เขาได้ โดยบริษัทนี้จะต้องมีคนที่มีความรู้ทางด้านนี้ในหลักพันคนขึ้นไป เชื่อไหมครับว่า เราไม่มีบริษัทลักษณะนี้ในประเทศแม้แต่บริษัทเดียว

แน่นอนครับ เขาก็ไปหาบริษัทอื่นที่ประเทศคู่แข่งของเราแทน

ระบบการศึกษาบ้านเราต้องเรียกว่าเป็นระบบการศึกษาที่มองการณ์ไกลไม่เกิน 4 ปีครับ จะตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาของรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใดเท่านั้น

ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นอย่างมาก เพราะเทคโนโลยีใหม่ ความรู้ใหม่ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกแทบจะทุกวัน เรากลับแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าไปวัน ๆ ไม่มีการวางแผนระยะยาว ให้ทันต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ผมจึงไม่แปลกใจครับที่เราไม่มีบริษัทที่มีคนทาง superconductors ในจำนวนที่เพียงพอเลย แม้แต่บริษัทเดียว เอาเข้าจริง กำลังคนขั้นสูงทางด้านอื่น ๆ เช่น AI IoT EV และ quantum computing ก็น่าจะตกอยู่ในสถานะการณ์คล้าย ๆ กันครับ #my2cents

352 Nameless Fanboi Posted ID6:I.i47zJJ8i

Straight person: I’m straight
Gay person: I’m gay
Transgender person: I’m trans
Java developer: AbstractSexualityServiceBuilderFactory

#มิตรสหายนักพัฒนาซอฟต์แวร์ท่านหนึ่ง

353 Nameless Fanboi Posted ID:GlOoaLnHFS

>>352 cringe

354 Nameless Fanboi Posted ID:6PlXxqJJMI

>>351 เริ่มจากให้เด็กๆทำวงจรในมายคราฟก่อนได้ไหม

355 Nameless Fanboi Posted ID6:FMcX6LEnUj

หลังจากไม่ได้ตาม React มานาน พึ่งเห็น Drama React 19 แล้วคิดว่าถ้า React core team ยังพยายามฝืนผลัก render-as-you-fetch paradigm ให้คนใช้ทำโดยบอกว่า “นี่มันดีกว่า” คิดว่า React ไม่ค่อยน่าใช้แล้วอ่ะ

คือเข้าใจแหละว่าการคิดหา data requirement ของแต่ละคอมโพเนนท์ก่อนแล้ว preload มาอ่ะมันดีที่สุดอยู่แล้วเว้ย แต่… ถัามันทำได้ง่ายนะเราคงไม่ต้องมาไกล มีReact Query และอื่นๆ กันยังงี้หรอก

ที่มันยากคือทำให้การประสานงานกันยากด้วย คือหลังจากนี้มี component นึง ก่อนใช้ก็ต้องมานั่งคิดว่าเอ้อเอาไปวางตรงนี้ใน app lifecycle เรามีข้อมูลยัง ยังงี้เหรอ โอ้ย ในแอพใหญ่ใครจะไปจำได้หมด หรือถ้า simplify structureให้เหลือไม่กี่ data life cycle ให้ทุกคนจำได้หมด ก็ over or under fetching แน่ๆ

สุดท้ายจำได้สมัยก่อนตอนเขียน React ใหม่ๆ 4-5 ปีก่อน ก็ผลักให้ state management lib จัดการให้ (Redux, Mobx) และถ้ายังฝืนไปต่อ สงสัยคนส่วนมากจะได้กลับไปท่าเดิม

356 Nameless Fanboi Posted ID:MrL8wxpylF

อันนี้ดี เหตุผลว่าทำไมเราควรออกแบบ code ให้ greppable 🙂 มันค่อนข้าง underrate มากๆ และคนส่วนใหญ่พยายามจะทำให้ code DRY ที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งบางที DRY มาก ๆ มันไม่ได้ทำให้ maintain ง่ายเลยนะ

การตั้งชื่อตัวแปร การตั้งชื่อไฟล์ การวาง folder ขอให้คิดเผื่อว่าเอ้ะ จะมีคน search สิ่งนี้ไหมนะ จะมีคน run `$ tree | grep abc` ไหมนะ และอื่น ๆ อีกมากมาย

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=9029997357016448&id=100000188216896

