Fanboi Channel

มิตรสหายนักพัฒนาซอฟต์แวร์ท่านหนึ่ง

Last posted

Total of 364 posts

1 Nameless Fanboi Posted ID:ZcCGcY0t+a

แตกมาจากกระทู้ มิตรสหายท่านหนึ่งในห้อง lounges
แต่อันนี้สำหรับ Software Developer

เริ่มจากอันนี้

ชอบอันนี้

มีประเด็นอยากพูดถึง คือ Pinterest เขาใช้ Kafka ซึ่งก็ถือว่าเป็นระบบที่ส่วนตัวผมคิดว่าเสถียรมากๆ แล้ว แต่สุดท้ายก็ไปเจอปัญหาว่า เวลาส่งข้อมูลจาก App ไป Kafka อาจเกิดเหตุการณ์ที่ว่า App ติดต่กับ Broker ไม่ได้ (อาจจะตายจริงหรือ Network connection หรืออะไรก็ตามแต่) ซึ่งทำให้เกิด Data loss ขึ้น

ขั้นแรกเขาก็ทำ Buffer ไว้ ถ้าสมมติติดต่อกับ Broker ไม่ได้ ก็เอาของที่เคยคิดว่าจะส่งให้ Kafka เก็บไว้ใน Memory ของ App ก่อนนะ พอมันติดต่อกับ Broker ได้เมื่อไหร่ค่อยส่งไปทีเดียว

ปัญหาที่ตามมาก็คือ Buffer เต็มเพราะ Memory มีจำกัด สุดท้ายเขาก็แก้โดยการ Write ลง Disk ซะเลย

ประเด็นที่น่าคิด

- Tools ไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่างในโลก ใช้ Kafka ไม่ได้แปลว่าคุณได้ Relliablility & Scalability โดยอัตโนมัติแต่อย่างใด นี่ก็ต้องไปสร้าง Layer บน Kafka อีกทีเพื่อกันเรื่อง Data loss สิ่งที่น่าสนใจคือ การอ่านเขียนลงไฟล์สดกับ Kafka มัน Performant เท่ากันมั้ย อะไรจะกลายเป็น Bottleneck ในกรณีไหน (ผมใบ้ให้ว่าไม่เท่ากัน แต่มีจุดคุ้มทุนทาง Performance ต้องเข้าใจด้วยว่า Kafka มันเล่นไปจนถึงระดับระบบไฟล์ที่ทำไงให้ Seek disk ได้เร็วเลย เขียนอ่านไฟล์ธรรมดา "อาจจะ" สู้ไม่ได้ในกรณี 1-1 วัดกัน)

- เขาเลือกที่จะ Write buffer ลง Disk ซึ่งช้ากว่า Memory การอ่านกลับมาจากดิสก์ซึ่งช้ากว่า Memory ทำให้เกิด Lag time ระหว่าง Application กับ Message Queue มากขึ้น ทำให้ข้อมูลกระจายไปแต่ละส่วนในระบบช้าลง ถ้าในบริบทของ Pinterest ก็เป็นไปได้ว่าเรา Pin สิ่งนึงแต่ของคนอื่นกว่าจะขึ้นเห็นของที่เรา Pin ก็กินเวลาไปบ้าง ไม่ต้องนับเรื่องการเก็บ Stats ซึ่งช้าและไม่ Real-time เท่าเดิม นี่คือ Trade-off ที่เกิดแน่ๆ กับการเลือกทางนี้ ทำไมเขาถึงเลือก Trade-off แบบนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่ก็เป็นเรื่องฝากให้คิดว่าทุกอย่างบนโลกมี Trade-off

- ทำไมระบบแบบนี้เกิด Data loss ไม่ได้จนต้องลงทุนขนาดนี้? นี่คือลงทุนให้ Data propagate ช้าลงซึ่งอาจจะกระทบ User experience ได้ด้วยซ้ำ เขาทำที่ Layer ไหนของระบบที่ Data เสียไม่ได้แล้ว

- ข้อสังเกต: ทำไม Buffer ไว้ใน Memory ถึงมีปัญหา Buffer เต็มได้ นั่นสะท้อนว่า Data loss "เคย" เกิดขึ้นเยอะมากระดับนึง มีปัญหาติดต่อ Broker ไม่ได้เยอะประมาณนึง พอคิดได้แบบนี้แล้วสิ่งที่ต้องถามต่อมาคือ อัตราการ Failed ของ Broker มันเยอะขนาดไหนกันนะ มันปกติหรือผิดปกติ แล้วจริงๆ สิ่งที่ Pinterest ทำมันเมคเซนส์มั้ย นี่คือ Workaround ที่ถูก หรือควรจะไปสืบหาต้นตอว่าทำไม Broker failed บ่อยขนาดนั้น? ผมตอบไม่ได้นะ บางทีมันอาจจะเป็นปกติอยู่แล้ว แต่อันนี้ให้ดูไว้ว่าเวลาดูงานพวกนี้ด้วย Critical thinking มันไม่ควรจะเชื่อถือไปเลยเพียงเพราะเขาเป็น Pinterest หรือบริษัทใหญ่

ประเด็นที่อยากสื่อทีสุดคืออันแรกนั่นแหละ อย่าโดนขายของด้วย Tool จนขาดความสามารถในการเข้าใจ System at Scale เพราะสุดท้ายคุณอาจจะต้องทำแบบ Pinterest ก็ได้นะที่ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อสู้กับ Trade-off ของตัว Tool เอง

2 Nameless Fanboi Posted ID:5xftt4MgqF

คำถามยอดฮิต จะเป็น Data Scientist จะเรียน Operations Research (แบบแป้ง) หรือจะเรียน Computer Science (แบบน้องเปรียว Senior Data Scientist ของ Coraline) ดีนะ

ตอบแบบนี้นะคะ

บอกก่อนว่า ทั้งสองศาสตร์ สามารถเป็น Data Scientist ได้เหมือนกัน แต่ทำงานได้ไม่เหมือนกันค่ะ

OR จะเป็นการ Applied Math เพื่อให้เข้ากับ Process ของปัญหา และกลั่นกรองออกมาเป็นสมการ หรือ Model เพื่อนำไปวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ต่อไป

Com Sci เป็นศาสตร์ที่เรียนเพื่อเข้าใจกระบวนการของ Computer โดยมีโจทย์ให้ แล้วประยุกต์ใช้ Computer ในโจทย์นั้นๆ

((ความเป็นจริงแล้ว ใน OR เอง และ Com Sci เอง ก็มีแขนงแยกออกมาอีกมากมาย เอาไว้แป้งจะเล่าให้ฟังในครั้งต่อไป))

คราวนี้ กลับมาตอบว่า จะเรียน OR หรือ Com Sci ต้องถามตัวเองค่ะ

1. คุณชอบที่จะออกไปเจอปัญหา แล้วจิตนาการถึงแนวทางในการแก้ปัญหา ร่างโจทย์ในกระดาษ ไม่ได้รู้สึกเสียเวลากับการออกไปคุยหน้างาน หรืออ่านเปเปอร์ที่ไม่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะเขียนโปรแกรมขึ้นมาแก้ปัญหาหรือไม่ ถ้าใช่ คุณเหมาะกับ OR

2. คุณชอบคอมพิวเตอร์ อยากรู้กระบวนการทำงานของคอมพิวเตอร์ สนุกกับการเขียนโค้ด สามารถเข้าใจภาษาคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ชอบตั้งโจทย์ มองปัญหาไม่ออก แล้วรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องไปคุยหน้างาน เพราะรู้สึกว่าเสียเวลาเขียนโค้ดหรือไม่ ถ้าใช่ คุณเหมาะกับ Coder

