>>79 เมาท์ด้วย กูก็ชอบบบบแนวคิดของเก่ามากกว่า แต่อาจเป็นเพราะวัยกับอะไรหลายอย่าง ส่วนภาคใหม่ กูมองว่าภาคใหม่คือการตีความใหม่และฉลาดในการเล่นบทแบบนี้นะเพราะถ้าเล่นแนวเดิมๆ โดยไม่มีตัวชูโรงแบบโรบินแล้ว เขียนบทให้สนุกยากมากในยุคที่มีหนังฮีโร่สู้กับเอเลี่ยนกลางเมืองนิวยอร์คภาพอลังการสมจริงซะแบบนั้น ประเด็นของจูแมนจี้จริงๆมันก็แค่เรื่อง ตัวละครที่มีปมอะไรสักอย่างในชีวิตจริงแล้วอยากหนีออกจากโลกจริงไปสู่ชีวิตในเกม ซึ่งสมัยยุค 90 ต้นๆ ไอเดียแบบนี้ถือว่าสดใหม่ ไม่มีเนตไม่มีเฟสบุ๊ค คนก็คิดว่ามันแฟนตาซีมากแหละ แต่ถ้าเขียนไอเดียเดิมออกมาแบบเดิมๆ กูว่ามองยังไงก็เสี่ยงเป็นหนังครอบครัวแป้กๆที่ทุ่มงบเสียเปล่าทำซีจีสัตว์ป่าวิ่งไปมาในเมืองยุคปัจจุบันอะ จะใส่งานแอ็คชั่นลงไปก็ทำให้เว่อวังมากไม่ได้เพราะเป็นแค่คนธรรมดาที่สู้กับสิ่งมีชีวิตในเกม ดูๆก็ไม่ต่างอะไรกับหนังพระเอกสู้กับมอนสเตอร์ที่มีกันเกลื่อนแล้ว
แต่กลับกันของภาคใหม่ ไอเดียเอาคนไปอยู่ในเกมก็ใช่ว่าจะใหม่ขนาดนั้น ฟังพลอตแล้วน่าเบื่อเถอะ แค่เด็กมีปัญหาถูกดูดเข้าเกมไปเรียนรู้ชีวิตอะนะ? แต่ภาคใหม่นี่ก็เก่งที่เพิ่มลูกเล่นด้วยการใช้งานแอ็คชั่นจัดเต็มบวกฝีมือนักแสดงแต่ละคนปล่อยของเต็มที่ มุขจีบปากจีบคอ หญิงในร่างชาย หญิงซึมที่ต้องลุกขึ้นมาเซ็กซี่ อะไรพวกนี้แหละที่ตลก พอรวมกับแอ็คชั่นแพ็คมันเลยมีอะไรให้เล่นเยอะได้กว่าปล่อยสัตว์เข้าเมืองอีกครั้ง และมันทำให้หนังสนุกขึ้นมากจริงๆ ถึงกูจะยอมรับนะมันเหมือนเป็นภาคแยกตีความใหม่มากกว่าภาคต่อว่ะ
มองอีกมุม ภาคโรบินเราได้ดูเกมที่หลุดออกมาข้างนอก แต่ภาคต่อๆมากลายเป็นเราที่หลุดเข้าไปเห็นในเกม มองแล้วมันก็สนุกไปคนละแบบล่ะนะ เรียกว่าสตูดิโอพยายามจะเปิดจักรวาลจูแมนจี้ให้มีอะไรมากขึ้นล่ะมั้ง ตรงนี้ก็อยากเห็นภาคต่อๆไปนะว่าจะเล่นอะไรกับจักรวาลนี้ได้อีก เพราะในหนังก็หย่อนเบื้องหลังชีวิตตัวละครในเกมมาให้บ้างละด้วย คนดูก็ผูกพันกับตัวละครในเกมระดับนึงแล้ว วันไหนจะมี spin-off เป็นเรื่องราวตัวละครต่างๆก็ไม่แปลกแหละ