357 Nameless Fanboi Posted ID6:JvXFD9/rE5

ผมเคยสอนในคลาส tech leadership ว่าต่อให้เรามองคนในทีมเป็นเครื่องมือสำเร็จเป้า เราก็ต้องเข้าใจวิธีการดูแลเครื่องมือนั้นอยู่ดี
ลองนึกว่าถ้าเรามีรถคันนึงแล้วเหยียบคันเร่งจนเครื่องระเบิด เครื่องดับ แล้วเราไม่เข้าใจไอ้ไฟเขียวๆ แดงๆ ที่ขึ้นบนคอนโซลเลยว่ารถพังตรงไหน ไม่รู้ เหยียบต่อแม่ง
ผมว่าเราเป็นผู้ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “รถ” ที่กากมากนะครับ
ถ้าเรามีเครื่องจักรอุตสาหกรรมชิ้นนึง แล้วเราไม่รู้เลยว่าต้องหยอดน้ำมันหล่อลื่นเมื่อไหร่ เปิดเครื่องได้นานกี่ชั่วโมง แล้วกดซะจน overheat พังในสองเดือนแรก ทั้งๆ ที่อายุการใช้งานจริง 5 ปี
ผมว่าเราเป็นผู้ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “เครื่องจักร” ที่กากมากเลยนะครับ
จะใช้คนเป็นเครื่องมือไปสู่ความสำเร็จ ก็ช่วยใช้ให้เป็นหน่อยอ่ะครับ
อย่าเป็นผู้ใช้เครื่องมือที่ห่วย ใช้เป็นแต่เหยียบใช้แล้วพัง แล้วก็ต้องมาพรีเทนด์ว่าฉันไม่แคร์ พังก็ซื้อใหม่ได้ (เอ้อ ไม่เปลืองเนาะ หาคนใหม่ง่ายเนาะ) งี้เหรอครับ
ผมว่าไม่เวิร์คนะครับ หรือถ้ามันจะพอเวิร์คมันก็เวิร์ค despite of ความห่วยในการใช้งานของคุณอ่ะครับ

358 Nameless Fanboi Posted ID:SKb6Aqwn.G

>>357 พังก็หาใหม่ครับ

359 Nameless Fanboi Posted ID:B9fRiQa26o

วันก่อนคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง เรื่องธุรกิจแบบ MLM จริงๆ vs แบบแชร์ลูกโซ่ ... ว่ามันต่างกันตรงไหน
ผมบอกไปว่า มันมี indicator อยู่ตัวนึง ที่ผมคิดว่าใช้ได้ดีมากๆ คือ สังเกตว่าคนที่ชวนเรา เขา "อวดอะไร" ....
ถ้าเขาอวด product เขาอวดชีวิตที่ดีขึ้น "จากการใช้ product" โดยไม่พูดถึงความร่ำรวย และอยากให้เราใช้ product บ้าง โดยไม่ต้องเยอะ ใช้ตามที่เราจำเป็น หรือตาม burn rate ของการใช้งานปกติ .... เวลาที่เขาโพสท์ใน FB เขาก็โพสท์แต่ product เป็นหลัก ....
อันนี้ MLM ..... แบบนี้ถ้าเราไปลองใช้ และอยากขายบ้าง ก็ว่ากันไป
แต่ถ้าเขาอวดความร่ำรวย อวดชีวิตที่สุขสบาย จากการที่เขาขาย product และพยายามชักชวนให้เราขายแบบเขา จะได้รวยแบบเขา
อันนี้แปะโป้งไว้หนักๆ เลย
=============
คนใกล้ตัวผมหลายคนมากพอ ที่เห็นชีวิตคนอื่นร่ำรวย บางคนโพสท์ story ขายนั่นนี่แล้วซื้อบ้านหลายสิบล้านให้แม่ได้ในกี่ปี มีชีวิตดีพาลูกเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ … มีรถหรู ... ไม่ต้องถึงขนาด exotic นะ เอาแค่ Benz, BMW นี่แหละ ตัวท็อปๆ หน่อย แล้วก็ Alphard ให้แม่ให้ครอบครัวนั่งสบาย พาครอบครัวไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่สบายทั้งครอบครัว .... แล้วต่อมลูกกตัญญู ต่อมพ่อแม่ที่ดี ทำงานหนัก … อยากเป็นอย่างเขาบ้าง .... อยากมีแบบนี้ให้ครอบครัวบ้าง …
”เมื่อก่อนเขาก็เหมือนเรา แต่เขาขายสิ่งนี้ เขาเป็นแบบนี้ใน 2-3 ปีเลยนะ“
“เราก็อยากให้ครอบครัวมีชีวิตดีบ้าง สบายบ้าง”
นั่นแหละ …
หลายคนเห็นแต่สิ่งนี้ โดยขายด้วยสิ่งนี้ .... product มีจริงไหม ดีจริงไหม นี่อีกเรื่อง .....
แต่ผมก็เตือนคนเหล่านี้ไปทุกคนแหละ .... ว่าพวกนั้นเขารวย ก็เพราะเขาวาดภาพชีวิตแบบนั้นให้คนอยากรวยแบบเขา แล้วไปขายแบบเขา ผ่านเครือข่ายของเขา .... โดยที่ต้อง​ "เปิดบิล" หรือซื้อมาไว้มากๆ ....
เขาได้เงิน เราได้ของ ที่เราไม่รู้จะขายยังไง ..... ทำไงล่ะ .... ถ้าเราทำแบบเขาไม่เป็น ..... เราทำเป็นแต่ขายทีละชิ้นแบบตรงไปตรงมา ...
อันนี้ก็เหนื่อยหน่อย ตัวใครตัวมัน ....
=============
มันมี Caveat นิดๆ ..... คือ เรื่องนี้มันเป็น mindset คนที่ขาย พอๆ กับตัวธุรกิจเอง ... บางธุรกิจ มันเป็นแชร์ลูกโซ่เลยแทบทั้งหมด .... หลอกให้คนมาเป็นเครือข่ายไปเรื่อยๆ .... อ้างว่าเป็นเครือข่ายนะ แต่จริงๆ มันเป็น "ลูกค้าเป็นทอดๆ" น่ะแหละ ..... ปลายน้ำไปซวยไปเรื่อยๆ .... ที่ตัวธุรกิจเลย สร้างมาเป็นแบบนั้น
แต่มันก็มีนะ คนที่มี mindset แบบนั้น กับการขายของปกติเลย กับธุรกิจที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น .....
หลายคนที่ขายของที่ legit ... มี mindset แบบ "มาขายแบบผมแล้วรวย มาขายกันเยอะๆ ซื้อของจากผมไปขายเนี่ยแหละ ผมมีให้ซื้อไปขายเลย" ก็มีเช่นเดียวกัน
อย่างที่บอก มันเป็น indicator ที่ดีพอแหละ มี false positive / false negative ไหม ตอบเลย "มี" แค่มันดีพอที่จะทำให้เรากรองอะไร คัดแยกอะไร ได้เร็วๆ แค่นั้น
(พวกที่อวดสองอย่างก็มี …. อันนี้ดูน้ำหนักเอา … แต่อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวผมแล้ว ถ้ามีอวดรวย อวดชีวิตดี จากการขายของ แล้วชวนขาย ผมแปะโป้งหมด … ซึ่งอันนี้ต่างจากคนที่โพสท์ งานๆๆๆๆๆ แล้วเขาโพสท์ชีวิตเขาเรื่อยๆ แล้วบังเอิญเราเห็นชีวิตเขาดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเขาไม่ได้อวดอะไร)
=============
อยากรวย ไม่ผิด
แต่อย่าอยากรวยเร็วจนหลงผิด แค่นั้นแหละ
ทางลัดมันไม่มีหรอก นอกจากซื้อหวย แล้วโชคดี

