ว่าด้วยเรื่องของ #การทำเลสิก
ไม่ได้มาแบบวิชาการนะ
แต่ขอเล่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากคนใกล้ตัว
แฟนเราไปทำเลสิกมาประมาณเกือบ 1 ปีที่แล้ว
กับศูนย์รักษาเฉพาะทางดวงตาชื่อดังในกรุงเทพ
ซึ่งราคาที่ไปทำ รวม ๆ แล้วคือ 100,000+
เนื่องจากอาชีพเป็นแพทย์ที่ต้องก้ม ๆ ผ่าตัดรักษา
ใส่แว่นแล้วมันไม่สะดวกจริม ๆ ก็เลยตัดสินใจทำ
ก่อนตรวจ ผลความหนาของกระจกตาปกติดี
ไม่มีปัญหาอะไรเลย หมอบอกว่า อาการข้างเคียง
จะหายไปประมาณ 3-6 เดือน
แต่จนถึงตอนนี้ แฟนเราก็ยังประสบปัญหามาตลอด
เช่น ตาแห้ง แสบตา แสงกระจาย เยื่อบุอักเสบ
ซึ่งทำให้ชีวิตประจำวันลำบากมาก
และเสียเงินกับค่าบำรุงเหล่านี้ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ
5,000 บาท บางเดือนแตะหลักหมื่น
จากค่าน้ำตาเทียม ค่ายา ค่าตรวจ
ค่าอาหารเสริมบำรุงสายตา
ไม่รวมค่าเดินทางที่ต้องไปหาหมอเดือนละ 1-2 ครั้ง
นอกจากนี้ยังมีที่ต้องใส่ติดตัว คือ แว่นกันลม
ไม่ใช้แว่นสายตา แต่ต้องมาใช้แว่นอื่นซะงั้น
ดูแปลกพิลึกไปอีก ไปไหนคนก็ทัก
นึกว่าจะไปดำน้ำอะไรงี้ หน้าตามันคล้าย snoggle
สรุปแล้วเปลืองกว่าค่าตัดเลนส์แต่ละครั้งรวม ๆ กัน
ทำให้เราค่อนข้างไบแอสการทำเลสิก
และหมอที่ทำให้ รวมถึงเจ้าหน้าที่คนตรวจทั้งหลาย
ไปตรวจทีไร ก็เจอเป่าลมวัดแรงดันตา
ตาก็แย่ไปอีก โดนแสงส่องแว๊บ ๆ บ่อย ๆ จนพร่า
จนสุดท้ายคือ #หมอห้ามขับรถ เด็ดขาด
เรารู้สึกสงสารแฟนมากมาย ที่ต้องเจอปัญหาแบบนี้
บางครั้งเขาก็เครียดถึงขั้นคิดว่าตาจะบอดมั้ย
เอาล่ะ... เราก็ยินดีด้วยที่เห็นเพื่อนในเฟสหลายคน
ไปทำแล้วรู้สึกชีวิตสดใสขึ้น หวังว่าคงไม่เจอ
ปัญหาต่าง ๆ นานาแบบแฟนเรา
ซึ่งนับว่าโอกาสน่าจะ 1 ใน 100 คน
ข้อคิดจากเรื่องทำเลสิกก็คือ
1. ถ้าการใส่แว่นไม่ได้กระทบอาชีพ ไม่อยากให้ทำ
2. ทำแล้วถ้าเกิดปัญหากับดวงตา หมอก็ช่วยไม่ได้
3. หลังจากทำแล้วต้องถนอมสายตามาก ๆ
เพราะมีโอกาสที่จะกลับมาสายตาสั้นอีก
4. กระจกตาจะบางลง ๆ ถ้าต้องไปเลเซอร์ซ้ำ
มันย้อนเวลาหรือไปเพิ่มกระจกตาไม่ได้
#ขอให้คิดดีๆ
5. ใส่แว่นก็เท่และดูน่ารักนะ หนุ่มแว่นสาวแว่น
.
.
.
ส่วนเราสายตาดีอยู่แล้วก็ควรถนอมมันต่อไป
เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงิน 😅
#ถ้าคิดว่าดีก็แชร์ไป