มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง
https://fanboi.ch/lounge/2603/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 2nd quotes
https://fanboi.ch/lounge/3016/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 3rd quotes
Last posted
Total of 1000 posts
มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง
https://fanboi.ch/lounge/2603/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 2nd quotes
https://fanboi.ch/lounge/3016/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 3rd quotes
สิ่งที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ #กระทำกับผู้ถูกกล่าวหา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินสหกรณ์เพียง 8% ของเงินทั้งหมดที่เป็นปัญหา
(โพสต์นี้คือเรื่อง #สิทธิมนุษยชน เท่านั้นไม่เกี่ยวกับความเชื่อ)
- ตัดสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีกำหนด
- ตัดอินเตอร์เน็ตไม่มีกำหนด
- ตัดการลำเลียงอาหาร
- ปิดทางเข้าออกทุกประตู
- พระเณรไปสอบบาลีไม่ได้ เพราะถ้าออกไปแล้วจะกลับวัดไม่ได้
- ยึดเกือบทุกอาคาร
- ข้างในอาคารพยาบาล มีพระป่วย ฉุกเฉิน ติดต่อไม่ได้
#จิตใจทำด้วยอะไร นี่อย่าลืมนะว่าศาลยังไม่ตัดสินว่าผิดหรือถูก เป็นแค่ #ผู้ถูกกล่าวหา ในคดี #รับของโจร #ร่วมกันฟอกเงิน
เงินที่เหลืออีก #หมื่นกว่าล้าน ตามหาหนักเท่านี้ไหม นี่แค่เงิน #พันล้านต้นๆ ยังขนกำลังมาขนาดนี้
หมื่นกว่าล้านที่เหลือไม่ #ขนมาทั้งกองทัพ เลยหรือ
ศิษย์ก็รวมเงินกันใช้ไป 1,055,560,000 บาท เพื่อช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ #ทั้งที่ศาลยังไม่ตัดสินว่าผิดจริงไหม
เจ้าทุกข์ คือ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นได้รับเงินเยียวยาแล้ว ยกฟ้องทั้งแพ่งและอาญา (คดีนี้เป็นอาญายอมความกันได้ ไม่ใช่อาญาแผ่นดิน)
สิ่งที่น่าสงสัย คือ ผู้ถูกกล่าวหาคดีประเภทนี้ทั่วประเทศมีเป็นพันเป็นหมื่นคน #ที่ยังไม่ถูกจับ แต่ทำไมใช้กำลังตำรวจและทหารกันหลายพันคน รวมถึงประกาศ ม.44 เพื่อเร่งจับคนๆ เดียวให้ได้?
หมดงบประมาณไปตอนนี้แล้วเกือบ 30 ล้านบาท และจะเผางบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจับได้!
#ทำไมไม่มอบตัว ก็เพราะเขาไม่ไว้ใจในกระบวนการยุติธรรม #แบบดีเอสไอ ใครกล้ารับประกันความปลอดภัยในชีวิตได้บ้าง?
คราวที่แล้ว คดีตับแตก #ถูกทำให้ตาย กล้องวงจรปิดเสีย สุดท้ายก็เงียบ
วันที่ 25/05/59 เชิญเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหา รองอธิบดี DSI บอกว่า #มันเลยขั้นตอนนั้นไปแล้ว ทั้งที่ ป.วิ.อาญา บอกว่า #แจ้งข้อหาที่ไหนก็ได้
ทำไมไม่เข้ามาแจ้งข้อกล่าวหา
ถ้าไม่ยึกยักมาตั้งแต่วันนั้นก็จบไปแล้ว!
พอไม่เข้าไปแจ้ง ก็มาประโคมข่าวว่าไม่ให้ความร่วมมือ เพื่อลากให้มันถึงจุดที่ว่า #ธรรมกายขัดขืน ไม่ร่วมมือกับทางการ แล้วก็ยกระดับกันมาเรื่อยๆจน ถึงขั้นต้อง #ยึดวัด ของเขา
ทำอย่างกับคดีค้ายาเสพติด หรือจับผู้ก่อการร้าย
พยายามจะทุ่มทุกทางเพื่อจับให้ได้ เพราะถ้าจับได้แล้วต้องถูกขัง พระธัมมชโยจะถูก #จับสึกทันที ตาม พรบ.สงฆ์
#แค่นี้ก็บรรลุเป้าหมายขั้นต้นแล้ว
ดีเอสไอ การันตีได้ไหมละว่า
- #ไม่ถูกจับสึก เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในเพศสมณะ
- #ไม่ถูกทำให้ตาย
แค่นี้การันตีไม่ได้ ใครเขาจะไว้ใจ
กฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนแบบเกินกว่าเหตุ แบบไร้เหตุผล จริงไหม?
ติดตามกันให้ดีนะครับ เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่จับพระ #ธัมมชโย อย่างเดียวแน่นอน มันต้องมีมากกว่านั้น ไม่งั้นคงไม่เล่นสุดตัว ลงเต็มเหนี่ยวแบบไม่มีถอยขนาดนี้!
อายุความเป็นสิบปี แต่เร่งกันเอาเป็นเอาตายแบบนี้ มีวาระอะไรซ่อนอยู่กันแน่ #ฝากไว้ให้คิด
อิทธิพลเยอะเกินหน้าเกินตาขาใหญ๋ประเทศบราซิลต้องจัดการแบบปี 48-49
"มีคนโดนตั้งข้อหาหมิ่นศาสนาเพราะอัปโหลดคลิปตัวเองเผาอัลกุรอานครับ
ตอนแรกเห็นข่าวแวบๆ นึกว่าเป็นพวกประเทศมุสลิม อ่าวไม่ใช่
เดนมาร์กครับ
คิดดูแล้วกันครับว่า ทุกวันนี้เดนมาร์กมีประชากรมุสลิมเท่าไหร่ ยัง sensitive ขนาดนี้ ถ้าในอนาคตมุสลิมมีเพิ่มขึ้น เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นจะเป็นยังไง?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมอ่ายเรื่องลุงวิศวะ ยิงม.4แล้วก็เกิดความคิดพิเรนท์ข้อหนึ่งคือ เราควรไปลงชื่อเสนอให้ออกกฏหมายใหม่ ให้อนุญาติคนพกปืนไว้บนรถ ได้ แต่ต้องพาไปตรวจสุขภาพจิต,อบรมกฏหมายป้องกันตัวการใช้อาวุธปืนให้ถูกต้องก่อน และการจะพกได้ต้องเอาสติกเกอร์ไปแป่ะวงกบหน้าต่าง ข้อความ “รถคันนี้มีปืน “ ไว้ด้วย ถ้าไม่มีสติกเกอร์นี้แต่ตำรวจค้นเจอก็ลงโทษกันไป
หากสติกเกอร์ รถคันนี้มีปืนมันรู้เป็นสากล โศกนาตกรรมแบบลุงวิศวะ คงไม่เกิด คนบนท้องถนนคงอ่อนน้อมขึ้น ไม่มีเด็ก(แต่หมอยขึ้นแล้ว) ออกมารุมล้อมแล้วต่อยลุงวิศวะหรอก
มันตลกตรงไหน?
ความล้าหลังงมงายของศาสนานั่นก็เรื่องนึงครับ ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าพอศาสนาล้าหลังงมงายแล้วใครจะทำอะไรกับศาสนาหรือศาสนิกโดยไม่เป็นธรรมยังไงก็ได้
มันคนละเรื่อง ต้องแยกแยะ ถ้ามีมีปัญญาพอจะแยกแยะได้อ่ะนะ
ไอ้ที่เพจ ลิเบอร่านมั้ยล่ะมึง เห็นว่าเรื่องนี้มันตลก ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมคิดว่าคงเพราะเพจนี้โง่เกินกว่าจะแยกแยะได้เท่านั้นเอง
ซึ่งถามว่าถ้าวันดีคืนดีมีคนจะจับแอดมินเพจนี้ไปเผาทั้งเป็น ผมควรเห็นด้วยมั้ย ในฐานะคนที่เห็นว่าเพจนี้มันโง่?
ไม่เลย ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว และถ้าปมออกมาย่อมต้องคัดค้านประณามก็ไม่แปลก ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าผมเลิกมองว่าเพจนี้โง่ หรือแปลว่าผมย้อนแย้ง แต่นั่นเป็นเพราะจุดยืนผมคือ ต่อใหเพจนี่มันโง่ยังไงก็ไม่ควรไปจับเขามาเผาทั้งเป็น แค่นั้นเอง
พอเข้าใจมั้ย?
ปล. จริงๆ Atheist นี่แค่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้านะ
บางคนอาจจะเชื่อว่ามีวิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ (ที่ไม่ใช่ในแบบพระเจ้าผู้สร้างโลกสร้างจักรวาล) ก็ยังถือเป็นเอทิสต์ได้
(ซึ่งแน่นอน ถ้าเอทิสต์จะมีศาสนาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก)
ส่วนผม, ผมพูดในฐานะที่เป็นคนที่ไม่นับถือศาสนา (ถ้าใครไปดูโพรไฟล์ผม จะเห็นว่าในช่องศาสนาผมใส่ว่า irreligious)
และไม่ใช่แค่นับถือ แต่เอาเข้าจริงผมต่อต้านด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าผมจะเห็นด้วยทุกกรณี ไม่ว่าใครจะไปทำอะไรกับศาสนา/ศาสนิก
ต่อต้านศาสนามันก็ต้องต่อต้านอยู่บนหลักการครับ ไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้ไม่สนใจวิธีการ
(ซึ่งผมไม่คาดหวังให้เพจนี้เข้าใจเท่าไหร่หรอก ที่เขียนนี่จริงๆแล้วเขียนให้คนอื่นอ่าน)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"6555555 ขำกระทู้นี้ ทอปเม้นมาตอบว่าดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจะไม่พอแดกตรงไหน แต่แม่งเห็นชื่อล๊อคอินแล้ว อ้าวคนนี้แก passive income หลักร้อยล้าน. สงสาร จขกท"
https://pantip.com/topic/36141998
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Then they use it against Dhammakaya, and I did not speak out--
Because I was not a Dhammakaya worshipper.
Then they use it against me-- and there was no one left to speak for me.
เอิ่ม โดนแม่ยึดบัตรเดบิตเพราะสาเหตุที่ตัวเองไม่ได้ก่อ... คือ...พ่อกูขอบัตรไปกดเงินห้าพันเพราะบังคับจะพากูไปหาหมอผิวหนังแล้วจะให่จ่ยเอง (เกษียณแล้ว ชอบอ้างว่าไม่มีรายได้ๆตลอดเวบาพูดเรื่องค่าใช้จ่าย) บอกว่าไม่ต้องเยอะขนาดนั้นก็ไม่เชื่อ สุดท้ายเป็นไง จ่ายแค่สี่ร้อย ฝ่ายแม่กูก็คนถือสมุดบัญชี รู้ความเคลื่อนไหวเงินในบัญชีกูตลอด ทีนี้เขาก็ไม่พอใจฝ่ายนั้นแล้วมายึดบัตรกูเฉย ปกติก็ไม่ได้ใช้อะไรมากนักอยู่แล้ว แต่แบบ...ก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดีว่ะ กูทำงานฟรีแลนซ์ที่บ้าน พ่อก็บ่นจัง ไม่พอจุนเจือ งั้นงี้ ไปเรียนอะไรมาต้องใช้หาเงินได้สิ ทุกอย่างคือต้องทำเงินให้ได้หมด ทั้งที่งานปกติก็พอใช้อยู่แล้วแต่เหมือนไม่เคยพอสำหรับเขาเลยว่ะ เฮ้อ
"ขาดความเป็นมนุษย์นี่แม่งต้องแดกมนุษย์นะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตะกี้เล่าให้คุณภรรยาฟังว่าหนังสือ swarm intelligence เล่มที่เอด้าหยิบมาเล่น นี่เก่าแล้ว ซื้อมา 15 ปีก่อน ... แต่เพิ่งจะฮิตกันไม่นานนี้
คุณภรรยาถามว่าทำไม ก็เลยบอกไปว่า เทคโนโลยี ปริมาณข้อมูล และอื่นๆ หลายต่อหลายอย่าง มันเพิ่งจะพร้อมไม่นานนี้ แต่ทฤษฎีมันมีมานานแล้ว และ refine มาเรื่อยๆ ... เทคโนโลยีมันตามหลังทฤษฎีอยู่หลัก 10 ปีนี่เรื่องปกติ (พวกทางคอมฯ นี่หลายเรื่องยังถือว่าเร็วนะ สาขาอื่นนี่บางทีเป็นร้อยปี)
นี่คือเหตุผลว่าทำไมควรเรียนทฤษฎี (แบบที่เป็นทฤษฎีจริงๆ รวมถึงโมเดลเชิงทฤษฎีต่างๆ ... ไม่ใช่การท่องจำสไลด์ที่มีแต่วิธีทำแล้วเรียกว่าทฤษฎี).... เพราะมันเป็นทางเดียว (exaggerate นิดๆ นะ) ที่จะเห็นอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้จริงแบบชัดๆ
"ได้ข่าวลุงผูกคอตายจริงๆเรื่องธรรมกาย
คนไร้ศาสนาแบบผมก็ได้แต่สลดใจ เข้าไปอ่านคอมเม้นใน live เหล่าคน "พุทธแท้" ที่พยายามจะถีบ "มาร" แบบธรรมกายออกจากความ "แท้" ของตัวเอง
อ่านแล้วก็เห็นความแท้ของพวกมันจริงๆ
"ตายๆไปซะ" "โดดเลยสิวะถ้าแน่จริง"
พอลุงตายแล้ว มันก็เม้นต่อไปว่าไม่แคร์
บ้างก็ทำเป็นบอกว่า ลุงไม่ควรต้องทำเพื่อพระเลวๆ
โถ่..พุทธแท้นี่แม่งช่างสูงส่งจริงๆครับ
คราวหลังมึงอย่าได้หลงระเริงว่าพุทธรักสงบเชียวนะ ก็ความโง่และความตอแหลจงใจหลับหูหลับตาด่าธรรมกายอย่างไร้มาตรฐาน มันบีบให้คนคนหนึ่งเขาต้องปกป้องเสรีภาพในความเชื่อของตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย
พวกมึงไม่ต้องโบ้ยให้มุสลิมว่าต่ำช้า อยู่ที่ไหนก็เดือดร้อน ไม่ต้องโบ้ยมุสลิมว่าใจแคบ
ไม่ต้องโบ้ยคริสตชนว่าตอแหล งมงายเรื่องพระเจ้า
คนแบบพวกมึง แม่งก็ครบเครื่องในตัวเองอยู่แล้ว ส่องกระจก แล้วยิ้มให้ตัวมึงเองเถอะครับ ว่าความพุทธแท้ของมึง ได้สูงส่งถึงขีดสุด แล้วถีบคนต่ำต้อยลงสู่ความตาย
#ไม่ชอบธรรมกาย #แต่กูก็ไม่ชอบพวกมึงเหมือนกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อันศาสนาพุทธนั้นมีเป้าหมายเพื่อปล่อยวางจากความทุกข์ให้ได้ดีที่สุด
การฆ่าตัวตายนั้นจึงไม่ใช่วิถีพุทธ เพราะเป็นการกระทำที่ ยึดติดมาจากความทุกข์ เช่นนั้นแล
กุมภา: สวัสดีค่ะ
ผม: สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งปีนึง
กุมภา: ก็เรื่อยๆ เหงาๆ หน่อยค่ะ
ผม: คุณยังโสดเหรอ?
กุมภา: มีแฟนแล้วค่ะ แต่ไม่รู้สิ ไม่รู้สึกว่ามีแฟนเลย
ผม: ทำไมล่ะ ไม่ค่อยได้เจอกันเหรอครับ
กุมภา: อื้ม ประมาณนั้นแหละ แล้วคุณล่ะ เป็นไงบ้าง มีใครหรือยัง?
ผม: มีคนคุยด้วยครับ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นแฟนนะ
กุมภา: แปลว่าฉันก็ยังมีโอกาสสินะ
ผม: โห… คุณ มาถึงก็หยอดแรงเลยนะ
กุมภา: แหม ฉันล้อเล่นน่ะ ฉันมีแฟนแล้ว
ผม: ครับ คุณมีแฟนแล้ว
.
1 กุมภา
กุมภา: คุณคิดว่าฉันแรดมั้ย?
ผม: แรดครับ อิ อิ
กุมภา: แหม ตอบตรงจริงนะ แล้วจริงมั้ยว่าผู้ชายชอบผู้หญิงแรดๆ
ผม: อยู่ที่ว่าแรดแบบไหนนะ ผู้หญิงแรดน่าจะหมายถึงผู้หญิงที่เป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชายก่อน ถึงเนื้อถึงตัวได้ง่าย ซึ่งผู้ชายก็ชอบอยู่แล้วล่ะ อยู่เฉยๆ ก็มีผู้หญิงเข้ามาสนใจตัวเขา แต่ถ้าแรดแบบรุกหนักๆ ก็น่ากลัว
กุมภา: แบบนี้ผู้หญิงเรียบร้อยก็ลำบากสิ ผู้ชายไม่ชอบ
ผม: ไม่หรอก ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงเรียบร้อยก็มีอยู่ ก็เหมือนผู้หญิงบางคนก็ชอบผู้ชายเจ้าชู้ เพราะผู้ชายเจ้าชู้รู้จักวิธีทำให้ผู้หญิงหลงรักเขาได้ แต่ผู้หญิงบางคนก็ชอบผู้ชายนิ่งๆ เฉยๆ ก็มี
กุมภา: แล้วผู้ชายอย่างคุณนี่ชอบผู้หญิงแรดหรือเรียบร้อยคะ?
ผม: แล้วผู้หญิงอย่างคุณชอบผู้ชายเจ้าชู้หรือนิ่งๆ ครับ?
.
2 กุมภา
กุมภา: ถ้าผู้หญิงสักคนจะอ่อยคุณ ทำยังไงถึงจะได้ผลและดูไม่น่าเกลียด?
ผม: ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนสำคัญของเธอ แต่เธอก็อย่าทำให้ตัวเองดูง่ายเกินไปสำหรับผม
กุมภา: ต้องทำยังไงคุณถึงจะรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ?
ผม: ปฏิบัติกับผมให้แตกต่างจากที่ทำกับคนอื่นไง เช่น ปกติไม่ทำขนมให้ใครหรอกนะ แต่ทำมาให้ผมเป็นพิเศษ ปกติไม่พูดว่าคิดถึงกับใครหรอกนะ แต่พูดให้ผมฟังคนเดียว อะไรแบบนี้ เวลามีคนเอาขนมมาให้ มีคนบอกคิดถึง ผมย่อมรู้สึกดีอยู่แล้วล่ะ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่กินหรอกนะ แต่เพราะผมเป็นคนพิเศษสำหรับเธอ เธอถึงทำอะไรที่พิเศษให้ผม
กุมภา: บอกคุณว่าคิดถึงแบบนี้ไม่ดูง่ายไปเหรอ
ผม: คิดถึงก็บอกว่าคิดถึง ผู้หญิงที่พูดความรู้สึกตัวเองออกมาแบบนี้น่ารักดีออก แต่อย่าถึงขั้นพูดในเชิงที่ส่อไปถึงเรื่องบนเตียง แบบนี้ง่ายเกินไปจนน่ากลัว
กุมภา: อื้ม งั้นฉันคิดถึงคุณนะ
ผม: มามุกไหนล่ะเนี่ย
กุมภา: ไม่ได้มุก คิดถึงจริงๆ ค่ะ
.
3 กุมภา
กุมภา: ถ้าจะซื้อของขวัญให้ผู้ชาย ควรซื้ออะไรดี? ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
ผม: ซื้อของที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเขา และเขาใช้ประโยชน์ได้จริงครับ
กุมภา: พวกเสื้อผ้า เนคไท อะไรแบบนี้เหรอคะ?
ผม: พวกเสื้อผ้าก็ดีนะ ใช้งานได้จริง แต่ดูพื้นๆ ไปหน่อย อาจมีปัญหาเรื่องไซส์ด้วย ให้ลองสังเกตดูว่าเขาชอบงานอดิเรกอะไร เช่น ถ้าชอบปลูกต้นไม้ ลองซื้อ gadget สำหรับดูแลต้นไม้ ถ้าชอบทำอาหาร ก็ซื้อพวก gadget ในห้องครัว ถ้าเป็นคนตามติดเทคโนโลยี ก็หา gadget ไอทีล้ำๆ ให้ แต่อย่าเป็นพวก power bank ก็พอ
กุมภา: แล้วผู้ชายอย่างคุณได้ของขวัญแบบไหนแล้วจะรู้สึกดีกับคนให้เหรอคะ?
ผม: คุณจะซื้อของขวัญให้ผมเหรอ?
กุมภา: ไม่บอกค่ะ ;-P
ผม: งั้นผมก็ไม่บอก 8-P
.
4 กุมภา
กมภา: เล่นเกมผลัดกันถามคำถามกัน
ผม: คุณเริ่มก่อนเลย
กุมภา: คุณชอบหมาหรือแมวมากกว่ากัน?
ผม: ชอบหมามากกว่า ชอบเวลากลับมาบ้านแล้วมันวิ่งมาหาด้วยความดีใจ เวลาเบื่อๆ เซ็งๆ ไปนั่งเล่นกับหมาแล้วจะรู้สึกมีพลังขึ้นมาเลย ส่วนแมวก็ชอบนะ แต่รู้สึกเหมือนเป็นทาสมันไปหน่อย … คุณชอบกาแฟหรือน้ำส้ม?
กุมภา: ชอบกาแฟ ชอบกลิ่นหอมของกาแฟ รู้สึกสดชื่นดี … วันหยุดคุณชอบอยู่บ้านหรือออกไปเที่ยว?
ผม: ชอบอยู่บ้าน ทำอาหาร เล่นเน็ต อ่านหนังสือ ดูทีวี เป็นคนติดบ้านครับ จะออกนอกบ้านต่อเมื่อตั้งใจไปซื้อของ หาอะไรกินนอกบ้าน หรือไม่ก็มีนัด … คุณชอบคุยโทรศัพท์หรือแชท?
กุมภา: ชอบแชทค่ะ โดยเฉพาะเวลาแชทกับคนที่ชอบ รู้สึกว่าไม่รบกวนอีกฝ่ายดี สะดวกก็ค่อยคุยกลับมา … คุณชอบทะเลหรือภูเขา?
ผม: ชอบทะเล ชอบเวลาที่เดินชายหาดกุมมือกับคนรัก โรแมนติกดี … คุณชอบผู้ชายมีซิกแพ็คหรือมีพุง?
กุมภา: ชอบผู้ชายมีพุงที่ชอบหมา ชอบอยู่บ้าน ชอบทะเล และชอบกุมมือคนรักเดินชายหาดค่ะ
.
5 กุมภา
กุมภา: ถ้าผู้หญิงแอบชอบผู้ชายแต่ยังไม่เคยคุยด้วยเลย จะเป็นฝ่ายเริ่มคุยยังไงให้ดูไม่น่าเกลียดดีคะ?
ผม: คุยเรื่องอาชีพการงานที่เขาภาคภูมิใจ หรืองานอดิเรกที่เขาชื่นชอบดูครับ เช่น ถ้าผู้ชายเป็นวิศวกรสร้างตึก ลองคุยเรื่องตึกที่เขาสร้างแล้วภูมิใจที่สุด ถ้าผู้ชายชอบอ่านหนังสือ ลองถามว่าเขาชอบอ่านหนังสือแนวไหน มีเล่มไหนแนะนำบ้าง จะได้ลองไปหาอ่านดูบ้าง
กุมภา: แล้วถ้าอยากนัดเจอเขาล่ะคะ ควรชวนยังไงดี?
ผม: ลองนัดเพื่อขอคำปรึกษาในเรื่องที่เขาถนัดสิครับ เช่น กำลังมีแผนจะซ่อมบ้าน อยากขอคำปรึกษาหน่อย ขอเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนมื้อนึง หรือนัดที่ร้านกาแฟเก๋ๆ สักร้าน เพื่อขอยืมหนังสือที่เขาเชียร์ว่าน่าอ่าน
กุมภา: ที่บริษัทฉันกำลังมีแผนจะปรับปรุงเว็บ คุณจะสะดวกมั้ยคะถ้าฉันจะนัดเจอเพื่อขอคำแนะนำหน่อย
ผม: สัปดาห์นี้ไม่สะดวกเลยครับ คงต้องเป็นสัปดาห์หน้าเลย คุณสะดวกมาแถวออฟฟิศผมมั้ย เดี๋ยวจะพาไปกินอะไรอร่อยๆ
.
6 กุมภา
ผม: พรุ่งนี้ผมไปฮอกไกโดนะ
กุมภา: ไปเที่ยวเหรอคะ?
ผม: ใช่ครับ เที่ยวเทศกาลฤดูหนาว
กุมภา: ดีจัง ไปกับใครเอ่ย?
ผม: เดี๋ยวก็รู้ :-)
กุมภา: อื้ม ขอให้สนุกกับคนที่ไปด้วยนะคะ
.
7 กุมภา
ผม: ถึงฮอกไกโดแล้วนะครับ
กุมภา: ค่ะ
.
8 กุมภา
ผม: วันนี้ฮอกไกโดหนาวมากเลยครับ
กุมภา: ค่ะ
ผม: คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่ค่อยคุยเหมือนปกติ
กุมภา: เปล่าค่ะ
ผม: ผมคิดว่าคุณคงมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่ยังไม่อยากพูดตอนนี้ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ช่วยเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ?
กุมภา: ค่ะ
.
9 กุมภา
กุมภา: อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นกับคุณบ้าง
ผม: เอาสิครับ ทริปหน้าผมอยากไปคิวชู ไว้ไปด้วยกันได้นะ
กุมภา: แล้วคนที่อยู่ฮอกไกโดกับคุณตอนนี้จะไม่ว่าเหรอ
ผม: อ๋อ แม่ผมเหรอ ไม่ว่าหรอก
กุมภา: อ้าว ฉันนึกว่าคุณไปกับผู้หญิงที่คุณคุยอยู่ซะอีก
ผม: เปล่าครับ ผมพาแม่มาเที่ยว ว่าแต่คุณเถอะ อยากเที่ยวกับผม แล้วแฟนคุณจะไม่ว่าเอาเหรอ
กุมภา: อืม นั่นสินะ
.
10 กุมภา
กุมภา: จะกลับไทยหรือยังคะ?
ผม: บินกลับพรุ่งนี้ครับ
กุมภา: ฉันเลิกกับแฟนแล้วนะคะ
ผม: หาาา!
กุมภา: รีบกลับนะคะ คิดถึง
.
11 กุมภา
ผม: ถึงไทยแล้วนะครับ
กุมภา: เหนื่อยมั้ยคะ
ผม: เหนื่อยครับ เดินทางเยอะๆ แล้วเพลีย
กุมภา: ฉันก็เหนื่อย
ผม: คุณไปไหนมาเหรอ
กุมภา: เหนื่อยใจกับเรื่องหัวใจ
ผม: จริงด้วย เห็นเมื่อวานเล่าว่าเลิกกับแฟนแล้ว
กุมภา: คนที่ไม่ใช่คบไปก็เหนื่อย ยิ่งมาตื๊อมากๆ ก็ยิ่งเหนื่อยที่จะปฏิเสธ
ผม: คงคล้ายๆ เวลาที่เรารู้สึกกับใครสักคน แต่เขาไม่รู้สึกอะไรกับเรา เราก็เหนื่อยกับการพยายามให้เขารู้สึกกับเราบ้าง
กุมภา: ตอนนี้ฉันเหนื่อยทั้งสองด้านเลยค่ะ ทั้งด้านที่ต้องปฏิเสธการถูกตื๊อ และด้านที่พยายามทำให้ใครสักคนรู้สึกกับฉันบ้าง
ผม: ใครคนนั้นคือใครเหรอครับ?
กุมภา: ยังจะถามอีก!
.
12 กุมภา
กุมภา: พรุ่งนี้คุณมีนัดกับใครหรือยังคะ?
ผม: มีนัดประชุมตอนบ่ายครับ ทำไมเหรอ?
กุมภา: ฉันหมายถึงนัดวันวาเลนไทน์ค่ะ
ผม: เอ้า พรุ่งนี้วันวาเลนไทน์แล้วเหรอเนี่ย ถ้าเป็นตอนเย็นก็ไม่มีนัดอะไรนะ
กุมภา: ฉันก็ไม่มีนัดเหมือนกันค่ะ
ผม: อ๋อ ครับ งั้นก็อยู่คุยกันตามประสาคนโสดละกันเนอะ
กุมภา: ...
.
13 กุมภา
กุมภา: ไปส่องเฟสแฟนเก่ามา เห็นโพสต์รูปดอกกุหลาบด้วย สงสัยจะมีคนใหม่แล้ว
ผม: ไวจังเนอะ เลิกกันไม่กี่วันเอง
กุมภา: นั่นสิ ถ้าเป็นคุณจะรู้สึกยังไงที่แฟนเก่าไปมีคนใหม่เร็วจัง
ผม: ก็คงสงสัยว่าไปคุยกันตอนไหน ที่เลิกกับเราเพราะอยากไปคบคนใหม่หรือเปล่า และถ้าเรายังตัดใจไม่ขาด ก็คงเจ็บแหละ
กุมภา: นี่ฉันไม่เจ็บเลยนะ คงเพราะไม่รู้สึกอะไรมานานแล้ว แต่อิจฉามากกว่า มีคนใหม่ได้เร็วจัง
ผม: คุณก็มีคนใหม่บ้างสิ
กุมภา: พูดเหมือนง่ายเลยนะคุณ แต่เอาจริงๆ บางทีฉันก็เหนื่อยกับการเริ่มต้นใหม่นะ คุณเคยเป็นมั้ย
ผม: เป็นเหมือนกันครับ แค่คิดว่าต้องเริ่มต้นจีบเพื่อให้อีกฝ่ายมาชอบเราให้ได้ แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ตอนนี้ผมเลยมีความสุขกับการคุยกันไปเรื่อยๆ มากกว่า ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ถ้าทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าอยากคบกันจริงจังมากขึ้นก็ค่อยตกลงเป็นแฟนกัน
กุมภา: ส่วนฉันก็เหนื่อยที่ต้องเริ่มต้นทำความรู้จักกับคนใหม่ที่เข้ามา ต้องตัดสินใจว่าจะคบกับเขาดีมั้ย ต้องแบ่งเวลาส่วนตัวเพื่อใช้เวลาร่วมกับเขา
ผม: แล้วคุณเหนื่อยมั้ยเวลาที่คุยกับผม
กุมภา: ฉันไม่เคยเหนื่อยที่จะคุยกับคุณเลยนะคะ
.
14 กุมภา
กุมภา: วาเลนไทน์ผ่านไปสักที เมื่อวานฉันเบื่อมากเลยนะ ไปไหนก็เห็นแต่คนเดินจูงมือกัน บนเฟสก็มีแต่คนโพสต์รูปคู่ คุณเบื่อบ้างมั้ย?
ผม: เมื่อวานผมมีความสุขที่ได้เห็นคู่รักมีความสุขกันนะ เห็นแล้วอมยิ้มไปด้วยเลย
กุมภา: แล้วคุณไม่อิจฉาบ้างเหรอ แบบว่าอยากมีคนให้สวีตบ้างอะไรบ้าง
ผม: ก็มีบ้างแหละ แต่พี่อ้อยบอกว่า วันวาเลนไทน์คือวันแห่งความรัก ไม่ใช่วันแห่งคนรัก เราสามารถมีความรักได้โดยที่ไม่ต้องมีแฟนนะ รักพ่อแม่ รักเพื่อน รักสัตว์เลี้ยง
กุมภา: แต่มันก็อิจฉานี่นา เห็นผู้หญิงคนอื่นได้ดอกไม้ กระเป๋า เครื่องสำอาง อยากมีคนให้บ้าง
ผม: คุณรู้มั้ยว่าวันวาเลนไทน์ที่ญี่ปุ่น ผู้หญิงเป็นฝ่ายมอบช็อกโกแลตให้ผู้ชายนะ ลองนึกถึงโมเมนต์ที่ผู้หญิงลงมือทำช็อกโกแลต หรือเลือกซื้อช็อกโกแลต ในใจก็จะคิดว่าอยากให้ผู้ชายรู้สึกดี แค่คิดว่าเราจะให้ เราก็มีความสุขแล้วนะ ผมคิดว่าความสุขจากการเป็นผู้ให้ เหนือกว่าความสุขจากการได้รับซะอีก การได้รับทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญของใครสักคน แต่การได้ให้คือการมอบความสุขให้แก่คนสำคัญของคุณ
กุมภา: คุณชอบช็อกโกแลตแบบไหน ยี่ห้ออะไรคะ?
ผม: Ferrero Rocher ครับ
.
15 กุมภา
กุมภา: ถ้าคุณได้ไปออกรายการ The Mask Singer คุณจะใส่หน้ากากอะไร?
ผม: หน้ากากโนบิตะครับ
กุมภา: ทำไมล่ะ?
ผม: ตอนเด็กๆ ผมชอบอ่านโดราเอมอนมาก และจะจินตนาการว่าถ้าตัวเองเป็นโนบิตะ จะใช้ของวิเศษแต่ละอย่างยังไง … แล้วเป็นคุณจะใส่หน้ากากอะไร?
กุมภา: หน้ากากชิซูกะค่ะ
ผม: ทำไมล่ะ?
กุมภา: เพราะสุดท้ายแล้วชิซูกะได้แต่งงานกับโนบิตะ
.
16 กุมภา
ผม: มีรุ่นพี่ผมอยากรู้จักคุณครับ
กุมภา: ใครเหรอคะ?
ผม: ชื่อพี่ป้อม เป็นผู้บริหารเอเจนซี่โฆษณายักษ์ใหญ่
กุมภา: โห… ทำไมผู้ชายระดับนั้นถึงอยากรู้จักฉันคะเนี่ย
ผม: พี่ป้อมเขาอยากรู้ว่าคุณเป็นสาวหมวยหรือเปล่า และเขาก็อยากแนะนำให้คุณได้เจอโลกกว้าง
กุมภา: งั้นฝากไปบอกพี่ป้อมนะคะว่าฉันไม่หมวย และก็ไม่ค่อยชอบออกสังคมค่ะ
ผม: จริงๆ พี่ป้อมเป็นผู้ชายอบอุ่นอัธยาศัยดีนะครับ ถ้าได้เจอแล้วคุณน่าจะชอบนะ
กุมภา: ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชอบคุยกับผู้ชายนิ่งๆ เฉยๆ แบบคุณมากกว่า
ผม: แปลกนะครับ ผมออกจะเป็นผู้ชายน่าเบื่อ ทำไมคุณถึงชอบคุยกับผม
กุมภา: ก็คุยกับคุณแล้วสบายใจดี ได้เป็นตัวของตัวเอง ฉันเชื่อว่าคนที่ฉันอยากใช้ชีวิตด้วยทั้งชีวิต ควรเป็นคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดค่ะ
.
17 กุมภา
ผม: นอนยังครับ?
กุมภา: ยังค่ะ
ผม: ทำอะไรอยู่?
กุมภา: มีเรื่องให้คิดอยู่ค่ะ
ผม: คิดอะไรอยู่เหรอครับ?
กุมภา: ถ้าแฟนเก่าคุณมาง้อ ขอกลับมาคบกับคุณ คุณจะทำยังไง?
ผม: ก็คงอยู่ที่ว่าผมยังรู้สึกอะไรกับแฟนเก่าอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่รู้สึกแล้วก็คงไม่กลับไป
กุมภา: แล้วถ้าอีกฝ่ายถึงขั้นร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนเลยล่ะ
ผม: ความรักกับความสงสารเป็นคนละเรื่องกันนะครับ
กุมภา: แฟนเก่ามาง้อฉันค่ะ
ผม: แล้วคุณอยากกลับไปมั้ยครับ?
กุมภา: ฉันไม่ได้รักเขาแล้วล่ะ แต่ใจนึงก็สงสาร ถ้าฉันมีคนใหม่แล้วก็จะไม่กลับไป แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่มีใคร คนที่ฉันชอบก็ไม่มีท่าทีว่าจะคิดอะไรกับฉันเลย คุณว่าฉันควรให้โอกาสเขาอีกครั้งมั้ยคะ?
ผม: คุณไม่ควรเอาเรื่องคนที่คุณชอบมาเป็นเงื่อนไขนะ ถ้าคุณกลับไปคบกับแฟนเก่า แล้วคนที่คุณชอบเริ่มคิดจริงจังกับคุณ คุณจะเลิกกับแฟนเก่าเพื่อมาคบกับคนใหม่หรือเปล่า แบบนี้แฟนเก่าคุณจะเจ็บหนักเลยนะ
กุมภา: นั่นสิ ฉันคงต้องใจแข็งกับแฟนเก่า แต่ฉันก็อยากให้คนที่ฉันชอบเริ่มใจอ่อนกับฉันสักที
.
18 กุมภา
กุมภา: จริงหรือเปล่าที่ผู้ชายมีผู้หญิงที่คบเล่นๆ กับคบเพื่อแต่ง?
ผม: เรื่องปกติเลยครับ คบเล่นๆ ก็คือผู้หญิงที่เอาไว้เป็นเพื่อนคุยเพื่อนเที่ยวแก้เหงา และอาจรวมถึงเรื่องบนเตียงด้วย แต่ไม่ได้คิดจริงจังระยะยาว ส่วนผู้หญิงคบเพื่อแต่งคือคนที่มองเห็นอนาคตร่วมกัน อยากให้เป็นแม่ของลูก
กุมภา: แล้วคุณมีแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?
ผม: ผมไม่มีทั้งสองแบบเลย ไม่เคยคิดจะคบใครเล่นๆ เลยนะ ถ้าคบใครเป็นแฟนก็อยากดูแลกันไปจนแก่เฒ่า แต่ก็ไม่คิดว่าการคบกันจะต้องลงเอยด้วยการแต่งงานกัน เลยไม่มีเป้าหมายว่าจะหาผู้หญิงที่อยากแต่งงานด้วย คิดแค่ว่าคบกันดูแลกันไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว
กุมภา: แบบนี้ผู้หญิงที่คบกับคุณก็ผิดหวังแย่เลยนะคะ เพราะผู้หญิงคนไหนก็อยากมีงานแต่งทั้งนั้น
ผม: ผมแค่คิดว่างานแต่งเป็นงานสิ้นเปลืองน่ะครับ จัดแค่พอเป็นพฺิธีในครอบครัวทั้งสองฝ่ายก็พอ เอาเงินไปเที่ยวกันดีกว่า แต่ถ้าฝ่ายหญิงอยากมีงานแต่งเป็นหน้าเป็นตาจริงๆ ก็จัดให้ได้นะ ก็ต้องวางแผนการเงินร่วมกันแต่เนิ่นๆ
กุมภา: จริงๆ ฉันเองก็ไม่อยากมีงานแต่งใหญ่โตเหมือนกัน ฉันแค่อยากมีใครสักคนที่ดูแลกันไปนานๆ เท่านั้นเอง
.
19 กุมภา
กุมภา: ถ้าคุณแต่งงานไป คุณจะยกเงินเดือนตัวเองให้ภรรยาดูแลมั้ย?
ผม: ไม่ครับ เพราะผมไม่คิดจะมีลูก คือถ้าจะมีลูก แล้วภรรยาต้องออกจากงานมาเลี้ยงลูก แบบนี้ก็จะให้เงินเดือนภรรยาใช้ แต่พอไม่มีลูก ต่างคนก็ทำงานกันไป บริหารเงินตัวเองไป
กุมภา: แล้วค่าใช้จ่ายในบ้าน จะบริหารกันยังไง?
ผม: มีสองแนวทางในใจครับ แนวทางแรกคือผมดูแลเป็นหลัก ภรรยาช่วยจ่ายบ้างเป็นบางเรื่อง อีกแนวทางคือมีเงินกองกลางที่ทั้งสองฝ่ายเอาส่วนหนึ่งของเงินเดือนตัวเองมาลงทุกเดือน สัดส่วนแล้วแต่จะตกลงกัน เงินกองกลางเอามาใช้จ่ายร่วมกัน โดยที่ต่างฝ่ายก็ยังมีเงินส่วนตัวไว้ใช้ดูแลพ่อแม่หรือซื้อความสุขของตัวเอง
กุมภา: งั้นฉันขอลงกองกลาง 50% ได้มั้ยคะ?
ผม: จะรีบไปไหนเนี่ยคุณ
.
20 กุมภา
ผม: ระหว่างผู้ชายหน้าตาดี กับผู้ชายทำงานเก่ง คุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน?
กุมภา: ถ้าสมัยเด็กๆ ก็ชอบผู้ชายหล่อค่ะ แต่ตอนนี้ชอบผู้ชายทำงานเก่ง หน้าที่การงานดี รู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วชีวิตมั่นคงดี ส่วนผู้ชายหล่อนี่เอาไว้กรี๊ดอย่างเดียวก็พอ เหมือนกรี๊ดดาราทั่วไป
ผม: อย่างผมนี่คือว่าเป็นผู้ชายทำงานเก่งมั้ย?
กุมภา: ฉันถึงทอดสะพานให้คุณทุกวันอยู่นี่ไง
ผม: อ่านะ
กุมภา: แล้วคุณชอบผู้หญิงทำงานเก่งมั้ย?
ผม: ชอบนะครับ ผู้หญิงทำงานเก่งเป็นผู้หญิงที่ดูมีเสน่ห์ มีคุณค่า น่าคุยด้วย
กุมภา: แล้วระหว่างผู้หญิงเก่ง กับผู้หญิงหน้าตาดี คุณชอบแบบไหนมากกว่า?
ผม: เลือกยากเลย ขอทั้งสองอย่างเลยได้มั้ย ทั้งเก่งทั้งสวย ประมาณน้องเฟื่องลดา
กุมภา: ชิ… ใช่ซี้ ฉันมันไม่สวยนี่
.
21 กุมภา
กุมภา: คุณจะรู้ตัวมั้ยเวลาที่โดนผู้หญิงอ่อย?
ผม: ยกตัวอย่างหน่อยครับว่าอ่อยยังไง
กุมภา: ถ้าเดินสวนกันแล้วส่งยิ้มให้คุณ
ผม: ผมจะหันซ้ายหันขวาดูว่าส่งยิ้มให้คนอื่นหรือเปล่า
กุมภา: ถ้านั่งไขว่ห้างให้เห็นขาอ่อนนิดนึงโดยไม่เอาอะไรมาปิด
ผม: ผู้หญิงหลายคนก็นั่งแบบนี้เป็นปกตินะ
กุมภา: ถ้าส่งสายตามามองคุณ พอคุณรู้ตัวก็รีบหลบตา
ผม: หน้าผมคงไปคล้ายกับคนรู้จักเขามั้ง
กุมภา: แล้วถ้าเข้ามาขอเบอร์หรือไลน์คุณเลยล่ะ
ผม: คงอยากปรึกษาเรื่องงาน
กุมภา: นี่คุณไม่รู้ตัวว่าโดนอ่อยเลยเหรอ
ผม: ไม่รู้ครับ บอกตรงๆ เลยว่าผมโง่กว่าที่คิด ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่ามีผู้หญิงมาสนใจไง
กุมภา: แล้วต้องอ่อยยังไงคุณถึงจะรู้ตัวเนี่ย
ผม: อ่อยแบบที่คุณทำไง
.
22 กุมภา
กุมภา: คุณคิดว่าเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทนี่ดีมั้ย?
ผม: ดีนะ ผมชอบความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่พัฒนาไปเป็นคนรัก ดูไม่ฉาบฉวยดี สองคนได้รู้จักนิสัยใจคอกันมากพอจนเริ่มรักกัน
กุมภา: แล้วจะไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอ จากที่เคยคิดแค่เพื่อน ต้องปรับความรู้สึกมาเป็นคนรัก
ผม: ฝ่ายที่เริ่มรักก่อนคงไม่รู้สึกอะไร ความรู้สึกมันเป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ฝ่ายที่รู้ว่าเพื่อนตัวเองมารักเนี่ย ก็อาจจะแปลกๆ ทำตัวไม่ค่อยถูกในช่วงแรกแหละ ซึ่งถ้าทำให้ตัวเองรู้สึกเป็นธรรมชาติไม่ได้ ฝ่ายที่มารักก็จะติดอยู่ใน friend zone ไปตลอด
กุมภา: ทั้งสองฝ่ายจะมีโมเมนต์โรแมนติกแบบคนเป็นแฟนกันได้เหรอ ฉันว่ามันเขินๆ นะ
ผม: ได้สิครับ ถ้าไม่มีใครอยู่ใน friend zone แล้ว ก็โรแมนติกได้เหมือนคู่รักทั่วไปแหละ แถมยังมีความรู้สึกไว้วางใจกันด้วย เพราะความสัมพันธ์พัฒนาจากการเป็นเพื่อนมาก่อน และพอแก่ตัวไป อาจจะไม่ได้โรแมนติกเหมือนตอนเป็นแฟนกันใหม่ๆ แต่ความรู้สึกของการดูแลกันแบบเพื่อนสนิทก็ยังอยู่ คู่รักที่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าก็เหมือนคู่เพื่อนสนิทนั่นแหละ
กุมภา: คุณคงเคยมีเพื่อนสนิทเป็นแฟนแล้วสินะ รู้ดีเชียว ฉันอยากมีบ้างจัง
ผม: เริ่มจากคบผมเป็นเพื่อนสนิทดูก่อนมั้ยครับ?
.
23 กุมภา
ผมเป็นเกย์ จบ
กุมภา: ทำไมผู้ชายบางคนถึงไม่กล้าจีบผู้หญิงสวยนะ
ผม: เพราะผู้ชายมักจะมโนว่าผู้หญิงสวยคงมีผู้ชายจีบเยอะ แล้วถ้าตัวเองไม่ได้มีอะไรโดดเด่น หน้าตางั้นๆ ฐานะปานกลาง หน้าที่การงานธรรมดา ผู้ชายก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรไปแข่งด้วย
กุมภา: แล้วผู้หญิงแบบไหนที่ผู้ชายจะกล้าจีบล่ะ
ผม: ผู้หญิงหน้าตาดีแบบธรรมดาๆ ไม่ได้สวยเป็นดารา แต่ก็มีความน่ารักในบางมุม ที่สำคัญคืออัธยาศัยดี เข้าถึงง่าย ยิ้มให้ตลอด ผู้หญิงแบบนี้ทำให้ผู้ชายตกหลุมรักได้ง่าย แย่งกันจีบเลยล่ะ เพราะผู้ชายจะรู้สึกไม่เกินเอื้อม ตัวเองก็พอมีหวัง
กุมภา: แต่หลักๆ ก็ต้องหน้าตาดีใช่มั้ยล่ะ ถึงจะมีคนจีบ
ผม: ผู้หญิงมักจะคิดว่าตัวเองหน้าตาไม่ดี ไม่สวยเหมือนผู้หญิงคนอื่น แต่ถ้ามองจากมุมผู้ชาย ผู้ชายแต่ละคนก็มีสเป็คที่แตกต่างกันนะ บางคนชอบผู้หญิงเปรี้ยวๆ บางคนชอบผู้หญิงจืดๆ บางคนชอบหมวยๆ บางคนชอบผิวเข้ม บางคนชอบผอมๆ บางคนชอบแบบอวบๆ ผู้หญิงก็แค่หาผู้ชายที่ชอบแบบที่ตัวเองเป็นอยู่ให้เจอก็พอ
กุมภา: แล้วสเป็คผู้หญิงของคุณเป็นยังไงอ่ะ
ผม: ผมชอบขาวหมวยนะ ยิ้มแล้วตาเป็นสระอิ น่ารักดี
กุมภา: อืมม ฉันไม่หมวย คงไม่มีหวังสินะ
ผม: อย่าเพิ่งถอดใจสิ ถึงผมจะชอบขาวหมวย แต่ผมก็เคยมีแฟนที่ไม่ขาวหมวยหลายคนนะ หน้าตาเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีเรื่องอัธยาศัยกับนิสัยใจคอด้วย ระหว่างขาวหมวยแต่หน้าบึ้ง กับหน้าไทยผิวเข้มแต่ยิ้มเก่ง ผมชอบแบบหลังมากกว่านะ เวลาเห็นผู้หญิงที่ยิ้มมีความสุขตลอดเวลา จะรู้สึกมีความสุขไปด้วยเลย
กุมภา: งั้นฉันจะยิ้มให้คุณบ่อยๆ นะ :-)
.
24 กุมภา
กุมภา: คุณเคยผิดหวังเพราะความรักบ้างมั้ย?
ผม: โอ้ย เยอะแยะเลย ทั้งแห้ว ทั้งนก ทั้งอกหัก
กุมภา: แล้วคุณมีวิธีจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไง?
ผม: ตามทฤษฎีก็คือต้องปล่อยวางให้ได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่ง่ายนัก ยิ่งถ้าเรารักอีกฝ่ายมาก ก็ยิ่งตัดใจได้ยาก เราเจ็บปวดเพราะคาดหวังให้อีกฝ่ายรักเราเหมือนที่เรารักเขา แต่พอเขาไม่รักเรา เลยทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าสำหรับอีกฝ่าย
กุมภา: ใช่เลย ตอนนี้ฉันก็กำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเลย
ผม: ลองหาอะไรทำเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าดูครับ เช่น โฟกัสกับงาน ช่วยเหลือคนรอบข้าง ทำให้คนอื่นมีความสุข ทำบุญช่วยเหลือคนด้อยโอกาส
กุมภา: ตอนนี้อยากไปทำบุญจัง
ผม: ผมไปเป็นเพื่อนมั้ยครับ
กุมภา: ขอบคุณค่ะ รู้สึกมีคุณค่าขึ้นมาเลย
.
25 กุมภา
กุมภา: เวลาผู้ชายพูดกับผู้หญิงว่า “อยากรู้จัก” ความหมายเหมือนกับพูดว่า “อยากจีบ” หรือเปล่า?
ผม: ต่างกันนิดหน่อยครับ อยากรู้จักหมายถึงอยากมีโอกาสได้พูดคุยออกเดทเพื่อจะได้รู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น อาจจะพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟนก็ได้ หรือถ้าคุยแล้วไม่ใช่ก็แยกย้ายกันไป ขณะที่อยากจีบหมายถึงอยากเป็นแฟนเลย อยากรู้จักจะมีระยะห่างมากกว่าอยากจีบ เหมาะที่จะใช้กับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักไม่นาน ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอกันดี
กุมภา: แล้วทำไมผู้ชายบางคนที่บอกผู้หญิงว่าอยากรู้จัก แต่พอคุยกันไปสักพักก็หายไปเฉยๆ รู้อีกทีมีแฟนซะแล้ว
ผม: เพราะผู้ชายรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่สำหรับเขา เขาก็ไปคุยกับคนอื่นแทน แล้วเจอคนที่ใช่กว่าก็เท่านั้นเอง
กุมภา: พวกผู้ชายไม่จริงจัง
ผม: ผู้ชายบางคนที่ห่างออกไปเพราะถอดใจก็มีนะ คุยอะไรไปผู้หญิงก็ตอบกลับมาสั้นๆ เปิดการสนทนาอยู่ฝ่ายเดียวโดยผู้หญิงไม่เป็นฝ่ายเริ่มคุยก่อนบ้าง มันเหมือนตบมือข้างเดียว ผู้ชายจะรู้สึกว่าผู้หญิงไม่ได้คิดอะไรกับตัวเอง ก็ถอยออกไปดีกว่า
กุมภา: แต่ห่างไปเฉยๆ ไม่บอกอะไรกันหน่อย มันก็เฟลนะ
ผม: ถ้าไม่รู้สึกอะไรก็คงเฉยๆ ไปแล้ว แต่ถ้าเฟลก็แปลว่ายังพอมีความรู้สึกกับอีกฝ่ายอยู่บ้าง งั้นก็อย่าปล่อยให้ผู้ชายถอยออกไปสิ เป็นฝ่ายชวนเขาคุยบ้าง นัดเจอกับเขาบ้าง
กุมภา: ที่ผ่านมาฉันเป็นฝ่ายชวนคุณคุยอยู่ฝ่ายเดียวเลย คุณไม่ค่อยเป็นฝ่ายเปิดบ้าง จนบางทีฉันก็คิดนะว่าถ้าพรุ่งนี้ฉันหายไปจากชีวิตคุณ คุณจะเฟลมั้ย
ผม: งั้นพรุ่งนี้ทานข้าวเย็นกันมั้ยครับ
.
26 กุมภา
ไอ้ควายคนโพสต์ อยากเรียกร้องความสนใจ ไร้สาระจริง ปัญญาอ่อน พาชาติชิบหาย มีปมด้อยก็ไปตายเองคนเดียว ไม่ต้องชวนคนมาร่วมเศร้าด้วย จะตายก็เอาปมด้อยไปคนเดียวเถอะครับ ดูหนังมาแล้ว คงอยากเท่น่ะสิ น่าสมเพช
กุมภา: ขอโทษด้วยนะคะที่วันนี้ฉันเบี้ยวนัดคุณ
ผม: ไม่เป็นไรครับ เป็นเหตุสุดวิสัย ไว้โอกาสหน้าก็ได้ครับ
กุมภา: คนเราถ้าไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน จะคบกันได้มั้ยนะ?
ผม: ยากอยู่นะ ถ้าคบเป็นเพื่อน นานๆ เจอกันทีก็พอได้ แต่ถ้าคบเป็นแฟนแล้วไม่ค่อยได้เจอกัน แล้วจะคบกันไปเพื่ออะไรล่ะ
กุมภา: เพื่อให้รู้ว่ามีคนที่รักเราอยู่ไง
ผม: นั่นมันหนังครับ คนรักกันก็อยากเจอกัน คุยกัน อยู่ด้วยกัน สัมผัสกัน ถ้าไม่มีเวลาเจอกันเลย ผมว่าเป็นแค่เพื่อนดีกว่าครับ
กุมภา: โอเคค่ะ เข้าใจแล้ว
.
27 กุมภา
"มีเพจนึง เอารูปเสือรุมขย้ำกวางมาลง
พร้อมเรื่องแต่งว่าเป็นภาพของแม่กวางที่เสียสละยืนให้เสือกินเพื่อถ่วงเวลาให้ลูกกวางวิ่งหนีเป็นโศกนาฏกรรมเรียกน้ำตาความรักของแม่อันแสนยิ่งใหญ่ แถมยังปะไว้ว่าเป็นภาพได้รางวัลใหญ่โต (รางวัลอะไร สถาบันไหนก็ไม่รู้)
ซึ่งเรื่องจริงก็เป็นเรื่องของแม่ลูกจริงๆ แต่เป็นแม่เสือสอนลูกล่าเหยื่อ ส่วนกวางอยู่ในสภาวะช็อกเลยยืนตัวแข็ง
พอมีคนไปบอก ไอ้เพจห่านั่นก็ไม่แก้อะไร แค่ขอบคุณที่บอก แต่ยังทิ้งเรื่องมโนแต่งเอาไว้ต่อไป ส่วนคนเสพก็ไม่สนใจ ขอให้เป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วรู้สึกว่า "ดี" จะมโนจะโกหกยังไงก็ได้ ไม่ผิด
.
ควยทั้งนั้น ควย ควย เออ แจก มีเป็นไร่ขายเป็นโล ไอ้ควย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จี้ปลายงาลงยาประดับพลอยนพเก้าและขนหางช้างเผือก เป็นงานกรรมวิธีอย่างโบราณ ในทางความเชื่อแล้ว พลอยนพเก้า หรืออัญมณีนพรัตน์ เป็นอัญมณีที่มีคุณอำนาจทางมงคล ความสมบูรณ์พูนผล และอำนาจ บารมี
ส่วนขนหางช้างเผือก มีความเชื่อในด้านการป้องกันสิ่งอันตราย ป้องกันสิ่งชั่วร้าย คุณไสย หรือมนต์ดำ เสริมสร้างบารมีให้แก่เจ้าของมากยิ่งขึ้น
ส่วนปลายงา มาจากช้างป่า เป็นของที่โบราณมากเพราะได้มานาน โดยพรานได้เจอกับช้างป่าตายพราย หรือก็คือตายเองด้วยความชรา จากนั้นจึงทำพิธีเลื่อยเอางาเฉพาะปลายออก
เชื่อกันว่ามีอานุภาพแรงมากทางด้านเรื่องชัยมงคล ชัยชนะ อำนาจ และบารมี รวมถึงจะให้ผู้เป็นเจ้าของมีอำนาจทางด้านโชคลาภมาก
ตอนได้มาใหม่ๆ เคยฝันอยู่ครั้งหนึ่งได้เจอช้างตัวหนึ่งเดินผ่าน เป็นช้างขนาดใหญ่มาก ในฝันคือขนาดตัวเรายังสูงแค่เข่าของช้าง แล้วช้างก็พ่นน้ำ แล้วก็หอบเอาพืชพรรณอย่างหอบใหญ่มาให้อย่างมากมาย
สมบัติสิริภรณ์ภักดี ตามเคย เก็บไว้ในเซฟธนาคาร เป็นของที่หายากมาก โดยเฉพาะปลายงา และเป็นงานฝีมือละเอียดประณีตโดยช่างทองหลวง
เคยสงสัยว่าตอบจบของไซอิ๋วคืออะไร เพราะสารภาพตามตรงว่าไม่เคยอ่านจริงๆจังสักที เคยฟังแต่เค้าเล่ามากับดูละครช่อง 3 รู้แต่ว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นโดยยืมท่านเสวียนจ้าง ที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดีย แต่แต่งให้มีอภินิหารอ่านสนุก ก็เท่านั้น ....
วันนี้เลยนั่ง google ดู กลายเป็นนั่งอ่านไป 4-5 ชั่วโมง แล้วก็ไปเจอที่เค้าเฉลยว่า ทำไมไซอิ๋วคือนิยายที่ทรงอิทธิพลของจีน ไม่ใช่แค่มันแฟนตาซีเท่านั้น แต่ไซอิ๋วคือการกางพระไตรปิฎกออกมาแล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน
รู้แค่ว่าพระถังคือศรัทธา จะไปชมพูทวีป ต้องมีศรัทธาก่อน พกจิตไปด้วยซึ่งจิตคนเรา ประกอบด้วย โทสะ - หงอคง โกรธ , โลภะ - ตือโป๊ยก่าย โลภ , โมหะ - ซัวเจ๋ง ความไม่รู้
ก็แค่นั้น จน Google เจอที่เค้าอธิบายแต่ละบทแบบละเอียด ทึ่งเลยในความสามารถของคนแต่ง
หงอคงแปลงกายได้ เหาะเหิน เดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะหงอคง คือจิตคนเรา ที่เป็นลิง ไม่อยู่นิ่ง คิดไปเรื่อย แค่คุมให้ตามลมหายใจยังยากเลย ดังนั้น ถ้าเราคุมหงอคงได้ .... การไปชมพูทวีปจะง่ายขึ้น ... เป็นต้น
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราโกรธ - โทสะ เราจะเหมือนหงอคง แผลงฤทธิ์ พังพินาศ ราบเป็นหน้ากลอง
แต่หงอคงแพ้อะไร ? โดนขังไว้ที่อะไร ? ใช่แล้ว แพ้ฝ่ามือยูไล โดนขังไว้ที่เขา 5 นิ้ว
ฝ่ามือยูไล และเขา 5 นิ้ว แทน ขันธ์ 5
ต่อให้จิตแน่แค่ไหนสุดท้ายก็ไม่พ้นขันธ์ 5
ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
นอกจากนี้หงอคงยังมีกระบองวิเศษจัดการปีศาจได้ตลอด กระบองนั้นแทนปัญญา แต่ทว่า มีจิต กับปัญญา แค่นั้นมักเกิดปัญหา พระยูไลจึงประทานมงคล มารัดหัวไว้ ให้พระถังคอยดูแล มงคลนั้นก็แทน "สติ" ซึ่งมงคลเป็นรัดเกล้า 3 ห่วงคล้องกัน แทนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
ปีศาจแต่ละตัว แทนกิเลสที่เราต้องค่อยกำจัดออกไป
ตอนเจอกันครั้งแรกเห้งเจียบอกพระถังว่า
จะไปชมพูทวีปผมพา อาจารย์ตีลังกาไปได้ 7 ทีถึง
มามัวเสียเวลาเดินทำไมกัน ไม่เข้าใจ พระถังบอกว่าไม่ได้ต้องเดินไป
ปริศนาธรรมข้อนี้บอกว่า จิต+ปัญหา ฟังเค้าเล่า ฟังเค้าบอก คิดเอาเองก็บอกง่าย แปบเดียวก็ไปถึงนิพพานละ
เช่น เนี่ยคนเล่าให้ฟังอริยสัจ 4 ทางดับทุกข์ ฟังเข้าใจละ แต่จริงๆ แล้วไม่เข้าใจ ธรรมมะต้องลงมือปฎิบัติ เหมือนหงอคงบอกตีลังกาไป 7 ที มันไปไม่ถึง ต้องค่อยๆ เดินไป ศึกษาไป ปฎิบัติไป ถึงจะถึง
โป๊ยก่าย คือศีล 8 , ซัวเจ๊ง คือสมาธิ
ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ จึงจะพ้นทุกข์
แต่บางครั้งปีศาจบางตัวก็เก่งเหลือเกิน
ต้องไปตามเจ้าแม่กวนอิมมาช่วย
เจ้าแม่กวนอิม คือ เมตตา
ปัญญา + เมตตา จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมชั้นสูงซึ่งปราบกิเลสได้เสมอ แต่เจ้าแม่กวนอิม มักให้เห้งเจียลองสู้จนหมดแรงก่อน ถึงมาช่วย เหมือนหากมีกิเลสควรให้ปัญญาลองขจัดดูก่อน เกินกำลังแล้วจึงให้เมตตาปล่อยวาง
ถ้าเกินกำลังเมตตา เจ้าแม่กวนอิมช่วยไม่ไหว
คนสุดท้ายที่มักมาช่วย คือ พระยูไล
พระยูไล แทน พระอริยสงฆ์ ท้ายที่สุดถ้าปฎิบัติไม่ไหวก็ถามผู้รู้เอา .... จบแน่นอน
ลำดับปีศาจแต่ละตัวในเรื่องก็เจ๋งมาก
เช่นเมื่อเริ่มเดินทาง ก็พบโจรทั้งหก ขัดขวางไม่ให้ไป
สุดท้ายเห้งเจียเลยเอากระบองตีจนตาย
โจรทั้งหกคือ อายตนะ 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ต้องเอา ปัญญา (ตะบอง) ฟาดให้ตายก่อนถึงเริ่มออกเดินทางได้
แล้วก็เจอปีศาจไปเรื่อยๆ อ่านยังไม่จบ ท่าทางอีกหลายวัน
อ้อ แต่แอบโกงมาละ เปิดดูตอนจบ
สรุป ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ เดินทาง
กำจัดกิเลสไปจนถึงชมพูทวีป แล้วได้อะไร
ตอนจบพระถังและคณะ มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง
สายน้ำเชี่ยวกรากมาก ไม่รู้จะข้ามไปยังไง
จนเจอเรือไร้ท้องเรือจอดอยู่ พระถังกังวลมาก
เรือไม่มีท้องเรือจะพาข้ามฟากยังไง
แต่สุดท้ายก็ยอมใช้เรือข้ามไป
แม่น้ำเชี่ยวกรากแทนกองกิเลส
เรือนั้นแทน สุญญตา ความไม่ยึดมั่นถือมั่น
เมื่อข้ามมาแล้วก็ถึงชมพูทวีป
และได้คัมภีร์มา เป็นหนังสือเปล่าหนึ่งเล่ม
แทนธรรมมะ ซึ่งคือความว่างเปล่า ...นิพพาน
แต่สุดท้ายเห้งเจียขอให้มีอะไรกลับไปจีนหน่อย
เพราะคนธรรมดาคงไม่เข้าใจ
เลยได้คัมภีร์มาอีกเล่มนึง เต็มไปด้วยอักษร
บันทึกการเดินทาง เรียกว่า พระไตรปิฎก ... จบ
อ่านแล้วคารวะคนแต่งเลย .... โห เก่งจัง
ปล. เข้าใจว่ามีหนังสือแปลที่ละบททีละตัวละคร ชื่อ "เดินทางไกลไปกับไซอิ๋ว" ว่าแล้วต้องไปหามาอ่านก่อน
ถามว่าถ้าพุทธ มีไซอิ๋ว แล้วคริสต์ละมีไหม
ว่ากันว่าของศาสนาคริสต์ คือ นาเนียร์
ใช่แล้วที่ทำเป็นหนัง มี 7 เล่มแทนบาป 7 ประการ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"รถเมล์เข้าถึงคนรากหญ้าจริงๆ แต่เรายังปล่อยให้รถเมล์ไปติดรวมกับรถส่วนตัว
ดูเอาง่ายๆ เลยนะ เพียงแค่ในออฟฟิศผม
เคยสำรวจกันดูว่ามีคนที่นั่งรถเก๋งมามีเพียงแค่ 10%
ส่วนที่เหลือ 90% นั่งรถสาธารณะมา
ดังนั้น เราต้องมาเปลี่ยนเรื่องระบบขนส่งสาธารณะ ปรับปรุงให้มีการให้บริการที่ดี
เหมือนที่ กุสตาโว เปโตร (Gustavo Petro) นายกเทศมนตรีกรุงโบโกตา เมืองหลวงของประเทศโคลอมเบีย กล่าวไว้ว่า “A developed country is not a place where the poor have cars. It’s where the rich use public transportation.” (ประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ใช่เป็นประเทศที่คนจนมีรถส่วนตัว แต่เป็นประเทศที่คนรวยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ)
ถ้าทำได้ จะแก้ปัญหาการจราจรได้อย่างแน่นอน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตอนจบไซอิ๋วคือ พระถังอมควยหงอคงและนาจากำลังเย็ดหงอคงอีกทีนึง
รถใหญ่เข้าซอยแคบจนรถคันอื่นสวนกันไม่ได้ เรียกว่า ควาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หมูไม่ขาด ละหมาดไม่เคย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"cultural history ของคำว่า geek ครับ
เดิมสมัย 1510s geck ในภาษาถิ่นแถวๆ เยอรมันแปลว่า fool, dupe, simpleton แถวๆ สแกนดิเนเวียก็มีคำคล้ายๆกันที่แปลว่า to croak, cackle, to mock, cheat
ต่อมาช่วงต้นศตวรรษ 19 ในภาษาสก็อตก็เปลี่ยนจากคำ่า geck ที่แปลว่า fool มาเป็นคำว่า geek ในความหมายถึงนักแสดงประเภทหนึ่งในงานคาร์นิวัล และดูเหมือนว่าของขึ้นชื่อในการแสดงของไอ้พวกนี้คือการกินสัตว์เป็นๆ กัดหัวไก่แบบเป็นๆ
จนมาช่วงต้นจนถึงกลางศตวรรษที่ 20 ไอ้คำ geek ก็น่าจะถูกใช้อย่างชัดๆเพื่อเรียกนักแสดงกลุ่มหนึ่งในละครสัตว์ ในความหมายแบบเดียวกับ freak คือพวกนี้จะเป็นพวกที่มีร่างกายแบบแปลกๆ (น่าจะคล้ายๆพวกเมียงูหรือคนแคระตามงานวัดไทยอะไรทำนองนั้น) ผิดออกจากมาตรฐานของสังคม (ดูเหมือนว่าสถานะของนักแสดงพวกนี้จะถูกมองจากคนดูในแง่ประหลาดๆ แย่ๆ เรียกพวกนี้ว่า freak แต่สำหรับในกลุ่มพวกนี้กันเองจะโยงตัวเองเข้ากับคำว่า geek ซึ่งมันมีเซนส์ของความเป็นพวกเดียวกันในกลุ่ม ออกแนวบวกกว่า freak) รวมๆแล้วน่าจะบอกได้ว่าไอ้คำ geek มันสื่อถึงพวกที่ผิดแปลกจากมาตรฐานของมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไปในแง่ลบ (เข้าใจว่าในช่วงนนั้นมันเน้นที่ความหมายในแง่ physically เป็นหลัก)
จนต่อมาช่วงทศวรรษ 1960s คำนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลอีกครั้ง สันนิษฐานว่าช่วงนั้นมันคือช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเริ่มแพร่หลาย ไอ้คำ geek นี่ก็ถูกเอามาเรียกวัยรุ่นที่หมกมุ่นในคอมฯกับเทคโนโลยีใหม่ๆ และออกแนวขาดทักษะทางสังคม แล้วมันก็เริ่มโยงต่อไปถึงการเสพสื่อบันเทิงเฉพาะกลุ่มอย่างพวกเกม การ์ตูน หนังไซไฟอะไรทำนองนั้น ซึ่งสมัยนั้นไอ้สื่อบันเทิงพวกนี้มันเฉพาะกลุ่มมากๆ พวกนี้จะมีภาพทำนองชายขอบมากๆ ชอบอะไรที่ชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ชอบกัน กลายมาเป็นภาพของ geek แบบที่เป็นพวกเข้าสังคมไม่เป็น แต่งตัวเชยๆ ไลฟ์สไตล์แย่ๆ อะไรทำนองนั้น (และก็แน่นอนว่าพวกนี้ก็มีการรวมกลุ่มแลกเปลี่ยนความสนใจกันเองนั่นแหละ) (จะว่าไปมันก็อาจจะเคลมได้ว่าตอนนี้ geek มันเป็นความหมายเชิง culturally แล้ว)
จนมาช่วงหลังๆ มานี้ดูเหมือนว่าไอ้พวกสื่อบันเทิงอย่างที่ geek ยุคก่อนเคยเสพมันก็ค่อยๆ กลายมาเป็นที่นิยมในกระแสหลักมากขึ้น (ลองนึกถึงยุคนี้ที่ใครๆ ก็เล่นเกมก็อ่านการ์ตูน) ไอ้รสนิยมที่เคยพิลึกพิลั่นก็กลายมาเป็นอะไรที่ดูคูลขึ้น ภาพลักษณ์ของ geek ในยุคนี้มันก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกแล้ว มันดูดีขึ้น คนเริ่มเคลมตัวเองเป็น geek กันมากขึ้น ขนาดด่ากันว่าเป็น geek จริง geek ปลอม
ยังไงก็ดีเซนส์อันหนึ่งของ geek ที่มีมาตลอดคือการเป็นเหมือนชุมชนอะไรซักอย่างที่กลุ่มคนที่เหมือนๆกันจะมารวมตัวกัน ตั้งแต่ตอนที่มันเป็นพวกที่สังคมไม่เอามาจนหลังๆ นี่สังคมเริ่มไม่รังเกียจแล้ว มันมีคนอธิบายว่า ความเป็น geek นี่มันเหมือนประเทศที่มีพรมแดนแบบเปิด คือ geek จะยินดีที่มีคนมาร่วแชร์รสนิยมอะไรบางอย่างร่วมกัน เขาเปรียบเทียบ hipster กับ geek ว่า ในกรณีของ hipster นี่ถ้าพวกเขาพบว่ามีใครที่หันมานิยมอะไรแบบเดียวกับเขา hipster จะรู้สึกว่า "สัส ไอ้พวกนั้นมันเสือกมาชอบสิ่งที่เรารักว่ะ" แต่ถ้าเป็น geek จะมองว่า "ว้าว พวกนายมารักอะไรที่เรารักแล้ว มาๆ มารักมันด้วยกัน"
คนเขียนมีทิ้งท้ายการเปรียบเทียบระหว่าง geek กับนักมานุษยวิทยาไว้ว่ามันอาจดูคล้ายๆ กันอยู่
แต่เวลานักมานุษยวิทยาเข้าไปในชุมชนหนึ่งๆ แค่ไหนก็ตามส่วนใหญ่เขาก็ยังจะมองว่าตัวเองเป็นคนนอกอยู่ดี แต่สำหรับชุมชน geek มันน่าจะเป็นอะไรที่แชร์กันมากกว่า (เอาจริงๆ ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามันจะบอกว่าต่างกันแบบนี้ได้รึเปล่า)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผม: มีหลายคนที่อ่านเรื่องที่เราคุยกันมาทั้งเดือน แล้วคิดว่าคุณคือผู้หญิงที่อยู่ในชีวิตผมจริงๆ ด้วยนะ
กุมภา: เหรอคะ แล้วคุณเฉลยมั้ยว่าฉันคือใคร?
