Fanboi Channel

โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 9th quotes

Last posted

Total of 1000 posts

1 Nameless Fanboi Posted ID:.uKFVVDrLy

มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง
https://fanboi.ch/lounge/2603/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 2nd quotes
https://fanboi.ch/lounge/3016/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 3rd quotes
https://fanboi.ch/lounge/3530/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 4th quotes
https://fanboi.ch/lounge/4357/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 5th quotes
https://fanboi.ch/lounge/5233/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 6th quotes
https://fanboi.ch/lounge/5838/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 7th quotes
https://fanboi.ch/lounge/6311/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 8th quotes

2 Nameless Fanboi Posted ID:mu7TkqmbVc

เจิม
#มิตรสหายหัวโล้นท่านหนึ่ง​

3 Nameless Fanboi Posted ID:d9d8tsbgko

อาร์เธอ มิลเลอร์ ยอดนักเขียน และเอเลีย คาซาน ยอดผู้กำกับ เป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน จนกระทั่งคาซานไปเป็นพยานใน "ศาลล่าแม่มด" ขององค์กรต่อต้านคอมมิวนิสต์ -- ชื่อเต็มๆ คือคณะกรรมการสืบสวนพฤติกรรมอันไม่เหมาะกับอเมริกันชน -- และกล่าวป้ายสีนักทำหนังคนอื่นๆ ในฮอลลีวูด

มิลเลอร์ส่งบทละคร The Crucible ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการล่าแม่มดในศตวรรษที่ 17 ให้คาซานอ่าน พออ่านจบผู้กำกับเขียนถึงเพื่อนสนิทว่า

"ละครเรื่องนี้วิเศษมาก ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่คุณจะให้ผมกำกับมัน"

มิลเลอร์เขียนตอบอีกฝ่าย

"เปล่า กูไม่ได้จะให้มึงกำกับ กูส่งให้มึงอ่าน เพื่อให้มึงสำเหนียกว่ากูเกลียดการกระทำของมึงขนาดไหน"

มิตรภาพและความขัดแย้งระหว่างมิลเลอร์และคาซาน ไม่ได้หยุดอยู่แค่ The Crucible หนึ่งปีให้หลังคาซานก็มีผลงานกำกับภาพยนตร์ชิ้นเอกของตัวเอง

On the Waterfront ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ นำแสดงโดยมาลอน แบรนโด
On the Waterfront พูดถึงการต่อสู้ แย่งชิงพื้นที่ทำมาหากินของเหล่ามาเฟียท่าเรือ จุดไคลแมกซ์สำคัญคือฉากที่แบรนโดให้การต่อตำรวจ ปรักปรำเพื่อนของเขาที่เกี่ยวพันกับคดีฆาตกรรม
On the Waterfront ถูกมองว่าเป็นหนัง "แก้ต่าง" ของคาซาน ทำไมตัวเขาถึงให้การกล่าวหาเพื่อนๆ ในฮอลลีวูด ที่อาจเป็นคอมมิวนิสต์

ความซับซ้อนพัวพันคือ On the Waterfront ถูกดัดแปลงมาจาก The Hook บทภาพยนตร์ของอาร์เธอ มิลเลอร์เอง ปี 1951 มิลเลอร์เคยนำเสนอบทภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อสตูดิโอ แต่ผู้บริหารขอให้เขาแก้ไขบท เปลี่ยนผู้ร้ายมาเฟียในเรื่องเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งเจ้าตัวไม่ยอมทำ
สามปีผ่านไป คาซานเอาบทละครเก่าของมิลเลอร์มาปัดฝุ่น ดัดแปลง สร้างเป็นภาพยนตร์แก้ต่างพฤติกรรมตัวเอง พฤติกรรมที่เพื่อนเก่าของเขาแสนจะชิงชัง

#มิตรสหายท่านหนึ่ง​

4 Nameless Fanboi Posted ID:.uKFVVDrLy

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องของคนสามกลุ่ม .. คนหัวสมัยใหม่ที่ต้องการท้าทายทุกสิ่ง , คนที่เก็บความเจ็บช้ำน้ำใจมาสิบกว่าปี และคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนสองกลุ่มแรกเสมอ

.

พวกเขาจะโหวตเลือกสิ่งที่พวกเขาเชื่อ
คนกลุ่มแรกเชื่อในการเปลี่ยนแปลง
คนกลุ่มที่สองเชื่อในพลังของคนที่จะเอาคืนเสียที
คนกลุ่มที่สามเชื่อในทุกสิ่งที่ชี้ว่าฉันดีกว่าคนอื่น

.

ปีนี้ 2562
คนที่เคยทันสมัยกลายเป็นคนที่ต้องวิ่งตามโลก
คนที่ตกโลกก็พยายามหยุดทุกสิ่งไม่ให้หมุนต่อไป
ความคิดไม่ตรงกันไม่ใช่ความขัดแย้ง
การทำงานที่แตกต่างกันไม่ใช่ความขัดแย้ง
ความพยายามหยุดคนอื่นด้วยสารพัดวิธีซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรือด้วยกลไกที่ไม่ยุติธรรมต่างหากที่สร้างความขัดแย้งขึ้นมาทุกครั้ง

5 Nameless Fanboi Posted ID:Iu4z19+JPY

>>4
จูนิเบียว สาดโคลน ดิสเครดิต หาสาระไม่ได้

6 Nameless Fanboi Posted ID:JqpVKSWNmW

แก๊งวัยรุ่นค้ายาคายข้อมูลลับหมดเปลือกหลังแพ้วินนิ่งตำรวจ 0-9

จิตวิทยาคือสิ่งสำคัญในการเค้นความจริงจากผู้ต้องหา หลายครั้งที่เราจะได้เห็นการเค้นความจริงในรูปแบบของความรุนแรงและชิงไหวชิงพริบ ทว่าในปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนไปแล้วและเจ้าหน้าที่ตำรวจยุคใหม่ก็ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น

ชุดปราบปรามยาเสพติด สำโรงเหนือ จับกุมเยาวชนค้ายาบ้า พร้อมของกลางจำนวนหนึ่ง ขณะนำมาส่งภายในซอยหมู่บ้านเฟื่องฟ้า ถ.เทพารักษ์ ซึ่งหลังจากจับตัวได้ทางเจ้าหน้าที่ต้องการจะขอข้อมูลเพิ่มจากผู้ต้องหาเพื่อนำมาขยายผลจับผู้บงการรายใหญ่

ในช่วงแรกนั้นกลุ่มวัยรุ่นที่โดนจับไม่ค่อยให้ความร่วมมือมากนักและได้ข้อมูลน้อยมาก จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ได้จัดการเลี้ยงผัดไทยและต่อเครื่องเล่น เพลย์สเตชั่น 4 และเปิดเกม PES 2019 ภาคล่าสุดของเกม Pro Evolution Soccer หรือที่คนไทยรู้จักกันดีกับชื่อที่ใช้ในอดีตของเกมนี้อย่าง "Winning Eleven" และดวลกับผู้ต้องหาเพื่อลดความกดดันและทำให้ได้รับความร่วมมือมากขึ้น

สถานการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งผลการเเข่งขันคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ผู้กอง) ที่เลือกใช้ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้าน (โรงพัก) เอาชนะ น้องผู้ต้องหาที่เป็นผู้มาเยือนและใช้ทีม บาร์เซโลน่า ไป 9-0 และหลังการเเข่งขันจบลง ทางตำรวจก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากขึ้นเพราะผู้ต้องหาให้ความร่วมมือในการสอบสวนเป็นอย่างดี

ปัจจุบันเกม PES2019 เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย หลังจากที่ตัวเกมนั้นได้ลิขสิทธิ์ไทยลีกไปใช้งาน โดยล่าสุดมีการนำตัวแทนของแต่ละสโมสรในลีกของประเทศไทยตั้งทีมเเละเข้ามาแข่งขัน PES ในชื่อรายการ Thai E-League Pro อีกด้วย

#มิตรสหายท่านหนึ่ง​

7 Nameless Fanboi Posted ID:BKEOpepm46

อนึ่ง การเป็นกะหรี่นั้น เป็นแล้วเป็นเลย เลิกไม่ได้ แม้ขายเพียงครั้งเดียวแต่ความเป็นกะหรี่นั้นก็จะติดตัวน้องไปจนวันตาย พึงคิดให้ดีก่อนผันตัวเป็นกะหรี่ มิเช่นนั้นแล้วจะหาว่าแอดมินไม่เตือน คนเรามีมือมีเท้า ไม่ได้พิการ ไม่ได้แขนขาดขาด้วน เกิดมามีศักดิ์ศรี อย่าเอาไปขายทิ้งแล้วตอแหลว่าจำเป็น.