360 Nameless Fanboi Posted ID:464rRxqYel

เมื่อวานมีโอกาสได้ฟัง Leslie Lamport เป็น Turing award winner ปัจจุบันทำงานที่ Microsoft Research พูดว่าในปัจุบัน software engineers ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Microsoft Amazon Google Facebook ให้ความสำคัญกับความถูกต้องของโปรแกรม (program correctness) มาก
เพราะ การทดสอบด้วย test cases เพียงอย่างเดียว อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลในอนาคตได้ เพราะบริษัทเหล่านี้มีลูกค้าที่ใช้บริการที่มีต้นทุนความเสียหายสูงมาก หากเกิดความเสียหายขึ้นกับระบบ
นึกภาพครับ หากระบบ cloud เกิดความผิดพลาดทำให้ข้อมูลของบริษัทลูกค้าหายไป หรือ การโอนเงินของบริษัทครั้งละ 1 พันล้าน US dollars เกิดผิดพลาด เพราะระบบล่ม ทำให้บริษัทลูกค้าต้องเสียค่าปรับมหาศาลในการชำระเงินช้า เป็นต้น
ความถูกต้องของโปรแกรม (program correctness) หมายถึง โปรแกรมจะต้องทำงานให้ผลลัพธ์ได้อย่างถูกต้อง สำหรับข้อมูลนำเข้าที่เป็นไปได้ทั้งหมด
เน้นตรงที่ข้อมูลนำเข้าที่เป็นไปได้ทั้งหมดนะครับ ซึ่งในทางปฏิบัติ มีเป็นจำนวนไม่จำกัดเลยก็ได้
ความถูกต้องของโปรแกรมจึงต้องใช้คณิตศาสตร์ในการพิสูจน์เท่านั้นครับ ไม่มีวิธีอื่น คนแรกที่พูดถึง program correctness คือ Robert Floyd เป็น professor สอนที่ Stanford และได้รับ Turing Award ด้วย
กระทรวงอุดมศึกษาบ้านเราเน้น AI and Coding ซึ่งไม่มีอะไรที่เน้นเรื่องความถูกต้องของโปรแกรมเลย ทำให้เราแข่งขันกับต่างประเทศไม่ได้ อันนี้เป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของระบบการศึกษาบ้านเราครับ #my2cents
Picture credit: Leslie Lamport