ผม: ก็อธิบายแหละครับว่าเป็นเรื่องแต่ง และที่น่าสนุกกว่านั้นคือมีคนอยากเห็นรูปคุณด้วยนะ
กุมภา: แล้วคุณทำไง?
ผม: ผมก็เปิดปฏิทินเดือนกุมภาให้ดูเลย
กุมภา: คงมีหลายคนผิดหวังนะเนี่ย
ผม: นั่นสิครับ
กุมภา: วันนี้วันสุดท้ายแล้วเนอะ
ผม: อื้ม พรุ่งนี้ก็มีนาแล้ว
กุมภา: คุณจะคิดถึงฉันมั้ย?
ผม: ผมจะนับถอยหลังอีก 11 เดือนนะครับ
กุมภา: ปีหน้าเจอกันนะคะ
ผม: โชคดีครับ
กุมภา: ขอกอดทีนึง
ผม: ให้สองทีเลย
.
28 กุมภา
แจ้งแบนข้อหา Flood ได้ไหววะ กูรำคาญ
http://imgur.com/ZBUBU9H
พุทธแท้ร้อนอย่างกับไฟเยอร์!!
พิเศษสุด เพียงแค่กดไลค์และตอบคอมเม้นนี้ ด่วน!!!
ท่านอาจได้โชคระทึกใจยิ่งกว่าใคร!!~~
#รางวัลที่1 ตั๋วนั่งชมฟรี เครื่องบินการบินไทยไป-กลับนิวซีแลนด์เมืองจิงโจ้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
#รางวัลที่2 บัตรว่ายน้ำฟรีตลอดชีพ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ จากฟาร์มจระเข้สามพราน นครปฐม
#รางวัลที่3 รับสิทธิ์พักฟรี โรงแรมหรูห้าดาว Bangkok Marriott Marquis Queen's Park สุขุมวิท22 แค่ท่านไม่นอนในโรงแรม ไม่ทานอาหารของโรงแรม ไม่ใช่บริการต่างๆ ของโรงแรม ท่านจะได้สิทธิ์พักฟรีไปเลยสองคืนหนึ่งวัน
#รางวัลที่4 รับสิทธิ์ได้ฟรีไปเลย ไอโฟน7 เพียงแค่ท่านแคปหน้าจอที่แชร์คอมเม้นนี้พร้อมเงินสด28,900 บาท นำมาแลกไอโฟนฟรี!!! ที่ร้านไอโฟนทุกสาขาในประเทศ
****รีบมาก่อน มีสิทธิ์ก่อนใคร ช้าหมดอดแน่!!! เริ่ม2 มีนาคม ถึง31 กุมภาพันธ์ ศกนี้ เท่านั้น!!!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ศพที่2 ในธรรมกาย พวกมึงไม่ต้องโทษใครหรอกครับ
ไปทันยังไงก็ตายเพราะเสือกล็อกห้องสองชั้น กว่าจะพังประตูได้นะโยมเอ้ย ไม่รู้จะล็อกห้องทำไมตอนเกือบเที่ยง ไม่ได้ย้ายไปขังสักหน่อย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่สำคัญเป็น หอบหืด ไหงไม่พกยาไว้ เขาไม่ได้ห้ามไปซื้อยาซักหน่อย
ก็ได้ไปสวรรค์แล้ว ไม่ดีรึวะ
"จริงๆ การอ่านพวกงานปรัชญายันปรัชญาการเมือง ("เก่าๆ") มันจะทำให้ได้ภาพของมนุษย์ว่าเป็นสิ่งที่แสวงหาเสรีภาพ
แต่ถ้างานงานสายสังคมศาสตร์ที่ศึกษาเชิงประจักษ์สิ่งที่จะเห็นเลยคือสิ่งที่มนุษย์แสวงหามาตลอดแม่งคือ Sense of Community คือคุณจะไม่คิดเลยว่ามนุษย์แม่ง "แสวงหาเสรีภาพ" ถ้าคุณคิดบนฐานของงานเชิงประจักษ์พวกนี้
คือสำหรับผม งานสังคมศาสตร์แค่แม่งขึ้นมาว่า "เสรีภาพคือสิ่งที่มนุษย์ไฝ่หา" ผมก็ไม่อยากอ่านงานมันละ เพราะแม่งจะเต็มไปด้วยการร่ายโลกที่คนเขียนอยากให้มันเป็นมากกว่าโลกที่เป็นจริงๆ
ทั้งหมดต้องเน้นว่าสังคมศาสตร์ไม่ได้ต่อต้านเสรีภาพ เป้ามันก็แค่ศึกษามนุษย์แบบที่มันเป็น ซึ่งถ้ามันโง่ ไม่มีเหตุผล และไม่ต้องการจะเป็นอิสระ งานมันก็ต้องออกมาแบบนั้น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผลิต "คาราโอเกะ" ขึ้นมา เป็นประดิษฐกรรมที่ดีต่อมวลมนุษยชาติมากที่สุดชิ้นหนึ่ง แต่ก็เป็นประเทศที่นำมันมาใช้ได้น่าเบื่อที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่เคยรู้จักชีวิตคนทำงานมา ก็ได้รู้จักว่า การไปคาราโอเกะ คือการปลดปล่อย เป็นการไปสังสรรค์ ไปฉีกหน้ากากทุกอย่างแล้วใช้เวลาสนุกๆ ร่วมกันกับคนอื่นๆ ทั้งเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่เจ้านาย อาจจะมีวางมาดนิดหน่อยพอขำๆ แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง
นี่อาจจะผิดเองไม่รู้ธรรมเนียม แต่รู้สึกอึดอัดใจที่สุดในการที่ต้องไปคาราโอเกะกับพวกซอมบี้ ซึ่งแม่งน่าเบื่อที่สุด และไม่อยากจะไปอีกแล้ว
พวกซอมบี้จะมีธรรมเนียมคือ การไปคาราโอเกะ เสมือนกับการไปกินเหล้าต่อร้านที่สองหรือร้านที่สาม แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นหลังจากงานหลายงานที่ต้องไปในฐานะไม้ประดับ ทั้งงานแรกคืองานเลี้ยงรับกูเข้าไปทำงาน แต่กูแม่งเหมือนไม่มีค่า และอีกหลายงาน แตกต่างก็แค่ว่า งานแรกยังได้รับเกียรติแบบว่าเป็นแขก แต่งานที่เหลือคือต้องเป็นหนึ่งในคนจัด
การไปร้องคาราโอเกะ ถ้ามึงเป็นผู้น้อยนี่แทบจะไม่มีสิทธิ์อะไรเลย มึงมีหน้าที่คือเดินประสานงาน สั่งเครื่องดื่ม ส่งไมค์ เลือกเพลง ถามเพลง แล้วก็เอ็นเตอร์เทน นี่ขนาดมึงมาร้องคาราโอเกะนะ มึงยังต้องทำงาน แล้วมึงก็ทำงานทั้งๆ ที่มึงค่อนข้างเมา
โยนไมค์มาให้กู กูร้องแค่ครึ่งเพลง... จบท่อน hook ปุ๊บปิดทิ้ง
แต่คนแก่ๆ ร้องไม่เพราะยังไง ร้องไม่มีอารมณ์ยังไง ก็ต้องร้องจนจบเพลง แล้วก็ต้องเอ็นเตอร์เทนเสมือนว่าร้องเพราะมาก สนุกมาก มีความสุขมาก เอ็นจอยมาก คือมึงชอบการเฟคแบบนี้จริงๆ ดิ รู้สึกดีคิมูจี้จริงดิ
พอคนอื่นร้อง แล้วเพลงนี้กูร้องได้ กูจะร้องด้วยก็ไม่ได้ จะเอ็นจอยด้วยก็ไม่ได้ เสียมารยาท การที่กูช่วยร้อง ช่วยแจม ช่วยเอ็นเตอร์เทนโดยไม่ได้ถือไมค์ คือการแดกซีน แล้วคือเหี้ยไร กูต้องไปยืนเป็นตุ๊กตาหมาคอสปริงน่ารถ เด้งซ้ายที เด้งขวาทีอะไรงี้อะหรอ?
หันไปอีกที ไอ้ห่า แม่งยืนแก้ผ้าอยู่คนนึง คือเหี้ยไร...
เป็นอะไรที่เน่าเฟะเละเทะมากที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต
แล้วมึงจะเมาเละเทะแค่ไหน มึงก็ต้องเป็นคนจ่ายตังค์ คอนโทรลเวลา แล้วก็เชิญพวกแม่งออกจากห้อง ไอสัส แก่แล้วไม่รู้จักการคอนโทรลเวลาด้วยตัวเองบ้างเลยหรือไง...
หลังจากไปคาราโอเกะกับพวกซอมบี้พวกนี้ ก็รู้สึกไม่อยากไปอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว อยากจะจำไว้จนวันตาย นี่คือคิดแล้วคิดอีกเลยนะว่าถ้าต้องทนอยู่กับพวกซอมบี้พวกนี้ เราก็ต้องทำตัวแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดไม่มีตัวตายตัวแทน (=รุ่นน้องที่เข้าหลังเราอีกสองสามคน) เราก็ต้องเป็นเบ๊ เป็นหมาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วเผลอๆ สักวันหนึ่งเราก็จะกลายเป็นซอมบี้พวกนี้เสียเอง
การไปคาราโอเกะกับพวกซอมบี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่น่าจะดูมีความสุขแต่ช่างไร้ความสุขและอุดมไปด้วยเสียงหัวเราะแบบเฟคๆ เสียเหลือเกิน
นั่นสิ หรือนี่อาจจะเป็นความหมายที่แท้จริงของคาราโอเกะก็ได้
ดูเพราะ ดูสนุกสนาน แต่ไร้แก่นสาร ไร้ความหมาย
นี่มีความสุขจากเสียงหัวเราะแบบเฟคๆ อย่างนี้กันจริงดิ?
และแน่นอน มันไม่ต่างอะไรจากห้องรมควัน การที่มีซอมบี้ดูดบุหรี่กันมวนต่อมวนในห้องเป็นเวลาสองชั่วโมง ในห้องแคบๆ ที่มีพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร อัดกันหลักสิบถึงยี่สิบคนนี่ไม่ต่างอะไรจากที่ฮิตเลอร์รมควันยิวเลย เมาเหล้าก็จะอ้วกแล้ว แต่ที่เหี้ยกว่านั้นคือ เมาควันบุหรี่จนอยากจะตายให้ได้
ขอบอกอีกครั้ง คือกูไม่ใช่คนดัดจริตที่ไม่สูบบุหรี่ กูเคยสูบ แต่กูเลิกสูบเลยหลังจากที่โดนสภาพแบบนี้ทุกวันๆ จนหลอนควันบุหรี่
つづく
โปรดติดตามตอนต่อไป"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เป็นไปไม่ได้ที่ทุกศาสนาจะถูกต้องแท้จริงทั้งหมด แต่เป็นไปได้ที่มันจะผิดทั้งหมด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คุณอาจจะไม่ต้องถือว่าสิ่งที่ผมกล่าวเป็นจริงเป็นจังก็ได้นะ ผมเคยนั่งวิเคราะห์กับเจ้าของประเทศแล้วเห็นพ้องต้องกันว่า
ประเทศที่เอากบฎอย่าง วิลเลี่ยม วอลเลซ ตัดเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปเสียบตามเมืองต่างๆ มีคุกใต้ดิน ห้องทรมาน มากมายอย่าง EL เนี่ย
จะไปห่วงอะไรกับกลุ่มคนที่อดข้าวนั่งเฉยๆ เรื่องมันอยู่ตรงที่พวกฮาร์ดคอร์ ยอมพลีชีพก่อวินาศกรรม จน จนท.ของ EL ตายหมู่ไปหลายครั้ง
พวกนี้แหละคือพวกทวงเอกราชตัวจริง ทำจนกระทั่งเจ้าอาณานิคมไม่ต้องการสูญเสียกำลังพลมากไปกว่านี้ จึงแสดงออกมาในเชิงไม่ให้เสีย
หน้ามากนักว่า โอเค ยอมถอยเพราะเห็นแก่อหิงสา ท่านผู้นั้นจึงได้เครดิตก้องโลกไปเต็ม ขณะที่พวกรักชาติตัวจริงไม่พูดทวงผลงานสักคำ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>72 มิตรสหายท่านนี้เเปลกๆว่ะ กูเพิ่งเคยเจอคนใช้ELเป็นตัวย่อเเทนEngland retardหรือgeniusวะ /s
เเถมเอาเรื่องวิลเลียม วอลเลซเมื่อนานนนนนนนมาเเล้วมาเทียบกับยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองอีก จะไม่ให้ประเทศอังกฤษเปลี่ยนนิสัยเลยว่างั้น เมื่อก่อนไทยมีเอานักโทษใส่ตะกร้อให้ช้างเตะ ตอนนี้ก็ยังป่าเถื่อนเหมือนเดิมใช่ไหม
เรื่องการปลดอินเดียออกจากอาณานิคม ตอนหลังสงครามโลกครั้งที่สองประเทศฟรีเวิร์ดต่างๆเริ่มให้อิสรภาพเเก่อาณานิคมเพราะต้องการการสนับสนุนจากประเทศเกิดใหม่พวกนี้ในCold War เเละเพราะกลัวว่าจะมีCommunist Insurgencyในอาณานิคม
อังกฤษไม่เคยกลัวเรื่องเสียคน ไปดูไอร์เเลนด์สิ โดนบอมบ์ไปเท่าไหร่ๆยังถูกผูกอยู่เลย
สรุปไม่ต้องเอาคำพูดมิตรสหายเป็นจริงเป็นจังตามที่กล่าวไว้
An Engineer was unemployed for a long time. He could not find a job so he opened a medical clinic and puts a sign up outside: “Get your treatment for $500, if not treated get back $1,000.”
One Doctor thinks this is a good opportunity to earn $1,000 and goes to his clinic. Doctor: “I have lost taste in my mouth.”
Engineer: “Nurse, please bring medicine from box 22 and put 3 drops in the patient’s mouth.”
Doctor: “This is Gasoline!” Engineer: “Congratulations! You’ve got your taste back. That will be $500.”
The Doctor gets annoyed and goes back after a couple of days later to recover his money. Doctor: “I have lost my memory, I cannot remember anything.”
Engineer: “Nurse, please bring medicine from box 22 and put 3 drops in the patient’s mouth.”
Doctor: “But that is Gasoline!” Engineer: “Congratulations! You’ve got your memory back. That will be $500.”
The Doctor leaves angrily and comes back after several more days. Doctor: “My eyesight has become weak.”
Engineer: “Well, I don’t have any medicine for this. Take this $1,000.”
Doctor: “But this is $500…”
Engineer: “Congratulations! You got your vision back! That will be $500.”
หลายเดือนก่อนก็แห่กันโพสเบียร์ยูไป มาตอนนี้อีกค่ายเขาก็เอาเงินมาฟาด ช่วยกันโพสเบียร์ตัวเดิมแต่อยู่ในขวดใหญ่
ผมสังเวชขยะทางการตลาดแบบนี้
เขาเอาเศษเงินมาโยนให้ ก็ยังมีหลายเพจไปงับกันเหมือนหมา
เขาทำการตลาดแบบดูถูกคนดื่มอยู่ เขาคิดว่าเราโง่ เขาถึงทำของแบบนี้ออกมา น้ำข้างในขวดก็ยังซ้ำซากแบบเดิม
คิดดูนะ บางเพจก็อวยโง้นงี้ บางเพจก็ไปชมว่าเขาทำขวดดูไฮโซจัง โถ่ สรุปมึงจะกินเบียร์หรือกินขวดกัน บางเพจนี่ก็อนาถหนัก ทำคลิปบอกวิธีเปิดขวดให้ดู โห อนาถจริงๆ เห็นคนดื่มโง่ถึงเพียงนั้น
ก็ได้แต่หวังว่าไอ้กระแสอวยเลียไอ้ขวดใหญ่นั่นจะรีบๆจบไปเสียที น่าเบื่อมาก 555
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มึงลองไปสันติอหิงสากับ ฮิตเลอร์ดูบ้างไหม กูจะนับวันก่อนเขาพามึงไปอาบน้ำ
"อยากนอนโง่ๆ อยู่ริมทะเล ตอนนี้โง่มาแล้วเหลือแต่ไปทะเล✨"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ยุคนี้เรามีแนวความคิดติดปาก อยากเก่งขึ้น อยากพัฒนาตัวเอง ต้องเอาตัวเองออกมาจาก comfort zone ก่อน
.
แต่เอาเข้าจริงมีคนที่เห็นว่ากล้าออกมาจริงๆอย่างที่พูดจำนวนไม่เยอะเลย
.
ผมไม่ขอพูดถึงการเล่นใหญ่อย่างลาออก หรือทิ้งงานที่คิดว่ามั่นคง เอาแค่การเปลี่ยนแปลงวิธีใช้ชีวิตบางอย่างเพื่อให้ตัวเองดีกว่าเดิม ผมก็ถือว่าเป็นการออกจาก comfort zone ที่ทำได้ยากมากอันหนึ่งแล้วนะ
.
ในชีวิตผม มีคนราวๆ 30 คนที่เคยมาถามผมว่า "อยากเก่ง อยากรู้เยอะๆแบบคนนั้นคนนี้ ต้องทำยังไง?" สิ่งที่ผมมักจะถามเป็นคำถามแรกๆคือ
.
ทุกวันนี้เอาเวลาว่างไปทำอะไรบ้าง?
.
พอได้คำตอบแล้ว สิ่งที่ผมจะขอเป็นเรื่องแรกๆ ก็คือการแบ่งเวลาว่างที่เคยเอาไปทำอย่างอื่น มาหาความรู้ในด้านที่สนใจ ด้านที่อยากเก่งขึ้น
.
ไม่ต้องเริ่มแบบเอาเวลาทั้งหมดที่มีมาทำก็ได้ เริ่มทีละน้อยๆ เดี๋ยวพอรู้สึกดีที่ตัวเองเริ่มเก่งกว่าเดิม มันจะค่อยๆเยอะขึ้นเรื่อยๆเอง
.
แต่ 30 จาก 30 (100%) ยอมแพ้ในเวลาไม่นาน ไม่ไหว ขอกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมดีกว่า
.
ไม่นับคนที่ขอให้ผมสอนแบบตัวตัว เพราะอยากเก่งขึ้นเร็วๆ ซึ่งอันนี้จะเหนื่อยเร็วกว่า เลิกเร็วกว่าเยอะ...(อาจจะเป็นเพราะวิธีสอนของผมด้วย)
.
ถ้าลองมองคนที่เก่งๆที่รู้จัก วิธีการใช้ชีวิตของพวกเค้ามักจะผลักดันให้ตัวเองเก่งขึ้นไปเรื่อยๆอยู่แล้ว วันหนึ่งอาจจะเริ่มรู้สึกว่านี่เป็น comfort zone ไปแล้ว ก็จะเริ่มมองหาความท้าทายใหม่ๆให้ตัวเอง ซึ่งมันก็มักจะเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตบางอย่าง อาจจะเล็กๆอย่างเปลี่ยนไปลองศึกษาเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน หรือบางคนอาจจะจัดหนักกว่านั้น ก็แล้วแต่ว่าแต่ละคนรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
.
การจะเก่งขึ้นกว่าเดิม คำว่า "กว่าเดิม" มันก็เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า เราจะไม่ได้มันมาด้วยการทำตัวแบบเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม
.
การเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้เวลาของตัวเอง การต้องสูญเสียเวลาที่เคยเอาไปทำอย่างอื่น มันคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับอะไรที่ไม่เคยได้มา
.
ใช้เวลาแบบเดิม ก็ได้ชีวิตแบบเดิม ก็เท่านั้นเอง
หลวงปู่อ่ำ : อาตมาไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว
อุบาสก : ใช่ครับท่าน พระไม่ควรมีเงิน
หลวงปู่อ่ำ : ใช่ เพราะเงินเก็บไว้กับไวยาวัจกร
------------------
หลวงปู่อ่ำ : อาตมาไม่มีรถส่วนตัวซักคัน งานไหนไม่มารับก็นั่งแท๊กซี่ไป
อุบาสก : ใช่ครับ พระไม่ควรมีรถส่วนตัว แต่วันก่อนท่านไปงานศพ เห็นว่านั่งรถเบนซ์นี่ครับ
หลวงปู่อ่ำ : อ๋อ... อันนั้นรถของวัด ไม่ใช่รถอาตมา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เฟสบุ๊คใช้ฟรี โฆษณาเลยเยอะ
กูเกิลใช้ฟรี โฆษณาเลยเยอะ
อินสตาแกรมใช้ฟรี โฆษณาเลยเยอะ
รถไฟฟ้า ..........."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประวัติศาสตร์ไทยที่เรียนมาแทบหาความจริงอะไรไม่ได้. พอเข้ามหาลัยได้เรียนรู้จริงๆจะรู้สึกสมเพชแทนเด็กไทย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าคุณถูกจับแล้วโพสต์ท่าหน้ากากแอคชั่นถ่ายรูปกับเพื่อนคุณจะไม่ได้ประกันตัว แต่ถ้าคุณยกพวกเอาไขควงแทงคนตายคุณจะได้สิทธิประกันตัวออกไปต่อสู้คดีตามกฎหมายนะคับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ข้อดีของการโดนถอดยศตอนเป็นพระ ก็คือหัวโล้นอยู่แล้ว ไม่ต้องโดนจับโกนอีก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พี่ไม่อยากให้น้องเข้าใจว่าตำรวจไม่ดูแล"
...
นี่คือคำพูดของพี่ดาบกิตติที่บอกกับเราทางโทรศัพท์ ในขณะที่เรากำลังบึ่งมอไซต์ไปที่เพชรเกษมด้วยตัวเอง
.
.
ก่อนหน้านั้นจริงๆ ก็เล่าได้เยอะ
แต่ขอย้อนกลับไปหลังจากที่เราแจ้งความลงบันทึกประจำวันเสร็จ
.
เราได้ถูกพาไปพบตำรวจกองสืบสวน ที่นั่นเองเราได้พบกับตำรวจสองนาย ขอเรียกว่าพี่ A กับพี่ B แล้วกัน
.
พี่ A เป็นคนที่ทำให้เรามีความหวัง
เรายืม iPad ของเขา ใส่ Apple ID เพื่อเปิด Find my iPhone แล้วเราก็พบว่า มือถือของเรายังเปิดเครื่องอยู่ และยังตามตำแหน่งเจอได้!
.
แต่พอเห็นแผนที่เราก็ต้องช็อค มือถือของเราซึ่งมันควรจะอยู่เขตพระโขนง กลับไปปรากฏตัวอยู่ที่เขตบางแค! ทั้งๆ ที่เราเพิ่งทำหายไปได้แค่ประมาณชั่วโมงเดียว
.
เราตกใจมาก ต้องเป็นขโมยแน่นอน ต้องล้วงกระเป๋าเรา แล้วรีบบึ่งไปแน่นอน
.
.
ถึงจะไกลแต่เราว่าเราก็ยังมีหวังนะ เพราะมือถือมันยังไม่ถูกปิดเครื่อง
.
.
.
แต่พี่ B อีกคนหนึ่งนั้น เขาบอกกับเราว่า
...มันข้ามเขตไปแล้ว น้องต้องหาทางใช้ Find my iPhone แล้วแจ้งให้สน.ที่บางแคช่วยเอานะ
...ทำให้สถานการณ์ดูเหมือนว่า สน. พระโขนงจะช่วยอะไรเราไม่ได้แล้ว
.
.
เราตัดสินใจโทรหาสน.บางแค
สิ่งที่เขาบอกเราคือ...
ถนนเลขคู่ไม่ใช่พื้นที่ของเขา ต้องเป็นสน.หลักสอง
เราแบบ.....เฮ้อ =_=
.
.
เราเห็นพิกัดมือถือของเรา เครื่องยังไม่ปิด
เรารู้สึกว่าเราต้องทำอะไรซักอย่าง
เราเลยตัดสินใจที่จะไปที่นั่นด้วยตัวเอง
ระหว่างทางก็มีอุปสรรคตลกๆ เยอะมาก เช่น ต้องหาทางขอยืมอุปกรณ์ของใครซักคนที่จะช่วยให้เราใช้แอปนี้ได้ ได้ทีม Techsauce ช่วยเอาไว้เยอะเลย และได้ 'เจ้หลิน' หญิงเหล็กขี่มอไซต์จะพาเราไป
.
.
.
เรานั่งมอไซต์ไปได้ครึ่งทางแล้ว กระทั่งมีโทรศัพท์จากตำรวจที่เราเจอเมื่อเช้าเข้ามา
...เขาคือพี่ A
.
.
"น้องไม่ต้องไปเองแล้วนะ พวกพี่บึ่งมอเตอร์ไซต์มาแล้ว"
...ห้ะ?
"อย่าไปฟังคำพูดของพี่ B เลยนะ"
"พี่ไม่อยากให้น้องเข้าใจว่าตำรวจไม่ดูแล"
.
.
.
เราตัดสินใจเชื่อใจพี่ A
รอข่าวต่อประมาณสองชั่วโมง ก็ได้ความว่าเจอแล้ว
วันนี้ 6 โมงเย็น เราได้พบกับพี่ A ได้โทรศัพท์ของเราคืน
.
.
"พี่ไม่อยากให้น้องไปเอง แถวนั้นมันอันตราย ตอนที่พี่ไป เชื่อไหมว่าพี่จับยาไอซ์ในบ้านหลังนึงได้"
แล้วพวกพี่คุ้มหรอคะที่เสียเวลาให้อรทั้งวัน กับมือถือเครื่องเดียว?
.
.
คำพูดเดิมยังคงหวนกลับมา
.
.
"พี่ไม่อยากให้น้องเข้าใจว่าตำรวจไม่ดูแล
ดีใจด้วยนะที่ได้มือถือคืน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
555 ละครหลังข่าวเนี่ยน่ะน้ำดี นางเอกเห็นมีแต่ตบกันแย่งผัว พระเอกก็ข่มขืนนางเอก
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
ถ้ามึงคิดว่าละครหลังข่าวมีแต่แบบนั้น กูก็มีสิทธิคิดนะว่าอนิเมะญี่ปุ่นมีแต่ฮาเร็มขายเซอวิส
#มิตรสหายโม่งอีกท่านหนึ่ง
คำว่า "น้ำดี" มันมาจากละครหลังข่าวว่ะ คือละครหลังข่าวส่วนมากน้ำเน่าไง เลยเกิดคำๆนี้ขึ้นมาเวลามีละครหลังข่าวเนื้อหาดีๆ
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
555 ละครหลังข่าวเนี่ยน่ะน้ำดี นางเอกเห็นมีแต่ตบกันแย่งผัว พระเอกก็ข่มขืนนางเอก
#มิตรสหายโม่งอีกท่านหนึ่ง
>>92 https://th.wikipedia.org/wiki/เหตุผลวิบัติ
เอาไปดูนะว่าประโยคนี้ แม่งมีกรณีในนี้ซ้อนกันกี่อัน
"มันไม่เหมือนแบบขวดปกติหรือกระป๋องเดิมๆ เพราะมันคือเบียร์สดเอามาใส่ขวดแชมเปญ...."
ไอสัส จะให้กูขำไปถึงไหน 555
แล้วไอเบียร์ขวดหรือกระป๋องที่มึงแดกก่อนหน้านี้มันเอาเบียร์เน่า เบียร์บูด หรือมันไม่สดยังไงวะ 555 เบียร์แม่งก็มาจากหม้อเดียวกัน ถังหมักเดียวกัน รสชาติแม่งต่างไปตามบรรจุภัณท์หวะ ความรู้ใหม่เหี้ยๆ 555
#สัญญาว่าจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย #เสียดายพื้นที่FEED #เปลืองDATA
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"The International Women’s Day is not about hating men…
.
วันสตรีสากลไม่ใช่วันที่มีเอาไว้ให้ด่าผู้ชาย...
.
อันที่จริงนะ คนพูดกันเยอะแล้วเรื่องเพศชายกดขี่และเหยียดเพศผู้หญิงอย่างไรยังไงบ้าง ....ซึ่งอันนี้เราไม่ปฏิเสธ เราเองก็เจออยู่ทุกวัน ทั้งแบบสุดโต่งและแบบที่พบเจอในชีวิตประจำวันทั่วไป
.
แต่แบบที่เจอบ่อยที่สุดคือ การกดขี่และเหยียดเพศที่เคลือบแฝงอยู่ภายใต้หน้ากากของความเอ็นดูและความหวังดี ความมีประสบการณ์และคุณธรรมจริยธรรมที่สูงกว่าเรา มาตัดสิน/แนะนำ ว่าเราควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้หญิง ทำให้การเป็นผู้หญิงกลายเป็นภาระ ต้องระวัง ต้องคิดมากกว่าผู้ชาย (ทั้งที่สภาพร่างกายของเราก็เป็นภาระให้เราทุกเดือนอยู่แล้ว)
.
ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวของเรา ผู้ที่กดขี่เราในลักษณะนี้ส่วนมากเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย!
.
เป็นการที่สตรีด้วยกันเองรับเอาประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ หรือรูปแบบสังคมที่กดขี่ผู้หญิงให้ด้อยกว่าผู้ชาย (ซึ่งผ่านการสั่งสมมานานแล้วหลายยุคสมัย เพื่อการบริหารจัดการสตรีให้อยู่ภายใต้การปกครองของเพศชาย) มาจำกัดอิสรภาพในการดำรงชีวิตของสตรีทุกเรื่องแม้กระทั้งในปี 2560 ไม่ว่าจะเป็นความคิด การแต่งกาย การทำงาน การเดิน นั่ง นอน เที่ยว มีเพศสัมพันธ์ หรือเรื่องง่ายๆ แค่การออกไปนอกบ้าน
.
เป็นการกระทำการเหยียดและกดขี่เพศตัวเอง
.
พอผู้ชายเหยียดแล้วรู้สึกว่าด่ากลับได้ถนัดปาก แต่พอผู้หญิงด้วยกันเองทำแล้วรู้สึกพูดลำบาก เพราะเหมือนการด่ากลับคนที่เค้าหวังดี เจตนาดี อยากให้เราเป็นคนดีตามกรอบสังคม
.
ถ้าเราไม่เห็นด้วย ก็รู้สึกเราจะเลวผิดมนุษย์ขึ้นมาทันที"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"FYI: ออร์แกนไนเซอร์หลักของ Women's March to Washington คือ Linda Sarsour ผู้สนับสนุนกฎหมายชารีอะฮฺครับ ช่างก้าวหน้าดีจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คุณมีเวลาเหลือยื่นภาษีอีก 21 วันนะครับ
จ่ายค่าเช่าประเทศกันด้วยนะครับ เตือนไว้เผื่อใครลืม.. ขอบคุณครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ชายแท้ไม่ฟังเพลงดีว่า ไม่ทานยำ ไม่ทานมะม่วงดอง และต้องใส่กางเกงในรอสโซ่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตรรกะเหี้ยไรของมึง
#มิตรสหายกูเอง
แม่: ลูกตกวิชาภาษา ลูกควรเรียนเสริมนะ
ผม: *เปิดเกมเซเว่นไนท์*
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เซเว่นไนท์เป็นเกมเกาหลีโว้ย
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
แม่: ลูกตกวิชาภาษาจีน ลูกควรเรียนเสริมนะ
ผม: *เปิดเกมเซเว่นไนท์*
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เซเว่นไนท์เป็นเกมเกาหลีโว้ย
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"อีบริษัทพ่อกับแม่จำกัดมันอยู่ไหน พนักงานบริษัทแม่งมีแต่คนโง่ๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มา Quote Status ที่มี "สาระ" ของชาวบ้านกัน ขอสาระล้วน ๆ ไม่เอาบันเทิง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เข้าใจว่าในกฎหมายของ US คือวีดีโอต่างๆ ต้องมีข้อความแคปชั่นประกอบเสียงด้วย คนหูหนวกจะได้เข้าใจเนื้อหา
มีคนยื่นคำร้องไปที่ Department of Justice ว่าคลิปการเรียนการสอนของ Berkeley กว่า 20,000 คลิป (ที่ปล่อยให้ชมฟรี) ไม่มีข้อความประกอบเสียง ทางนั้นก็เลยสั่งให้ Berkeley ทำแคปชั่นให้คลิปทั้งหมด
เนื่องจากการทำแคปชั่นให้คลิปทั้งหมดซึ่งปล่อยให้ชมฟรีนั้นต้องใช้ทรัพยากรสูงมากจนไม่คุ้มค่าอีกต่อไป จึงตัดสินใจเอาคลิปสองหมื่นกว่าคลิปนั้นลงแทน :3"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>106 ข่าวนี้ บางคนอาจฮา บางคนอาจสมน้ำหน้าลิเบอรัล
แต่กูคิดว่ามันสมควรทำว่ะ ยิ่งเป็นคลิปเกี่ยวกับศึกษายิ่งควรต้องมีแคปชั่น
เพราะมันมีเรื่องความแม่นยำในข้อมูลมาเกี่ยวข้องด้วย
แคปชั่นมันไม่ได้มีประโยชน์แค่คนพิการ แต่รวมถึงคนที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษด้วย
ใช่ว่าทุกคนจะมีทักษะการฟังที่ดี ยิ่งคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก
ฟังเพี้ยนความหมายเปลี่ยน เข้าใจผิดในเนื้อหา แย่กันไปใหญ่
จากคลิปมีประโยชน์ เลยกลายเป็นใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่
มหาลัยตัดสินใจลบทิ้งทั้งหมดก่อนนะถูกแล้ว ไปทำใหม่ใส่แคปชั่นค่อยๆไล่อัพกลับก็ได้
"หลังๆ คนที่บอกว่า เราคิดต่างทางการเมือง แต่ยังเป็นเพื่อนกันได้
ผมฟังแล้วก็...
เอางี้แล้วกัน คิดเหมือนกันทางการเมืองบางครั้งยังคบเป็นเพื่อนกันไม่ได้เลยครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Thai 4.0 ไม่ใช่หวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจ IT แต่คน ITต้องหัดดิ้นรนไปเป็นรัฐบาล
รัฐมนตรีประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้เขียนโปรแกรมได้ แต่คนที่เขียนโปรแกรมได้เขามาเป็นรัฐมนตรี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นเบียร์ตลาดแข่งกันด้วยแพคเกจนี่มันตลกร้ายนะครับ
เบียร์มันควรจะแข่งกันที่น้ำเบียร์ข้างใน แข่งกันที่รสชาติไม่ใช่เหรอ (โอเค แพคเกจก็มีส่วนช่วยขายล่ะ แต่เนื้อแท้ของเบียร์มันคือรสชาติอ่ะ)
แต่ประเทศเรานี่มาแปลกเลย เจ้านึงออกเบียร์สไตล์เดิมมา แต่หวานๆจืดๆกว่าที่เคยมี อีกเจ้านึงกูทำลงขวดแชมเปญแม่งเลย ส่วนน้ำในขวดแม่งก็เหมือนเดิม อีกเจ้าเห็นอีกฝ่ายทำลงขวดแชมเปญ อ่ะกูแก้เกมส่งไอ้ตัวเดิมลงกระป๋องแม่ง
สรุปวนไปวนมาแข่งกันที่แพคเกจ เด๋วขวดเขียว เด๋วขวดใหญ่ขวดแชมเปญห่าไรนี่ เด๋วลงกระป๋องแม่งต่อ
วนไปวนมาเป็นวงจรอุบาทว์อยู่แค่นี้ ผู้บริโภคไม่ได้แดกห่าอะไรต่างจากเดิมเลย แถมยังโดนการตลาดแบบขยะๆ การตลาดแบบดูถูกผู้บริโภค มาคอยวนเวียนให้พบเจอเป็นที่น่าเศร้าใจอีก
กับอีกเจ้านึง ลองเลือกทำเบียร์รสชาติทางเลือกขึ้นมา อ่ะ ลองแปลงแม่งเป็นไรซ์เบอร์รี่ดู แล้วนี่ล่าสุดจะมีรสชาติส้มโชกุนออกมาใหม่อีก
เออ ถึงจะเป็นเบียร์ตลาด แต่ก็กล้าลองใส่รสชาติอะไรใหม่ๆลงไป แบบนี้ยังน่าสนใจ และไม่ดูถูกผู้บริโภค เป็นผม ยังขอเลือกซื้อเบียร์ที่มีความกล้าทดลองอะไรใหม่ๆแบบนี้นะ แม้จะเป็นลาเกอร์ราคาถูกก็ตาม
สุดท้ายนี้ก็อยู่ที่คนดื่มด้วยเช่นกัน จะเลือกใส่ใจแค่แพคเกจเปลือกนอก หรือจะให้ค่ากับน้ำเบียร์ข้างใน พวกเราผู้บริโภคมีส่วนในการกำหนดสิ่งที่อยู่ในตลาดด้วย ถ้ายังบ้าบอไปกับสงครามแพคเกจงี่เง่าแบบนี้ เขาก็จะยังทำของซ้ำซากมาให้เราแดกเหมือนเดิม แต่ถ้าผู้บริโภคเมินเฉยกับเรื่องเปลือกนอก สนใจว่าใครจะทำรสชาติใหม่ๆขึ้นมา มันก็จะมีคนกล้าทำอะไรใหม่ๆขึ้นมาบ้าง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อูเบอร์ ขนส่ง ตัวกลาง กับ Information Cost
ผมเข้าใจว่าตอนนี้ขนส่งหัวร้อนมาก ยิ่งไล่จับอูเบอร์ แรงต้านก็ยิ่งมาก และอูเบอร์ก็กวนมาก คือแสดงออกชัดเจนเลยว่า "ไม่ยอมให้กำกับดูแล" ถ้าอยากกำกับดูแลก็แก้กฏหมายซะ
พูดง่ายๆคือผิดกฏหมายชัดๆ ไม่ยอมปรับปรุงตัว แถมประชาชนก็ดันไปเห็นดีเห็นงาม ยิ่งชวนน้อยอกน้อยใจว่า "เออ แท็กซี่มันแย่ แต่ก็ไม่ควรไปสนับสนุนพวกผิดกฏหมายปะวะ แท็กซี่ดีๆก็มี ทำไมไม่ใช้"
ผมคิดว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจต้องย้อนไปดูถึงจุดเริ่มต้น นั่นคือ Information Cost หรือต้นทุนข้อมูลข่าวสาร และ ภาวะข้อมูลข่าวสารไม่สมมาตร
ผมคิดว่าธุรกิจพวก Sharing Economy เนี่ย หลักๆคือมันทำให้ข้อมูลข่าวสารที่เคยได้มายาก มีต้นทุนกลายเป็น 0 ในกรณีของอูเบอร์ ข้อมูลเหล่านี้ประกอบด้วย
1. รถคันไหนรับจ้างบ้าง? ถ้ารถทุกคันเป็นรถบ้าน คำถามคือการจะจ้างแท็กซี่ซักคันจะใช้เวลาเท่าไหร่? คุณต้องโบกไปเรื่อยๆ แล้วก็คาดหวังให้คันที่ผ่านมาเป็นรถรับจ้าง
2. รับจ้างแล้ว ไปไหม? ราคาเท่าไหร่? พูดง่ายๆคือยุคก่อนแท็กซี่มิเตอร์(หรือยุคนี้? ) แล้วก็ต่อรองกันตามใจชอบ
จากข้อสองนี่ทำให้เกิดภาวะถัดไปตามมาครับ คือภาวะข้อมูลไม่สมมาตร นั่นคือผู้โดยสาร(ต่างถิ่น)ไม่รู้ดีเท่าแท็กซี่หรอกว่า เส้นทางนี้ ระยะนี้ ควรจะมีราคาเท่าไหร่ การไม่รู้เนี่ย ทำให้เกิดการเสียโอกาส เพราะ
2.1 อาจโดนโขก อันนี้เข้าใจกันดี
2.2 เสียเวลา เพราะต่อให้ราคานั้นแฟร์แล้ว แต่เนื่องจาก ผู้โดยสารก็ไม่รู้อยู่ดีว่าแฟร์แล้ว ก็อาจจะบอกผ่าน เรียกคันใหม่ ฯลฯ
การกำกับดูแลจึงเป็นการเข้ามาทำให้ข้อมูลเหล่านี้เข้าถึงง่ายนั่นเอง เช่นแท็กซี่ต้องมีรูปร่างแบบเดียวกันหมด คนขับต้องได้มาตรฐานเดียวกันหมด ราคาต้องกำหนดในรูปแบบเดียวกันหมด เจตนาก็คือทำให้ต้นทุนของการหารถรับจ้างเป็น 0 เพราะคุณจ้างคันไหน ก็เหมือนกัน ราคาเท่ากัน
แต่อูเบอร์มันเป็นธุรกิจที่มา Disrupt(แปลว่ากวนตีนก็ได้ครับ) คือมันเชื่อว่ามันหาวิธีใหม่ที่ทำให้ Information Cost เป็น 0 ได้ เมื่อทำได้ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องก็ไม่จำเป็น เช่น รถไม่จำเป็นต้องหน้าตาเหมือนกัน ราคาไม่จำเป็นต้องเท่ากัน คนขับไม่จำเป็นต้องได้มาตรฐานรัฐบาล ฯลฯ
และมันทำได้จริงซะด้วยสิ เสียงตอบรับผู้บริโภคยืนยันอยู่
รถไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะคุณเรียกผ่าน App คุณรู้ว่ารถ(และคน)ที่จะมารับคุณคือใคร เพราะ App มันแจ้งหมด
ราคาไม่จำเป็นต้องเท่ากัน เพราะ มันบอกเรต และ ราคาประเมินใน App
คุณรู้เส้นทาง ระยะทาง และตำแหน่งปัจจุบันทันที ฯลฯ
เมื่อมุมมองของอูเบอร์แต่ต้นคือการกำกับดูแลมันงี่เง่า ไร้ประสิทธิภาพอยู่แล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจที่คุยกี่หน อูเบอร์มันก็ไม่ยอมแก้ ยังคงยืนกรานจะทำแบบเดิมต่อไป และทะเลาะกับเค้าไปทั้งโลก
และเมื่ออูเบอร์บริหารข้อมูลข่าวสารได้ดีกว่ารัฐ รัฐจึงพบว่า ประชาชนของตัวเองไม่เห็นด้วยกับรัฐ ไปเห็นดีเห็นงามกับอูเบอร์แทนในประเด็นกำกับดูแล
ทำไมล่ะ?
เพราะ "ต้นทุนของข้อมูล" อีกนั่นแหละ
เมื่อรัฐไม่สามารถกำกับดูแลรถรับจ้างให้ทำตามกฏได้ นั่นหมายความว่า การเรียกรถ "ที่ถูกกฏหมายบ้างผิดกฏหมายบ้าง" มีต้นทุนแพงมากกกกกกก การออกไปยืนตากแดดโบกรถแล้วโดนปฏิเสธติดๆกันไม่ใช่เรื่องสนุก การต้องมาต่อรองราคาเวลาไปในเส้นที่รถไม่อยากไปไม่ใช่เรื่องสนุก การที่รัฐบอกให้ประชาชนโทรแจ้ง ไม่ได้ทำให้ความไม่แน่นอน และความยากลำบากในการเรียกรถหายไป
เมื่อเทียบกับหยิบมือถือมากดหนึ่งที เห็นราคาล่วงหน้า รู้ว่าอีกสิบนาทีรถจะมา ความลำบากมันแตกต่างกันมาก
และเมื่อปัญหาแท้จริงที่คนเจอไม่ใช่เรื่องมาตรฐานแท็กซี่ แต่เป็นเรื่อง "ต้นทุนข้อมูล" นั่นแปลว่าสารพัดโครงการ VIP Taxi จะไม่มีประโยชน์ จะไม่ได้ทำให้คนขึ้นอูเบอร์น้อยลง และไม่ได้ทำให้เสียงตอบรับดีขึ้น
การที่พยายามไปออกมาตรฐานรถแบบใหม่ๆ จึงเป็นการตอกย้ำว่า ขนส่งยังอ่านเกมไม่ขาด ยังตกยุค และตามโลกาภิวัฒน์ไม่ทัน
ปล.โพสต์จากคนในขนส่งลบทิ้งไปซะแล้ว เดาว่าโดนคนเข้าไปอัดเยอะจัด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กุนึกว่ามู้ มิตรสหายท่านหนึ่ง 55+
กุถามเพิ่ม Uber กับ กฎหมายไทยทำไมตีกันวะ กุได้ยินมาว่าหลายๆประเทศก็มีปัญหากับ Uber
ไม่ใช่ทุกประเทศที่โอ กุเลยสงสัยว่า Uber มันทำผิดกฎหมายตรงไหน แล้วทำไมไม่ทำให้ถูก
ส่วนทางกรมขนส่งทำไมมันถึงคิดว่า Taxi มันดีขนาดนั้นวะ ความจังไรเยอะมากเลย ประชาชนเค้ารู้กันหมดแล้ว
ทำไมถึงไม่ปรับกฎหมายให้ Uber เปิดบริการได้
ไม่ดิทำไมไอ กรมขนส่งกับ Uber ไม่มาคุยกัน ประชาชนจะได้ประโยชน์ ส่วน Taxi ตัดแม่งไปเหอะ เลว
>>116 รถบริการต้องใช้ป้ายรถบริการ เสียภาษีอีกแบบหนึ่ง และต้องมีการตรวจเช็คทุกระยะ คนขับก็ต้องผ่านการอบรม
พูดง่ายๆ คือผู้ให้บริการต้องมีระเบียบสำหรับผู้ให้บริการ และภาษีควบคุมอีกที ประเด็นหลังน่าจะสำคัญ เพราะบูเบอร์ไม่เสียภาษี
จริงๆ จะไปโทษรัฐอย่างเดียวก็ไม่ถูก คืออูเบอร์มันไม่ยอมคุยด้วย ไม่ยอมอยู่ในระเบียบอะไรทั้งนั้น บอกว่าต้องแก้กฎหมายให้ตัวเองทำแบบที่แล้วๆ มาอย่างเดียว ไม่งั้นคงคุยกันได้นานแล้วละ
Don't sell your children people.
Raise them to be your henchmen to capture other people's children and then sell those.
Gotta think like an entrepreneur guys.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไม่ใช่เพราะอกหัก
ไม่ใช่เพราะพ่อตาย
ไม่ใช่การเดินตามเท้า สิทธัตถะ แต่อย่างใด
resuLt นั่นไซร้คือแดกฟรี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>119 คิดเหมือนกันเลย คือเมืองนอกก็ตีกันอยู่หลายที่ คิดว่าแก้ปัญหาแท็กซี่ แล้วก็ห้ามสองแถววิ่งให้จบๆเถอะ ทำได้ไม่ต้องเอาอูเบอร์มาย้ำปัญหาก็ได้ อีอูเบอร์เองก็ไม่เคยรับผิดชอบไรเหอะ เพียงแต่ว่าคนที่ทำส่วนมากมาจากสังคมที่ดีกว่าหน่อย เลยไม่บริการเลวเท่าแท็กซี่เช่าขับ
>>127 fallout เหี้ยอะไร ตอนนี้มีอันชัดๆคือรังสีทั่ชายฝั่งอเมริกาเพิ่มขึ้นแต่มีระดับนิดเดียวไม่เป็นอ้นตราย มึงเอาไปอ่านเพิ่มเองละกัน http://www.statesmanjournal.com/story/tech/science/environment/2015/04/06/fukushima-radiation-reached-north-american-shores/25322871/
>>129 https://thinkprogress.org/eating-fish-from-the-pacific-ocean-wont-turn-you-into-a-mutant-8afe7a93d52d#.s74oe3nfx
เอาไปอ่าน ระดับรังสีที่เพิ่มขึ้นในปลามันน้อยกว่าที่มีมาแต่แรกอีก
รถเฟี๊ยส เฟี๊ยสสส รถชื่อฟอร์ด
รถขึ้นสะพานนน รถลงสะพานนน
รถเลี้ยวซ้าย รถเลี้ยวขวา
เกียร์ กระตุก กระตุ๊ก กระตุ๊กกระตุก (เบรกแตกกก ตูมมมมม)
#ไม่ต้องมิตรสหายที่ไหน กูแต่งให้เอง เจอรถยี่ห้อนี้ไปเปิดตัวที่ห้างไหนฝากร้องเพลงนี้ให้แม่งฟังด้วยนะ
อยากได้อะไรแบบที่ประเทศที่เจริญแล้ว
อยากได้อะไรที่เป็นสากล
แต่พอจะทำแล้วขัดกับความสบายของตัวเอง
เราก็พร้อมจะกลับมาอยู่ในกะลาแล้วเบะปากด่าทุกอย่างว่าแม่งไม่อินเตอร์เบย
>>119 ปกติแล้วไม่ต้องถีบทิ้งมันก็เจ๊งไปเอง เพราะค่าบริการแม่งแพงกว่าเยอะ แต่บังเอิญ taxi ไทยมันเหี้ย คนก็เอามาเป็นข้อต่อรองว่า กูมีทางเลือกแล้ว ไปทำของถูกๆคุณภาพดี มาให้กูใช้ซะดีๆ
uber ก็ลอยตัวมีคนสนับสนุนให้ฟรี ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ควรจะต้องไปทำให้ถูกกฏหมาย แต่ถ้าไปทำเสียภาษีให้ถูกต้อง เดิมแพงอยู่แล้ว แม่งก็จะแพงกว่าเดิมอีก ก็มีโอกาสจะเจ๊งเพิ่มขึ้นอีก มันจะทำทำไม ก็เลยปล่อยคาราคาซังต่อไปแบบนี้
>>138 ค่าเซอเวอร์ R&D ค่าระบบ ค่าพนักงาน ค่าทำโปรจูงใจทั้งคนขับและคนนั่งมันไม่ฟรี ซึ่งทุกวันนี้ UBER ก็ยังดำเนินธุรกิจแบบขาดทุนอยู่ตลอด มันจะหาทางลดค่าใช้จ่ายก็ไมแปลก อีกอันคือจุดเด่นที่มันชูมาตลอดคือราคา ซึ่งถ้าดูจากตัวเลข/ระยะทางแล้วมันถูกก็จริง แต่ใช้จริงไม่ได้ถูกกว่าแทกซี่เลย และคนขับ UBER จะมีค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงสูงกว่าแทกซี่ด้วยเพราะหลายคันใช้น้ำมัน (แต่ก็แลกมากับว่าไม่มีค่าเช่าเพราะใช้รถตัวเอง) โดนรวมคือรายได้จะไม่ต่างกับแทกซี่ปกติแต่รายจ่ายมากกว่า แล้วมันทำยังไงเพื่อให้คนอยู่ในระบบต่อ ก็คือออกโปรจูงใจคนให้ทำเป้า เหมือนพวกขายประกัน ทำยอดให้เยอะ ถ้ายอดเยอะมันก็จะช่วยกลบ Fix Cost ได้เอง แล้วพอลูกค้าติด คู่แข่งตายมันก็ค่อยลดโปรลง ซึ่งตอนนี้ถ้าเทียบกับช่วงแรกโปรมันก็น้อยลงมากแล้วนะ ดังนั้น UBER มันเลยพยายามจำกัดค่าใช้จ่ายเพิ่มให้มากที่สุดนั่นล่ะ ผิดกับอีกด้านอย่าง AirBNB รายนั้นเขาได้กำไรแล้วเพราะค่าใช้จ่ายเสริมทั้งจากฝั่งผู้เช่าและให้เช่าไม่มีอะไร ระบบก็ง่ายกว่า UBER แถมค่าธรรมเนียมแพงด้วย เลยได้กำไรไปละ
บางครั้งก็งง ก็เห็นอยากมีสิทธิเท่าเทียมผู้ชาย
แต่ก็เห็นอะไรขัดใจในสังคมหลายๆอย่างเช่นกัน แบบ...
#ขึ้นรถเมล์ ผู้ชายก็ต้องสละที่นั้งให้
ทำไมถึงไม่ยืนให้เท่าเทียมกัน?
#เลดี้เฟิร์ส ผู้หญิงต้องได้สืทธิ์นั้นก่อน
ทำไมไม่มี เจนเติ้ลเฟิร์ส บ้าง?
#ออกไปเดท ผู้ชายต้องเลี้ยง ต้องเปย์ให้ทุกอย่าง
ทำไมผู้หญิงไม่เลี้ยง ไม่เปย์ให้ทุกอย่างบ้าง?
...อยากน้อยออกกันคนละครึ่งก็ยังดี....
#การลงไม้ลงมือ ถ้าผู้ชายเริ่มรุนแรงก่อน จะถูกมองว่าใจ หมาลูกตุ๊ด เลวทราม เหยียดหยามเพศแม่ ฯลฯ
แต่ถ้าผู้หญิงทำก่อน จะกลายเป็นว่า โห เจ๋งอะ
ทำไม่ถึงกล้าทำ เพราะเหตุผลอะไรนะถึงกล้าทำแบบนี้ ฯลฯ
#ความเงี่ยนงำ ถ้าผู้ชายมักจะแสดงออกได้บ่อยในหลายๆแบบ ดูไม่ค่อยน่าเกลียด
แต่ผู้หญิงมักไม่กล้าทำอะไรแบบนั้น....
ทำไมถึงไม่กล้าแสดงออกแบบผู้ชาย!!?
แสดงออกมาสิ!!! แสดงออกมาเลยสิ!!!
ได้สิทธิเท่าเทียมแล้ว เรื่องแบบนี้อย่าไปกลัว!!!
....ฯลฯ.......
แบบนี้มันไม่ได้เหมือนสิทธิเท่าเทียมเลย แต่เป็นสิทธิแบบแอบแฝงว่าเท่าเทียมมากกว่า!!!?
เราขอถึกทักตั้งชื่อเองว่า"สิทธิอันเหนือชั้น"
#มิตรสหายท่านนึงได้เคยกล่าวไว้
>>140 จริงๆที่มึงพูดมามันเป็นเรื่องมุมมองทางศีลธรรมมากกว่าเรื่องเพศว่ะ แบบอะไรที่ทำแล้วดูดี/เลว มึงเลือกที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้นิ แต่ถ้ามึงแคร์สังคมในแง่ว่ามึงอยากจะดูเป็นคนยังไงก็คงกดดันน่าดู ปัญหาก็คือผู้หญิงมักใช้ความอ่อนแอเป็นเครื่องมือในการเรียกร้อง มันก็เลยน่ารำคาญ แต่กูว่าไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอก ทุกคนที่อ่อนแอก็มักจะใช้วิธีเดียวกัน สิทธิเท่าเทียมมีที่ไหนกันล่ะ
>>145 ก็เพราะมันคือวิธีการแบบผู้ชายไงเฟมฯเวฟ1-3 มึงเข้าใจมั้ยว่ามันล้มเหลวมายังไง กูไม่ได้บอกวิธีแบบเวฟ4จะได้ผลหรือมีประสิทธิภาพมากกว่านะ แต่มันคือการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ว่ะ ไม่แปลกที่ผู้ชายหลายคน(รวมถึงผู้หญิงที่เข้าใจเฟมมินิสม์แค่เวฟ1-3) จะชอบหรืออยากเป็นดั่งผู้หญิงในแบบเวฟ1-3 เพราะมันดูผู้ชาย วิธีการจัดการแบบมีเหตุมีผล แต่มันถูกฟังแค่ไหน ถูกลืมแค่ไหน ถูกเหยียดเหมือนเดิม มันกลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ที่เอาไว้เรียนรู้ (ซึ่งเอาจริงๆแม่งมีรายละเอียดและเฟมหลายแบบมากๆ เช่น ราดิคัลเฟมมินิสต์ ฯลฯ) ในแง่นี้วิธีการอันไร้เหตุผล ดูน่ารำคาญอย่างเช่นความอ่อนแอหรือการใช้อารมณ์ จึงเป็นข้อต่อรองที่มีประสิทธิภาพ เพราะมันเอาอะไรมาวัดไม่ได้ รวมถึงแม่งจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ตลอดเวลา แม่งบั่นทอนผู้ชายง่ายกว่าการมานั่งเถียงเรื่องเหตุผลใครโอเคกว่ากันแยะเลย จริงๆมันก็เหมือนการที่ลึกๆแล้วผู้หญิงมีการรู้ตัวมากขึ้นว่าเครื่องมือใดที่ควรใช้ตอนไหน อันนี้กูแอบคิดเล่นๆนะ อ้ออีกอย่างกูว่าการมองประวัติศาสตร์ด้วยความรับผิดชอบแล้วมองปัจจุบันว่ามันไม่ควรเป็นยังไงนี่แม่งผิดบริบทมากๆเลย ไม่ได้ว่านะ แค่ออกความคิดเห็น
จริงๆแล้วก็ไม่ผิดนะ เราจะทำทุกอย่าง ตกผลึกทุอย่าง อ่านหนังสือทุกอย่างในคืนเดียวแม่งก็ดูไม่ผิดอ่ะ ก่อนหน้านี้นักศึกษาอาจจะไม่มีเวลาว่าง แล้วเคลียร์ทุกอย่างได้ในคืนนี้
ปัญหาหนึ่งของระบบการศึกษาไทยคือแม่งชอบมองว่า นักศึกษา แม่งมีบทบาทเดียวในสังคมคือ "เรียน" คือเค้าก็เป็นคนคนหนึ่ง บางคนมีสิ่งที่รัก บางคนมีภาระหน้าที่ บางคนต้องทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน ทำไมต้องคิดว่านักศึกษาทุกคนแม่งจะเป็นเด็กโง่ๆที่ก้มหน้าก้มตาเรียน พ่อแม่ป้อนเงินป้อนข้าวป้อนน้ำให้ คือถ้าอาจารย์แม่งยังคิดแบบนี้ ก็ไม่แปลกอ่ะที่ประเทศเหี้ยนี่ไม่พัฒนาไปไหนเลย ขนาดอาจารย์ยังโลกแคบขนาดนี้
by the way, อินักศึกษาที่ใช้ข้ออ้างเหล่านี้ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีปัจจัยจำกัดแบบที่กล่าวมามาใช้โจมตีผู้สอน แม่งก็ชี่้ให้เห็นชัดเหมือนกันว่าประเทศเหี้ยนี่สิ้นหวังแค่ไหน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Bafetimbi Fried Chicken
ไก่ทอดคนดำ นัคเก็ต สลัดทูน่าแตงโม เผือดบดเกรวี่แกงกะหรี่ ทาโร่ฟราย และ น้ำองุ่นโซดา
"อย่างน้อย แกก็น่าจะเห็นแก่หน้าปู่แกบ้างนะ"
ไนล่า กล่าว ขณะที่กำลังเห็น มูอัมบา ลูกชายกำลังสั่งไก่ทอดผู้พันมากิน
บ้านของไนล่า เป็นผู้อพยพมาจาก บูกิน่า ฟาโซ่ อย่างว่าหละ พวกเรามันชนกลุ่มน้อยข้ามน้ำข้ามทะเลมาหากินต่างเมืองมันก็ลำบาก ไนล่าคิดก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะสบถออกมา
"บ้าจริง"
"แล้วมันจะทำไมล่ะ แม่"
มูอัมบา สวนกลับ
"นี่มันก็ไก่ทอดเหมือนกัน มันก็หาซื้อง่าย ไม่จำเป็นนี่ว่าจะต้องเป็น หาดใหญ่ เท็กซัส บางตาล วิเชียรบุรี นี่ยังไม่นับรวมถึง ป๊อบอาย และ เวนดี้ ที่เจ๊งไปแล้วนะ"
"ขอแค่มีไก่ทอดไก่ย่าง เราก็อยู่ได้นี่ ปู่เคยสอนผมไว้"
"แต่ ไม่ใช่เจ้านี้!!!!"
ไนล่าตวาดสุดเสียง
"แกมีตัวเลือกตั้งมากมาย แกไม่รู้หรือว่าแกกำลังกินไก่เจ้าที่ทำให้ปู่แกเจ๊งหมดตัวอยู่ แกรู้ไหมว่า หลังจากมันมีสาขามากมาย รวมถึงเดลิเวอรี่ ปู่แกก็ปั่นจักรยานไปส่งไม่ได้!!!"
ไนล่าพูดอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น
"ปู่แกเลยหันมาขโมยจักรยานแทน"
มูอัมบา ทำอะไรไม่ถูกหลังจากเห็นแม่ตัวเองเป็นแบบนั้น จริงอยู่ที่ปู่โดนจับข้อหาโขมยจักรยาน แต่มันก็นานมาแล้ว ปู่ติดคุกไม่นานก็ออกมา อาจเพราะปู่แก่แล้วเลยขโมยได้แค่จักรยานสี่ล้อของเด็กสามขวบ
"ทำไม ไม่ปล้นแบงค์!!!!!!!!!"
ไนล่าแผดเสียงออกมาด้วยความระทม
มูอัมบ้าค่อยๆประคองแม่ขึ้นมากอดปลอบโยน พลางเดินไปหยิบน้ำองุ่นมาให้แม่เผื่อจะดีขึ้นบ้าง
"แม่ ผมขอโทษ ถึงผมจะไม่รู้ว่าผิดอะไร แต่อย่างน้อยถ้าแม่ดีขึ้นผมก็ยอม ส่วนไก่เจ้านั้นผมจะไม่กินในบ้านก็แล้วกันนะ พอดี ไอ้ เอ็มโบม่า ที่อยู่ชั้นเดียวกันชอบนัดเจอผมที่นั่น เรามันคนดำเหมือนกันผมเลยติด ผมขอโทษ"
ไนล่าเริ่มดีขึ้น
"แกรู้ใช่ไหมว่า BFC ร้านบ้านเรา ย่อมาจากอะไร"
Blackmen Fried Chicken ฮะ
มูอัมบ้าตอบ
"บ้าที่สุด แกนามสกุลอะไร"
ไนล่าถาม
"อูมเวบเวบเวบ โอนเยเทวบเวบเวบ อุมเวบมุบเวบ ครับ"
"ไอ้ห่า นั่นมันมุก ฉันเล่นเฟสบุคนะ ว่าแต่แกจำได้ไง"
ไนล่าตอบ
"บาเฟติมบี้ ครับ"
ใช่ นามสกุลแก บาเฟติมบี้
ชื่อร้านปู่แกคือ
Bafetimbi Fried Chicken
จำไว้ด้วย ฉันจะสอนแกทำ แล้วไม่ต้องไปซื้อของเจ้านั้นมาบ้านอีก
ไนล่าพูดพลางหยิบแตงโมเข้าปาก
"ได้ครับแม่"
แต่แม่ครับผมมีคำถาม
"ทำไมคนดำต้องกินไก่ทอดครับแม่"
มูอัมบ้าถามเป็นคำถามสุดท้าย
.
.
.
"กูก็ไม่รู้"
ไนล่าตอบ ก่อนเดินจากห้องไป
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปลาหมึกที่คุณกิน เขาอาจมีครอบครัวรออยู่ที่บ้านก็ได้
ลองคิดกลับกันถ้าปลาหมึกเอาญาติพี่น้องเรามาทำผัดกะเพราบ้างจะเป็นยังไง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ศาสนาและวิทยาศาสตร์ไปด้วยกันได้
วิทยาศาสตร์สร้างระเบิด ศาสนาเป็นคนกดรีโมต"
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เบื่อมากเวลาคนพยายามจะบอกว่ากฎหมายนี่เขียนมาเพราะหวังดีนะ เจตนาดี อย่าวิพากษ์วิจารณ์กันเสียๆ หายๆ นักเลย...
ทำไมเราถึงต้องอ่อนข้อให้กับคุณภาพของกฎหมายนัก เจตนาดี หวังดีอย่างเดียวก็พอแล้วเหรอ? มันเอามาเป็นข้ออ้างหักล้างความไม่สมเหตุสมผล ความไม่รัดกุมในการเขียนกฎหมาย การไม่ประเมินผลได้ผลเสียได้เหรอ?