8 Nameless Fanboi Posted ID:SMEy2Om5JV

>>7 คล้ายๆกะอีกอย่าง เป็นแล้วเลิกไม่ได้

9 Nameless Fanboi Posted ID:BKEOpepm46

อาจารย์มหาลัยคุยกันครับ นี่คือเรื่องจริง .....

มันเป็นมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ราก ตั้งแต่ฐาน .... แล้วการแก้ปัญหาง่ายๆ อย่างการแก้ปลายน้ำ ทุกคนเรียนจบ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว นี่ไง เราสามารถผลิตบัณฑิตได้เท่านั้นเท่านี้ต่อปี จบได้หมด 100%

ซึ่งจริงๆ แล้ว ระบบการศึกษาภาคบังคับ ประถม มัธยม ของเราก็ผ่านกระบวนการแบบนี้มาก่อน เช่นเดียวกับมหาลัย ....

ตั้งแต่ไม่ให้เรียนซ้ำชั้น ไปจนถึงการบังคับให้ปล่อยเกรด (ทางอ้อม) ประกอบเข้าไปความต้องการและแรงกดดันจากครอบครัว ผู้ปกครอง ฯลฯ

ผมต้องสอนการศึกษาพื้นฐานให้กับนักศึกษาปริญญาตรีเยอะมาก จนถึงตอนนี้ผมก็ยังต้องสอนให้คนที่เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว อยู่เยอะ (แต่นั่นแหละ หลายคนก็ไม่อยากถูกสอนหรอก ไม่ยอมรับว่าตัวเองทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ มีอีโก้จากใบปริญญาและตำแหน่งหน้าที่การงานเยอะแยะไปหมดแล้ว)

แล้วปัญหามันก็ต่อยอดไประดับ ป.โท ป.เอก เยอะเลย แต่ไม่ขอพูดถึงละกันเนอะ .....

ถ้าดูกันที่ "ตัวเลข" .... ทุกอย่างก็ไม่น่ามีปัญหาเลยนะ

เด็กเข้าเรียนเท่าไหร่ สอบผ่านหมด คะแนนก็ไม่ใช่น้อย คะแนนประเมินสถานศึกษาก็ดี .งงง ปริมาณคนเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาก็สูง แถมเข้าเท่าไหร่ก็เรียนจบหมด ....... หลักสูตรทุกอย่างก็มีคุณภาพ คะแนนประกันคุณภาพสูงทุกที่ ...... คนเรียนก็แฮปปี้ ครอบครัวก็แฮปปี้ ......

ทุกอย่างดูดีหมดเลย .....

แต่นั่นแหละ อะไรก็ตามที่มัน too good to be true .... เราก็รู้กันอยู่ว่ามันหมายถึงอะไร

10 Nameless Fanboi Posted ID:BKEOpepm46

โดนไปซะอีดอก ห้าวนัก
เอาไปก่อนขำๆ 4ข้อหา

-ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการโดยใช้กำลังประทุษร้าย
-ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
-ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย
และ
-ร่วมกันทำให้ให้เสียทรัพย์

ส่วน คดีทำอนาจาร ลวนลามเด็กผญ.มึงรอแพรพ รอน้องผญ.มันสอบเสร็จ เค้าจะให้ผู้ปกครองพามาดำเนินคดีมึงอีก 1 เป็น 5คดี

อ้ออออ ลืมๆๆๆ บอกข่าวดีเรื่องเงินๆทองๆ พวกมึงไป
ทางกระทรวงศึกษา และคณะกรรมการสอบ GAT PAT เค้ากำลังคุยกันอยู่เรื่องให้พวกมึงชดใช้

ค่าเสียหายทั้งหมดที่พังการสอบเดิม
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดสอบใหม่
ค่าชดใช้ทรัพย์สินในโรงเรียน ที่เสียหาย
ค่ารักษาพยาบาล ค่าทำขวัญ ครูนักเรียนทุกคนที่ มีผลกระทบ ทั้งกายใจ

และทางผู้ปกครองแต่ละราย อาจจะมีฟ้องเรียกค่าเสียหายมึงเพิ่มอีกนะ

ยังห้าวอยู่มั้ย อีดอก !!!

11 Nameless Fanboi Posted ID:U5HDQLqhdR

>>7 ขอบคุณเม้นนี้มากๆครับ ผมเกือบจะไปขายตูดเปย์กาชาแล้ว พอได้อ่านเม้นนี้ปุ๊ปตาสว่างเลย

12 Nameless Fanboi Posted ID:BKEOpepm46

เจอข้อความนี้แชร์กันอยู่ ดีเฟนด์ให้กลุ่มงานบวชที่บุกโรงเรียน ผมก็อึ้งเพราะเคยนึกว่าตัวเองซ้ายมากแล้ว ยังไม่สามารถมองแบบนี้ได้ เลยเอามาแชร์ให้ดูอีกมุมมองนึง ไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยกันมากน้อยแค่ไหน?

ข้อ 1-3 คืออธิบายว่าค่านิยมลำดับความสำคัญต่างกัน งานบวช (ของพวกตัวเอง) สำคัญกว่าสอบ (ของคนอื่น) จริงๆผมว่าไม่ใช่ตรงค่านิยมมั้ง มันสำคัญตรง "ของพวกตัวเอง" มากกว่า ถ้านักเรียนเป็นญาติเขา เขาก็คงมองกลับกัน แล้วโกรธคนที่ไปทำร้ายนักเรียนมากกว่า

ข้อ 3 บ่นถึงความไม่เป็นธรรมในระบบการศึกษาด้วย ประมาณเด็กที่สอบนั้นได้โอกาสมากกว่ากลุ่มงานบวช เหมือนมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นหรือเปล่า (Appeal to poverty) จริงๆผมนึกว่าเขาแค่โกรธที่โดนห้ามใช้เสียงนะ เสียหน้าด้วย อดฉลอง(กินเหล้า)ต่อด้วย

ข้อ 4 บอกว่าการใช้ความรุนแรงละเมิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติ ความผิดอยู่ที่โครงสร้าง สังคมเราปล่อยมาจนเป็นแบบนี้เอง อันเนี้ยทำให้แปลกใจ เพราะแม้เราพยายามจะไม่ตัดสินคนดีเลว แต่เราก็ต้องตัดสินพฤติกรรมนี้ของพวกเขาว่าผิดทั้งจริยธรรมและกฎหมายอยู่ดี

ข้อ 5 บอกว่าทั้งผู้ใช้ความรุนแรงและผู้ได้รับความรุนแรงต่างก็เป็นเหยื่อ ไม่ต้องแยกแยะก็ได้ ซึ่งปกติเราจะบอกว่าทั้งสองฝั่งเป็นเหยื่อเพื่อจะสามารถทำความเข้าใจทั้งสองฝั่ง ไม่ได้บอกว่าให้มองทั้งคู่เท่ากันนะ ยังไงก็ต้องดีลกับทั้งสองฝั่งต่างกัน เหยื่อก็ต้องได้รับการเยียวยา (หลายคนจะได้ PTSD แถมไปด้วย) ส่วนผู้ใช้ความรุนแรงก็ต้องติดคุกไป

สรุป
ผมรู้สึกเหมือนคนเขียนจะพยายามวิจารณ์รัฐและสังคมไทย โดยใช้คำฝั่งซ้ายเยอะๆ เพื่อให้น่าสนใจเฉยๆ แต่มันขัดๆ เพราะจริงๆซ้ายจะแอนตี้ความรุนแรง เชื่อมั่นว่าใช้กฎหมายดีกว่าจะตัดสินความขัดแย้งด้วยความรุนแรง ตาต่อตาฟันต่อฟันอย่างที่นิยมกันในวัฒนธรรมเรา

