พวกเราจึงตกลงกันว่าให้อภิปรายประยุทธ์ 3 วัน และวันสุดท้ายอภิปรายรัฐมนตรีอีก 5 คนที่เหลือ
ทุกพรรครับข้อเสนอนี้หมด แต่ข้อตกลงนี้กลับถูกทำลายลง เพียงเพราะว่า ส.ส. คนหนึ่งของเพื่อไทย ไม่ยอมมาอภิปรายประยุทธ์ในช่วงค่ำวันที่ 3 ดึงดันจะอภิปรายเช้าวันที่ 4 ให้ได้
ผมและเพื่อน ส.ส. จึงไปคุยกับอาสมพงษ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแกนนำเพื่อไทยอีกหลายคน เพื่อขอให้เป็นไปตามข้อตกลงเดิม ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องยอม “ตามใจ” ส.ส. คนเดียว
อีกอย่างคือเรารู้ดีว่าถ้าให้ ส.ส. คนนี้อภิปรายประยุทธ์ในเช้าวันที่ 4 เขาจะใช้เวลานาน และอภิปรายพาดพิงไปยังรัฐมนตรีอีกหลายคน และรัฐมนตรีก็ต้องตอบยาว จนกินเวลาไปถึงช่วงบ่าย และทำให้อนาคตใหม่ไม่มีเวลาอภิปรายรัฐมนตรีที่เหลือ
สุดท้ายเพื่อไทยก็ไม่ยอม มาขอให้เราผ่อนผัน ด้วยการอภิปรายธรรมนัสในคืนวันที่ 3 แต่ตามกติกาไม่สามารถทำได้ เพราะยังอภิปรายประยุทธ์ไม่หมด
การเจรจาหาข้อตกลงกับพรรคเพื่อไทย เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะ ไม่รู้ว่าศูนย์อำนาจการตัดสินใจ หรือ Final Say อยู่ที่ไหนกันแน่ ตกลงแล้ว เปลี่ยน ตกลงแล้ว เปลี่ยน คนหนึ่ง พูดอย่าง อีกคน พูดอย่าง
พวกเราก็ต้องมาปรับหน้างาน โดยใช้แท็คติกอภิปรายพ่วง “ประยุทธ์-ธรรมนัส” ตามข้อเสนอของเพื่อไทย
ปรากฏว่าเพื่อไทยก็อภิปรายเกินเวลา และเอาคนมาแทรงคิว ส.ส. อนาคตใหม่ อีกจนเราได้เริ่มอภิปรายธรรมนัสตอน 23.00 น. ไปจบตอนตีสาม
พอมาวันสุดท้าย วันที่ 4 ส.ส. ที่สร้างเงื่อนไขไว้ว่าจะอภิปรายประยุทธ์ตอนเช้า ปรากฎว่าก็ไม่เข้ามาประชุมเสียที จนในสภาต้องใช้ “แท็คติก” หารือถ่วงเวลาไปหนึ่งชั่วโมง จนพอได้อภิปรายก็กลับใช้เวลาเกินคนอื่นอีกร่วมชั่วโมง
จากนั้นรัฐมนตรีตอบกันอีกหลายคน หลายชั่วโมง
จากการประเมินผมรู้แล้วว่า “พวกเขา” ไม่ต้องการให้เราอภิปรายรัฐมนตรีที่เหลือ โดยเฉพาะพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
พวกเราเหลือผู้อภิปรายอีก 4 คน รวม 210 นาที และ ส.ส. ของเราที่ได้อภิปรายไปก่อนหน้านั้น ไม่มีใครใช้เวลาเกินแม้แต่คนเดียว บางคนยังเหลือเวลาด้วย เพราะพวกเราซ้อมกันมาอย่างดี
ผมจึงบอกเพื่อน ส.ส. ว่าหัวเด็ดตีนขาด ส.ส. ที่เหลือของเราต้องได้อภิปราย
มิเช่นนั้น คนที่เคารพกติกา ยอมอลุ้มอล่วยให้คนอื่น ก็จะโดนเอาเปรียบ
มิเช่นนั้น ส.ส. ที่ตั้งใจค้นคว้า เตรียมข้อมูล ซ้อมอย่างหนัก กลับถูก ส.ส. ที่ไม่เคารพเวลา กติกา มารยาท ข้ามหัวไปหมด
“พวกเขา” เผาเวลาของพวกเราไปเรื่อยๆ จน ส.ส. ของเราเหลือ 30 นาที จากที่เราได้ 210 นาที
“พวกเขา” เผาเวลาของเราไปเรื่อยๆ จากรัฐมนตรีที่เราต้องอภิปรายอีก 3 คน คือ ประวิตร วิษณุ อนุพงษ์ กลายเป็นได้อีกแค่ 1 คนเท่านั้น
รัฐบาลเล็งเห็นโอกาสนี้ จึงใช้โอกาสนี้เต็มที่ ไม่ยอมผ่อนผันแม่แต่น้อย เพราะรัฐบาลต้องการปกป้องรักษาพลเอกประวิตรเต็มที่
พวกเราจึงต้องวอล์คเอาท์ มาอภิปรายนอกสภา
ส.ส. อนาคตใหม่ และทีมงานเบื้องหลัง ตั้งใจทำงาน เตรียมอภิปรายมาอย่างดี แต่กลับต้องมาถูกการบริหารงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ การไม่เคารพกติกาแบบนี้ ตัดโอกาสเรา
ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นญัตติที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของพรรคฝ่ายค้าน แต่เรากลับถูก “โกง” เวลา
พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 วัน
แต่เราก็ยังเดินหน้าสู้ ส.ส. ทุกคนตั้งใจมาก พอถึงวันจริง ส.ส. “ไร้พรรค” อย่างพวกเรา ก็ยังเดินหน้าชนอย่างไม่เกรงกลัว
และผลงานที่เราทำครั้งนี้ ประชาชนและสื่อมวลชนคงตัดสินได้ว่าเป็นอย่างไร
น่าเสียดาย เราถูกตัดโอกาสเพียงเพราะ....
เราต้องช่วยกัน อย่าทำให้ประชาชนสิ้นหวังกับสภาผู้แทนราษฎรไปมากกว่านี้
หากมัวแต่ขัดขากันแบบนี้คงไม่มีทางเอาชนะเผด็จการได้ หรือแท้จริงแล้วไม่คิดจะเอาชนะเผด็จการ เพราะจะเป็นแค่มวยล้มต้มคนดู
พวกเราพยายามใช้พื้นที่ของสภาผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่ เพื่ออย่างน้อยจะลดความโกรธของประชาชน ลดความไม่พอใจของประชาชน และมาแสดงออกกันที่สภาฯ ผ่านผู้แทนฯ ของเขา
เมื่อไรก็ตามที่ประชาชนสิ้นหวังกับสภาผู้แทนราษฎร และเห็นว่าสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เมื่อนั้นการเมืองนอกสภาก็จะเข้มข้นขึ้น