ทั้งๆ ที่กฎหมายนั้นมีผลกระทบกับชีวิตเรามากมาย ทำไมเราต้องทำท่าเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีพอในการร่างกฎหมายให้มันมีคุณภาพด้วยละ? แล้วทำไมเราถึงไม่ควรวิพากษ์วิจารณืสิ่งที่จะกระทบกับชีวิตเราและสังคมเหรอ?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แม่งพอถามกลับไปว่า ไอ้ที่ศาสดาค้นพบรู้เห็นมานานแล้ว มันมีอะไรบ้าง แล้วตั้งนานทำไมไม่พูด ทำไมต้องรอให้มีใครสักคนค้นพบก่อนแล้วถึงค่อยมาเคลมว่าศาสดาตัวเองรู้ก่อน
แม่งตอบไม่ได้
พอถามว่าถ้ามีความรู้ค้นพบมานานแล้ว ทำไมพวกเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเครื่องบิน คอมพิวเตอร์ และเครื่องมือทางการแพทย์เชิงลึกถึงพึ่งมีขึ้นแค่ร้อยปีกว่าๆ ในขณะที่ศาสนามีมานานนับพันปี
แม่งบอกไม่ใช่กิจของสงฆ์หรือนักบวชหรือสาวกศาสนิกที่จะมาทำเรื่องพวกนี้ กูจะทำแค่คอยเคลม credit และรับเงินบริจาคลูกเดียว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรียกผู้หญิงว่าชะนีเปรียบเหมือนเค้าร้องหาผัว พอโดนเรียกอีตุ๊ดดิ้นจะเป็นจะตาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คุณค่าของคนอยู่ที่การโชว์Kuyงี้หรอวะ เห็นkuyแล้วควรโดนประนามงี้อ่อ นักแสดงก็หมดอนาคตงี้อ่อ คัมออน! ยูโซเติร์ดเวิลอ่ะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"กูยังจำคำที่บ้านตอนไปเที่ยวแถวดอยริมชายแดนแถวเชียงดาวได้
"อย่าลืมบัตรประชาชน"
ละเป็นงั้นจริงๆ ทหารเรียกตรวจรถสองแถว ชูบัตรขึ้น ทหารก่ยิ้ม แต่วัยรุ่นคนหนึ่งไม่มี โดนลากลงไปตบถามว่ามึงมาจากไหน เข้ามาทำไร ไม่ตอบก่ตบอีก
เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่รู้สึกว่าความเป็นคนไทยสำคัญมาก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ตื่นแต่เช้านั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมางานเสวนาที่โรงแรมเซ็นทารา ตั้งแต่ออกจากบ้านก็คิดในใจว่างานเสวนาห่าอะไรต้องจัดโรงแรมใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงรวยจัง
ขึ้นใต้ดินพหลโยธินมาก็งงๆ ไม่รู้เดินยังไง ปกติเดินเข้าห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวก็จบ นี่ไม่แน่ใจว่าโรงแรมเดินทางไหนจะใกล้กว่ากัน ป้ายก็ไม่มี ก็ลัดดลาะมาเรื่อยๆ เดินตามทางที่คนใส่ชุดพนักงานกำลังเข้างานเช้าเดินต่อกันเป็นแถว ก็ผ่านพวกอาหารริมฟุตบาท กองขยะ และคนที่นอนๆ แถวนั้นก็คิดในใจว่า การเดินเข้าโรงแรมหรูไม่น่าเป็นทางนี้หรือเปล่านะ
เดินๆต่อไป กระเป๋าหนัก ชักเหนื่อย เห็นป้ายโรงแรมอยู่บนยอดตึกแล้ว คิดในใจว่า โรงแรมนี้เข้าถึงไม่ง่ายเลยถ้ามาจากรถใต้ดิน เขาไม่ได้ทำทางเดินเผื่อคนมาจากใต้ดินไว้ด้วยซ้ำและคงไม่คิดจะทำ ทั้งที่โรงแรมอยู่ใกล้ใต้ดินนิดเดียว สงสัยโรงแรมแห่งนี้เขาไม่ง้อคนมาใต้ดินเลย คงต้องขับรถมาเท่านั้น
พอถึงหน้าโรงแรมก็ได้เหงื่อนิดหน่อย เห็นรถยนต์หรูๆ จอดหน้าโรงแรมหลายคัน มีพนักงานคอยเปิดประตูรถและเปิดประตูโรงแรมก็เข้าใจ ที่นี่ไม่ได้สร้างไว้ให้คนเดินจากใต้ดินเข้ามา แต่ไม่เป็นไร เราก็ทำงานของเรา
พอเข้าไปข้างในก็ร้อง อ้าาาาาาา
งานจัดที่เซ็นทารา เซ็นทรัลเวิล์ด ไม่ใช่ลาดพร้าว
สัส"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"A: ทำไมช่วงนี้รัฐขึ้นภาษียิกๆเลยวะ
B: แม่งคงถังแตกแหละ คิดดู ขนาดเงินในท้องเต่าแม่งยังต้องผ่าเอาออกมาใช้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือเงินอยู่ดี
แก้ปัญหากรุงเทพรถติดง่ายนิดเดียว เอาคนต่างจังหวัดกลับบ้านให้หมด
"เวลาที่บ้านทรุดโทรม เสื่อมทราม คนปกติเขาก็ไม่ได้หนีไปหาบ้านใหม่ แต่เขาจะพยายามซ่อมบ้าน รีโนเวทบ้าน
แต่บ้านกะลาบางที่ นอกจากจะดักดานแล้ว ยังมีเศษขยะทั้งหลาย ที่พอใครชี้ว่าตรงไหนที่มันพังแล้ว ต้องซ่อม แม่งก็จะเห่าหอนกระโชกโฮกฮากว่าบ้านนี้ดีทุกอย่าง ไม่เคยพัง เป็นบ้านวิเศษ ทำไมมึงไม่ภูมิใจที่มึงเกิดมา ไม่พอใจกับบ้านก็ออกไปจากบ้านไปอยู่ที่อื่น
ไอ้พวกสวะ ถ้าไม่ยืนยันก่อนว่ามีอะไรพัง มันจะได้เริ่มซ่อมมั้ย ใครที่ลงมือซ่อมแซม ไอ้พวกยามก็มาจับออกไปนอกบ้าน
คนที่เขารักบ้าน เขามีแต่จะซ่อมของที่มันพังบ่อยๆ รีโนเวทเป็นพักๆ ไม่ใช่เพ้อเจ้อว่าไม่มีอะไรพัง ทุกอย่างปกติมาตั้งแต่สมัยเจ้าคุณปู่ ห้ามแก้ห้ามเพิ่มอะไรทั้งสิ้น
ปัญญาอ่อน"
มิตรสหายฯ
ลูกพี่ซามูเอลเคยบอกผมว่า "นายไม่อ่านหนังสือ นายจะสดได้ไง" คำๆนี้เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล ผมเริ่มสดหนังสือที่มูลค่าน้อยกว่าแทนที่จะสดแต่จักรยานกับครื่องใช้ไฟฟ้า จนมารู้จักกับงานของคุณฮาริด มูซาอิ๊ดห์ นักเขียนลูกครึ่งญี่ปุ่น/ไนจีเรีย
และนี่คือหนังสือที่ผมคิดว่าคนดำไม่ควรพลาด
1. สลับลานขื่นขม (Here, the Wood Chime) วรรณกรรมย้อนยุคเกี่ยวกับทาสชื่อ “ข้าพเจ้า” ที่กำลังกลับบ้านหลังจากไปล่าสัตว์ และได้พบว่าคู่หมั้นถูกคนดำเผ่าอื่นฆ่าข่มขืนเสียแล้ว แถมตัวข้าพเจ้าเองก็ถูกจับลงเรือไปเป็นทาสที่จอร์เจีย ชีวิตของข้าพเจ้าเปลี่ยนจากลานล่าสัตว์มาเป็นลานฝ้าย สิ่งเดียวที่ยังทำให้ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อได้คือเสียงขลุ่ยไม้ของเผ่าฮูติ และเพื่อนในจินตนาการของเขาที่มีชื่อว่า “สุกร”
2. พินบอลล์ 1992 (Pinball 1992)
เรื่องราวชีวิตของ เทรวอน ดาร์เนลล์ (Trevon Darnell) ผู้ที่สูญเสียแฟนสาวเพราะถูกสันติบาลวิสามัญในคดีโคเคน เขาสาบานว่าจะทวงคืนความยุติธรรมให้แฟนสาวและขอพรจากพระเจ้าโดยแลกเปลี่ยนกับการไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพย์ติดอีก เขาจึงออกปล้นพินบอลล์มาให้บริการเพื่อยังชีพแทน เรื่องยุ่งเหยิงขึ้นเมื่อสันติบาลที่วิสามัญแฟนสาวของเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มสันติบาลที่รุมกระทืบ ร็อดนี่ย์ คิง (Rodney King) จนเสียชีวิต เหตุการณ์บานปลายจนเกิดจลาจลใน ลอส แองเจลลิส เทรวอนต้องเลือกระหว่างฉวยโอกาสช่วงชุลมุนไปขนตู้พินบอลล์มาขยายกิจการ เหมือนกับคนดำรุ่นพี่ที่ร่ำรวยเพราะออกสดใน “เหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ในนิวยอร์ก 1965” (The Great New York Blackout of 1965) ถ้าเขาพลาดโอกาสนี้ไปคงต้องเสียใจตลอดชีวิต หรือจะใช้โอกาสชุลมุนนี้ไปล้างแค้นให้แฟนสาวและเหล่าคนดำ เรื่องนี้เป็นภาคสองของชุด ไตรภาคแห่งสุกร ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นเมื่อไหร่ จะต้องมี “สุกร” อยู่ในละแวกนั้นเสมอ
3. แกะรอยแกะดำ (A Black Sheep Chase)
เป็นเรื่องช่วงสงครามเวียดนามของตำรวจผิวดำผู้มีกัญชาในหัวใจ หูทิพย์ของเขาได้ยินเสียงแนะนำของจิตวิญญาณบุปผาชนให้หนีเกณฑ์ทหารไปกบดานทางเหนือที่รัฐนอร์ธ ดาโกต้า ก่อนที่จะข้ามไปปักหลักที่รัฐมานิโตบา ประเทศแคนาดา โดยอาศัยความอะลุ่มอล่วยของกฎหมายที่นี่เปิดฟาร์มกัญชา จนกระทั่งจดหมายนิรนามส่งมาที่ฟาร์มของเขา ความว่า วิเชนโซ่ โครโตนี่ (Vincenzo Crotoni) หรือที่รู้จักกันในนาม “ลูกพี่” แห่งมอนทรีออลใกล้จะสิ้นลมแล้ว และเขาต้องรีบเดินทางไปที่มอนทรีออล ก่อนที่ฟาร์มของเขาจะถูกชุดจู่โจมบุกตามคำแนะนำของจดหมาย แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ จดหมายลึกลับฉบับนี้ไม่มีชื่อผู้นำส่ง มีเพียงท้ายจดหมายที่ลงนามไว้ว่า “สุกร”
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>172 )
4. ด้วยรัก ความตาย และเคจีบี (Novgorod Wood)
เรื่องราวของ วตัมเบ ตูเร่ (W’tambe Toure) นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนที่ร่วมต่อสู้เคียงข้าง ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ แต่ภายหลังได้หันมาศรัทธาและเข้าร่วมกับมัลคอม เอ็กส์ (Malcom X) จนได้เป็นแกนนำสำคัญของขบวนการจนเกือบที่จะถูกเก็บพร้อมกับมัลคอม แต่วตัมเบก็รอดมาจากการช่วยเหลือจาก ยูริ นาซอฟ (Yuri Nazhov) สายลับเคจีบีที่แฝงตัวอยู่ในอเมริกา ก่อนทั้งคู่จะพากันหนีไปอยู่ที่ กรุงนอฟโกร็อด สหภาพโซเวียต โดยนิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลง Working Class Hero ส่วนการต่อสู้ของมอลคอม ก็ถูกนำไปทำสารคดีในชื่อ We Are X
5. เริงระบำแดนสาม (Dance Dance Dance)
เรื่องราวเกี่ยวกับนักโทษคนดำที่ถูกขังเดี่ยวนานกว่า 6 เดือน จนตัดสินใจปรับปรุงตัวเพื่อขอผ่อนผันโทษ เขายอมทำทุกอย่างที่พัศดีสั่ง ทั้งงานไม้ งานทำความสะอาด และสายสันติบาล แล้ววันหนึ่งเขาก็ค้นพบว่าในห้องขังของตัวเองมีซอกเล็กๆ ที่สามารถพาเขาไปยังอีกมิติหนึ่งได้ และในมิตินั้นเองเขาก็ได้พบกับ “แกะดำ” เขาจึงได้เป็นทั้งนักโทษประพฤติดีของผู้คุมและพ่อค้าที่ดีของเพื่อนๆในเรือนจำ โดยใช้มิติพิศวงนี้ในการขนถ่ายสินค้าแบบไม่มีใครจับได้
6. การปรากฏตัวของนาวิกโยธินในคืนฝนตก (South of the Border, West of the Sea)
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ทางใต้ของโซมาเลียใกล้ชายแดนเคนย่าที่ชื่อว่า ราส คามโบนี (Raas Kaambooni) ตัวเอกของเรื่องมีชื่อว่า เอล ฮัจจิ (El Hajji) ที่วันหนึ่งได้ออกเรือไปทำงาน และพบกับนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่พลัดตกเรือมาในวันที่พายุคลั่ง เขาลังเลระหว่างฆ่าทิ้งหรือเรียกค่าไถ่ แต่สุดท้ายก็ดันช่วยชีวิตนาวิกโยธินนายนั้นมาจนได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนาวิกเริ่มมากขึ้นและดึงฮัจจิก้าวเข้ามาในเส้นทางของพระเจ้า เมื่อมีศรัทธาที่มากขึ้นฮัจจิก็ต้องเลือกระหว่างชีวิตโจรสลัดที่เป็นอยู่ หรือทิ้งทุกอย่างเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าและความถูกต้อง
7. ชายผิวสีกับปีแสวงบุญ (Colored Hajji and His Years of Pilgrimage)
เป็นภาคต่อของ “การปรากฏตัวของนาวิกโยธินในคืนฝนตก” เป็นเรื่องราวหลังจากผ่านไป 16 ปีของการต่อสู้ในจิตใจของฮัจจิ ที่สุดท้ายถึงแม้จะรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตแล้ว แต่แทนที่จะพบคำตอบ กลับเกิดคำถามขึ้นมามากมาย จึงได้ออกเรือเดินทางแสวงบุญไปทั่วชายฝั่งแอฟริกา
8. ไอคิวแปดสิบสี่ (IQ84)
เป็นหนังสือกึ่งวิชาการ (Non – Fiction) เรื่องดังของผู้เขียน ที่เขียนเกี่ยวกับ ระบบการศึกษา การกีดกันทางทางการศึกษา และสภาพความฉลาดเฉลี่ยของคนดำ ในประเทศสหรัฐอเมริกา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คุณจะเสียเวลาเรียนไปเกือบ 20 ปีเพื่อเป็นลูกจ้างเค้า แถมต้องผ่อนบ้านผ่อนรถไปอีก20ปีเพื่ออะไร ในเมื่อเพียงแค่คุณมีปืนอยู่ในมือก็สามารถเอาจากทุกอย่างจากคนอื่นได้แล้ว สำคัญคือคุณต้องมีความสดอยู่ในใจเท่านั้น
#มิตรสหายคนดำท่านหนึ่ง
"เรื่องเฟมินิสต์ เพศสภาพ มันถูกนักวิชาการและพวกก๋ากั่นทำให้ดูเป็นเรื่องยากอ่ะครับ ใช้ศัพท์แสงยาก ๆ ให้ตัวเองได้เรียนโทเรียนเอก ให้ตัวเองดูเป้นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ชาวบ้านตาสีตาสาลาว ๆ แบบเราเห็นพวกนี้เถียงกันเราก็ได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่รู้จะมาเกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันยังไง
แต่ถ้าเรานำความคิดไทย ๆ การนับถือเพศแม่ เรื่องค่าน้ำนม และเรื่องบาปกรรมเข้ามาอธิบาย เราก็จะสามารถนำเรื่องนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ครับ แนว ๆ ให้แม่ได้เกาะชายผ้าเรื่องเราตอนบวชไรเงี้ย"
มิตรสหายขาด้วนท่านหนึ่ง
"Thailand 40.0 มากกว่า แม่งจะร้อนอะไรขนาดนี้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ข้อสอบเลข:
ทิมมี่มีคุกกี้อยู่ 10 ชิ้น
ถูกจามาลขโมยไป 8 ชิ้น
จามาลเป็นคนผิวสีอะไร?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าเราให้ไก่ทอดแก่คนดำ
เขาจะกินไก่ทอดอิ่มเพียง 1 มื้อ
แต่ถ้าเราให้ปืนแก่เขา
เขาจะมีไก่ทอดกิน (ฟรี) ตลอดไป"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สังคมไทยมันเป็นสังคมบีบบังคับให้คนต้องคาดหวังในชีวิตสูงเพราะสวัสดิการชีวิตมันเหี้ย ทำงานจ่ายภาษีไปจนเกษียณแก่มาก็ยังต้องมานั่งห่วงว่าจะมีตังแดกไหม ถ้าสุขภาพมึงเหี้ยเมื่อไหร่ก็คือมึงซวยถ้่าไม่รวย อยาก startup ธุรกิจก็เจอขาใหญ่ ถ้าไม่เลียหีอมควยมันก็ไม่ให้มึงเกิดหรอก ถ้าเป็นแบบนี้กูยอมคาดหวังในชีวิตต่ำแต่มั่นคงดีกว่า ไอ้ประโยคที่ว่าคนไทยมีความสุขที่สุดในโลกมันคือ Propaganda ชาตินิยมโง่ๆอย่างนึงเท่านั้นเอง แบบโพลลุงตู่น่ะ ปัดโธ่ววววว
"ไอ้งานที่อ่านอยู่มันสรุปค่อนข้างดีว่าเหตุที่คนเดนมาร์กมันเป็น "คนที่มีความสุขที่สุดในโลก" ในการจัดอันดับต่อเนื่องยาวนานจากหลายสำนักมันน่าจะเป็นเพราะมันเป็นชนชาติที่พื้นฐานคุณภาพที่ชีวิตดีจากรัฐสวัสดิการไปพร้อมๆ กับวัฒนธรรมของมันผลิตคนที่ "คาดหวังในชีวิตต่ำ" ขึ้นมา
ซึ่งอันนี้ก็พื้นฐานน่ะนะ คือคาดหวังน้อยแม่งก็ผิดหวัดน้อย และพอมีพื้นฐานทางวัตถุที่ดีอยู่แล้วชีวิตแม่งก็มีความสุข
แน่นอนว่า "อีกด้าน" คือมันเป็นสังคมที่ "กดความทะเยอะทะยานในเชิงปัจเจก" ของคนไว้สัสๆ ผ่านวัฒนธรรมการไม่สนับสนุนการคุยโวโอ้อวดถึงควมสำเร็จ แต่ก็นั่นแหละ นี่คือเหตุผลที่คนมันไม่ "คาดหวัง" ห่าอะไรในชีวิตมาก เพราะคนมันไม่ให้ราคาและไม่สนับสนุนกับความสำเร็จในเชิงปัจเจก กล่าวคือมึงอยากสำเร็จในเชิงปัจเจกและคุยโม้ไปเรื่อย มึงไปที่อื่น อย่ามาอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่ ทุกคนเท่ากันไม่มีใครเหนือกว่าใครในชีวิตสาธารณะและส่วนตัว
แล้วทั้งหมดนี้แม่งก็น่าจะเรียกได้ว่ามันคือ "การทดลองแบบสังคมนิยม" ที่มาไกลได้สุดๆ แล้วจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ทำงานกับเอกชน (โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จำพวก startup) ทุกอย่างดูง่ายไปหมด ทั้งติดต่อ ส่งงาน จ่ายเงิน รับเงิน ไม่มีอะไรเป็นพิธีกรรมรุงรังเลย แค่ส่งเมลสองสามทีก็เรียบร้อยแล้ว (ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าเอกชนทั้งหมดจะเป็นแบบนี้)
ทำให้นึกถึงการทำงานกับหน่วยงานราชการ ที่มักจะเป็นอีกแบบ คือเต็มไปด้วยขั้นตอนที่ดูแล้วรู้เลยว่าออกแบบมาเพื่ออ้างการตรวจสอบแต่เอื้อให้ไม่เกิดการตรวจสอบอย่างที่สุด เพราะงุนงง ซับซ้อน สติปัญญาต้องใช้ไปกับขั้นตอนกระบวนการที่วางหมากไว้หลายชั้นยิ่งกว่าเล่นหมากรุกกับอัลฟาโก จนไม่เหลือสติปัญญาและอารมณ์เอาไว้ทำงาน
ที่แย่กว่านั้นคือ หลายครั้งขั้นตอนที่ซับซ้อนทำให้เกิดปัญหา technicality แบบประหลาดๆ จนที่สุดก็ผลักคนเข้าไปอยู่ในพื้นที่สีเทา เพื่อหาทางทำงานให้ลุล่วงได้โดยต้องบิดข้อบังคับหยุมหยิมต่างๆ บ่อยครั้งกับบางงานจึงมีแต่คนที่พร้อม corrupt เท่านั้นที่จะทำ
ระบบราชการที่คิดว่าออกแบบมาป้องกันการทุจริตจึงคล้ายๆคนสร้างบ้านป้องกันโจรด้วยการสร้างประตูหน้าไว้ยี่สิบชั้น ติดล็อกแน่นหนาเข้ารหัสซับซ้อนดูขึงขัง แล้วเก็บเพชรไว้ในห้องด้านหลังสุด โดยลืมไปว่า (หรือไม่ก็จงใจ) โจรสามารถเปิดประตูหลังกริ๊กเดียวเข้ามาได้ง่ายมาก และโจรที่ฉลาดก็ล้วนแต่เข้าทางประตูหลังทั้งนั้น
ระบบแบบนี้จึงอ่อนแอ เปราะบาง ขึงขังเฉพาะกับคนด้อยอำนาจ แต่ใครหาช่องทางประตูหลังเจอ (ซึ่งก็มักเป็นคนที่มีเส้นสนกลในในทางอำนาจ) ระบบนี้มักศิโรราบค้อมหัวกุมเป้าให้ เป็นระบบที่ผลาญทรัพยากรกับเวลาในการทำงานไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ดูแลรักษาลำดับชั้นทางอำนาจ แถมยังป้องกันทุจริตได้ยากด้วย แทบทุกครั้งที่ติดต่อกับหน่วยงานราชการจึงรู้สึกตลกกับความรุ่มร่ามล้าสมัยเหล่านี้เสมอ
ป.ล. อย่างไรก็ตาม ไม่น่าเป็นเรื่องง่ายที่จะปฏิรูประบบราชการ เพราะทุกวันนี้ สำนึกของความเป็นรัฐราชการนั้นเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นข้าราชการระดับสูงออกมาปกป้องลูกน้องในหลายเรื่องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คุณลุงแท็กซี่เมื่อวานบอกว่า ปีหน้าจะเลิกขับแท็กซี่แล้ว เพราะลูกคนเล็กกำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การเลิกขับ ประเด็นสำคัญของคุณลุงคือ - ถ้าย้อนกลับไปเลือกได้ จะไม่มีลูก
"ไม่ใช่ว่าลูกไม่ดีนะ" คุณลุงบอก ลูกคุณลุงดีทุกคน ตั้งใจเรียน เรียนจบ ขยันทำงาน ฯลฯ แต่คุณลุงบอกว่าตอนที่ตัดสินใจแต่งงานมีลูกนั้น "เรามันเด็กเกินไป โง่เกินไป ไม่รู้เลยว่า ชีวิตที่ไม่มีลูก ไม่มีพันธะนั้น มันดีกว่ากันมาก"
สำหรับคุณลุง พันธะที่ว่าไม่ได้หมายถึงการต้องใช้เงินเลี้ยงดูลูก แต่หมายรวมถึงทุกสิ่ง "80% ของชีวิต คือการยกให้ลูก" คุณลุงไม่ไ้ด้พูดถึงภรรยา และผมก็ไม่ได้ถาม "นับตั้งแต่มีลูก ผมก็แทบไม่เคยมีชีวิตเป็นของตัวเองเลย"
คุณลุงพูดถึงการเดินทาง ความใฝ่ฝัน การใช้เวลาอยู่กับตัวเอง แล้วคุณลุงก็รำพึงว่า "แต่ตอนนี้คงเหลือเวลาทำแบบนั้นน้อยแล้ว"
ปีหน้า คุณลุงจะกลับไปอยู่บ้านที่ราชบุรี คุณลุงฝันถึงการปลูกองุ่นที่นั่น "ดินที่นั่นดีนะ คนเขาปลูกผลไม้กันหลายอย่าง องุ่นด้วย" กับพื้นที่ 7 ไร่ คุณลุงน่าจะทำอะไรได้ไม่น้อย ในขณะที่ลูกๆก็คงทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ
"ไม่เคยคิดอยากให้ลูกส่งเงินมาเลี้ยงดูเลย" คุณลุงบอก "สิ่งที่อยากได้ ก็คือการได้อยู่กับตัวเองแบบที่ไม่เคยอยู่มาก่อน"
ฟังเรื่องของคุณลุงแล้ว ผมรู้สึกเหมือนวันเวลาของคุณลุงได้สูญหายไปราวสี่สิบปี คล้ายลืมตาขึ้นมาอีกที ก็ใกล้จะถึงวันสุดท้ายแล้ว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ในโลกทุนนิยมแล้ว ถ้าเห็นใจชาวนาจริงๆต้องแดกทิ้งแดกขว้างครับ ต้อง consume สินค้าถี่ๆเยอะๆ กินอย่างประหยัดรู้คุณค่าเก็บทุกเม็ดไม่ช่วยไรเลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มึงจะเล่นมุขคนดำอะไรกันเยอะแยะวะ ไม่ใช่บอร์ดฝรั่งซะหน่อย มึงจะเล่นมุขเหยียดมึงก็เอาที่มันไทยดิ เหยียดคนกรุงเทพ คนอีสานไรเงี้ย
"ในเอสโทเนีย การจ่ายภาษีประจำปีนั้นเพียงแค่เข้าเว็บ แล้วคลิก Next สามครั้งกด Finish ก็เสร็จ (คือแทบไม่ต้องกรอกอะไรเพิ่มเลย แทบทุกอย่าง prefill มาให้ทั้งสิ้น) ที่เป็นแบบนี้ได้เพราะข้อมูลของเขาไหลเวียนถึงกันหมด มีแรงเสียดทานทางข้อมูลต่ำ ทำให้ง่าย
ฟังคนเอสโทเนียเล่าเรื่องนี้แล้วเขาบอกว่า "ยิ่งระบบง่าย ก็ยิ่งทำให้คนอยากทำในสิ่งที่ถูก""
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อันนี้เห็นด้วย นับตั้งเเต่ใช้สตรีมเป็น
พอมองเงินในกระเป๋าก็ถึงกับเข่าทรุด"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"นี่เป็นโรคระบาดหรืออย่างไร, ทำไมถึงชอบลด argument ให้เหลือแค่สองชอยส์
.
วันก่อนอ่านข่าวในรายการ พบโพลว่า "คุณจะเลือกนักการเมืองที่จริยธรรมดี แต่ทำงานไม่เก่ง หรือทำงานเก่ง แต่โกง" เอ๊า มันก็แน่นอนสิว่าถ้ามีชอยส์ให้แค่นี้ คนก็ต้องตอบว่า "จริยธรรมดี" แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้มีเท่านี้ไง อย่างน้อยมันก็มีอีกสองชอยส์ เช่น ทำงานไม่เก่ง และโกงด้วย หรือทำงานเก่ง และไม่โกง ซึ่งถ้าจะพูดกันถึงที่สุด มันก็เป็นสเปกตรัม ว่าทำงานเก่งไปจนถึงไม่เก่ง มันก็มีหลายระดับ และโกงไปจนถึงไม่โกงก็มีหลายระดับอีกเหมือนกัน (ทั้งยังต้องมาคิดอีกว่า "ทำงานเก่ง" มี KPI คืออะไร)
.
นอกจากคำถามของโพลดังกล่าว (ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นนิด้า) จะลดรูปให้เหลือแค่สองชอยส์ ที่แยกขาดจากความเป็นจริงแล้ว ยังเป็นการตั้งคำถามที่ผูกกับตัวคน โดยที่ไม่ได้ถามเรื่องระบบอะไรต่างๆ ด้วย (ในโพลเดียวกัน ไม่ค่อยมีคำถามในเชิงว่า แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร หรือ คิดว่าการออกแบบระบบที่โปร่งใสมากขึ้นจะแก้คอร์รัปชั่นอย่างไรฯลฯ)
.
นั่นคือมันเป็นโพลอารมณ์
.
ส่วนวันนี้ เจอทวีตของครูคนหนึ่ง บอกว่า "เด็กๆ ไม่ได้ต้องการคนจบปริญญาเมืองนอกสามสี่ใบมาสอน แต่ต้องการคนที่อธิบายให้เด็กๆ เข้าใจอะไรได้ง่ายต่างหาก" (เรื่องการปฏิรูปครู) นี่ก็เป็นการลดทอนคุณสมบัติของครูให้เหลือแค่สองชอยส์เหมือนกัน คือบอกว่า เด็กต้องการอะไรระหว่าง
.
ก. คนจบปริญญาเมืองนอกสูงๆ แต่สอนไม่เก่ง
ข. คนจบครู และสอนเก่ง
.
ซึ่งความเป็นจริงก็มีมากกว่านี้ ดูอย่างดร.โก้ ที่ไม่ได้จบครูมา แต่ก็มาสอนวิทยาศาสตร์ให้เด็กๆ ได้อย่างเข้าใจ (และอาจเข้าใจมากกว่าคนที่จบครูมาตรงๆ) ดังนั้นก่อนที่จะเถียงกันว่า เฮ้ย การเปิดให้คนจบอย่างอื่นมาสอนเด็กๆ นี่ดีไหมเนี่ย อาจต้องข้ามพ้นไอ้การทำให้เหลือทางเลือกน้อยกว่าความเป็นจริงไปเสียก่อน ซึ่งจริงๆ ก็ทุกเรื่องแหละ
.
เพราะไม่งั้นเราก็จะเหลือแบบ เลือกอะไร ระหว่าง ก. คนดีแต่โง่ ข. คนฉลาดแต่โกง / ก. ถูกหวยแต่ใช้เงินไม่เป็น ข. ไม่ถูกหวยแต่ใช้เงินเป็น / ไม่เอา pc แปลว่าชอบ discriminate คน แบบนี้ / ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ปรนัยแบบนี้อย่างที่รู้ๆ กัน และมันก็เป็นปัญหาของการศึกษาอย่างที่ทุกคนพูดมาโดยตลอด แต่แม้กระทั่งครูเองก็ลดให้มันเหลือแค่นี้ได้ ก็ไม่เข้าใจ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"นอกจากการที่โยชิกิรีทวีต The Matter อภินิหารของคุณชายยังมี
- ทำให้คนไทยร่วมหมื่นต้องลุยน้ำท่วมไปอิมแพ็ค บางคนต้องฝ่าน้ำท่วมกลับไปเอาบัตรที่บ้าน
- ปล่อยให้คนรออังกอร์ครึ่งชั่วโมง การรออังกอร์ที่นานที่สุดในโลก คนดูร้องทั้ง Endless rain, เล่นเวฟ, เธอไม่เคยตาย จนถึงขั้นมีเพลง ลอยกระทง
- รัฐประหาร 2014 ทุกคนแคนเซิลงานกันหมด คุณเธอมั่นหน้าจัดคอนเดี่ยวเปียโนต่อไป
- ไปเดินพรมแดงได้ทุกงานในโลก ฮอตยิ่งกว่า ฟ่านปิงปิง
- ถ่ายรูปกับคนดังได้ทั้งโลกเช่นกัน
- คอนเสิร์ตญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องตรงเวลา แต่คุณชายสามารถทำให้เลตได้
- ตำนานคือคอนรียูเนียนปี 2008 ที่เริ่มเลตไปสองชั่วโมง นอกจากนั้นคอนเล่นสามวันติด แฟนๆ หลายคนเลยดูวันแรก เพราะกลัวว่าวันหลังๆ คุณชายจะเป็นลม ปรากฏว่าคุณชายเธอเป็นลมตั้งแต่วันแรก คอนตัดจบทันที บัยส์
- คอนเสิร์ตเดี่ยวคุณเธอที่ฮ่องกงเมื่อปลายปี ผู้จัดมีปัญหาจนต้องแคนเซิล คุณชายสามารถเสกเวทมนตร์ให้งานมีวันรุ่งขึ้น พร้อมให้ทุกคนพาเพื่อนมาได้ฟรีหนึ่งคน!
- มีโปรดักส์ตั้งแต่ตุ๊กตาคิตตี้, กิโมโน, มือถือ ยันผงแกงกะหรี่
- ชายคนนี้ทำได้ทุกอย่างยกเว้นอัลบั้มใหม่ ชุดล่าสุดคือปี 1996 หรือ 21 ปีที่แล้ว...
- เพราะเขาคือโยชิกิ จบ."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไอ้พวกลูกเพจมิตรสหายท่านหนึ่งนี่มันโง่จัง..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เมื่อชายไทยอายุครบ 21 ปีต้องไป
เกณฑ์นักกีฬารับใช้ชาติ
เกณฑ์หมอรับใช้ชาติ
เกณฑ์ครูรับใช้ชาติ
เกณฑ์นักธุรกิจรับใช้ชาติ
เกณฑ์นักวิทยาศาสตร์รับใช้ชาติ
ฯลฯ
สมเหตุสมผลไหมวะ ไม่เนอะ ปัญญาอ่อนพอๆกับเกณฑ์ทหารนี่แหละ ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจจากไหนมาเคลมว่ารับใช้ชาติได้อยู่อาชีพเดียว
ทุกคนทุกอาชีพ มีความถนัด มีความชอบต่างกัน เหตุผลอะไรที่จะบังคับให้ทุกคนไปทำแบบเดียวกันแล้วคิดว่าผลลัพธ์มันจะดี
.
หรือถ้าอาชีพทหารนี่ใครๆก็เป็นได้ไม่ต้องมีความสามารถเฉพาะทางอะไรเลย แปลว่าไรวะ แปลว่ามึงกากใช่ไหม? ถ้าไม่ใช่ แน่จริงอย่าบังคับสิ กาก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Q ทำไมเราถึงได้ยินแต่เพลงหมอลำดังมาจากรถแต่งเครื่องเสียง?
A เพราะคนแต่งเครื่องเสียงรถทุกคนเป็นคนอีสาน"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จริงๆ ไอ้ที่มีข้อเสนอจากเจ้าของบริษัทสมาร์ทแท็กซี่อะไรนั่น โดยมีการทดลองคร่าวๆ ให้ดูว่าระหว่างรถติดกับรถไม่ติด เมื่อไปที่เดียวกัน ค่าโดยสารจะต่างกันเท่าไหร่ จนนำไปสู่ข้อเสนอว่าถ้าให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ เพิ่มเงินให้แท็กซี่สัก 50 บาทแล้วปัญหาปฏิเสธผู้โดยสารจะหมดไป ผมแม่งรู้สึกโอเคในหลายๆ ประการนะ ด้วยเหตุผลประมาณนี้
1. มันมีการทดลองไง ซึ่งควรพัฒนาต่อไป ให้ได้ข้อสรุปชัดๆ
2. เฮ้ย นี่คือการเสนอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับอาชีพหนึ่ง หรือพูดให้ลึกกว่านั้นคือสำหรับแรงงานนอกระบบ คือการเสนอคร่าวๆ ถึงค่าแรงเพื่อชีวิต (living wage) หรือรายได้ที่เพียงพอ (adequate income), กูต้องวงเล็บภาษาอังกฤษไม่ใช่เพราะกระแดะ แต่คือมีคนเขาใช้เพื่อหมายความถึงแบบนั้น, จากการทำงาน
3. แท็กซี่ก็คนทำงานน่ะ คนเราทำงานแล้วควรได้ค่าแรงที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพและดำรงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ ศักดิ์ศรีที่ว่านี่ก็คือการมีเงินพอจะไปเข้าสังคมด้วย ไม่ใช่แค่พอแดก เพราะงั้น การเรียกร้อง living wage หรือ adequate income แบบนี้ผมโอเคมากๆ แต่จำนวนที่เรียกร้องนั้นเหมาะสมไหมอาจเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันต่อไป
4. แต่โดยส่วนตัว การจ่ายเพิ่ม 50 บาทนี่ผมโอเคนะ ถึงมันจะดูเหมือนเท่ากับว่าแท็กซี่เริ่มต้นค่าโดยสารที่ 85 บาท คือ ไม่ว่าผมจะอยู่ในช่วงที่มีปัญญาจ่ายหรือไม่ แต่ผมคิดว่าค่าแท็กซี่ควรเริ่มต้นแพงกว่านี้ มัน 35 มากี่ปีแล้ว แล้วการปรับล่าสุดที่ไปปรับเอาในส่วนค่าโดยสารแปรผันตามระยะทางและเวลาเนี่ย ผมว่ามันเอาแน่เอานอนไม่ได้ มันไม่มากพอจะรับประกันรายได้ขั้นต่ำไง
5. เราทำงานแล้วเราต้องการความมั่นคงใช่ไหม การประกันรายได้ที่แน่นอนจากการทำงานมันเลยสำคัญนะ ผมอ่านที่คนอื่นเขาเขียนๆ มา เขาบอกว่าถ้าบวกเงินเฟ้อแล้วจริงๆ ตอนนี้แท็กซี่ควรสตาร์ทที่ 60 บาท ซึ่งผมว่าแฟร์ว่ะ เราต้องมีการประกันรายได้ขั้นต่ำให้คนทำงานไง สิทธิแรงงานคือสิทธิมนุษยชนนะ แค่ในนิยามบ้านเราค่าแรงมันไม่ครอบคลุมการเลี้ยงดูครอบครัวก็ทุเรศพออยู่แล้ว
6. ความเหี้ยจริงๆ คือรัฐแม่งไม่อำควยนวามสะดวก เอ้ย อำนวยความสะดวกอะไรให้พลเมืองไง ไอสัส ถ้ามึงทำให้พลเมืองมีรายได้พอแดก ทำให้คนมีงานทำได้ง่ายๆ ทำให้ขนส่งมวลชนราคาถูกแต่ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ มึงให้แท็กซี่เป็น premium option สำหรับการเดินทางได้ไง ซึ่งจะทำให้การเพิ่มราคาแบบนี้แม่งหีมดมากๆ เล็กสัสๆ คนมีเงินจ่ายก็ขึ้นไป คนไม่มีเงินจ่ายก็เดินทางด้วยช่องทางอื่นได้อย่างไม่ลำบาก แล้วแท็กซี่แม่งก็จะเป็นบริการที่พรีเมียมไปเลย
7. โอเค ข้อ 6 กูก็ตลกไปเรื่อย แต่อยากให้พอจะมองเห็นกันว่าปัญหาตรงนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องแท็กซี่ แต่มันรวมถึงตัวเลือกด้านการคมนาคม ขนส่งมวลชน ปัญหารายได้ที่เพียงพอต่อการยังชีพและดำรงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งเรื่องการกระจายความเท่าเทียมและความมั่งคั่ง
8. เออ กูนึกไม่ออกแล้ว
9. แต่อยากให้ใจเย็นๆ กันว่ะ เพราะปัญหาที่เจอกันอยู่นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องแท็กซี่ไม่ปฏิบัติตามกฎนะ แต่มันโยงอยู่กับอะไรหลายอย่างมากเลย
10. นั่นแหละ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>199 ประเทศชาติขาดแรงงานว่า. แล้วคนหนุ่มอายุ18-25 คือช่วงที่มันแรงดีสุดแล้ว. ถ้าเขาถามว่ามึงเรียนรด.หนือเปล่า,มึงต้องเรียนหรือเปล่า ถ้าไม่เขาเอาเข้าประจำการหมดแหล่ะ เรียนหมอมายังไม่รอดเลยมึง. แต่เชาจะเอาเข้าประจำการลดหลั่นตามความเหมาะสม พวกมีงานทำในเกณฑ์ ก็แค่หกเดือนเอง. ทำเป็นเดือดร้อนควย.
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้เกณฑ์ทหารเพื่อเลิกระบบไพร่ทาสมูลนาย แต่การเกณฑ์ทหารปัจจุบันกลับสร้างระบบไพร่ทาสมูลนายขึ้นมาใหม่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คิดผิดแล้วถ้าจะใส่ burqa ในเมืองไทย เพราะ เมืองไทยเป็นเมืองร้อนชื้น ไม่เหมือนแถวตะวันออกกลางที่เป็นร้อนแห้งแล้ง
เขตร้อนชื้นคือ -- อากาศจะร้อนจัดและมีความชื้นในอากาศสูง ทำให้เหงื่อระบายออกได้ยาก ถ้าไปใส่เสื้อผ้าสีดำคลุมผิวกายหมดแบบนั้น จะทำให้เหงื่อนระเหยได้ยากกว่าเดิม อาจจะระบายความร้อนไม่ทัน เกิดอาการฮีทสโตรก หรือ เป็นลมแดดได้ง่าย
เขตร้อนแห้งแล้ง คือ -----อากาศที่มีความชื้นในอากาศมีน้อย เหงื่อระบายได้เร็วมาก ผ้าที่ใส่จึงช่วยกันแดดโดนผิวหนังได้ดี จึงสามารถใส่ผ้าคลุมทั้งตัวเพื่อกันแดดได้
เสื้อผ้าที่เหมาะกับเมืองไทยคือพวกเสื้อคอกระเช้า เสื้อม่อฮ่อม เสื้อผ้าฝ้ายโปร่งๆบางๆ เบาๆ ช่วยระบายเหงื่อได้ดี และ เป็นสีขาวหรือสีอ่อนๆเพื่อสะท้อนแสงไม่อมความร้อนแบบสีดำ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"รู้จัก Khan Academy ครั้งแรกตอนไปเรียนที่ Todai ปี 2013 ซึ่งถือว่าเชยมาก เพราะเขาทำคลิปติวในยูทูปมาได้หลายปีแล้ว
ตอนนั้นมีปัญหากับวิชาเศรษฐศาสตร์ แถมยังฟังเซนเซพูดไม่ค่อยเข้าใจ (กรูโง่เองแหละ) หันไปจะถามคลาสเมท ก็ไม่รู้จะถามเขาว่ายังไง (ภาษาอังกฤษโง่ได้ขนาดนั้น) ตอนนั้นการสื่อสารล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงอ่ะ ทำไงดีล่ะ การบ้านก็ต้องส่ง แต่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง สื่อสารก็ไม่ได้ ทางเดียวที่ทำได้คือเสิร์ชในยูทูปดู แล้วพบคลิปของ Khan Academy ก็เลยนั่งไล่ดู คือฟังไม่ได้รู้เรื่องหรอกนะ แต่พอมันเป็นคลิปในยูทูป อย่างน้อยมันก็รีรันดูได้ไง ตรงไหนฟังไม่ออก ไม่เข้าใจ ก็กดหยุด ลองเดาดู บลาๆ ๆ ก็หาทางเอาตัวรอดไป และในตอนนั้นเองก็ได้ยินเพื่อนอเมริกันมันพูดถึง Khan Academy ว่าช่วยให้มันเข้าใจวิชาเกี่ยวกับเลขกับอะไรพวกนี้มากขึ้น ก็เลยมาถึงบางอ้อว่า ...อ้อ Salman Khan นี่ มันไม่ได้ช่วยแค่คนต่างด้าวอย่างชั้นสินะ ขนาดพวกพูดอังกฤษเป็นเนทีฟก็ยังต้องพึ่ง Khan, Bravo! กรูไม่ได้โง่ขนาดนั้นสินะ
เป็นตอนนั้นเองที่เริ่มเข้าใจการเรียนรู้ผ่านออนไลน์ อยากรู้อะไรลอง google หาสิ (ซึ่งมันก็ไม่ได้มีทุกอย่างหรอกนะ) แต่สิ่งที่ชอบที่สุดในคลิปติวหรือสอนต่างๆ ในยูทูป คือมันทำให้เราได้เรียนรู้ ในเวลาที่เรา "เปิด" ต่อการเรียนรู้ (หรือหลังชนกำแพงแล้ว ยังไงกรูต้องรอด) ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ Khan ก็เจอตอนที่เขาเริ่มอัพคลิปลงยูทูปเช่นกัน
คือ Khan นี่ จบ MIT ใช่ป่ะ แล้วทำงานในเฮดจ์ฟันด์ คือฉลาดมากอ่ะนะ ตอนนั้นมีลูกพี่ลูกน้องที่มีปัญหาเรื่องเลข แต่เขารู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องเขาอ่ะ ฉลาดแล้วนะ ไม่ได้มีปัญหาหรอก เพียงแต่ยังต้องการคำแนะนำบางอย่าง เขาเลยอาสาติวให้ แต่พบว่า เจอปัญหาเยอะมาก คือเวลาเราจะติวให้คนในครอบครัวอ่ะ บางทีคนติวพร้อม แต่คนเรียนไม่พร้อมไง (แบบ...วันนี้ทะเลาะกับเพื่อนมา เหนื่อยแล้วนะ) มันก็เลยเป็นปัญหา เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการทำซอฟท์แวร์ขึ้นมา เพื่อให้ลูกพี่ลูกน้องได้เรียนนี่แหละ ซึ่งมันก็เวิร์กนะ แต่มันสอนได้แบบครั้งละคนอ่ะ แล้วบางทีลูกพี่ลูกน้องก็มีปัญหาอยู่ แต่อธิบายกันไม่ได้ ว่าปัญหามันควรแก้ยังไง ทีนี้เขาไปงานปาร์ตี้ เลยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า ทำไมเขาไม่ทำคลิปติวอัพลงยูทูปล่ะ จะได้ฟีดแบ๊กจากคนอื่นด้วย (ว่าสิ่งที่เขาติวมันโอเคไหม) ตอนแรก Khan ก็แบบ จะดีเหรอ ยูทูปมันมีไว้อัพคลิปแมวเล่นเปียโนไม่ใช่เหรอ (กวนตรีนนนนนนน) แต่เขาก็อัพลงล่ะนะ ซึ่งคลิปนี่ Khan ใช้คำว่า "ดิบมาก" คือ primitive สุดๆ ไม่ได้มีอะไรเลย แต่วิธีที่เขาอธิบายมันก็ดีมากน่ะนะ
ทีนี้ลูกพี่ลูกน้องเขาชอบมาก บอกว่า ชอบเขาในยูทูปมากกว่าตัวจริงอีก ตึ้งงงงงงงงง
สิ่งหนึ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมลูกพี่ลูกน้องเขาถึงชอบการติวในยูทูปมากกว่า เพราะมันเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้ในเวลาที่พวกเขาพร้อม และถ้าพวกเขาลืมทำโจทย์ที่ Khan แนะให้ทำ อย่างน้อย พวกเขาก็ไม่ต้องรู้สึกอายที่ลืมทำ รวมทั้งไม่รู้สึกว่า พวกเขาทำให้ Khan เสียเวลา คืออย่างน้อยมันสบายใจกว่า เพราะบางครั้ง คนเรียนพร้อมเรียน แต่ Khan เหนื่อยจากงาน พลังงานในการสอนไม่เหลือแล้ว การสอนก็เป็นไปได้ไม่ดี การเรียนรู้ก็ทำได้ไม่ดี ซึ่งนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ตอบโจทย์ว่า ทำไมคลิปติวของ Khan ในยูทูปถึงช่วยในการเรียนรู้ได้
Khan ชอบการสอนมาก จนลาออกจากงานเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งตอนนั้นเขาไม่ได้มีโมเดลในการทำเงินเลย แต่คิดว่ามีเงินเก็บพออยู่ได้แล้ว ปรึกษากับเมีย เมียก็ไม่ว่าไรไง เลยออกมาทำคลิปอัพลงยูทูป ทีนี้สิ่งที่ Khan ทำ มันไปช่วยคนได้เยอะ เลยมีคนเสนอเงินให้ (เหมือนสนับสนุนอ่ะ) จากนั้นก็มีการติดต่อมาจากบิล เกตส์ ว่าอยากเจอ เพราะว่าคลิปติวของ Khan ทำให้ผลการเรียนของลูกเกตส์ดีขึ้นมาก เกตส์สนใจ และส่งเช็คให้หนึ่งหมื่นเหรียญดอลล่าร์ ตอนที่เลขาเกตส์โทรหา Khan นั้นตลกดี เพราะเลขาถามว่า Khan พอจะมีเวลาไปเจอเกตส์ไหม Khan มองไปที่ปฏิทินแล้วพบว่ามันว่างยาว (คือไม่มีนัดใดๆ ทั้งนั้น) แต่ก็ทำทีพูดไปว่า อืม สักวันพุธช่วงบ่ายก็ไ้ด้นะครับ กวนตรีนนนนนนน 5555
ทุกวันนี้เราเรียนจบจาก Todai และรอดมาได้แล้ว แต่เรายังชอบเข้าไปดู Khan Academy เรื่อยๆ บางครั้งก็สนุกดีที่ได้เรียนรู้โจทย์คำนวณ ที่เราก็ลืมไปแล้วเพราะเรียนตั้งแต่มัธยม
มีคนเคยบอกว่า ยูทูปไม่ใช่เทรนด์แล้ว ซึ่งเราว่าใช่ (เพราะ Live กำลังมา) แต่ยูทูปมันก็เป็นคลังความรู้ชนิดหนึ่ง เวลาอยากรู้อะไร ก็ลองเสิร์ชเข้าไปดู อย่างน้อยมันก็ช่วยได้บ้างแหละน่า
หมายเหตุ: Khan Academy มีเว็บและมีโปรแกรมสอนมากขึ้นกว่าในยูทูปแล้ว ตอนนี้มันเติบโตมาก และ Khan พยายามที่จะให้เด็กหรือผู้คนเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด
Salman Khan, ขอบคุณมากที่ทำให้ชั้นเรียนจบโทมาได้ ... งิ้ง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"รถไม่ได้ติดหรอก ใจเราต่างหากที่ติด
ขับรถ อย่าให้รถขับเรา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เพราะความร่ำรวย ใช่ไหม...ที่ทำให้เธอหลงรัก ดุนยา
เพราะต่ำแหน่ง หน้าที่ใช่ไหม ทำให้เธอหลงไหล
เพราะทรัพสิน เงินทอง ใช่ไหม ที่ทำให้พรากอีบาดัตต่ออัลลอฮ.ไป
เพราะเกียรติยศ ใช่ไหม ที่ทำให้เธอลืมตาย
เพราะ ความร่ำรวย ใช่หรือเปล่า เธอจึงเหย่อหยิ่ง
เพราะ ต่ำแหน่งยศถา ใช่หรือเปล่า เธอจึงลืมธาตุแท้
เพราะทรัพสิน เงินทอง ใช่หรือเปล่า เธอจึงยอมทิ้งศาสนา
เพราะเกียรติยศ บรรดาศักดิ์ใช่หรือเปล่า ที่ทำให้ เธอลืมไปว่า....เรากำลังจะไปไหน
เพราะความสวยงาม เพราะความรื่นเริง
ทำให้จมลงอย่างเงยหน้าไม่ขึ้น
"ใช่หรือเปล่า "
#ย้อนทวนตน"
#มิตรสหายมุซซี่ท่านหนึ่ง
"ระบบรังวัดที่ดินใหม่ของกรมที่ดินใช้ระบบคอมพิวเตอร์ กับ ดาวเทียม ทำให้ช่วยลดเวลาในการทำรังวัดจากเดิม 120 วัน เหลือ แค่ 45 วัน
ว้าววว เค้าเคยคิดกันไหมว่าต้องมีอะไรผิดแน่ๆ เอาระบบมาช่วยใช้เวลา 45 วัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อคนญี่ปุ่นเหยียดคนเชื้อสายญี่ปุ่น
ความย้อนแย้งเชิงเชื้อชาติในมุมมองของคนญี่ปุ่นต่อชาวบราซิลอพยพ
.
สัปดาห์นี้ ผมเดินทางมาทำงานชั่วคราวที่เมืองฮะมะมัตซึ (浜松 Hamamatsu) ส่วนหนึ่งของจังหวัดชิซึโอกะ (静岡 Shizuoka แปลตรงตัวว่า Silent Hills) ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองโอซะกะกับกรุงโตเกียว
.
ท่านที่เคยเดินทางมาฮะมะมัตซึ คงจะสังเกตได้ว่า แผ่นป้ายทั้งส่วนราชการและเอกชนในเมืองนี้ นอกจากภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษแล้ว ยังมีภาษาโปรตุเกสห้อยท้ายอยู่ด้วยทุกครั้ง หรือบางที่ก็มีแค่ภาษาญี่ปุ่นกับภาษาโปรตุเกสเท่านั้น
.
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเมืองฮะมะมัตซึมีประชากรชาวบราซิลอพยพเป็นอันดับต้นๆ ในประเทศญี่ปุ่นครับ วันนี้จึงขอเก็บเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง
.
ญี่ปุ่นกับการเหยียดเชื้อชาตินั้นเป็นของคู่กัน สำหรับครอบครัวคนบราซิลอพยพในฮะมะมัตซึเองก็หนีไม่พ้นความจริงข้อนี้ครับ คนญี่ปุ่นหยิบยื่นความต่ำต้อยด้อยค่าให้กับคนกลุ่มนี้เสมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง ไม่ว่าจะเป็นคนบราซิลอพยพรุ่นแรก หรือเป็นลูกหลานที่เกิดในประเทศญี่ปุ่นในรุ่นต่อๆ มา
.
ความย้อนแย้งที่น่าสนใจคือ คนบราซิลอพยพส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นเป็นลูกหลานคนญี่ปุ่นที่อพยพไปยังอเมริกาใต้ตั้งแต่ช่วงก่อน ค.ศ. 1990s เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าร่ำรวย แต่ก็ผิดหวัง เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเชิญชวนลูกหลานคนญี่ปุ่นในต่างแดน (日系 นิกเก nikkei) และครอบครัวให้เดินทางกลับคืนมาตุภูมิ ชาวบราซิลเชื้อสายญี่ปุ่นจึงพากันอพยพเข้ามา
.
เหตุที่มีนโยบายอย่างนั้น เพราะช่วงนั้นญี่ปุ่นเกิดปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่และขาดแคลนแรงงานครับ จึงพยายามหาทางเพิ่มเติมแรงงาน ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฏหมาย
.
รัฐบาลญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า ถ้าเป็นคนเชื้อสายญี่ปุ่น ต่อให้เกิดในต่างประเทศก็ยังคงเป็นญี่ปุ่น สามารถที่จะปรับตัวเข้ากับคนในประเทศได้ แต่สำหรับคนบราซิลอพยพกลุ่มนี้กลับไม่เป็นไปอย่างที่รัฐบาลญี่ปุ่นคาดหวัง สาเหตุสำคัญมี 2 อย่างคือ 1) ภาษา คนบราซิลอพยพทั้งหมดพูดภาษาโปรตุเกส และ 2) คนญี่ปุ่นในประเทศปฏิเสธที่จะร่วมสังฆกรรมกับชาวบราซิลอพยพ เพราะถึงแม้จะเป็นคนเชื้อสายญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นแท้ เป็นพวกเลือดผสม
.
คนบราซิลอพยพถูกกีดกันการเข้าสังคม เป็นชนชั้นแรงงาน ได้ทำงานเฉพาะในส่วนที่คนญี่ปุ่นไม่ต้องการทำ ความแปลกแยกในสังคมยิ่งบีบคั้นให้คนบราซิลอพยพจับกลุ่มรวมตัวกันเพื่อรักษาอัตลักษณ์แบบบราซิล พูดภาษาโปรตุเกส นับถือคริสต์คาทอลิก ยึดถือประเพณีพื้นเมืองเดิม จัดเทศกาลแซมบ้าคานิวัล ฯลฯ แม้คนเหล่านี้มีเชื้อสายญี่ปุ่น แต่กลับรู้สึกผูกพันกับบราซิลมากกว่าแผ่นดินของบรรพบุรุษตนเอง
.
ลูกหลานของชาวบราซิลอพยพมักถูกข่มเหงรังแก ทั้ง harass และ bully โดยลูกหลานคนญี่ปุ่น ด้วยเหตุที่เป็นคนเลือดผสม จนหลายคนเลือกหลบหนีออกจากโรงเรียน ไม่ได้เรียนต่อ โดยที่หน่วยงานราชการก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้อย่างจริงจัง
.
ตามปกติ ถ้าเด็กหนีเรียน หรือหายไปจากโรงเรียนโดยไม่ทราบสาเหตุ ทางโรงเรียนจะแจ้งให้ทางการทราบ แล้วร่วมมือกันตามหาเด็ก หรือติดต่อทางบ้านเพื่อค้นหาสาเหตุ หาทางแก้ไข เพื่อให้เด็กได้กลับเข้าเรียนหนังสือ แต่มาตรการนี้ก็ใช้ได้เฉพาะกับเด็กญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนลูกหลานของคนบราซิลอพยพและเชื้อชาติอื่นๆ จะหายก็หายไป โรงเรียนไม่เดือดร้อน ไม่สนใจติดตาม
.
เมื่อสองปีที่แล้วมีรายงานผลสำรวจว่า มีลูกหลานชาวบราซิลอพยพจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ เพราะถูกข่มเหงรังแกจากเพื่อน ถูกแบ่งแยกกีดกันโดยคุณครูญี่ปุ่น ถูกปล่อยปละละเลยโดยหน่วยงานราชการ เมื่อออกจากโรงเรียนแล้วก็หางานทำไม่ได้ พูดภาษาญี่ปุ่นก็ไม่คล่อง สุดท้ายก็จมอยู่ในวงจรอุบาทว์เหมือนรุ่นพ่อแม่
.
เมื่อปี 2009 รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของพรรคอนุรักษ์นิยม LDP (พรรครัฐบาลในขณะนี้ แต่นายกรัฐมนตรีคนละคน) ยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนบราซิลอพยพ โดยการเสนอให้เงินสนับสนุนคนละ 3000$ เพื่อเป็นค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับบราซิล พร้อมให้เงินขวัญถุงอีกคนละ 2000$ โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องไม่กลับมาทำงานในประเทศญี่ปุ่นอีกเป็นอันขาด
.
ปัจจุบัน ในบรรดาลูกหลานชาวบราซิลเชื้อสายญี่ปุ่นจำนวนมากกว่า 300,000 คน มีคนที่ได้รับสัญชาติญี่ปุ่นแล้วประมาณ 25,000 คน และมีครอบครัวที่ยอมรับเงินค่าตั๋วเครื่องบินจากรัฐบาลเพื่ออพยพไปยังบราซิลปีละประมาณ 4000 คน
.
นับจากปี 1990 ที่เปิดโอกาสให้ชาวบราซิลเชื้อสายญี่ปุ่นเดินทางเข้าประเทศ ผ่านเวลามาเกือบ 30 ปี ปัญหานี้ยังคงเป็นปัญหา และคงจะเป็นไปเรื่อยๆ จนกว่าลูกหลานชาวบราซิลอพยพเหล่านี้จะรับเงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นแล้วเดินทางไปบราซิลจนหมดนั่นแหละครับ
.