และผมว่ากลุ่มงานบวชก็แค่โกรธที่ถูกห้าม ไม่ได้เกี่ยวกับชนชั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นปาร์ตี้ผู้มีอิทธิพลถูกห้าม ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันเหมือนกัน มันเป็นปัญหาวัฒนธรรมที่ #หน้าสำคัญกว่าชีวิตคน คนไทยเราเอาแต่ใจมาก ใครขัดใจก็โกรธมาก คนที่เชื่อในการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ก็จะใช้ความรุนแรงทันที อย่างที่เห็นกันทุกวัน

โครงสร้างสังคมไทยมีปัญหาหนักมากจริงๆ การเลื่อนขั้นทางสังคมเป็นไปได้ยาก แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคนใช้ความรุนแรงกับเหยื่อจะเท่ากันนะ มันแปลว่าสังคมควรจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไปด้วยต่างหาก

https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/53238318_1316579388482378_6837742420910669824_n.png?_nc_cat=100&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.fna&oh=02aac2a55bf661f1a331bfa710c68aed&oe=5CE53D42

13 Nameless Fanboi Posted ID:1xyYH2q5pg

ไปถ่ายงานมาวันก่อนเจอเด็กพร๊อพคนนึงเท่มาก ชื่อไบรอัน เป็นลูกครึ่งชาวกาน่า อายุ17 พ่อทิ้งไปตั้งแต่เกิด แม่ได้สามีฝรั่งเลยทิ้งไปตอนอายุ 12 สู้ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด ถูกมั่งผิดมั่ง นอกเหนือจากอาชีพเด็กพร๊อพแล้วไบรอัน เป็นครูสอนเต้นที่ป้อมพระสุเมรุ และไปสอนเด็กเต้นตามสถานพินิจ ไบรอันเล่าว่าเค้าไม่มีเวลาท้อ เพราะแค่จะกินอะไรยังไม่มีเวลาคิดเลย ผมกลับมาเปิดเฟสเจอคนที่ชีวิตดีอยู่แล้วเพ้อ ตัดพ้อชีวิต โทษชะตา ด่าเจ้านาย บ่นนั่นนี่ ผมกลับไปโทรหาไบรอัน ให้มาเป็นนายแบบให้งานผมหน่อย นี่แหละนายแบบผม ไม่มีอะไรทำให้ผมอยากถ่ายรูปได้เท่ากับคนที่มีรอยแผลเป็นในชีวิต นี่แหละภาพถ่ายของผม

14 Nameless Fanboi Posted ID:aYZGGfZKaz

>>12 ประมาณLibtardอเมริกาที่บอกว่าคนดำตั้งแก๊ง ปล้น ฆ่า ค้ายา เพราะคนขาวผู้ชั่วร้ายกดขี่ไว้เลยต้องหาทางออกแบบนี้

มีมาไทยแล้วเหรอวะ อีกหน่อยคงมีsocialist/คอมมี่นั่งเต็มสตาร์บัคไทยแน่ๆ

15 Nameless Fanboi Posted ID:Qs.MvPmUJs

ผมเคยตั้งข้อสังเกต และเล่าให้คนใกล้ชิดฟัง
แต่ไม่เคยโพสต์ในที่สาธารณะ

ว่า...

.

ความประหลาดอย่างนึงของประเทศไทยคือ

ในสมัยก่อนนั้น
เด็กที่เรียนเก่งได้คะแนนดี
ส่วนใหญ่..มักจะไปเรียนหมอ
หรือ เรียนวิศวะกันเกือบหมด

นั่นเป็นสาเหตุให้ประเทศไทย มีหมอเก่งมาก
และพร้อมที่จะเป็นฮับด้านการแพทย์

ไม่งั้นก็ ไม่ทำอาชีพหมอเลย
ไปทำอย่างอื่นก็มาก เช่น
เจ้าของอิตาเลียนไทย เจ้าของบางกอกแอร์เวย์ ก็เป็นหมอ

หรือผู้บริหารเก่งๆหลายคนในประเทศ
มักจบวิศวะ แล้วมาต่อ MBA

เพราะระบบ สังคม มีส่วนยัดเยียดให้
เด็กเก่งๆเกือบทั้งหมดของประเทศ
ไปเรียน 2 คณะนี้ โดยไม่สนว่าจะชอบหรือไม่

ซึ่งเหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ

สองอาชีพนี้มีรายได้สูง
สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ซึ่งจำเป็นมากในประเทศที่ สวัสดิการไม่ดีนัก

..
.

แต่ในขณะเดียวกันในสมัยก่อนนั้น
มักมีคำพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงว่า

“เกเรมาก ไม่ตั้งใจเรียน เดี๋ยวได้ไปเป็นครู”

ซึ่งมีความจริงบางส่วน เพราะในสมัยก่อนนั้น
คะแนนในการสอบเข้าคุรุศาสตร์ ค่อนข้างต่ำ
หากเทียบกับคณะอื่นๆ โดยเฉพาะหมอ หรือ วิศวะ

ซึ่งเหตุผลก็น่าจะมาจาก รายได้ และค่าตอบแทนต่างๆ
ในการเป็นครู ที่น้อย จนมีผลให้
ไม่สามารถดึงดูดหรือรักษาบุคลากรคุณภาพไว้ได้

ซึ่งมันน่าตลกมากสำหรับผม
เพราะครูนั้นสำคัญมาก และควรเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีรายได้สูงสุด

เพราะต้องสอนให้คนรู้จักคิด
เข้าใจเรื่องต่างๆได้อย่างท่องแท้

.

ซึ่งหลังๆ เริ่มดีขึ้น
เพราะมีความพยายามในการปฏิรูปครู
มีโครงการครู 5 ปี มีการเพิ่มค่าตอบแทนให้อาชีพนี้

ทำให้ระยะหลังๆ คะแนนสอบเข้าคุรุศาสตร์มีคะแนนสูงขึ้น

และบางปีใน 5 อันดับแรก
ของคณะที่คนแย่งกันเข้ามากที่สุด
มีคุรุศาสตร์อยู่หลายอันดับ อย่างในปี 59
ที่คุรุศาสตร์เป็นอันดับ 1 และ 5

..
.

แต่

ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย
คือหนึ่งอาชีพ ที่ยากกว่าครู....” พระ “

เพราะ “พระ” ต้องสอนให้คนเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ
ซึ่งซับซ้อน ละเอียดอ่อน ยากจะเข้าถึงกว่าความรู้ทั่วไป

แต่กลับกลายเป็นว่าพระจำนวนไม่น้อย
กลายเป็นคนที่ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร จึงมาบวช

ซึ่งพวกเขาก็ตีความศาสนาพุทธ
ตามมุมมอง ความเคยชิน และความรู้ที่พวกเขามี

จึงไม่แปลกที่จะเห็นศาสนาพุทธ ผสมพราหม ผสานผี
เต็มไปด้วยพิธีกรรม วัตถุมงคล ใบ้หวย ให้รวยง่ายๆ
ไม่ค่อยช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณ
อันเป็นแก่นแท้ของศาสนาเท่าไหร่

ทั้งที่จะว่าไป พระ เป็นอาชีพ ที่มีค่าตอบแทนไม่น้อย

...
..
.

จริงๆอธิบายมายืดยาว คือกลัวจะเข้าใจผิด
เพราะเวลาผมพูดกับคนใกล้ชิด

ผมมักพูดแค่.....

“ประเทศนี้แม่งแปลก
เอาคนที่ไม่ค่อยเก่ง มาเรียนครู
ทั้งๆที่จริงๆควรจะเก่งมาก
เพราะต้องสอนคนอื่นให้เก่ง

และเอาคนที่ไม่มีปัญญาทำห่าอะไร
มาเป็นพระ ที่สอนเรื่องที่ยากกว่า
อย่างจิตวิญญาณ ให้คนเป็นคนดี
ทั้งที่ตัวเองยังอาจจะเอาดีไม่ได้ด้วยซ้ำ”

มันกลับหัวกลับหางสิ้นดี

...
..
.

ปล.