สำหรับแป้ง ใน Coraline แป้งจะบอกทีมงานเสมอว่า ทุกคน "เท่าเทียมกัน" ไม่มีใครโดดเด่นกว่าใคร ทุกคนต่าง "โดดเด่น" เหมือนๆ กัน

ในการทำงานจริง OR จะเป็นคนระบุปัญหาที่ดี ในขณะที่ Coder จะเป็นคนพัฒนาระบบที่ดี อยู่ที่งานแต่ละประเภท แต่ละที่ ว่าต้องการความเชี่ยวชาญด้านไหนเป็นพิเศษ

แต่ ด้วยความที่ ส่วนตัวแป้งมองว่า อาชีพ Data Scientist เป็นอาชีพที่เสี่ยงตกงาน ในวันที่ AI เข้ามาครองโลก

ดังนั้น แป้งวาง Career Path ของแต่ละคนไว้ต่างกัน

OR จะเหมาะกับสาย Business ด้วย นอกจากต้องเรียนรู้การสร้าง Model ก็ควรจะเรียนรู้งานด้าน Business เพื่อสามารถตีโจทย์ให้ออก

Coder หรือ Com Sci ควรแบ่งร่างส่วนหนึ่ง เรียนรู้ส่วนงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น Com Engineer, Software Developer, UX/UI หรือ Application ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม การที่คุณจะมี Degree ที่ 2 ได้ จงทำ Degree แรกของคุณให้เข้มแข็ง เพราะใน 1 วัน มีเพียง 24 ชั่วโมง ทั้งหมดทั้งปวง อยู่ที่การ "บริหารเวลา" ที่ดี

สุดท้ายนี้ จะเป็น OR หรือ Com Sci ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน

ที่สำคัญที่สุด "ทุกคน.... เท่าเทียมกัน"

3 Nameless Fanboi Posted ID:R0vni+UmZe

เตือนภัย.โปรแกรมเมอร์ทีม.
แก้งค์ขโมย ฟอก source ผู้อื่น แห่งยุค
ท่ามกลางความเงียบ
ขณะที่คุณกำลัง coding ในทีมสุดเลิฟของคุณอยู่นั้น
รู้ตัวบ้างหรือป่าวถึงมหันตภัยเทียบเท่าชีวิตคุณว่า
มีบางคน บางกลุ่ม กำลังขโมย กำลังทำการฟอก
source ของคุณ ทำการศัลยกรรมใหม่
ไปเป็นของตัวเองสำเร็จ
หลังจากนั้น
เมื่อชีวิตต้องอาศัย coding เลี้ยงชีพ
ทั้งชีวิตของท่านนั้น ผลงานกว่า20ปีของท่านนั้น
จะปรากฎอยู่ที่เก้าอี้ตัวไหน?

4 Nameless Fanboi Posted ID:B507mX.k7y

ทำไมนักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องคุยกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่องครับ ยกตัวอย่างกระทู้นี้ เปิดกระทู้ได้สมกับเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ดี

5 Nameless Fanboi Posted ID:w8KZTt1Zzy

ลองติดตามคนนี้ดูครับ เห็นว่าเป็นเจ้าของเว็บที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
https://mobile.twitter.com/gridth1

6 Nameless Fanboi Posted ID:q.Gd.MC0Bn

>>4 โปรแกรมเมอร์ไม่ได้คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง คนอื่นต่างหากที่คุยกับโปรแกรมเมอร์ไม่รู้เรื่อง

7 Nameless Fanboi Posted ID:6JEHn+xPZv

สวัสดีครับ วันนี้มาแชร์ประสบการณ์ตัดขาดกับลูกค้ารายแรกครับ

[tl;dr]
ลูกค้ารายแรก
อยากได้แอพเซต wallpaper ติดโฆษณา
ทำให้ทุกอย่าง
คิด 2500
ส่งมอบครบจบ
มีคำถาม ผมตอบ
ถามอีกเรื่อย ๆ ผมตอบบ้าง
เริ่มไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับงาน ผมตอบบ้าง(แต่ไม่อยากตอบแล้ว!)
ลูกค้าไม่เข้าใจ ทำแล้ว error เขียนโค้ดไม่เป็นแต่อยากทำเอง
ผม....(ปัจจุบัน).... จึงตอบกลับไปว่า:
{
เอ่อคือ ก่อนอื่น ต้องขอโทษก่อนเลยนะครับ

คือ error นี้มันเป็นที่ตัวโค้ดครับ ซึ่งจริง ๆ แค่ไปดูว่าในโค้ดมัน error อะไรก็น่าจะแก้ได้ง่าย ๆ แล้ว เพราะ Android Studio มันก็บอกไว้ทั้งหมดนะครับ
ถ้าไม่รู้ตัวไหนคืออะไร ก็ลองหาใน google ดูก่อน เพราะอันนี้มันไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นปัญหาที่เขียนโค้ดไม่เป็น ถ้าเขียนโค้ดเป็นก็น่าจะรู้เองว่าต้องแก้ปัญหานี้ยังไงครับ

ถ้าอยากจะเขียนแอพเอง ควรจะเรียนหรือศึกษาเองก่อนนะครับ ถ้าให้โปรแกรมเมอร์มาเขียนให้แล้วตัวเองมาเขียนต่อเพิ่มเองก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าให้เขาเขียนให้แล้วอยากเขียนเองแต่เขียนไม่เป็นเลยถามเขาว่า "นู่นนั้นนี่ ทำอะไร ยังไง" คือมันเป็น [งาน] ครับ อีกอย่างตัวโปรแกรมเมอร์ไม่ได้สอนเขียนโปรแกรมครับ ไปลงคอร์สเรียนเองดีกว่า

ถ้าจะทำแอพลงสโตร์เพื่อเอาค่าโฆษณาในแอพแล้วไม่คิดจะทำต่อไม่อัพเดทอีกเลย รอกินตังค์อย่างเดียว ... นั่นไม่ใช่วิถีนักพัฒนาครับ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ที่ครูสอนผมมา

ผมเคยพูดไปว่า "มีอะไรสอบถามผมได้นะครับ" ก่อนจบส่งมอบโปรเจค แล้วคุณก็ถามผมมา ผมก็ตอบไป วิธีการใช้แอพ วิธีแก้ไข บลาๆๆๆ
แต่ที่คุณถามผมตอนนี้เนี่ย เอาจริง ๆ มันคือ "ทุน" ของผมนะครับ ผมก็ใช้เงินเรียนมาเพื่อทำงานเหมือนกัน แต่ตอนนี้คุณกำลังเอาทุนไปจากผมแล้ว
หรือก็คือ ที่คุณถามมันเกินขอบเขตงานของผมไปแล้ว
ผมทำงานให้ คุณรับงาน โอนตังค์ ส่งมอบ เสร็จ จบ. มีปัญหา? ถามคำถาม-"ที่เกี่ยวกับงาน" ผมตอบไป จบ.