แต่จะเดินทางกลับไปในฐานะอะไร อันนี้ไม่แน่ใจเช่นกันครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ความลับของอาชีพ "นักท่องเที่ยว"
ในที่สุด เดือนมีนาคม ที่แสนสยองก็ผ่านไปครับ ทุกๆครึ่งปีผมจะมีเดือนแบบนี้หนึ่งครั้งเสมอครับ เดือนที่มีแต่งาน ทำทั้งวัน ไม่ได้หลับได้นอน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ต้องหยุดพักไปไหน
เดือนนี้ ผมทำวีดีโอเสร็จไป 3 เรื่อง (ปั่นจักรยาน 170 โล, I light Marina Bay และ วีดีโอเดินทางในจีนตอน 2) ปิดโปรเจคไปอีก 2 งาน ปั่นจักรยานไปอีก 170 โล นี่ยังไม่นับงานประจำ ชีวิตวิศวกรที่มีคนโทรตามตลอดเวลา
ทั้งเดือนนี้ ผมแทบรู้สึกเหมือนชีวิตไร้วิญญาณ เดินเป็นซอมบี้ไปๆมาๆ วิ่งไล่ล่าเดทไลน์ทั้งเดือน
ชีวิตของการเป็นคนทำเพจท่องเที่ยวจะว่าสนุกๆมันก็สนุก แต่เหนื่อยและกดดันเหมือนกันนะครับ
จะว่าไปแล้ว ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ผมมีอาชีพอีกหนึ่งอาชีพที่ไม่ค่อยได้พูดถึง
มันก็คือการเป็นฟรีแลนซ์นั่นละครับ ซึ่งทุกคนคงเคยเห็นงานของผม
เหมือนกับฟรีแลนซ์คนอื่นๆ มันคืออาชีพที่มีลูกค้าเป็นพระเจ้า มี AE จากเอเจ็นซี่ต่างๆเป็นผู้นำสาร หน้าที่คือต้องทำงานร่วมๆกันไป เพื่อให้ทุกอย่างออกมาสำเร็จ ทำตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอนะว่ามันจะต้องแก้หลายรอบ ผ่าน ไม่ผ่าน เป็นการเรียนรู้ปรับตัวไปเรื่องๆ
ในสายงานฟรีแลนซ์นี้ที่ ดูเหมือนชีวิตผมจะได้เดินทางตลอดเวลา ท่องเที่ยว ล่องลอยไปมา.... มันเป็นเรื่องไม่จริงครับ
ผมใช้เวลาประมาณ 90% บนเก้าอี้ตัวนี้ นั่งตัดต่อวีดีโอ เขียนบทความ เขียนหนังสือ มันเป็นอีกมุมหนึ่งของชีวิต นักเดินทางสายอิสระ ที่ไม่มีใครเคยพูดถึง เขียนถึง เพราะมันไม่ได้สวยงาม Glamorous อะไรแต่อย่างไร
แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ผมอย่างเล่าในทุกคนได้เห็นๆอีกมุมหนึ่งของเพจ The Walking Backpack เพราะสมัยนี้ ตามหน้า newsfeedของพวกเรามันมีแต่เรื่องสวยงาม วิวสวยๆ การเดินทาง อาหารอร่อยๆ ชีวิตสบายๆที่ไม่ทำอะไรนอกจากเดินทาง
บางทีผมเล่นเฟสบุ็คอยู่ ผมยังสงสัยเลยครับว่าเพื่อนบางคนมันเดินทางทั้งปี ทุกวัน ทุกอาทิตย์อะไรขนาดนั้น คือมึงไม่ต้องทำงานเลยหรอ 5555 (ส่วนใหญ่ ผมเดาว่าน่าจะเป็นรูป throwback ถ่ายดองไว้ แล้วเก็บมาเล่าเรื่อง)
ซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญญาอะไรหรอกนะ แต่มันสร้างภาพหลอกตาให้กับเพื่อนทุกคนว่า ชีวิตมันแสนง่ายดาย ทุกวันคือการเดินทาง
ช่วงหลังๆ ชอบมีคนชอบพูดถึงอาชีพ "นักท่องเที่ยว" เที่ยวเป็นงาน
ได้ยินทีไรก็ขำ เชื่อผมเถอะครับ มันไม่มีหรอก อาชีพนี้ ถ้ามีจริง โอกาสงานมันมาถึงผมก่อนคุณทุกคนแน่นอนครับ
ถ้าใครมาบอกคุณว่ามีจริง ผมว่าเค้ากำลังหลอกขายแชร์ลูกโซ่คุณอยู่
แต่การเป็นนักรีวิว ช่างภาพ นักทำคอนเท็นท์ออนไลน์ ทำวีดีโอ พวกนี้คืออาชีพจริงๆ ซึ่ง 90% ของเวลาของคุณก็จะต้องนั่งหน้าคอม ใช้เวลากับงานเพื่อให้งานออกมาให้ดีที่สุด
นี่เป็นบทเรียนแรกของการเป็นฟรีแลนซ์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของผมเลยละครับ คอนเท็นท์ดีๆ ไม่มีคำว่าง่าย ต้องกัดฟันสู้
แต่สิ่งที่ดีเกี่ยวกับมันก็คือ เมื่อมีคนจ้างเรา ผมก็ต้องทำเต็มที่ พยายามสร้างสรรค์สุดๆ ถ้าไม่มีคนจ้างผม งานผมจะไม่มาถึงจุดนี้แน่ครับ มันเป็นแรงขับดัน แรงกดดันที่ดี
เอาจริงที่บ่นมาเยอะขนาดนี้ก็เพราะปีนี้แทบไม่ได้เดินทางไปไหนเลย ซึ่งก็เพราะผมเตรียมตัวไปทริปใหญ่ของปีอยู่ เดือนหน้านี้ ไปไกลมากๆๆ นั่งเครื่องบินครึ่งโลกเลยละ
รอไม่ไวแล้ววว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ชาติเป็นนามธรรม ปากท้องคือของจริง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนในชาติก็ไม่เอาอ่าว คนนอกชาติก็ไม่แล รอเกาะจมไปเถอะมึง
"บางคนคงพอรู้กันแล้วว่าข้าพเจ้าติดรอบสัมภาษณ์ทุนรัฐบาลเกาหลี (KGSP) ซึ่งสัมพาดไปเมื่อวันอังคาร ผ่านไปหนึ่งวัน ผลออกมาแล้วว่าไม่ติดทั้งตัวจริงและตัวสำรอง ก่อนสมัครทุนก็ไปนั่งไล่อ่านไอพวกกระทู้พันทิป เขียนจดหมายแนะนำตัวยังไงให้ติดทุน ตอบสัมพาดยังไงให้ติดทุน แต่ไม่เคยเห็นกระทู้ “สมัครทุนยังไงให้ไม่ติด” เลย จึงอยากจะบันทึกไว้ เพราะอนึ่งแม่งเป็นประสบการณ์ชีวิตที่พีคพอสมควร
ตัดสินใจสมัคร
อันที่จริงทุนรัฐบาลเกาหลีแม่งไม่ใช่อะไรที่อยู่ในสายตาเลย เพราะแม่งเรียนสามปี (เรียนภาษา 1 ปี เรียนป.โท 2 ปี) เลยแอบรู้สึกว่าเสียเวลาเกินไป พอเห็นผ่านหน้าเฟสก็เข้าไปอ่านผ่านๆ แล้วก็แชร์เก็บไว้
วันดีคืนดี “เมีย” ครับ อยู่ดีๆ ก็ประกาศ ม. 44 ไล่กูออกจากบ้านโดยไม่อธิบายสาเหตุ นั่งทบทวนตัวเองซักพักจึงตระหนักได้ว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำตัวชุ่ยมาก ไปทำงานก็สาย ไอที่บอกว่าจะสมัครทุนป.โท ก็ยังไม่ถึงไหน วันๆ เอาแต่นั่งเล่นเกม ดูดแต่ปุ๊น ประกอบกับปัจจัยแทรกซ้อนคือ “ประจำเดือน” แม่งเพิ่งมา เมียคงเกิดอาการทนไม่ไหว ไล่กูออกจากบ้านซะงั้น จังหวะนั้นคิดว่า เอาวะ อารมณ์มันกำลังขึ้น ถอยฉากมาก่อนดีกว่า เลยอพยพกลับไปนอนปากเกร็ด แล้วสัญญาว่าจะสมัครทุนซักทุนนึงภายในเดือนกุมภา (ประจำเดือนแม่งมาช่วงต้นเดือนพอดี)
พอกลับปากเกร็ดมา ก็มานั่งเปิดไล่ดูทุนที่แชร์เก็บไว้ พบว่ามีสองทุนที่จะปิดรับสมัครภายในเดือดนกุมภา หนึ่งคือทุนรัฐบาลนิวซีแลนด์ อีกอันคือทุนรัฐบาลเกาหลี ทุนนิวซีแลนด์จะปิดรับสมัครช่วงปลายเดือน แต่แม่งให้แต่คนไปเรียนพวกสายวิทย์ เลยเหลือแค่ตัวเลือกเดียวคือทุนรัฐบาลเกาหลี แต่ปัญหาคือแม่งจะปิดรับสมัครในวันพุธ (วันนั้นวันเสาร์) แถมต้องการจดหมายแนะนำตัวจากอาจารย์อีก 2 ฉบับ ไอสัส ใครมันจะเขียนให้กู ไหนจะพวกเอกสารนู่นนี่นั่นอีก
จังหวะนั้นคือกำลังจะบอกเมียว่ารอทุนอื่นแล้วกัน แต่ถ้าบอกแม่งไปแบบนั้น กุคงต้องหาที่ตั้งรกรากใหม่เป็นการถาวรแน่ ต่อให้แม่งมีพระมหากรุณาธิคุณ ก็ไม่แน่ว่าถ้าประจำเดือนหน้ามาอีก แม่งก็อาจจะใช้ ม.44 อีกอยู่ดี เพราะงั้นสมัครแม่งไปเถอะ
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>218 )
เตรียมเอกสาร และใบสมัคร
ทีนี้ก็ต้องมานั่งใส่สีตีไข่ ให้กูดูเหมือนคนที่อยากจะไปเรียนต่อเกาหลีใจจะขาด ซึ่งในความเป็นจริงคือ กูก็เพิ่งอยากไปเรียนตอนเมียกุไล่ออกจากบ้านนี่แหละ หนังเกาหลีก็ไม่เสพ เพลงก็ไม่ฟัง โคฟเว่อร์ก็เต้นเป็นบ้างแค่บางเพลง อาหารเกาหลีก็ไม่ค่อยชอบ ภาษาเกาหลีก็รู้แต่ “ซารังเฮโย” แต่ก็ต้องแถไปว่า เออ กูเป็นนักข่าวนะ สัมผัสได้ว่าสื่อประเทศเหี้ยนี่คุณภาพหมาไม่แดกเลย ยิ่งพวกสื่อฝ่ายขวานี่ไม่ต้องพูดถึง fake news, clickbait, hate speech มาเต็ม ยิ่งพอมายุคสื่อออนไลน์แล้ว ยิ่งหมาไม่แดกหนักเข้าไปใหญ่ แต่เกาหลีเนี่ย อุตสาหกรรมสื่อออนไลน์ประเทศมึงใหญ่มาก มีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แปลว่าเกาหลีก็ต้องเจอปัญหาสื่อหมาไม่แดกมาก่อนไทย เลยอยากรู้ว่าพี่เขารับมือกับแม่งยังไง แล้วก็ขายฝันไปว่า เออ เป็น NGO ด้วยนะ อยากกลับมาจรรโลงประชาธิปไตยให้กับประเทศนี้ให้หลุดพ้นบ่วงกรรมจากระบอบเผด็จการซักที แต่ทุกวันนี้คนไทยแม่งเฉื่อยชาทางการเมืองเหี้ยๆ ทหารทำประเทศเน่ามาจะสามปีแล้ว มีรายงานการทุจริตตลอด แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาต้านซักคน ต่างจากเกาหลีที่มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง อย่างล่าสุด แค่มีข่าวว่าประธานาธิบดีมึงเชื่อหมอดู คนแม่งออกมาไล่กันเต็มกรุงโซล
แล้วจะไปเรียนอะไร? ในใบสมัคร กูต้องใส่ชื่อหลักสูตรและมหาลัยที่อยากเรียน 3 อันดับ ซึ่งกูไม่รู้จักหลักสูตรสังคมศาสตร์เหี้ยอะไรในเกาหลีเลย ในเว็บทุน แม่งมีรายชื่อหลักสูตรกับมหาลัยอยู่ เลยกด control+f ไปแล้วใส่คำว่า “politic” กับ “soc” แล้วกด space bar วนไป หลักสูตรส่วนใหญ่ที่เจอก็จะเป็น “political science” กับ “sociology” แต่ถ้าว่าเรียนด้านไหนเป็นพิเศษ แม่งไม่มีบอก เว็บหลักสูตรแม่งก็ไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษ แต่ไปสะดุดตากับหลักสูตรหนึ่งของ Dongguk University ชื่อ “P.R.& political communication” หูยยยยย แค่อ่านชื่อหลักสูตรก็ฟินแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีเว็บหลักสูตรภาษาอังกฤษ งมโข่งอยู่นาน ถึงรู้ว่า หลักสูตรแม่งสอนแต่ภาษาเกาหลี
เริ่มคิดอะไรไม่ออก เลยไปปรึกษาอาจานคณะท่านหนึ่งที่เคยไปทำวิจัยที่เกาหลีว่ามหาลัยไหนหลักสูตรสังคมศาสตร์ดีๆ บ้าง เลยได้ชื่อ Yonsei University มา พอเขาให้ชื่อมหาลัยเสร็จ ก็ขอให้เขาเขียนจดหมายแนะนำตัวให้ พอบอกแกว่าต้องใช้ภายในวันพุธ แกก็ด่าพอกูในใจไปหนึ่งทีแล้วก็รับปากจะเขียนให้ พอลองเอาชื่อ Yonsei ไปเสิร์จดูก็รู้สึกประทับใจมาก ความประทับใจแรกคือ แม่งมีเว็บภาษาอังกฤษ อันที่สองคือหลักสูตรแม่งโคตรเจาะจง เช่น “cultural anthropology” “communication theory and research” คือแค่อ่านชื่อหลักสูตรกูก็รู้แล้วว่าจะไปเรียนอะไร กดเข้าไป แม่งบอกทุกอย่างตั้งแต่โครงสร้างหลักสูตร ยันรายวิชาเรียน เลยรู้สึกว่า เออ ยื่นที่นี่แม่งสามอันดับเลยและกัน
ยังไม่จบแค่นั้น แม่งต้องใช้เอกสารรับรองสัญชาติของพ่อแม่ (คือกลัวกูเป็นโอ้ปป้ามาแอบสวมสิทธิ์อ่ะว่าง่ายๆ) แล้วอ่านในพวกกระทู้พันทิปต่างๆ แม่งบอกว่าต้องใช้สูติบัตร เอามาแปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วให้กงศุลรับรอง กูก็แปลไป (แปลเอง) แล้วกะว่า เดี๋ยวตอนไปยื่นใบสมัครก็ให้เขารับรองให้เพราะยังไงก็ต้องเอาเอกสารไปยื่นที่สถานทูตเกาหลีอยู่แล้ว
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>219 )
วันพุธ
มาปริ้นท์เอกสารที่ออฟฟิส แล้วเดินหาร้านถ่ายเอกสารแถวนั้นๆ เพราะมันต้องใช้ตัวสำเนา 3 ชุด ซึ่งหายากเหี้ยๆ ตอนนั้นแม่งก็จะบ่ายแล้ว กลัวมากว่าจะไม่ทัน หันไปเจอคำว่าร้านถ่ายก็รีบวิ่งเข้าไป ยื่นเอกสารให้อาม่าที่นั่งอยู่ในร้าน ซักพักป้าก็หันมาบอกว่า “200 บาท” ห๊ะ ถามป้าว่าแผ่นละเท่าไหร่ ป้าบอก “2 บาท” ควยเถอะป้า
แล้วก็มาถึงสถานทูตเกาหลีเวลาประมานบ่ายสองกว่าๆ ก็ไปถามยามว่ายื่นเอกสารทุนที่ไหน ยามก็ยื่นมือมารับซองเอกสาร แล้วก็บอกว่า “เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวเอาไปส่งให้” อ่าวสัส งงเลย ถามพี่เขาว่า ไม่คิดจะตรวจเอกสารหน่อยหรอครับ พี่แกตอบมาน่าคิด “โอ้ยน้อง นี่มันวันสุดท้ายแล้ว แต่ให้เอกสารไม่ครบน้องก็แก้ไม่ทันอยู่ดี ยื่นๆ ไปก่อนเถอะ” อื้ม พี่พูดถูก แต่เห้ยพี่ ไม่ต้องรับรองการแปลเอกสารก่อนอ่ะ เขาบอกให้มารับรองที่กงศุล พี่แกตอบว่าทีนี้ไม่มีบริการรับรองการแปลเอกสาร ต้องไปทำที่กรมการกงสุลแจ้งวัฒนะ อ่าวไอสัส กูก็คิดว่ากงสุลเกาหลี แต่ก็นั่นแหละ ไหนๆ ก็ทำมาขนาดนี้แล้ว จะมาเทเอาตอนนี้ก็เสียดาย เลยฝากพี่ยามเขาไปเลยเดินออกมา
ตอนเดินออกจากสถานทูต ก็ถอนให้ใจ มองท้องฟ้า ทั้งด้วยความโล่งใจ และความเซ็ง เพราะเอกสารแม่งลวกมาก แถมยังไม่ครบอีกต่างหาก แต่ก็คิดว่า เอาวะ อย่างน้อยเมียกูก็น่าจะให้ที่พักพิงกูต่อไปอีกซักพัก
วันพุธต่อมา มีเพื่อนที่เคยได้ทุนปีที่แล้ว ที่กูแชทไปขอคำปรึกษา ทักมาว่า “เห้ยมึง ถ้ามึงได้มาเกาหลีกุจะพาไปเลี้ยงโซจู” กูก็ เดี๋ยวๆๆ กูเพิ่งส่งใบสมัครไปอาทิดเดียว จะติดรอบสัมพาดไหมยังไม่รู้เลยมึง แล้วแม่งก็เอาลิ้งประกาศผู้มีสิทธิ์เข้าสัมพาดมาโยนใส่หน้ากู อ่าว ติดหว่ะ ติดแบบ งงๆ แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายก็ไปตายห่าที่รอบสัมพาด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แล้วเมียมึงล่ะ
เอาเวลาไปหาเมียมึงเหอะ
"เงินเดือนคือสิ่งที่จ่ายเพื่อให้มึงลืมความหวังและความฝันในวัยเด็ก"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
เคยมีคนถามในกระทู้เราเหมือนกัน ว่าคิดยังไงกับการที่ผู้หญิงสองคนจับมือกันแล้วดูน่ารักตะมุตะมิ แต่พอเป็นผู้ชายจับมือกันแล้วถ้าไม่ใช่สายวายหรือพวกเคารพสิทธิคนอื่นนี่แมร่งจะมีสายตาแทนคำถามมากครับ ในฐานะเกย์คนหนึ่ง คือจะไม่บอกหรอกว่าไม่ต้องไปสนใจ แต่อยากจะบอกแค่ว่าคุณสนใจไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ปัญหาแบบนี้ไม่ได้เกิดแค่ที่ไทย
ที่ไหนในโลกก็เป็นครับ กับสภาวะสังคม ‘ชายเป็นใหญ่’ (ทั้งๆที่ผู้ชายบางคนเล็กกว่ากู) สภาวะของมุนษย์ที่จะพยายามเป็นสัตว์สังคม ทำตัวเหมือนๆกัน พอเจออะไรที่มันคิดว่าแปลกแยกหรือแตกต่างไปจากพวกมันก็จะขับไล่ออกไป คือมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมานานแล้ว และมันจะเกิดขึ้นต่อไปและอีกต่อๆไป กระบวนการเปลี่ยนผ่านมันต้องใช้เวลา มันไม่ใช่แค่ว่าคุณรู้สึกว่ามันไม่โอแล้วทุกอย่างมันจะได้รับการแก้ไข
ไม่ต้องมองไปไหนไกลเลย ขนาดแค่เพศที่สองอย่างสตรี กว่าจะมีทุกวันนี้ที่ ‘เกือบจะ’ เท่าเทียมได้ยังต้องฝ่าฝันอุปสรรคและการเปลี่ยนผ่านของเวลามาอย่างเนิ่นนาน
ดังนั้นถามกูว่า ทำไมตุ๊ดหรือเพศที่สามยังไม่ชนะ ก็ขอตอบตามตรงว่า
กูก็ไม่รู้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จริตกะเทยก็เช่นกัน...
ทำตัวเองแหละทั้งนั้นอีพวกกะเทยโสโครก
"ผมเข้าใจนะครับว่า บางครั้งในการพัฒนา มันต้องมีการ ระดมงบลงมาที่บางจุดมากเป็นพิเศษ
แต่ถ้าไอ้บางจุดนั่นมันได้งบมากเป็นพิเศษกว่าที่อื่นมหาศาลต่อเนื่องยาวนานมา 30-40 ปี เนี่ย
เขาเรียกว่าความเหลื่อมล้ำครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีโปรเจคตัวนึง ที่เราทำร่วมกับทีม เพื่อเขียน Tr... เพื่อเข้าไป "ลับ ลวง พราง" ข้อมูล ในมือถือของเรา ทุกอย่าง! ล้วงไปใน Email ล้วงไปไหนหน่วยประเมิณและความจำ เพื่อนำข้อมูลว่าวิเคราะห์อะไรบางอย่าง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Gmail ทุกแอคเค้าท์ มันกวาดมาได้หมด! ไม่ว่าจะ Transaction Report ของ Online Banking หรือ ECommerce History มันดูแม้กระทั่ง Remarketing ที่ส่งมาในอีเมล
แต่ทำไม่ได้กับ Outlook (ยังไม่ได้เทสต์กับ AOL แต่ Yahoo ขอตั้งสมมุติฐานว่าได้ละกัน เพราะเห็นหลุดกันมาชุดใหญ่ขนาดนี้)
ในส่วนของความจำเครื่อง ภาพที่ถ่าย รูปของคนที่เราถ่ายเก็บไว้ (อันนี้เริ่มต้องใช้ Recognition แล้ว) มันก็เอามาหมดเลยเหมือนกัน แล้วจับใ่ส่ Predictive Algorithm เพื่อไป Run Model ต่อไป
หรือแม้กระทั่ง Cross Application ต่างๆบนเครื่องก็ตาม
History, Frequency, Search Keyword
ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ บนระบบปฏิการ Andriod
และทำไม่ได้เลย บน iOS
#Appleห่วยซินะ
"การวิ่งหนีไม่ใช่หนทางสู่อิสระภาพ เว้นเสียแต่ว่านายจะวิ่งเร็วพอ"
#มิตรสหายคนดำท่านหนึ่ง
อ่านบทความและคำเปรยของเพื่อนร่วมวงการหลายคน เรื่องแนวๆ "ChatBot ไม่ปังอย่างที่คิด" .... จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลยที่มันจะออกมาแบบนี้ .... และเดาได้อยู่แล้วด้วยว่าจะออกมาแบบนี้
สาเหตุสำคัญก็คือ เรามองเทคโนโลยีพวกนี้เป็นของ "สำเร็จรูป" ที่แค่ "ใช้ได้เลย" ไม่ต่างอะไรจากปลั๊กไฟ
แน่นอน หลายคนคิดว่าตัวเองรู้นะ หลายคนบอกว่า นี่ไง ฉันรู้ ว่ามันต้องเขียนโปรแกรม ต้องใช้ library, framework ฯลฯ ในการทำงานนะ มันไม่สำเร็จรูปแบบนั้น
นั่นแหละครับสำเร็จรูป .... สำเร็จรูปเหมือนกับให้ช่างไฟมาเดินไฟฟ้า โดยไม่ได้ออกแบบตัวแผงวงจรต่างๆ หรืออุปกรณ์ต่างๆ เอง อาจจะรู้ว่ามันทำงานยังไง แต่ก็ทำได้แค่ตาม spec ที่อุปกรณ์มันทำงานได้น่ะแหละ ... มันสำเร็จรูปสำหรับช่างไฟ (ไม่ได้สำเร็จรูปสำหรับเจ้าของบ้าน)
ไม่ต่างอะไรจากทุกอย่าง .... ทุก BuzzWord ที่มาก่อนมัน พร้อมกับมัน หรือหลังจากมัน
Big Data (ที่สำหรับเมืองไทยบ้าคำนี้กันเยอะ แต่มีเรื่องนี่ขำไม่ออกเยอะเหมือนกัน ... เช่นรัฐบอกว่า เปิดเผยชุดข้อมูล Big Data ที่สามารถ download ได้ อะไรแบบนี้เป็นต้น...), BlockChain, Machine Learning, Deep Learning หรือเอาที่กว้างๆ กว่านั้นหน่อยเช่น AI, API, UX ก็ได้
เรื่องพวกนี้จริงๆ แล้วมัน real นะครับ แต่มันต้องใช้ความรู้เฉพาะทางเยอะมาก และต้องมีอะไรหลายอย่างเป็นปัจจัยพื้นฐานอยู่แล้วด้วย (เช่นข้อมูล กำลังในการประมวลผล เป็นต้น) ไม่ใช่แค่เอาของสำเร็จรูปมาประกอบๆ กันแล้วมันจะใช้ได้ มันต้องลงทุนทำวิจัยกันเลยแหละ ว่าจะเอาไปใช้ยังไงกับงานตัวเองให้ได้ดีที่สุด (UX ก็มีวิจัยทาง UX ครับ ไม่ใช่แค่จ้างคนๆ เดียวมานั่งวาดๆ นั่งออกแบบใน Sketch แล้วบอกว่าทำ UX เป็นต้น ... API ก็ต้องทำแบบเดียวกันครับ ไม่ใช่แค่บอกว่าเปิดๆ ให้เชื่อมๆ จบแล้ว)
ถ้าจะพูดให้ In General กว่านี้ ... หลายคนคิดจะเอา computer, IT มาทำโน่นทำนี่ แต่ไม่สนใจแม้กระทั่ง complexity ของปัญหา และไม่สนใจเรื่อง data structures & algorithms (แน่นอนว่าถ้า N มันเล็ก ยังไงๆ มันก็น่าจะ solve ได้ น่าจะ POC ได้ และนั่นแหละ หลายคนคิดว่ามันจะทำได้จริง แต่ algorithm มันไม่ scale ได้แบบนั้นเลย)
กลับมาเรื่องเดิม ... หลายคนสนใจ ChatBot แต่ไม่สนใจจะทำตั้งแต่เรื่องพื้นฐานที่จำเป็นกับมันอย่าง Corpus .... มันจะแป้กก็ไม่แปลก และสุดท้ายมันก็จะเหลือแต่คนที่สนใจทำตั้งแต่พื้นฐานที่รอด
ป.ล. ผมไม่ได้ต้องการจะสื่อว่า คนทำธุรกิจจะต้องรู้พวกนี้ลึกๆ เองนะ (แค่ที่ผมเขียนนี่มันก็คงมีคำบ้าๆ บอๆ ที่ไม่รู้เรื่อง ไม่น่าสนใจ เยอะแล้ว) เพียงแต่ต้องไม่มองมันสำเร็จรูปขนาดนั้น และหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจริงๆ คุยซะ ไม่ใช่แค่หาโปรแกรมเมอร์มาเขียนโปรแกรม .... โปรแกรมเมอร์อาจจะใช้เครื่องมือสำเร็จรูปมา POC งานได้จริง สร้าง Working Prototype ได้จริง แต่จะไปต่อ ความรู้เฉพาะทางลึกๆ มันจำเป็นมาก
ขอสรุปลำดับเอธิสกับเวแกนของไทยนะ
เอธิสเริ่มเปิดตัวในเนต ด้วยการเปิดกลุ่มในเฟส
เอธิสเริ่มขยายตัวจนเป็นที่รู้จัก
มีชายคนนึง ประกาศว่าตัวเองเป็นเอธิสเที่ยงแท้ แท้จริงหนึ่งเดียว บริสุทธิ์ผุดผ่อง และผู้อื่นที่เรียกตัวเองเป็นเอธิสก่อนหน้า เป็นพวกเอธิสปลอม เป็นพวกแอบอ้าง มีเพียงเค้าที่เป็นเอธิสที่แท้จริง บริสุทธแล้ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้หนึ่งเดียว
เหล่าเอธิสปลอมต่างตั้งคำถามในความเป้นเอธิสแท้เป็นเช่นไร แต่ท่านศาสดาเอธิสแท้จริงศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวปล่อยไก่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกลายเป็นที่ขบขันของเหล่าเอธิสปลอมวอนบีทั้งหลาย
สุดท้ายท่านเอธิสแท้ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวจึงผันตัวไปเป็นวีแกนที่เที่ยงแท้ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์แทน(อ้าว ไม่เป็นเอธิสแท้ซะแล้ว)
เริ่มต้นยกหัวตัวเองที่กินผักเบี่ยมด้วยบุญญาธิกาล และด่าพวกกินเนื้อ เป็นพวกบาปหนา เลว ชาติชั้ว สัตว์นรก ขายชาติ ทำลายโลก ขยะอวกาศ เป็นศัตรูกับหลุมดำใจแลางแกแลกซี่
พวกเอธิสปลอม ตามราวีท่านวีแกนบริสุทธศักดิ์สิทธิ์ไม่เลิกจนท่านวีแกนไปพบพันธมิตรที่มีสติปัญญารัดับเดียวกันคือตบดิ้น และในที่สุดก็เป็นพันธมิตรกัน
แบบนี้ถูกใช่ใหม ใครอยู่ในเหตุการทั้งหมด บอกด้วย หรือมีอะไรต้องเพิ่มเติม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
盐水韭菜炸豆腐 aka.เต้าหู้ทอดจิ้มน้ำเกลือกุ่ยช่าย
อาหารเก่าแก่ของชาวแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ผมเคยกินตอนไปเยี่ยมบรรพบุรุษกับอากงที่ซัวเถา บ้านเราเหลือไม่กี่ร้านที่ทำแล้ว สาเหตุก็ง่ายๆ มันไม่ได้เหมาะกับรสจัดๆแบบไทยๆอีกแล้ว
อีกอย่างเต้าหู้บ้านเราคุณภาพค่อนข้างแย่ เมื่อเทียบกับหลายๆประเทศรอบข้าง การกินแบบเอารสแท้ๆเลยไม่ใช่ที่นิยม เลยเปลี่ยนใส่น้ำจิ้มเผ็ดๆหวานๆกลบรสไปพลางๆ
น้ำจิ้มนี่มีแค่ เกลือ น้ำร้อน กุ่ยช่ายสับ
กับเต้าหู้ดีๆ ทอดน้ำมัน
รูปจากblog : http://blog.sina.com.cn/s/blog_506814760102dxx3.html
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฤดูกาลเกณฑ์ทหาร จะเห็นความกลับกลอก มือถือสากปากถือศีลของคนไทย อย่างล่าสุดมีนักร้องดังจับได้ใบแดง บอกเตรียมใจไว้แล้ว พร้อมรับใช้ชาติ
ทั้งที่ผูกสายสิญจน์มาเต็มแขนนี่นะ 555
มีคนเถียงว่าเป็นพิธีกรรมพื้นบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่บ้านเราก็ทำเว้ย จะผูกให้ตอนเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไปดีมีสุข เขาจะไม่มาผูกกัน แล้วเส้นเดียวก็เกินพอว่ะ
ควรตั้งคำถามได้แล้วว่า "การรับใช้ชาติ" เป็นเพียงวาทกรรมรึป่าว ทุ่มงบประมาณมหาศาล ให้ทหารเกณฑ์/ชั้นผู้น้อย มาช่วยตัดหญ้าล้างรถให้เจ้านาย แล้วมีสวัสดิการในชีวิตให้พวกเขามากแค่ไหน
ทำไมมีคนกลับมาเป็นศพ จากการโดนซ้อม แล้วเอาผิดใครไม่ได้ ไหนบอกลูกผู้ชาย ทำไมกล้าทำแล้วไม่กล้ารับ? ทำไมเด็กหลายคนต้องไปเรียนร.ด.
หรือก่อนจับใบดำใบแดง ทำไมแต่ละบ้านต้องไปบนบานศาลกล่าว หรือเตรียมยัดใต้โต๊ะ
ลูกได้ใบแดงทำไมต้องมีคนเป็นลม หรือล่าสุดมีพ่อเครียดจนผูกคอตาย ระยะเวลาสองปี ชดเชยได้หรือไม่ กับคนที่ต้องไปเกณฑ์ทั้งที่เป็นกำลังหลักในการหาเงินของครอบครัว หรืออนาคตในการเรียนการงานที่พวกเขาเสียไป ....
มีคำถามอีกมากมายที่คลุมเครือ แล้วพวกปากดีตามเม้นต่างๆ จับให้ไปเกณฑ์ทหารก็ไม่กล้าไปน่ะ เกณฑ์ทหารไม่รู้กี่ปี กองทัพมีแสนยานุภาพ นอกจากการทำรัฐประหารมากแค่ไหน หรือเพียงแค่กินงบประมาณมหาศาลโดยทหารการเมืองไปวันๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรียนรด.ก็รอดแล้ว มึงไม่เรียนเองจะโวยวายทำไม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คือใครจะตั้งคำถาม ใครจะไม่อยากเป็น ใครอยากเรียกร้องให้ยกเลิก มึงอยากทำอะไรมึงก็ไปทำดิวะ กูเรียน รด. กูรอดแล้ว กูจบนะ
"กาลครั้งหนึ่ง พวกเขาปกครองด้วยการให้เสรีภาพการบ่นบนเฟซบุ๊ก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ความโง่เป็นสิทธิ์นะครับ ไม่ใช่หน้าที่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องไลท์โนเวลเนี่ยกูสรุปให้เลย
มันเริ่มมาจากความกากของวงการนิยายญี่ปุ่น เพราะประเทศห่าเนี่ยแม่งนิยมแต่นิยายผ่านมือถือ(คนญี่ปุ่นพิมพ์ในมือถือเร็วมาก) เพราะฉะนั้นไอ้นิยายที่โผล่ๆ ดังๆ มาได้เนี่ย แม่งก็ไม่ใช่นิยายเลิศเลออะไรนักหรอก ทุกอย่างถูกรวบรัดให้ย่อยง่าย การดำเนินเรื่องมักเป็นบุคคลที่ 1 เพื่อให้ผู้อ่านเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้ง่ายมากขึ้นไปอีก กลายเป็นว่าทั้งเรื่องมีแต่ความคิดของตัวเอก กับบทสนทนา และแน่นอนว่านิยายประเภทนี้ส่วนใหญ่ไม่ยาวมาก สนพ. ก็คิดสิครับว่าถ้าแม่งพิมพ์รวดเดียวก็ไม่คุ้มสิวะ ซอยเล่มหาแดกดีกว่า (และมีหลายเรื่องที่ยังแต่งไม่จบ ประมาณนิยายติดท็อปเด็กดีล่ะ แต่งไม่จบก็เอามาขายก่อน แฟนคลับเยอะ ซอยเล่มขายกันยาวๆ) ยิ่งประกอบกับวัฒนธรรมอนิเมะของมันด้วย นิยายก็จะกลายมาเป็นแนวๆ กึ่งการ์ตูน (คำว่าการ์ตูนญี่ปุ่นนี่พูดกันโคตรยาวอีก เพราะแม่งมีหลายแนวเหลือเกิน แนวแฟนตาซี รักในโรงเรียน ฯลฯ) เอาเป็นว่านิยายพวกนี้แม่งคือการ์ตูนที่ไม่ค่อยมีภาพก็แล้วกัน
ก็ประมาณนี้ล่ะ สรุปว่าไลท์โนเวลก็คือการ์ตูนที่ไม่ค่อยมีภาพ แต่เอาตัวหนังสือมาใส่แทน และซอยเล่มเล็กๆ ขายตามการตลาดของสำนักพิมพ์ พวกคิโม่ยที่คลั่งไคล้วัฒนธรรมญี่ปุ่นก็จะออกมาอวยกันนักหนาว่านี่คือนิยายเหมือนกัน แต่จริงๆ มันไม่ใช่ไง ไอ้ห่า มึงจะเอาเศษกระดาษที่เขียนว่า "อ๊ะ" "โอ๊ย" "อะไรกันเนี่ย" "มะ- ไม่ได้ตั้งใจนะ" มาเปรียบเทียบกับนิยายดีๆ ได้ไงวะ
ส่วนไอ้คำว่า "เรื่องที่คุณคิดว่าเป็นไลท์โนเวล มันก็คือไลท์โนเวล แต่ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องเห็นด้วยเสมอไป" มันเสร่อว่ะ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าอะไรคือไลท์โนเวล อะไรไม่ใช่ มึงเอาแฮร์รี่ พอตเตอร์มาซอยเล่มทำเป็นไลท์โนเวลได้เหรอ LOTR ล่ะ ไอ้ไลท์โนเวลกากๆของมึงมันมีปัญญาเขียนบทบรรยายจริงจังได้อย่างเขาไหม แล้วไม่ต้องกระแดะหาตัวอย่าง 1 ใน 1000 มาให้กูดูนะ กูพูดถึงภาพรวมของเรื่องโว้ย
ข้อใดเจ็บปวดที่สุด
ก. โดนต่อย 1 หมัด
ข. โดนขโมยเงิน 1 พัน
ค. โดนบังคับดูหนังพจน์ อานนท์ 1 เรื่อง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้ได้ยินคำว่า "อย่างนี้แหละ เป็นลูกจ้างเค้ามันเหนื่อย ไม่เหมือนเจ้าของกิจการ" อยากจะบอกว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการแล้วคุณไม่เหนื่อย มันต้องมีอะไรผิดปกติอ่ะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไม่ได้เปนตุ๊ด แค่เปนรับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หลายคนชอบกินเค้ก Red Velvet แต่อาจไม่รู้ว่า เค้ก Red Velvet ในปัจจุบันนี้ แทบทั้งหมดเป็น Red Velvet แบบสังเคราะห์ทั้งนั้น หรือพูดแบบคอนเซอร์เวทีฟสลิ่มสน็อบก็ได้ว่าเป็นเค้ก Red Velvet ปลอมๆ
เค้ก Red Velvet สมัยก่อนโน้นๆๆ จะใช้ venegar หรือน้ำส้มสายชูมาทำปฏิกิริยากับโกโก้ ซึ่งในโกโก้จะมีสารที่เรียกว่า 'แอนโธไซยานิน' (Anthocyanin) อยู่ เจ้าสารตัวนี้แหละครับ ที่มีสีแดงสดๆ (มันคือตัวการทำให้ราสพ์เบอรี หรือกะหล่ำปลีสีแดง มีสีแดงสดๆ)
แต่แอนโธไซยานินนี่ มันจะแดงถ้าอยู่ในสภาวะที่เป็นกรดนะครับ (อันนี้คล้ายๆเรื่องกรดด่างกับอัญชันที่เราเรียนกันสมัยก่อน) ถ้ามันอยู่ในสภาวะที่เป็นเบส (หรือด่าง) มันจะเป็นสีน้ำตาล คือไม่แดงสด
ทีนี้เค้ก Red Velvet สมัยก่อน เขาจะใช้ Vinegar หรือไม่ก็ Buttermilk (หรือทั้งสองอย่าง) ซึ่งจะมีความเป็นกรดสูง ก็เลยทำให้แอนโธไซยานินเปล่งประกายความแดงออกมาได้ดี แล้วความเป็นกรดที่ไปทำปฏิกิริยากับ Baking Soda ก็จะทำให้ได้ฟองก๊าซดันขึ้นมา เนื้อเค้กเลยมีรูพรุนละเอียดๆ ผลก็คือได้เค้กแบบ Red Velvet จริงๆขึ้นมา
แต่ Red Velvet สมัยนี้ ทำแบบเดิมไม่ได้กันแล้ว เพราะว่ากรรมวิธีผลิตโกโก้ยุคใหม่ เขาใช้วิธีอัลคาไลน์ เพื่อทำให้โกโก้ไม่เป็นกรด จะได้มีสีน้ำตาลเข้มล้ำลึก ดู 'แพง' ผลลัพธ์ก็คือ เราทำเค้ก Red Velvet แบบเดิมไม่ได้ พวกเชฟในยุคหลังๆ (คือตั้งแต่ราวๆยุคสามศูนย์เป็นต้นมา) ก็เลยหันมาใส่ Beet Juice แทน แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ ยุคนี้คนก็ใส่สีผสมอาหารกันลงไปเพื่อให้มันแดง
สรุปก็คือ เค้ก Red Velvet ส่วนใหญ่ ไม่ได้แดงดั้งเดิมหรอกนะครับ แต่แดงแบบปรุงแต่ง ซึ่งก็ต้องบอกไว้ว่า ถ้าใครอยากกินก็ได้นะครับ ไม่มีปัญหาต้องมาเหยียดกันว่าไอ้นั่นถูกไอ้นั่นผิด แต่ก่อนกิน ถ้ารู้ที่มาของมันเสียหน่อยก็น่าจะช่วยให้อร่อยขึ้น (หรืออาจอร่อยน้อยลงก็แล้วแต่)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"กระบะสองตอนราคา 6 แสน ก็ ทาทา กับ โฟตอน ไง ..ก็ไม่เอาอีกนั่นแหละ ใช่มั้ย ก็มันไม่หล่อ คือ เงื่อนไขคนจนประเทศไทยเราเยอะไง คือรถต้องหล่อด้วยไง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตกต่ำ ย่ำเท้า อยู่กับที่
กี่ปี โดนขัง น้ำตาไหล
เกมส์แล้ว เกมส์อีก แก๊งค์ถอดใจ
คนดำ ไงเล่า ที่เล่ามา
ชายหนึ่ง ขอด้วย ช่วยเชื้อชาติ
ทุ่มเท เหงื่อปาด ขออาสา
สดรถเรือ ล่องมาจาก อาบูจา
เขามากู้ ศรัทธา ที่ฮาร์เล็ม
บัดดล ชาวแก๊งค์ แปรเปลี่ยน
เพราะมี ท่านเซียน ช่วยปรึกษา
เฮโรอีน โคเคน กัญชา
คนดำ สุขอุรา ค้าขายดี
บุกถล่ม เม็กซิกัน จำได้ไหม
ขยายถิ่น ออกไปไกล แสนสุขี
สันติบาล อำนวยทาง เราก็มี
เพราะลูกพี่ ซามูเอล บัญชาการ
พอพี่พลาด เข้าทาง บางพวก
โดนรุมจวก เลื่อยขา แทงหลัง
ได้ที ยัดของกลาง เพิ่มเป็นลัง
กลุ่มที่เริ่ม ใครกัน เรารู้ดี
ซามูเอล สร้างทีม มีระบบ
เคารพ ยอมรับ ทุกเฉดสี
ดำมาก ดำน้อย ดำกำลังดี
หวังของพี่ สร้างยุคทอง ของคนดำ
บัดนี้ ซามูเอล จำใจจาก
ต้องพลัดพราก เนื่องโดน สองจำหน่าย
ตัวกระผม พร้อมทุ่มเท ทุกแรงกาย
รวมแรงใจ สืบสาน ซามูเอล
....จามาล แบล๊คแมน....
4 เม.ย. 60
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"การที่ข่าวชิน ชินวุฒิ ออกมาให้สัมภาษณ์ขอบคุณการเป็นทหาร ในขณะที่ข่าวทหาร 10 นายไปก้มกราบแม่ของนายทหารที่ถูกซ้อมจนเสียชีวิต ก็เกิดขึ้นในวันเดียวกันนี่มัน..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"รีวิวสัมภาษณ์ทุนรัฐบาลเกาหลี (ภาคจบ) คำเตือน 3 หน้า A4++
หลังจากรู้ตัวว่าติดรอบสัมภาษณ์แล้ว วันต่อมาก็ได้อีเมลจากศูนย์การศึกษาเกาหลี โทรมาแสดงความยินดี พร้อมบอกว่า เอกสารกูยังไม่ครบ ยังขาดผลคะแนน IELTS ตัวจริง เขาบอกว่าตัวถ่ายเอกสารใช้ไม่ได้ และสูจิบัตรกูยังไม่ได้ให้กงสุลรับรอง และสุดท้ายคือขอจดหมายแนะนำตัวอีกฉบับละ 3 ชุดที่มีลายเซ็นอาจานทั้งหมดนี้ต้องส่งมาถึงสถานทูตในวันภายในวันศุกร์ก่อนวันสัมภาษณ์จริง (28 มีนา) หรือไม่ก็ถือมาวันสัมภาษณ์เลย ทั้งหมดนี้กูมีเวลาประมาณ 1 อาทิตย์เศษๆ นับจากได้วันที่ได้รับโทรศัพท์จาก จทน.ศูนย์การศึกษาในวันพฤหัสที่ 16 มหากาพย์การเตรียมเอกสารทุนจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
เตรียมเอกสาร
เริ่มจากคะแนน IELTS ก่อน เพราะเขาบอกจะเอาตัวจริง ซึ่งแม่งจะเอาตัวจริง แต่ถ้ายื่นตัวจริงไปแล้ว กูจะขอตัวจริงอีกไม่ได้ จทน.ศูนย์การศึกษาฯ บอกว่างั้นต้องมีตราประทับ true coppy จากกงสุล หรือสถาบันที่ออกผลคะแนนให้ กูก็ เออ โอเค งั้นเดี๋ยวเอาไปให้กงสุลทำพร้อมกับสูติบัตรและกัน ต่อมาจดหมายแนะนำตัว ฉบับแรกไม่มีปัญหา ส่วนฉบับที่สองซึ่งเป็นของอาจานคณะท่านหนึ่งน่าปวดหัวเล็กน้อย เพราะแกจะไปเกาหลีกลับ 25 นั่นหมยความว่ากูต้องถือไปวันสัมภาษณ์ ก็โอเค ไม่เป็นไร แต่ก็ถือว่าชิวเฉียด
วันจันทร์ที่ 20 เริ่มหาข้อมูลว่าการรับรองการแปลเอกสารมันต้องทำยังไงบ้าง จะโทรไปถามกงสุล แม่งก็ไม่มีใครรับสาย พบว่ามีหลายบริษัทมากที่รับแปล แบบ 1 วันได้รับเลย ราคาตกอยู่ที่พันกว่าบาทต่อฉบับ ปรึกษาเมียว่าจ้างเขาแปลเลยดีไหม เมียด่ากลับมาว่าใช้ตังสิ้นเปลือง ก็เออ เชื่อเมีย เพราะเราก็แปลมาเองแล้ว พอวันพุธก็หอบเอกสารไปที่กงสุลแจ้งวัฒนะ ขึ้นไปแผนกรับรองเอกสาร ตอนเดินผ่านเคาเตอร์รับแปลเอกสารของกงสุล ก็คิดว่า เอ๊ะ ให้เขาเช็คหน่อยดีป่ะวะ เผื่อว่าที่กุแปลมามันผิด แต่เห็นว่าตอนยื่นแม่งมีคนยื่นต่อแถวอยู่ตรงป้าย “ตรวจสอบเอกสาร” กูก็เออ วางใจ พอถึงคิวกู จทน. ก็ไล่ให้ไปถ่ายสูติบัตร (ฉบับภาษาไทย) มาใหม่ แล้วบอกว่าไม่ต้องเซ็นรับรองเอกสารถูกต้อง กูก็ยิ่งวางใจว่า เออ แสดงว่าแม่งตรวจจริง
พอถามว่าจะรับรองผลคะแนน IELTS จนท.บอก กงสุลไม่มีบริการนี้ อ่าวสัส กูโดนหลอก บอกกูต้องไปติดต่อกับสถาบันที่กูสอบเอง อ่าๆ เครๆ แล้วก็ถามว่าจะเอาด่วนไหม ถ้าด่วน 800 ได้บ่ายวันนั้นเลย ถ้าไม่ด่วน 400 บาท รอ 2 วันทำการนั่นคือวันศุกร์ อืม ไม่เป็นไรรอได้ แถมต้องกลับไปทำงานต่อด้วย สรุปวันนั้นโดนไป 800 บาท เพราะให้รับรองทั้งฉบับแปลและฉบับภาษาไทย
วันพฤหัส ไปติดต่อศูนย์สอบ IELTS โดนฟันอีก 550 บอกเป็นค่า EMS กูแบบ มึง ให้กูถือไปเองได้มะ เงินเดือนกูเพิ่งออกวันที่ 25 ฝากกับเมีย 5000 โดนค่าโน่นค่านี่ไปจนตอนนี้เหลือไม่ถึงหมื่นต้องใช้ถึงสิ้นเดือน แต่ จนท. ไม่เห็นใจ บอกจะส่งไปให้เอง เออ เรื่องของมึง
วันศุกร์ ไปกงสุลด้วยความลัลล้า เพื่อพบว่ากู “แปลผิด” แม่งเอาดินสอวงสูติบัรภาษาอังกฤษกูพร้อยไปหมด แล้วบอกให้ไปแก้มาตามนี้แล้วมายื่นใหม่ แต่รอบนี้ถ้ายื่นเช้าบ่ายได้เลย กูไม่อ่านด้วยซ้ำว่าแม่งให้กูแก้อะไร รีบวิ่งลงมาที่แผนกรับแปลเอกสาร แล้วยื่นให้เขา พนักงานบอก 300 บาทได้วันจันทร์ตอนบ่ายสอง อื้ม โดนอีกแล้วกู แต่ก็ต้องยอมป่ะวะ
(ต่อเม้นล่าง)
วันจันทร์ บ่ายสอง โทรไปหาฝ่ายแปลเอกสาร (แม่งให้เบอร์มือถือมา ไม่ต้องนั่งคุยกับ operator นับว่าเป็นความฉลาดที่สุดของหน่วยงานราชการไทย) แม่งบอก ยังไม่ลงมา ตอนบ่ายสามครึ่งให้โทรมาใหม่ ฮืมมมม ได้ๆ รอๆ บ่ายสามครึ่งโทรไปอีกรอบ บอกว่าได้แล้ว มารับได้เลย กูถามว่าออฟฟิสมึงปิดกี่โมง แม่งตอบ บ่ายสี่ แต่จะรอถึงสี่ครึ่ง แล้วกูอยู่ห้วยขวาง แล้วการจราจรที่ศูนย์ราชการช่วงเย็นนี่แม่งแจ้งมรณะชัดๆ กูก็เออ ไม่เป็นไร เด๋วพรุ่งนี้เช้าไปเอา เย็นวันนั้นต้องไปรับจดหมายแนะนำตัวจากอาจานที่เพิ่งกลับจากเกาหลี เลยชวนอาจานกินข้าวเย็นแถวๆ ม. บอกแกว่าจะเลี้ยงฟูจิ แต่เป้าหมายจริงๆ คือให้แกติวก่อนสัมพาด เรียกได้ว่าคุ้มค่าฟูจิพอสมควร เพราะอาจานแกไกด์ให้ทุกอย่าง ต้องตอบแนวไหน ถ้าถามเรื่องมหาลัยควรตอบยังไง โดนไป 700 บาท สำหรับค่าความรู้ที่ฟูจิ
พอกลับมาบ้าน เมียแนะนำให้ลองเอาชื่อแคนดิเดตไปเสิร์จเพราะ “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของ Big Data ก็คราวนี้ จากแคนดิเดท 14 คน กูเจอข้อมูล 13 คน มาจาก กต. 1 กระทรวงการคลัง 1 เด็กจบใหม่ ชนิดที่ว่าใส่ชุดนักศึกษามาสัมภาษณ์ 5 คน อาจานมหาลัย 3 คน (เป็น ป.เอก หมด) จทน.ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี 1 ทหาร 1 พบว่าแต่ละคนจะมีความเชื่อมโยงกับเกาหลีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าไม่ทำงานในองค์กรเกี่ยวกับเกาหลี เคยเรียนภาษาเกาหลี เป็นติ่งเกาหลี ก็เคยไปทำหน้าที่เกาหลีมา มีแต่พี่ทหาร แต่พี่แกเป็นคนเอาผลิตภัณฑ์ของศูนย์ศิลปาชีพบางไทร (ของ 902) ขึ้นมาขายออนไลน์ ถือว่าน่ากลัวไม่น้อย
วันอังคาร (วันสัมภาษณ์) ดิ่งไปเอาเอกสารที่กงสุลแต่เช้า ศิริรวมแล้วกูต้องไปกงสุล 3 รอบถ้วน แต่ละรอบค่ารถไม่ต่ำกว่า 200 บาท รอบไหนรีบ ต้องขึ้นแท็กซี่ ขึ้นทางด่วนก็บวกไปอีกเท่าตัว มาถึงสถานทูต เขาก็ให้นั่งรอในห้องรับรอง คนแม่งอยู่กันเต็มไปหมด แต่ทุกคนแม่งเงียบจนได้ยินเสียงคอมมเพรสเซอร์แอร์ และเขาจะเรียกไปที่ละ 4 คน ไอสี่คนนี้ก็ต้องไปนั่งรอหน้าห้องสัมพาดต่ออีกทีเพราะเขาสัมพาดทีละคน ใช้เวลาประมาณรอบละ 10-15 นาที ซึ่งกูได้เป็นเซ็ตสอง
ตอนเซ็ตกูโดนเรียกเข้าไป ก็มี จทน. สาวเกาหลีหน้าตาน่ารัก เดินมารับแล้วก็ถามว่า “ผุ้เกาหลีได๊ไหม่ก๊ะ” กูก็ส่ายหน้าหงึกๆ แต่อีกสามคนแม่งเสือกพยักหน้ากันหมด แล้วนางก็พูดภาษาเกาหลียาวๆ กูก็อึ้งดิ ส่วนอีกสามคนก็ “อ้าๆ ๆ ๆ” อ้า พ่องมึงดิ กุฟังไม่รู้เรื่อง พอนางพูดภาษาเกาหลีจนสาแก่ใจ นางก็หันมาคุยกับกู “ใช่เวลาปรามานคนละ 10 ถืง 15 นาที” อ่าวไอสัส แล้วทำไมมึงพูดไทย หรืออีกสามตัวที่เหลือมึงฟังไทยไม่รู้เรื่อง? ใจความหลักของนางก็คือ “ตอนเข้าห้องไป ให้แนะนำตัว ชื่อ งานที่ทำ และสถาบันที่จบ เหตุผลที่ต้องการสมัครทุนนี้ เพราะกรรมการจะไม่ถาม” อ่า โอเค เก็ต
ในห้องสัมพาด (นี่คือคำถามจริง และคำตอบของกู ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ)
อ่าใช่ๆ กูต้องเริ่มก่อนสินะ ก็ว่าไป ชื่อไร จบไร ตอนนี้เป็นนักข่าว ส่วนเหตุผลที่สมัครเพราะ สัมผัสได้ว่าสื่อไทยแม่งเหี้ยมาก ยิ่งพอในยุคดิจิตอล ความเหี่ยก็ยิ่งทวีคูณ เลยอยากรู้ว่าเกาหลีในฐานะที่มีอุตสาหกรรมสื่อออนไลน์ที่โตมาก รับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร เหตุผลที่สองคือ กูมีความฝันจะจรรโลงประชาธิปไตยให้กับประเทศนี้ อยากไปเรียนรู้ว่าเกาหลีทำยังไงถึงสามารถสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เข้มแข็งได้ เพราะนับแต่อดีตจนปัจจุบัน ทั้งเอกราช การเลือกตั้ง การล้มของระบอบทหาร ทุกอย่างเกิดจากการลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวของประชาชนเกาหลีทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในฐานะที่กูจบรัฐศาสตร์มา กุพบว่าเกาหลีน่าสนใจในเรื่องวัฒนธรรมการรับผิด มีการตั้ง Truth and reconciliation commission ในปี 2005 เพื่อสอบสวน และชำระประวัติศาสตร์ ภายในเวลา 5 ปี แม่งเขียนรายงานเกือบ 30 เหตุการณ์ ไล่ย้อนไปตั้งแต่ยุคที่ญี่ปุ่นปกครอง ผิดกับไทย มีเหตุการณ์นองเลือดกี่ครั้ง ก็นิรโทษกรรม ไม่มีใครเคยถูกดำเนินคดี กูคิดว่านี่ไม่ใช่รากฐานของประชาธิปไตย หากเอาแต่ลืมเรื่องราวในอดีต และคิดแต่จะก้าวไปข้างหน้า สุดท้ายความรุนแรงก็ต้องเกิดขึ้นอีก
(ต่อเม้นล่าง)
“คุณสมบัติอะไรที่ทำให้คุณเป็น outstanding candidate”
กูคาดไว้แล้วว่ากูต้องโดนคำถามแนวๆ นี้ กูเลยลองเอาชื่อแคนดิเดทคนอื่นๆ ไปเสิจในกูเกิ้ล แล้วพบว่า 1 กูเป็นคนเดียวที่ทำงานด้านสื่อ แปลว่ากูสามารถเสริมศักยภาพของสื่อเกาหลีในประเทศไทยได้ ทุกวันนี้คนเสพสื่อเกาหลีจริง แต่แม่งเสพกันแต่เคป๊อบ โอ้ปป้า ซีรี่ ไม่มีใครสนใจข่าวสารหรือ hard content เลย ซึ่งกูสามารถเข้ามาช่วยเสริมตรงนี้ได้ ทำให้คนไทยสามารถติดตามข่าวสาร และสถานการณ์ในเกาหลีได้อย่างทันเหตุการณ์มากขึ้น และ 2 คือกูเป็น NGO คนเดียวในหมู่แคนดิเดท ที่ทำงานด้านการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ฉะนั้นการที่มึงให้ทุนก็จึงเท่ากับเกาหลีสนับสนุนประชาธิปไตยของไทยด้วย
“คุณกำลังจะบอกว่าถ้าเราให้ทุนคุณ เท่ากับการส่งเสริมประชาธิปไตยของไทยหรอ?”
ใช่ครับ
“แปลว่าคุณอยากจะกลับมาทำงานที่เดิม”
ใช่ผมหวังอย่างนั้น
“ทำไมถึงเลือกแต่มหาวิทยาลัย Yonsei”
มีสามเหตุผล 1 กูอ่านหลักสูตรของมหาลัยนี้ แม่งละเอียดบอก ระบุทุกอย่าง ทำให้กูรู้ว่ากูจะไปเรียนอะไร ต่างจากมหาลัยอื่นที่หลักสูตรสังคมศาสตร์แม่งไม่อธิบายเหี้ยอะไรเลย 2 ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยเพราะ Yonsei แม่งติดอันดับ top 3 ของเกาหลี หรือ SKY (SNU, KU และ Yonsei) แต่ที่สำคัญที่สุดคือข้อ 3 ในอดีต ขบวนการนักศึกษาของมหาลัยนี้มีส่วนอย่างมากในการเรียกร้องประชาธิปไตยของเกาหลีมาก อย่างเหตุการณ์ที่มีนักศึกษา Yonsei ถูกซ้อมจนตายในสมัย Chum Doo Hwan สุดท้ายเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การสิ้นสุดของระบอบเผด็จการทหาร และการเลือกตั้งอย่างเสรี มหาลัยที่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ต้องมีความเชื่อมั่นใจหลักการประชาธิปไตยที่เข้มข้นมาก
“แล้วจะไปเรียนอะไร ด้านสื่อ หรือการเมือง”
จริงๆ ก็สนใจทุกอย่างแหละ อย่างที่บอกกูอยากศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองของคนเกาหลี ซึ่งมันเป็นผลผลิตจากระบบการศึกษา สื่อ ระบบการเมือง วัฒนธรรมร่วมสมัย แต่แน่นอนว่าเรื่องสื่อกับการเมืองก็เป็นประเด็นหลักที่กูสนใจศึกษา
“ไม่รู้ภาษาเกาหลีเลยหนิ คิดว่าจะเป็นปัญหาไหม”
กูเป็นคนช่างพูด (พูดมากนั่นแหละ) กูคิดว่ากูต้องผลักดันตัวให้สื่อสารกับคนรอบตัวกูให้ได้ อีกอย่างทุนนี้จะให้กูเรียนภาษาก่อน 1 ปีเต็ม ซึ่งกูว่าแม่งเพียงพอให้กูสามารถเรียนจนอยู่ในระดับที่เอาตัวรอดได้ ใช้ชีวิตประจำวันได้
“คิดยังไงกับภาษาเกาหลี”
(เชี่ยยากหว่ะข้อนี้ ที่อยากกตอบคือ แม่งเป็นภาษาที่มีความโฉงฉ่างเหมือนจีน และมีความงุงิน่ารำคาญเหมือนญี่ปุ่น) เออ เท่าที่ผมรู้นี้ โครงสร้างภาษาของเกาหลีมีความใกล้เคียงกับไทย คือมีสระ มีวรรณยุกต์ กูเลยคิดว่าไม่น่าจะเรียนยาก
“คุณเปลี่ยนมหาลัยหรอ ในเอกสาร มีอยู่จุดหนึ่งที่คุณเขียนว่าอยากไปเรียนที่ Dongguk University”
(เชี่ย ความโป๊ะ ความพัง ความสะเพร่า) เออครับ คือชื่อหลักสูตร political communication มันน่าเรียนหน่าครับ แต่เสิจไปเสิจมา แม่งมีแต่หลักสูตรภาษาเกาหลี ก็เลยเปลี่ยนมา Yonsei ดีกว่า ขอโทษสำหรับข้อผิดพลาด
“ขอบคุณครับ”
อ่าวเห้ย เสร็จแล้วเรอะ คือกูเตรียมเรื่องมาพูดเยอะมาก ประมาณ 2 หน้ากระดาษ พูดไปได้ไม่ถึงครึ่งเลย ความรู้สึกแรกหลังออกจากห้องสอบคือ รู้สึกว่ากูเร็วกว่าคนอื่นๆ คือก็ไม่ได้จับเวลาเป็นเรื่องเป็นราวหรอก แต่รู้สึกว่าแม่งเร็วกว่าคนอื่นๆ แล้วก็นั่นแหละ ตกรอบครับ
ถามว่าเสียใจไหม ก็เสียใจแหละ แต่ที่เสียมากกว่า คือเสียดายตัง T_T แต่ก็ถือซะว่าเป็นประสบการณ์ พอมานั่งทบทวนว่าที่ตอบไปมันใช้ได้ไหม ก็พบว่า เออ จริงๆ มันก็น่าจะตอบได้ดีกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ซือหม่าอี้เคยกล่าวไว้ “คนทำ สวรรค์ลิขิต” หากทำดีที่สุดแล้ว ก็จงปล่อยให้มันเป็นไป หากสำเร็จก็ดีใจกับมัน และคิดว่าเป็นเพราะความสามารถของตัวเอง แต่หากไม่ ก็โทษซะว่าสวรรค์ยังไม่เป็นใจ #เทียนลี่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เดอะเฟสมาถึงจุดที่ต้องเดินแบบเป็นพรีเซนเตอร์ผ้าอนามัยกลิ่นดอกซากุระแล้วครับ คอนเส็ปคือจิ๋มหอม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ความสุขจากการให้
**********************
วันนี้เป็นวันหยุด วันแห่งความสุขของทุกคน
ผมขอให้ความเห็นประการหนึ่งเผื่อทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม
ผมมีความเชื่อว่าการให้คือความสุข
เวลาว่างผมมักจะไปที่สวนสาธารณะหรือตามสนามเด็กเล่น หาม้านั่งมุมดีๆนั่งผ่อนคลาย เวลาเด็กๆวิ่งผ่านมาใกล้ๆ ผมก็จะยื่นพันลำให้คนละมวน
ถ้าพวกเขาถามว่า ให้เขาทำไม
คำตอบของผมคือ ผมสอนการให้เพื่อให้พวกเขารู้จักการแบ่งปัน
ให้แล้วมีความสุขทันทีครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำไมวงการการ์ตูน,เกม,อนิเมะญี่ปุ่นถึงโตกว่าไทย
ทั้งที่ไอ้เรื่องที่ผู้ใหญ่มองการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็กๆ ที่ญี่ปุ่นก็มีเหมือนเมืองไทย
แต่ทางโน้นเขาแก้ด้วยการทำให้มันมีคุณค่า มีราคา ทำเงินได้
ส่วนเมืองไทย เวลาผู้ใหญ่บอกว่าการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็กๆที ก็มีแต่เกรียนวัยเห่อออกมาดิ้นพราดๆ ตั้งกระทู้ด่าผู้ใหญ่เป็นไดโนเสาร์จนหนำใจ
แล้วก็กลับไปโหลดของฟรีมาดู
ทุ้ย!!!
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
"ได้ยินข่าวแว่วๆ จากวงใน กต. มาว่า ปีนี้คัดเด็กรอบสุดท้ายออก2คน เนื่องจากไปตรวจในเฟซบุ๊กแล้วเห็นว่าคนหนึ่งเป็น LGBT อย่างเปิดเผย (เป็นตุ๊ด) ส่วนอีกคนหนึ่ง (ผู้หญิง) ถ่ายรูปชุดบิกินี่ลงเฟซบุ๊ก ถือว่าไม่เหมาะสมกับภาพลักษณ์กระทรวงต่างประเทศ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Sinkhole Effect : เมื่อการแข่งขันสูงขึ้นและเร็วขึ้น ... ผู้เล่นเดิมที่ครองตลาดอยู่ก่อนหน้านี้ทำท่าจะสู้ผู้เล่นใหม่ไม่ไหว ... เลยใช้วิธีควบรวมกิจการให้ใหญ่ขึ้นจนคิดไปว่าล้มไม่ได้ ... แล้วแอบเข้าทาง Regulator ให้ช่วยออกกฎประหลาด ๆ เพื่อควบคุมผู้เล่นรายอื่นไม่ให้รุกตลาดได้เร็วกว่าตัวเองจะตามทัน ... ในขณะที่พยายามแย่งชิงเค้กกันด้วยโปรโมชั่น ... สุดท้ายบีบออกมาทางผู้บริโภคที่ดูเหมือนจะจ่ายถูกแต่จริง ๆ แล้วมีรายละเอียดที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่คุณภาพของการบริการแย่ลงไปทุกที ... บทความนี้พูดถึงเส้นทางของธุรกิจอย่าง United Airlines แต่อ่านดูแล้วพวกเราน่าจะคุ้นกันมากเลยในหลายอุตสาหกรรมของบ้านเรา
.
กรณีล่าสุดที่เอาเจ้าหน้าที่มาลากผู้โดยสารลงจากเครื่องเพราะ Overbooking ประกาศให้ผู้โดยสารสละที่นั่งเพื่อแลกกับห้องพักชดเชยแล้วไม่มีใครยอมเสียสละที่นั่ง เลยสุ่มเลือกผู้โดยสารผู้โชคร้าย พอเขาไม่ยอมลงก็ลากเขาลงไปนี่มันย้อนกลับไปให้เห็นกระบวนการนี้เลย ... ถ้าไม่แก้ให้ดีมีสิทธิ์ที่จะถึงกาลอวสานของสายการบินนี้
ข่าวนี้ ทำให้มองเห็นอนาคตของพวกดาราดังๆในปัจจุบันหลายๆคนได้เลย สมัยโน้น วรุฒ นี่ดังประมาณ เคนภูภูมิ หมากปริญ บอยปกรณ์ โฬม โป๊ป เลยนะมึง
ปัญหาคือ สังคมไทยบ้าเด็ก ใครอายุเกิน 30 มักหลุดจากบทพระเอกหมด รายได้หดหาย หนี้สินที่สร้างไว้สมัยดังๆ ก็วนกลับมาเล่นงานจนหมดตัว
นอกจากต้องดังมากจริงๆถึงจะยังเป็นพระเอกต่อได้ เช่น ป๋อ ติ๊ก เคลลี่ (เอาจริงๆ ป๋อ ติ๊ก เคลลี่ ก็เริ่มไม่ดังเท่าเมื่อก่อนแล้ว)
แล้วนักวิจารณ์หนังก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า
"ดูก่อน พจน์ อานนท์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หาวิธีคัมแบ๊คโดยให้เล่นตัวละครที่มีบทรุนแรงเช่นคุณสดมภ์
"หน้าหนึ่งไทยรัฐวันนี้ไม่มีข่าวแก้ กรณีทหารเปิดเผยข้อมูลเท็จ ไผ่ ดาวดิน หนีทหารมาหลายปี แม้ว่าพ่อแม่จะมีเอกสารการจบหลักศึกษานักศึกษาวิชาทหาร รด. ปี 3 พร้อมกับใบประกาศเกียรติคุณ ซึ่งระบุว่า สิบเอกจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ได้ผ่านการถูกเรียกตัวไปรับใช้ชาติ ในฐานะทหารกองหนุน ด้วยก็ตาม
เพราะอะไร ถึงไม่แก้ เปลืองหน้ากระดาษขนาดนั้นเลยเหรอ หรือมีคนห้าม
กล้าๆ หน่อยเถอะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เจ้าแม่กุหลาบกราบส้วม
#มิตรสหายท่อนหนึ่ง
ในฟีดมี 95% บอกว่าคนโดนหลอกซื้อทัวร์ญี่ปุ่นโง่ มีแต่ 5% ที่ด่าคนหลอกขายทัวร์ว่าเลว
มนุษย์ไทยควรจะเข้าใจจิตใจและความหวังของคนจนมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทุกคนมีแต่จะจนลงทุกวัน
และที่น่าเศร้าจากเรื่องนี้คือ ความเชื่อใจมันหายากขึ้นทุกวัน การเล่นกับความหวังของคนมันแย่นะ
มันจะไม่จนลงได้ไงก็แม่งมีแต่หวังรวยทางลัดกันแบบพวกโง่นี้มากขึ้นเรื่อยๆ
นักวิชาการหัวก้าวหน้าไทยไม่ค่อยอยากให้เด็กไทยฉลาดเพราะกลัวจะเด็กไทยจะเป็นฟาสซิสต์ 5555555555555555555555555555555
HIV ปกติมีโอกาสติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดโดยไม่ได้มีการป้องกัน 4-8 ต่อเพศสัมพันธ์หมื่นครั้ง หรือประมาณ 0.04-0.08% (Patel P, et. al, 2014)
>>284
เท่าที่อ่านมานะ ค่าที่ได้งานวิจัยเขาตีพิมพ์มาอ่ะ มันเป็นค่าความเสี่ยงเฉลี่ย หรือค่าความน่าจะเป็นนั่นแหละ
จริงๆมันใช้ค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่เพื่อที่จะให้คนเข้าใจง่ายเลยคูณหมื่นให้ตัวเลยมันกลม อย่าง 4-8/หมื่นครั้ง กับ 0.04%มันก็ให้ความรู้สึกต่างกันอยู่
คราวนี้พอค่าแม่งเป็นความน่าจะเป็นเนี่ย เปอร์เซนต์ที่เห็นมันจะใช้ได้แค่กับการสุ่มครั้งเดียว
พอจะคิดเปอร์เซ็นจริงๆ เขาจะคิดโอกาสการสุ่มเจอหนึ่งครั้ง จากการสุ่มทั้งหมด โดยใช้สมการ
โอกาสการสุ่มเจอหนึ่งครั้ง จากการสุ่มทั้งหมด = 1-(โอการสุ่มไม่เจอ)^จำนวนครั้งในการสุ่ม
เย็ด 1 ครั้ง โอกาศไม่ติด 99.96% โอกาสติดอย่างน้อย 1 ครั้ง 0.04%
เย็ด 2 ครั้ง โอกาศไม่ติด 99.920016% โอกาสติดอย่างน้อย 1 ครั้ง 0.079984%
เย็ด 3 ครั้ง โอกาศไม่ติด 99.880048% โอกาสติดอย่างน้อย 1 ครั้ง 0.119952%
....
เย็ด 100 ครั้ง โอกาศไม่ติด 96.0781751% โอกาสติดอย่างน้อย 1 ครั้ง 3.9218249%
....
เย็ด 1000 ครั้ง โอกาศไม่ติด 67.0266408% โอกาสติดอย่างน้อย 1 ครั้ง 32.9733592%
...
เย็ด 2000 ครั้ง โอกาศไม่ติด 44.9257058% โอกาสติดอย่างน้อย 1 ครั้ง 55.0742942%
...
เย็ด 10000 ครั้ง โอกาศไม่ติด 1.8300988% โอกาสติดอย่างน้อย 1 ครั้ง 98.1699012%
ทั้งนี้พูดเรื่องความน่าจะเป็นแม่งก็อยู่ก็ดวงล้วนๆ ดวงดี สุ่ม10000ครั้งแม่งก็ไม่ติด
เอ่อ ... ถ้าเป็นเรื่องจริงตามที่เล่ามา คุณยังกลัวว่าจะไม่ติดอีกเหรอครับ ผมว่าไม่ต้องตรวจแล้วแหล่ะ น่าจะติดตั้งแต่คนที่ 10 แล้ว เรื่องจำนวนคู่นอนของคุณ จะจริงหรือเท็จก็ไม่สำคัญ แต่ผมจะบอกความรู้ไว้ให้ล่ะกัน เพื่อใครมาอ่านจะได้เป็นประโยชน์
โอกาสที่คุณจะติดเชื้อเอดส์จาก ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปมีมากกว่า ผู้หญิงขายบริการน่ะครับ เพราะผู้หญิงที่มานอนด้วยฟรี ๆ ไม่ว่าจะเจอใน รร ในมหาลัย หรือในผับ ล้วนแต่มีความเสี่ยงสูง เพราะพวกเธอไม่ได้ตรวจโรค และไม่ได้ระมัดระวังตัวกับเรื่องพวกนี้ แถมยังเปลี่ยนแฟน เปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ๆ คิดดูครับ ต่อให้เคยมีแฟนมาแค่ 1-2 คนแต่ถ้าเธอไม่ได้ป้องกัน ก็คือรับความเสี่ยงมาเต็ม ๆ ต่างจาก ผู้หญิงขายบริการ ที่ต้องบังคับลูกค้าใส่ถุงยาง เรียกว่า ผ่านมา 100 แต่ป้องกันทั้ง 100 และพวกเธอก็ต้องทำการตรวจเลือดและ เอาผลตรวจส่งให้ร้านทุกเดือนเพื่อยืนยัน ความปลอดภัย เพราะร้านค้าจะเสียหายมากถ้าลูกค้าติดเอดส์จากสาว ๆ ที่ร้านไป เรียกว่า มีการ คิวซี มาแล้วในระดับพอสมควร มันอาจจะฟังดูแปลกที่ กลายเป็นว่า ผู้ชายที่นอนกับ หญิงขายบริการกลับมีความเสี่ยงที่จะติดเอสด์ น้อยกว่า ผู้ชายที่นอนกับผู้หญิงธรรมดา ที่เปลี่ยนแฟนบ่อย ๆ แต่มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ หวังว่าที่ผมบอกคงมีประโยชน์กับคนที่ได้อ่านบ้างน่ะครับ จะได้ระวังตัวกันถูก
Me : Guess what United Airline's hobby
Doctor : Beats me
Me : Yes
Doctor : oh
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สมัยเรียนมหาลัย (Univ. of Tsukuba, ญี่ปุ่น) มีวิชาชื่อประมาณว่า Software Techniques (ソフトウェア技法 -- จริงๆ คือประมาณว่า Software Design & Construction Techniques) สอนโดยอาจารย์ที่มากประสบการณ์ที่สุดในคณะคนหนึ่ง (Prof. Ida)
แล้ววิชานั้นสอนโดยใช้ภาษา Scheme (เป็น Dialect หนึ่งของ Lisp ... ที่ออกแบบภาษาและเครื่องมือเอาไว้ใช้สำหรับสอนโดยเฉพาะ -- ในขณะที่พวก Clojure เอาไว้ใช้ทำงานจริงมากกว่า) และใช้หนังสือเล่มนี้เป็นหลัก
"How to Design Programs : An Introduction to Programming & Computing" มีให้อ่านออนไลน์ทั้งเล่มที่ http://www.htdp.org
สมัยนั้นถึงจะบ้า Functional Programming อยู่พอควร (ที่มหาลัยมีสอน FP ใช้ภาษา ML เป็นวิชาคู่กับ Discrete Structures ... เรียกว่าเนื้อหาค่อนข้างจะ mirror กันอยู่ ไปเรียนทฤษฎีและ math ใน DS แล้วก็มาเขียนใน FP ... แล้วส่วนตัวก็บ้า Haskell กับเพื่อนๆ ก๊วนที่สนิทกัน ถึงขนาดไปเขียน Haskell-Like List Comprehension ใช้เองใน Ruby, Python) แต่จริงๆ ก็ยังไม่เก็ทเท่าไหร่ ว่าทำไมวิชา Software Design/Construction Techniques ถึงใช้ Scheme
เพราะวันนั้น (ด้วยความด้อยประสบการณ์) เวลาคิดถึงพวก Software Design จะคิดถึงพวก Design Patterns, Design for Large Scale OOP อะไรพวกนี้มากกว่า ....
วันนั้นถ้าเป็นบ้านเรา นี่คงจะโดนสังคมประนามไปแล้ว เรียน Scheme ไปแล้ว จะไปทำงานอะไรวะ ไม่เห็นมีที่ไหนใช้เลย (จริงๆ ก็คงโดนตั้งแต่การเรียนที่ไม่เน้น industrial tools แล้ว .... มหาลัยบ้าอะไร ไม่สอน Java ไม่สนใจ C++ ไม่สอน SQL server ไม่มีใครพูดถึง AppServ, WAMP/LAMP Stack ฯลฯ)
แต่วันนี้บอกตรงๆ เลย อยากกลับไปกราบอาจารย์มากจริงๆ ที่สอนเรื่องพวกนี้ให้สมัยเรียน เพราะว่ามันมีผลมหาศาลมากเวลาคิด Software Architecture Patterns สมัยใหม่ ....
คือวันหนึ่งวันนี้โลกของ Imperative Language มันตาม Functional ทันในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะในแง่ของ Abstraction Flexibility, Modularity, Data/Value-Orientation, Interface-Oriented Binding ฯลฯ ในขณะที่ Functional มันก็ตาม Imperative Language ทันในแง่ของ Performances และ Compatibility ผ่าน Runtime ต่างๆ (ก็แหงที่มันจะลู่เข้าหากันแบบนี้) ประกอบกับเรื่องพวก Type Inference & Type System ที่ฉลาดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ..... ทำให้ Old-Fashions Design Patterns มัน outdated ไปมากขึ้นเรื่อยๆ (เพราะมันถูกสร้างมาแก้ปัญหา deficiency ของภาษาโปรแกรมโบราณทั้งหลาย) .....