แนวคิดนี้ของผม มีความเอามัน ใส่อารมณ์ขันแบบเหน็บแนม และ Hyper-Generalization สูง

แต่ถ้ามองผ่านไปได้
มันก็พอสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างในสังคม

16 Nameless Fanboi Posted ID:Qs.MvPmUJs

ผมจะเล่าเรื่องหลังจากเหตุกาณ์ในภาพนี้ให้ฟัง ว่ามันพลิกกลับให้น่าตื่นเต้นได้ยังไง

หลังจากชูป้ายนี้ ก็เกิดการดีเบตกันได้มันส์พอดูเลย จนสมแล้วจริงๆ ที่ผมพูดได้ว่า ”ปชป. แม่งเกิดมาเพื่อเป็นฝ่ายค้านจริงๆ “ คือชนิดที่ว่า ค้านได้เก่งเหี้ยๆ แต่มีชั้นเชิง(อันนี้ตูชม) คือหลังจากตรงนี้จะมีพิธีกรจากกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไทออกมาถามว่าทำไมถึงแย้ง ศุภชัย แกเลยถามกลับประมาณว่าเขาไม่เคลียร์ในคำถามว่ามันเป็นการยกเลิกชุด นร. รึเปล่า ถ้าใช่มันจะขัดกับความสมัครใจของ นร. เองรึเปล่า เพราะคนที่เต็มใจใส่เขาไม่ได้มีปัญหากับชุด นร. เขาเลยถามต่อทุกคนว่า “แล้วพวกคุณล่ะรู้สึกยังไงเวลาเห็นเด็กใส่ชุด นร. ?” แล้วก็มีคนหน้าเวทีตะโกนบอกมาว่า “รู้สึกสงสาร” “...เพราะถูกบังคับแต่ง”ศุภชัย เลยขอเชิญ นร. ที่อยู่ในงานออกมาบอกความรู้สึกว่ารู้สึกยังไง

ศุภชัย :น้อง นร. ที่มางานนี้ทำไมถึงใส่ชุด นร. มา มีใครบังคับไหม?
นร. :ไม่มีครับ ใส่มาเอง
ศุภชัย :แล้วใส่ชุด นร. ทำไมทั้งที่เป็นวันหยุด
นร. :ก็รู้สึกแค่ว่ามันดูเรียบร้อยดี
ศุภชัย :แล้วรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารไหม
นร. :ไม่ครับ
คนถามก็ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนกับโดนตบหน้าว่าอย่าเอามุมมองตนเองมาคิดแทนเด็ก

นาทีนั้นผมบอกเลยว่าสุดจริง ไม่คิดว่าฝ่ายค้านคนเดียวกลางวงจะโต้กลับได้เด็ดขนาดนี้ เอาจริงๆ ผมว่าถ้า ปชป. ชูป้ายเห็นด้วยมันก็คงจบแบบเฉยๆ ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่พอมีฝ่ายค้านขึ้นมาปุ๊บ เวทีก็เริ่มแตกประเด็นย่อยขึ้นไปอีก ซึ่งมันจะมีคำตอบมากกว่าหนึ่งหรือสอง ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยวิธีการค้านแบบนักการเมือง กับวิธีค้านแบบแอคทิวิสต์ มันเป็นยังไง

Edit : อันนี้ผมขอตัวแก้ไขข้อความใหม่นินึง ไปฟังมาใหม่ล่ะว่าคนที่พูดว่า”รู้สึกสงสาร” จะไม่ได้มาจากตัวพิธีกร แต่มาจากคนตรงหน้าเวทีเอง ส่วที่เหลือก็ตามนั้นแหล่ะ

ตรงนี้ผมฟังผิดเอง ขอโทษด้วย

17 Nameless Fanboi Posted ID:C3YOJpbUzs

ปั๊ดโธ่เอ๊ย!!!! เอาอีกแล้วครับ คนรุ่นใหม่ในกะลาแลนด์คิดได้แค่นี้แล้วเมื่อไรกัญชาจะเสรีและเป็นทางเลือกของการรักษาโรค / ตลาดเบียร์จะไม่ถูกผูกขาดโดยเจ้าใหญ่ไม่กี่เจ้า / คร้าฟท์เบียรไทยจะปลดล๊อคพันธนาการจากกฎหมายอันคร่ำครึ / นักกีฬาอีสปอร์ตไทยจะได้ไปแสดงความสามารถในเวทีโลกมากขึ้น / และ Uber จะได้ยกระดับอุตสาหกรรมคมนาคมขนส่งไทย เสียทีอ่ะครับเฮ่อออ
http://ruangjringwannee.net/archives/8760

18 Nameless Fanboi Posted ID:SMEy2Om5JV

>>17 เห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณหรือยังครับ

19 Nameless Fanboi Posted ID:C3YOJpbUzs

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองที่เสนอนโยบายพวกตัดงบ ลดงบทหาร เลิกเกณฑ์ทหาร ฯลฯ นี่สงสัยเอาพวกเด็กรัฐศาสตร์ปี 1 ปี 2 มาคิดนโยบายให้อ่ะครับ นโยบายเบสิคพื้นๆ แบบนี้

ซึ่งพรรคสนุ้กเกอร์ไทยเรานั้นจะมีนโยบาย OGOS (One General One Snooker) "1 นายพลเกษียณ 1 โต๊ะสนุ้กเกอร์" พวกท่านจะไม่ได้รับบำนาญจากรัฐบาลใดๆ ทั้งสิ้น แต่สามารถเปิดโต๊ะสนุ้กเกอร์ที่มีคาสิโนพ่วงด้วยอย่างเสรีอ่ะครับ เผลอๆ นายพลทั้งหลายจะเออรี่รีไทร์ออกมาทั้ง 4 เหล่าทัพเลย มาสนองนโยบายตัวเนร้

#ปี2575กาพรรคสนุ้กเกอร์ไทยเบอร์147
#ตบประเทศไทยหมดโต๊ะกับพรรคสนุ้กเกอร์ไทย

20 Nameless Fanboi Posted ID:QITtijg9Zh

จากบทความเรื่อง Rich People Literally See the World Differently ของ Drake Baer อธิบายว่า “social class cultures” มีผลต่อ “social attention” ของคนแต่ละคน จากการศึกษาของนักวิชาการหลายท่านพบว่าคนจนมีความใส่ใจความรู้สึกความคิดความเป็นอยู่ของคนรอบข้างมากกว่าคนรวย เนื่องจากคนจนเติบโตมาจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและไม่ปลอดภัย พวกเขาจึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยคนรอบข้างเพื่อช่วยเหลือให้เขารอดพ้นจากอัตรายต่าง ๆ ที่พวกเขาเผชิญ ด้วยเหตุนี้ทำให้คนรอบข้างพวกเขามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างมากหรือกล่าวได้ว่าคนจนมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยคนรอบข้างมากกว่าคนรวย ในขณะที่คนรวยส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับเป้าหมายและความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เนื่องจากเขามีอำนาจและอยู่ในชนชั้นที่สูงจึงไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น ทำให้ความใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นมีไม่มากเท่ากับกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ด้วยเหตุนี้เองทำให้มุมมองการมองโลกระหว่าง ‘คนจน’ กับ ‘คนรวย’ แตกต่างกัน

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

21 Nameless Fanboi Posted ID:SqfgQgwwln

ไม่รู้ใครต้นฉบับ แต่ก็พอได้ข้อคิดครับ

เรื่องดราม่า วงการเกษตรไทย​ (พี่ในกลุ่ม1ไร่พอเพียงได้กล่าวไว้)​

คนรุ่นใหม่ๆมีเยอะครับ ที่คิดเรื่องการออกจากงานประจำมาทำเกษตร

ข้อควรจำ (เตือนด้วยความหวังดีนะจ๊ะ)
1) อย่าเอาภาพในเพจต่างๆมาหลอกตัวเอง เพราะคุณไม่รู้ว่า... ที่เขาได้เงินแสนเงินล้านจากการทำเกษตรในที่แปลงนิดเดียว เขาบอกไหมว่าต้นทุนเท่าไหร่? ทำมากี่ปี? เจ๊งมากี่รอบ? แล้วไอ้แสนหรือล้านน่ะใช้เวลากี่วัน ?