อีกอย่างคือคุณไม่มีความเกรงใจในการถามเลยครับ "เพราะการถาม คือการรบกวนเวลาคนตอบอยู่ คนตอบจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้"
แล้วยิ่งมาถามอะไรแบบนี้ ยิ่งบ่อย ๆ อีก (ผมนี่อยากจะบล็อกทิ้งเลยครับถ้าไม่ใช่คนรู้จักกันจริง ๆ)

สรุป
หยุดถาม "อะไรที่เกินขอบเขตงานผม" หรือ "อะไรที่มันหาวิธีแก้เองได้" ได้แล้วครับ
กรุณามีความเกรงใจในการถามด้วย
ผม ไม่ รับ สอน เขียน โปรแกรม ครับ

ขอบคุณครับ
}

ขอบคุณที่อุตส่าห์อ่านจนจบครับ
สุดท้ายนี้ คิดว่าถ้าเป็นทุกท่าน จะทำอย่างไรครับ? 😶

8 Nameless Fanboi Posted ID:mYgwFGAlSh

>>7 ให้เบอร์ติดต่อ คาสโต๊ด

9 Nameless Fanboi Posted ID:m+hQ2LUtM.

>>8 เป็นการแก้แค้นที่ดีครับ น่าสนใจมาก 👍👍👍

10 Nameless Fanboi Posted ID:n502njM+Nk

หลายคนสงสัยว่าจะเขียนโค้ดได้ต้องเก่งคณิตศาสตร์ด้วยหรือเปล่า ก็แล้วแต่เป้าหมายของเราครับ ถ้าต้องการหางานทำในบริษัทชั้นนำของไทย มีความรู้คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันก็เพียงพอแล้วครับ เช่น ซื้อของ 250 บาท ลด 30% เหลือกี่บาท หรือ ฝากเงิน 10,000 บาทในธนาคารได้ดอกเบี้ยคงที่ 1.65% ผ่านไป 3 ปีจะมีเงินกี่บาท ถ้าสามารถแก้ปัญหาพวกนี้ได้ก็หางานประจำทำได้ในบริษัทชั้นนำแล้วครับ

แต่ถ้าอยากเขียนโค้ดเก่งระดับโลก อยากทำงาน Google, Facebook หรือ CERN, UN ต้องมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งนั่นคือ Discrete Mathematics ครับ หนังสือเล่มนี้ Professor จาก Cornell แจกฟรีครับ

https://www.cs.cornell.edu/~rafael/discmath.pdf

11 Nameless Fanboi Posted ID:zq7l+Uk8mM

>>10 ขอบคุณครับ โม่ง โค้ดสตา

12 Nameless Fanboi Posted ID:wuxoIlAZeO

>>11 ด.. เดี๋ยวนะ
รู้ได้ยังไงว่าโพสต์ใน >>10 มาจาก โค้ดตา

13 Nameless Fanboi Posted ID:gyKi2NYqHq

ช่วงนี้กำลังเมามันกับ approximation algorithms มาก เพื่อน ๆ อาจสงสัยว่ามันคืออะไร

ยังงี้ครับ สมมติว่าในโรงงาน เราต้องการที่จะหาค่าใช้จ่ายที่ตำ่ที่สุด แต่หาไม่ได้ “ง่าย” ๆ เราจะทำอย่างไรนะครับ approximation algorithms เป็นวิธีที่ให้คำตอบที่การันตีได้ว่าไม่เกินเท่าไร (เช่น ไม่เกิน 2 เท่า) ของค่าใช้จ่ายที่ตำ่ที่สุดได้นะครับ

ในกรณีของการค่าที่มากที่สุด ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันครับ เพื่อน ๆ ประหลาดใจไหมครับที่เราสามารถทำแบบนี้ได้ ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุดคืออะไร

วิธีอื่น ๆ ที่ใช้แก้ปัญหาประเภทนี้ (optimization problems) ไม่สามารถให้การันตีได้นะครับ

วิชานี้ไม่มีสอนในเมืองไทย (เท่าที่ทราบ) แต่สามารถเรียนได้จาก MIT OCW ครับ

หากใครชอบอะไรแบบนี้ ผมแนะนำให้เรียน online algorithms กับ competitive analysis ด้วยครับ อันคือ approximation algorithms ที่ไม่รู้ข้อมูลเข้าทั้งหมดล่วงหน้าครับ ยังไม่มีสอนในเมืองไทยเช่นกัน แต่มีสอนที่ MIT OCW ครับผม

14 Nameless Fanboi Posted ID:o.ilz+WDyC

>>12 กุอ่านแค่บรรทัดแรกก็รู้ละ สัส แม่งโครตแพทเทิน

15 Nameless Fanboi Posted ID:m5g1epnkA7

>>14 กูนึกว่ามึงเล่นมุก 555

16 Nameless Fanboi Posted ID:mgwUZWNEzZ

>>13 นี่ก็โค้ดดาวป่ะ เห็นแปะแม่งซะเกือบครบทุกห้องเลย

17 Nameless Fanboi Posted ID:9Zal2CDsdp

>>16 มันเอาทวิตของ sirn มาฟลัดกวนตีนพนอื่น

18 Nameless Fanboi Posted ID:NQoefvtUi2

เขียนโค้ดเป็นอาจจะพาเราไปได้เงินเดือน 3 หมื่น 4 หมื่นก็เยอะแล้วครับ ถ้าอยากได้เงินเดือนเยอะกว่านี้ 7 หมื่น 8 หมื่นขึ้นไป ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ดีครับ บริษัทระดับโลกเงินเดือนหลักแสน ไม่ได้ถามคำถามยากเย็นอะไรเลย ไม่มีถามหรอกครับ AI, Machine Learning, Block Chain, Big Data ยกเว้นว่าคุณจะจบปริญญาเอกเฉพาะทาง

บริษัทระดับโลกถามแค่ Data Structures พื้นฐานอย่าง Array กับ Linked List ต่างกันยังไง Tree กับ Hash Table เป็นยังไง แต่ถามเป็นภาษาอังกฤษซึ่งต้องตอบให้ได้ ตอนผมยังเรียนไม่จบ ส่งใบสมัครงานไปที่ Microsoft ตอนนั้นเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไม่ผ่าน แต่ก็ได้รับคำแนะนำมาให้ฝึกภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น และได้รู้ว่าคำถามสัมภาษณ์งานระดับโลกจริงๆแล้วไม่ยากเลย จากนั้นมาก็ฝึกพูดภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง มาได้งานในการสมัครครั้งที่สองครับ

น้องคนนึงทำงานอยู่บริษัทท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่ The Office At Central World วุฒิมัธยม อายุ 27 เงินเดือน 80,000 บาท ส่งใบสมัครไปที่ Amazon สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เริ่มต้นด้วย Binary Search ก่อน ถ้าไม่ได้เรื่องนี้ เรื่องอื่นคงไม่ต้องถามต่อแล้วครับ ซึ่งก็แน่นอน สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ บริษัทระดับโลกไม่มีใครสนใจวุฒิการศึกษาครับ เว้นแต่ว่าคุณจะจบ MIT, Harvard, Stanford ค่อยว่ากัน ลองส่งใบสมัครเข้าไปจะได้รู้ความจริงครับ Fortune favors the brave

ภาษาอังกฤษเป็นบันไดที่จะพาเราไปอีกระดับนึงครับ เขียนโค้ดพื้นฐานได้ก็ OK แล้วครับ เขียนภาษา C เขียน Java หรือ Python ดีทั้งนั้นครับ ฝึกพูดภาษาอังกฤษแล้วสมัครงานบริษัทระดับโลกได้เลย ทุกวันนี้มีสื่อออนไลน์ดีๆ ให้เราฝึกภาษาอังกฤษได้หลายช่องทางครับ ลองไปดูกันว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง

The English Coach สำเนียง California ขนานแท้ ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษที่นิยมใช้ในธุรกิจ Digital ครับ
https://www.youtube.com/channel/UC-g0gSStENkYPXFRsKrlvyA

English with Lucy เป็นสำเนียงอังกฤษยุคใหม่
https://www.youtube.com/channel/UCz4tgANd4yy8Oe0iXCdSWfA

A.J. Hoge เป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่เดินทางไปทั่วโลก ไปจีน ไปอเมริกาใต้ ไปยุโรป รวมทั้งเมืองไทย เพื่อศึกษาว่าคนแต่ละประเทศมีปัญหาอะไรในการพูดภาษาอังกฤษ
https://www.youtube.com/user/ajhoge