ความรู้เก่าสมัยเรียนปริญญาตรี กับวิชาพวกนี้ นี่ได้ใช้เกือบหมดเลย .... และจะว่าไป มันทำให้ Software Design ใกล้เคียงกับ Mathematical Thinking มากขึ้นเยอะ
สงกรานต์ประเพณีไร้สาระ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผู้หญิงที่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองฉลาด เธอจะชวนถกเภียง ควงเราแล้วพยายามสอนเรา และนำเสนอคนอื่น ๆ ว่าเธอฉลาด ... ส่วนผู้หญิงที่ฉลาดจริง ๆ เธอจะควงเรา แล้วเอาตังค์เรา โดยไม่ต้องพูดอัลไลมากความ อ่ะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เห็นคนอัพสเตตัสจำนวนมากบอกว่า FF8 สนุกมาก"
.
"ในใจก็คิดว่า อีพวกเด๋อ เพิ่งเคยเล่นกันหรอ ที่บ้านไม่มี Ps1 ใช่ไหม ไม่ได้รับรู้ความเจ๋งของ Go talk to the wall"
.
"ก่อนจะสำเหนียกตัวเองได้ว่า อีเด๋อ มึงน่ะแหละ เขาหมายถึง Fast 8"
.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Fast 7 นัยตาเมเทโอ ลาก่อยไบรริธ
Fast 8 ถ้าไซเฟอร์ย้ายข้าง
Fast 9 คงเล่นมุขพาเจ้าหญิงหนี
พวกปากดีแต่ทำไม่ได้แม่งมีอยู่ทุกที่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถึงน้อง เก้ง กวาง ทุกคน
ถ้าติดทหาร 6 เดือนแรกช่วงฝึก ช่วงเป็นทหารใหม่ ห้ามแตกสาว ห้ามทำตัวเด่น ทหารไม่ใช่การ "เก็บตัวนางงาม" เขาไม่ต้องการ "ตัวเก็ง" ต้องอดเปรี้ยว ไว้กินหวาน มองได้ผู้ชาย อยากกินคนไหน "ต้องจองไว้ในใจ" ช่วงอาบน้ำก็จำรูปพรรณสัณฐานไว้ให้ดี
จำไว้ว่าผู้ชายหลายร้อยคนมาก
หลัง 6 เดือนไปแล้ว จะมีทหารใหม่มา เราก็เป็นทหารเก่าแล้ว ช่วงนั้นแกรนด์โอเพ่นนิ่งได้เลย พี่บอกไว้เลยคืนละ 10 ไม้ยังน้อยไป
แต่อย่าไปวุ่นวายทหารใหม่หละ กินรุ่นเดียวกัน กินรุ่นพี่ กินผู้กอง กินจ่า แล้วแต่ความสามารถ ช่วงเป็นทหารเราจะสวยสะพรั่งมาก ทานอาหารตรงเวลา ออกกำลังกาย เหล้ายาไม่ได้แตะ ไม่สวยอย่างพี่ยังเลือกได้เลย สำคัญสุดต้องป้องกันตัวเอง ถุงยางไปขอจาก "จ่ากอง" ได้ตลอด
เป็นทหารไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด อยู่ให้เป็น อย่าทำตัวเด่น ไหลตามน้ำ กินชายแต่พองาม อย่ามูมมาม และสำคัญสุด อย่าเลือกใครเป็นผัวเพราะจะปิดโอกาสตัวเอง
ท่องไว้ "เราเกิดมาเพื่อผู้ชายทุกคน"
พี่เพลียกับหัวโปกแต่งหญิงไปเกณฑ์ทหาร
สวยตั้งแต่ยังไม่จับใบดำ ใบแดง ลองติดเข้าไป ชีวิตหนูไม่สวยนะคะ เงียบๆ รับรองฟาดเรียบคะ
#เชื่อพี่พี่เคยเป็นมา. ทอ2539/2 หาดใหญ่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อนาคตการที่ "อั้ม เนโกะ"จะได้กลับประเทศริบหรี่ลงไปอีกครั้งครับ เพราะประเทศนี้ "ประชาชนต้องหน้าใส" #ใครแกล้งน้อง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
» เรื่องราวของยอดคุณแม่ ผู้อยู่เบื้องหลัง ซายากะจัง
» จากสาวแสบประจำชั้น ม.5 ( แต่สติปัญญาเท่าชั้น ป.4 )
» สู่การสอบเข้า เคโอ - ม.เอกชนอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
» โดย #มิตรสหายท่านหนึ่ง
สมัยเรียนมัธยม ซายากะจังเป็นสาวสุดซ่าตัวแสบประจำคลาส
เธอเริ่มไปเรียนพิเศษกวดเข้ามหาวิทยาลัยตอน ม.5
เธอทำข้อสอบวัดทักษะความรู้ของโรงเรียนกวดวิชา
ผลสอบคือ... “ระดับความรู้เทียบเท่าชั้นป.4”
แต่ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง
เด็ก ม.5 สติปัญญา ป.4 คนนี้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยเคโอ (ม.เอกชนที่สอบเข้ายากที่สุดในญี่ปุ่น) ได้สำเร็จ
ผู้อยู่เบื้องหลังปาฏิหาริย์ของเธอ คือ ครูสอนพิเศษ และ “ก้าจัง”
วันนี้ ดิฉันขอเล่าถึง “ก้าจัง” ค่ะ
.
.
---------------------------------------------------------------------
.
.
“ก้าจัง(*)” หรือ คุณแม่ของซายากะจัง มีลูก 3 คน คือ ซายากะ...ลูกสาวคนโต ลูกสาวคนรอง และลูกชาย
ตอนเด็ก ๆ ซายากะจังโดนเพื่อนแกล้ง ...ก้าจังบุกไปถึงโรงเรียนเพื่อพบครู
คุณครูอธิบายว่า...
“การแกล้งกันในโรงเรียนประถมเป็นเรื่องปกติ โรงเรียนไหน ๆ ก็มี
เด็ก ๆ ย่านนี้ก็ซน ๆ กันทั้งนั้น เราไม่สามารถดูแลเด็กทุกคนได้หรอกครับ”
วันนั้น ก้าจังให้ลูกลาออกและย้ายโรงเรียนทันที
.
.
พอขึ้นชั้นมัธยม... ซายากะจังเริ่มแต่งหน้า ย้อมผม ใส่ชุดผิดระเบียบ ไม่เข้าเรียน
ครูบางคนถึงกับด่าเธอว่า “นักเรียนอย่างเธอมันคือขยะชัด ๆ”
ก้าจังโดนโรงเรียนเรียกไปพบอยู่บ่อย ๆ ...เธอก้มศีรษะขอโทษ
แต่ขณะเดียวกัน ก็พร่ำบอกครูว่า...
“ลูกดิฉันเป็นเด็กดีค่ะ โปรดอย่าตัดสินเด็กว่าเป็นเด็กดีหรือเลวแค่ที่เครื่องแบบ หรือคะแนนสอบสิคะ”
.
.
สถานการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้น ตอนที่ซายากะถูกครูจับได้ว่า สูบบุหรี่
ครูเรียกเธอมาพบที่ห้อง และขู่ว่า...
“ซายากะ...สารภาพมาซะดี ๆ มีใครไปสูบกับเธออีกบ้าง ถ้าเธอสารภาพ โรงเรียนจะลดโทษให้”
ซายากะปกป้องเพื่อนโดยการปิดปากเงียบ
พอก้าจังมาพบฝ่ายปกครอง เธอบอกทางโรงเรียนว่า...
“การให้เด็กนักเรียนขายเพื่อนตัวเอง เป็นนโยบายการศึกษาของทางโรงเรียนเหรอคะ
ถ้าอย่างนั้น ครูจะไล่ลูกดิฉันออกก็เชิญค่ะ แต่ดิฉันภูมิใจในตัวลูกสาวดิฉันมาก”
.
.
คนในสังคมอาจมองก้าจังว่า เป็นแม่ที่ “ตามใจลูกเหลือเกิน”
แต่ก้าจังมองว่าเธอจะทำทุกวิธีเพื่อให้ลูกรู้ว่า...
เธออยู่ข้าง ๆ พวกเขา พร้อมปกป้องพวกเขา
เวลาลูกทำดี เธอจะชมเสมอ ๆ ...เวลาลูกทำผิด เธอไม่ดุด่า
แต่จะค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ บอกให้เขารู้
แยกให้ออกระหว่าง "การเตือน" กับ "การดุด่าโดยใช้อารมณ์"
.
.
---------------------------------------------------------------------
.
.
• “กำเนิดก้าจัง”
.
ตอนเด็ก ๆ คุณแม่เลี้ยงก้าจังแบบเข้มงวดมาก
แม่อยากให้เธอเป็นกุลสตรี มารยาทดี ทำงานบ้านเก่ง
จะได้แต่งงานไปมีชีวิตดี ๆ มีความสุข
แม่ดุและบ่นก้าจังตลอดเวลา “ล้างจานไม่ได้เรื่อง ต้มผักแย่”
เธอรู้ว่าแม่อยากให้เธอได้ดี แต่เธอก็ทรมาน
เธอคิดเสมอ ๆ ว่า “ฉันมันเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เลย”
ความมั่นใจในตัวเองของเธอสลายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
นอกจากนี้ ตอนเด็ก ๆ ก้าจังเห็นแม่โดนพี่น้องมาขอเงินอยู่บ่อย ๆ
พี่สาวแม่ เรียนจบมหาลัยชื่อดัง หน้าตาสะสวย ได้แต่งงานกับคนรวย
แต่เธอใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จนทำให้สามีล้มละลาย
.
ส่วนน้องชายแม่...เคยเป็นนักเบสบอลตัวเอกของทีม และฝันอยากไปทีมชาติ
แต่พอล้มเหลว ก็กลายเป็นคนที่ไม่เอาการเอางานและติดการพนัน
“หน้าตาสะสวย” “เรียนจบม.ชื่อดัง” “ตำแหน่งดังๆ” ไม่ได้ทำให้คนมีความสุขเลย
.
.
เมื่อมีลูก เธอจึงอยากให้ลูกรักตัวเอง
ไม่ได้เกลียดตัวเองเหมือนที่เธอเคยเป็น
เธออยากให้ลูก ๆ เป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด
ไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งที่สุด หรือรวยที่สุด
เพราะฉะนั้น ถ้าลูกไม่ไปโรงเรียน เธอไม่โมโห ไม่บังคับให้เชื่อฟังครู
แต่จะถามเหตุผลว่า... ทำไมไม่อยากไป
ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป
พอเด็กรู้สึกสบายใจ เดี๋ยวเด็กก็เริ่มอยากไปเอง
ถึงตอนนั้น เธอก็จะชมและให้กำลังใจเขา คอยอยู่เคียงข้างเขา
.
.
---------------------------------------------------------------------
(มีต่อ)
---------------------------------------------------------------------
.
.
• “ลูกชายกับพ่อ”
.
คุณพ่อซายากะรับไม่ได้ที่ก้าจังเลี้ยงลูกสาวคนโตและคนรองแบบให้อิสระขนาดนี้
พ่อยื่นคำขาดว่า เธอดูลูกสาวของเธอไป ส่วนฉันจะดูแลลูกชายเอง
พ่อฝันอยากให้ลูกชายเป็นนักกีฬาเบสบอลทีมชาติ
แกฝึกลูกชายอย่างหนักตั้งแต่เล็ก ๆ ทุ่มเทฝึก สั่งสอน อบรม
พ่อไม่เคยซื้อของขวัญอะไรให้ลูกสาวเลย
แต่กลับซื้อรองเท้ากีฬาและถุงมือเบสบอลที่ดีที่สุดให้ลูกชาย
ความฝันและความทุ่มเทของพ่อ กลับกลายเป็นแรงกดดันอันหนักอึ้งบนไหล่ลูกชาย
สุดท้าย ตอนม.ปลาย ลูกชายรับแรงกดนั้นไม่ไหว
เขาเกลียดเบสบอลจนขอลาออกจากชมรม และไม่กลับไปอีกเลย
.
.
---------------------------------------------------------------------
.
.
• “ลูกสาวกับแม่”
.
พ่อเลี้ยงดูลูกชายแบบเข้มงวด แต่แม่กลับเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระ
วิธีหว่านพืชต่างกัน ผลที่งอกงามก็ต่างกัน
.
-- ตอนซายากะถูกครูจับเรื่องมีบุหรี่ --
เธอเห็นแม่ก้มหัวขอโทษทั้งน้ำตา แต่ก็ยังปกป้องเธอ และภูมิใจในเธอ
เธอรู้สึกผิดและตัดสินใจเลิกบุหรี่ตั้งแต่วันนั้น
.
-- ตอนที่ถูกพักการเรียน ก้าจังเดินมาถามว่า --
สนใจไปเรียนพิเศษสักนิดไหม ลองไปฟังก่อนนิดนึงก็ได้
ซายากะเชื่อว่าแม่อยู่เคียงข้างเธอเสมอ ทำเพื่อเธอเสมอ
จึงเชื่อฟังคำแนะนำของแม่ ....ยอมไปเรียน
(จนได้พบกับครูสอนพิเศษที่เปลี่ยนชีวิตเธอ ไว้จะเล่าให้ฟังค่ะ)
.
-- ตอนก้าจังไปขอเงินพ่อเพื่อส่งลูกเรียนพิเศษ --
พ่อของซายากะเห็นความเหลวไหลของลูกสาว
แถมมองว่า ภรรยาโดนครูสอนพิเศษหลอก
อย่างซายากะเหรอจะเข้าม.เคโอ ไม่มีทาง
แต่ก้าจังที่อยู่เคียงข้างลูกมาตลอด กลับเชื่อมั่นในตัวลูก
เมื่อคุณพ่อก็ปฏิเสธ ไม่ยอมออกเงินค่าเรียนพิเศษ
ก้าจังเลยไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินส่งลูกเรียนเอง
.
-- ตอนซายากะลองทำข้อสอบวัดผล แล้วได้คะแนนต่ำกว่าที่คิดไว้เยอะ
เธอคิดจะเลิกสอบเข้าม.เคโอ..มันเป็นไปไม่ได้ --
เมื่อก้าจังได้ยินลูกสาวพูด เธอบอกว่า “ถ้าเหนื่อย ก็พอเถอะลูก”
แต่ประโยคนั้น กลับทำให้ซายากะฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง
ซายากะยังจำซองใส่ปึกธนบัตรหนาเตอะที่เป็นค่าเรียนพิเศษได้
ธนบัตรปึกนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของแม่
ก้าจังทำเพื่อเธอมาตลอดชีวิต เธอก็เลยอยากทำเพื่อก้าจังบ้าง
อยากให้ก้าจังดีใจที่เธอสอบเข้าได้
...และเธอทำสำเร็จ
.
.
---------------------------------------------------------------------
.
.
• บทส่งท้าย
.
ในฐานะอาจารย์คนหนึ่ง ดิฉันคงไม่ค่อยปลื้มเด็กแบบซายากะจังเท่าไร
แต่งตัวทำผมแบบนั้น...แถมยังโดดเรียนอีก
แต่พอคิดดี ๆ ...ดิฉันก็เกิดคำถามกับตัวเอง
ใครที่ทำให้เด็กคนนี้ต่อต้านโรงเรียน?
ถ้าเด็กคนนี้เหลวไหลจริง แต่ทำไมเธอถึงกลับมาทุ่มเทอ่านหนังสือสอบ จนเข้ามหาลัยได้
ตอนติวสอบเข้า ซายากะตัดสินใจเลิกแต่งหน้า เลิกย้อมผม
เอากรรไกรมาตัดผมตัวเองให้สั้นกุด จะได้เอาเวลาไปดูหนังสือ ไม่ต้องแต่งตัวอีก
หน้าตาน่าเกลียด ๆ อย่างนี้ดีแล้ว จะได้ไม่กล้าไปเที่ยวกับเพื่อน
ไม่มีใครบอกให้เธอทำอย่างนั้น ...เด็กคนนี้คิดเอง ทำเอง
.
.
ความรักและวิธีสอนลูกแบบก้าจัง...
แม้จะสร้างเด็กที่ดูภายนอกเหมือนเป็นเด็กแบบไม่เอาถ่าน
แต่จริง ๆ แล้ว ก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจ อ่อนโยน และคิดถึงผู้อื่น โดยเฉพาะแม่
.
.
คำชม แทนที่ คำด่า
เหตุผล แทนที่ อารมณ์
การให้อิสระ แทนที่ การยัดเยียดความต้องการของพ่อแม่
ความเชื่อมั่นในตัวลูก
ความเชื่อมั่นในความรักที่ให้ลูก
และความเชื่อมั่นว่าลูกรับรู้ความรักตนเองได้
นี่คือวิธีการสอนลูกแบบก้าจังค่ะ
.
.
---------------------------------------------------------------------
.
.
• หมายเหตุ (*)
จริงๆ ซายากะเรียกคุณแม่ว่า “อ้าจัง” ไม่ใช่ “ก้าจัง”
แต่พอเขียนเป็นภาษาไทยแล้วดูตลก ไม่เหมือนชื่อเรียก เกรงว่า ผู้อ่านจะสับสน
จึงขออนุญาตใช้คำว่า “ก้าจัง” ซึ่งมาจากคำว่า “โอก้าซัง” ที่แปลว่า "แม่" ในบทความค่ะ
.
.
---------------------------------------------------------------------
.
.
Credit บทความ : #มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตอนทำบัญชีครัวเรือนสมัยมีรายรับเดือนละ 12,000 บาท เราสามารถออมเงินได้ปีละ 50,000 บาท เมื่อ 18 ปีที่แล้วถือว่าเป็นอะไรที่หืดขึ้นคอ เพราะกว่าจะรู้ว่าใช้ชีวิตในกรุงเทพยังไงให้อยู่รอด เสียค่าโง่และหลงไปกับสิ่งเร้ามากมาย
พอมาทำงานมากขึ้นๆ ก็เริ่มรู้ว่าจุดที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นก็คือเรื่องการทำบัญชีการเงินนี่แหละ ... เหมือนยาขมเลย เห็นตัวเลขก็เบื่อแล้ว
ตอนแรกก็ทำงูๆปลาๆค้นในอินเตอร์เน็ตก็ช่วยได้ระดับนึง แต่สุดท้ายตอนที่ตั้งใจจริงๆก็ 5 ปีที่แล้วที่ตัดสินใจไปลงคอร์สนึงของ NIDA ก่อนจะตั้งใจเรียนเต็มหลักสูตรอยู่ร่วมๆสองปี
ช่วงเกือบๆ 5 ปีที่ผ่านมา ได้ทำงานหลากหลาย ได้รับผิดชอบหลายอย่าง 1 ในสิ่งที่ได้เรียนไปด้วยทำไปด้วยคือการทำ Financial KPI ซึ่งที่ได้ทำแบบจริงๆจังตามแบบ report ของ EY เลยคือตอนเลิกงานช่วง 1 ทุ่มที่บิ๊กซี จะไปนั่งขลุกในห้องคุณรำภา CFO และก็ถามแกตรงๆว่าตรงนี้ใช้ยังไง แกก็จะมีมือขวา มือซ้าย มือกลาง เรียกเข้ามาตอบเรา มาสอนเรา มาอธิบายเรา ฝึกอยู่สัปดาห์ละ 3-4 วัน ออกจากห้องทำงานแกก็ 3 ทุ่ม ฝึกอยู่ 7 เดือนเต็มๆ ก่อนแกจะยุ่งๆทำเรื่องโปรเจคเฟรนไซด์
ตอนนั้นได้เอาความรู้มาลองเปลี่ยนวิธีการทำบัญชีครัวเรือนแบบปกติ มาเป็นแบบ Full Financial Projection Plan มีการทำ index ประเภทค่าใช้จ่ายทั้ง CAPEX (ต่อเติมบ้าน, ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ) กับ OPEX พวก ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร ฯลฯ สามารถออมเงินได้ปีละ 3 ล้านบาทเศษๆ ประมาณ 22% เพื่อเอาไปลงทุนให้มันงอกเงย รวมถึงใช้ท่องเที่ยวปีละ 4 ครั้ง ในต่างประเทศ
เกือบๆ 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการปรับปรุง Income ใหม่ นอกเหนือจากเงินที่ได้จากเงินเดือน, ดอกเบี้ย,ปันผล, ค่าที่ปรึกษาหรือค่าผลตอบแทนอื่นๆ โดยใส่พวก benefit ที่เป็นใบสอดมาพร้อมกับใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตเพิ่มไปด้วย พวกกิน 2 จ่าย 1, รวมไปถึงทำ alert ว่าร้านอะไร เหมาะกับบัตรเครดิตประเภทไหน แล้วต้องไปใช้บริการเมื่อไหร่ ไปผูกกับ Google Calendar แล้วพยายามตั้งยอดเตือนให้จ่ายบัตรเครดิต ไว้ไม่ให้มีการเสียดอกเบี้ยเลย เทียบกับช่วงปี 2011 - 2015 ที่ออมได้ 22% มาปี Q1-2016 - Q1-2017 ได้มาเป็น 31% แล้ว
เชื่อแล้วว่าการใช้บัตรเครดิตให้ถูกวิธี จะช่วยลดรายจ่ายได้จริงๆ
Q2-2017 นี้ จะ Plan Things ล่วงหน้าให้ได้ว่า จะกินอะไร จะซื้ออะไร (Estimate) ใน Q3-2017 เผื่อว่าจะช่วยเรื่อง ละ ลด เลิก กิเลส ได้ดีขึ้น
การทำบัญชี ไม่ใช่หมายถึงการไม่กิน ไม่ใช้ หรือ มาม่าไข่ต้ม ... แต่มันคือการเลือกใช้เงินกับบางสิ่ง เรายังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้
ตอนนี้ยังเดินตามเป้าเดิม
- เที่ยวต่างประเทศทุกๆ 3 เดือน + เที่ยวในประเทศทุกๆ 1 เดือน
- ซื้ออสังหาฯให้ได้ปีละ 1 แปลง (1 ไร่สำหรับจังหวัดใหญ่และปริมณฑล, 100 ตร.ว. สำหรับกทม.)
- ลงกองทุนให้ได้ปีละ 1 ล้านบาท
- ลงพันธบัตรให้ได้ปีละ 1 ล้านบาท
- ฝากประจำ 12 เดือนๆละ 50,000 บาท ต่อ บัญชี (ทำ 2 บัญชี)
- หุ้นแล้วแต่จังหวะ มีทุนเดิมอยู่ไม่เท่าไหร่ เน้นโยกเอา แต่จะใส่เพิ่มไม่เกิน 25% ของพอร์ตในแต่ละปี
เมื่อปีที่แล้วเวลากลางคืนก็มานั่งคิดว่า เดือนหน้าเรามีอะไรต้องซื้อ ต้องจ่าย
ตอนนี้พอตกกลางคืนต้องมานั่งคิดว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าเราจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
มันช่วยได้จริงๆนะ พอมีเวลาคิดล่วงหน้านานๆ สุดท้ายสมองมันจะถามซ้ำๆว่า "จำเป็นไหม"
เป็นเทคนิค ประหยัดรายจ่ายที่ดีเหมือนกัน
Tupac - Lyric king
Eazy-E- Gangsta King
Biggie - Flow king
Eminem - Rhyme king
Eazy-E- Gangsta King
Dr.Dre - Beat king
Snoop Dogg - Weed King
Rick Ross - Burger king
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ครืด….
เสียงเปิดประตู
เด็กสาวหัวทอง ใส่เสื้อเอวลอยกับกระโปรงสั้นจู๋
ทาเล็บสีสด ใส่น้ำหอมกลิ่นแรงสุดๆ
… เดินเข้ามาที่โรงเรียนกวดวิชาพร้อมคุณแม่
คุณแม่บอกว่า
“รูปลักษณ์ภายนอกอาจจะดูแรง แต่ลูกสาวเป็นเด็กดีมากค่ะ”
นั่นคือวันแรกที่ Tsubota Nobutaka (坪田信貴) ได้พบกับซายากะจัง
เด็กสาวสุดเปรี้ยวที่สอบได้คะแนนติดอันดับโหล่ของโรงเรียน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ซายากะถูกพักการเรียนตอนม. 5 เพราะทำผิดกฎโรงเรียน
แม่เห็นเธอว่างๆ เลยส่งมาเรียนพิเศษที่โรงเรียนของครู Tsubota
ครูให้เธอลองสอบวัดระดับดู เช่น
“คำว่า Strong แปลว่า อะไร”
“อือ…วันอาทิตย์?”
“คำว่า “พวกเขา” ภาษาอังกฤษคือคำว่า…?”
“Hi”
น้องคงจะอยากตอบคำว่า “ฮี” แต่สะกดผิด ….(คำตอบที่ถูกคือ “They”)
ผลการประเมิน….ซายากะมีผลการเรียนเท่ากับเด็กป.4
(ตอนที่เธออยู่ม. 5)
ถ้าเป็นติวเตอร์ คุณจะทำยังไงคะ?
คืนเงินคุณแม่แล้วเชิญหนูน้อยไปเรียนที่อื่นดีกว่า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แต่อาจารย์ Tsubota ไม่ได้คิดเช่นนั้น
เขาถามซายากะว่า อยากเข้ามหาลัยไหน
ซายากะตอบว่า ไม่รู้สิ
Tsubota แหย่ว่า “ลองเข้าโตไดไหม”
ซายากะตอบกลับมาว่า “ไม่เอาอ่ะ มีแต่ผู้ชายบ้าเรียนใส่แว่นหนาๆ”
“งั้น สอบเข้า Keio ไหม? เคยได้ยินคำว่า Keio Boy ไหม?”
“ว้ายยย หนุ่มหล่อเยอะนิ่ ซายากะกับเคโอ น่าสนๆ!”
กับเด็กม.5 ที่ยังแปลคำว่า “Strong” ไม่ออก
ครู Tsubota ยุให้เด็กคนนี้สอบเข้าม.เคโอ …. ม.เอกชนที่สอบเข้ายากที่สุดในญี่ปุ่น
ครูคิดอะไรอยู่…
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“อ่านเด็กให้ขาด”
เด็กแต่ละแบบ มีวิธีสอนและวิธีกระตุ้นไม่เหมือนกัน
นอกจากแบบทดสอบวัดระดับความรู้
ครู Tsubota ให้เด็กๆ ทุกคนทำแบบทดสอบจิตวิทยา (เอ็นเนียแกรม)
และแบ่งเด็กๆ เป็น 9 ประเภท
ซายากะจังเป็นประเภท “ผู้เสพย์สุข” มองโลกในแง่ดี
เวลาสอน ต้องขายฝัน โม้เป้าหมายสูงๆ ก็ไม่เป็นไร เด็กพวกนี้ไม่สงสัย
ครู Tsubota จึงบอกซายากะว่า
“ถ้าไป Keio เธอจะได้เจอคนเก๋ๆ คูลๆ นะ ได้อยู่โตเกียวด้วยนะ”
ซายากะผู้มองโลกในแง่ดีก็เริ่มฝันหวาน และมีแรงอ่านหนังสือสอบ
ในทางกลับกัน ถ้าเด็กเป็นประเภท Realistic
ขืนครูมานั่งขายฝันแบบนี้ เด็กคงดูถูก หาว่าครูไม่ได้เรื่องแน่ๆ
ถ้าเป็นเด็กประเภท Perfectionist
เด็กจะมีนิสัยชอบทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ละเอียดที่สุด
แต่สุดท้าย จะเครียดเพราะไม่เป็นไปตามแผน
ครูจึงไม่ตั้งเป้าหมายให้เด็กกลุ่มนี้
และพยายามเน้นเรื่องการจับเวลา และแบ่งเวลาตอบข้อสอบ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(มีต่อ)
“ไม่มีเด็กที่เกลียดความก้าวหน้าของตัวเอง”
ครู Tsubota ไม่ได้รู้สึกท้อใจหรือหนักใจเลย ที่เห็นซายากะสอบได้แค่ระดับป.4
ครูเชื่อว่า เด็กที่ทำคะแนนไม่ดี ไม่ใช่เด็กไม่เก่ง
เพียงแต่พวกเขาแค่ยังไม่ได้เรียน หรือไม่รู้เกี่ยวกับความรู้นั้นๆ เท่านั้น
สิ่งสำคัญ คือ จะทำอย่างไรให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่า
การเรียน ก็คือ การฝึกทำสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ ให้ทำได้
และสนุกไปกับ process นั้น
เด็กที่แยกคำว่า They กับ He ไม่ออก ไม่เข้าใจ
แต่ถ้าเขาเข้าใจความหมาย เข้าใจวิธีใช้ และใช้คำเหล่านั้นมาแต่งประโยคใหม่ๆได้
เขาย่อมทึ่งกับความสามารถกับตัวเอง
เขาย่อมอยากรู้ศัพท์คำใหม่ๆ อีก
นั่นคือ วิธีที่ Tsubota ทำให้เด็กหนีเรียนอย่างซายากะหันมาสนุกกับการเรียนได้
ก่อนอื่น ครูสอนโครงสร้างภาษา เอาให้พื้นฐานแน่น
จากนั้น ค่อยๆ ทำแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ฝึกให้ใช้พจนานุกรม
พอเริ่มอ่านบทความง่ายๆ เข้าใจ เด็กก็เริ่มสนุกและอยากอ่านอีก
ครูก็ป้อนบทความที่ยาวขึ้น ยากขึ้นให้อ่าน
เมื่อซายากะไปโรงเรียน เธอตกใจที่เธอทำข้อสอบที่โรงเรียนได้
ทั้งๆที่ผ่านมา ส่งกระดาษเปล่าตลอด
เธอเริ่มมั่นใจ และรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นเรื่อยๆ
และยิ่งอ่านหนังสือหนักขึ้น
Tsubota เชื่อว่า
ในโลกนี้ มีเด็กที่เกลียดการเรียนอยู่เยอะ
แต่ไม่มีเด็กคนไหนที่เกลียดความก้าวหน้าของตัวเอง
และ Tsubota เป็นผู้ชี้ทางให้เด็กเห็น “ความก้าวหน้า” ของตัวเอง
ตัวเองในวันนี้ ที่รู้มากกว่าตัวเองเมื่อวาน
ตัวเองในวันนี้ ที่รู้มากกว่าตัวเองในเดือนก่อนมากๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในบทความนี้ ดิฉันไม่ขอเขียนคำสรุปเกี่ยวกับวิธีสอนของครู Tsubota
แต่ขอแปลบางส่วนของจดหมายที่ซายากะเขียนถึงครู แทนนะคะ
“ก่อนที่จะได้เจอครู หนูเกลียดผู้ใหญ่รอบตัวมาก
ทุกคนมองว่าหนูเป็นเด็กไม่ได้เรื่อง
คนที่เข้าใจหนู มีแต่เพื่อนเท่านั้น เพื่อนสำคัญที่สุด
ถ้าไม่ได้เจอครู หนูคงไม่คิดจะเรียนต่อมหาลัย
คงหางานอะไรสักอย่างทำไปวันๆ แต่งงาน มีลูก
แต่พอเจอครู ครูรับที่หนูเป็นหนู
ครูชมหนูบ่อยๆ ครูไม่หน้าบึ้งใส่หนูเหมือนผู้ใหญ่คนอื่น
แถมครูยิ้มและหัวเราะบ่อยๆ ด้วย
ครูยังฟังเรื่องที่หนูเล่าโน่นเล่านี่ด้วย
ตอนที่หนูบอกคนรอบตัวว่าจะเข้าม. เคโอ
มีแต่คนบอกว่าหนูบ้าไปแล้ว
แต่ครูทำให้การเรียนที่เคโอ เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่าสนุกสำหรับหนู
ทำให้หนูเริ่มสนใจ ….
แตว่า พอลองตั้งใจเรียนจริงๆ
หนูตกใจมากว่า ทำไมหนูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรขนาดนี้
ขณะเดียวกัน การได้รู้ว่าเราไม่รู้อะไร มันเป็นเรื่องที่สนุกมากๆ
หนังสือที่อ่านสนุกกว่าที่คิด หนูยังรู้สึกเสียดายเลยว่า หนูกลับมาเรียนช้าไป
เวลาครูเล่าเรื่องการเมืองให้ฟัง
หนูกลับไปบ้าน ก็เริ่มฟังข่าวเข้าใจมากขึ้น
เวลาหนูอ่านการ์ตูนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ครูแนะนำ
หนูก็เริ่มฝันอยากเดินทางไปดูของจริงที่โน่นที่นี่
หนูเสียดายเวลาที่ผ่านมาเหลือเกิน เวลาที่หนูทำตัวไร้สาระ
โลกนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกตั้งเยอะนะคะ
(ย่อ)
ตอนที่หนูสอบเข้าเคโอได้ หนูสัมผัสได้ถึงอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากในตัวหนู
ครูบอกว่า “เธอจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น”
หนูยังจำคำนี้ได้ไม่ลืมเลยค่ะ
(ย่อ)
หนูได้เรียนรู้ว่า หากเราพยายามอะไรถึงที่สุด
พยายามจนเกือบตาย
ชีวิตมันเปลี่ยนไปจริงๆ
ชีวิต … ขึ้นอยุ่กับการที่เราเลือกเดินจริงๆ”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เกรียนอยู่ที่ใจใช่อายุ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อ่านข้างบนแล้วกูเผลอจินตนาการ
ซายากะ - สาวิกา สก้อยไทยบ้าดาราเกาหลี
แม่ - คุณหญิงกาก้า
อาจารย์สุโบตะ โนบุทากะ - อาจารย์คูโบต้า นอบทางการ
"ลองเข้าจุลาไหม"
"ว้าย มีแต่ลูกคนรวย มีเส้นสาย จนๆไร้วาสนาอย่างหนูไม่มีบุญหรอกค่ะ"
"งั้นธรรมกายศาสตร์ล่ะ"
"โคตรไกล แถมสมัยก่อนมีแต่ควายล้อมรอบมหาลัยใช่ไหมค่ะ"
"งั้นเข้า มสว.ไหม เธอเคยได้ยินแป้กผลิตบาน ไหม ม.สร้างดารานักร้อง มีตึกแกรมม่าตั้งข้างๆรองรับเลยนะ"
"ว้ายยยยย ผัวหนู ว่าที่พ่อของลูกหนูทั้งนั้น เครรรรรค่า"
และแล้วความแร่ดของเธอ ก็เป็นแรงผลักดัน ให้สอบติดมหาลัยได้ด้วยตัวเอง จากทั้งที่อ่านหนังสือไม่เคยถึง7บรรทัด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง #กูพิมพ์บนมือถือเลยพิมพ์ยาวไม่ไหว
"มาคิดว่าที่ประเทศห่านี่ห้าม sextoy บล็อกเว็บโป๊
ทำไมคนไม่มองแบบเพราะมันเป็นคู่แข่งธุรกิจกะหรี่บ้าง นายทุนใหญ่ไม่ปลื้มงี้"
ไถส่วยจากธุรกิจผิดกฏหมาย ได้ตังเยอะกว่า ถูกกฏหมายเยอะ
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"แถมยิ่งทำให้ผิดกฏหมาย บทลงโทษหนัก ก็ยิ่งทำให้ตลาดธุรกิจมีมูลค่าสูงขึ้น high risk high return คูณอีกต่อ โดยที่เจ้ามือคุมระบบได้ผลประโยชน์เต็มๆ ส่วนความเสี่ยงก็ให้ เจ้าพ่อ มาเฟีย แบกรับกันไป"
มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
คุณูปการด้านหนึ่งอันที่ลบออกมิได้ของคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่สมกับคำปรารภในประกาศคณะราษฎรฉบับที่ ๑ ส่วนที่ว่า "ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร" อย่างแท้จริง คือการปฏิรูประบบที่ดิน ทั้งในส่วนของการจัดปฏิรูปจริง และโดยนัยยะของคำที่ใช้ในโฉนดที่ดินปัจจุบัน
แต่เดิมมา ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ กล่าวถึงหลักทรัพย์สินที่ดินของไพร่ฟ้าในกรุงสุโขทัยว่า "สร้างป่าหมากป่าพลูทุกหนแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ฯลฯ ใครสร้างไว้ได้แก่มัน" และ "พ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้น" แสดงถึงสภาพการปกครองแบบนครรัฐที่เจ้าผู้ครองไม่สามารถยึดเอาทรัพย์สินของ "ไพร่ฟ้าหน้าใส" ว่าเป็นของตนได้ ที่ดินมีมากแต่พลเมืองมีน้อย ใครหักร้างถางพงสร้างไร่สวนก็ให้สืบมรดกตามไป
แต่ต่อมาเมื่อตกถึงยุคอยุธยา อำนาจรัฐส่วนกลางมีมากขึ้น ระบะเทวราชถือว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าของที่ดินทั้งหมดในราชอาณาจักร ในกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ พ.ศ.๑๙๐๓ ระบุถึงปัญหาการแย่งชิงที่ดินว่า "ที่ในแว่นแคว้นกรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยามหาดิลกภพ เป็นที่แห่งพระเจ้าอยู่หัว หากให้ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าแผ่นดินอยู่ จะได้เป็นที่ราษฎรหามิได้" โดยให้กรมการเมืองทั้งหลายอาจออกโฉนฏฎีกาไว้ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้อาศัย และเมื่อต้องพระประสงค์ ก็อาจเวนคืนได้ เพื่อเทครัวไพร่ราษฎรย้ายถิ่นออกให้ขุนนางผู้ครองศักดินาสักเลกไว้ใช้งาน
แนวความคิดในกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จนี้ สืบทอดมาจนถึงกฎหมายตราสามดวง จ.ศ. ๑๑๑๐ (พ.ศ. ๒๒๙๑) ว่าด้วยพระราชกำหนดเก่า ให้เรียกเก็บอากรค่านา ค่าที่ดิน ตามลักษณะนัยแห่งกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จเดิม
จนกระทั่งเข้าถึงสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ พระปิยมหาราช ทรงตราพระราชบัญญัติโฉนดที่ดิน ร.ศ, ๑๒๐ (พ.ศ.๒๔๔๕) การกำเนิดขึ้นของชนชั้นกลางใหม่จากการค้ากับชาวต่างชาติหลังสนธิสัญญาบาวริ่ง ทำให้จำเป็นต้องมีการรังวัดที่ดิน และจัดตั้งกรรมสิทธิ์ที่ดินตามแนวคิดของที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจชาวต่างชาติ และที่ปรึกษาส่วนพระองค์หลายคน เช่น นายวิลเลียมสัน พระยากษาปณกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) พระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยระบอบการปกครองที่เป็นราชาธิปไตย แนวคิดคือพระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดยังบันทึกไว้ให้เห็นในโฉนฏที่ดินเหล่านั้น โดยบนโฉนดจะเขียนว่า
"โฉนดที่ดินฉบับนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ (ชื่อเจ้าของที่ดิน) ใช้ที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ที่..."
ซึ่งรูปคำในโฉนดดังกล่าว ใช้สืบเนื่องมาจนเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ และเปลี่ยนเป็น "พระบาทสมเด็จพระมหากษัตริย์ไทย" หลังเปลี่ยนชื่อประเทศในปี พ.ศ. ๒๔๘๒
(มีต่อ)
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลคณะราษฎรได้เสนอแนวคิดปฏิรูปที่ดินอย่างชัดเจนในแผนเค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง) ของปรีดี พนมยงค์ ในพ.ศ.๒๔๗๖ แต่แนวคิดดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างรุนแรงว่า เป็นสังคมนิยมเกินไป จนปรีดีต้องออกจากประเทศไประยะหนึ่ง ทำให้การปฏิรูปที่ดินชะงักลง แม้ว่าจอมพล ป. ซึ่งเรียกปรีดีว่า "ท่านอาจารย์" จะเห็นด้วยไม่น้อย แต่คณะนายทหารแกนนำขณะนั้น โดยเฉพาะพระยาทรงสุรเดช ไม่พอใจอย่างมาก
เมื่อปรีดีกลับมา ก็ได้เสนอการปฏิรูปที่อ่อนลง ได้ตรา พรบ.ออกโฉนดที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๙ ซึ่งปรับวิธีออกโฉนดให้เป็นสากลขึ้น มีการรังวัด หลักหมุดที่ดิน และตรากฎหมายห้ามรัฐเวนคืนที่ดินหากไม่ใชดใช้ราคาแก่เจ้าของก่อน เป็นต้น
จนกระทั่งจอมพล ป.ขึ้นมาครองอำนาจเป็นครั้งที่สอง หลัง พ.ศ.๒๔๙๐ และแตกหักอย่างเด็ดขาดกับกลุ่มปรีดี จอมพล ป. ซึ่งเป็นที่่ทราบดีว่า เป็นฝ่ายชาตินิยมสูงมีแนวคิดว่า ราษฎรจะรักชาติของตนมิได้ ถ้าไม่มีที่ดินเป็นของตนเองเสียก่อน จึงผลักดันให้เกิดการปฏิรูปที่ดินครั้งใหม่ ระหว่าง พ.ศ.๒๔๙๔-๒๔๙๗ กลายเป็นประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ สิ่งส่วนตัวของผมเห็นว่า เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่อย่างที่สุดของจอมพลป. พิบูลสงคราม ในยุคหลัง
ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ นี้เอง ที่ทำให้ถ้อยคำในโฉนดที่ดินเปลี่ยนไปจากการถือครองที่ดินโดยพระบรมราชานุญาต เป็น
"โฉนดที่ดินเป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ ออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน"
ซึ่งประมวลกฎหมายที่ดินนี้ ออกผ่านรัฐสภาที่มีการเลือกตั้งและแต่งตั้งผสมกัน เป็นช่วงปลายของสมัยจอมพล ป.ที่ผ่อนคลายบรรยากาศประชาธิปไตยมากขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว
และประมวลกฎหมายที่ดินนี้เอง ที่ทำให้ประชาชนทั่วไป สามารถขอใบจองที่ดินที่ได้ครอบครองอยู่เดิม ออกเป็น ส.ค.๑ เพื่อนำมายื่นขอรังวัดออกโฉนดที่ดินได้ภายหลัง ทำให้ประชาชนได้มีที่ดินในครอบครองเป็นหลักฐานทุนทรัพย์เป็นอันมาก
และเป็นมรดกคณะราษฎรและจอมพล ป.ชิ้นสุดท้ายก่อนที่จอมพล ป.จะถูกจอมพลสฤษฎ์ปฏิวัติใน พ.ศ.๒๕๐๐
หากเราหยิบโฉนดขึ้นมาสักใบ ไปสำนักงานที่ดิน ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ให้ จำนอง ไถ่ถอนที่ดิน ไม่ว่าเพื่ออยู่อาศัย หรือเพื่อค้ากำไร
เห็นถ้อยคำที่ปรากฏบนหัวกระดาษโฉนดใต้ตราครุฑแล้ว นึกย้อนถึงคณะราษฎรและจอมพล ป. สักนิดหน่อย ก็คงดี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่เล่าตอนเอาเด็กนักเรียนมาเป็นตัวประกันหน่อยเหรอครัช
ตั้งแต่มีกม.ให้ประชาชนถือครองที่ดินได้ กูรู้สึกอนาคตได้ว่าที่ดินไทยทำเลดีๆ ผืนใหญ่จะมีแต่ เศรษฐฐีตระกูลใหญ่,ผู้มีเงินและอำนาจ เอาไปแดกหมด ส่วนประชาชนล่างๆก็เช่าที่เขาไปจนตาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กรณีซินแสโชกุนนี่พี่โจวมีความเห็นอย่างตรงประเด็นข้อเดียวเลยว่า ลิ้นแกน่าจะดีพอสมควรอ่ะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พิมพ์เองไม่ได้ก๊อปชาวบ้านมาจะใส่ #มิตรสหายท่านหนึ่ง ไปทำไมครับ?
กรณีฝาท่อส่วนตัวคิดว่าไร้สาระเกินไป ตัวละครหน้าเดิมๆเกินไป
และในส่วนคณะราชที่หลายๆคนเทิดทูนก็ดูจะหมกมุ่นจนเกินไป
ถ้าไม่ใช่ของรัฐ แล้วโดนขโมยไปก็ไปแจ้งความตามหาของแล้วก็เอากลับไปบูชาตามสถานที่สำคัญของคณะราช
ก็ควรจะดี ไม่น่าจมีปัญหาอะไรมากมาย คณะราชก็ใช่ว่าจะดีแต่แปลกใจทำไมถึงเทิดทูนกันนักหนา
ถ้าไม่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ตอนนี้น่าจะมีเศรษฐีซักคนซื้อไปเก็บเข้าคอลเลคชั่นส่วนตัวแล้วมั้ง
ห้ามส่งเสียงดัง
ห้ามฉีกหนังสือ
ห้ามเดินลัดสนาม
ห้ามนำช้อนส้อมออกนอกบริเวณ
ห้ามเด็ดดอกไม้
ห้ามเหยียบชักโครก
ห้ามขีดเขียน
ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าบริเวณ
ห้ามสูบบุหรี่
ห้ามเยี่ยวข้างกำแพง
ห้ามนั่งท้ายกระบะบนทางหลวง
ห้ามขี่ขึ้นทางเท้า
ห้ามขับขี่ย้อนศร
ฯลฯ ป้ายห้ามเหล่านี้มีอยู่ทั่วเมือง
ข้อห้ามล้าหลังมันขัดต่อเสรีภาพของประชาชน ขัดต่อวิถีประชาที่ปฎิบัติกันมายาวนานครับ
ยิ่งถ้ามีการบังคับใช้นี่ยิ่งแสดงถึงความเป็นเผด็จการของรัฐ
เราควรพัฒนาบ้านเมืองเจริญด้านนั่นๆนี่ๆให้ได้ซะก่อนจึงมาออกข้อห้ามได้ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง #ทุ้ยยยยย
"หมุดมือสอง ขาย 420$
ของร้อน งดต่อรอง มีชิ้นเดียวครับ สนใจ inbox มาเลยครับ"
- "มิจ"สหายท่านหนึ่ง
http://imgur.com/uHi35Ei
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จะสร้างนวัตกรรมยังไง
FB: ทำแอพ Facebook ให้บวมๆแล้วออก Facebook Lite"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"งานของ Alvin Toffler ตอบเราว่า สังคมในอนาคตจะเป็นสังคมข่าวสาร
เราไม่ได้รบในภาวะที่ต้องการกองทัพใหญ่ๆ อย่างสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือ 2
สนามรบที่เปลี่ยนไปด้วยเงื่อนไขของเทคโนโลยีสารสนเทศตอบว่า กองทัพควรถูกทำให้เล็กลง
ดังนั้นเราแทบเห็นเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก คือการลดขนาดกองทัพและหันไปพัฒนาเทคโนโลยี"
"ผู้นำทหารมีจินตนาการเหมือนยุคเก่า คืออยากมีกองทัพขนาดใหญ่ ทั้งที่คำตอบในโลกปัจจุบัน
โจทย์ไม่ใช่ว่ามีหรือไม่มีสงครามโดยตรง เพราะถึงจะมีสงคราม มันก็ไม่อยู่ในรูปลักษณ์แบบเดิม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แต่มีสมรภูมินึงท่านผู้นำ สตาลินคิดยังไงถึงส่งทหารเกณฑ์ที่มีปืน 1กระบอก/3คน. ไปรับกระสุนนาซีครับ
"We shall drown them in our blood and buried them under our corpses."
-คอมราดท่านนึง
ชีวิต
*****
บนเส้นทางที่เรียกว่าชีวิต ผมมีความเชื่อว่า
Life is a collection of moments.
The idea is to have as many good ones as you can.
นั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกคบเพื่อนฝูง หุ้นส่วน คู่ค้า ลูกค้า ที่จิตใจดีชอบแบ่งปันสังคมเหมือนตัวผม
ผลคือผมและพวกเขาต่างสร้าง micro moment ที่เติมเต็มเรื่องราวดีๆให้กันและกัน
วันนี้เพื่อนๆผมโทรมาชวนออกไปทานข้าวเที่ยง ผมบอกว่ายินดีออกไปร่วมวงด้วยแต่รถผมเสีย เขาบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง สักพักก็นั่งแท๊กซี่มารับผมถึงหน้าบ้าน
ช่วงที่กำลังดูเมนู เพื่อนๆก็เรียกคุณลุงไร้บ้านที่ยืนหิวอยู่หน้าร้านมาร่วมทานด้วยอย่างไม่มีท่าทีรังเกียจ ยิ่งบริกรทำสายตาแปลกๆเหมือนแบ่งชนชั้น เพื่อนผมก็ยิ่งคะยั้นคะยอให้คุณลุงสั่งอาหารแพงๆตอกหน้าไปเลย คนเหล่านี้เป็นเพื่อนนักเรียนตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ พวกเขานิสัยน่ารักเช่นนี้เสมอ พอทานใกล้เสร็จเพื่อนก็ยังให้ผมสั่งอาหารห่อกลับไปฝากที่บ้านเป็นมื้อเย็นอีกด้วย ถึงเวลาเช็คบิลพวกเราก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำทีละคน และค่อยเดินนิ่งๆออกหน้าร้านอย่างรู้ใจกัน เหลือเพียงคุณลุงนั่งหน้าบานเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว
ขากลับเพื่อนผมยังปั่นจักรยานมาส่งผมที่บ้านอีก
ผมเรียกเพื่อนอย่างนี้ว่า "กัลยาณมิจ"
#มิตรสหายนิกก้าท่านหนึ่ง
"ผมอยู่ในวงการการศึกษามานาน ช่วงนี้ตัวเองก็เป็นนักศึกษาเอง ผมรู้ดีว่าอาจารย์บางท่าน ต่อหน้าเราก็ยกมือไหว้เพื่อความปลอดภัย แต่ลับหลังนี่ด่าชิบหายเลย ก็เลยมามองย้อนตัวเอง ของผมนี่นักศึกษาด่าต่อหน้าเลย แสดงว่าลับหลังนี่คงชื่นชมหลงใหลมากมาย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประสบการณ์ตัวเองไม่เคยนะค่ะ แต่เคยเห็นเพื่อนเกย์เราเป็นแบบนี้
คือมันไปมีอะไรกับคนที่พึ่งรู้จัก โดยที่ไม่เคยรู้ว่าคู่นอนมันมั่วแค่ไหน จนกระทั่งมันมารู้ทีหลังว่า คู่ขามันชอบไป ซาวน์น่า ...... คุณพระ
ตอนนั้น ความกลัวตายมันเกาะกุมใจเพื่อนดิฉันแล้วค่ะ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เอาแต่โทรมาเล่าถึงความเครียด ความกลัว ของมัน ซึ่งก็ต้องรอจนกว่าจะครบ 3 เดือน ถึงจะตรวจโรคได้ (ณ วันนั้น 10 กว่าปีทีแล้ว ยังไม่รู้จักการตรวจ NAT) และเพื่อนก็ไม่เล่าให้ใครฟังเลยนอกจากเรา (พ่อแม่เพือนเสียชีวิตหมด)
ช่วงนั้นเรารู้สึกเลยว่าเพือนเราทรมาณมาก เศร้า กินข้าวไม่ลง พอวันที่ไปตรวจ ผลตรวจออกมา มันรีบโทรหาเรา แล้วบอกว่า Negative เราร้องไห้ไปกับเพื่อนทางโทรศัพท์ด้วย ดีใจจนร้องไห้ มันเป็นแบบนี้เอง
หลังจากนั้นเราก็เห็นมันใช้ชีวิตดีขึ้น ไม่มั่วเหมือนเก่า เราเตือนมันเรื่องถุงยางเสมอ เวลาไปเที่ยวไหนแล้วเจอคนถูกใจ เราจะคอยเตือนมันว่าอย่าลืมเรื่องนั้นนะ
"วันนี้ไปงานของกระทรวงวัฒนธรรม ในงานมีส่วนจัดแสดงพวกแอปพลิเคชันเกมดีมีประโยชน์ มีเกมหนึ่งครับ เป็นเกมสะกดคำ มี 2 ตัวเลือก คำหนึ่งสะกดถูก คำหนึ่งสะกดผิด พอตอบถูกปั๊บ จะมีข้อความโผล่มาบนหน้าจอทันทีว่า
"ถูกต้องคะ"
#ฟหกดเ่าสวหาเาำยดาหยฟาเขกนอธทอจหระยกจๆยพาไ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในเชิงด้านทฤษฎีทางภาษาเราอาจจะใช้คำว่า "หอย"แทน คำว่า"หี" ได้ แต่ในทางปฏิบัติ เราจะใช้คำว่า "คะน้าผัดน้ำมันหี" ในการสั่งข้าวไม่ได้.......
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"80% ของคนที่เขียนว่า 80% ไม่ได้นับมาจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Avoid dumb people. Don’t try to educate them or try to prove how superior you are to them. Just smile and stay away from them.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ปุจฉา : เมืองไทยเรามีปัญหาล่อลวง,บังคับค้าประเวณีเด็ก
ไอ้จ่าเพื่อนอ.จุลา : งั้นเราก็สนับสนุนกะหรี่ถูกกฎหมายสิครัช
สาวกศาสดาเพจ : ทำเลยๆๆ
ปุจฉา : ตกลงพวกมึงสนับสนุนให้เด็กถูกหลอกไปขายหีแบบถูกกฎหมายสินะ
#มิตรสหายดราม่าท่านหนึ่ง
"อาทิตย์ก่อนจ้า เกิดอยากสลิดกินสตาร์บัค เดินเข้าร้านด้วยความมั่นใจ
เรา: น้องคะ เอากรีนทีลาเต้เฟร้บเป้ เอ็กซ์ตราวิปค่ะ
น้องพนักงาน: ค่าาา ชาเขียวปั่นเพิ่มวิปครีมนะคะ
เรา: ค..ค่ะ หวานน้อยนะคะ
>> ความรู้สึกเหมือนโดนพลั่วตบหน้า 555 <<"
มิตรสหายท่าแซะท่านหนึ่ง
มันหมายถึง ปัญหาเอาเด็กเยาวชนมาขายตัวเป็นกะหรี่
ไอ้พวกนี้แม้แต่ประเทศกะหรี่ถูกกฎหมายมันก็ห้ามไม่ใช่เรอะ
>>350 กูก็ว่ามันคนละเรื่องแต่ไอ้คนสนับสนุนก็มาจาก
1. มีข่าวค้าเด็กเป็นกะหรี่
1.1 เจ้าหน้าที่รู้เห็น จ่ายส่วย
1.2 คนจนขาดรายได้
1.3 ผู้หญิงถูกบังคับ พ่อแม่ใจสลาย
2. เลยนำเสนอกะหรี่ถูกกฎหมาย
2.1 แก้ปัญหาส่วย
2.2 คนจนมีรายได้
2.3 ผู้หญิงสมัครใจ พ่อแม่........
มันคนละเรื่องแต่เสนอวิธีแก้แบบนี้มาทำไม
จากที่มีคนนำเนื้อจาก Blognone ไปโพสต์ลงเว็บไซต์ Pantip.com ในกระทู้ https://pantip.com/topic/36368299
และทาง Pantip.com ได้ลบกระทู้ โดยชี้แจงว่าเป็น
"ได้รับการติดต่อจากเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยมีข้อความดังนี้ค่ะ "เป็นผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ขอให้ทางผู้ดูแลเว็บไซต์ นำเอาบทความ"
ทาง Blognone ขอชี้แจงว่าไม่ได้มีการติดต่อใดๆ ไปยัง Pantip.com และเนื้อหาของ Blognone ใช้สัญญาอนุญาตแบบ Creative Commons Attribution 3.0 ที่อนุญาตให้ทำซ้ำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ตราบเท่าที่แสดงแหล่งที่มาโดยทำลิงก์กลับมายังต้นฉบับ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ Blognone ใช้มาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งเว็บไซต์
หมายเหตุ: กระทู้ต้นฉบับสามารถดูได้จาก Google Cache
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:pantip.com/topic/36368299
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อุปสรรคหนึ่งที่ทำให้เมืองไทยไม่สามารถปฏิวัติอุตสากรรมได้สักทีก็เพราะ อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่เป็นปัจจัยการผลิตพื้นฐานของอุตสาหกรรมทั้งปวง ซึ่งมีปัญหาอยู่ว่าเราไม่สามารถทำโรงถลุงเหล็กได้ แม้จะมีความพยายามตั้งแต่สมัย ร.6 ก็ตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในประเทศไม่มีแหล่งสินแร่เหล็กด้วยหละ
ร.6 ทรงอุดหนุนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมซีเมนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมพาณิชย์นาวี อุตสาหกรรมการบิน การรถไฟ การสำรวจปิโตรเลียม(ฝาง) การสำรวจแหล่งไฟฟ้าพลังน้ำตก และอีกประการหนึ่งคืออุตสาหกรรมเหล็ก
ทุกวันนี้อุตสาหกรรมเหล็กทั้งกลางน้ำและปลายน้ำ เราสามารถทำได้หมด ขาดก็แต่การถลุงสินแร่อันเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล็กได้ชื่อว่าใช้ทุนมากและสกปรก ต้องผลิตคราวละมากๆ จึงจะคุ้ม แล้วมีปัญหาว่าจะไปเอาแร่เหล็กมาจากไหนถ้าไม่ใช่จีน และมันก็เป็นคำตอบเดียวที่ดีที่สุดเสียด้วย จีนส่งเหล็กไปทุ่มตลาดทั่วโลก จนมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอินเดียเจ้าพ่อวงการเหล็ก ชื่อแทบจะหายไปจากสารบบ(ผมยังลืมชื่อเลย ลักษมี อะไรสักอย่างเนี่ย) บัดนี้ทั่วโลกเริ่มเดินนโยบายกีดกันการทุ่มตลาด อาจเป็นโชคดีก็ได้ถ้าเราจับพลัดจับผลูดึงจีนมาถลุงเหล็กในเมืองไทยได้
สมัยก่อนเครื่องบินถือกำเนิดได้เพียง 10 ปี เมืองไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่ตั้งกองบินขึ้นมา พร้อมกับขยายสนามบินแบบปูพรมไปทั่วประเทศ มีจริงๆ นะครับแทบทุกจังหวัดทีเดียว แถมยังผลิตเครื่องบินใช้เองเสียด้วย แล้วไม่ใช่มี 5-10 ลำ แต่มีเครื่องบินเป็นหลักเฉียดร้อย เสียก็อย่างเดียวทำเครื่องยนต์ไม่ได้ เพราะพื้นฐานอุตสาหกรรมไม่พร้อม ไม่สามารถทำชิ้นส่วนขนาดเล็กได้
แล้วหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประเทศเรานี่มีนักบินเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ที่ไปเรียนจากฝรั่งเศสก็ร้อยคนเข้าแล้ว แถมช่างเครื่องอีกหลายร้อย เรียกว่าทรัพยากรบุคคลพร้อมสุดๆ ซึ่งภายหลังสงครามนี่มีเรื่องที่ควรจะกล่าวด้วยว่าประเทศเราเข้าร่วมอนุสัญญาให้สัตยาบันเกี่ยวกับการเดินอากาศ นัยว่าสมัยนั้นเรามีอาณาเขตน่านฟ้าที่นานาชาติให้ความยอมรับร่วมกันเป็นครั้งแรก(หลัง WW II มีการตกลงกันทางทะเล กรมนราในฐานะประธานได้เสนอเรื่องนี้ขึ้นทั้ง 2 สมัย แต่ตกลงกันไม่ได้ผล มาตกลงกันได้ในสมัยที่ 3 ใน ร.9 จึงมีทะเลอาณาเขตอกกไป 16 ไมล์ทะเลเป็นครั้งแรก)
ฉะนั้นในรอบร้อยปีนี้เรายังปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่สำเร็จก็เพราะขาดพื้นฐาน จะต้องถลุงเหล็กให้ได้ แล่วการผลิตอย่างอื่นจะตามมาเอง ทำยังไงกับจีนก็ได้ จะฉุดกระชากลากถู ถ้าจำเป็นก็ต้องเอา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พันลำ?