2) เพื่อนที่เขาเอามาโชว์ว่า... สบายใจ และประสบความสำเร็จน่ะ เขามีที่กี่ไร่? ผมเห็นส่วนใหญ่มีคนละเกินสิบไร่ทั้งนั้น ถ้าเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน แล้วมีที่ขนาดนั้น ก็ไม่ต้องเป็นลูกจ้างแล้วครับ เป็นผม...ผมก็ไม่เป็น

3) คนที่ทำผลผลิตออกมาให้เห็นตามสื่อ ไม่ว่าจะโชว์ต้น หรือลูกอะไรก็แล้วแต่ สังเกตุดีๆมีอายุแล้ว คนรุ่นนี้มีเงินบำเหน็จบำนาณ หรือไม่ก็เอาเงินเออรี่รีไทน์มาทำ ซึ่งเงินจำนวนนั้นคนกินเงินเดือน 1-2 หมื่น อย่าไปคิดให้ปวดหัว

4) สมมุติว่า... ทำงานเก็บเงินซื้อที่ได้แปลงนึงเท่าแมวดิ้นตาย อย่าคิดทำเป็นอาชีพ ลองทำลองปลูกนู่นปลูกนี่ เอาให้มีกินในครอบครัวให้ได้ก่อน ค่อยคิดการใหญ่

5) คนมีหนี้อย่ามาทำการเกษตรครับ ดอกเบี้ยที่มันเพิ่มพูน กับเงินลงทุนมันไม่ทันกันแน่นอน บวกลบคูณหาญดีๆก่อนจะอดตาย

6) หากคุณทนทำงานประจำไม่ได้ คุณก็ทนกับการการเกษตรไม่ได้เช่นกัน ในที่ทำงาน คุณอาจต้องเจอกับความกดดัน เช่น เรื่องผลงาน อาจจะมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกน้อง ลูกค้า ดังนั้น ถ้าคุณมาทำเกษตร ก็ต้องทำใจ และเตรียมรับแรงกดดัน จากหลายๆสิ่งรอบตัวคุณ เช่น เรื่องรายได้-รายจ่าย เรื่องผลผลิต เรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช เรื่องราคาผลผลิต ทั้งจากคนในครอบครัว คนข้างบ้าน คนงาน รวมทั้งใจคุณเอง
(ทำเกษตรต้องอดทน > ทำงานประจำ)

7) ทำงานประจำไม่มีอิสระ ออกมาทำการเกษตรสิอิสระเพียบ แนะนำผูกเปลนอนเลยครับ กลางสวนนั่นแหละเพราะถ้าคุณมีลูกจ้างก็ให้ลูกจ้างทำไป แต่ถ้าคุณไม่มี คุณจะเหมือนติดคุกกับวังวนตื่นตี 4 - ตี 5 แล้วหลับเที่ยงคืน

8) มีทุนสำรองขนาดไหน? คนที่เอาเรื่องเขามาลงในเพจในสื่อต่างๆ ไม่มีใครเลยสักคนที่เริ่มต้นจาก 0 (ศูนย์) ครับ อาจจะบ้านรวยพ่อแม่มีใว้ให้นานแล้ว ตัวเองทำตามฝัน ออกไปหางานทำเบื่อ หรือได้รับมรดก จึงออกมาทำอะไรในที่ดิน ที่ขาดจำนอง หรือมีทุนเก่าเอามาใช้จ่ายได้ ลูกจ้างที่คิดจะออกจากงานล่ะ บ้านรวยมั้ย? มีเงินกินยามผลผลิตไม่ออกมั้ย?

9) การทำเกษตรไม่ใช่เมล็ดหญ้า ที่ไม่ต้องดูแลมันก็งอกงาม ทำการเกษตรต้องดูแลเอาใจใส่ ต้องมีความรู้(อันนี้สำคัญ)ด้วยว่า มันต้องทำไง 1,2,3,4 ตามขั้นตอน ไม่ใช่ออกงานมาแล้วงงว่า... จะทำอะไรยังไงดี คำแนะนำง่ายๆ กลับไปทำงานเหมือนเดิมไม่ต้องคิด

10) ข้อนี้สำคัญ เราควรทำการเกษตรเพื่อเอาเงิน อย่าเอาเงินไปทำการเกษตร สิ่งที่เราลงทุนลงแรงไปต้องได้เงินกลับมา อย่าเอาแค่สบายใจที่ได้เห็นผลผลิต เพราะถ้าคิดแบบนั้น แนะนำให้อยู่บ้าน ปลูกมะม่วงต้นนึง พอออกลูกมาพวงนึง ก็ถิอว่าสำเร็จแล้ว

หมายเหตุ :
- อีกเรื่องที่ขอเตือนไว้ ใครที่ไปโพสท์ถามความเห็นของคนอื่นตามกลุ่มต่างๆ ว่า...ควรทำอะไร ปลูกอะไรดี เวลามีคนมาเมนท์ มาให้กำลังใจ มาแนะนำให้ทำนู่นนี่นั่น รบกวนสักนิด กรุณาเข้าไปดูที่หน้าโปรไฟล์ของ ไอ้คนที่มาเมนท์สักนิด เพราะส่วนใหญ่ที่เจอมา มีแต่ข้าราชการ พนง,ประจำทั้งนั้น ที่เมนท์เสนอแนะ เมนท์ให้กำลังใจ ผักยังปลูกกินเองไม่ได้ ไม่รู้เอาห่าอะไรไปแนะนำ

*** การจะออกจากงานมาทำเกษตร คุณต้องมีที่ดิน ทุนสำรอง(มากพอ) ต้องมีความรู้เรื่องพืชที่จะปลูก และต้องรู้จักตลาด ถ้าที่ผมบอกมา คุณยังไม่มี แนะนำให้ทำงานไปเหมือนเดิม ***

ทำเกษตรในชีวิตจริง ไม่ใช่ไปวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ (วางถุงกาวก่อนทำเกษตร)

อ่านสักนิดนะครับ โปรดทราบว่าเป็นห่วง

กลุ่มปิดแชร์ไม่ได้ แต่ถ้าโดนใจ ก็อปเอาไปโพสท์หน้าเฟสตัวเองได้ครับ ไม่หวง

อ่าน คิด พิจารณา

22 Nameless Fanboi Posted ID:SqfgQgwwln

มีน้องคนหนึ่งในบริษัทผม มี fault logic ที่ว่า "คนหล่อ เจ้าชู้ คนไม่หล่อ ไม่เจ้าชู้" .... เคยเถียงกันประเด็นนี้กับหลายคนในบริษัทผมด้วยนะ

จริงๆ มันมาจาก stereotype หลายต่อหลายอย่าง อาจจะมาจากสิ่งที่เขาเห็น อาจจะมาจากสิ่งที่เขาได้ยิน

จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ขึ้นกับหน้าตาเลยสักนิด คนหล่อเจ้าชู้ก็ได้ ไม่เจ้าชู้ก็ได้ เช่นเดียวกับคนไม่หล่อ มันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย

ที่พีคในพีค คือ น้องเขาสับสนระหว่าง "เจ้าชู้" กับ "มีชู้" อีกตะหาก .... (คือถามว่า "ถ้าคนที่มีแฟนสองคน หรือแต่งงาน แล้วมีเมียน้อย .... อยู่ดีๆ เลิกไปคนนึง ... ถ้าแต่งงานแล้วก็หย่า ไม่ก็เลิกกับเมียน้อย .... เหลือคนเดียว แบบนี้เรียกเจ้าชู้มั้ย" ... น้องตอบว่า "ไม่เรียก เพราะมันมีคนเดียวแล้วไง" ... คือสับสนระหว่าง "นิสัย/สันดาน" กับ "สถานะ" อีก)

เรื่อง logic พื้นฐานนี่ต้องสอนกันดีๆ ครับ

1. อย่าให้เอา anything มา confirm anything ..... ให้วาด set diagram ง่ายๆ จะช่วยได้เยอะครับ (ดูว่าอะไรเป็น subset ของอะไรไหม) ..... ถ้าที่น้องคิดมามันถูก มันต้องเป็นรูปของ subset (ซึ่งรวมกรณีเป็น set เดียวกัน) .... แล้วลองหา counter example ดู ... จะเห็นเลยว่ามันมีกรณีที่ผิดอยู่รอบตัวเลย .... (พิสูจน์โดย counter example น่ะแหละ .... สมมติว่ามันถูก แล้วหาตัวอย่างค้านให้มันผิด)

ตรงนี้มันจะไล่ไปหา logical statement ของ ถ้า-แล้ว (p -> q) ที่เคยเรียนกันมาได้ง่ายๆ ครับ