Josh MacPherson สอน TOEFL โดยเฉพาะ สำเนียง New York ใครทำงานการเงินต้องฟังบ่อยๆ จะได้คุ้นเคย
https://www.youtube.com/channel/UCdYirpVQgUHUMNRvF532GoA

แถมอีกนิดนึงครับ ไม่ช้าก็เร็วเราต้องได้ทำงานกับคนอินเดีย การฟังสำเนียงอินเดียบ่อยๆ จะช่วยให้เราทำงานได้ราบรื่นขึ้น ไม่รู้จะฟังที่ไหน ลองฟังของ Turorials Point ได้เลยครับ
https://www.youtube.com/watch?v=GzZTjaoRaOk&list=PLWPirh4EWFpG49yASGCmvOwXwVvgnm6Jt

19 Nameless Fanboi Posted ID:Z8iLYArsNQ

มันคงจะดีถ้าตอนเรียนมีคนมาบอกเราว่า อ่านหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว แล้วไปหางานประจำเงินเดือน 30,000 บาทขึ้นไปได้แน่นอน หนังสือแบบนี้มีอยู่จริงครับ และมีอยู่หลายเล่มด้วย เดี๋ยวมาดูกันครับว่ามีหนังสืออะไรบ้างที่อ่านจบแล้วหางานได้เลย

ไม่จำเป็นต้องมาเรียนที่ CODEST ครับ หากมีความรู้ความสามารถ ที่ไหนก็รับเข้าทำงาน ศึกษาจริงจัง หางานทำได้ทุกคนครับ ไม่จำเป็นต้องจบตรงสาย ไม่จำเป็นต้องเรียนจบอะไรเลยด้วยซ้ำ

ในสหรัฐมีเรื่องแซวกันเล่นๆว่า ที่ตลาดหุ้นเป็นที่ที่คนขับรถหรูเชื่อฟังคนนั่งรถไฟ ในเมืองไทยมีหลายคนไม่เคยสมัครงานอะไรเลย มาเขียน Blog เรื่องการสมัครงาน ไปพูดงานนั้นงานนี้ ว่าพนักงานที่ดีต้องเป็นแบบไหน ลองไปดูสมัครงานจริงๆก่อนครับ ค่อยมาเล่าให้คนอื่นฟัง วันนี้ผมบอกได้เลยว่าคุณแค่ "รู้ Java พื้นฐาน และมีความรับผิดชอบ" ก็หางานทำได้แล้วครับ

น้องคนนึงไปสัมภาษณ์งาน โปรแกรมเมอร์ โปรแกรมมั่วอะไรนี่แหละ มีแบบทดสอบ 5 ข้อ ทำได้ข้อสุดท้ายข้อเดียว คือเขียนตอบว่า SELECT * FROM CUSTOMER แค่นี้ได้งานแล้วครับ น้องคนนี้ตอนนี้เก่งแล้ว ผมถามทุกวันว่าจะย้ายงานมั้ย บริษัทมหาชน เงินเดือน 50,000 รอรับอยู่

เห็นน้องหลายคนไปศึกษา Big Data, Machine Learning, AI คุยไปคุยมาเรื่อง Array ก็ยังไม่รู้เรื่อง มันก็เหมือนกับการศึกษา Calculus โดยยังไม่รู้ว่า Polynomial เป็นยังไง สำนักข่าว Bloomberg มาสัมภาษณ์รัฐมนตรีด้านการศึกษาพูดว่า "คุณฝันไปหรือเปล่า รถมอเตอร์ไซค์เรายังประดิษฐ์ไม่ได้เลย"

กลับมาที่หนังสือครับ สำหรับคนที่เรียนไม่จบอะไรเลย มีวุฒิ มัธยม 6 หรือ มัธยม 3 ลองศึกษา JavaScript หรือ Swift ครับ Search ดูใน Google เองได้เลยครับ

- หนังสือชื่อ Eloquent JavaScript เล่มนี้ได้เงินค่าเขียนจากการบริจาคของบริษัทใหญ่ๆ นำโดย Mozilla

- Swift Language Guide เล่มนี้จาก Apple โดยตรง สังเกตดูว่าไม่ค่อยมีหนังสือ Swift ในท้องตลาด เพราะของ Apple แจกฟรีดีที่สุด

สำหรับคนที่เรียนจบปริญญาตรี สาขาอะไรก็ได้ ลองศึกษา Java ครับ เพราะมีงานรองรับมากที่สุด ลองอ่านหนังสือพวกนี้

- Java Structures Bailey เคยตีพิมพ์เมื่อ 15 ปีที่แล้ว
- Think Java เล่มนี้ก็อ่านเข้าใจง่าย
- Think Data Structures เป็นเล่มต่อของ Think Java
- Algorithm Clifford อ่านแล้วรวยแน่นอน

สำหรับคนที่สนใจสมัครงานในบริษัทชั้นนำของโลก แค่ศึกษา 3 เล่มสุดท้ายก็ไปได้ไกลแล้วครับ ชี้เอาได้เลยจะเอาบริษัทไหน Google, Facebook, Microsoft, Amazon, Apple

#ยิ่งอ่านยิ่งรวย #ยิ่งเก่งยิ่งรวย
#ยิ่งเก่งยิ่งดีต่อชาติ

20 Nameless Fanboi Posted ID:Z8iLYArsNQ

Harvard introducing new course, BMI 704: Data Science for Medical Decision Making. If you're interested in data science and machine learning applied to medicine.
Checkout data and readings:
https://github.com/manrai/BMI704_Spring2019

#BigData #VisualAnalytics #Medical #DataScience #Applied #Machine #Learning #DataLiteracy #DataScientists

Share & Like #youngDataScientists

21 Nameless Fanboi Posted ID:NnmsZz3kWp

สิบปีที่แล้ว telecom operator แข่งกันทำระบบให้ไม่ล่มช่วงเทศกาล หลายปีผ่านไปช่วงนี้เราน่าจะได้เห็น บางธุรกิจแข่งกันทำระบบให้ไม่ล่มตอนสิ้นเดือน .... stability เป็นฟีเจอร์ ที่ควรแข่งกันทำนะ focus ที่ Core Domain การไม่ออกฟีเจอร์ใหม่เลยแต่ระบบเสถียรขึ้น 10 เท่าคือการออกฟีเจอร์ใหม่เช่นกัน... Domain Driven Design กล่าว

22 Nameless Fanboi Posted ID:kzgICnFMnl

ประเทศไทย ไม่ได้ตามหา Data Scientist อยู่หรอกค่ะ เพราะแป้งยืนอยู่ ณ จุดนี้ แป้งพบว่า มีโครงการที่พร้อมให้สร้าง Model จริงๆ น้อยมากเหลือเกิน

เพราะเราไม่เคยเก็ยข้อมูลให้มีคุณภาพมากพอ และเรายังไม่ได้ทำ Data Lake หรือ Data กลาง ที่สะดวกต่อการใช้งาน

บางโครงการออกข่าวไปแล้วด้วย พอแป้งได้เข้าไปลองคุยกับผู้ใหญ่ ก็พบว่า "ไม่พร้อม" ดำเนินการใดๆ ทั้งนั้น

แป้งคิดว่า เราต้องการ "Data Engineer" ที่รู้ว่า Data Scientist ทำงานอย่างไรมากกว่า

แต่ที่สำคัญที่สุด เราต้องการ "ผู้บริหาร" ที่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานจริงๆ มากกว่าผู้บริหารที่ยอมให้ข่าว ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบถึงขั้นตอนการดำเนินงานจริงๆ ค่ะ

ปล. แอบสงสารเยาวชนที่แห่กันไปเรียน Data science มากๆ ความเป็นจริงโลกนี้ช่างโหดร้าย