http://imgur.com/0QPCaqx
''ตื่นเต้นเหี้ยไรกันนักหนา กูคนโดนยังไม่รู้สึกอะไรเลย''
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่สุดของ gamer คือ gamest
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เกมเมอร์ที่แท้จริงต้องไม่มีเมีย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ทำไมตอนโล้สำเภาออกจากซัวเถา
อากงไม่เลือกขึ้นฝั่งที่แคนาดา ไต้หวัน หรือฮ่องกง
#ร้อนชิบหาย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าจำไม่ผิด กูว่ากูเห็นพระถังมีม้านะ -_-"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"น่าจะขนติดตัวไปเพียบอยู่ ก็เล่นกันจนเห็นเพื่อนหน้าเป็นลิง เป็นหมู พบเจอปีศาจตลอดทางเล่าขานกันเป็นตำนานเลย"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
มันเป็นแค่เรื่องการเมือง ไอ้เรื่องขืนใจเนี่ย ฝั่งเยอรมันๆก็ทำ พอหลังแพ้สงครามเยอรมันเองก็ถูกทหารรัสเซียกระทำเหมือนกัน กับแม่งมันไม่ได้ทำทุกคนทุกหน่วยหรอกวะ อย่าอคติกับเรื่องนี้เกินไป ช่วงอารยธรรมแบบนั้นประเทศมีกำลังพอไหนรุกรานใครได้ก็ทำทั้งไม่เว้นแม้แต่ไทยเรา... แค่ไอ้คนจีนมันเอาความเสียหายตรงนี้มาจุดประเด็นเพื่อขยายผลหวังกระแสฃาตินิยมเท่านั้น ต้องของบอกเหี้ยที่สุดคือคนแบบนี้ ไม่ใช่ทหารญี่ปุ่น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"สมาชิกพรรคขวาจัด Ichud Leumi (สหภาพแห่งชาติ) ของอิสราเอล ยั่วยุผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ที่กำลังอดอาหารประท้วง ด้วยการตั้งโต๊ะย่างบาร์บีคิวเนื้อชนิดต่างๆ หน้าคุก Ofer ในเขตเวสต์ แบ๊งค์ และแจกให้กับคนที่เดินผ่านไปมา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ข้าราชการบำนาญ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในสมาชิก สอ.จฬ. กล่าวว่า นำเงินบำนาญ 5 ล้านบาท มาร่วมลงทุนกับ รศ.ดร. สวัสดิ์เพราะเป็นเพื่อนกันมา มีความไว้วางใจอย่างมาก ที่ผ่านมาเห็นเป็นคนดี เป็นนักเรียนทุนอานันทมหิดล เคยได้รับรางวัลนักสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ และยังเคยเป็นประธาน สอ.จฬ. ติดต่อกันถึง 3 สมัย จึงมีความเชื่อถือ เลยนำเงินมาลงทุนด้วย อยากให้รัฐบาล และ คสช.เข้ามาช่วยเหลือปราบคนโกง ขณะนี้มีเยอะมาก อย่าให้คนโกงมาหลอกลวงประชาชน ขณะนี้ไปแจ้งเรื่องกับ ป.ป.ช. และตำรวจกองปราบฯแล้ว อยากให้เร่งรัดนำตัว รศ.ดร.สวัสดิ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องมาลงโทษ ชดใช้ค่าเสียหาย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องโชกุน เมื่อวานนั่งคุยกับเพื่อน ถึงสาเหตุว่าทำไมไม่รีบหนีออกนอกประเทศก่อนวันนัดคนมาสนามบิน ทำไมเพิ่งมาหนีหลังเกิดเหตุ (เลยหนีไม่ทัน) แล้วทำไมมีเงินทั้งบัญชีแค่ 3 ล้าน ก็เลยสรุปแบบเดาๆกับเพื่อนว่า ที่นางยังไม่หนี เพราะนางยังไม่ได้เงินจากพวก "แม่ข่าย" คือแม่ข่ายไปหลอกล่อเอาเงินชาวบ้านมาหลายล้าน แต่ยังไม่โอนให้นาง นางก็เลยต้องอยู่รอ แต่แม่ข่ายก็ไม่ยอมโอนสักที สุดท้าย ไม่ไหวแล้ว กูเผ่นก็ได้ เลยเป็นที่มาของการหนีช้า และมีเงินแค่ 3 ล้าน สรุป ควรจัดการพวกแม่ข่ายด้วยนะ เงินอาจยังอยู่ที่แม่ข่ายนั่นแหละ
"ข่าว กสทช กำลังจะควบคุมการนำเข้าอุปกรณ์ที่ต่อจอทีวีนี่ ผมมีทฤษฎีง่ายๆ คือ มันต้องมีรายใหญ่ (อาจมากกว่าหนึ่งราย) ที่เสียหายจากอุปกรณ์พวกนี้ เช่น TV Digital, Cable TV
ไป lobby กสทช ให้ออกมาทำอะไรสักอย่าง
คืออุปกรณ์นี้ มีมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้วครับ เริ่มมาแรงก็ 7 ปีก่อน ส่วน Chromecast ออกมาประมาณ 4 ปี กว่าจะรู้ตัวว่ามัน disrupt ธุรกิจเดิม คือรอให้ subscriber หายไปเยอะก่อน ค่อยมาโวย (ไม่ต้องบอกว่าเจ้าไหน)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ใช้คำว่าทำงานกลุ่มแทน sex หมู่ จะได้ดูเป็นเด็กเรียน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เป็นเซลล์แมน ถ้าเกิดมีใครมาบอกว่าหน้าด้าน แสดงว่ามาถูกทางแล้วครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรียบร้อยครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ζευσκνή"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"โลกไม่ได้หายไปเพราะหลับตานะครับ ปัญหาสังคมก็ไม่ได้หายไปเพราะเราไม่สนใจเช่นกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
My favourite Jojo is Mojo Jojo.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ดร.โอซูมิ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล "ไม่ได้บอกว่าการอดอาหารเป็นผลดีต่อร่างกายมนุษย์" นะครับ
ไปตีความกันมั่วเลยเนี่ย ไปเขียนแชร์กันว่า "คนญี่ปุ่น Mr.Yoshinori Ohsumi ได้รับรางวัลโนเบลในปีนี้ 2016 เพราะ
เขาค้นพบว่า การอดอาหาร อย่างเช่น การอดอาหารเย็น จะทำให้เซลเกิดกระบวนการรีไซเคิล เอาสิ่งที่เป็นส่วนเกินมาใช้ และทำลายสิ่งที่ใช้การไม่ได้ในเซล จึงมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้ลดการแก่เร็วก่อนเวลาได้"
แถมมีการโยงไปเรื่องศาสนาได้ด้วยว่า "เรื่องงดอาหารเย็น พระพุทธเจ้าให้ภิกษุสงฆ์ และผู้ถือศีลแปดงดมานาน กว่า 2600 ปีแล้วเพิ่งจะมีคนมายืนยันทางวิทยาศาสตร์ ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพของมนุษย์ และเป็นที่ยอมรับยกย่องเชิงวิชาการอย่างเป็นทางการปีนี้"
คือ มโนกันไปเรื่อยเลย คือผลงานของ ศ.ดร.โยชิโนริ โอซูมิ จากสถาบันเทคโนโลยีโตเกียว ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์ ประจำปี 2016 ที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ "การอดอาหารเย็น" แต่เป็นเรื่อง "กระบวนการกลืนกินตัวเอง (autophagy)" ของเซลล์
นักวิทยาศาสตร์นั้นสังเกตพบกระบวนการกลืนกินตัวเองมาตั้งแต่สมัยทศวรรษ 1960 แล้ว โดยพบว่า เซลล์สามารถทำลายส่วนประกอบของเซลล์เองได้ ด้วยการหุ้มส่วนที่ต้องการทำลายนั้นเข้าไว้ในเยื่อหุ้ม แล้วลำเลียงไปส่งที่ไลโซโซม (lysosome)
ทีนี้ ในช่วงทศวรรษ 1990 ดร.โอซูมิ ได้สร้างชุดทดลองขึ้น โดยใช้ยีสต์ มาอธิบายกลไกของกระบวนการกลืนกินตัวเองในเซลล์ยีสต์ และแสดงให้เห็นด้วยว่า กลไกอันซับซ้อนนี้เกิดขึ้นในเซลล์มนุษย์เช่นกัน ... ที่สำคัญคือ หากกระบวนการกลืนกินตัวเองนี้ถูกขัดขวาง ก็จะเป็นสาเหตุของโรคพาร์กินสัน โรคเบาหวานได้ หรือโรคอื่นๆ ได้ จนทำให้ได้รางวัลโนเบล
เลิกมโน เชื่อมโยงความเชื่อของตัวเอง เข้ากับวิทยาศาสตร์อย่างผิดๆ อย่างนี้เถอะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมโครตเกลียดความคิดแบบเหยียดสีผิว โลกเขาไปถึงไหนแล้วยังracistอยู่ได้ จริงๆชาวบ้านควรเห็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ เช่น ไก่ทอด น้ำองุ่น และแตงโม แต่โปรดเก็บจักรยานลูกหลานท่านให้มิดชิด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รักสามเส้า - เราสองสามคน
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าในระยะหลังมานี้ ถึงได้มีความพยายาม สร้างนิยายรักโรแมนติก โดยพยายามจับคู่ให้หลวงพิบูลเขียนจดหมายไปงอนง้อคุณหลวงประดิษฐ์ ทำไมนะครับหลวงประดิษฐ์ถึงไม่เป็นฝ่ายเขียนจดหมายไปง้อแทน ทั้งๆ ที่หลวงพิบูลเพิ่งฟันคดีสวรรคต เกียรว่างฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษจำเลยไปหยกๆ
ถ้าเรายังจำกันได้ หลังการปฏิวัติกึ่งพุทธกาล อันนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ทางฝ่ายคุณหลวงประดิษฐ์ก็ได้มีการติดต่อท่านโจวเอินไหล ขออนุญาตย้ายจากปักกิ่งหนีหนาวไปอังอากาศอุ่นๆ ที่กวางโจว ซึ่งใกล้ไทยที่สุดเท่าที่คุณหลวงจะเข้ามาใกล้ได้ และต่อจากนั้นคุณหลวงประดิษฐ์ก็ทิ้งจดหมายน้อย(อันยาวเฟื้อย) ลงมาหาจอมพลถนอม ยื่นข้อเสนอขุดคลองคอดกระ เป็นนัยว่าจะมาขอจีบจอมพลสฤษดิ์ โดยยื่นทางเลือกโดยพร้อมมูล ว่าทองคำแท่งในพระบรมมหาราชวังก็มี(คุณหลวงประดิษฐ์ยังโม้อีกว่าคุณจอมท่านหนึ่งเล่าว่าชาววังเขาเอาทองคำแท่งไว้เหน็บมุ้งกัน)
ซึ่งว่าที่มาของการทอดสะพานพลอดรักไปยังจอมพลสฤษดิ์ ผู้ซึ่งคุณหลวงเคยจีบไปครั้งนึงเพื่อหวังยืมมือท่าน ผบ.ทบ.สฤษดิ์ ยึดอำนาจจอมพล ป. ในครั้งนั้น แต่ท่าน ผบ.ทบ.สฤษดิ์ ไม่เล่นด้วย แถมยังบรรจงยิงกระสุนเข้าใส่ประตูวิเศษไชยศรี เล่นเอาคุณหลวงรีบหนีจนลืมถอดฟันปลอม(ไปถอดอีกทีต่อหน้าท่านทูตอังกฤษ เพื่อเป็นการยืนยันอัตลักษณ์บุคคล)
เรียกว่าตอนกบฏวังหลวงอกหักไปแล้วครั้งนึง มาครั้งกึ่งพุทธกาลนี่ก็อกหักซ้ำซ้อนอีกครั้ง ทำยังไงๆ จอมพลสฤษดิ์ก็เล่นตัวไม่ยอมรับรักท่าเดียว
กลับมาที่ความสัมพันธ์ขวัญชื่น ของคุณหลวงประดิษฐ์กับคุณหลวงพิบูลเมื่อแรกรักข้าวใหม่ปลามันดีกว่า แรกสัมพันธ์ทีเดียว คุณหลวงประดิษฐ์เป็นฝ่ายรุกก่อน ถึงกับว่าส่งหนังสือคู่มือปฏิวัติเข้ามาให้ด้วยการฉีกหน้าปกทิ้ง ห่อส่งมาจิ้มก้องหลวงพิบูลในเมืองไทยอย่างดี ความหวานชื่นของทั้งคู่ก็เบ่งบานยิ่งขึ้นเมื่อพร้อมพรักร่วมหอลงโลงเข้าสู่ขบวนการปฏิวัติ สถาปนาคณะราษฎร โดยไม่ยอมบอกกับท่านผู้หญิงพูนศุขแม้แต่นิดเดียว
แต่แล้วรอยร้าวแรกก็เริ่มปรากฎ เมื่อคุณหลวงประดิษฐ์เขียนร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ แล้วถูกพระยาทรงกับพระยามโนจับมือกันรุมกินโต๊ะ ทางฝ่ายหลวงพิบูลขณะที่ยังอึ้งกิมกี่อยู่ก็ตีเนียนใส่เกียร์ว่าง(พร้อมเข้าเกียร์หมา) เล่นเอาคุณหลวงประดิษฐ์เสียศูนย์ถูกเขี่ยไปอยู่ไกลถึงปารีส
ครั้งเมื่อหลวงพิบูลเรียกสติกลับคืนมาได้ ก็รีบดิ้นเฮือกสุดท้ายทำปฏิวัติซ้อนยึดอำนาจคืน พร้อมเรียกคุณหลวงประดิษฐ์กลับมา เป็นอันว่าคุณหลวงประดิษฐ์กับคุณหลวงพิบูลก็คืนดีกัน เรื่องเก่าไม่เอามาคิด แล้วเรามาเริ่มกันใหม่ คุณหลวงประดิษฐ์เรียกหลวงพิบูลว่า "อิตากัปตัน" ส่วนคุณหลวงพิบูลก็เรียกหลวงประดิษฐ์ว่า "อิตาขรัวท่าช้าง" น่ารักตะมุตะมิน่าดู
ต่อ
จากนั้นทั้งกัปตันและขรัวท่าช้างก็ประสานสอดคล้องกัน ครองรักจาก 2476-2483 ได้ 7 ปี ความรักที่หวานชื่นก็เจือจางไปตามกาลเวลา โดยคุณหลวงประดิษฐ์ชักจะปีนเกลียวหลวงพิบูลหน่อยๆ อะไรๆ ก็ชวนขัดคอระหองระแหงดั่งลิ้นกับฟัน จนสถานการณ์แตกหัก เมื่อ กองทัพญี่ปุ่น เข้ามาเป็นมือที่สาม ความรักของคุณหลวงประดิษฐ์และหลวงพิบูลก็สะบั้นลง เมื่อ อิตากัปตันดุลย์อิตาขรัวท่าช้างขึ้นหิ้งเป็นผู้สำเร็จราชการ
นับแต่นั้นหลวงประดิษฐ์และขุมข่ายก็หมั่นเลื่อยขาเก้าอี้หลวงพิบูล เช้า-สาย-บ่าย-ค่ำ ตั้งแต่ไปตีซี้กับหลวงอดุลเพื่อนรักหลวงพิบูล กระทั่งกวนน้ำให้เกิดคลื่นในสภาเขี่ยหลวงพิบูลหล่นเก้าอี้ดังตุ๊บจนต้องหลบไปซับน้ำตาอยู่ลพบุรี และอีกทางหนึ่งขบวนการเสรีไทยก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอันดับหนึ่งคือเขี่ยหลวงพิบูล อันดับสองไล่ญี่ปุ่น
เมื่อเมฆหมอกแห่งสงครามผ่านพ้นไป หลวงพิบูลก็ถูกเขี่ยออกไปแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบ ถึงแม้หลวงประดิษฐ์จะไม่แสดงออกตรงๆ ว่าจะจัดการหลวงพิบูลเด็ดขาด แต่ในทางคลื่นใต้น้ำก็ส่งเสรีไทยปีกซ้าย อย่าง ส.ส. อีสาน เสนอคุณชายเสนีย์ให้ตั้งศาลกลางเมือง เรียกว่าจะเด็ดหัวหลวงพิบูลให้ตกตามจอมพลโตโจให้ได้ทีเดียว เดชะบุญคุณชายเสนีย์แอบปันใจให้หลวงพิบูลจึงยกข้อกฎหมายให้เจ๊าๆ กันไป หลวงพิบูลจึงรอดพ้นคมดาบ อิตาขรัวท่าช้างได้หวุดหวิด
ครั้นต่อมาหลวงประดิษฐ์เพลี้ยงพล้ำทางการเมือง เป็นทีหลวงพิบูลเถลิงอำนาจได้ กระสุนปืนกลห่าใหญ่ก็พัดหอบไปเยี่ยมหลวงประดิษฐ์ถึงทำเนียบท่าช้าง สาแก่ใจหลวงพิบูลยิ่งนัก และต่อจากนั้นหลวงพิบูลก็กระเถิบไปเบียดทุกสิ่งทุกอย่างของหลวงประดิษฐ์จนสิ้น แม้แต่ลูกเต้าเล่าหลานหรือน้อยชาย เครื่อข่ายของหลวงประดิษฐ์ ก็ถูกกวาดเข้าซังเตจนเรียบวุธ ถ้าโชคร้ายหน่อยก็ไม่อาจจะรักษาชีวิตได้ ดั่ง 4 รมต. อีสาน บรรดาผู้ซึ่งครั้งหนึ่งพยายามยัดเยียดความตายให้หลวงพิบูลเอาชีวิตไปทิ้งในศาลกลางเมืองข้อหาอาชญกรรมสงคราม
ทีนี้แหละจนเมื่อจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติกึ่งพุทธกาลแล้วปล่อยนักโทษไม่ว่าจะเป็นน้องชาย หรือลูกชาย ของคุณหลวงประดิษฐ์ออกจากพันธนาการ หลวงประดิษฐ์จึงได้เอิบเอื้อมคิดว่าจอมพลสฤษดิ์แอบปันใจ จึงทอดสะพานหาอีกครั้ง ครั้นรู้ว่าอักหักก็อาลัยอาวรณ์ในชีวิต จึงเลิกคิดถึงเมืองไทย ออกจากกวางโจวหันหัวเรือจากท่าซัวเถาไปปารีสแทน
นิยายประโลมโลก ว่าด้วย รักสามเส้า - เราสองสามคน ก็ถึงกาลอวสานบัดนั้น ไม่เห็นว่า คุณหลวงพิบูล-คุณหลวงประดิษฐ์ จะมีถ่านไฟเก่าคุกรุ่นไปได้อย่างที่หลายๆ ฝ่ายเพ้อพจน์แต่อย่างใด นิยายน้ำเน่าก็ เอวัง ด้วยประการฉะนี้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นข่าวสามี-ภรรยาวัยกลางคน ถูกตัดสินเรื่องบุกรุกป่าสงวน 5 ปี โดยอ้างไม่รู้โน่นไม่รู้นี้แถมเสือกไปรับสารภาพ
โซเชี่ยลเอามาด่าแต่ประโยคเดิมๆ 2ตายายเก็บเห็ดติดคุก ศาลเอียง ระบบไทยแม่งด้อยพัฒนา(ทั้งที่ประเทศพัฒนลก็ใช้แบบเดียวกัน ยิ่งอเมริกาค่าทนายแพงบัตซบเลยทีเดียว)
แถมยังโยงไปหาไอ้บอสหนีคุก(ที่แม่งหลบหนีไปต่างประเทศ ยังไม่ทันขึ้นศาลเลย)
ก็ชัดเจนนะคับว่าทำไม ประชากรไทยส่วนใหญ่ถึงยังเป็นพวกด้อยพัฒนา
เชื่อแต่ความคิดกูอารมณ์กูอคติกูเท่านั้น นี่ถ้าสมมุติเปลี่ยนคดีเป็น2ตายายเอบเด็กมาขายซ่อง โซเชี่ยลก็ตัดสินทันทีไปอีกทาง
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
"ความเหี้ยของผลิตภัณฑ์คุมะมงของแท้ที่เข้ามาขายในไทยก็คือ แม่งน่ารักไม่เท่าที่สำเพ็ง กูไม่เข้าใจจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไม่ชอบ jazz hands เอา jizz hands แทนได้ไหม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ที่ใส่เสื้อผ้าสีซีดเก่า เพราะไม่มีเสื้อใหม่ครับ แค่นี้ก็จนจะตายกันอยู่แล้ว จะให้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ทำเสื้อให้สีสดใส แล้วมันจะรวยขึ้นมั้ย เด็กรุ่นใหม่มันรู้นะว่าเป็นเกษตรกร นอกจากรูปร่างไม่ดีแล้วยังไม่มีแดกอีกครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เรื่องเล่าจากเหตุการณ์จริง
นศ: เมื่อกี้อาจารย์เกือบถูกรถชนใช่ไหมครับ
อาจารย์: ใช่ครับ เมื่อกี้นี้เอง รู้ได้ไง
นศ: อ๋อ ผมเป็นคนขับเองครับ
555555555555 มีความซื่อสัตย์สูง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"There is a big difference between an asshole and a communist. Assholes are still people."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
I learn from the mistakes of people who took my advice.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Well this post answered some questions...
Today people are so obsessed with being free from whatever they find confounding that they rebel against their very nature in an attempt to defend a freedom which exist barely in their minds.
A pathetic era to be a human.
A great era to be the "special snowflake"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"แก้ทอม ซ่อมดี้ ....
เป็นรูปแบบความคิดแบบผิดปกติ ในทางจิตวิทยาไปหาอ่านได้ในเรื่อง Corrective rape
สรุปสั้นๆคือ มีผู้ชายบางคน ที่มีความรู้สึกว่าความเป็นชายของตนถูกคุกคามจากผู้หญิงที่ไม่ชอบผู้ชาย
คือเดิมคนกลุ่มนี้จะมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาย ... มีการแสดงออกในแบบต่างๆ ... ซึ่งอาจเลยรวมไปถึงการเอาเปรียบเพศหญิงอยู่แล้ว
พอมาเจอผู้หญิงที่ไม่สนในสถานะที่ว่า เลยทำให้เกิดความกลัวว่าสถานะทางสังคมของตนจะสั่นคลอน เลยทำการทำร้ายข่มขืนหญิงที่ไม่สนใจผู้ชาย
คนที่คิดแบบนั้นแย่และน่ากลัว เพราะในทำนองเดียวกัน คนแบบนี้หากมีใครมาสั่นคลอนสถานะทางสังคมอื่นๆของเขาเช่น
เด็กจบใหม่ไฟแรงทำงานดีกว่า เค้าก็พร้อมจะทำร้ายหรือขัดขา
ผู้หญิงที่ตนแอบชอบไม่ชอบตอบ เค้าก็อาจข่มขืน
ตนเองไปใช้ชีวิตเอาเปรียบคนอื่น ทำผิดกฎหมายบางอย่างแล้วเจอจับได้ เค้าก็อาจทำร้ายคนที่ติติง
รสนิยมทางเพศเป็นเรื่องส่วนบุคคล"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เราส่วนน้อยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาท่ามกลางประชากรด้อยพัฒนาอีกหลายคนครับ"
#มิตรสหายเก็บเห็ดท่านหนึ่ง
"ขอแถลงความจริงวันนี้ เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
1) จริงๆ แล้ว ห้องนั้น "กำลัง" จะมีการเรียนการสอนฮะ และวิชานั้น ก็คือ วิชาของเราเอง !!!
แต่ฝนตกก่อนเราเดินไปถึง อย่างไรก็ตาม มีนศ.จำนวนหนึ่งไปนั่งรอเรียนอยู่ก่อนแล้วตามปกติ เพียงแต่ ตรงจุดที่ฝ้าหล่นลงมา มันเป็นพื้นที่ตรงทางเดินหน้าห้อง ไม่ใช่โซนที่นั่ง อย่างไรก็ตามอีก ใช่ว่า มันไม่อันตรายนะ เพราะหากใครเดินไปตรงนั้นพอดี ก็อาจจะ "หวิดดับ" หรือ บาดเจ็บ ได้จริงๆ ....เราถามความปลอดภัยของเด็กๆ ตอนที่ย้ายห้องลงมากันแล้ว เด็กๆ ก็ยังตอบเลยว่า "โชคดี" ที่ไม่มีใครเดินไปตอนที่มันตกลงมา ตรงนี้ แสดงว่า สื่อก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงเสียทีเดียว
2) ฝนตก ทำฝ้าถล่ม แทนที่อธิการฯ จะแสดงความห่วงใยความปลอดภัยของเด็กและอาจารย์ที่กำลังจะมีการเรียนการสอนในห้องนั้น และรีบเร่งสั่งการแก้ไข....กลับฉวยโอกาสเอาข่าวนี้มาเขียน "สนับสนุนการคุมสื่อ" ทั้งยังไปปรักปรำเค้าว่า เสนอข่าวเกินจริง โดยตัวเองนั่นแหละที่ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ดีเสียก่อนว่า "มันกำลังจะมีการเรียนการสอน" (เชิญไปเช็คได้เลยวิชา น.211 ของคณะนิติศาสตร์)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมเห็นบางคนที่บอกว่าคนรวยไม่ติดคุก
ผมว่าจับแพะชนแกะไปเรื่อยแล้วล่ะ ไม่ใช้เหตุผล อคติล้วนๆ ตัวอย่างเช่น
คุณชูวิทย์ รวยไหมครับ ติดคุกมาแล้วครับ
คุณนักการเมืองปากน้ำ อดีตสามีดาราสาว รวยไหมครับ ติดคุกมาแล้วครับ
คุณหมอสุรพงษ์ รวยไหมครับ ยังอยู่ในคุกครับ
คุณสส ปชป ยิงคนตาย รวยไหมครับ ถูกตัดสินประหารครับ
คุณเลือกเอาแค่คนที่รวย แต่หนีคดี มาอ้างว่าคนรวยไม่ติดคุก
ตัวอย่าง คนรวยที่ติดคุก ก็มีให้เห็น แต่ไม่เอามาพูดบ้าง ไม่รู้จริงๆ หรือว่ารู้แต่แกล้งไม่รู้ครับ
เอาความจริงมาพูดบ้างครับ อย่างเอาแต่เฮฮา ครื้นเครงอย่างเดียว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
*คุณนักการเมืองปากน้ำ อดีตสามีดาราสาว รวยไหมครับ ติดคุกมาแล้วครับ*
เห็นเขาว่ากันว่าข้างในอยู่สบาย แถมเข้าออกสะดวกด้วยนะครับ เอ๊ะยังไง
"ความเป็น LGBT นี่เป็นหนึ่งในข้ออ้างในการทำเหี้ยๆเหมือนความจนไปแล้วนะครับ..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พวก LGTV"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"'เนติวิทย์' เตรียมกู้ศรัทธา 'สภานิสิตจุฬาฯ'"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"สันดาน ไม่ทันไรเตรียมกู้แล้ว"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"อะไรที่ทำให้เราอยากตื่นตอนเช้าแล้วอยากไปทำ นั่นคือสิ่งที่เราชอบ"
#มิตรสหายชัชชาติ
"คือการตื่นมาแล้วได้นอนต่อนั่นเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"กูไม่ได้ชอบเยี่ยวขนาดนั้นอะ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
(แชร์ได้ไม่ต้องขออนุญาตนะคะ ^^)
เราเคยคิดว่าตัวเองไม่ควรจะเป็นเลสเบี้ยน
เราเคยคิดว่าเราไม่ใช่ “ผู้หญิง”
เราเคยคิดว่าเลสเบี้ยนคือความไม่ถูกต้องของโลกใบนี้
เราเคยกระทั่งพยายามที่จะกลับไปชอบผู้ชาย ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนตัวเอง เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อความถูกต้องที่สังคมกำหนดเอาไว้ เพื่อความสบายใจ เพื่อชีวิตในภายภาคหน้า
แล้วสุดท้ายเราก็รู้ว่าพยายามไปก็ไม่มีค่า ในเมื่อเรา born to be ที่จะเป็นแบบนี้
เราทำผิดต่อผู้คนไปมาก และไม่คิดว่าตัวเองสมควรได้รับการให้อภัย
แต่...เรากลับมองว่าสิ่งที่เราเคยทำไป ทำให้เราได้มีวันนี้ ที่เราได้เข้าใจเสียทีว่าตัวเองเป็นอะไร
เราชอบดารานักร้องผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก ในยุค TVXQ SJ เรากลับไม่เคยสนใจผู้ชายเท่านั้น แต่กลับไปชอบสาวขาสวย SNSD เสียแทน
ในยุคที่คนทั่วบ้านทั่วเมืองบ้า Harry Potter เป็นแฟนคลับรอน แฮร์รี่ หรือเดรโก เรากลับชอบลูน่ากับเฮอร์ไมโอนี่ที่สุด
ในยุคที่คนทั่วไปปลื้มดาราผู้ชาย นักแสดงผู้ชาย เรากลับชอบ 4 สาวผู้หญิงถึงผู้หญิงที่สุด ถึงขั้นรอตามดูทุกรายการที่เค้าออก (ตอนนี้ไม่ตามเพราะกาล*แ*ร์เป็นบ้าไปแล้ว ไม่ชอบ)
แล้วเราก็คิดว่าเรามันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นผู้หญิง ก็เลยมีไอดอลหญิงที่อยากจะเดินตามทางของเค้า
แต่พอโตแล้วถึงได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้มองพวกเขาแบบนั้น
.
คำว่า “ผู้หญิง” เหมือนถูกกำหนดมาอย่างตายตัวว่าจะต้องชอบเพศที่อยู่ตรงข้าม เราถึงได้มีคำว่าเลสเบี้ยน ทอม ดี้ ไบ เกย์ ตุ๊ด ฯลฯ เพื่อกำหนดเพศของกลุ่มคนประเภทอื่น แต่แท้ที่จริงแล้ว เพศถูกกำหนดด้วยอะไร อวัยวะเพศ? รสนิยมทางเพศ? หรือไลฟ์สไตล์และความชอบส่วนบุคคล?
ถ้าเราลักษณะเหมือน “ผู้หญิง” ทุกประการตามความถูกต้องที่สังคมกำหนดไว้ เช่นใส่กระโปรง และส้นสูง แต่เราชอบผู้หญิงเหมือนกัน เรามีหรือไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นเพศหญิง?
ถ้าเรารับรู้ว่าเรารู้สึกเป็นหญิง แต่เพศสภาพเราที่เขียนในใบเกิดเป็นชาย สภาพภายนอกเรายังเป็นผู้ชาย เราสามารถพูด “สวัสดีค่ะ” “ขอบคุณค่ะ” ได้อย่างสบายใจและได้รับการยอมรับหรือไม่?
เวลาผู้หญิงเฮเทโรได้รับคำถามว่า “ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย” ถ้าหากผู้หญิงเฮเทโรตอบว่า “ฉันเป็นผู้หญิงปกติ” หรือ “ฉันปกติ” คุณเข้าใจว่าเธอหมายความว่า “เธอชอบผู้ชาย” ใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นความเป็นอื่นคือความผิดปกติ...อย่างนี้มันถูกต้องแล้วหรือ?
หลายคนยังสับสนระหว่างเพศของตนเองกับรสนิยมทางเพศ
แต่ส่วนตัวเราคิดว่า มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องไปกำหนดสิ่งเหล่านั้นก็ได้ ไม่มีความจำเป็น
โอเค ใบในสมัครต่างๆ คุณอาจต้องกรอกว่าคุณเพศสภาพอะไร เป็นหญิง หรือชาย แต่ไม่มีใบสมัครที่ไหนถามว่าคุณชอบเพศอะไร ดังนั้นคุณไม่มีความจำเป็นต้อง label (ตีกรอบ) ตัวเองว่าคุณอยู่ในกรอบความเป็นเกย์ คุณอยู่ในกรอบความเป็นเลสเบี้ยน เพราะในความเป็นจริง คนที่คุณถูกใจอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณหวังไว้แต่แรก เช่น ทอมที่กลับไปชอบผู้ชาย ช่วงแรกอาจมีช่วงที่คุณตั้งคำถามกับตัวเองว่า “สรุปฉันเป็นเพศอะไรกันแน่” แต่มันเป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ ปล่อยให้ชีวิตไหลไปเรื่อยๆ ตามน้ำก็ได้ สบายใจดี ไม่คิดแบบนั้นเหรอ?
หลายคนมัก label การกระทำใดการกระทำหนึ่งว่า “มีความเป็นหญิง” หรือ “มีความเป็นชาย” ทำให้คนเรามักพูดประโยคที่ว่า “ไม่สมกับเป็นผู้หญิง/ผู้ชายเอาเสียเลย” ...เคยมีความรู้สึกรำคาญบ้างไหม?
ฉันอยากทาลิปสติก
ฉันชอบอุเอฮาระ ไอ
ฉันอยากเตะบอล
ฉันอยากใช้กระเป๋าสตางค์สีชมพู
ประโยคสี่ประโยคข้างบนให้อิมเมจของเพศนั้นๆ อย่างชัดเจนและเราก็คิดว่าคุณรู้ว่าประโยคไหนหมายถึงเพศใด
แต่สิ่งที่เราควรทำมากกว่าคือ ปล่อยให้ตัวเราเองอยู่ใน comfort zone ของตัวเอง ทำสิ่งที่อยากทำ ใช้สิ่งที่อยากใช้ พวกที่ไม่เข้าใจคือว่า asshole ที่ไม่ worth ที่จะไปคลุกคลีด้วย
ทุกวันนี้มีเพื่อนเราหลายคนที่ยังถามคำถามนี้กับตัวเองและคนรอบข้างอยู่
“สรุปกูเป็นผู้หญิงรึเปล่าวะ?”
เพราะบางทีก็ชอบดูรูปผู้หญิงเซ็กซี่
เพราะชอบใส่เสื้อผ้าอย่างชาย(อย่างชายตามที่สังคมมอง)
เพราะชอบทำกิจกรรมอย่างชาย(อย่างชายตามที่สังคมมอง)
อยากให้มองว่า รสนิยมทางเพศและไลฟ์สไตล์ ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นเพศ
ใช่ คุณอาจมีแนวโน้มที่จะชอบกิจกรรมนั้นๆ ตามเพศของคุณ ด้วยเหตุผลทางฮอร์โมนอะไรก็แล้วแต่ แต่มนุษย์ทุกคนไม่ได้ถูกสร้างให้เกิดมามีมายด์เซ็ทหรือได้รับการเลี้ยงดูมาแบบเดียวกัน
(มีต่อ)
(ต่อากเม้นบน)
คนที่รู้สึกว่า “ความเป็นหญิง” และ “ความเป็นชาย” ที่สังคมเคยกำหนดเอาไว้ยังไม่สามารถจำกัดความเป็นตัวตนของเขาได้ก็ยังมี
หากคุณเจอมนุษย์เพศชายที่ชอบเพศชาย
คุณจะเรียกเราว่าอะไร? เกย์? หรือตุ๊ด?
ยังเลือกไม่ได้ใช่มั้ย จนกว่าจะได้ทราบไลฟ์สไตล์ของเขา?
ถ้าเขาเล่นกีฬา ถ้าเขามีกล้ามใหญ่ ถ้าเขาไม่สะดิ้ง เขาเป็นเกย์
ถ้าเขาพูดขะขา ถ้าเขาใส่กระโปรง ถ้าเขาใส่ส้นสูง ถ้าเขาตัวบาง เขาเป็นตุ๊ด
...เพราะอะไรเราถึงกำหนดเพศของใครซักคนด้วยรสนิยมทางเพศและไลฟ์สไตล์ร่วมกัน?
แล้วทำไมเราต้องกำหนดบทบาทเพศชายให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และอีกฝ่ายเป็นเพศหญิงด้วย?
ทำไมต้องมีคำว่า “รุกหรือรับ?” “ทอมหรือดี้?” ทั้งที่ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ของคนสองคน หรือหลายคน มันซับซ้อนกว่านั้น
ถึงได้มีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ไร้เพศ ว่า non-binary หรือชื่ออื่นๆ อีกมาก
ความรู้สึกว่าตนเองไร้เพศเป็นยังไง?
หลายคนอาจมีคำจำกัดความที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจะขออธิบายตามที่เราเข้าใจ
คนกลุ่มนี้ปฏิเสธที่จะตีกรอบความเป็นเพศต่างๆ ตามที่สังคมได้เคยกำหนดเอาไว้ เพราะมัน “ยุ่งยาก” ที่จะต้องบอกว่าตัวเองเป็นเพศอะไร แต่ทำไมรสนิยมทางเพศแตกต่าง แล้วทำไมไลฟ์สไตล์ถึงได้ไม่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเพศนั้นๆ ตามที่สังคมได้เคยกำหนดไว้ การจับตัวเองลงกล่องไร้เพศจึงให้ความสบายใจกับพวกเขามากกว่า
ซึ่งเราก็เห็นด้วย
อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองเคยพูดอะไรผิดไปกับเพื่อนๆ ของตัวเองหรือเปล่า?
สรุปแล้ว ความเป็นเพศ ประกอบด้วยอะไรบ้าง? อวัยวะเพศ? รสนิยมทางเพศ? ไลฟ์สไตล์และความชอบ? ...หรือมีสิ่งอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีก?
เอาเป็นว่า ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อความข้างบน
อย่างน้อยก็ช่วยเลิกพูดประโยคจำพวก
“ไม่สมกับเป็นผู้หญิงเอาเสียเลย”
“ไม่สมกับเป็นผู้ชายเอาเสียเลย”
“ฉันเป็นผู้ชายปกติ”
“ฉันเป็นผู้หญิงปกติ”
“หล่อแบบนี้ไม่น่าเป็นเกย์เลย”
“สวยแบบนี้ไม่น่าเป็นดี้เลย”
เพราะการไม่มีเพศหรือการไม่ใช่เพศที่สังคมต้องการ ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีตัวตน เรายังต้องการสิทธิในการใช้ชีวิตเท่าเทียมกับทุกคน และยังอยากได้รับการยอมรับว่ามีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่สิทธิในการมีชีวิตอยู่เหมือนเป็นผี เป็นความอัปยศไม่น่ามอง
ป.ล. ยาวอ่ะ เรียบเรียงไม่ค่อยจะถูกเหมือนกัน คิดอะไรได้ไว้จะค่อยมาเขียนเพิ่มในคอมเมนต์
ป.ล.2 อยากใช้รูปตัวเองเพราะเขียนเอง แล้วก็ไม่อยากให้โพสต์มันตกหายไป อยากให้ยังอยู่ใน timeline photo เพราะงั้น ด่าก็ได้แต่อย่าแรงมาก จิตใจบอบบาง
ป.ล.3 ความจริงยังอยากอยู่เฟสนี้เงียบๆ อยู่ แต่โพสต์นี้จะลองเปิดพับลิคดู รู้สึกไม่สบายใจเมื่อไหร่จะปิดกลับให้เห็นแค่เพื่อนเหมือนเดิม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คนที่อยู่ๆไปแล้วเพื่อนเลิกคบไปเรื่อยๆนี่ต้องเป็นขนาดไหนหว่า แล้วเขาจะคิดยังไงกับตัวเองมั่งมั้ย"
วิธีตรวจสอบคุณภาพประชากรประเทศด้อยพัฒนาหรือพัฒนาแล้ว
เมื่อวานนี้ทาง Google จะกำหนดปิดปรับปรุง datacenter ภูมิภาคSEA ซึ่งมี Datacenter ที่ปีนังและสิงคโปร์จะทำการ MA network
พูดภาษาเด็กมาหน่อยก็ ปิด server ชั่วคราว
จึงได้ทำการแจ้งหน่วยงานให้เตรียมรับมือ อนิจจา 3bb พนักงานดันขี้เกียจไปหน่อยผลคือเน่าทั้งยวงแถมยังแก้ผ้าเอาหน้ารอดด้วยการไปผูกกับ ais ทำเอาทราฟฟิกติดขัดกันถ้วนหน้า
ถ้าผู้คนที่เจริญแล้วเขาจะรีบหาสาเหตุ แล้วพิจารณาว่ามันอะไรกันแน่ก่อนจะวิจารณ์ลงไป
ส่วนพวกด้อยพัฒนารอคนป้อนอะไรมาก็เฮโลด่าทันที เช่น ซิงเกิ้ลเกตเวย์โว้ย รัฐเอาดำน้ำไปตัดสายเคเบิ้ล รัฐบาลทำแน่ๆ พอมีคนไปแย้งก็ไม่ฟัง
แถมแม้แต่ wm ไอทีชื่อดังยังสวนกลับมาว่ามึงก็มาเขียนข่าวเองสิ (แต่ถ้ามึงพลาดโดนแบนนะเออ)
"I hate 3 things:
Racism. Sexism.
And white men."
#มิตรสหาย feminazi ท่านหนึ่ง
"ถ้าคุณเป็นคนหนุ่มสาว แล้วคุณไม่พูดเรื่องสวัสดิการสังคม คุณไม่มีหัวใจ
แต่ถ้าคุณแก่แล้ว คุณไม่พูดเรื่องการหลบเลี่ยงภาษี คุณไม่มีเงิน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
super robot series คือออสการ์ของวงการเมะหุ่นยนต์
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เพิ่งจะรู้ว่าเฟซบุ๊กมีระบบช่วยในการทำใจได้ง่ายขึ้นเวลาเราเลิกกับแฟน เขาจะช่วยซ่อนไม่ได้เราเห็นการอัปเดตของแฟนเก่าหรือกลุ่มเพื่อนของแฟนเก่า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เขาบล็อกมึงหรือปล่าว"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"สิ่งที่หนังฉลาดเกมส์โกงไม่ได้พูดถึงคือเด็กที่จนและเรียนไม่เก่งนะครับ คือจะเข้าโรงเรียนห่านี่ก็คงจ่ายเป๊ะเจี๊ยะไม่ได้แต่แรก ถึงเข้ามาได้ก็ไม่มีปัญหาจ่ายเงินซื้อโปรฯโกงข้อสอบ ก็เน่าตายในโรงเรียนที่ขาดแคลนทรัพยากรใกล้บ้านไป โตมาก็เป็นฐานให้พวกห่าทั้งหมดในหนังนี่เหยียบอีกที"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าเราไม่มีวัฒนธรรมการเดิน ฟุตปาธเลยแคบ แต่เพราะฟุตปาธแคบเราเลยไม่มีวัฒนธรรมการเดิน กรุงเทพฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเมืองที่ออกแบบโดยนักวางผังเมืองชาวอเมริกาโดยมีแอลเอเป็นต้นแบบ ตั้งใจให้เป็น "เมืองสำหรับรถส่วนตัว" แต่แรก รัฐให้นักพัฒนาที่ดินประมูลพื้นที่ข้างถนนใหญ่ไปพัฒนาตามใจ ทำให้เกิดการขุดซอย บางแห่งคือถมคลองที่เส้นทางน้ำตามธรรมชาติ ส่งผลให้ถนนซอยบางซอยคดเคี้ยวประหลาด บางซอยก็ลึกจากถนนใหญ่มากจนไม่แคร์ว่าคนจะเดินจากปากซอยเข้าท้ายซอยไม่ไหว และด้วยการที่นักพัฒนาที่ดินอย่างสร้างมูลค่ากับพื้นที่ที่ได้มากที่สุด จึงจัดสรรให้ที่ดินไปเป็นตึกอาคารเพื่อเช่าขาย แล้วพื้นที่สาธารณะอย่างทางเดินฟุตปาธหรือถนนเข้าออกเองก็แคบ
สามารถหาอ่านประเด็นนี้ได้ในวิทยานิพนธ์คนอิตาลีคนนี้ที่เขามาทำเรื่อง วินมอเตอร์ไซค์ในกรุงเทพฯ สาเหตุนึงของการเกิดวินก็มาจากผังเมืองที่ไม่สนับสนุนให้คนเดินเท้าได้ แม้แต่มี bts mrt ก็ยังต้องมีวินตามสถานีต่าง ๆ เพราะหลังจากลงรถมาจะไปไหนก็เดินต่อไม่สะดวกอยู่ดี (แต่เดี๋ยวเขาจะออกเป็นหนังสือเล่มปีนี้นะ ถ้าจำไม่ผิด)
https://dash.harvard.edu/bitstream/handle/1/11169780/Sopranzetti_gsas.harvard_0084L_11155.pdf?sequence=1
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>430
"ก็มันไม่ใช่หนังเพื่อชีวิตนี่ ไอ้ห่า เหมือนมึงดูยิปมันแล้วคาดหวังประธานเหมาอ่ะ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ยิปมันกับเหมาเกิดปีเดียวกันด้วยนะฮับ แต่สิ่งที่หนังยิปมันไม่ได้พูดถึงคือความเจ็บแค้นของชาวนาที่ต้องเติบโตขึ้นมาเข้าฉากให้ไอ้ปรมาจารย์นั่นกระทืบอีกทีนึงน่ะฮับ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
กูไปดีกว่า ไม่อยู่เมืองไทยแล้ว ไม่เอาแล้วหลอกลวงกันตลอดเลย หาความจริงได้ยากจริงๆ
บัวขาว ตัวดำ
ซีอิ๊วขาว สีดำ
เข้าห้องสมุด มีแต่หนังสือ
ปลูกถั่วเขียว ได้ถั่วงอก
เตารีด แต่กูรีดเอง
โอเลี้ยง กูจ่ายเอง
ปะยาง 24 ชั่วโมง ทำไม่ถึง 5 นาที
สั่งข้าวราดแกง แต่เอาแกงราดข้าว
สั่งข้าวต้มมัด ได้ข้าวเหนียวห่อกล้วย
สั่งผัดไทกุ้งสด ได้ผัดไทกุ้งสุก
สั่งเส้นใหญ่แห้ง ก็ลวกมาให้แฉะๆ
สั่งนมเย็น ได้นมใส่น้ำแดง
ม.ศรีปทุม>อยู่กรุงเทพ
ม.กรุงเทพ>อยู่ปทุมฯ
ครูลิลลี่>สอนไทย
ครูสมศรี>สอนอังกฤษ
สั่งส้มตำ=ได้มะละกอตำ
สั่งไข่ดาวน์=แต่จ่ายสด
ตอนกูมีชีวิตอยู่ ที่กูชอบก็ไม่ให้ไป พอตอนกูตาย ดันบอกให้ไปที่ชอบที่ชอบ..... เบื่อจริงๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันยากที่จะไม่ใช่มลายู
ระยะหลัง ได้ยินการบอกเล่าของคนพุทธ หรือคนกลุ่มน้อยในพื้นที่สามจังหวัดไปในทางที่หมดจิตหมดใจมากขึ้นทุกที วันนี้เจอพี่คนจีนที่อยู่ที่นี่มาสามสิบปีคนหนึ่งถามว่าช่วงนี้เป็นไงบ้าง อยู่ที่นี่สบายใจดีอยู่ไหม คิดจะย้ายไปที่อื่นบ้างไหม แกคงได้ยินอะไรเกี่ยวกับเรามาบ้างแหละถึงได้ถามตรงๆเอาแบบนี้ วันเดียวกันเพื่อนอาจารย์คนหนึ่งใน ม.อ.ตานี ก็บ่นๆให้ฟังว่าเขาเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปู่ย่า ไม่ใช่คนมาจากอยุธยา แต่เขาไม่ใช่มุสลิม ยังถือว่าเป็นคนที่นี่เป็นมลายูได้ไหม
ช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อน นักศึกษาใน ม.อ.ตานีหลายคนโพสข้อความแสดงความไม่สบายใจ บางคนผิดหวังกับการมาเรียนที่นี่ หลายคนตั้งใจจริงๆอยากมาอยู่ มาเรียนรู้ สิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดไม่ใช่สถานการณ์ความรุนแรง แต่กลับเป็นนักศึกษาด้วยกันเองที่กีดกันความเป็นอื่น อะไรที่ไม่ใช่อิสลาม มลายู จะค่อยๆถูกลดความสำคัญ ถูกผลักออก ถูกทำให้ไร้ตัวตนมากขึ้นเรื่อยๆทั้งที่ ม.อ.ไม่ใช่มหาวิทยาลัยอิสลาม
พี่คนแรกเปรยว่าถ้า อ.อันอยากไป ก็คงไปได้ แต่พี่ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ไหนแล้ว สามสิบปีที่ผ่านมาการแบ่งแยกกันมันแย่ลงเรื่อยๆ วันก่อนพี่เล่นกับเด็กมุสลิมตัวเล็กๆ แม่เค้ารีบพาลูกออกไป บอกเด็กว่าอย่าเล่นกับซีแย พูดนายู แต่พี่เขาฟังเข้าใจ
เด็กพุทธกลุ่มหนึ่งมาจากนคร ไปไหนไปเป็นกลุ่ม เราถามว่าไม่มีเพื่อนมุสลิมเหรอ เขาบอกว่ามี แต่ที่สนิทกันมีไม่เยอะ เราถามว่าไม่หัดพูดนายูเหรอ เขาบอกว่าอยากพูดมากๆ แต่พอหัดแล้วก็โดนล้อ โดนหัวเราะใส่ บางทีสอนคำสัปดนให้ก็มี อยู่มาสามปีเขาเลยพูดไม่ได้และยอมแพ้ไป
พระภิกษุรูปหนึ่งเล่าให้ฟังว่าโดนกับตัวเอง คือโดนเด็กวัยรุ่นมุสลิมล้อ ขึ้นรถเมล์ปตน.-ยะลา ก็ถูกแกล้งตบหัว แกบอก "เขาสอนกันมาให้เกลียดเรา"
เคยอ่านสเตตัสน้องนักกิจกรรมมลายูหนุ่มๆคนหนึ่งที่เถียงสู้คนอื่นเชิงหลักการไม่ได้ เลยโพสสเตตัสว่าถ้าใครไม่พอใจก็ให้ออกจากสามจังหวัดไป น้องคนนี้เราอันเฟรนด์ไปแล้วไม่ใช่เพราะสเตตัสนี้ แต่เพราะสเตตัสอีกอันที่เหยียดเพศเพื่อนเรา
หลังๆภาคประชาสังคมกระแสหลักก็เคลื่อนไหวกันไปในทิศทางที่เชิดชูวัฒนธรรมเชิงเดี่ยว หรือวัฒนธรรมกระแสหลักกันมากขึ้น ไม่พูดถึงวัฒนธรรมแบบอื่น คนอื่นๆที่อยู่ในพื้นที่นี้ การเคลื่อนไหวเรื่องความเป็นปาตานีก็เหมือนกัน เต็มไปด้วยความลักลั่นย้อนแย้ง ไม่ต้องพูดถึงงานภาครัฐหรอกค่ะ เพราะนั่นงมๆงุมๆกันไปเรื่อยเปื่อยมานานแล้ว ความหลากหลายและวัฒนธรรมนี่เป็นอะไรที่ไม่เคยอยู่ในระบบคิดของรัฐไทยอยู่แล้ว
ที่พูดนี่ จะบอกว่าได้ยินมากับหูทั้งนั้นนะคะ บางทีเขาไม่พูดนอกกลุ่มหรอกคนเหล่านั้น เพราะเขารู้สึกไม่ปลอดภัย
เพื่อนคนนึงที่กรุงเทพฯถามเราว่า ทำไมเขาถึงทำกับคนอื่นแบบเดียวกับที่ตัวเองก็ถูกทำ ซึ่งเราก็พูดไม่ออกนะ มันอนาถใจเกินไป
มีหนังสือชื่อว่า "มันยากที่จะเป็นมลายู" ก็คงจะต้องมีอีกเล่มที่ชื่อ "มันยากที่จะไม่ใช่มลายู" ด้วย ความคิดคับแคบ ใจที่คับแคบ มันไม่เลือกคน ไม่เลือกชาติ ภาษา ศาสนาหรือสถานที่ ได้แต่หวังว่าจะเห็นปัญหาพวกนี้กันสักที และเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันบ้าง
ที่นี่มีความงดงามมากมาย ความน่าเกลียดอัปลักษณ์ก็เยอะ และของอย่างหลังบางทีก็มาแบบแนบเนียนมาก อ้างความดี อ้างศีลธรรม แม้แต่ศาสนาก็ถูกเอามาทำให้ความทุเรศทุรังเหล่านั้นชอบธรรมด้วย ที่สำคัญ ไม่มีใครอยากวิพากษ์ตัวเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>435 กูเคยอยู่ 3 จชต. อีมิตรสหอยดอกนี่มันคงได้ยินมาจากพวกเหยียดมุซซี่จริงๆ กูเคยอยู่กับคนกลุ่มนี้ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ว่านะ ไม่เหยียดอะไรด้วย เข้าหาง่าย เรื่องเพศอะไรนี่ก็ไม่แบ่งแยก ต่างคนต่างเข้าใจ เวลาไปเที่ยวไหน แดกอะไรก็คุยกันได้ ไม่ขัดแย้งกันเพราะเรื่องศาสนา ส่วนพวกเคร่งจนตีตัวห่างจากไทยพุทธก็มีแต่โคตรกลุ่มน้อยมากๆหว่ะ สังคมแทบไม่สนใจ แล้วปัตตานีที่ผ่านมากูเคยเที่ยวก่อนเจอระเบิดนะ มุซซี่เยอะจริง แต่กูว่าไม่น่าจะถึงขนาดแย่งแยกหว่ะ
ไม่รอด Ahok นักการเมืองคริสเตียน ซึ่งนอกจากแพ้เลือกตั้งผู้ว่าฯ จาการ์ตา ยังโดนศาลลงโทษจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา (อัยการเสนอ 2 ปีแต่ให้รอลงอาญา) ในข้อหาหมิ่นศาสนา ไม่ได้ประกันตัว ศาลสั่งขังระหว่างอุทธรณ์
ความผิดฐาน #blasphemy ผมว่าคล้าย ๆ กับความผิดฐาน<เซ็นเซอร์> การตีความมันกว้างมาก ๆ และเป็นฐานความผิดที่เป็นอันตรายต่อเสรีภาพในการแสดงออก และไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งไม่มีฐานความผิดแบบนี้ รวมทั้งยังมักถูกใช้เป็นแรงจูงใจทางการเมืองด้วย น่าสนใจว่าคดีนี้จะกระทบกับความเป็นพหุนิยมทางวัฒนธรรม multiculturalism ของอินโดนีเซียอย่างไร เป็นทิศทางที่น่ากังวล
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ส่วนกูแต่งเองจากตัวกูไม่ต้องลอกเพจ
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
กฎหมายห้ามขายเหล้าในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนามันสะท้อนความอ่อนแอของศาสนาพุทธสุดๆ เลยนะ
ยิ่งเมื่อให้เหตุผลว่าเพื่อให้ลด ละ เลิก อบายมุขในวันพระ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าตัวคำสอนศาสนาเองไม่มีอำนาจยับยั้งการกระทำที่เป็นข้อห้ามศาสนา ไม่มีน้ำหนักพอที่จะควบคุมพฤติกรรมสาวกออกห่างจาก "อบายมุข"
แค่คำสอนศาสนามันไม่มีน้ำหนักพอ ถึงได้ต้องออกกฎหมายมาห้าม ใช้อำนาจรัฐบังคับให้ทุกคนทำตามความเชื่อของศาสนาหนึ่งแม้คนอื่นจะไม่ได้เชื่อเหมือนตัวเองก็ตาม เพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ รักษาหน้าของศาสนาให้ได้ชื่อว่ามีศีลธรรมอันดีงาม
และไอ้คำพูดจากชาวพุทธประเภท "ถ้าอยากแดกเหล้ามาก ทำไมไม่ซื้อไว้ก่อน" "ทำไมไม่รู้จักวางแผน" มันยิ่งสะท้อนว่าชาวพุทธจำนวนมากเคยตัวกับการยัดเยียดความเชื่อแบบพุทธๆ ให้คนอื่นอยู่เป็นประจำ
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าวางแผนหาเหล้ามากินได้หรือไม่ แต่มันอยู่ที่คุณเอาความเชื่อส่วนบุคคลของคุณมาห้ามคนอื่นทำไมตั้งแต่แรก
ถ้าลองมีกฎว่าวันถือศีลอดของอิสลาม ห้ามขายอาหารบ้าง คนพวกนี้จะรู้สึกทันทีว่า "กูไม่ได้นับถืออิสลาม จะมาบังคับกูอดทำไม" แต่พอตอนความเชื่อฝั่งตัวเองไปยัดเยียดให้คนอื่นจะไม่รู้สึกตัว
จะลดละเลิกสุราเพื่อบูชาความเชื่อของตัวเอง ยังต้องให้เป็นภาระคนอื่น
ถ้าชาวพุทธเคร่งครัดในคำสอน ถ้าชาวพุทธเห็นว่าคำสอนมีความหมาย มีน้ำหนัก ต่อให้มีอบายมุขวางขายเค้าก็คงไม่ซื้อมากิน
แต่สิ่งที่เป็นอยู่คือ กูนับถือพุทธนะ แต่กูเลือกทำตามแค่บางอย่างและบางเวลา ขณะเดียวกันก็กระสันต์อยากให้เมืองไทยเป็นเมืองพุทธเหลือเกิน ถึงได้ต้องสร้างกฎมาบังคับให้เป็นเมืองพุทธแบบเปลือกๆ
ตกลงเมืองพุทธมันหมายถึงเมืองที่คนส่วนใหญ่ศึกษาคำสอนพุทธและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด สม่ำเสมอ หรือเมืองที่เอาความเชื่อของชาวพุทธไปยัดไว้ในกฎหมายแล้วบังคับยัดเยียดให้ทุกคนต้องทำตามพุทธของกูกันแน่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>438 กูมีเพื่อนเป็นคนสามจังหวัดสิบกว่าคน มุสลิมส่วนใหญ่ พุทธบ้าง บอกเลยว่าไอ้>>435 นี่แม่งมั่วแน่นอน คนแถวนั้นนิสัยดีมาก พวกหัวรุนแรงส่วนน้อยบอกเลย มันก็ไม่ชอบพวกบึ้มๆ อะไรกันด้วยเพราะที่โดนๆ กันก็คนในพื้นที่ทั้งนั้น แต่รู้ป่ะพวกนี้ทั้งหมดแม่งด่าทหารตลอด แต่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่นะ 55555 งงป่ะ กูก็งงแต่มันว่างี้
>>439 ยังดีนะที่พวกสายกลางแถวนั้นเยอะ เห็นรวมประท้วงกันอยู่
"ผู้กู้ ผู้ผ่อน ผู้เบิกเงิน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไอ้วลี "ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม" อะไรนั่น
หลายๆคนพูดง่ายๆเพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พูดเอาสนุก บางทีคดีมันก็ต้องมีขั้นตอนป่าววะ
ถ้ามันไม่ได้ช้ามากขนาดไอ้ลูกกระทิงแดงนั่นมันก็ยังพอหยวนๆอยู่ นี่แม่งบางคดีเกิดวันนี้ พรุ่งนี้เริ่มสืบ
ก็เอาวลีห่านี่มาใช้กันละ แล้วพอจับผิดคน คนจับก็โดนด่าว่าจับแพะอยู่ดี ส่วนคนเร่งๆนี่หายหัวไม่ออกมารับผิดชอบอะไร
"วันหยุดมันได้มาด้วยกฎหมายแรงงาน ที่ระบุว่านายจ้างต้องให้ลูกจ้างมีวัดหยุดได้ไม่น้อยกว่ากี่วันต่อปี ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นวันไหนบ้าง
แต่พอดีรัฐไทย เอาจำนวนวันพวกนั้นมากระจายลงในวันสำคัญของพุทธ องค์กรเอกชนอื่นๆ ก็ทำตามเพราะสะดวกในการจัดการ
คือจริงๆ จะไม่ให้หยุดในวันศาสนาก็ได้นะ แต่ก็ต้องให้หยุดวันอื่นแทน
การมีวันหยุดงาน ไม่ใช่บุญคุณของศาสนา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้เราจะมานำเสนอ ท่าไม้ตายในการโต้เถียงที่ชื่อว่า Ad hominem
Ad hominem คือ วิธีการโต้เถียง โดยโจมตีไปที่ตัวคู่สนทนาแทนที่จะโต้แย้งเนื้อหาที่คู่สนทนาเสนอออกมา
พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าคู่สนทนาจะอธิบายให้เหตุผลอะไรออกมา ก็ไม่ต้องไปสนใจ หยิบเอาหน้าตา รูปร่าง เพศ สถานะ ฯลฯ ของคู่สนทนามาแย้งเลย
เพราะมึงเป็นผู้หญิง มึงเป็นเด็ก สิ่งที่มึงพูดจึงไม่ถูก
ตัวอย่างเช่น
A: การห้ามขายเหล้าในวันสำคัญทางศาสนาไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการเอาความเชื่อส่วนบุคคลของคนกลุ่มหนึ่งไปบังคับใช้กับคนอื่นที่อาจจะไม่ได้เชื่อแบบเดียวกัน
B: มึงอยากแดกเหล้ามากเหรอ อดซักวันก็ไม่น่าจะลงแดงตายนะ
เทคนิคนี้มีประโยชน์มากเวลาไม่เห็นด้วยกับฝั่งตรงข้าม แต่ไม่อยากใช้สมองคิดหาเหตุผล
ชมตัวอย่างการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่โพสต์ก่อนหน้า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เดี๋ยวตอนกินเจพวกเอทิธต์มันก็ออกมาดิ้นต่อ
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ปีนี้พระโคเคลือบนาโนซิลเวอร์มาร์เบิ้ล
ท่านว่าจะมีการทุ่มงบโฆษณาอีกโข"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พระโคเรียคิง หนึ่งแถมหนึ่งเลี้ยงวันนี้แถมคันไถซิลิโคนไปอีกหนึ่งแอก"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"พระโคโนะบังกุมิวะ โกรันโนะสปอนเซอร์โนะเทเคียวเดโอคุริชิมัส"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
“เราเป็นคนอยุธยา เกิดมาในครอบครัวมุสลิม ตอนเด็กๆ เราแฮปปี้กับการเล่นกับเพื่อนผู้หญิง พอเข้ามัธยมชัดเจนมากขึ้น แม้แต่งตัวแบบผู้ชาย แต่รู้สึกอยู่ตลอดว่าตัวเองไม่ใช่ เลยดึงกางเกงสูง ไว้ผมปอยด้านหน้า ทาแป้งดูแลตัวเอง เราเริ่มลำบากใจในการไปละหมาดที่มัสยิด เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่ทางของตัวเอง และลำบากใจที่อยู่กับผู้ชายเยอะๆ มีอยู่ครั้งนึงอิหม่ามพูดว่า ‘การเป็นทอมเป็นกะเทยมันบาป พ่อแม่ควรสอนลูกในทางที่ถูกต้อง’ คงพูดไปตามหน้าที่ ไม่ได้จงใจบอกใคร พอได้ยินเราก็ไม่สะดวกใจที่จะอยู่ตรงนั้นต่อ หลังจากนั้นเราเปลี่ยนมาละหมาดที่บ้าน ปกติหลังเลิกเรียนเราต้องมาเรียนศาสนาที่มัสยิดแถวบ้าน มันมีอัลกุรอานเล่มเล็ก-เล่มใหญ่ พอเรียนจบเล่มใหญ่ เราขอไม่เรียนต่อ ชีวิตค่อยๆ ถอยออกจากสังคมมุสลิม แต่ความศรัทธายังอยู่นะ เรายังถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ยังละหมาดที่ห้อง แม้ไม่ครบทุกครั้งก็ตาม
“ถึงไม่เคยคุยกัน แต่ที่บ้านรับรู้เรื่องตัวตนเราตลอด พ่อไม่ว่าอะไร แต่แม่จะคอยเบรค พอขึ้นมหาวิทยาลัย เราเข้ากรุงเทพฯ มาเรียนธรรมศาสตร์ ช่วงแรกยังแต่งชาย ขึ้นปี 2 เราขออยู่หอ เพราะเรียนหนักและทำกิจกรรมเยอะ กว่าจะเลิกก็ดึก เราเริ่มแต่งผู้หญิงตอนอยู่มหาวิทยาลัย กลับบ้านก็เปลี่ยนเป็นชุดผู้ชาย จนกระทั่งวันนึง เราขอนัดคุยกับพ่อแม่ เพื่อบอกพวกเขาว่า ‘เราต้องการแต่งตัวแบบผู้หญิง อยากให้เปลี่ยนโฟกัสจากความเป็นมุสลิม มาที่จะใช้ชีวิตยังไงให้คนรอบตัวรัก ขอให้มองกว้างมากกว่าเรื่องศาสนา’ ปรากฏว่าพ่อแม่ร้องไห้ บอกว่าเป็นความผิดของเขาที่เลี้ยงเรามาไม่ดี เป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก ครั้งนั้นแม่บอกว่า ‘รี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราเป็นมุสลิม’ เราตอบเขาไปว่า ‘ต่อให้ตัดผมสั้น แต่งตัวเป็นผู้ชาย ภาวะข้างในของรี่ก็ผิดศาสนาอยู่ดี’
“เอาจริงๆ ในใจเราเหมือนมีปม เพราะศาสนาบอกว่า ‘คุณเป็นแบบนี้ไม่ได้’ แล้วยังบอกอีกว่า ‘ถ้าลูกทำเรื่องไม่ดี พ่อแม่ได้รับบาปเป็นสองเท่า’ เพื่อชดเชยในสิ่งที่เราเป็น เราบอกตัวเองตลอดว่า การเป็นเด็กดีและเรียนเก่งจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจและรักเรา แม่ยังโฟกัสความเป็นมุสลิม พูดเรื่องการแต่งอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งวันรับปริญญา แม่มาพูดว่า 'ไม่คิดว่ารี่จะมีคนรักมากขนาดนี้’ วันนั้นได้ของขวัญเยอะมาก เราเป็นเด็กกิจกรรม รุ่นน้องรุ่นพี่รัก คำพูดของแม่ปลดล็อคตัวเขาเอง แม่พูดเรื่องศาสนาน้อยลง แต่พอมีอีเวนท์ศาสนาก็สะกิดชวน เราพูดตรงๆ ว่า ‘ไม่สะดวกใจที่จะไป’ หลังจากนั้นก็ไม่มีคำถามอีก ทุกวันนี้เรามีอาชีพมั่นคง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้เราเป็นแบบนี้ แต่พวกเขาพึ่งพาเราได้ เมื่อก่อนพวกเขาบอกว่าเราคือลูกชาย ตอนนี้ใครถามก็บอกว่าลูกสาว”
- - -
ไม่ว่าคุณคือเพศไหน เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เราควรใช้หลักสถิติ บอกตัวเลขความจริง(สุ่ม) เยดคนติดเอดส์โอกาส 1/2500 ไม่ใช่ไปบิดเบือนมัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"งั้นมึงก็ไปเยดคนติดเอดส์ดูสิ"
มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ขอเยดหน่อยนะ โอกาสตั้ง1/2500 แน่ะเธอไม่ติดเอดส์หรอกจ้ะ"
#ขี้เงี่ยนจนติดเอดส์ตัวหนึ่ง
ครั้งเดียวก็ติดแล้วสัด อย่าทำข่างคลิกเบท
การอ้างว่า "เป้าหมายของทุกศาสนาคือทำให้คนเป็นคนดี" เพื่อปกป้องศาสนา เป็นตรรกะวิบัติเพราะ
1. เลือกที่จะพูดถึงแต่เป้าหมายที่ให้น้ำหนักฝ่ายผู้กล่าวอ้าง จริงๆผู้ก่อตั้งศาสนาอาจมีเป้าหมายอื่นด้วย
2. เป้าหมายดีแค่ไหนไม่สำคัญเท่าทำได้ตามเป้าหมายหรือเปล่า ใครๆก็ตั้งเป้าหมายให้ตัวเองดูดีได้
3. มองข้ามผลกระทบที่ไม่ดีต่างๆที่มาพร้อมกับศาสนา
4. ความดี เป็นสิ่งที่แต่ละศาสนาตีความไม่เหมือนกันและขัดแย้งกัน สิ่งที่ศาสนานึงเรียกว่าดีอาจไม่ดีในศาสนาอื่น เช่น พุทธสอนว่าอย่าฆ่าสัตว์ แต่คริสต์สอนว่าสัตว์เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้มนุษย์กิน ฯลฯ ฉนั้นการบอกว่า"เป้าหมายคือทำให้เป็นคนดี"จึงไม่มีน้ำหนักหากไม่มีการตีความกันก่อนว่าความดีที่หมายถึงในที่นี้คือดียังไง
(5,6,7...) เชิญพิมพ์เพิ่มเติมในคอมเม้น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ยุคสมัยปู่ย่าตายายกู แถวบ้านกูเขาใช้ควายไถนา ไม่ค่อยมีคนใช้วัวไถนากันเพราะมันสู้แรงควายไม่ได้ ไม่ชอบน้ำ ไม่รู้ที่ภาคกลางเขาใช้วัวหรือควายทำนา คนที่คิดพิธีแรกนาขวัญชะรอยจะไม่นิยมวิถีที่คนแถวบ้านกูใช้ทำนากัน เลยเลือกใช้วัวในการทำพิธี อีกทั้งวัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ อนึ่ง หากใช้ควายในพิธีแรกนาขวัญ ก็ต้องเรียกควายว่า พระควาย คงไม่เป็นที่ชอบใจนักหากเขาจะต้องยกสัตว์ใช้แรงงานชั้นรากหญ้าให้ขึ้นเป็น พระ"
#มิตสหายท่านหนึ่ง
ไม่ค่อยอยากเชื่อว่ะ ว่าอินเดียกล้าใช้วัวไถนา กูเคยไปทำธุระตอนใต้แถวๆ ทะมินนาดู
ในตัวเมือง มึงจะเห็นวัวเดินไปมา เหมือนหมาจรจัดเลยแหละ คนก็ไม่กล้าไปทำอะไร
>>465 อินเดียใช้วัวไถนา เทียมเกวียน ลากรถลาก เเละอื่นๆ
ดูได้จากในชาดกของพุทธกับตำนานฮินดู มีการพูดถึงวัวว่าใช้ไถนาเเละลากเกวียนอยู่ทั่วไป เเสดงว่าใช้วัวไถนามานานเเล้ว
-นันทิวิศาลชาดก วัวลากเกวียน
-คามณิจันทชาดก "เมื่อฝนตกในฤดูทำนาจึงไปยืมโค ๒ ตัวจากเพื่อนบ้านมาไถนาทั้งวัน"
-โสมทัตตชาดก "ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้ามีโคสำหรับไถนาอยู่สองตัว"
etc.
คนญี่ปุ่นมีอยู่สองประเภท
ประเภทแรกคือใช้ Excel ทำทุกอย่าง
ประเภทที่สองคือใช้ PowerPoint ทำทุกอย่าง
"Q: คนดำติดอะไรมากกว่าไก่ทอดและกัญชา?
A: ตาราง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เป็นวิจารณญาณส่วนบุคคลโปรดใช้ความเชื่อในการรับชม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"งานวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์เกือบทุกชิ้นยืนยันว่า ความยากจนไม่เกี่ยวข้องกับความเกียจคร้าน แต่เป็นผลที่เกิดจากโครงสร้างผลประโยชน์ การจัดสรรรายได้ที่ไม่เป็นธรรม คอรัปชัน และการจำกัดโอกาสทางด้านการศึกษา อาชีพและการรักษาโรคของคนจนโดยผู้มีอำนาจ" #มิตรสหายท่านหนึ่ง
คำถามที่ผมชอบใช้ทดสอบพื้นฐาน "การคิดเป็นขั้นตอน คิดเป็น logical reasoning/functional chain" รวมถึง "problem solving & abstraction" ก็คือ
1. ให้อธิบายว่าเราจะหาตัวประกอบที่เป็นจำนวนเฉพาะของตัวเลขตัวหนึ่งได้ยังไง
2. ให้อธิบายขั้นตอนการหาจำนวนคำที่เป็น palindrome จากทั้ง text file
3. ให้ abstract/เขียน "เอากระดาษแผ่นนี้ไปถ่ายเอกสารแจกคนทั้งห้อง" ในรูปแบบของ functional (แน่นอนว่า function มันสามารถ compose กันได้นะ ... ใบ้ให้)
4. ให้อธิบายว่าเราจะหาคำๆ หนึ่งในพจนานุกรมเจอได้ยังไง (แล้วถ้าเปลี่ยนจากพจนานุกรม เป็นรายการคำอะไรก็ได้ล่ะ จะต่างกันมั้ย)
5. ให้อธิบายว่าเราจะหาบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านเจอได้ยังไง โดยไม่ถามทางคน
6. ให้อธิบายขั้นตอนของการหาระยะห่างระหว่างเส้นตรง y = mx + c (หรือจะ ax + by + c = 0 ก็ได้นะ ไม่ขัด) กับวงกลม (x+m)^2 + (y+n)^2 = r^2
7. [ลอกเพื่อนมา] ให้อธิบายการหา Friends of Friends
8. [ต่อยอดจากข้อก่อนนี้ แต่อันนี้ไม่ได้ลอก -- และยากหน่อย] แล้วลองคิดดู ว่าถ้าอยากรู้ว่าในบรรดาพวกนี้ ใคร "ใกล้" กับเราที่สุด เพื่อจะ recommend แค่ N คน นี่ต้องทำยังไง
อย่างที่บอกหลายครั้ง ผมสนใจกระบวนการคิดของคนมากกว่าคำตอบสุดท้าย
พวกที่บอกว่า "ก็ใช้สูตร" นี่โยนทิ้งก่อนเลย พวกนี้มีแนวโน้มจะ over-reliant กับสิ่งที่คนอื่นทำมาแล้ว เรียก function เดียวไม่ได้บอกติดปัญหา หาใน stack overflow ไม่เจอก็เลิก ถึงจะเจอก็แค่ copy แปะส่งๆ แบบไม่คิด
พวกที่บอกว่า "ก็หาไปเรื่อยๆ ลองทีละตัว" นี่ไม่น่าสนใจ พวกนี้มีแนวโน้มจะไม่ทำความเข้าใจปัญหาอะไรให้ดี เอะอะจะวนลูป brute-force อย่างเดียว (หลายคนคิดว่า loop, if-else นี่ก็ถือว่าเป็นขั้นตอน เป็น logic แล้ว มีแค่นั้นพอ)
พวกที่บอกว่า "เราก็ลองเอาตัวนั้นตัวนี้มาแทนค่า ลองค่านั้นค่านี้" พวกนี้ก็ปล่อยผ่านไป เพราะว่าพวกนี้มีแนวโน้มจะทดสอบงานในวงแคบมาก แล้วก็เอาแค่ผ่านๆ กรณีเหล่านี้ไป โปรแกรมใช้งานได้แค่ที่ตัวเองทดสอบก็พอแล้ว
พวกที่พูดไม่รู้เรื่อง อันนี้ปล่อยไปเลย ถ้าสื่อสาร problem solving กับคนไม่รู้เรื่อง ไปสื่อสารกับคอม ก็จะได้โค้ดที่เละมาก มั่วมาก ไม่เป็นขั้นเป็นตอนอะไรทั้งสิ้น ต้องเสียเวลามานั่งไล่ แล้วจะมี bug ประหลาดๆ โผล่มาเยอะมาก โค้ดก็จะอ่านยากด้วย
ผมดูว่าใครจะวิเคราะห์ปัญหา จำลองปัญหานี้ด้วยอะไร แล้วทำความเข้าใจว่ามีอะไรบ้างที่มันเป็น known, unknown ที่จำเป็นในการแก้ปัญหา แล้วต้องทำอะไรเพื่อจัดการกับ unknown เหล่านั้น (ถือว่าเป็น sub-problem แหละ) จะทำให้มันเป็น known ได้อย่างไร (ก็คือการ solve sub-problem ที่มันก็จะมี known, unknown ของตัวมันเอง) หรือว่าในกรณีที่มันไม่มีทาง known ได้แบบจริงจัง จะจัดการกับมันอย่างไรดีที่สุด ... จนกระทั่งได้ steps ของการแก้ปัญหา ... แล้วค่อยทำ code interview ของปัญหานั้นๆ ต่ออีกที
ย้ำเนอะ อันนี้ทดสอบแบบเบื้องต้น เอาไว้กรองคน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
เพจ "คนอะไรมีแฟนเป็นหมี" เป็นเพจเอาไว้หลอกเด็กผู้หญิงให้เพ้อฝัน คิดว่าการที่ผู้ชายตามใจทุกอย่าง ไม่แตะต้อง ไม่ว่า ไม่ตำหนิ นั่นคือความรักและเป็นรักจริงที่ผู้หญิงควรได้รับจาก ผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ความรักที่จริงคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปด้วยกัน และการเติบโตมันไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่วนเวียนเอาแต่ใจไม่มีที่สิ้นสุดแบบนั้นนะ ส่วนโรคซึมเศร้าของน้องผู้หญิงที่ตั้งกระทู้ถามหาแฟนเก่าผู้เป็นเจ้าของเพจนั้น น้องเค้าคงหมดทางจริงๆ ละมั้ง ถึงต้องบากหน้ามาตั้งกระทู้ตามหาขนาดนั้น ข้อนี้ไม่ขอซ้ำเติมแล้วกัน แต่ความไร้สาระ ไร้เหตุผลทั้งหลายในเพจนั้น มันทำให้เราไม่เคยติดตามเพจนั้นเลยมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไทยขึ้นแท่น #ประเทศชั้นนำที่ดีที่สุดในโลก
รายงานผลการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกล่าสุดประจำปี 2017 โดย U.S.News สหรัฐอเมริกา ประเทศไทยคว้าอันดับ 1 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลก (Best Countries to Start a Business) 2 ปีซ้อน และได้คะแนนรวมอยู่อันดับ 26 สำหรับประเทศที่ดีที่สุดในโลก
นอกจากนี้ไทยยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศชั้นนำของโลกในอีกหลายด้าน ได้แก่
World's Top 10
• อันดับ 1 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลก
• อันดับ 4 ประเทศที่การท่องเที่ยวโดดเด่นมากที่สุดในโลก
• อันดับ 6 ประเทศที่มีการเติบโตโดยภาพรวมมากที่สุดในโลก
• อันดับ 7 ประเทศที่มีวัฒนธรรมโดดเด่นมากที่สุดในโลก
• อันดับ 8 ประเทศที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวคนเดียวมากที่สุดในโลก
World's Top 20
• อันดับ 13 ประเทศที่เปิดโอกาสทางธุรกิจมากที่สุดในโลก
• อันดับ 16 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเกษียณงานมากที่สุดในโลก
• อันดับ 17 ประเทศที่มีวัฒนธรรมทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
World's Top 30
• อันดับ 21 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทำงาน
• อันดับ 26 ประเทศที่ดีที่สุดในโลก
• อันดับ 29 ประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก
Source : goo.gl/7Ljkcb
Photo : http://krungthepmahanakhon.com
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Forgot to wish MOAB a happy Mother's Day"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ซื้อDac/Ampมาดูหนังโป๊ ไอเหี้ยพวกไฟล์คุณภาพไม่ดีแม่งเสียงเบสขึ้นมาอย่างตึ๊บ ซอยทีเสียงเบสมาที ระยำสังคมมาก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“ความขยันเป็นหนทางของความสำเร็จ”?