2. อย่าให้ตีสองประเด็นที่ต่างกัน (เช่นประเด็นนิสัย และสถานะ) เป็นเรื่องเดียวกัน .... เพียงเพราะมันมีคำเชื่อมที่เหมือนกัน หรือเอื้อให้คิดว่าเป็นอย่างเดียวกัน .... ผมชอบ model ตรงนี้โดยการใช้ "bit" ครับ คือเป็น flag 0, 1 (false, true) ง่ายๆ น่ะแหละ .... (สำหรับคนที่ไม่ทราบ bit คือ หน่วยที่เล็กที่สุดของ information ครับ) ... เพราะว่า 1 bit มันจะ represent ข้อมูลได้แค่อย่างเดียว แล้วเอาไปประกอบกับข้อ 1 ..... จะช่วยได้เยอะครับ

นอกจาก "เจ้าชู้ กับ มีชู้" แล้วยังมี "ใจร้อน กับ อารมณ์ร้อน" ที่ผมเคยพูดถึงไปด้วยนะครับ คิดง่ายๆ ได้ด้วยการมองเป็น 2 bit ครับ (และมีอีกหลายอย่างมาก)

รู้หรือยังคิดว่าเราเรียน math กันไปทำไม :P

เรียนอะไรมา ก็เอาไปใช้กันบ้างครับ เราเรียนกันมาแล้วทั้งนั้น อย่าคิดว่าไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ใช้ไม่ได้หรอก (ทีงี้ ดันคิดว่าไม่เกี่ยวหรอก #ยิ้มอ่อน)

ป.ล. ที่ผมแชร์อันนี้ ไม่ได้แปลว่าผมคิดว่า คนหล่อไม่เจ้าชู้ทุกคนนะครับ มันมีทั้งสองอย่างแหละครับ

ป.ล. (2) น้องเคยถามผมด้วย ว่า "พี่เดฟเจ้าชู้มั้ย" .... ตอนนั้นก็งงว่าถามทำไม .... เพราะไม่เข้าใจ model ในหัวน้อง .... ตอนนี้เข้าใจล่ะ .... เออ อย่างน้อยน้องก็เห็นเราหล่อ (จาก logic ของน้องนะ 5555+)

ป.ล. (3) น้องๆ สาวๆ ในออฟฟิศบอกว่า "แท็กเลยพี่" และเจ้าตัวบอกว่าไม่มีปัญหา ดังนั้นขอแท็กน้องคนที่ว่านะครับ ***

23 Nameless Fanboi Posted ID:tKD.GlkXvH

ณ สนามกอล์ฟ แห่งหนึ่ง...เสี่ยกำลังคุยกับมือปืน ผู้ได้ชื่อว่ายิงปืนแม่นที่สุดในโลก
เสี่ย : อั๋วได้ยินว่าลื้อแม่นที่สุดและทำงานไม่เคยพลาด วันนี้อั๋วเลยจ้างลื้อมาเพื่อยิงคน 2 คน ด้วยกระสุน 2 นัด ลื้อทำได้มั้ย?
มือปืน : เสี่ยจะให้ยิงใคร ที่ไหน?
เสี่ย : ลื้อ เห็นตึกที่อยู่ตรงข้ามสนามกอล์ฟนี้มั้ย นั่นแหละบริษัทอั๊ว วันนี้อั๊วได้ข่าวมาว่านังเมียชั่วของอั๊วจะเอาข้อมูลลับของบริษัทไปขายให้ กับ "อาตง" คู่แข่งคนสำคัญของอั๊ว ที่ชั้นบนสุดของตึกนั่น
มือปืน : ครับ (พร้อมหันหน้าไปมองที่ชั้นบนสุดของตึก)
เสี่ย : สำหรับ นังเมียชั่ว เอ็งใช้กระสุน 1 นัด ยิงตัดลิ้นของมันซะ อย่าให้มันได้พูดคุยกับใครอีก นี่แหละผลของการเอาความลับ ของอั๊วไปขาย ส่วนกระสุนอีกนัดให้เอ็งยิงไปที่ไอ้จู๋ของ "อาตง" ให้มันสูญพันธุ์ มันจะได้ไม่มีลูกหลานมาเป็นเสี้ยนหนามอั๊วอีกต่อไป 5555+
มือปืน : ครับ (พร้อมหันกระบอกปืนไรเฟิลเล็งไปที่ยอดตึก)
.
ปั้ง!!!
.
เสี่ย : 555+ ดีๆๆ ว่าแต่เอ็งยิงตัดลิ้นเมียข้าก่อน หรือ ตัดไอ้จู๋ของ "อาตง" ก่อนล่ะ?
มือปืน : ผมทำทั้ง 2 อย่างแล้ว ด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว!

24 Nameless Fanboi Posted ID:ka5T6Qk78x

แนวทางอู๋ม๋งต๊ะเรานั้นจะไม่มีโพสต์โชว์เกรี้ยวกราดด่าว่าอาชญากรในทุกรูปแบบนะครับ เผื่อการโพสต์โชว์เกรี้ยวกราดของเรานั้นอาจจะไปกระตุ้นต่อมฟิวส์ขาดของพวกพี่ๆ อาชญากร แหกคุกมาตามหาเราถึงบ้านก็จะซวยเอา - -"

#ชายผู้ละแล้วซึ่งอารมณ์เกรี้ยวกราดต่อผู้ที่แข็งแรงกว่า
#โปรดละเว้นการใช้อารมณ์ในการกระตุ้นกระบวนการยุติธรรม

25 Nameless Fanboi Posted ID:ddFh9KWjcy

เห็นเคสวัยรุ่นงานบวช บุกกระทืบนักเรียนที่สอบ GAT-PAT อยู่ในมัธยมวัดสิงห์ จนมีคนร้องเรียกให้พี่วัน อยู่บำรุงไปช่วยจัดการ แล้วคิดถึง อ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (ทุกวันนี้แกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

(หลังจากฟังเรื่องซ้ายๆแบบ อ.เกษียร เตชะพิระ มาเยอะแล้ว) เราคุ้นเคยการมองการเมืองแบบอุดมการณ์เป็นแว่นอธิบายการเมือง แต่ อ.นครินทร์ จะเน้นใช้สภาพที่แกเชื่อว่าเป็นอำนาจที่แท้จริงนำ แล้วเข้าใจการเมืองที่เป็นอยู่แบบนั้น

อ.นครินทร์ เสนอว่าประวัติศาสตร์การเมืองแบบผู้แทนไทยเนี่ยเป็นเรื่องของผู้แข็งแกร่ง

กล่าวคือ มันเป็นการนำผู้มีอิธิพลท้องถิ่นเข้ามาอยู่ในระบบ

ตัวอย่างเช่นคุณเป็นกำนัน เป็นนายหัว เป็นพ่อเลี้ยง เป็นนายฮ้อย อะไรสักอย่าง คุณทำไร่ ทำประมงค์ ทำสวนขนาดใหญ่ๆ มีลูกน้องเป็นร้อยเป็นพัน มีปืน ต้องปกครองคน ในสมัยก่อนนี่คือคุณเป็นผู้มีอิธิพลท้องถิ่น

แต่ก่อนอำนาจรัฐมันอยู่แค่ในเมือง ในพระนคร นอกออกไป ก็เป็นผู้มีอิธิพลพวกนี้ที่ปกครองพื้นที่ ใช้กฎนักเลงก่อน ค่อยใช้กฎหมาย เพราะกฎหมายฟังก์ชั่นยากอยู่ไกล ความสงบเรียบร้อยของพื้นที่เลยอยู่ในกฎนักเลง

ย้อนกลับไปช่วง 2500 เมื่องบอเมริกามันลงมาทำให้ไทยเป็นฐานในสงครามเย็น มีถนน มีอุตสาหกรรม มีไร่อ้อย มีประมงค์ มีอุตสาหกรรมยางพารา มีธุรกิจค้าขายกับฐานทัพอเมริกา คนกลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์ตรงนี้ก็รวยขึ้น ขยายขึ้น มีลูกน้องมากขึ้น กลายเป็นผู้มีอิธิพลท้องถิ่น กฎนักเลงก็ทับซ้อนกับกฎหมายในบางพื้นที่