23 Nameless Fanboi Posted ID:rf6+p+sgO2

>>22 อันนี้เห็นด้วย กูทำคล้ายๆสายนี้ จะขอข้อมูลอะไรมาเทรนนี่ยากเย็นแสนเข็ญ เดต้าก็ไม่ได้ งานก็จะเอา คนนั่งลาเบลให้ก็ไม่มี ต้องมานั่งเตรียมเองเหนื่อยมากๆ แต่เงินเดือนเยอะเลยยอมทำต่อ 555

24 Nameless Fanboi Posted ID:Fg28vCcUyJ

ประเทศไทยต้องการ programmer ที่ทำงานได้ทุกระบบทุก platform ตั้งแต่ภาษาโบราณแบบ AS400 ยัน Go ที่พูดภาษาอังกฤษคล่อง และทำงานครอบคลุมในส่วนของ AE และ data engineer ที่รู้ว่า data scientist ทำงานอย่างไร รวมทั้งรู้งานบัญชี hr โครงสร้างระบบโรงงาน และตั้งค่า server คล่องทำ scaling และติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย server ได้ และทั้งทำงานจับฉ่าย อย่าง ซ่อมคอม เปลี่ยนหลอดไฟ ซ่อมท่อน้ำ รวมถึงดูแลกล้องวงจรปิดได้ โดยจ่ายเงินเดือนถูกๆ ต่างหากล่ะ

25 Nameless Fanboi Posted ID:w07XdvMO0Q

อาชีพต่างๆในอุตสาหกรรมเกมเป็นอย่างไรบ้างวะ

26 Nameless Fanboi Posted ID:XYM1XDu+JJ

อยากเก่ง AI อ่านเล่มนี้ไว้ก่อนเลยครับ แจกฟรีจาก Stanford

https://web.stanford.edu/~boyd/vmls/

27 Nameless Fanboi Posted ID:F6Qs6.ciBY

>>26 กากไอสัส หนังสือเหี้ยไรทำมาจากสถาบันชื่อดังซะเปล่าแต่เนื้อหาเฉลยนี่อยู่กับคนแต่งวะ เอาไปสอนทั้งStandfordกับUCLAนี่คงต้องดูละว่าคนด่ายังไงมั่ง

28 Nameless Fanboi Posted ID:YXGrLfrIp.

>>22 มันเป็นเทรนอ่ะนะ ผู้บริหารมาบอกเห้ย เห็น big data กำลังมา ลองไปทำดูเดะ ไอ้คนรับคำสั่งก็คร้าบๆ จัดเทคคอสสอน 8 ชม เอามาทำไป สุดท้ายแล้วรีพอตก็ไปอยู่ที่ไหนสักมุม โดนที่ไม่รุ้เอาไปใช้ทำอะไร

29 Nameless Fanboi Posted ID:NYSI8glD2q

ถามลูกศิษย์หน่อยครับ ผมสงสัยมาก

ทำไมเราถึงไม่ใช้ genetic algorithms, tabu search, neural nets, bee algorithms, football algorithms, simulated annealing, particle-swarm, ant-colony, etc. ในการแก้ปัญหา เช่น หาเส้นทางที่สั้นที่สุดครับ

30 Nameless Fanboi Posted ID:dEhxicamKy

>>29 https://www.youtube.com/watch?v=Z5AgnKrNXYk
lol

31 Nameless Fanboi Posted ID:hB8a/IE3v6

ที่ คาสะโต๊ด จะเน้นฝึกฝนทักษะที่ใช้ในการทำงานจริงครับ ตอนเปิดสอนใหม่ๆ คนจะบ่นว่าให้เรียน Unix Command Line ไปทำไม โชคดีที่ทุกวันนี้ไม่มีคนบ่นแบบนั้นอีกแล้ว เพราะทุกคนเข้าใจแล้วว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้จริง เมื่อฝึกฝนจนทำเป็นแล้วจะทำได้ตลอดไป ไม่มีการลืมครับ เหมือนกับการขับรถ หรือเล่นดนตรี ทำเป็นแล้วทำได้ตลอดไป

แป้นพิมพ์หรือ Keyboard ที่ คาสะโต๊ด จะถูกดึงออกวันละ 2 อันครับ อย่างอันนี้เรียนได้ 2 วันก็ดึงออกไป 4 อัน แล้วใส่สีชมพูเข้าไปแทน เพื่อให้ทุกคนที่มาเรียนได้ฝึกพิมพ์สัมผัสด้วยตัวเอง พอครบเดือนก็จะทำได้โดยอัตโนมัติ ส่วนอันล่างเป็นของคนสอนดึงออกไปหมดเลย ไม่มีการเอาเปรียบแน่นอนครับ ใครอยากเห็นการเขียนโค้ดที่พลิ้วไหวเหมือนเล่นเปียโน มายืนดูได้ครับ ที่นี่ไม่เคยมีความลับอะไร

อยากเรียนแล้วทำงานได้อีก 10 ปีขึ้นไป ไม่ต้องวิ่งตามเทคโนโลยีให้เหนื่อย มาเรียนที่ คาสะโต๊ด ได้ครับ ดูคอร์สเรียนและค่าสมัครได้ที่นี่ https://คาสะโต๊ด.work/register

https://scontent.fbkk8-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/51493030_986333841569898_6751995851272355840_n.jpg?_nc_cat=111&_nc_ht=scontent.fbkk8-3.fna&oh=9da84d38cccd95c24653c9176ff0b7d1&oe=5CE0F36D

32 Nameless Fanboi Posted ID:7fuTjqTf2z

>>31 พิมไวแต่คิดไม่ออกก็เท่านั้นนะ อส

33 Nameless Fanboi Posted ID:RV+sLcsTuD

ปีนี้มีสองเหตุการณืที่ทำให้ผมเปลี่ยนแนวความคิดเรื่องการทำงานเป็นทีมไปโดยสิ้นเชิง
.
1. เหตุการณ์แรก วันที่ได้เข้าไปช่วยพี่รูฟและพี่จั๊วะพี่เจนสอน Design Thinking ที่ dtac
.
2. เหตุการ์ที่สอง วันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่ได้เข้า Retrospective กับทีมที่ dtac ทำงานกับทีมนี้ครบปีแล้วเพิ่งได้ร่วม Retro

ผมเห็นการพูดคุยที่ไม่ได้กล่าวโทษใครเลยแม่แต่คำเดียว มีแค่กระดาษของแต่ละคนที่รู้สึกอย่างไร และทุกคนเดินอ่านรอบวงเพื่อเห็นว่าตอนนี้ภาพรวมของทีมอยู่ในสภาวะไหน และเป็นไปได้ไหมที่เราจะช่วยกันให้ทีมเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุขด้วยกัน

มีหลายมุมมองที่ผมเก็บไว้และจะเอามาเขียนลงบล็อกส่วนตัว อีกเรื่องที่ผมเพิ่งระลึกได้เกี่ยวกับการทำ Retrospective ที่นำไปสู่หายนะ

คือ วิธีการ Good Bad Try เราต้องเชื่อก่อนว่า ไม่มีใครอยากเอาเปรียบคนอื่น มันน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง

อีกเรื่องสังเกตง่ายที่สุดของจุดเริ่มต้นของปัญหา คือ มีใครสักคนรู้สึกโดดเดี่ยวและเริ่มพูดคุยน้อยลง เวลาขอความเห็นอะไรก็จะมักจะเงียบ และมักตอบว่า "แล้วแต่ทีมครับ"

34 Nameless Fanboi Posted ID:sbGGx/8nWn

ที่จริงผมห่างจากการทำ Web Application มาระยะหนึ่งละ ตามห่างๆ เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่้สำหรับคนสาย Web ก็ได้ แต่ที่ผมสนใจคือ CindyJs ช่วยจัดการ operation ทางคณิตศาสตร์ได้ดีมากจนสามารถทำให้คอมพิวเตอร์อย่าง Raspberry Pi ซึ่งติดต้ง WebGL ไม่ได้ก็สามารถใช้งานกับ web animation ได้ ถ้าเป็น PC ก็ไม่ต้องพูดละ สบายๆ (https://cindyjs.org)

https://www.facebook.com/somchai.somphadung/videos/10211800685766520/

35 Nameless Fanboi Posted ID:RYiBQfjcP2

เวลาทำ presentation slide ..... หลายคนมักจะ "เอา (text) ทุกอย่างใส่ bullet points โดยไม่คิดอะไรมาก"

อยากให้หาวิธี "visualize" กันมากกว่านี้ครับ มันมี pattern ในการนำเสนอหลายอย่างมาก เช่น ตาราง, ระนาบ 2 มิติ, และอะไรหลายต่อหลายอย่าง ที่มันใช้ทำให้คนเห็นประเด็นดีกว่ามาก

ใช้ bullet point เฉพาะส่วนของการสรุปครับ ......