361 Nameless Fanboi Posted ID:dRmoNhVNlw

บ่อยครั้ง เวลาเกิดปัญหาบางอย่าง ..... แล้วเราเสนอทางออก ในแบบ step-by-step พร้อมบอก bottom line ทุกอย่าง ว่าจะ expect อะไรได้เมื่อไหร่ .....
"ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ given ทุกอย่างที่เราพอจะทำได้ตอนนั้น"
แล้วมันมี feedback กลับมาในลักษณะ คนนั้นจะลำบากแบบนี้ คนนี้จะลำบากแบบนั้น โอ๊ย ตอนนี้ยิ่งมีอันนี้น้อยๆ อยู่ ตอนนี้ยิ่งทำแบบนั้นลำบากอยู่
ก็จะให้ทำยังไงนะครับ ......
ผมบอกแบบเดียวกันได้ไหมนะ ว่าถ้าคุณจะเอามากกว่านั้น ใครต้องลำบากอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง หรืออะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง
ผมบอกแบบเดียวกันได้ไหมนะครับ ว่าถ้าเอาแบบนั้นแบบนี้ ผมจะลำบากอะไรยังไงบ้าง
ไม่ได้หรอกมั้งครับ
อยากแก้ปัญหาด้วยกันไหมนะ .....​ หรืออยากจะบ่นกับทุกทางออกที่เป็นไปได้ .....
รู้สึกเหนื่อยๆ และรู้สึกแย่ๆ
โพสท์นี้จะลบตัวเองเร็วๆ นี้

362 Nameless Fanboi Posted ID:MWYB/ycOF8

วันนี้เป็นวันแรกของวิชา design and analysis of algorithms (CLRS) ที่เลื่องลือว่ายาก ผมเลยกระตุ้นนักศึกษาด้วยเรื่องจริงที่ผมได้ประสบมาจากการไปสอนวิชา algorithm design for working programmers (days 1-4) ให้กับคนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
1. อาชีพทางด้านนี้มี turn over สูงมาก โดยเฉพาะคนที่เก่งวิชานี้ ย้ายที่ทำงานทีหนึ่ง เงินเดือนก็ขึ้นทีหนึ่ง
2. คนที่เก่งวิชานี้มีเป็นจำนวนน้อย เงินเดือนจึงสูง ลูกศิษย์ผมในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่เก่งวิชานี้ เงินเดือนจึงเป็นหลักแสนขึ้นไป
3. บริษัทยินยอมที่จะจ่ายเงินเดือนสูง ๆ เพื่อจ้างคนเก่งไปทำงานด้วย เพราะคนที่ไม่เก่งวิชานี้อาจทำงานแล้วเกิดความผิดพลาด เช่น ระบบล่ม ทำให้บริษัทต้องชดใช้เงิน เกิดความเสียหายกับลูกค้า เสียชื่อเสียง ความผิดพลาดเหล่านี้มีต้นทุนที่สูงมาก บริษัทจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ครับ การจ้างคนที่เก่งจึงเป็นการแก้ปัญหานี้โดยตรง เมื่อเทียบกับค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เงินเดือนสูง ๆ จึงคุ้มค่ามาก
4. วิชานี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญของ artificial intelligence (AI) ผมเอาตัวอย่างจากอาจารย์ชิดชนกมาเล่าให้ฟัง นั่นคือ การที่จะทำให้จานบินไร้คนขับ (drones) ที่ทำงานกันโดยบินไปเป็นกลุ่มและคุยกันเอง อันนี้ก็คือ การออกแบบอัลกอริทึมแบบขนาน (parallel algorithms) หรืออีกตัวอย่างคือ robot ที่ทำการประมวลผลแบบ online ที่มีข้อมูลเข้ามาเป็น streams อันนี้ก็เป็นการออกแบบอัลกอริทึมที่เรียกว่า online หรือ streaming algorithms นั่นเอง
5. ข้อนี้อาจไม่เกี่ยวกับการทำงานโดยตรง นั่นคือ วิชานี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนต่อปริญญาโทและเอกในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะการเรียนที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของต่างประเทศครับ

363 Nameless Fanboi Posted ID:0ZKK3edQoy

>>362 การออกแบบที่ดีก็เหมือนกางเกงโยคะ

364 Nameless Fanboi Posted ID6:c19wA9BX21

พวกโปรแกมสร้างเกมโทรศัพท์พวกจอมยุทธ์อัพcpเติมเงินให้เก่งใช้โปรแกรมไรสร้าง

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.