==
ตอนเด็กๆ หลายๆคนบอกว่า “ความขยันเป็นหนทางของความสำเร็จ” แต่ผมกลับเห็นหลายๆคนที่ขยันกว่าผมมาก ใช้เวลากับการเรียนมากมายแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ ผมเคยคิดว่าโลกนี้อาจดูจะไม่เป็นธรรมกับหลายๆคนหรือเปล่า หรือเป็นเพราะบางคนเกิดมาฉลาดกว่าคนอื่นหรือเปล่า แต่หลังจากทำงานในวงการ Tech industry มาสักพักหนึ่ง ผมคิดว่าผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม
.
ในวงการ Tech นั้นไม่แปลกเลยที่จะเจอวิศวกรที่สามารถสร้างผลงานได้มากกว่าคนอื่นๆเป็นสิบๆเท่า ถามว่าทำไม? เค้าฉลาดกว่าคนอื่น? ขยันกว่าคนอื่น? ก็อาจจะมีส่วนอยู่บ้าง แต่จากประสบการณ์ที่เห็นมานั้น ผมคิดว่าคนที่สามารถสร้างผลงานระดับนั้นได้ คือคนที่มีความกระตือรือร้นในการ”เลือก”ชิ้นงานที่จะทำที่ให้มี impact มากกว่าคนอื่นๆ เลือกชิ้นงานที่ใช้เวลาในการทำน้อยเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้มากๆ หรือที่เรียกกันว่าเป็นชิ้นงานที่มี ROI (Return of Investment) มากนั่นเอง
.
ไม่ใช่แค่เพียงแต่การเลือกว่าจะทำงานชิ้นไหน แม้แต่การเลือกทีมก็เช่นกัน อย่างที่เคยได้ยินมาจากอดีตวิศวกรระดับสูงคนหนึ่งที่ Google บอกว่ามีวิศวกรหลายๆคนที่ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นเวลานาน เพราะในการพิจารณาเลื่อนขั้นนั้น ต้องแสดงให้เห็นว่าเคยทำงานที่มีความซับซ้อนระดับหนึ่ง แต่ถ้าทีมที่อยู่นั้นมีแต่งานที่ง่าย ถามว่าอันนี้เป็นปัญหาของระบบหรือเปล่าที่ทำให้วิศวกรเหล่านั้นไม่ได้เลื่อนขั้น? เค้ายืนยันเลยว่านี่ไม่ใช่ปัญหา กลับเป็นสิ่งที่ระบบตั้งใจไว้ด้วยซ้ำ เพราะการที่วิศวกรคนนั้นเลือกที่จะทนอยู่กับทีมที่ไม่สร้าง impact และการที่วิศวกรคนนั้นไม่พยายามย้ายตัวเองไปอยู่ทีมอื่นที่สร้าง impact ได้มากกว่านั้น ก็ถือได้ว่าเป็นความรับผิดชอบของตัวเองที่จะไม่ได้เลื่อนขั้นเอง จะโทษใครไม่ได้เลย
.
ตอนนี้ผมคิดว่าผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายๆคนที่ทุ่มเทเวลาไปกับการเรียนการติวต่างๆมากมาย ต้องจ้างอาจารย์มาสอนรายตัว(แม้แต่กั้กอาจารย์กันก็มี :P ) เรียนกันทุกวัน แต่บางส่วนกลับไม่ได้ในสิ่งที่หวังไว้ เพราะอะไร? เพราะหลายๆคนใช้เวลาไปกับการติวต่างๆ แต่หลายๆคนอาจไม่ได้มองหรือไม่ได้คิดอย่างเพียงพอ ว่าสิ่งที่เค้าทำอยู่นั้น มันมี ROI ที่คุ้มจริงหรือเปล่าเทียบกับการทำอย่างอื่น แม้แต่ว่าควรจะสอบมั้ย หรือควรจะหาช่องทางอื่น ที่ต้องใช้ความขยันน้อยกว่ามากๆ แต่ผลตอบแทนที่ได้อาจจะมากกว่า
.
.
เพราะแม้ความขยัน(ในระดับหนึ่ง)จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จ แต่โลกนี้ไม่เคยวัดกันที่ความขยันมาตั้งแต่แรก แต่วัดกันที่ impact
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ใครรอใคร? ชั้นเชิงเซียนเหยียบเมฆของจีน
ชั้นเชิงการทูต แทคติกของผู้นำระดับชาตินี่มีรายละเอียดเยอะ การให้ใครต้องรอใคร มันมีกำหนดเวลาที่เหมาะสม ต้องจัดการให้ดี มิฉะนั้นจะกลายเป็นการเหยียด/การดูถูก หรือการแสดงความไม่ยี่หระอยู่ในสายตา
ปูติน เป็นผู้นำมหาอำนาจที่ขึ้นชื่อในแทคติกนี้ คือ ปล่อยให้แขกรอ ... รอจนรู้สึกได้ ไอ้ที่เคยนึกว่าตัวเท่ากันก็จะเริ่มรู้สึกว่าตัวเล็กลง / หรือไม่ก็โกรธในใจแต่ไม่กล้าแสดงออก ...
ปูตินนัดกับโป๊ปฟรานซิส ยังปล่อยให้โป๊ปรอเลย ..ตั้ง 50 นาที
จอห์น เคอรี่ อดีตรองปธน.สหรัฐ ยังเคยถูกแท็คติกนี้ปล่อยให้รอ 3 ชั่วโมง มากกว่าโป๊ปหลายเท่า
บทวิเคราะห์ของเดอะการ์เดี้ยนปี 2015 Why is Vladimir Putin always late? https://www.theguardian.com/world/2015/jun/11/why-is-vladimir-putin-always-late-russian-president-tardiness-pope-francis
ในการประชุม BRF รองนี้ จีนจัดรับรองปูตินไว้ในฐานะแขกพิเศษสำคัญกว่าใคร ให้ขึ้นสปีชต่อจาก ปธน.สีจิ้นผิง ในวันเปิดประชุม จากนั้น การถ่ายรูป การเดินเข้าออกต่างๆ ปูติน จะเดินเคียงคู่ไปกับ สีจิ้นผิงเสมอ
ปูตินประกาศแบบพี่ใหญ่มหาอำนาจนะ ประมาณว่าที่จริงไอไม่ได้กลัวจีนแต่ก็ให้เกียรติ ในความร่วมมือกันประมาณนั้น ...แบบว่ายังมีฟอร์ม มาแบบเพื่อนตัวโตเท่าๆ กัน ไม่ได้มาแบบชาติเล็กมาพึ่งใบบุญ
ในการพบกับสีจิ้นผิง แบบสองต่อสอง ... สีจิ้นผิงจัดให้เข้าพบที่บ้านพักประธานาธิบดี ให้เกียรติมาก เชิญไปคุยที่บ้าน
ครั้นเจ้าภาพ สีจิ้นผิง (ซึ่งก็คือฮ่องเต้ยุคปัจจุบัน) จะมายืนรอ ก็ใช่ที่ เพราะธรรมเนียมจีน แขกจะมารอในห้องโถง แล้วเจ้าบ้านออกมาพบ
แทคติก/ชั้นเชิงการทูตชั้นสูงแบบตะวันออกน่าสนใจมาก จีนจัดเปียโน ตั้งรอไว้ เพื่อให้ปูตินเล่นบรรเลงระหว่างรอ
คงมีการกระซิบกันในระหว่างจนท.เตรียมการแหละ ว่าให้ปูตินเล่นเพลง สำนักข่าวซินหัวจะถ่ายคลิปเผยแพร่เป็นอิริยาบทชิลๆ
มันเลยเกิดข่าวแพร่ไปว่า ปูตินโชว์สกิลเปียโน ... เล่นไปสองเพลงก็นานพอดู
พอปูตินเล่นจบ ปิดเปียโนลุกขึ้น ปรากฏว่า ขบวนของสีจิ้นผิง เดินออกมาพบพอดี
แบบไม่ต้องให้ใครรอใคร !!!
กระบวนท่านี้ต้องยอมรับจีนยุคใหม่ คารวะเลย
ป.ล.สำนักข่าวรัสเซีย ไม่มีช็อตสุดท้ายที่กล้องแพนไปที่ประตู ว่าขบวนสีจิ้นผิงมาพอดี แต่ซินหัว มีช็อตดังกล่าว
https://www.facebook.com/XinhuaNewsAgency/videos/1791947014166068/
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้ามีเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่ค่อยเอาไหน เรียนไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ขี้เกียจ ไม่เป็นโล้เป็นพาย กำลังจะโดนรีไทร์เรียนไม่จบแน่ๆ อย่าไปปลอบมันว่า ดูอย่างสตีฟจ๊อบสิ ดูอย่างมาร์คซักเคอร์เบิร์กสิ เรียนไม่จบเหมือนกันนะ เพราะมันคนละเรื่อง คนพวกนั้นมีความสามารถ เก่ง จนไม่จำเป็นต้องเรียนจบหลักสูตร มีทิศทาง มีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน ไม่ใช่คนไม่เอาไหนที่โดนรีไทร์ มันต่างกัน
กลับกัน ปลอบเพื่อนว่า ไม่เป็นไรหรอก ไปสมัครงานเป็นนักข่าวข่าวสดออนไลน์ก็ได้ ใช้เน็ตเป็นก็ทำได้แล้ว ไม่ต้องมีความสามารถอะไรเลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมมานูเอล มาครง มีเมียแก่ สื่อลงข่าว
ชีแขก : ทำไมทรัมป์เมียเด็ก ข่าวไม่เห็นเน้นเลย นี่คือการสื่อว่าสังคมนี้ชายเป็นใหญ่ จะมีเมียเด็กกว่ากี่ปีก็ได้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไอ้ที่เถียงๆกันเรื่องโรคซึมเศร้านี่มันซับซ้อนอยู่พอสมควร เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจการเลือกข้างแบบเหมาๆได้ผ่านเรื่องการเมือง :p
.
เอาจริงๆแล้วถ้าจะบอกว่าคนทั่วไปควรเข้าใจคนเป็นโรคซึมเศร้านี่ก็ดูจะฟังขึ้น แต่ไอ้ที่อีกฝ่ายบอกว่าซึมเศร้าไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล (ไปจนถึงว่าให้แยกระหว่างซึมเศร้ากับเรียกร้องความสนใจ) นี่ก็ดูจะฟังขึ้น
.
แต่คนเลวอย่างผมก็จะเสนอว่ามันมีปัญหากันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ คือมันควรจะทำความเข้าใจโรคหรือภาวะซึมเศร้าแบบมีพลวัตหน่อย
.
.
ด้านแรกคือพลวัตของสังคมที่เปลี่ยนไป โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปมากแล้ว เกณฑ์วัดการเป็นโรคซึมเศร้าแบบเดิมมันน่าจะใช้ไม่ได้แล้ว (ไอ้แบบคัดกรองภาวะซึมเศร้าของกรมสุขภาพจิตนั่นน่ะ ผมว่าคนมากกว่าครึ่งทำแล้วจะได้ผลว่ามีภาวะเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอน) คือชีวิตของคนทุกวันนี้มันโดดเดี่ยว แยกตัว หรือพูดง่ายๆว่าหว่องกันมากขึ้น ไอ้เกณฑ์แบบเดิมๆมันตึงเกินไปมากๆ ยิ่งประกอบกับการทดลองวัดเองจากพวกแบบทดสอบออนไลน์ต่างๆนี่ยิ่งไปกันใหญ่
.
ด้านที่สองคือพลวัตของอำนาจในการยึดครองความรู้ที่เปลี่ยนไป คือควรจะต้องมองความรู้ทางจิตเวชหรือการแพทย์สุขภาพจิตแบบเดียวกับความรู้การแพทย์สุขภาพกาย คือทุกวันนี้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตมันเป็นอิสระออกจากพวกจิตแพทย์พวกนักจิตวิทยาพอสมควร คนที่พอจะมีความรู้รอบตัวหน่อยก็เริ่มสนใจความรู้ทางจิตเวชมากขึ้น เริ่มศึกษาด้วยตัวเอง อ่านเอง คิดเอง ไม่ใช่อะไรอะไรก็จิตแพทย์ทั้งหมดแล้ว ด้านหนึ่งมันทำให้คนตื่นตัวเรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น แบบเดียวกับที่ไอเดียเรื่องเวชศาสตร์ป้องกันมันเคยฮิตเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนั้นคนก็เริ่มสนใจดูแลสุขภาพกายกันมากขึ้น แต่ปัญหาอีกอันหนึ่งที่ตามมาก็คือมันทำให้เกิดพวก "การแพทย์ไทยประดิษฐ์" ขึ้นมา อย่างทางกายก็จะเกิดวิธีดูแลสุขภาพแบบแปลกๆอย่างพวกน้ำมะนาวโซดารักษามะเร็ง ไข่แช่น้ำส้มสายชู ไปจนถึงน้ำป้าเช็ง เอาจริงๆพวกนี้ก็พยายามอธิบายกลไกการทำงานของมันแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั่นแหละ แต่พอมีอะไรเพี้ยนๆแทรกเข้ามานิดหน่อยก็ออกมาพิลึกแล้ว พวกความรู้ทางจิตเวชก็คล้ายๆกัน ทุกวันนี้พออำนาจมันหลุดจากจิตแพทย์ไปแล้วสิ่งน่ากลัวคือ "จิตเวชไทยประดิษฐ์" เนี่ยแหละ (ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องการดูแลรักษา แค่การวินิจฉัยหรือประเมินตัวเองก็มีแนวโน้มจะพิลึกแล้ว เรื่องตลกก็คือสมัยที่ผมกับเพื่อนเรียนทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาช่วงแรกๆ การฝึกปฏิบัติก็คือสลับกันเป็นคนทดสอบ-ถูกทดสอบ ปรากฏว่าผลการทดสอบออกมาว่ามีอาการทางจิตแบบใดแบบหนึ่งกันแทบทุกคน--ไอ้คนพวกนี้ปัจจุบันนี้มันเป็นนักจิตวิทยากันนะครับ--ทั้งที่จริงๆมันก็ไม่ได้มีอาการอะไรมากมายนักหรอก อาจเรียกมันว่าเป็นปรากฏการณ์ร้อนวิชาที่มองใครๆมีอาการทางจิตไปหมดก็ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาของคนเรียนจิตวิทยาช่วงแรกๆกันทั้งนั้น ลองคิดดูว่าถ้ามันเป็นจิตเวชไทยประดิษฐ์อีกจะน่ากลัวขนาดไหน)
.
.
คือไอ้ที่เถียงๆกันอยู่เนี่ย มันไม่ใช่ปัญหาระดับปัจเจกหรือปัญหาแบบรวบรัดตัดตอนที่จะมาด่าดื้อๆทื่อๆอย่างที่ทำกันอยู่แน่ๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ชั่งแม่งเหอะ ถ้ามึงป่วยก็ไปหาหมออยากให้ช่วยอะไรก็บอก
ป่วยแล้วไม่หาหมอแล้วมาแหกปากให้หูกุวา กุซึมเศร้านะโว้ยๆ
เจอพวกห่านี่จะพาไปหาหมอด่วนๆ ถ้าไม่ไปจะไปตายที่ไหนก็ได้ไปๆเหอะ
Type 2 diabetes is caused by insulin resistance.
Insulin resistance is caused by insulin.
Carbohydrates cause the greatest spikes in insulin (fat the lowest).
Up until the 1970s, common knowledge was that sugar and carbs made you fat (you can see Barney Fife, Andy Tailor, and Aunt Bea talk about this in an episode of The Andy Griffith Show).
I used to be (maybe still am a little) insulin resistant and cruising for diabetes. If I ate carbs, the insulin level would have to go so high that the sugar would be long gone before I could go back to burning fat, meaning I was hungry all the time (doesn't matter what's in your stomach if it can't get to your cells). When I switched from cereal to bacon and eggs as my standard breakfast, I went from barely making it to lunch to being able to skip lunch if I needed to. I would sometimes get so wrapped up in work that I'd hit 3pm before realizing I hadn't eaten. I'm now down by about 35% of my previous weight and my fatty liver.
As for cholesterol, it's way more complicated than we thought. The first studies showed that the plaque that caused heart attacks was cholesterol, so cholesterol bad. However, cholesterol is so important that, with the exception of brain cells, every cell in your body is capable of manufacturing its own cholesterol out of spare parts. Incidentally, people with lower dietary cholesterol are at greater risk for Alzheimer's. Cholesterol is related to heart attacks in that when your arteries are damaged, they form the 'scab' that protects the area. Plaques are formed when it's an unnatural type of cholesterol that oxydizes and then passes through the artery wall instead of being taken back to the liver. Turns out those 'heart healthy vegetable oils' the Ad Council (a government agency) STILL promotes cause both inflammation and bad cholesterol (and I'm not talking about LDL, but rather a specific TYPE of LDL). High blood serum cholesterol with the appropriate LDL particle size is actually a predictor for LONGER life, not shorter.
tl;dr Yeah, turns out we screwed the pooch on fat and cholesterol, but nobody wants to admit it.
โดเรม่อนกับพระคัมภีร์มีอะไรเหมือนกัน?
การ์ตูนญี่ปุ่นโดเรม่อน กับ ประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์
มีอะไรเหมือนกันด้วยหรอ??
อยากรู้ เลื่อนลงเลย
.
.
.
- ถึงแม้การ์ตูนญี่ปุ่นโดเรม่อน และ พระคัมภีร์ จะดูเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมาก.... แต่มันก็ยังมีสิ่งที่มีเหมือนกันอยู่นะ
- สิ่งนั้นคือ “Time machine!!”
- การเดินทางย้อนเวลาน่ะ ไม่ได้มีแค่ในการ์ตูนโดเรม่อนหรอกนะ ในพระคัมภีร์ก็มีเหมือนกัน
- เห้ยเพ่!! มีด้วยหรอฟระ? มีจริงๆ ไม่ได้โม้... มีการเขย่าโลกกาลเวลาอย่างชัดเจน ทั้งหมด 2 ครั้งด้วยกัน
.
.
.
===== 1. สงครามกับคนอาโมไรต์ (ยชว. 10:12-14) =====
- ในฉากคือ ทีมคนอาโมไรต์หมั่นไส้กองทัพอิสราเอล จึงรวมเดอะแก๊ง 5 เมือง เป็นกองทัพใหญ่ เพื่อต่อสู้กับอิสราเอล
- น่าเสียดาย ที่พระเจ้าไม่เข้าข้างคนอาโมไรต์ คนอิสราเอลจึงไล่ kill พวกคนอาโมไรต์ได้สบายๆ
- แล้วโยชูวา ก็อธิษฐานขอให้พระเจ้า “หยุดเวลา” โดยการให้ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งนั่นเอง
- เปรียบเหมือน โยชูวานั่ง Time machine หยุดเวลา แล้วไล่เก็บกวาดศัตรูต่อไป #คูลดิ
.
.
.
===== 2.คำอธิษฐานของเฮเซคียาห์ (2 พกษ. 20:8-11) =====
- คืองี้ กษัตริย์ยูดาห์ที่ชื่อ “เฮเซคียาห์” เนี่ยปวยหนัก เข้าขั้น ICU กำลังจะตาย เฮเซคียาห์เลยอธิษฐานขอต่อ VISA ชีวิตจากพระเจ้า
- ต่อมา พระเจ้าบอกผ่านอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า “โรคนี้หายแน่นอน!!” แต่ทว่า เฮเซคียาห์ยังขาดความมั่นใจ จึงขอการยืนยันจากพระเจ้าว่า “อะไรจะเป็นตัวคอนเฟิร์มว่ามันจะเกิดขึ้น?”
- พระเจ้าก็ให้เลือกว่า “เงาจะเลื่อนออกไป 10 ขั้น หรือย้อนกลับมา 10 ขั้น”
- ในสมัยก่อน ยังไม่มีนาฬิกา G-Shock แบบที่เราใช้กันอยู่อ่ะนะ เลยต้องดูเวลาจาก “แสงแดด” แล้ววัดตามขั้นเอา
- ดังนั้น เมื่อเฮเซคียาห์ขอให้พระเจ้าย้อนเงากลับไป 10 ขั้น นั่นแปลว่า พระเจ้าให้เฮเซคียาห์นั่ง Time machine ย้อนเวลานั่นเอง
.
.
.
- พระคัมภีร์เจ๋งอ่ะเด้!! ยังมีเรื่องราวน่าสนใจอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้
ใครอยากรู้เพิ่ม ก็ต้องอ่านนาจา
======== สรุป =========
- มีการเขย่าโลกเวลาชัดๆ 2 ครั้งในพระคัมภีร์
1. สงครามกับคนอาโมไรต์ (ยชว. 10:12-14)
2. คำอธิษฐานของเฮเซคียาห์ (2 พกษ. 20:8-11)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าได้รับรางวัลคนขี้เกียจที่สุดในโลก คงฝากคนอื่นไปรับเพราะขี้เกียจไปเอง 55555"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Iu7urg
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"America น่าจะมีแต่คนรวยนะครับ ไปนิวยอร์กไม่เห็นมีใครขี่มอเตอร์ไซต์เลยมีแต่รถยนต์กับจักรยาน"
#มิตรสหายท่านหนึ่งไปเที่ยวมา
"ปล่าว พอหิมะลงมันขี่ยากวะไหนจะที่จอดรถเสี่ยงต่อการโดนขโมยอุ้มไปง่ายๆอีก"
#มิตรสหายแถวนั้น
ผมโพสเรื่องผลประกอบการของซีเอ็ดไป... ในบทความที่ผมแชร์ (ผมไม่ได้เขียนนะครับ) กล่าวถึงปี 2007 เป็นปีที่ iPhone ถือกำเนิดขึ้น และยอดขายของซีเอ็ดก็เริ่มลดต่ำลง เกิดข้อถกเถียงกันมากมายว่าเกี่ยวกันอย่างไร ผมจึงขอมาขยายความว่าทำไม 2007 จึงเป็นปีที่สำคัญ
ในปี 2007 มีหลายสิ่งที่กำเนิดขึ้นครับ ไม่ใช่แค่ iPhone อย่างเดียว และสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นได้เปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนบนโลกนี้ไปอย่างมากมาย และการเปลี่ยน life style ไปทาง digital ที่เรียกว่า digital transformation มันเริ่มต้นในตอนนั้นเอง
ผลของมันไม่ได้สิ้นสุดแค่ซีเอ็ด ยังมีอีกมากมายที่กำลังจะตามมา ลองมาดูกันครับว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 2007
1. iPhone เกิดขึ้น ใครที่ทันเล่น Internet บนโนเกีย จะทราบดีถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส การที่ Internet เต็มรูปแบบเกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟนโดย iPhone นั้นส่งผลให้โลกการใช้ Internet เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และตามมาด้วยผลจาก App Store หลังจากนั้นครับ
2. Arduino การเริ่มต้นของ Opensource Hardware ทำให้โลกของ Innovation เปลี่ยนจาก Software อย่างเดียว เป็น Software และ Hardware ทำให้มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายหลังจากนั้น และมา burst รอบใหญ่เมื่อมี crowd funding ในระยะต่อมา
3. Nintendo Wii เป็นการเปิดโลกของการประยุกต์ใช้ Sensor (Accelerometers) ในเครื่องเล่นเกม และเป็นต้นกำเนิดของการนำไปใช้อย่างอื่นอีกมากมาย FitBit คือหนึ่งใน hardware ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Nintendo Wii
4. MakerBot การเกิดขึ้นของ 3D printer เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการผลิตแบบ Dgital Fabrication การเปลี่ยนจาก mass production เป็น mass customization เริ่มต้นจากตรงนั้น
5. Amazon Kindle เกิดขึ้นในปีนั้นเช่นกัน.. และนั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนโลกของหนังสือไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เปลี่ยนวิธีการอ่านอย่างเดียว แต่เปลี่ยนวิธีการซื้อหนังสือไปด้วย....
ปี 2007 คือ tipping point ในโลก IT ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมทำอาชีพพัฒนาซอฟต์แวร์มา 30 ปี...ไม่เคยโดนฟ้องในประเทศซักครั้ง แต่เคยโดนฟ้องในศาลต่างประเทศหลายครั้งหลายหน เป็นเหตุให้ผมค่อนข้างจริงจังเรื่องลิขสิทธิ์, สิทธบัตร และเครื่องหมายการค้า เพราะโดนมาหมดแล้วทุกกรณี
การทำงานพัฒนาไม่ว่าจะซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ ตอนเก่งในประเทศไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้มากนัก แต่เมื่อไรก็ตามออกไปเก่งนอกประเทศ ปัญหาพวกนี้จะเป็นเรื่องซีเรียสทันที
xiaomi ยักษ์ใหญ่จีนเอง ก็สะบักสะบอมกับเรื่องนี้ไม่น้อย ต้องใช้เวลาหลายปีกับเงินมหาศาลกว่าจะเข้าตลาดตะวันตกได้
ตอนนี้มีกรณีที่น่าสนใจจากบริษัทเกาหลีชื่อ Hancom ซึ่งใช้ source code จาก GhostScript ซึ่งเป็นโปรแกรม Open-source ที่ทำหน้าที่ render PostScript และ PDF Interpreter ไปทำผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ของตนเองเพื่อขาย และมีรายได้ในปีที่แล้ว 86 ล้านเหรียญ
GostScript นั้นใช้สัญญาอนุญาตใช้แบบ GPL ซึ่งเป็น Open-source แต่ผู้ที่นำไปใช้ต้องเปิดเผย source code ต่อ หรือไม่ก็ต้องจ่ายค่า license การใช้ โดยผู้ถือสิทธิ์ของ GhostScript คือบริษัทชื่อ Artifex
กรณีของสัญญาอนุญาตใช้แบบ GPL และอื่นๆของ Open-source ทั้งหลายเป็นข้อถกเถียงกันมานาน แต่ก็มีการนำ source code ของโครงการ Open source ไปใช้โดยไม่สนใจเรื่องพวกนี้กันมานักต่อนัก
รอบนี้เกิดการฟ้องร้องกันระหว่าง Artifex กับ Hancom ขึ้นว่าละเมิดสัญญาอนุญาติใช้ GPL ของ GhostScript ทาง Hancom มีทางเลือกสองทาง คือ เปิดเผย source code ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ GhostScript หรือไม่ก็จ่ายเงินค่า license มาซะดีๆ
ทาง Hancom ไม่ยอมจ่าย แถมสู้แบบหน้าด้านๆว่า ไม่ผิดเว้ย กรูไม่เคยเซ็นต์สัญญาใดๆ ดังนั้น GPL ไม่สามารถบังคับใช้ได้เว้ย...เรื่องก็เลยไปถึงศาล และเลยไปจนถึงศาลสูงสหรัฐ
ศาลสูงสหรัฐตัดสินเรื่องนี้ไปเมื่อเดือนที่แล้วว่า กรณีนี้เป็นความแน่ชัดของการละเมิดสัญญาอนุญาติใช้ GPL ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีถึงเงื่อนไขต่างๆ ดังนั้น GPL นั้นเพียงพอต่อการบังคับใช้โดยไม่ต้องทำการเซ็นต์สัญญาใดๆเป็นลายลักษณ์อักษร และให้ทาง Hancom จ่ายค่าเสียหายและค่า license ซะดีๆ
กรณีนี้เป็นชัยชนะที่สำคัญในวงการ Open-source และในอีกทางหนึ่งก็เป็นเรื่องที่เราควรให้ความสนใจกับสัญญาอนุญาตใช้ต่างๆ รวมทั้งเรื่องการ claim สิทธิบัตรด้วย
หลายวันก่อนไปแตะเรื่องการประกาศสิทธิบัตรเข้านิดเดียว ก็นำมาซึ่งคำตอบแรงๆ จนผมไม่อยากพูดถึงอีก ... แต่อยากให้เพื่อนๆที่เป็นนักพัฒนาใส่ใจเรื่องพวกนี้ครับ
การขึ้นศาลในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องสนุก... จากประสบการณ์จริง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อสักครู่กลับมาที่บริษัท เจอพนักงานของตึกเป็นชาวเมียนมาร์ ก็ทักทายกัน ถามเขาเรื่องลูกว่ากลับไปยัง เขาบอกลูก 7 ขวบ อยู่ ป.2 ใกล้เปิดเทอม ต้องกลับเมียนมาร์แล้ว แต่ลูกอยากอยู่ไทยมากกว่า เลยถามไปว่าให้ลูกเรียนที่นี่ไม่ได้เหรอ
เขาบอก "เรียนที่พม่าเน้นภาษาอังกฤษกับภาษาพม่า ที่นั่นให้ความสำคัญภาษาอังกฤษต้องมาก่อน เรียนวันละ 3 ชั่วโมง ก่อนเรียนภาษาพม่า ถ้าเป็นที่ไทยจะได้แค่ภาษาไทยอย่างเดียว ถ้าได้ภาษาอังกฤษก็ทำงานได้ทั่วโลก"
น่าคิดครับ สมัย 20 กว่าปีก่อน เคยติวน้องๆวิศวะที่คณะ เขาก็ปรึกษาเรื่องภาษาอังกฤษ ว่าต้องทำยังไง ผมเห็นหลายๆคนเขาไม่ถนัด ไม่มีหัวจริงๆ ก็บอกพวกเขาว่า ช่างมัน เอาสาขาที่เราทำงานที่เราถนัดให้เก่งให้โดดเด่นก็พอ แบบคนญี่ปุ่นอะ ใครเขาอยากคุยกับเราเขาก็ไปหาล่ามมาคุยด้วยเอง
แต่จากประสบการณ์ทำงานของผมที่ผ่านมา คนไทยโดยเฉลี่ยยังไม่มีความชำนาญในสาขาที่ตนทำงานเท่าไหร่ บางคนมาทำงานยังไม่มีเป้าหมายเลย เรื่องธรรมดาๆในวิชาชีพตัวเองก็ยังไม่รู้ เรายังไม่แกร่งพอที่จะหยิ่งแบบจีนหรือญี่ปุ่น หรือเกาหลี ที่ต้องให้นานาชาติหาล่ามมาคุยด้วย
แล้วประเทศเราก็ยังมีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษอยู่ด้วย แม้ปัจจุบันเด็กๆรุ่นใหม่ได้เรียน English Program ซึ่งเด็กเหล่านี้เก่งมาก ผมเคยเจอเด็กคนหนึ่ง เรียนนานาชาติ พอคุยภาษาไทยด้วยไม่ยอมตอบ พอคุยภาษาอังกฤษแบบผู้ใหญ่เลย คือ ไม่พูดติ๊งต๊องแบบคุยกับเด็ก ด้วยความเร็วปกติ เด็กตอบได้คล่อง เป็นเรื่องเป็นราวเลย
เด็กเหล่านี้ ผมเชื่อว่า วันหนึ่งเขาจะไปเรียนต่างประเทศ จบ และทำงานที่ต่างประเทศ บางคนอาจเปลี่ยนสัญชาติ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม เหลือน้อยมากๆที่จะกลับมาทำงานในไทย
คนไทยที่ยังทำงานและยังอยู่ในประเทศไทย ต้องพยายามกันต่อไปครับ เพื่อเราจะได้แข่งขันในเวทีโลกได้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อสิบปีก่อนผมเล่นเกม Pharaoh แล้วติดแบบงอมแงม
เกมนี้ทำให้รู้ว่า การบริหารจัดการมีความสำคัญมากแค่ไหน
โดยเฉพาะในเรื่องของการ"บริหารเมือง"ที่ต้องใช้เงิน !
รายได้ของเมืองอียิปต์ในเกมมาจากภาษีสองทางหลัก
หนึ่งคือการค้าขายกับต่างประเทศ อุตสาหกรรมภายใน ฯลฯ
เจ้าเมืองสามารถเก็บภาษีการค้าในเกมได้ในอัตราที่คงที่เสมอ
ถ้าการค้าขายไม่ดี รายได้ตรงนี้จะหายไป
เจ้าเมืองจึงต้องทำยังไงก็ได้ให้กิจการการค้าคึกคักเสมอ
ปัญหาคือในเกมมีเจ้าเมืองอื่นเข้ามาหาเรื่องทำสงคราม
การค้าที่เคยดีก็สะดุดลง เพราะต้องผันงบมาป้องกันประเทศ
หากในยามสงบเราใช้เงินฟุ่นเฟือยเกินไป
สร้างรูปปั้น ปิรามิด เราจะชิบหายยามสงครามเพราะเงินหมด
เจ้าเมืองที่มีวินัยการคลังบริหารเงินดีก็ดีไป
แต่เจ้าเมืองที่ถลุงตอนรุ่งเรืองจนหมดจะทำยังไงดีล่ะ ?
รายได้ทางสองคือภาษีเมืองก็มามีบทบาทในตอนนี้
มันเป็นภาษีในเกมที่ทุกคนในเมืองของเราต้องจ่าย
อัตราปกติที่เก็บในเมืองตอนนั้น ถ้าจำไม่ผิดคือ 6%
พอมีสงครามแล้วเงินหมด ผมเลยต้องขึ้นภาษีเป็น 7%
หวังว่า รายได้จะมากพอใช้ในการบริหารเมือง
หลังจากลงงบกับกองทัพป้องกันประเทศ
...และปิรามิด สวนน้ำ ราชวัง สฟิงส์ไปหมดแล้ว 555+
ผลคือทันทีที่ประกาศเก็บแพงขึ้น
"อ้าว ทำไมรายได้ลดลงวะ ?" คือสิ่งที่เจอ
ไปดูในหน้าจอบริหารเมืองถึงได้รู้สาเหตุ
คนมันใช้จ่ายกันน้อยลง+หนีภาษีกันเยอะขึ้ัน
เลยต้องสร้าง Tax Collector(คล้าย ๆ สรรพากร) เพิ่ม
เพื่อเดินไปทวงถึงหน้าบ้าน จะได้หนีภาษีกันไม่ได้
ในช่วงแรกที่ขึ้นภาษี+สร้าง Tax Collector เสร็จแล้ว
การเงินเด้งขึ้นเป็นกอบเป็นกำ
มีเงินจ่ายคนดับเพลิง ตำรวจ สถาปนิก ข้าราชการในเกม
สามารถบริหารเมืองได้อย่างไม่ติดขัด
(เกมนี้ข้าราชการที่ไม่ได้รับเงินเดือนจะหยุดงานประท้วง)
เลยชะล่าใจ ไม่ลดภาษีลง เพราะเห็นว่าเก็บได้เรื่อย ๆ
เราเลยเตรียมสร้างปิรามิดแห่งที่สองต่อ !
...แต่ความสุขของเจ้าเมืองอย่างผมก็ไม่จีรัง
ปีถัดมา แม้จะไม่มีสงคราม ไม่มีปัญหาอะไร
แต่รายได้ลดลงฮวบ ๆ อีกครั้ง
เอามือเกาหัว ถามตัวเองว่า "เชี่ยไรอีกวะเนี่ย ?"
ไปดูหน้าจอบริหารเมือง ได้แต่ร้อง "อห อห อห"
คนแม่มย้ายเมืองหนีว่ะครับ ! พวกรวย ๆ ย้ายออกไปหมด
เพราะหนีไปเมืองที่ภาษีน้อยกว่าสวัสดิการดีกว่าได้
และในเมืองเองก็เหลือแต่ผู้มีรายได้น้อย
ส่งผลให้แม้ฐานภาษีเมืองของเราสูงขึ้น
แต่รายได้ที่เอามาคูณกับภาษีในเกมมันต่ำลง
ผลคือจัดเก็บรายได้ได้น้อยลงกว่าเดิมซะงั้น
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเกมนี้คือ
การเก็บภาษีในเกมที่มากขึ้น ไม่ได้ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นถาวร
เมื่อคนในเมืองเห็นว่ารายจ่ายเพิ่มขึ้น เค้าจะลดการใช้จ่ายลง
การบริหารภาษีในเกมที่ดีต้องวางแผนระยะยาว
ไม่ใช่ อ้าวเงินหมด ขึ้นภาษีในเกมแม่มเลย แบบนี้ไม่ยั่งยืน
ว่าแล้วก็ไปขุดเกมนี้มาเล่นดีกว่า คิดถึง
http://store.steampowered.com/app/564530/Pharaoh__Cleopatra/
#ทั้งหมดนี่คือเรื่องในเกม #อย่าแชร์เยอะผมเสียว
ทำไมประเทศนี้
"ใช้เซ็กส์ทอยผิดกฏหมาย แต่ซื้อบริการทางเพศเด็กเป็นเรื่องส่วนตัว"
คิดตามปกติ ที่มนุษย์ทั่วไปคิดกันแล้วมันต้องเป็น
"ซื้อบริการทางเพศเด็กผิดกฏหมาย แต่ใช้เซ็กส์ทอยเป็นเรื่องส่วนตัว" ไม่ใช่เหรอ?
มีใครบอกผมได้บ้างว่าทำไมกันนะ? งงมาก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
rose & learn
เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงตดเปียก
เพราะอาหารบางอันที่เราได้กระเดียกเข้าไป
ตดเป็นพายุ ไม่มีใครรู้ขี้จะมาเมื่อไหร่
เตรียมตัวรับความจริงช่วงวิ่งขึ้นกระได หื้อฮือ
ชากุหลาบมันทำพิษ บางคนกินไปตดไปขี้ไป
เข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน หัวเราะยังเกือบไหล
ปวดขี้ได้ทั้งวัน
ใส่ไรไม่รู้ ตดมันอยู่สองวัน
มาเป็นชุด จะหยุดก็ไม่ทัน
ตดหนักๆสองที ปวดขี้กระทันหัน
ตดอยู่อย่างนั้นไม่มีวันหยุด
ตดก็ยังไหล กากอาหารคงตามมาอีกไม่ไกล
ยังไม่รู้สักที ปวดขี้ได้อย่างไร ฮื้อฮือ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นใจจขกท ในพันธิป มีแต่ติ่งญี่ปุ่น อวยกันไม่ลืมหูลืมตา ไม่แปลกที่จะเละ
สมัยก่อนตอนที่ญี่ปุ่นยังไม่เจริญ ก็ได้เยอรมันช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ ญี่ปุ่นก็ไม่ได้พัฒนาเอง
จนสามารถพัฒนาต่อยอดไปจนถึงทุกวันนี้ได้ แต่ด้วยนิสัยพื้นฐานเดิมของชนชาติญี่ปุ่นที่เขาไม่หยุดพัฒนาตัวเอง จึงไม่แปลกที่จะทำให้ก้าวหน้าได้เร็ว
ผมมองว่าพื้นฐานเดิมนิสัยของผู้นำชาวไทย เห็นประโยชน์แค่ตรงหน้า ไม่ได้มีวิสัยทัศน์มาก ประเทศจึงยังไม่ไปไหนมาก
ส่วนญี่ปุ่นมันมองเราเป็นลูกไล่อยู่แล้ว ที่เจ้าของกระทู้พูดมาไม่มีผิดเพี้ยน
ถ้าเป็นบริษัทญี่ปุ่น ต่อให้คนไทยตำแหน่งสูงแค่ไหนก็จะยังไม่ได้รับความไว้วางใจที่จะได้ทำงานในตำแหน่งบริหารระดับสูงเหนือคนญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นส่ง expat มาไทยเพียบ มาทำไมกันเยอะแยะ คุมคนไทย ต้องใช้คนขนาดนี้เลยหรอ
ลองดู expat ชาติอื่นที่มาทำงานกันที่เมืองไทย บริษัทข้ามชาติอื่น เจอพนักงานต่างชาติในบริษัทมากขนาดนั้นมั้ย?
เกือบทุกตำแหน่งในองค์กรจะต้องมีคนญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ผมเคยไปทานข้าวกับsupรายนึงซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่น เขาเลี้ยงขอบคุณเรา
พนักงานขายเป็นคนไทย แต่ทาง ผจก ส่งหัวหน้าคนญี่ปุ่นมา
ซึ่งหัวหน้าคนดังกล่าว พูดไม่ได้ทั้งญี่ปุ่น พูดไม่ได้ทั้งไทย พูดไม่ได้ทั้งอังกฤษ พูดอังกฤษได้น้อยมาก
แต่พนงขาย พูดญี่ปุ่นได้
ซึ่งผมงงมากว่าส่งคนญี่ปุ่นมาทำไม ไม่ได้ทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นเลย
ซึ่งเซลคนไทยสองคน ก็ทำหน้าที่ entertain ได้ดีมากอยู่แล้ว พูดได้ทั้ง ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น และไทยอย่างคล่องแคล่ว
ผมถาม เซล เขาบอกว่า อ๋อ เอามาคุมคนไทยอย่างหนู แล้วกลับไปรายงานนายญี่ปุ่นอีกที
โรงแรม Okura prestige แค่ reception ยัง expat เดินกันว่อน
โรงแรม sofitel เคยเห็น คนฝรั่งเศสเดินว่อน reception ขนาดนี้มั้ย
ผมเห็นด้วยกับจขกท ว่าเป็นโชคร้ายของเราที่ได้ญี่ปุ่นมาเป็นผู้ร่วมลงทุน
เด็กไทยเก่ง เด็กโอลิมปิค คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เด็กไทยทั้งนั้น
คนเก่งมีเยอะ อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน
แต่คนเหล่านั้นไม่ได้มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ สุดท้ายเขาก็ต้องเลือกไปทำงานในบริษัทข้ามชาติ เป็นฟันเฟืองตัวนึงในองค์กร แล้วถูกกลืนไป
>เด็กไทยเก่ง เด็กโอลิมปิค คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เด็กไทยทั้งนั้น
>คนเก่งมีเยอะ อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน
เอานักวิชาการมาพัฒนาประเทศ บ้าแหล่วววววววววววววว
เขาเอาคนเรียนเก่งไปเป็นอาจารย์ว้อย ส่วนคนที่อยู่ในตลาด สังคมจริงๆคือ เส้นใหญ่+ปรับตัวเก่ง
เจอมาเยอะแล้ว พวกเกรดดี เก่งทำข้อสอบ แต่ทำงานจริงไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จักเอาความรู้มาประยุกต์ใช้
"สามปีที่ผ่านมาน้ำหนักกูขึ้นเกือบ 10 โล นี่คือผลกระทบชัดเจน #3ปีรับทานหาร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
.. ในยุคที่ใคร ๆ ก็หยิบ "มือถือ" มารูดเล่นยามว่างกันแทบทุกขณะ ..
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>มานั่งกินราเมงในค่ำคืนวันพฤหัส ท่ามกลางอากาศหนาว ๆ มีคนในร้านเล็ก ๆ เพียงไม่กี่คน
ในญี่ปุ่นเราจะสามารถเห็นคนเพียงคนเดียวเปิดร้านอาหารได้โดยไม่ต้องมีผู้ช่วย เริ่มจากต่อคิวที่ทางเข้า.. เลือกเมนูที่ชอบและจ่ายเงินที่เครื่อง จากนั้นก็นำใบเสร็จส่งตรงให้พ่อครัวปรุงเลย ง่ายมาก ๆ ค่ะ
คุณลุงแกก็ปรุงอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำพร้อมกันทีละหลาย ๆ จานได้อย่างสบาย แถมรวดเร็ว และราเม็งชามนั้นก็อร่อยมาก ๆ
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ก็เฝ้าดูต่อว่า.. เสิร์ฟเร็ว คนไม่มาก แล้วเวลาแกว่าง แกจะทำอะไร?
จะยกมือถือขึ้นมาเล่นระหว่างรอลูกค้ากินเสร็จไหมนะ?
สักพักก็มีคนขอเติมเส้น.. ที่นี่เติมเส้นได้ฟรีด้วย.. คุณลุงก็เลยได้ลวกเส้นเสิร์ฟอีกจานสองจาน
แล้วเสร็จแล้วทำอะไรต่อดี?
.. คนลุงแกก็เอาเหยือกเสิร์ฟน้ำฟรี มากรอกน้ำ หั่นมะนาวฝาน ใส่น้ำแข็งให้เต็มครบทุกเหยือก
คุณลุงเสร็จแล้ว.. จะทำอะไรอีก?
.. ทีนี้แกก็เดินไปหลังบ้านเลย..
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ก็คิดว่าไปพักสินะ.. ไปเข้าห้องน้ำ.. ชิวแน่นอน
เปล่า
.. แกหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมกับถาดผัก.. เอามาหั่นซอยด้วยหน้าตาขะมักเขม้น
นี่แกคงไม่ได้กะจะพักเลยสินะ?
เมื่อ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>กำลังจะออกจากร้าน เห็นแกแว่บยืนนิ่ง ๆ .. ในที่สุดก็จะเล่นมือถือแล้วหรือลุง!?
เปล่าเลย.. แกกำลังเปลี่ยน playlist ดนตรีใหม่
แล้วเพลงไมเคลแจ็คสันก็ดังขึ้นมา
ในขณะที่<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>แว่บเห็นข้อความบนผ้ากันเปื้อนของลุง มันเขียนว่า
"NO RAMEN
NO LIFE."
(ไม่มีราเม็งก็เหมือนไม่มีชีวิต)
ลุงแกเจ๋งอะ
แกโชว์ให้เห็นว่า ทั้งหมดนี้คือชีวิตของแกจริง ๆ
แกโชว์ให้เห็นว่า คน ๆ เดียวที่ทำอะไรด้วยใจ สามารถแทนที่คนธรรมดาทั่วไปได้เป็นสิบคน
และแกโชว์ให้เห็นว่า เวลางาน คือ เวลาแห่งการโชว์ผลงานอย่างแท้จริง
เมื่อเราเต็มที่ อะไรก็ดีเสมอ
ชอบตรงที่ลุงแสดงให้เห็นว่า เราสามารถทำตัวเองให้ยุ่งได้ตลอดเวลา
แม้หน้าที่จะเดิม ๆ แต่ก็ยังมีอะไรให้ทำอีกมาก
และไม่จำเป็นต้องหาอะไรที่ไม่สำคัญมาทำเพื่อ "ฆ่าเวลา"
เพราะทุกวินาทีมีความหมายเสมอ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
#เรื่องเล่าจากมาซิโดเนีย1
ราเคียเป็นบรั่นดีพื้นเมืองมีชื่อเสียง ทำจากองุ่นที่ปลูกทางตอนกลางของประเทศมาซิโดเนีย
สถานีโทรทัศน์ตามไปสัมภาษณ์ผู้ชายที่ทำงานอยู่ในไร่องุ่น พอพิธีกรถามว่าวันๆ เขาทำอะไรบ้าง เขาตอบว่า "พอตื่นมาตอนเช้า สิ่งแรกที่ผมทำคือดื่มราเคีย..."
โปรดิวเซอร์สั่งคัต บอกว่าเราไม่สามารถพูดถึงแอลกอฮอล์ออกอากาศได้ รายการเราอาจมีเด็กดูอยู่
ชาวไร่องุ่นหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนตอบว่า "เอาแบบนี้ดีกว่า ผมก็จะเล่าของผมไปนั่นแหละ แต่พอถึงตอนดื่มราเคียเมื่อไหร่ ผมจะพูดว่า 'อ่านหนังสือ' แทนก็แล้วกัน"
ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย หนนี้พอกล้องเริ่มถ่าย เขาเล่าว่า
"พอตื่นมาตอนเช้า สิ่งแรกที่ผมทำคืออ่านหนังสือ จากนั้นผมก็ออกไปทำงานในไร่องุ่น พอถึงช่วงบ่าย ผมก็กลับบ้านมาอ่านหนังสือต่อ พอเย็นย่ำ ก็ชวนเพื่อนๆ ไปห้องสมุด และถ้าหนังสือที่เราอ่านสนุกมาก เราก็อาจจะอ่านเพลินๆ กันเล่มสองสามเล่ม กลางคืนพอผมกลับบ้าน ก็อ่านหนังสือต่อจนผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข"
อนึ่งโจ๊กนี้ดังมากในมาซิโดเนีย ถึงขนาด ราเคียทำเอดิชันพิเศษ กล่องรูปหนังสือออกมาเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"You can take a man out of Thailand but you can't take Thainess out of a man."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มีระเบิดในยุโรปอีกแล้ว ตอนนี้ยังไม่สรุปว่าฝีมือใคร แต่กุเตรียมรูปไว้ด่ามุสลิมแล้ว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
A: กำลังจะซื้อของจาก AIS Online Store มีช่องให้กรอกบัตรเครดิต แต่หน้าเว็บดังกล่าวไม่มี SSL จ้า ไม่ซื้อเลย
AIS:เมื่อคุณ A ชำระด้วยบัตรเครดิต ระบบของธนาคารจะมีการ verify ข้อมูลก่อนยืนยันการชำระอีกครั้งค่ะ
A: ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ verify ผ่านไม่ผ่านแต่ปัญหามันอยู่ที่่ใส่เลขบัตรเครดิตและส่งข้อมูลกลับไปยังบน server โดยที่ไม่ได้เข้ารหัส
AIS: สำหรับการชำระค่าบริการมีความปลอดภัย และเชื่อถือได้แน่นอนค่ะ
A: ฟังนะครับ กรอกเลขบัตรเครดิต พร้อม CCV และวันหมดอายุ ในช่องทางไม่ผ่าน SSL เหมือนที่ผมกับกำลังทวีตหาคุณอยู่ ใครก็อ่านได้ แล้วแบบนี้มันปลอดภัย?
B: เทียบกันก็ประมาณว่า คุณกำลังตะโกนบอกเลขบัตรเครดิต รวมถึงเลข cvv กับร้านค้าอะครับ คนอยุ่ข้างๆ ก้รุ้ข้อมูลหมด
ลุงลิ่ว: ถ้า WiFi ก็ตะโกนไป 40 เมตร
อีมอด: เคสนี้ถ้าลูกค้าโดนแฮกบัตรเครดิตไป AIS ก็ไม่เสียหายอะไรนะ ธนาคารจะบอกกับลูกค้าว่ามึงอ่ะโง่เองที่ธุรกรรมกะเว็บที่ไม่ encrypt ข้อมูล
ผม: ..... เละ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไปเที่ยวเมืองนอกแล้วกลับมาไทย รู้สึกว่าราคาอาหารในไทยถูกแล้วล่ะ
ประเทศเจริญแล้วขนาดน้ำเปล่าขวดแม่งแพงชิบหาย
.. ในยุคที่<#มิตรสหายท่านหนึ่ง> ๆ ก็หยิบ "มือถือ" มารูดเล่นยามว่างกันแทบทุกขณะ ..
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>มานั่งกินราเมงในค่ำคืนวันพฤหัส ท่ามกลางอากาศหนาว ๆ มีคนในร้านเล็ก ๆ เพียงไม่กี่<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>
ในญี่ปุ่นเราจะสามารถเห็น<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>เพียงคนเดียวเปิดร้านอาหารได้โดยไม่ต้องมี<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ช่วย เริ่มจากต่อคิวที่ทางเข้า.. เลือกเมนูที่ชอบและจ่ายเงินที่<#มิตรสหายท่านหนึ่ง> จากนั้นก็นำใบเสร็จส่งตรงให้<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ปรุงเลย ง่ายมาก ๆ ค่ะ
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ก็ปรุงอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำพร้อมกันทีละหลาย ๆ จานได้อย่างสบาย แถมรวดเร็ว และราเม็งชามนั้นก็อร่อยมาก ๆ
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ก็เฝ้าดูต่อว่า.. เสิร์ฟเร็ว <#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ไม่มาก แล้วเวลาแกว่าง แกจะทำอะไร?
จะยกมือถือขึ้นมาเล่นระหว่างรอ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>กินเสร็จไหมนะ?
สักพักก็มี<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ขอเติมเส้น.. ที่นี่เติมเส้นได้ฟรีด้วย.. <#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ก็เลยได้ลวกเส้นเสิร์ฟอีกจานสองจาน
แล้วเสร็จแล้วทำอะไรต่อดี?
.. <#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ก็เอาเหยือกเสิร์ฟน้ำฟรี มากรอกน้ำ หั่นมะนาวฝาน ใส่น้ำแข็งให้เต็มครบทุกเหยือก
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>เสร็จแล้ว.. จะทำอะไรอีก?
.. ทีนี้แกก็เดินไปหลังบ้านเลย..
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ก็คิดว่าไปพักสินะ.. ไปเข้าห้องน้ำ.. ชิวแน่นอน
เปล่า
.. <#มิตรสหายท่านหนึ่ง>หายไปสักพักก็กลับมาพร้อมกับถาดผัก.. เอามาหั่นซอยด้วยหน้าตาขะมักเขม้น
นี่<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>คงไม่ได้กะจะพักเลยสินะ?
เมื่อ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>กำลังจะออกจากร้าน เห็น<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>แว่บยืนนิ่ง ๆ .. ในที่สุดก็จะเล่นมือถือแล้วหรือ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>!?
เปล่าเลย.. <#มิตรสหายท่านหนึ่ง>กำลังเปลี่ยน playlist ดนตรีใหม่
แล้วเพลง<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ก็ดังขึ้นมา
ในขณะที่<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>แว่บเห็นข้อความบนผ้ากันเปื้อนของ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง> มันเขียนว่า
"NO <#มิตรสหายท่านหนึ่ง>
NO LIFE."
(ไม่มีราเม็งก็เหมือนไม่มีชีวิต)
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>เจ๋งอะ
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>โชว์ให้เห็นว่า ทั้งหมดนี้คือชีวิตของ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>จริง ๆ
<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>โชว์ให้เห็นว่า <#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ๆ เดียวที่ทำอะไรด้วยใจ สามารถแทนที่<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ธรรมดาทั่วไปได้เป็นสิบ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>
และ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>โชว์ให้เห็นว่า เวลางาน คือ เวลาแห่งการโชว์ผลงานอย่างแท้จริง
เมื่อ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>เต็มที่ อะไรก็ดีเสมอ
ชอบตรงที่<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>แสดงให้เห็นว่า <#มิตรสหายท่านหนึ่ง>สามารถทำ<#มิตรสหายท่านหนึ่ง>ให้ยุ่งได้ตลอดเวลา
แม้หน้าที่จะเดิม ๆ แต่ก็ยังมีอะไรให้ทำอีกมาก
และไม่จำเป็นต้องหาอะไรที่ไม่สำคัญมาทำเพื่อ "ฆ่าเวลา"
เพราะทุกวินาทีมีความหมายเสมอ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันมีมาตรฐานตรวจสอบเยอะแยะ เลยต้นทุนเยอะว่ะ
อันนี้ไม่มีอะไรเลย แค่อยากเล่าเฉยๆ
เรื่องมันเริ่มจากหลังจากที่ผมทำเพจนี้ไปได้ใหม่ๆ น่าจะสัก 3 ปีก่อน (จำเวลาแน่นอนไม่ได้จริงๆ แม่งลืมหมดล่ะ) มีน้องผู้หญิงคนนึงทักมาหลังไมค์ว่า พี่เคยลองเบียร์ทำเองตัวนี้หรือยัง ชื่อว่า sandport (ถึงตอนนี้ก็เสือกลืมชื่อน้องคนนั้นไปด้วยเช่นกัน)
.
.
.
ความรู้สึกครั้งแรกในตอนนั้นคือ ตื่นเต้นชิบหาย เพราะในช่วงนั้นเป็นเวลาที่ homebrew เป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา มีคนทำเบียร์เองไม่ถึง 5 ราย ตัวผมเริ่มจากการดื่ม chitbeer ตั้งแต่ตอนที่พี่ชิตยังไม่คิดเงิน และที่รังชิตเบียร์ยังไม่มีคนไปแดก (ตอนนี้แม่งคนล้นทุกวีค) การเจอเบียร์ที่คนไทยทำเอง จึงเป็นเรื่องชวนตื่นเต้นสำหรับผมมาก
.
.
.
กลับมาที่ sandport กันต่อ หลังจากที่น้องคนนั้นชี้เป้ามา ผมก็พยายามหาช่องทางติดต่อเพื่อที่จะไปแดกเบียร์พวกเขาให้ได้ น้องคนนั้นบอกมาว่า พี่ลองไปที่ rockademy สิ เขาจะไปออกงานที่นั่น
.
.
.
จำได้ชัดเจนว่าเสี่ยงดวงไป rockademy แถวสุขุมวิทแบบไม่รู้เหี้ยห่าอะไรเลย เสนอหน้าไปเพื่อที่จะแดกเบียร์ล้วนๆ ส่วนคนที่มางานวันนั้นเขาไปนั่งฟังเพลงกัน มีกูนี่ล่ะเสี้ยนอยากแดกของมึนเมาตั้งแต่บ่าย
.
.
.
ขณะที่ stoondio เล่นกีตาร์ไปในพื้นที่ชั้น 2 ของ rockademy สายตาผมเหลือบไปเจอแก๊งชายฉกรรจ์กลุ่มนึง พร้อมกับตู้ไม้ยาวๆ มีป้ายแปะแบบลวกๆ นั่นล่ะ กูมาถูกทางแล้ว
.
.
.
จำได้ว่าทักใครสักคนในกลุ่ม sp ไป แล้วขอซื้อ ipa มาแดก เบ็ดเสร็จตลอดงานผมซัดไป 3-4 แก้ว จำรสชาติไม่ค่อยได้หรอก ตอนนั้นยังไม่รู้เลย ipa ที่ดีแม่งเป็นยังไง แต่ที่รู้แน่ๆคือพวกนี้มันบ้าไม่ใช่เล่น เบียร์มันก็ใช้ได้อีก
.
.
.
.
.
หลังจากนั้นคือยุคก่อร่างสร้างตัวของ homebrew ไทย หรือใครจะเรียกว่าคราฟต์เบียร์ไทยก็ได้ จากช่วงเวลาที่มีคนทำเบียร์แบบนับนิ้วมือข้างเดียวได้ มาจนถึงยุคที่มีคนทำเกือบๆร้อยแบรนด์ ล้มหายตายจากเลิกทำไปก็หลายคน จนเข้าสู่ยุคที่หลายคนตัดสินใจเอาเบียร์ไปทำที่ต่างประเทศ sandport คือ 1 ในหัวหอกของวงการนี้มาเสมอ และผมก็ได้แดกมันตั้งแต่ขวบปีแรกจนถึงปัจจุบัน เห็นมันมาตั้งแต่ฉลากง่อยๆ รสชาติยังเป๋ไปเป๋มาบ้าง จนมาถึงตอนนี้ที่รสชาติแม่งไประดับนานาชาติแล้ว สัมผัสได้ถึงพัฒนาการของคนทำเบียร์กลุ่มนี้ ที่มีความตั้งใจ ใส่ใจในสิ่งที่ทำ
.
.
.
.
ตอนผมรู้จัก ตูน แซนพอร์ต เป็นคนแรก ผมจำได้ว่าตูนเคยบอกว่า สาเหตุที่ทำเบียร์มันไม่มีอะไรซับซ้อน คือแค่อยากเมา 55555 อ่ะ กูล้อเล่นน่ะ จริงๆคือมันมันเริ่มมาจากกลุ่มเพื่อนที่ชอบดื่มเบียร์ แต่เบียร์นอกแม่งก็แพง แม่งกูทำเบียร์แดกเองแม่งเลยดีกว่า แล้ว sandport แม่งก็เริ่มทำเบียร์ด้วยเหตุผลง่ายๆแค่นั้นเอง โลกเราต้องการคนบ้าแบบนี้ คนบ้าที่พร้อมจะสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมา แล้วพัฒนาแม่งไปเรื่อยๆ
.
.
.
.
ใครจะว่าคราฟต์เบียร์เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นของมึนเมาราคาแพง ก็คงต้องปล่อยเขาไป แต่สำหรับคนบางคนบางกลุ่ม มันเป็นมากกว่านั้น มันเป็นตัวแทนของมิตรภาพ เป็นตัวแทนของความอุตสาหะพยายาม เป็นตัวแทนของแพสชั่นและความฝันที่ถูกบรรจุลงไปในขวด
.
.
.
.
ตอนปี 2015 แซนพอร์ตส่งอีเมลไปหางานประกวดเบียร์ที่ออสเตรเลีย แนะนำตัวว่าเป็น homebrew จากประเทศไทย อยากจะขอร่วมประกวดได้มั้ย ทางทีมงานตอบกลับมาด้วยการปฎิเสธว่า เราคงให้คุณประกวดไม่ได้ เพราะมันเป็นงานสำหรับเบียร์ที่ีขายในเชิงพาณิชย์เท่านั้น
.
.
.
.
2 ปีผ่านมา เวลาผ่านมาเข้าสู่ปี 2017 bang bang ipa จาก sandport ส่งเบียร์ไปประกวดในนามเบียร์จากประเทศไทย
พวกเขาได้รางวัลเหรียญทองแดงกลับมา
.
.
.
.
สำหรับคนภายนอกก็คงคิดว่าก็แค่เหรียญทองแดงเท่านั้นเอง มึงจะอะไรนักหนา แต่สำหรับพวกเขา ผมเชื่อว่ามันเป็นเหรียญทองแดงที่มีมูลค่ามากกว่าเหรียญทองใดๆเสียอีก การเดินทางมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย จากคนแดกเบียร์ธรรมดา ก้าวมาสู่การทำ homebrew แค่อยากทำเบียร์ดีๆให้คนไทยได้แดก ทำเบียร์เสียเบียร์พังมาก็เยอะ จนตอนนี้ก็ลงทุนกำเงินเก็บเป็นแสนๆไปทำเบียร์แบบถูกกฏหมายในต่างประเทศ
.
.
.
.
เหรียญทองแดงเหรียญนี้จึงมีความหมายมากๆสำหรับวงการคราฟต์เบียร์ไทย เพราะพวกเราไม่มีแต้มต่ออะไรเลย โดนกฏหมายกีดกันแม่งทุกทาง อยู่ในสนามที่มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะกล้าลงมา
.
.
.
ผมเองก็ไม่รู้หรอกความฝันของพวกเขาแม่งมีมูลค่าแค่ไหน ผมรู้แค่ว่าไอ้พวกนี้แม่งไม่เคยหยุดฝันสักวัน
.
.
.
.
.
อยากให้ทุกท่านมาร่วมยินดีกับเหรียญทองแดงของ sandport beer ครั้งนี้กับผมด้วยจริงๆครับ มันไม่ใช่แค่รางวัลสำหรับคนทำ แต่มันคือเหรียญรางวัลสำหรับคนดื่มคราฟต์เบียร์ไทยทุกคน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อัลเลาะห์เย็ดเป็ดและชอบกินผัดผัก
#การปรากฏตัวของหญิงสาวบนรถเข็นในวันทำงาน(ที่ฝนไม่ตก)
.
เธอ นั่งวีลแชร์มาตั้งแต่อายุ 9 ปี
ก่อนตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ที่เรียกว่า SMA (Spinal Muscular Atrphy)
.
ปัจจุบันเธอมีหน้าที่การงาน และโดยปกติแล้ว
พ่อ จะเป็นคนขับรถจากบ้าน
ไปส่งเธอถึงที่ทำงาาน จากเอกมัยไปห้วยขวาง
เมื่อเธอบอกว่า ยังไม่เคยออกจากบ้าน
โดยใช้ รถสาธารณะด้วยตัวคนเดียวเลย
.
เพื่อความเข้าใจ ผมเลยชวนให้เธอ
เดินทางจากบ้านไปยังออฟฟิศด้วยตัวคนเดียว
โดยผมจะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์
.
.
เริมต้นเดินทาง 9.03
จากบ้านเธอซึ่งอยู่ฝั่งซอยเลขคู่
ฟุตบาธด้านนี้ ช่างโหดร้ายยิ่งนัก
ทั้งแคบทั้งแน่นไปด้วยสิ่งกีดขวาง
ต้นไม้ รถเข็น คนเดินได้คล่องแคล่ว
บางช่วงยังต้องลงไปเดินบนถนน
.
เธอจึงจะข้ามฝั่งไปซอยเลขคี่
เธอมองซ้ายขวาสักพัก พี่ยามฝั่งตรงข้าม
ก็ใจดีมาโบกธงพาเธอข้ามถนน
"ปกติจะมีคนช่วยกันรถให้
พอต้องข้ามด้วยตัวเองเลยลังเล
ว่าจะข้ามทันไหม ถ้าไม่มีคนกันให้
คงไม่กล้าข้ามถนน"
.
แม้ฝั่งเลขคู่ ฟุตบาธ จะดีกว่า แต่ก็มีความโหด
สำหรับคนใช้วีลแชร์อยู่หลายต่อหลายเรื่อง
ฟุตบาธ เอียง ๆ - วีลแชร์เสียการทรงตัว
ทางลาดไม่แนบสนิทกับพื้น - ถ้ามาคนเดียว
แค่ห่างจากพื้น 1 คืบ วีลแชร์ก็ขึ้นไม่ได้แล้ว
การก่อสร้าง,ซ่อมแซม - ต้องอ้อมลงถนน
"รู้แหละว่า รถยนต์ก้ระวังและพยายามเบี่ยงหลบให้
แต่มันไม่สบายใจอยู่ดี ถนนไม่ใช่ที่ที่เราควรลงไป
ถึงจะไปได้ แต่ก็รู้สึกไม่ปลอดภัย"
.
มาถึง สถานี BTS เอกมัยโดยใช้เวลา 28 นาที
ในขณะที่ผมใช้เวลาขาเข้าไปหาเธอ 15 นาที
.
.
.
เธอ เข้าไป 'ชะเง้อ' คุยกับเจ้าหน้าประจำสถานี
แล้วรอให้เจ้าหน้าที่เปิดประตูใหญ่ ๆ ให้
"แม้เรามีสิทธิ์ขึ้นฟรี แต่บางครั้งก็กดบัตร
เคาน์เตอร์รับบัตรอยู่สูงมาก เราเอื้อมแทบไม่ถึง
เห็นแค่จมูกพนักงาน ไปถึงเขาจะถามว่า
'มีบัตรคนพิการไหม' พอบกว่า 'มีค่ะ'
เขาก็ยื่นบัตรให้ ไม่มีปฏิสัมพันธือะไรเลย
บางครั้งเรียกเขาก็มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน
เป็นภาวะที่โคตรเกลียดตัวเอง
ยอมเสียเงินแล้วไม่ต้องเจอแบบนั้นดีกว่า"
.
"จะเข้าก็ต้องรอให้เขาเปิดช่องใหญ่ ๆ ให้อีก
ตอนไปญี่ปุ่นไม่เป็นแบบนี้นะ
ที่นั่งทางเข้าสำหรับคนทั่วไปกว้างมาก
เราซื้อบัตร เสียบบัตร ช่องเปิด
แล้วก็ไปได้เหมือนคนอื่น
.