หลังสงครามเย็น เมื่อมีรัฐธรรมนูญกระจายอำนาจ มันก็เปิดที่ทางให้พวกนี้เปลี่ยนจากมีอิธิพลนอกกฎหมาย มาอยู่ในกฎหมาย

สำหรับ อ.นครินทร์ มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ คือทำให้อำนาจที่มีอยู่โดยแท้จริง ได้รับการรับรองและมีช่องทางตามกฎหมาย กฎหมายควรจะเขียนตามสภาพอำนาจที่มีอยู่จริงก็ถูกแล้ว

แล้วความเป็นตัวแทนของพื้นที่คืออะไร มันคือการ "ใจถึง พึ่งได้" "มีปัญหาเคลียร์ได้" "ใครเดือดร้อนช่วยได้" เป็นความสัมพันธ์แบบ "ลูกพี่" ของคนไทย คือดูแลน้องได้

ซึ่งความสัมพันธ์แบบนี้มันดั่งเดิม และจำเป็นในสมัยเดิม ที่แบบไม่มีไฟฟ้า โจรผู้รายชุดชุม ป่วยมาไม่รู้จะไปหาหมอยังไง ติดหนี้จะตั้งตัวไม่รู้จะทำยังไง มาใหม่ต้องไปฝากตัวกับใคร

พอทุกวันนี้ระบบรัฐมันดีขึ้น มีความเป็นชนชั้นกลางขึ้น น้ำไหล ไฟสว่างแล้ว การเมืองแบบนโยบายจึงมีบทบาทมากขึ้น และจนถึงทุกวันนี้ที่การเมืองแบบอุดมการณ์ถูกพูดถึงกันมาก ไม่รู้ว่าการเมืองแบบ "ลูกพี่" จะยังมีพลังขนาดไหน

เหตุการณ์วัยรุ่นงานบวชบุกโรงเรียนมันแสดงให้เห็นสภาวะนิติรัฐล้มเหลว รัฐคุ้มกันประชาชนไม่ได้ สัมผัสถึงความรู้สึกย้อนกลับไปถึงความไม่ปลอดภัยของยุค 2500 คนก็เลยเรียกร้องหาผู้เข้มแข็งมาใช้กฎนักเลง

ถ้านิติรัฐมันเดินหน้าได้ คนจะบอกว่า "ตำรวจไปจัดการมันหน่อย" แต่เหตุการณ์นี้ คนไม่คิดถึงตำรวจก่อนอ่ะ ไปคิดถึง วัน อยู่บำรุง ใจถึงพึ่งได้ เพราะไม่เชื่อว่าตำรวจจะทำอะไรได้

ที่จริงในยุคสมัยที่ทุกคนพูดถึงนโยบายก้าวหน้า ถึงเสรีภาพ มันยังมีฐานเสียงหนึ่งที่ต้องการความขวา ต้องการระเบียบ ต้องการความปลอดภัย

เชื่อผมป่ะว่าถ้าพรุ่งนี้มีคน (สมมุติว่าเสรีพิสุทธิ์) ประกาศว่า จะทำสงครามยาเสพติด อนุญาตให้ตำรวจเอากระสุนยางไล่ยิงแกงค์แข่งรถได้ผมว่าได้คะแนนเสียงมา (เอ้าผม Tag ด้วยเผื่อทำจริง พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส )

เพราะทุกวันนี้สภาวะนิติรัฐมันล้มเหลวมาก ผมก็ไม่เข้าใจว่าเราอยู่ในรัฐบาลที่มี ม.44 แต่ทำไมยาบ้าถึงระบาด วัยรุ่นถล่มโลกเรียนได้แบบนี้

สังคมเราต้องการระเบียบ (order) ในระบบนิติรัฐกลับมา ถึงจะพูดกันในฟากเรื่องเสรีภาพแล้ว ผมว่าตรงนี้ก็เป็นเหรียญอีกด้านที่สำคัญสำหรับระบบประชาธิปไตย รัฐประชาธิปไตยต้องครบถ้วยทั้งเสรีภาพส่วนบุคคล และนิติรัฐที่จะปกป้องเสรีภาพของทุกคนนั้น ต้องเอาตำรวจที่ฟังก์ชั่นกลับมา และความเชื่อมั่นในตำรวจกลับมา

ก็ฝากพรรคการเมืองต่างๆพิจารณาด้วยเหมือนกันครับ

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

26 Nameless Fanboi Posted ID:tKD.GlkXvH

มีแต่คนถามว่าทำไมตัดสินใจย้ายมาอยู่เมกา

มีเหตุผลหลายอย่าง แต่เหตุผลหลัก ๆ คือ "รู้สึกมีความทุกข์ทุกวันตอนอยู่เมืองไทย"

เดินออกไปข้างนอกแล้วเจอแต่ความอึดอัด พาจิตใจให้แย่ลงไปทุกวินาที ไม่เกี่ยวกับความรักครั้งเก่าก่อน แต่เป็นสภาพแวดล้อมและผู้คนล้วน ๆ

บ้านเมืองไทยกำลังผุพังจากแกนกลาง ความยากจนและ Gap ของฐานะกำลังสร้างสังคมของยุคถัดไปแบบที่ไม่ต้องอธิบายมาก ให้ดูนักเลงที่ลุยวัดสิงห์ นั่นแหละตัวอย่าง คนที่มีลูกแบบไม่มีคุณภาพไม่มีความรู้พอจะคุมกำเนิด ส่วนคนที่ลูกมีคุณภาพก็คุมกำเนิดจนถึงขั้นไม่มีลูกเลย

ให้ลองจินตนาการถึงยุคถัดไปดูว่ารุ่นลูกเราจะเจออะไร

ในขณะเดียวกันคนยุคเก่าก็พึ่งพาไม่ได้ ไม่เคยร่วมมือกัน มีแต่จะทำร้ายกันเอง ทิ้งแต่ภาระไว้เบื้องหลัง ให้คนรุ่นใหม่แบกรับ

วันที่ตัดสินใจหยุดผลักดันสิ่งต่าง ๆ ในไทยแล้วย้ายออกมาคือวันที่เห็นแล้วว่า "มันเกินเยียวยาแล้ว" คงไม่มีอะไรพลิกกลับได้อีก กฎของแนวโน้มทำงานตามกลไกของมันแล้ว

ตลอดชีวิตที่อยู่ไทยคิดไว้ตลอดว่าไม่อยากมีลูกเพราะสงสารลูกที่จะต้องโตมาในสังคมแบบยุคถัดไป แต่พอมาอยู่เมกากลับอยากมีแฮะ (เอ๊ะ แต่ต้องมีอะไรก่อนมีลูกนะ จำไม่ได้)

สุดท้ายวันนึงก็คงต้องกลับไทยไปดูแลครอบครัว มานั่งคิดดู คงไม่สุขเท่าไหร่ ตอนนี้ได้แต่เตรียมความพร้อมว่าอย่างน้อยวันนั้นจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ไทยอย่างไม่มีความทุกข์ให้ได้ ... คือต้องรวยสินะ

คงไม่มีวันนั้น ...