36 Nameless Fanboi Posted ID:NeXSNfRr+r

ช่วงนี้ผมกำลังเรียน approximation algorithms โดยใช้หนังสือเล่มซ้ายมือ จริง ๆ คือ lecture notes Volume I ใช้สอนที่ Stanford เมื่อปี 1991 อ่านแล้วสนุกดีครับ เสียดายไม่มี Volume II เพราะคนแต่งเสียชีวิตไปก่อน

ส่วนเล่มทางขวามือ เป็นเล่มที่คนใช้กันเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบันครับ ผลิตขึ้นเมื่อปี 2003 ต่างจากอล่มแรกประมาณ 10 ปี เนื้อหาจึงมีส่วนที่ใหม่กว่าเยอะมาก ผมว่าเป็นส่วนใหญ่เลยแหละ ผมตั้งใจว่าจะอ่านเล่มนี้ให้จบก่อนจะหมดก่อนเปิดเทอมใหม่

Approximation algorithms มี applications เยอะไปหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา optimizations ทาง Internet หรือ Human Genome แต่ก็มีหลายส่วนที่เกี่ยวกับ ideas ล้วน ๆ

เท่าที่ผมทราบ ยังไม่มีการสอนวิชานี้อย่างเป็นทางการในมหาวิทยาลัยไทยครับ อาจเป็นเพราะเนื้อหาของมันต้องใช้คณิตศาสตร์มากพอสมควร เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จึงไม่ชอบหรืออาจรับไม่ไหว หรืออาจไม่ทราบเลยก็ได้ว่ามีความรู้อะไรแบบนี้อยู่ด้วยในโลกนี้ครับ คือ ถ้ารู้ว่ามี ก็อาจอยากเรียน

ผมตั้งใจจะเปิดวิชานี้นะ แต่วันก่อนคุยกับหัวหน้าภาค หัวหน้าภาคบอกว่าจะต้องสอนในวิชา selected topic ซึ่งผมไม่ชอบ เพราะใน transcript ไม่ได้บอกว่าเรียนอะไร ผมอยากจะให้มีชื่อวิชา approximation algorithms ไปเลย ต้องรอดู

ถ้าใครชอบอะไรแบบนี้ ผมสนใจรับนักศึกษาปริญญาเอกอยู่นะครับ มีทุนให้ด้วย ติดต่อมาได้

37 Nameless Fanboi Posted ID:KH3kpEN+t.

เห็นบริษัท Software house และ Startup หลายเจ้า พยายามโชว์ Culture บริษัท พยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเก๋ Cool มีโต๊ะปิงปอง โต๊ะ Pool งานสบายรายได้ดี Flaxi-hour บลาๆ

แล้วก็เริ่มมาบ่นว่า น้องๆ รักสบาย ไม่มีความรับผิดชอบ งานไม่ได้ตามเป้า สุดท้ายงานก็ไม่ได้สบายจริง Flaxi-hour ไม่จริง.. ลาไม่จำกัดที่ไม่มีจริง เพราะสร้างเงื่อนไขมากมาย ต้องแจ้งล่วงหน้า 2 วัน ต้องอย่างนั้นอย่างนี้

เอ้า.. ก็สร้างภาพว่างานสบายรายได้ดี เน้นเรื่องเล่น คนก็คาดหวังว่า จะเข้าไปเล่นไง :-) สุดท้ายก็มาด่าเด็กว่า ไม่โอเค ก็โปรโมทซะนึกว่าทำสวนสนุก ไม่ใช่ทำบริษัทเนอะ 🤫

38 Nameless Fanboi Posted ID:b1SdyaVPzN

Why programmers like cooking: You peel the carrot, you chop the carrot, you put the carrot in the stew. You don’t suddenly find out that your peeler is several versions behind and they dropped support for carrots in 4.3

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

39 Nameless Fanboi Posted ID:jDAvtd47UY

เห็น Twin Panichsombat
Post คำว่า “เอาอยู่” บ่อยๆช่วงนี้ ผมเลยอยากเล่าให้ฟังในสายเทคเราบ้าง ว่า Stack หรือ เทคโนโลยีที่เราเลือกใช้ เราไม่มีทางเชี่ยวชาญได้หมดทุกตัว เพราะเวลาทุกคนมีแค่ 24 ชม เท่ากัน

ดังนั้นคงต้องเลือกให้ลึกมากกว่ารู้หลายตัวแล้วไม่ลึกสักตัว(แต่ถ้าชอบส่วนตัวก็ไม่ผิดอะไรนะ อยากบอกสำหรับน้องๆที่กำลังหัด) ถ้าเขียนโปรแกรม อย่างน้อยก็ต้องลึก 1 ภาษา 1 ดาต้าเบส ไม่ต้องเปลี่ยนตามเพื่อนตามแฟชั่น เปลี่ยนเพราะมีคนสอนเชิงลึกหรือแนะนำเราทำแอพดีๆได้ หาข้อมูลได้ง่ายจะดีกว่า ถามว่าต้องรู้ลึกแค่ไหน ก็ต้องลึกจนมั่นใจว่า “เอาอยู่”
* Requirement ลูกค้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ปรับได้ง่ายมั้ย ไม่พันเป็น spaghetti ใช่มั้ย เขาให้แก้ไรมาก็รู้ว่าทำยังงัย หรือไปหามาได้ รับความเสี่ยงได้
* เจอบักหาได้เร็วใช่มั้ย
* แก้หนึ่งไม่กระทบสองกับสามใช่มั้ย
* ทดสอบง่ายมั้ย
* อ่านง่ายมั้ย
* ถ้ามี requirement ว่าต้องรับโหลดได้เยอะ มี security ทำได้ใช่มั้ย
คนที่ยังยืนหยัดในวงการนี้มีน้อยลง เพราะเหลือแต่คนที่ “เอาอยู่” อยากให้มีคน เอาอยู่เยอะๆ ส่วน นเรศ เก็จรัมย์ กับ โดม เจริญยศ อาจหมายถึงอย่างอื่น

40 Nameless Fanboi Posted ID:jDAvtd47UY

ผมทำ seo มาได้สักพักแล้ว
พอจะสรุปได้เลยว่า เวลาทำให้คำนึงถึง 5. องค์ประกอบหลัก

1. Website -> Speed,Mobile,UI , Structure
2. Content -> Keyword, Relevant Key and Topic, Wordcount , Image, Video, Readablity , Update frequency
3. User -> CTR, Time On Page, Bounce rate , Exit rate, Returning Visitor, UX
4. Social ->Engagement , Paid & Organic Traffic
5 Backlink -> Authority Backlink and Relevant

เวลาทำก็คำนึงถึง 5 กลุ่มนี้
ไม่ใช้เล็งแค่กลุ่มเดียวเน้อ
........
ถ้าทำครบทุกกลุ่มจะดูเป็น qulity อยู่ยาวบอกตรง

41 Nameless Fanboi Posted ID:wFe1dL8I3d

https://link.medium.com/idIyQxmjKU

42 Nameless Fanboi Posted ID:xgFwLD0e8l

>>40 keyword goolge เค้าประกาศเลิกใช้แล้วโยม update ด้วย

43 Nameless Fanboi Posted ID:q+fE.IVmcD

“ไม่มี Learning ไม่ใช่ A.I. ?”