จะย้ายมาอยู่เมกายาว ... แม่งก็มีทรัมป์อีก 😒

27 Nameless Fanboi Posted ID:tKD.GlkXvH

มีแต่คนถามว่าทำไมตัดสินใจย้ายมาอยู่เมกา

มีเหตุผลหลายอย่าง แต่เหตุผลหลัก ๆ คือ "รู้สึกมีความทุกข์ทุกวันตอนอยู่เมืองไทย"

เดินออกไปข้างนอกแล้วเจอแต่ความอึดอัด พาจิตใจให้แย่ลงไปทุกวินาที ไม่เกี่ยวกับความรักครั้งเก่าก่อน แต่เป็นสภาพแวดล้อมและผู้คนล้วน ๆ

บ้านเมืองไทยกำลังผุพังจากแกนกลาง ความยากจนและ Gap ของฐานะกำลังสร้างสังคมของยุคถัดไปแบบที่ไม่ต้องอธิบายมาก ให้ดูนักเลงที่ลุยวัดสิงห์ นั่นแหละตัวอย่าง คนที่มีลูกแบบไม่มีคุณภาพไม่มีความรู้พอจะคุมกำเนิด ส่วนคนที่ลูกมีคุณภาพก็คุมกำเนิดจนถึงขั้นไม่มีลูกเลย

ให้ลองจินตนาการถึงยุคถัดไปดูว่ารุ่นลูกเราจะเจออะไร

ในขณะเดียวกันคนยุคเก่าก็พึ่งพาไม่ได้ ไม่เคยร่วมมือกัน มีแต่จะทำร้ายกันเอง ทิ้งแต่ภาระไว้เบื้องหลัง ให้คนรุ่นใหม่แบกรับ

วันที่ตัดสินใจหยุดผลักดันสิ่งต่าง ๆ ในไทยแล้วย้ายออกมาคือวันที่เห็นแล้วว่า "มันเกินเยียวยาแล้ว" คงไม่มีอะไรพลิกกลับได้อีก กฎของแนวโน้มทำงานตามกลไกของมันแล้ว

ตลอดชีวิตที่อยู่ไทยคิดไว้ตลอดว่าไม่อยากมีลูกเพราะสงสารลูกที่จะต้องโตมาในสังคมแบบยุคถัดไป แต่พอมาอยู่เมกากลับอยากมีแฮะ (เอ๊ะ แต่ต้องมีอะไรก่อนมีลูกนะ จำไม่ได้)

สุดท้ายวันนึงก็คงต้องกลับไทยไปดูแลครอบครัว มานั่งคิดดู คงไม่สุขเท่าไหร่ ตอนนี้ได้แต่เตรียมความพร้อมว่าอย่างน้อยวันนั้นจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ไทยอย่างไม่มีความทุกข์ให้ได้ ... คือต้องรวยสินะ

คงไม่มีวันนั้น ...

จะย้ายมาอยู่เมกายาว ... แม่งก็มีทรัมป์อีก 😒

28 Nameless Fanboi Posted ID:vPVs026wdH

ปกป้องครอบครัวจากศาสนา

สังเกตและคิดเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว เกี่ยวกับว่า โดยรวม สังคมได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าศาสนา(ไม่ใช่แค่คำสอนนะในที่นี้รวมไปถึงองค์กร ศาสนิก และกิจกรรมต่างๆด้วย) มากกว่าเสียประโยชน์รึเปล่า

ถ้ามองแบบเป็นกลางเลย วิธีมองแบบเป็นกลางเลยที่คุณจะทำได้คือ มองตัวเองเหมือนไปอยู่ท่ามกลางผู้คนในศาสนาอื่น เช่น ถ้าเป็น พุทธก็ตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าไปอยู่ในดงคริสต์แบบเข้มข้น หรือดงอิสลาม แล้วสังคมรอบข้างที่คุณไปอยู่รู้ว่าคุณเป็นพุทธจะเกิดอะไรขึ้น หรือในทางกลับกัน ถ้าเป็นคริสต์ก็คิดว่าไปอยู่ในดงพุทธหรือดงอิสลาม อิสลามก็ไปอยู่ในดงคริสต์หรือพุทธ แล้วมอง สังเกต สังเกตผลโดยรวม วิธีนี้อาจจะมองแบบใกล้เคียงความเป็นกลางออกมาได้

คราวนี้คุณมีลูก บรรดานักชวนต่างศาสนาต่างๆก็พากันชักชวนให้ "เข้ารีต" ความเชื่อนั้น ถึงจุดนี้คุณน่าจะอึดอัดใจ อาจด้วยมุมมองว่าศาสนาอื่นนั้น หลอกลวง หรือ แม้แต่แย่ ถึงตอนนี้คุณอาจจะลิสต์มาได้ยาวเป็นหน้ากระดาษว่าทำไมไม่ควรไปนับถือศาสนาอื่น นั่นล่ะข้อเสียศาสนาอื่น และเช่นกัน คนอื่นเขาก็ลิสต์ของศาสนาคุณที่คุณมองข้ามได้

เมื่อเอาตรงข้อเสียมาทาบกัน อาจจะต้องประหลาดใจ ข้อเสียราว 80% อาจจะตรงกัน ซึ่งมันก็มีหลายอย่างที่สังคมต้องเสียประโยชน์ให้ศาสนา เช่น "การทำร้ายสังคมโดยอ้างชุดความดีของศาสนา" ตรงๆเลยคือฆ่าคนเห็นต่าง หรือทำร้ายร่างกาย

ข้อเสียหลักๆของมันอีกคือทำให้คนงมงาย แยกเรื่องจริงจากเรื่องเหลวไหลหรือความเกี่ยวโยงกันของสาเหตุกับผลลัพท์ไม่ได้ แบบชัดๆเลยก็เช่น เรื่องผู้หญิงถูกสร้างจากซี่โครงผู้ชาย, พระเจ้าปั้นผู้ชายจากดิน, จากน้ำ, ตาแก่อาหรับขี่ม้าเหาะได้, ตาแก่อาหรับเอาดาบตัดดวงจันทร์เป็นสองซีก, เด็กดินเดียเกิดมาเดินได้7ก้าว, ปาฏิหารย์กะลาลอยทวนน้ำ, พระเหาะไปเก็บบาตรบนยอดเสา, เหาะขึ้นสวรรค์ลงนรก

หรือเรื่องเหลวไหลแบบคลุมเครือกว่านั้นเช่น เชื่อเรื่อง บุญ กรรม ชาตินี้ชาติหน้า สวรรค์ นรก พระเจ้า เทวดา ผี แบบนี้ เจ้าการเชื่อเรื่องบุญกรรมนี่มีข้อเสียมาก พวกขี้แพ้มักใช้เป็นข้ออ้างเช่น ชาติก่อนทำบุญมาน้อยอะไรแบบนี้ หรือให้องค์กรศาสนาแสวงประโยชน์ได้ เช่น เอาปลานักล่าต่างถิ่นปล่อยไปทำลายระบบนิเวศน์ในแหล่งน้ำแล้วได้บุญ หรือ เผากระดาษเคลือบตะกั่วทำลายสิ่งแวดล้อมแล้วบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะได้บุญจะสุขสบาย เรื่องไร้สาระทั้งนั้น

ล่าสุดก็เห็นศาสนิกก็อ้างความเชื่อบุกโรงเรียน ไปตีเด็กที่กำลังสอบอยู่ พวกศาสนิกนี่สร้างปัญหามาก ปัญหาเล็กๆอย่างบุกโรงเรียน ปิดเมืองเดิน หรือ ปัญหาใหญ่ๆอย่างสงครามครูเสด,จีฮัดหรือสงครามชาวพุทธ ตามด้วยวาทกรรมเท็จว่า "ศาสนาไม่ผิด คนผิด" ระยำจริงๆ สงครามที่อ้างเนื้อหาในคัมภีร์(คำสอน) โดยองค์กรและผู้นำศาสนา ให้ศาสนิกไปฆ่าคนกลุ่มอื่น(ครบหมด ทั้งคำสอน คนสอน และผู้นับถือ คือ เน่าทั้งองค์รวม)

ศาสนาไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสังคม มันถูกออกแบบมาให้คนกลุ่มเล็กๆแสวงประโยชน์และชักจูงคนอื่นไปทำงานสกปรกให้ตนหรือสร้างอำนาจทางการเมืองมากกว่า เป็นการโกหกที่ผู้ถูกหลอกไม่ต้องการจะมองออก(เช่น อาจเพราะกลัวบาปจึงไม่กล้าแม้แต่จะคิด หรือเพราะกลัวเสียหน้าที่เชื่อเรื่องเหลวไหลมาตลอด หรือเสียดายกิจกรรมเหลวไหลที่ทำลงไป หรืออายไม่อยากยอมรับว่าตัวเองโดนหลอก หรืออาจแค่...โง่)

แล้วมีวิธีไหนในการปกป้องตัวเองและครอบครัวจากศาสนามั่ง?

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

29 Nameless Fanboi Posted ID:f3mjQpyBY7

>>27 ควย inequality gap เมกาเยอะชิบหาย ถ้ามึงย้ายไปสแกนดิเนเวียก็อีกเรื่อง ไปเมกาแล้วเสือกกระแนะกระแหนทำตัว humble brag บอกว่าไทย gap เยอะ
ขำหวะสัส
ปล. กูไม่ได้ด่าคนก็อปมาแปะที่นี่นะกูด่าเจ้าของข้อความนี้ 5555

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.