ผมอ่านอะไรแบบนี้ผ่านตาแวบๆ ..... หลังจากโพสท์ก่อนที่ผมเขียนเรื่อง A.I. ....

ถ้าคิดแบบนี้ระบบ A.I. แทบทั้งโลก รวมถึงงานวิจัยหลายต่อหลายอย่าง หลายแขนงหลายสาขา ทาง computer science เลย (เช่นพวก machine translation, พวก automated reasoning, ฯลฯ) นี่จะไม่เรียกว่า A.I. ทันทีเลยนะ

เอาจริงๆ จะกลายเป็นว่าเรา disregard/look down การพัฒนาและการศึกษาพวกนี้แทบทั้งหมดด้วยซ้ำ (ระดับเดียวกับ “that’s racist”)

เอาจริงๆ นะ ..... งานหลายอย่างนี่ machine learning ยังสู้ well-designed algorithm (ที่มาจากการศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาแบบละเอียด) ไม่ได้เลย ..... และต้องใช้เสริมกันทั้งนั้นแหละ ..... งานหลายอย่างก็ไม่จำเป็น .... เช่นพวกงานที่มันตายตัว และมี computation space ที่เล็กพอ คิดตรงๆ ง่ายกว่า .... พูดง่ายๆ ว่าคงไม่มีใครทำ machine learning ไปเล่นเกม tic-tac-toe (เกม o-x น่ะแหละ) หรอก ไม่จำเป็นเลย overkill มากๆ

และจริงๆ แล้ว A.I. ไม่ได้เกี่ยวไม่ได้จำกัดอะไรเลยกับ Machine Learning ..... มันแค่ “เหมือนคน” (ultimate goal คือ “blind test แล้วแยกไม่ออกว่าใครตัดสินใจ คนหรือ A.I.” — ลองดู Turing Test) .... ต่อให้มันทำงานตามกฏตายตัวตลอด (if-else เลยน่ะแหละ) ก็ได้ ไม่เป็นไร

ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันเรียนรู้ได้ พัฒนาตัวเองได้ มันก็จะ “เหมือนคนที่เก่งที่สุดสามารถเป็นได้ (as it could be)” (ถ้าเราเชื่อใน potential ของคน และเราตัดตัวแปรข้อจำกัดทางธรรมชาติของคน เช่นความเหนื่อยล้า ความจำ อายุขัย ทิ้งไป —— คือ human as it could be ไม่ใช่ as it is) .... ก็ได้

อย่าเอาความคิดตัวเองมากำหนดนิยามบ้าๆ เองโดยลำพัง จะดีมากเลย .... ดูด้วยว่าจริงๆ มันเป็นไง ... วิชาการเค้าก็มี ตำราเค้าก็มี ฯลฯ

44 Nameless Fanboi Posted ID:jLjGiJ8aT0

ทำยังไงถึงจะ X {เขียนบทความ, ถ่ายรูป, ออกแบบ UI, เขียนโค้ด, ใช้ภาษาในการเล่าเรื่อง/พูด, .....} เก่ง?

คำตอบโดยทั่วไป: "หัดทำเยอะๆ"

แต่จริงๆ แล้วผมมีคำตอบหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน (อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ) ก็คือ

"ศึกษา X ที่คนอื่นทำไว้ดีๆ ให้เยอะๆ"

นั่นคือ อ่านให้เยอะ ดูรูปสวยๆ ให้เยอะๆ ดู UI ที่ออกแบบมาดีๆ ให้เยอะๆ อ่านโค้ดที่เขียนดีๆ ให้เยอะๆ ดูหนังที่เขียนบทดีๆ เยอะๆ

ถ้าเราไม่ "โหลด pattern ของสิ่งที่มันดี" เข้าไว้ในหัวบ้างเลย เราฝึกทำเยอะไปก็แทบจะเท่านั้น .....

ถ้าเรานึกไม่ออกว่าอะไรควรเป็นแบบไหน (เรื่องนี้ควรเขียนยังไง ลำดับยังไง จะมองวิวมองสิ่งของจัดองค์ประกอบถ่ายรูปยังไง UI สำหรับการทำแบบนี้ควรเป็นแบบไหน โค้ดแบบนี้ควรเขียนยังไง เรื่องแบบนี้ควรพูดยังไง ฯลฯ) .....

ก็เพราะ "เราดูพวกนี้แบบวิเคราะห์ ดูแล้วคิด ดูแล้วมา reason กับมัน" น้อยเกินไป ...

และเราก็ต้องมานึก มาจินตนาการสิ่งที่เรานึกไม่ออก ขนาดตั้งใจทำก็ออกมาห่วย (เขียนห่วย โค้ดห่วย UI ออกมาแบบผิดธรรมชาติที่ควรเป็น ฯลฯ) .... ก็เพราะว่า "เราดันพยายามคิด solution" โดยที่ "มีรูปแบบของ solution ต่างๆ น้อยเกินไป" มันก็รู้จะไป match pattern กับอะไรในหัวเรา

สมองมันก็ทำงานแบบนี้แหละ .......

บางทีต้องใจเย็นๆ ..... ลงทุนดูสิ่งที่คนอื่นทำไว้เยอะๆ ก่อน อย่าข้ามขั้นไปคิดและทำทันที ... มัน premature ...

45 Nameless Fanboi Posted ID:OpqFYujfia

หลายที่ เลือกใช้ Tech stack ตัวนึง ผ่านไปปีสองปี ตัวนั้นไม่ตอบโจทย์ สร้างปัญหา แล้วสรุปว่า Lesson learned คือควรจะเลือก Stack ให้ดีกว่านี้ อ่านและค้นคว้ามากกว่านี้ คิดให้มากกว่านี้

ไม่ใช่ครับ จริงๆ Lesson Learned คือควรจะวางโค้ดให้ Decoupling ถอดเปลี่ยน Stack ง่ายกว่านี้ครับ เชื่อผมนะ เลือก Stack ที่ถูกต้องที่สุดในวันนี้ สามปีข้างหน้าก็ผิดฮะ

46 Nameless Fanboi Posted ID:LOPuAdk2M.

ถ้าคุณทำ Agile แล้วทุกอย่างราบลื่นไม่มีปัญหาเลย ผมว่าคุณมาผิดทางแล้วนะ เพราะถ้าไม่มีปัญหาอะไรแสดงว่าคุณทำแบบเดิม

#มิตรสหายนักพัฒนาซอฟต์แวร์ท่านหนึ่ง

47 Nameless Fanboi Posted ID:vYt4M4DlnT

ขออนุญาตนะคะ แป้งได้รับการ comment แบบลบๆ มาก จากการที่เพจ Datarookie แชร์โพสแป้ง ซึ่งบิดเบือนเนื้อหาที่แป้งตั้งใจได้กล่าวถึง

แป้งได้เขียนชี้แจงว่า ถ้าอยากเรียนพื้นฐาน แนะนำให้เรียนป.ตรี และใน comment แป้งชี้แจงเพิ่มเติมว่า ถ้าไม่สะดวกจริงๆ คอร์สออนไลน์มีเยอะ แต่ถ่าหลอกตัวเองโดยการไปเรียนโท ทั้งๆ ที่พื้นฐานยังไม่แน่น

คุณทอยได้ใช้ประโยคที่ทำให้อ่านแล้วมองว่าแป้งกีดกัน และดูถูกคน อีกทั้งยังใช้ภาษาที่อ่านแล้วไม่น่ารักอีกด้วย

แป้งมองว่า คนในวงการเดียวกัน น่าจะมีมารยาทให้กัน ตัวแป้งเองก็ไม่เคยเปิดเผยชื่อร้านหนังสือที่ปฏิเสธแป้ง หรือมหาวิทยาลัยที่แป้งเคยกล่าวถึง แม้จะมีคน inbox มาถาม

สิ่งหนึ่งที่แป้งแชร์มาตลอด คือ จงทำให้มากกว่าพูด จงมีผลงานแล้วค่อยนำมาแชร์ และจงยอมรับในความล้มเหลว เพราะคนที่ไม่ล้มเลย คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย

เหตุการณ์นี้ เป็นบทเรียนให้แป้งรู้ว่า พลังของ Social นั้นใหญ่มาก ซึ่งการที่ คุณทอยทำแบบนี้ แป้งได้รับผลกระทบ ทั้งเรื่องงาน และความน่าเชื่อถืออย่างมากค่ะ

แป้งได้มีการส่ง inbox ไปเตือน แต่คุณทอยมิได้ขอโทษหรือชี้แจงใดๆ ค่ะ

อย่างที่ชี้แจงแล้วว่า ต่อไปนี้ แป้งจะ "หยุด" เคลื่อนไหว ด้านการให้คำแนะนำ ด้านการศึกษา และคิดว่า เพจหลายๆ เพจ เช่น เพจของคุณทอยน่าจะตอบโจทย์มากกว่า

ต้องขออภัยด้วยที่ต้องโพสข้อความนี้ เพื่อปกป้องตัวเอง และจะลบ ภายใน 10 นาทีค่ะ

48 Nameless Fanboi Posted ID:vYt4M4DlnT

เรื่องมีอยู่ว่า วันนี้เกิดเรื่องวุ่นๆ ขึ้น จากการที่เพจ Dataxxxxxx แชร์โพสของแป้ง โดยกล่าวหาว่าแป้งเหยียดหยาม และดูถูกคนอื่น ((แล้ว ปิดท้ายด้วยการขายของตัวเอง))

หลายคนใกล้ตัวเป็นห่วงความรู้สึกแป้งมาก แต่แป้งกลับมองว่ามันเฉยๆ อย่างไรก็ตาม ที่มันรับไม่ได้เลย ก็คือ คุณตีความหมายผิด และกลายเป็นดึงคนหมู่มากมารุมด่าแป้ง ด่าหนังสือ และด่าองค์กรของแป้ง

ซึ่งแป้งจะจำไว้เป็นบทเรียน และจะจำไว้ด้วยว่า แอดมินเพจนั้นคือใคร คุณยังไม่ได้ขอโทษแป้งเลยนะ วงการเดียวกันแท้ๆ ถ้าแป้ง Comment Class ของคุณบ้าง คุณจะหนาว

จงจำไว้ การชี้นิ้วไปที่ใคร นิ้วอีก 3 นิ้วที่เหลือ จะสะท้อนกลับมาที่คุณ ทุกคนมีสิทธิ์เห็นต่าง แต่ไม่ควรดึงคนอื่นไปทำร้าย เพราะคนอื่นก็มีสิทธิทำร้ายคุณได้เช่นเดียวกัน

เพื่อนสนิท Partner ต่างเป็นห่วง จนกระทั่ง สามีเดินขึ้นมาหา และบอกว่า ....

สามี: "เธอ เรารู้ว่าเธอตั้งใจดี และมันคือความจริง"

แป้ง: "เธอลองคิดดูนะ คนสอบไม่ผ่านเป็นสถาปัตย์ ไม่ได้เป็นสถาปนิก ทุกคนเข้าใจ สอบไม่ติดแพทย์ ไม่ได้เป็นหมอ ทุกคนเข้าใจ แล้วทำไมไม่ได้เรียน Pure Math เป็น data SCIENTIST ไม่ได้ ... ทำไมไม่เข้าใจ ก็บอกอยู่ว่า ไม่ต้องจบปริญญา เรียนยังไงก็ได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้เห็นสิ ว่าเป็น Scientist ได้ ไม่ใช่แค่ใช้โปรแกรมเป็น"

สามีลูบหัว แล้วบอกว่า ... "ต่อไปนี้พอแล้วนะ เธอเห็นแล้วใช่มั้ยว่าความหวังดีของเธอ มันก็มีทั้งบวกและลบ ซึ่งไม่มีใครสบายใจหรอก เห็นคนในครอบครัวโดนคนอื่นที่ไม่รู้จักกันนินทา หรือ ต่อว่า"

"พอเถอะ เธออยากทำธุรกิจอะไรเธอก็ทำของเธอไปเงียบๆ ไม่ต้องไปแชร์ความรู้ ไม่ต้องไปสร้างความเข้าใจ ไม่ต้องไปอะไรทั้งนั้นดีกว่ามั้ย สุดท้ายมันจะเป็นยังไง มันก็ต้องมีทางออกของมัน แต่เธอจะได้ไม่โดนทำร้ายแบบนี้"

ในใจแป้งคิด .... อ๋อ แบบนี้เองสินะ ที่นักการเมืองดีๆ หรือคนที่เรียกร้องเพื่อสังคม เขาโดนกัน แม้สิ่งที่แป้งเจอจะเล็กน้อยมาก แต่ก็บอกเลยว่า กระทบกับความรู้สึกของคนรอบข้างของแป้งมากๆ

เอาตรงๆ ยอมรับไม่ปิดบังว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบจี๊จ๊ะกับใคร ไม่ชอบเข้าสังคม และไม่ได้อยากเป็นคนรู้จักในวงกว้าง แป้งอยากแชร์ความรู้ แชร์ประสบการณ์ โดยที่ไม่ต้องเข้ามาถึงความเป็นส่วนตัวของแป้ง ซึ่งมันก็คงเป็นไปได้ยาก

แป้งนั่งพิจารณาอยู่สักพักว่าจะทำอย่างไรดี

ในจังหวะนั้น มีน้องคนนึง inbox มาส่วนตัว บอกให้แป้งรอวันพิสูจน์ตัวเอง โดยการสร้างอาณาจักร

ใช่เลย แป้งสร้าง Coraline เพื่อเป็น "สถาบัน" และแป้งกำลัง Expand สถาบัน Coraline วันข้างหน้า ถ้ามันสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นด้วยผลงานใด แป้งจะกลับย้อนถึงความตั้งใจเดิมของแป้ง

การศึกษาไม่สำคัญเท่าทัศนคติ แต่คุณต้องรู้จักตัวเองก่อน และพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณเข้าใจพื้นฐานที่แท้จริง และเมื่อเป็นเช่นนั้น แป้งจะต่อยอดให้คุณเอง

มีคนนึง Comment Post ของแป้งว่า ทัศนคติ เป็นเรื่องของส่วนบุคคล แต่ Math คือ Science และ Data Scientist ต้องเรียนวิชา Pure Math มาก่อนเป็น สัจนิรันดร์

แม้ความจริงจะทำร้าย แต่ถ้าคุณไม่ยอมรับความจริง คุณจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงนี้ไปไม่ได้

ต่อไป วงการการศึกษาด้านเทคโนโลยีจะเป็นเช่นไร แป้งจะไม่ขอออกความเห็น และจะไม่แนะนำการศึกษา หรือาชีพให้ใครค่ะ แป้งขอความเห็นใจด้วยนะคะ

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.