หลายระบบของเมืองไทยไม่ได้ออกแบบ
ให้คนไม่พิการ กับ คนพิการ ไปด้วยกันอย่างแนบเนียน
การได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น
สำหรับเรามันโอเคกว่า"
.
สถานี เอกมัยไม่มีลิฟต์ สำหรับคนใช้วีลแชร์
เธอจะต้องขึ้นไปด้านบนโดยบันไดเลื่อน
.
การใช้บันไดเลื่อน จะต้องมีเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัย
เดินตามประกบ 2 คน ก่อนจะเอาวีลแชร์ขึ้น
จะมีการส่งสัญญาณให้บันไดเลื่อนหยุด
แล้วปรับให้ 2-3 ขั้นแรกของบันไปติดกันเป็นแนวราบ
เจ้าหน้าที่สองคน เข้ามาประกบจับให้มั่นคง
ก่อนจะปล่อยให้บันไดเลื่อนทำงานอีกครั้ง
.
"เรารู้สึกเป็นภาระมากเลย ทุกคนต้องรอเรา
ครั้งหนึ่งเรามาตอน 1 ทุ่ม
แล้วจะลงไปข้างล่าง บันไดที่นี่มีแต่แบบเลื่อนขึ้น
พอเราลงบันไดมา คนข้างล่างเยอะมาก
เหมือนมีการชุมนุมอะไรสักอย่าง
พวกเขาต้องรอเราลงบันไดเลื่อนมาก่อน"
.
.
.
BTS ที่สถานีอโศก สู่ MRT สถานีสุขุมวิท
(เผื่อใครอยู่ตจว. จริง ๆ มันอยู่ที่เดียวกัน
แต่ การเปลี่ยนสายจาก BTS ไป MRT
เขาเปลี่ยนชื่อสถานีด้วย)
มีลิฟต์ให้ใช้บริการ
แต่ทุกครั้งที่จะใช้จะต้องรอให้ เจ้าหน้าที่มาเปิดให้ ..
.. ย้ำว่า ...ทุกครั้ง
..
"มีครั้งหนึ่ง ตรงลิฟต์ไม่มียามเลย
แปะเบอร์ไว้ พอโทรแจ้งไป
เขาถามว่าอยู่ทางออกไหน ..
อ้าว..ผู้โดยสารไม่รู้หรอก
จริง ๆ เขาควรจะรู้ไหมว่า โทรมาจากที่ไหน
รอยู่ครึ่งชั่วโมง พอโทรไปถามอีกที
เขาบอกว่า เปิดแล้ว ..คือลิฟต์กดได้แล้ว
แต่เราจะรู้ได้ยังไง เพราะบางทีก็มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาทำให้"
.
และแล้วก็มาถึงสถานีปลายทาง MRT ห้วยขวาง
ทางออกที่ใกล้ออฟฟิศ
มีลิฟต์ มีทางลาด ฟุตบาทเสมอกัน
เกือบจะดีแล้วเชียว ปรากฏว่า
มีเสาเหล็กมาเรียงแถวหน้ากระดาน
ด้วยความห่างที่ วีลแชร์ "เกือบ" ผ่านไปได้
เพื่อกั้นไม่ให้มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาวิ่งบนฟุตบาธ
.
เธอ จึงต้องอ้อมไปตรงลานจอดรถ
ซึ่งตรงนั้นไม่มีทางลาด จึงต้องอาศัยแรงคน
มายกวีลแชร์อีกครั้ง
.
"ใช่ คนไทยมีน้ำใจ
แต่ลึก ๆ ไม่ว่าใครก็อยากจะพึ่งตัวเอง
มากกว่าถึ่งน้ำใจคนอื่น
เราขอบพระคุณในน้ำใจ
แต่จะดีมากกว่า หากคุณช่วยทำให้คนพิการ
ใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง
.
คนช่วยเหลืออาจรู้สึกว่าตัวเองได้ทำบุญ
แต่เข้าใจไหม เราไม่ได้อยากเป็นถังสังฆทาน
เราแค่ดำเนินชีวิต
ทำไมต้องเป็นนกเป็นปลาให้คนอื่นทำบุญ"
.
.
เรื่องโดย ขวัญชาย ดำรงค์ขวัญ
(ผมย่อมาอีกที)
จาก Mad about ฉบับที่ 2/3
.
นี่ขนาดฝนไม่ตกนะ ถ้าวันไหนฝนตกจะขนาดไหน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฉันเดินทางมาแสนนาน
ตามหาสัตว์ในตำนาน
ในป่าลึกดินแดนที่ไม่มีใครเข้าถึง
ป่าที่ลึกเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ฉันเดินทางมาก็นานไม่ได้หยุดพัก
ทั้งวันเจอแต่สัตว์พื้นๆไม่เจอสัตว์ในตำนาน
แล้วฉันก็หันไปทางขวา
เจอวัวป่าที่มีสีสันตรงตามตำรา
โคโรโวเก้ โคโรโวเก้
ฉันเจอวัวป่า โคโรโวเก้ในป่าลึก
ฉันจึงถ่ายรูปไว้ เก็บเป็นหลักฐาน
ว่าฉันเดินทางไปเจอกับวัววิเศษ
ฉันทำการกดชัตเตอร์
กดยังไงก็กดไม่ติด
สงสัยวัวตัวนี้ต้องมีพลังอะไร
โคโรโวเก้ โคโรโวเก้
ฉันเจอวัวป่าโคโณโวเก้ในป่าลึก
โคโรโวเก้ โคโรโวเก้ โคโรโว เย๊
"ตอนที่ช่วยทำ government mobile app standard นี่เคยมีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าภาครัฐควรจะสนใจ usability มากขึ้นบ้าง สนใจ standard UX มากขึ้นบ้าง ... เอกสารฉบับนั้นถอดความมาจาก app usability guideline ต่างๆ รวมถึงเรื่องพวก data protocol (รวมถึง privacy ด้วย) จาก application standard guideline มาเยอะมากพอควร
แต่สุดท้ายมันก็แค่เอกสารชิ้นหนึ่งที่ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น แม้แต่กับตัว app ของหน่วยงานที่เป็นเจ้าของมาตรฐานเอง
(แล้วยังจะอยากได้มาตรฐานฉบับใหม่ จะให้อัปเดตอีกนะ ... บอกว่าเป็น KPI ที่จะต้องอัปเดตมาตรฐาน ... เอ่อ คุณครับ ช่วยอัปเดต app คุณให้แม่งเป็นไปตามมาตรฐานที่คุณเพิ่งจะประกาศไป ก่อนทื่จะอัปเดตมาตรฐาน ดีกว่าไหมครับ)
เป็นเรื่องน่าเศร้าเนอะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"You're only young once, but you can be immature forever."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"การที่ผู้ใหญ่ไปเยดเด็กเยาวชนเป็นเรื่องเลวร้ายเลวทรามมากทำร้ายอนาคตเด็ก ตราบาปชีวิต ตายทั้งเป็น บลาๆๆ"
#เพจดราม่าท่านหนึ่ง
"ความเงี่ยนเป็นเรื่องธรรมชาติ คนสมัยก่อนอายุยังน้อยก็แต่งงานแล้ว เราไม่ควรไปปิดกั้นเด็ก เราควรให้ความรู้กับเด็ก ให้เด็กรู้จักใช้ถุงยาง ให้เด็กรู้จักแตกนอก บลาๆๆๆ"
#เพจดราม่าตัวเมื่อกี้
"คนไทยมีการแบ่งชนชั้นที่ชัดเจน แต่ละชนชั้นทำหน้าที่บทบาทต่างกันไป
.
มูลนายปกป้องคุ้มครองมวลชนในอาณัติ
.
ปวงชนก็ส่งเสริมมูลนาย ถ้อยทีถ้อยอาศัย"
.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
......ทำไมรู้สึกว่า ตอนนี้ เรากำลังอยู่ในยุคที่ แค่เขียนกระดาษคำว่า "เกมส์" ไปให้ผู้ใหญ่หลายคนอ่าน พวกเขาก็ออกอาการอุปาทานหมู่ดิ้นพล่านยิ่งกว่าสะกดคำว่าเหล้าหรือบุหรี่หรือชู้ซะอีกแล้วนะเนี่ย
อย่างกับ "อาการทางจิต" เลย (ถึงไม่เป็นตามที่ว่าก็ใกล้เคียงไปไม่น้อยแล้วล่ะ)
สักวัน คงอีกไม่นาน ยุค "หลุมดำ" ก็อาจจะกลับมาอีกครั้ง ที่เหลือก็คือ "ฆ่า" หรือ "จะยอมถูกฆ่าอีก" เท่านั้นแล้วมั้ง
(ความคิดนี้รุนแรงหรือ? ผมว่าไม่นะ? สิ่งที่พวกมันทำกับพวกเราผมว่าโหดร้ายกว่านี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อึ้ง! หลักฐานชี้ชัดว่า "แผ่นดินสหรัฐอเมริกา เป็นของมุสลิม"
"เมื่อความจริงปรากฎได้ ความเท็จจะหายไป"
เกิดเป็นเรื่องขึ้นมา...เมื่อพบว่า อินเดียนแดงเผ่าเชอโรกี เจ้าของแผ่นดินสหรัฐอเมริกา เป็น "ผู้ศรัทธา ต่ออัลลอฮฺ ซบ." ก่อนจะถูกปล้นฆ่า ตายไปหลายสิบล้านคน เพื่อยึดไปตั้งเป็นประเทศใหม่ นามว่า "สหรัฐอเมริกา" ในปัจจุบัน อัลลอฮุอักบัร
ห้องสมุดของสภาคองเกรส ได้เก็บงำหลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งคือ หนังสือสัญญาระหว่างผู้ปกครองอเมริกา กับผู้นำเผ่าเชอโรกี ของชาวอินเดียนแดงในปี 1787
ซึ่งในหนังสือดังกล่าว มีลายเซ็นของหัวหน้าเผ่าเชอโรกีในขณะนั้น คือ Abdekhak และ Muhammad Ibnu Abdullah ระบุถึงสิทธิและทรัพย์สินของชนเผ่า ที่ได้จากการค้าขาย
การเดินเรือและกฎหมายว่าด้วยการปกครองของเผ่าเชอโรกี ซึ่งปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม!
นอกจากนั้นยังพบว่า เครื่องแต่งกายของสตรีชนเผ่าเชอโรกี นั้นมีการปกปิดเอารัต ส่วนผู้ชายก็สวมใส่ "ซารบ่าน" (ผ้าโพกหัวแบบมุสลิม) และใส่เสื้อคลุมที่ยาวจนถึงหัวเข่า
การแต่งกายเช่นนี้ พบในชนเผ่าเชอโรกี
ในรูปภาพช่วงก่อนปี 1832 และต่อมาได้สาบสูญไปพร้อมๆ กับชาวชนเผ่าและหัวหน้าเผ่าเชอโรกีคนสุดท้ายที่มีชื่อว่า รอมฎอน อิบนุ วาตี ซึ่งเขากับพวก ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมจนหมดสิ้นเผ่าพันธุ์
ยิ่งกว่านั้น อักษรที่ใช้ในเผ่าเชอโรกี ก็คล้ายกับอักษรภาษาอาหรับมาก ทั้งยังมีการค้นพบแผ่นหินแผ่นหนึ่ง ที่รัฐเนวาดา ซึ่งปรากฎอักษรที่เขียน คล้ายคลึงมากกับ พระนามของท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.)
และหากจะพิจารณา ชื่อ ของอินเดียนแดง เผ่าต่างๆ จะพบว่ามาจาก "ภาษาอาหรับ" แทบทุกเผ่า เช่น เชอโรกี หรือ ชากี , Anasazi , Apache (อาปาเช่) , Arawak , Arikana และ Makkah เป็นต้น
นอกจากนี้ หัวหน้าเผ่าบางเผ่า ยังใส่หมวกคลุมศีรษะ ซึ่งใช้เฉพาะในคนอิสลาม พวกเขา คือ หัวหน้าเผ่า Chippewa, Creek, Lowa, Kansas, Miami ซึ่งปรากฏอยู่ ในรูปภาพของพวกเขา ระหว่างปี 1835-1870
การที่อินเดียนแดงเผ่า "เชอโรกี" เป็นอิสลาม อาจเนื่องมาจาก ในประวัติศาสตร์นั้น ชาวอาหรับและจีน มีความกระตือรือร้นอย่างมาก ที่จะรู้จักโลกใบนี้ พวกเขาจึงออกเดินทางรอนแรมไปทั่วโลก
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการค้า และเพื่อเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ทำให้พวกเขาเดินทางข้ามมหาสมุทร ซึ่งยังถือว่าเป็นดินแดนเร้นลับ และอันตราย จนกระทั่งมาถึงทวีปอเมริกา และนำศาสนาอิสลาม มาเผยแพร่ให้แก่อินเดียนแดงเผ่าเชอโรกี ในที่สุด อัลฮัมดุลิลละฮฺ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มั่วสัด เหมือนเคลมว่าคนไทยเป็นเผ่าอารยันลงมาทางใต้ของจีนนั่นแหล่ะ
>>531 มันมีทฤษฏีว่า 1/10 ชนเผ่าอิสราเอลโบราณที่แตกกระจาย ข้ามน้ำข้ามทะเลมาอมริกาด้วยนะ แต่อ่านยังไงก็เป็นพวกเอาไบเบิ้ลเป็นศูนย์กลางจักรยานวะ ไม่ต่างจาก White supremacist เท่าไหร่ แค่เปลี่ยนเป็น Bible/Semitic เท่านั้นเอง.
>>534 ก็ถูกอยู่นะ 1 ในบรรพชนของเผ่าไทยปัจจุบันลงมาจากจีน ตั้งแต่สมัยบ้านเชียงแนะ และบรรพชนเก่าแก่กว่านั้นก็เป็น "อารยัน" ที่มาจาก "อัลไต" จริงๆ ดังนั้นถ้าบอกว่าไทยเป็นอารยันมาจากอัลไตก็ไม่ผิดหรอก แต่ก็แบบเดียวกับบอกว่าคนเมกามาจากแอฟริกานั่นละ ที่มาถูกต้อง แต่ข้ามไปหลายขั้นตอนหน่อย
หน้าคนอิสราเอลไม่เห็นเหมือนอินเดียนแดงเลย
หน้าหัวหน้าเผ่าแก่ๆบางคนกูนึกว่าเป็นต้นตระกูลเฉินหลงหรือโน้ตอุดม
>>536 ลองอ่านดู ฝรั่งนะบอกว่าไบเบิ้ลเป็นบรรพบุรุษของทั้งโลกละ แต่เกาหลีแม่งก็อปไปแล้วดังกว่า
http://www.myjewishlearning.com/article/native-americans-jews-the-lost-tribes-episode/
บางอันบอกว่าบรรพบุรุษของญี่ปุ่นเป็นยิวก็มี
https://en.wikipedia.org/wiki/Japanese-Jewish_common_ancestry_theory
มีคนบอกว่าลึกๆในจิตใต้สำนึกคนเรา มันเชื่อมถึงกันว่ะ
เขายกว่าตำนานทั่วโลกมันจะมีจุดเชื่อมโยงกัน
เช่น ชายแก่ทรงภูมิ จะมี โอดิน,เมอร์ลิน,พระเจ้าตา,แกนดัฟ.
หรือเทพสายฟ้าอย่าง ซูส,ทอร์,พระอินทร์ ่มีพฤติกรรมคล้ายๆกันเคยพลาดท่าแล้วโดนสาปกลับ โดยเฉพาะพระอินทร์ โดนกามโรคเล่นงานออกดอกทั้งตัวจนต้องขอให้เปลี่ยนเป็นลูกตา
หรือเทพมหาชน อย่างเฮอคิวลิส,พระนารายด์ ที่เกิดมาปราบเกรียนโดนเฉพาะ สู้ตรงๆไม่ได้บางทีก็ต้องใช้เล่ห์
ที่จริงลึกๆคนเรามันก็น่าจะมาจากรากเดียวกันมันถึงจะเชื่อมกันได้
จาก สเปิร์ม, ตัวอ่อนระยะแรก มันเหมือนๆกันหมดในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเลยว่ะ
"เมื่อวานพ่อบ้านที่เป็นมักเกิ้ลของดิฉันซื้อ nintendo switch เข้ามาในบ้าน ซึ่งทำให้ดิฉันกังวลอย่างมากเรื่องอนาคตของลูก
ตอนนี้ลูก อายุ 10 ปีแล้ว บ้านอยู่แถวๆสถานีรถไฟ
ดิฉันกลัวลูกที่กำลังจะเข้าฮอกวอตส์ ไม่ได้เข้าบ้านกริฟฟินดอร์ (ดิฉันเคยอยู่บ้านฮัฟเฟิลพัพ)
ในเมื่อมักเกิ้ลสนับสนุนการเล่นเกมส์ในบ้านขนาดนี้ พอดิฉันเสกมนต์ไปนิดนึง นางบอกว่าจะให้ลูกไปเล่นเกมส์แถวตรอกไดแอนกรอล
พูดไม่ออกเลยค่ะ กังวลอย่างมาก ดิฉันควรจะเสกคาถากรีดแทงใส่ดีไหมคะ?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พ่อแม่สมัยนี้เป็นอะไรกันหมดแล้ว เคี่ยวเข็ญลูกจะให้เป็นอย่างโน่นอย่างนี้ ไม่สนใจเลยว่าดวงชะตาของลูกเหมาะสมหรือเปล่า ก่อนจะไปล็อคเป้าโรงเรียนที่ไหนอย่างน้อยก็ควรผูกดวงวางลัคนาดูก่อน เดี๋ยวนี้ทำเองเบื้องต้นได้ไม่ยากเลย แต่ถ้าให้ดีก็ควรปรึกษาผู้ที่ชำนาญ ถ้าลูกคุณไม่มีบุญเสียแล้ว จะไปคาดหวังสิ่งที่เกินตัวก็ใช่ที่ มีทางเดียวคือต้องหมั่นสะสมแต้มบุญเอาเองเท่านั้น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ข่าวคานส์- ปาล์มทองปีนี้ได้แก่ The Square -- หนังแซะฮิปสเตอร์ ที่ฮิปสเตอร์น่าจะชอบ (โลกนี้ซับซ้อน) ดีแล้วที่เรื่องนี้ได้เพราะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีในสายประกวดปีนี้ที่จืดๆ ผกก.รูเบน ออสลุนด์จากสวีเดนมาได้ไกลสมใจแฟนๆ The Square อาจจะไม่ได้ต่อยหนักเหมือน Force Majeure หรือหวือหวาเหมือน Play แต่ออสลุนด์ sharp ในการพูดถึงชนชั้นและโลกของ high-culture ที่แปลกแยกจากสังคม มีตัวเอกเป็นคิวเรเตอร์จอมเก๊กที่โดนทดสอบ ล้อเลียนงานอาร์ทสมัยใหม่เหวอๆ (ตามภาพ) -- อย่างไรก็ดี นี่เป็นตัวอย่างของคานส์ยุคใหม่ เป็นปาล์มทองยุค post-Uncle Boonmee คือหนังคานส์ยังไงก็ยังต้องมีโปรดัคชั่นใหญ่ มีทุนหลายๆประเทศ มีงานดี เป็น "หนังอาร์ท" แบบเมนสตรีม ไม่ใช่ "อาร์ทอินดี้" (หวังว่าจะพอนึกออก) คือ selection ของคานส์ช่วงหลังคอนเซอเวทีฟมากๆ ว่ากันจริงๆ หนังของอภิชาติพงศ์เรื่องต่อไป ก็ไม่แน่ว่าคานส์จะเอาเข้าสายประกวด ทั้งที่เคยได้ปาล์มมาแล้ว (เหมือนรักที่ขอนแก่นก็ไม่เข้า) หนังอย่าง Pedro Costa ยังเคยเข้าสายประกวด เดี๋ยวนี้คงไม่มีทาง -- ปีนี้มีแค่ ฮองซางซู ที่เป็นหนังทุนต่ำมากๆที่ยังเข้าสายหลักได้ อันนี้ยกเว้นจริงๆ -- คานส์ต้องตอบสนองตลาดมากขึ้น (Okja) แต่ในขณะเดียวกันโลกภาพยนตร์ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน คนทำหนังไทยที่มักจะคิดว่าอยากไปคานส์ เป็นความทะเยอทะยานที่ดี แต่ต้องรู้ด้วยว่า เกมนี้เล่นยังไง เราเล่นเป็น เล่นได้รึเปล่า
-- อีกอย่าง The Square เป็นชื่อหนังสารคดีเรื่องก่อนหน้านี้ของ เซอเก ลอสนิทซ่า ผกก.ยูเครน ที่พลาดปาล์มปีนี้จาก A Gentle Creature (ซึ่งดีนะ อาจจะมีตอนท้ายที่คนเหวอ) ดูสารคดีของเค้าดีกว่า มันส์กว่าหนังฟิคชั่น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คุยกับมิตรสหายท่านหนึ่ง เรื่องการทำงานเกินกว่าหน้าที่/ค่าตอบแทน เพื่อสร้างความประทับใจ (overwork to impress) แก่นายจ้าง เพราะนายจ้างในปัจจุบัน โดยเฉพาะแนว "ธุรกิจใหม่" หรือ "สตาร์ทอัพ" มีแนวโน้มจะคาดหวังสูงให้ลูกจ้างทำอะไรที่ "ว้าว" เกินกว่าค่าเฉลี่ย ประมาณว่า ถ้าจ้าง 10 แล้วทำมาให้ 10 นี่ไปอยู่ corporate เถอะ องค์กรเราไม่ต้องการคนเฉื่อยๆ แบบคุณ เราต้องการอะไรที่เกินมาตรฐาน เราแข่งขันสูง เราต้องดึงความสนใจของลูกค้าให้ได้
จากการสนทนา พบว่ามีสามกรณีเท่านั้นที่คู่ควรแก่การ overwork
1. คนทำงานมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของความสำเร็จขององค์กร: เจ้าของมักเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ว่าฉันทำงานหนักทั้งวันทั้งคืน ทุกวันนี้ทำงานเกินเงินเดือนอีก โดยลืมไปว่าคุณคือเจ้าของไง คุณมีผลตอบแทนที่มากกว่าตัวเงินด้วย ถ้าธุรกิจหรือองค์กรประสบความสำเร็จ คุณก็ได้เครดิตไปด้วย เอาไปทำอะไรต่อได้อีกตั้งเยอะ ถ้าอดหลับอดนอนเป็นปี เอาถุงนอนมานอนที่ใต้โต๊ะออฟฟิศแบบ Elon Musk แล้วทำ Zip2 สำเร็จ กูก็ยอมทำว่ะ
2. งานที่ทำมี career path ชัดเจน: ถ้างานที่ทำมีอนาคตชัดเจน ว่าถ้าทำดีเข้าตานายจ้าง จะได้รับการโปรโมตไปต่อในตำแหน่งที่สูงขึ้น อันนี้มันก็คุ้มที่จะทุ่มเท เพราะแม้เงินปัจจุบันจะไม่เพิ่ม แต่เงินเดือนคาดหวังในอนาคตอาจเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพมักไม่ค่อยมีตรงนี้ไง งานที่ทำมันเป็นจ๊อบๆ ไป เป็นกราฟิกดีไซน์ เค้าจ้าง 10 แต่ทุ่ม 100 ก็ยังเป็นกราฟิกดีไซน์คนเดิม ไม่ได้ก้าวเป็นหัวหน้าฝ่ายแต่อย่างใด
3. คุณเป็นเด็กจบใหม่: อันนี้เข้าใจได้ เด็กจบใหม่ไฟแรง พร้อมเรียนรู้ทุกอย่าง ยอมทำงานหนัก ร่างกายยังแข็งแรง ยังไม่มีภาระต้องดูแล จ้าง 10 ให้ 100 ก็ทำได้ เก็บประสบการณ์กันไป แต่ถ้าจะคาดหวังแบบเดียวกันกับคนอายุ 25+ ที่เริ่มต้องสร้างเนื้อสร้างตัวจริงจัง อันนี้คงยากแล้ว บ้านก็ต้องผ่อน รถก็ต้องเติมน้ำมัน พ่อแม่ก็ต้องดูแล ไหนจะเก็บเงินแต่งงานอีก
องค์กรธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพ คงต้องถามตัวเองทีละข้อ หนึ่ง ลูกจ้างที่จะจ้างจะได้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นเจ้าของหรือไม่ ถ้าไม่ ข้อสอง career path ชัดเจนหรือไม่ ถ้าไม่ ข้อสาม คุณพร้อมจ้างเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ (ในราคาถูก) หรือไม่ ถ้าไม่... อยากได้ 100 ก็ต้องจ่าย 100 ครับ โลกเรามันก็เท่านี้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เอาอะไรไปบอกคนที่เขาไม่เชื่อ มันก็เหมือนเอาน้ำไปราดหลังหมานั่นแหละ มันก็สลัดออกจนหมด ไม่มีเหลือ..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
" เอาอะไรไปบอกคนที่เขาเชื่อ มันก็เหมือนเอาขี้ให้หมากินนั่นแหละ มันก็กินจนหมด ไม่มีเหลือ..."
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
>>542
น่าเห็นใจนะครับ สิ่งที่ทำได้
1.ไม่ต้องมีลูกกับมั๊กเกิ้ลคนนี้อีก
2.ต้องปกป้องลูกให้ได้ด้วยคาถาผู้พิทักษ์
3.อาจต้องเตรียมตัว ด้วยคาถาต่างๆ หากต้องปกป้องลูกแล้ว ต้องทำให้แยกกัน อย่ายอม อย่าเอาอนาคตที่ลูกจะตกอยู่ในเงื้อมมือลอร์ดมืดเป็นเดิมพัน หากเป็นผู้เสพย์ความตายแล้วถอนตัวยากมากครับ
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ทิศทางนโยบายยาเสพติดของสวิตเซอร์แลนด์นี่ต้องบอกว่าสนุกดี คือ พวกก็เริ่มเหมือนที่อื่นๆ คือปราบปรามจับกุมอย่างหนัก แต่พอไม่ได้เรื่อง ก็หันไปใช้ทางอื่น คือจำกัดเขต เปิด open scene ใช้สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง [สวนสาธารณะพลาตซ์สปิตซ์ (Platzspitz) หรือที่เขาเรียกกันว่า Needle Park] ให้มาทำกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับยาในสวนนี้ได้โดยจะไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุม จะเสพจะขายก็ว่ากันไป แต่สุดท้ายก็คุมปัญหาไม่ได้ พวกก็เลยต้องปิด แต่ปิดแล้วคนมันก็ไปรวมตัวกันเเองที่อื่น ก็ล้มเหลวเละเทะ คุมไม่ได้ จับไม่หมด
ทีนี้ คุณูปการอย่างนึงของไอ้สวนนั่นก็คือ มันทำให้คนเห็นว่าปัญหาร้ายแรงขนาดไหน คือมันมีทั้งคนเสพจนโอเวอร์โดสตายคาสวน การกลายเป็นทาสในรูปแบบต่างๆ ตามแต่คนค้ายาจะสั่ง และปัญหาที่มันทะลักออกใส่พื้นที่อาศัยรอบๆ สวน คนมันก็เลยโวยวายให้รัฐหาทางทำอะไรสักอย่าง รัฐก็เลยลองใหม่ คราวนี้พวกเปิดศูนย์แจกยาให้คนเสพเองเลย เขาเรียกว่า Heroin-Assisted Treatment (HAT) จริงๆ อะไรแบบนี้เริ่มในอังกฤษ แต่นี่เปลี่ยนจากเป็นรับเฮโรอีนหรือสารทดแทนตามใบสั่งยาจากแพทย์มาเป็นแจกเฮโรอีนให้เลย แล้วให้เข้ามาใช้ในศูนย์ HAT นี่
เปิดครั้งแรกปี ค.ศ. 1994 ถึงตอนนี้ก็ 23 ปีละ มันก็เวิร์กในหลายด้านจนเขาใช้มาเรื่อยๆ แล้วก็ใช้อยู่ในหลายประเทศทางยุโรป
จุดนึงที่น่าสนใจก็คือ สิ่งที่ทำให้ทั้งรัฐทั้งคนมันพร้อมจะลองอยู่ร่วมกับยาและผู้เสพยาก็คือ มันมีศัตรูที่ร้ายกว่าซึ่งก็คือโรคเอดส์และไวรัสตับอักเสบซี เอดส์นี่ตัวเริ่มเลย คือการใช้อุปกรณ์การเสพที่ไม่สะอาดและใช้ร่วมกันแบบ low หรือกระทั่ง non hygenic มันนำไปสู่ปัญหาใหญ่กว่าอย่างการแพร่กระจายของเชื้อ HIV จนเป็นเอดส์กันเละเทะไปหมด (เพราะปัญหามันมีมาตั้งแต่ไม่มียาต้านน่ะ)
พอมาดูบ้านเรา ยาเสพติดตัวฮิตบ้านเรามันดันเป็นยาบ้า ที่มันไม่ได้นำไปสู่เรื่องร้ายแรงเป็นวงกว้างใหญ่โตขนาดที่เฮโรอีนทำในสวิตเซอร์แลนด์ มันเหมือนยาบ้าเป็นบอสใหญ่ในตัวเองไป ได้เห็นกันทีก็เวลามีจับยา หรือมีคนคลั่งจากการใช้ยา (กูขี้เกียจอธิบายแล้วอะ ลำพังยานี่ถ้าใช้อย่างมีการควบคุมมันก็ไม่คลั่งอะ กูไม่เถียงอะว่ายาทำให้คลั่งได้ แต่ไม่ได้แปลว่าถ้าใช้แล้วยังไงมึงก็ต้องคลั่ง มันอยู่ที่ใช้ยังไง เพราะถ้าแค่ใช้ก็ต้องคลั่ง ตอนนี้มึงเจอซอมบี้ยาบ้าสองล้านตัวเต็มประเทศอะ) ทุกอย่างมันก็เลยเงียบและเบาเกินกว่าจะเห็นปัญหาที่ใหญ่กว่าการเสพยาละมั้ง
พอละ ไม่ว่าง ต้องเอาเวลาไปขี้เกียจต่อ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
@Dad Mom and Kids มีคำถามค่ะคุณหมอ เลี้ยงลูกยังไงถึงไม่ให้หนีออกจากบ้านหรือคะ อิชั้นกลุ้มใจมาก ที่บ้านมีฐานะ มีครบทุกอย่าง ให้เวลาเลี้ยงลูกตลอด ดิชั้นปูทางจะให้ลูกเป็นหมอ แต่ลูกชายเสือกป่วยทางจิต หนีเข้าป่าไปพี้กัญชา แล้วก็หลอนว่าเห็นผีบ้าง เห็นเทวดาบ้าง
เป็น FC ติดตามผลงานคุณหมอมาตลอด ให้กำลังใจกันสู้ๆนะคะ
//แอดมินสิริมหามายา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เค้าว่ากันว่า ลูกเป็นเหมือนตัวสำรองของพ่อแม่บางคน ที่มีปมหรือความผิดหวังในอดีต เช่น สอบไม่ได้ เรียนไม่เก่ง ไม่รวย ไม่เด่นดัง ฯลฯ
พอมีลูกก็เลยยัดเยียดให้ลูกแก้ไขสิ่งที่ตนเองทำเอาไว้ไม่สำเร็จให้ทำให้ได้
ความกดดันก็จะเกิดขึ้นกับเด็ก ที่ต้องแก้ไขอดีตที่เลวร้ายของพ่อแม่ให้พ่อแม่ได้รู้สึกว่า "แก้ตัวได้แล้ว"
ถ้าลูกไม่อยากทำหรือทำไม่ได้ ก็จะมีปัญหาขึ้นในความสัมพันธ์นั้นๆ ดังที่เห็นกันอยู่
ถ้าพ่อแม่ไม่คาดหวังสูง มองเห็นว่าควรส่งลูกไปทางไหนที่เค้ารัก มันก็จะดีไปเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้ มีทั้งข่าวตัดสินประหารจี้ชิงไอโฟนหนุ่มมศว และ สาธิต มศว เอาทหารไปอบรมเด็ก สิ่งที่น่าเครียดที่สุด คือเด็กมศว ต้องไล่ไปตอบเมนท์ข่าวว่า
"มศว ไม่มีจุดนะคะ/ครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ช่วงปีแรกที่ผมเข้ามาเป็นอาจารย์ที่คณะนิติศาสตร์ ก็มีเหตุให้ต้องไปงานศพนักศึกษาผู้หญิงท่านหนึ่งของคณะฯ
เขากระโดดตึกฆ่าตัวตายครับ
เหตุที่นักศึกษาตัดสินใจปลิดชีพตัวเองนั้น สื่อมวลชนได้รายงานข่าวจากการพูดคุยกับครอบครัวนักศึกษาได้ความว่า เป็นเพราะนักศึกษาท่านนี้รู้สึกเครียดกับผลการเรียนของตัวเอง ที่ตอนอยู่ปีหนึ่ง เขาได้คะแนนเป็นลำดับที่หนึ่ง แต่พอขึ้นปีสอง คะแนนของเขาตกลงมาอยู่ในลำดับที่สี่หรือที่ห้า
ผมไม่แน่ใจว่าความคิดที่ต้องเป็นที่หนึ่งในเรื่องผลการเรียนของนักศึกษาท่านนี้ เกิดจากความคิดของตัวเอง หรือความคาดหวังของครอบครัว
แต่หลังจากแสดงความเสียใจกับครอบครัวของนักศึกษาผู้ตายในงานศพแล้ว ระหว่างขอตัวกลับบ้าน ผมก็พอจะคาดเดาสาเหตุได้ เมื่อคุณพ่อของนักศึกษาผู้ตายได้พูดกับผมว่า
"อาจารย์...อีกสิบแปดปีข้างหน้า ผมจะให้หลานผมไปเอาที่หนึ่งที่คณะนิติศาสตร์อีกครั้ง"
ผมเคารพการตัดสินใจของทุกครอบครัวในเรื่องวิธีการเลี้ยงดูลูกหลานของตัวเอง แต่คำพูดนั้น ก็ได้ทำให้ผมต้องตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า หากผมมีลูก แม้ลูกจะเป็นลูกของเรา...
แต่ชีวิตลูก นั้นเป็นของ "เรา" หรือของ "เขา" กันแน่ ?"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"PC (Political Correctness – ภาษาที่ถูกต้องทางการเมือง) ผมเห็นว่า เป็นภาษาแบบเด็ก เป็นภาษาแบบพ่อแม่สอนลูก ลูกอย่าใช้คำหยาบนะ แต่มันไม่ใช่ภาษาผู้ใหญ่ เด็กจะจำว่า เอ่อ คำนี้ เป็นคำหยาบ ห้ามใช้คำนี้ แต่เมื่อมนุษย์โตขึ้น ภาษาผู้ใหญ่คือ คำหนึ่งคำมีได้หลายความหมาย แล้วแต่บริบท แล้วแต่อากัปกิริยา แล้วแต่น้ำเสียง
ภาษาของผู้ใหญ่ยืดหยุ่นกว่าภาษาของเด็ก เช่น การโชว์นิ้วกลาง ไม่จำเป็นต้องเป็นการโมโหและโกรธแล้วต้องด่าอีกฝ่าย คุณโชว์นิ้วกลางให้เพื่อนสนิทคุณ เป็นการล้อเล่นได้ การใช้คำหยาบกับเพื่อนสนิท บางทีก็เป็นตัวชี้วัดความสนิทชิดชอบกันได้ มันไม่ใช่คำด่ารุนแรงที่สร้างความร้าวฉาน
ในภาควิชาผม มีอาจารย์คนหนึ่งเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์จีน เชื้อสายจีน อาจารย์อีกคนสอนด้านภารตะวิทยา มีเชื้อสายอินเดีย สิ่งที่ทั้งสองทำคือ อีกฝ่ายเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เจ๊ก’ อีกฝ่ายก็เรียกกลับว่า ‘แขก’ นี่คือสัญญาณว่าอีกฝ่ายสนิทชิดชอบกันมากนะ
คำว่า ‘เจ๊ก’ คำว่า ‘แขก’ กลายเป็นเครื่องชี้วัดความสนิท แต่แน่นอน มันไม่สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ก็จริง แต่ PC มันทำให้ไม่สามารถเรียนรู้ภาษาอย่างอื่นได้เลย
อีกตัวอย่างคือ PC มักจะบอกว่า อย่าเรียกคนดำในอเมริกาว่า ‘Nigger’ นะ ให้เรียกว่า ‘African American’ อย่าเรียกคนพิการว่า ‘Disable’ แต่ให้เรียกว่า ‘Physically Challenger’ อย่าเรียกว่าเป็นการทรมาน แต่ให้เรียกการไต่สวนด้วยวิธีพิเศษ ภาษาจึงมีความหมายแตกต่างในบริบทที่แตกต่าง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คือมีคนถามว่าเนี่ยคุณแขกมาพูดว่าไม่มีศาสนา ไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่เชื่อในอะไรทั้งนั้น ตายแล้วจะทำยังไง?
แขกก็จะบอกว่า ตายแล้วก็ตายไงคะ เมื่อดิชั้นตายไปแล้วเนี่ยมันเป็นปัญหาของคนอยู่ ดิชั้นตายแล้ว ดิชั้นไม่รู้เรื่อง จะทิ้งชั้นไว้ให้เน่าก็ได้
คือถ้าหากวันนี้ดิชั้นตาย คุณจะปล่อยให้ดิชั้นเน่าหนอนขึ้นไปอีก 7 วัน มันก็เป็นปัญหาของคุณไง เพราะดิชั้นตายไปแล้ว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เอาจริงๆแล้ว ผมไม่เห็นควร ที่เหมาเอาสถาบันมายึดโยงกับเรื่องการเมืองนะครับ เพราะในสถาบันเอง แต่ละคนก็มีความคิดแตกเป็นหลายฝ่าย ตามแต่ละคนจะมีทรรศนะอย่างไร การจะมาเหมารวมโจมตีอันนี้ก็ไม่ถูก
โดยเฉพาะ มศว นั้น ก็ประกอบด้วยคนมากมาย ในหลายระดับ โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษานั้น มีสาวหนึ่งคนทำผมเจ็บช้ำใจยิ่งนัก เห็นหัวใจผมเป็นดั่งส้วม ขี้รดให้อนาถ น่าเวทนา แย่จริงๆ
ว่าแล้วก็หาเหล้าสกุลเลวสักแก้ว สาดลงลำคอรักษาแผลใจ แล้วสร้างแผลใหม่ในกระเพาะอาหารดีกว่า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ข้อแนะนำจากเพื่อนชาวจีน
แค่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า หลินเปียว ตายอายุ 63 ปี
แค่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ โจวเอินไหล ตายอายุ 77 ปี
ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เหมาเจ๋อตุง ตายอายุ 82 ปี
ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นไพ่ เติ้งเสี่ยวผิง ตายอายุ 93 ปี
ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นไพ่ เลี้ยงนารี จางเซียะเหลียง ตายอายุ 100 ปี
ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี ไม่เล่นไพ่ ไม่เกี่ยวข้องผู้หญิง ชีวิตทำแต่ความดี เหลยเฟิง ตายอายุ 21 ปี
ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าอย่างที่ควรจะใช้ ทำอะไรรีบทำเถิด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เซลแมนคนหนึ่งสังเกตเห็นชายวัยกลางคนแต่งตัวธรรมดาๆแต่สูบบุหรี่จัดมากๆชนิดว่ามวนต่อมวนและกำลังยืนดูตึกใหญ่ที่กำลังสร้างใกล้เสร็จ เซลแมนจึงเข้าไปพูดคุยกับชายคนดังกล่าว โดยถามว่า "โทษนะครับวันๆนึงคุณสูบบุหรีวันละกี่ซอง" ชายคนนั้นตอบว่า " ก็ประมาณ 2 ซองกว่าๆ" เซลแมนถามต่อว่า"แล้วคุณสูบมากี่ปีละ" ชายคนนั้นตอบว่า"ก็ประมาณ 20 กว่าปี ถามทำไมเหรอ" เซลแมนเลยบอกว่า "คุณสูบบุหรีตีซะว่าวันละ 2 ซองครึ่ง ติดต่อกัน 20 กว่าปี คิดเป็นเงินก็น่าจะตก xxxx,xxxx ดอลล่าร์ ยังไม่คิดดอกเบี้ย นี่ถ้าคุณไม่สูบบุหรี่เลยแล้วเอาเงินค่าบุหรีเก็บไปลงทุนเผลอๆคุณจะเป็นเจ้าของตึกที่กำลังสร้างนี้เลยนะ" ชายคนดังกล่าวหันมาหาเซลแมนช้าๆแล้วถามว่า "แล้วตอนนี้คุณเป็นเจ้าของตึกนี้มั้ย?" เซลแมนตอบกลับว่า"เปล่า ผมไม่ใช่เจ้าของตึกนี้ ผมมาติดต่องานแถวๆนี้เฉยๆ" แล้วชายคนดังกล่าวก็พูดต่อสั้นๆว่า "แต่ผมเป็นเจ้าของตึกนี้ว่ะ" !
อะไรวะเนี่ย โควตเลียคนสูบบุหรี่เหรอ
เออ เบื่อโควทงี้ เซลแมนแม่งก็หวังดีด้วยนะ
ไปสูบห่างๆกูเลย กูเป็นภูมิแพ้เดี๋ยวตามขี้มูกเขียวๆใส่แม่ง
ไม่มีกระบวนการยุติธรรมใดในโลกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์นะครับ
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"The intern screwed up" is about as convincing an excuse as "the dog ate my homework."
มันก็เป็นเรื่องปกติเวลามีกระแสนะครับ ที่เรื่องบางเรื่องจะมีคนกระหน่ำแชร์ กระหน่ำเขียนถึงอยู่ตลอดเวลา
และตอนนี้กระแสที่หนักหน่วงระดับเข้าขั้นภัยสังคมตอนนี้ก็คือ "นังเปรี้ยวหั่น" นั่นเอง
ผมก็ประสบปัญหาเดียวกับทุกคนน่ะแหละครับ 555+ คือคนรอบตัวแม่งก็ขยันพูดถึงจังเลย สามเวลาหลังอาหาร
พยายามจะเอากระแสมาเล่นตลก (เฮฮาไม่เลือกกระแสจริง ๆ)
หรือเขียนด่า เขียนบ่น บ่นว่ากูรำคาญเหลือเกินนน...นนน รู้สึกตัวอีกทีบ่นไปสิบโพสแล้ว (รำคาญมึงก็เลิกพูดถึงสิโว้ย)
สรุปคือแม่งก็ไม่หลุดจากเรื่องนี้สักที
ถ้าผมจะมีคำแนะนำอะไรสักอย่าง สำหรับเรื่องนี้ ผมจะบอกว่า "อะไรที่ไม่อยู่ในสายตาเรา เราก็จะไม่คิดถึงมัน" ครับ
"อันฟีด" เท่านั้น คือทางออกสำหรับเรื่องนี้
ช่วงนี้ผมอาจจะเหนื่อยหน่อย ต้องกดเลิกติดตามเพจโน้นนี้ เฟซคนโน้นคนนี้เป็นพัลวัน
แต่มันก็เป็นการเหนื่อยที่คุ้มค่านะ เพราะเวลาที่เราไม่เห็น เราก็จะไม่คิดถึงเรื่องนี้จริง ๆ
เราห้ามคนอื่นไม่ได้หรอกครับ แต่เราจัดการกับตัวเองได้
บ่นเจอบ่น กระแสอยู่ต่อครับ ด่าเจอด่า เป็นดราม่า
ต่างคนต่างไปนี่แหละ เวิร์คสุด ไม่จำเป็นต้องเกาะกระแส กฏหมายไม่ได้บังคับให้ต้องอยู่กินกับอีเปรี้ยว เราเลือกคอนเทนท์ที่เราอยากตามจริง ๆ ได้ ไม่ใช่ให้กระแสเป็นตัวกำหนด
เดี๋ยวกระแสผ่านไป ค่อยมาว่ากัน ว่าจะเลิกอันฟีด หรือกลับมาติดตามกันต่อ
จริง ๆ ผมก็เป็นคนตามกระแสนะ แต่ผมก็เลือกวิเคราะห์ก่อนตามเหมือนกัน ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
เราเลือกเอาคอนเทนท์แบบไหนเข้าตัว เราก็เป็นคนแบบนั้นแหละ
ทุกวันนี้เหมือนเป็นคนนอกกลุ่มยังไงไม่รู้ เวลาเห็นเพื่อนคุยเรื่องนังเปรี้ยวหั่นกัน แล้วเราไม่รู้เรื่องหอกเหวอะไรเลย
แต่หัวมันก็โล่งดีครับ โล่งเหมือนเมืองอัลเบอร์ต้าเลย
สู้เอาหัวมาคิด ว่าจะดักแก่แฟนเพจยังไงต่อดีกว่า เนอะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หมูสะเต๊ะ คืออาหารไทย
ถุ๊ย!!!
ผมถึงกับสบถออกมาหลังจากได้ยินวลีทองจากตัวอย่างหนังสักเรื่อง
คุณผู้อ่านครับ ถ้าไม่หลงไหลในความเป็นชาตินิยมแล้วถอยออกมามองกว้างๆ
คุณจะสงสัยว่า คำว่า สะเต๊ะ มันมีรากศัพท์จากไทยตรงไหนกันวะ?
ถึงจะไม่มีข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้ แต่แม้ในฐานะของภาษาศาสตร์ก็ไม่อาจอิงได้ว่า สะเต๊ะ เป็นคำไทย แยก สะ กับ เต๊ะ ออกมา ก็ไม่มีความหมายบ่งชี้อะไรและถึงแม้ คำว่า สะเต๊ะ เดี่ยวๆก็ไม่ได้ใช่กับอะไรอย่างอื่นเลยนอกจาก ไอ้อาหารเสียบไม้ปิ้งจิ้มซอสถั่ว
แล้วมันมีที่มายังไงล่ะ?
เอาน่าถึงมันจะไม่มีอะไรยืนยัน แต่มันก็พอจะมีข้อมูลสืบค้นได้บ้างว่า มันพัฒนาโดยชาวชวาหมู่เกาะอินโดนีเซีย
กล่าวคือ ถ้านับปีในการติดต่อค้าขายและการอพยพ ชาวทมิฬ ในอินเดีย ดูจะมีทางเป็นไปได้มากที่สุด ในการรับส่งอิทธิพลอาหารให้กับ หมู่เกาะอินโดฯรวมถึงแหลมมลายู
ซึ่งอาหารที่ดูใกล้เคียงที่สุดเห็นจะเป็น เคบับ แบบชาวอาหรับกินกัน
ที่ส่งอิทธิพลมาให้อินเดียกับราชวงศ์โมกุล
และอีกข้อสังเกตุที่สำคัญคือ ก่อนหน้านั้น ชาวอินโด ไม่ได้นิยมกิน แกะ แพะ กันแพร่หลายเหมือนชาวอาหรับ แต่หลังจากการเข้ามาของกลุ่มอิสลามกลับมีจำพวกตำรับอาหารที่ใช้เนื้อแพะ แกะ มากขี้นในช่วงเดียวกันนั้นเอง
เช่น อาหารอย่าง แกงตงเซ็งtongseng หรือ แกงกูไหล่gulai
ส่วนอีกข้อสันนิษฐานที่ทำให้ตกไปก็คือ ได้รับอิทธิพลจากชาวจีนอพยพ
โดยอาจอนุมานว่ามาจากคำว่า 三疊肉 ซาแต้บะ แปลว่าเนื้อสามชิ้น
ซึ่งก็มองได้เหมือกันเพราะก็ดูว่าคล้ายกับอาหารเสียบไม้ย่างของจีน(เหมือนหมาล่าที่ขายอยู่ทุกวันนี้)
ซึ่งคำว่า ซาแต้แบบจีน ก็จะใช้ในนัยยะต่างออกไป คือ ในปัจจุบัน ซอสซาแต้ หรืออีกชื่อคือ ซาฉา 沙茶 เป็นซอสที่ใช้ในการย่างเหมือนกัน แต่ปัจจุบันเน้นไปเข้ากับสัตว์ปีก หรือถ้าผสมเนื้อวัวก็จะไปอยู่ในหม้อไฟเสียมากกว่า ร้านในบ้านเราสุกี้แบบจีนบ้านเราหลายร้านก็ใช้เบสซาแต้
ส่วนมีที่ใช้จิ้มไหม ก็มีครับที่มาเลย์เซียมี ลกลก lok lok ก็มีซอสซาเต ให้จ้ิม กับ อีกอันคือ sate celup ของมะละกา ที่เป็นหม้อไฟแล้วใช้น้ำเครื่องเทศผสมถั่วบด กุ้งแห้ง ให้จุ่มกินกันเลย
คราวนี้การแพร่กระจายของสะเต๊ะก็ค่อยๆแพร่ออกไปทาง มลายู ลามไปถึงไทย ฟิลิปปินส์ตอนใต้ รวมถึงแอฟริกา จนไหลไปกับผู้อพยพเชื้อสายสุุรินัมจากอินโดที่หลังจากการตั้งบริษัท dutch east india แข่งกับอังกฤษแล้วไม่รอด ก็เลยไปงอกวัฒนธรรมคู่ขนานอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน
คราวนี้ ถ้านับว่าอินโดสร้าง แล้วมันก็กระเถิบมาทางสายคนจีน และอย่างที่รู้ๆกันว่า คนจีนมักเข้าใจความอร่อยของหมู มันเลยเกิดหมูสะเต๊ะขึ้นมา ซึ่งจริงๆแล้วพอมันไปเข้าบาหลีมันก็มีสะเต๊ะหมูเหมือนกันหละ
แต่ลองคิดว่ามันพัฒนาต่อโดนคนจีนละกัน
พอมันเข้าไปทางมาเล สิงคโปร์มันก็ถูกกปรับอีกครั้ง เลือกซอสที่เป็นซอสถั่วที่ใช้กับไก่เป็นหลัก แล้วตัดซอสซีอิ๊วหวานที่ใช้กับแพะทิ้งไป เติมหวาน ลดเครื่องเทศ บวกความนัวให้เข้ากับลิ้นคนจีน ยิ่งทางสิงคโปร์มีการใส่สับปะรดบดด้วยซ้ำเพื่อเติมหวาน
ค่อยเข้ามาแพร่หลายในไทย ตัดเพิ่มลดบางอย่าง เปลี่ยนจากแตงกวาดิบ หอมแขกดิบกินแล้ว มาเป็นอาจาดแตงกวาในน้ำส้ม เข้าเครื่องเทศไทยผสมถั่วลิสง แทนที่จะเป็นเครื่องแกง pecel แบบอินโด ตัดข้าวอัดทิ้ง ใช้ขนมปังหัวกระโหลกแทน ร้านที่เหลือการจิ้มซีอิ๊วดำก็แทบไม่เหลือแล้ว
ส่วนแบบสายมุสลิมก็ยังมีให้กินในแถบ3จังหวัดใต้ ซึ่งก็คล้ายแบบอินโดฯมาก กระทั้งการกินกับข้าวอัด
ใช่มันถูกพัฒนาเป็นไทยสไตล์ แต่ไม่ใช่อาหารที่คนไทยคิดแน่ๆครับ
จะเชิดชูแกงเลียงก็คงจะใ่ช่เรื่องหละมั้ง
รับๆส่งๆกันทั้งภูมิภาคหละครับ อย่าทึกทักว่าเป็นต้นคิดเลย
FYI : ในwiki ยังมีกล่าวถึงเลยว่า สะเต๊ะนั้น มีการอ้างว่าตนเป็นต้นแบบแข่งกันระหว่างไทยกับอินโด โอยยย กูอาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไทยแท้ คือ ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ซุปปลาร้า อ้าว มันอาหารเขมรนี่นา
มีหลายคนคิดว่า/สับสนว่าการเขียนโค้ดอิง Design Patterns หรือใช้ Design Patterns จะทำให้ "โค้ดสวย" ....
"โค้ดสวย" คือโค้ดที่มี spacing, naming ที่ consistent และมีการใช้ idiom หรือ construction ที่สื่อสารความคิดของโปรแกรมเมอร์หรือคนเขียนโค้ดได้ตรงไปตรงมา และมี consistency ระหว่างบรรดา idiom/construction pattern ต่างๆ ... เป็นโค้ดที่เห็นแล้วเราอยากอ่าน เห็นแล้วอยากทำงานด้วย
จะเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกับ Design Pattern ... ที่ตัวมันเองเป็น "โครงสร้าง" มากกว่า (อันที่จริง พวกมันก็เกิดมาเพื่อแก้ปัญหา Software "Engineering" problem อยู่แล้วนะ ไม่ใช่เรื่อง Coding problem หรือ Code literate problem)
บ้านสวยไม่สวยเราไม่ดูโครงสร้าง บ้านอยู่สบายไม่สบาย เราก็ไม่ดูโครงสร้าง ... บ้านโครงสร้างดีอาจจะจัดไม่สวยงาม ไม่น่าอยู่ ใช้ wallpaper คนละโทน สีขัดกับเฟอร์นิเจอร์ทั้งบ้านก็ได้ หรือว่าแย่ที่สุด คือเข้ามาก็อึดอัดเลยก็ได้
แต่ถ้าบ้านทั้งหลังมี consistency ทั้งการจัดวาง การเลือกสี การเลือกวัสดุของเฟอร์นิเจอร์ การจัดของต่างๆ ที่ตรงไปตรงมากับสิ่งที่คนจัดคิดถึงการใช้งาน แบบนี้บ้านจะน่าอยู่ และถือว่าเป็นบ้านที่ "สวย" ไปเอง (ไม่ต้องหวือหวาหรือสวยแต่รูปนะ ต้องสวยในเรื่องการอยู่สบาย)
ส่วนเรื่องว่ามันจะต่อเติมได้แค่ไหน ดัดแปลงได้แค่ไหน robust แค่ไหน flexible แค่ไหน จะอยู่ได้นานแค่ไหน ฯลฯ นี่เป็นเรื่องของโครงสร้าง ซึ่ง architecture, design patterns ต่างๆ จะมาเกี่ยวตรงนี้
Echo เสียงของมิตรสหายบางท่าน
"Design Pattern != Beautiful Code"
"เวลาคุยเรื่องอะไรแล้วมันไปจบที่ "ต้องแก้ที่การศึกษา" "ต้องแก้ที่จิตสำนึก" นี่จะเซ็งๆ เพราะบทสนทนามันจะไม่ค่อยไปไหนละ จบแค่การศึกษานี่แหละ
(ตะกี้เห็นมิตรสหายบ่นถึงเรื่องกรุงเทพน้ำ "รอระบาย" ซึ่งพอมีอะไรแบบนี้ คนก็จะบอกว่าเป็นเพราะคนกรุงเทพทิ้งขยะไม่เป็นที่ น้ำเลยขัง ฯลฯ ต้องแก้ที่จิตสำนึก บลาบลา บทสนทนามันเลยไม่ไปถึงเรื่องการออกแบบเมืองให้มันรองรับชีวิตคนและภัยธรรมชาติต่างๆ)
เลยนึกถึงถังขยะแบบแยกประเภทขยะที่เราจะเห็นทั่วไปในที่สาธารณะของหลายๆ ประเทศ (กรุงเทพนี่ถังขยะหายาก แล้วพอมีระเบิด ก็จะยิ่งหายากไปอีก เอ้า ไหนว่าทำถังขยะใสแล้วไงตอนนั้น ใบละตั้งแพง)
ดูจากการออกแบบช่องทิ้งขยะแต่ละประเภท ที่ค่อนข้างจะส่งสัญญาณให้คนทิ้งรู้ว่า อันนี้มันช่องสำหรับขวด (กลมๆ) นะ สำหรับกระดาษ (แผ่นๆ) นะ บางถังนี่ถึงขนาดบังคับทางกายภาพด้วยซ้ำ คือช่องมันจะแคบหรือบิดรูปจนทิ้งขยะบางประเภทไม่ได้เลย สงสัยว่าคนในประเทศเหล่านั้นจะไม่ค่อยมีจิตสำนึก
เพราะถ้ามีจิตสำนึกเสียอย่าง ถึงถังหน้าตาเหมือนกันก็ควรจะยังแยกขยะอยู่ ไม่ต้องมีระบบหรือโครงสร้างการออกแบบอะไรมาส่งสัญญาณหรือบังคับ
ได้แต่หวังว่าต่อไปเวลาไปงานสัมมนาหรือแสดงความคิดเห็นอะไร จะได้ยินคำว่า "ต้องแก้ที่การศึกษา" ห้วนๆ น้อยลง เพราะมันเสียเวลา เหมือนกับพูดว่า "พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก"
ไม่ได้บอกว่าไม่จริง แต่มันจริงเสียจนไม่รู้จะพูดไปทำไม
ไม่ได้บอกว่าห้ามพูดเลย แต่ถ้าจะเสนอแบบนั้น ก็ช่วยบอกหน่อย ว่าจะแก้ยังไง ต้องปรับตรงไหนในการศึกษา หรือจิตสำนึกนี่ทำให้เกิดได้เฉพาะในโรงเรียนหรือเปล่า หรือไปสร้างตรงไหน หรือจริงๆ ไม่ต้องสร้างไว้ถาวรก็ได้ การออกแบบบางอย่างมันช่วยให้ เอ๊ะ ช่วยให้มีจิตสำนึกชั่วครั้งชั่วคราวในสถานการณ์ที่เราเห็นว่ามันจำเป็นได้
เวลาแสดงความคิดเห็นมีน้อย ใช้สอยประหยัด -/\-"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>574 ส้มตำอาหารไทยแท้ๆ นะ ไทยภาคกลางด้วย เจาะไปอีกคืออาหารกรุงเทพเลย เพราะคนเอามะละกอจากละตินอเมริกามาตำเป็นแรกๆ คือคนกรุงเทพ แล้วสูตรการทำก็แพร่ไปจากนโยบายสร้างถนนสายเอเชียของถนอม คนอีสานเอาไปดัดแปลงไปอีกจนมีหน้าตาแบบทุกวันนี้
ถ้าเขมรมาบอกว่าส้มตำเป็นของเขมร ก็ถามแม่งเลยว่าพระเจ้าชัยวรมันนั่งไททานิคไปเอามะละกอจากพวกอินคามาตำในนครวัดเหรอ ปัญญาอ่อนสัดๆ ข้าวเหนียวก็เหมือนกัน แม่งเป็นอาหารร่วมในภูมิภาคตั้งแต่ก่อนมีเขมรอีก เผลอๆ จะมาจากจีนหรืออินเดียด้วยซ้ำ
น้องครับน้อง....
.
น้องจะอ่านโดฯ ในเวลางาน ในที่ทำงาน พี่ก็ไม่ว่าหรอกครับ มันก็พักผ่อนนิด ๆ หน่อย ๆ พี่เข้าใจ
.
ถึงโดฯ ที่น้องอ่านจะเป็นโดฯ Y พี่ก็ไม่ว่าอะไรครับ พี่ไม่มีปัญหา เรื่องส่วนตัวของแต่ละคน
.
.
.
แต่ถึงขั้นมี ราดหน้า เลย... อันนี้พี่ก็ไม่ไหว พี่เห็นแล้วสะเทือนใจครับ Orz พี่อาจจะหัวโบราณก็ได้ แต่นี่ห้องทำงาน เวลางาน น้องเล่นอ่านระดับราดหน้าเลย... พี่มองมาจากด้านหลังแล้ว รู้สึก เอื้ออออออออ~~.... จริง ๆ
.
ป.ล. หมายถึงน้องคนที่เคยพกนินฯ สวิตซ์มาเล่นในเวลางานครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พอเห็นมีคนพูดว่าสิ้นหวังกับสังคมไทยแล้ว จริงๆเมื่อก่อนหนูคิดแบบนั้นเหมือนกันนะคุณ จนกระทั่งหนูได้ดูเรื่อง South Park ซึ่งเป็นการ์ตูนเสียดสีโลก โดยให้โลกหมุนรอบอเมริกาโดยมีแคนนาดากับเม็กซิโกเป็นเพื่อนบ้าน ซึ่งดูไปดูมาถ้าไม่นับเรื่องสวัสดิการความเป็นอยู่ พวกฝรั่ง โดยเฉพาะอเมริกันนี่มันคล้ายบ้านเรามากเลยวะ บางอย่างก็เหมือนกันเด๊ะเลย เรียกได้ว่าบ้าบอคอแตกปัญญาอ่อนแทบไม่ต่างกันกับเราเลย
ฉะนั้นแทนที่จะสิ้นหวังกับสังคมไทยแล้ว เรามาสิ้นหวังกับสังคมโลกกันเถอะค่ะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สักสองปีก่อนผมได้เปิดประเด็นว่าคนสยามเป็นผู้สร้างนครวัด มีทั้งเสียงปรบมือและเสียงโห่พอกัน ...วันนี้ผมขอสรุปตอกย้ำแสดงหลักฐาน เหตุผล หลักๆ ห้วนสั้นอีกครั้ง ตัดเรื่องหยุมหยิมออกไป ดังนี้
นักวิชาการไทยส่วนใหญ่ได้แต่เชื่อตามฝรั่งไปแบบเชื่องๆ ว่าเขมรเป็นผู้สร้างนครวัด แต่ความจริงแล้ว ขอมต่างหากเป็นคนสร้าง และขอมก็คือ สยามนี่แหละ ส่วนเขมรนั้นสมัยโน้นเป็นทาสขอม
หลักฐานสำคัญที่สุดคือบันทึก ๔๐ หน้าของโจวตากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่ทำให้คำนวณได้ว่าสมัยก่อนเมืองพระนครมีคนชั้นปกครอง ๓ แสน และทาสและคนพื้นเมือง ๗ แสน โดยคนพื้นเมืองนั้นใช้เข็มก็ไม่เป็น ทอผ้าก็ไม่เป็น ส่วนคนสยามนั้นใช้เข็มเป็น ทอผ้าก็เป็น เลี้ยงหม่อนไหมก็เป็น
โดยชนชั้นปกครองนั้นคือขอม ซึ่งก็คือคนสยามนั่นเอง
ส่วนคนพื้นเมืองนั้นขนาดชุนผ้ายังไม่เป็นแล้วจะไปสร้างนครวัด นครธมใหญ่โตได้อย่างไร เอาความรู้เทคโนโลยีไปจากไหน
อยู่มาวันหนึ่งพวกทาสสบโอกาส ก็ทำการยึดอำนาจล้มล้างราชบัลลังก์ นำโดย ตระซอกประแอม (แตงหวาน) ที่ต่อมาสถาปนาตนเป็นกษัตริย์
ที่สำคัญที่สุดคือ คำต่อท้ายกษัตริย์ “วรมัน” ทุกพระองค์ที่ผ่านมา ๖๐๐ ปีก็หายไปในปีนั้นนั่นเอง จากนั้นไม่มี “วรมัน” อีกเลย แสดงชัดว่าเขมรเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับขอม
พงศาวดารฉบับแรกของเขมรที่ประพันธุ์โดยนักองเอง (ที่มาพึ่งบารมี ร. ๑ ของไทย) ก็ระบุตรงกันว่า ตระซอกประแอม คือต้นกำเนิดของคนเขมร แต่ภายหลังฝรั่งเศสมายุให้ปรับเปลี่ยนว่าต้นตระกูลคือ วรมัน ทั้งที่เขมรฆ่าวรมันตายเรียบ แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองว่า “สยามราบ” (หรือเสียมเรียบ ในวันนี้)
เสียม ไม่ได้ เรียบ หมดหรอก จากสามแสน อาจถูกฆ่าตายสัก ๕ หมื่น ที่เหลือรอดตายก็หนีมาก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา นำทัพโดยพระเจ้าอู่ทองนั่นแล
ยังถกเถียงกันอยู่มากว่าพระเจ้าอู่ทองคือใคร มาจากไหน ที่สอนกันมานานว่ามาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรีนั้น บัดนี้สรุปกันได้แล้วว่าผิด เพราะเมืองอู่ทองเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้แล้วสองร้อยปี อีกทั้งเป็นเมืองเล็กมีคนประมาณ ๕ หมื่นเท่านั้น แต่อยุธยาเริ่มต้นก็มีพลเมืองสามแสนแล้ว ถามว่าเอาคนสามแสนมาจากไหนในละแวกนั้น
พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเมืองอยู่ ๑๔ ปี พอสร้างเสร็จแทนที่จะเฉลิมฉลอง พักผ่อนไพร่พล กลับยกทัพไปตีเมืองพระนครทันที (เมืองเสียมเรียบ) ซึ่งผิดวิสัยมาก เพราะเป็นเมืองเล็กๆ สร้างใหม่ ไฉนเลยจะกล้าไปตีเมืองใหญ่เก่าแก่ที่มีกองทัพเกรียงไกรเช่นพระนคร ซึ่งประเพณีการสงครามเดิมมานั้นมีแต่เมืองเก่าใหญ่จะยกทัพมาถล่มเมืองสร้างใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นศูนย์อำนาจมาแข่งบารมี
ที่พระเจ้าอู่ทองยกทัพไปตีเขมรนั้นเป็นเพราะทรงแค้นใจหนักที่อัดอั้นมานาน ๑๔ ปีไงเล่า ทรงต้องรีบเพราะทรงชราภาพมากแล้ว เกรงว่าจะล้างแค้นเขมรไม่ทันที่พวกมันฆ่าวรมันตายเรียบนั่นไง
พอรบชนะเขมรเบ็ดเสร็จ ก็ทรงสร้างเมือง “อู่ทองมีชัย” (อุดงเมียนเชย ในวันนี้) เข้าใจว่าทรงตั้งชื่อนี้เพื่อข่มนาม “เสียมเรียบ” นั่นเอง เมืองนี้จำลองแบบไปจากอยุธยา และกลายเป็นเมืองหลวงเขมรนานถึง ๒๐๐ กว่าปี จนขณะนี้กลายเมืองมรดกโลกไปแล้ว
พระเจ้าอู่ทองเป็นขอม ดังนั้นเมื่อมาอยุธยาก็ทรงพูดภาษาขอม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคำราชาศัพท์ของเราวันนี้จึงเต็มไปด้วยภาษาขอมและสันสกฤต เป็นเพราะสืบทอดมาจากภาษาพระเจ้าอู่ทองนี่เอง ส่วนเขมรเป็นทาสขอมมานานก็ย่อมรับเอาภาษาขอมไปพูดด้วยเป็นธรรมดา อย่าลืมด้วยว่าภาษาขอมเองก็ยืมเอาคำ “ไต” ไปใช้มากพอกัน
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>582 )
เทคโนโลยีการตัดหิน ลากหิน สลักหินนั้นชาวขอมพิมาย ลพบุรี ได้ฝึกปรือมานานก่อนสร้างนครวัด นครธม เช่น ปราสาทหินพิมาย ก็สร้างก่อนนครวัด โดยตัดหินมาจากอ.สีคิ้ว แล้วลากไปอีก ๑๐๐ กม. เพื่อไปสร้างที่พิมาย คนเขมรเย็บผ้ายังไม่เป็นแล้วจะตัดลากยกหินก้อนมหึมาเหล่านี้เป็นหรือ
หลักฐานจากการสลักบนแผ่นหินระบุว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น สุริยวรมันที่ ๒ เป็นคนลพบุรี ชัยวรมันที่ ๕ เป็นคนพิมาย ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ชัยวรมันที่ ๗ ไม่ทราบว่ามาจากไหน ผมตอบให้เลยว่ามาจากพิมาย ด้วยหลักฐานผูกมัดมากหลายเกินจะกล่าวในที่นี้ ที่สำคัญคือทรงเป็นพุทธ สร้างนครธม และเปลี่ยนชาวพระนครให้มาเป็นพุทธจนถึงวันนี้
อันคำว่า “นครธม” นั้น นักวิชาการฝรั่งแปลกันแบบเซ่อๆ ว่า “เมืองใหญ่” เพราะเขาวิจัยกันทึ่มๆ ว่า ทม นั้นเป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่ ซึ่งนักวิชาการไทยก็เชื่อตามกันแบบงมงาย แต่ผมขอแย้งหัวชนฝาว่า ธม นั้นคือ ธมฺ ในภาษาบาลี ซึ่งคือ ธรรม ในภาษาสันสกฤตนั่นเอง ดังนั้นนครธม คือ นครธรรม นั่นเอง
มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จะสร้างวัดพุทธยักษ์แล้วตั้งชื่อซื้อบื้อว่า เมืองใหญ่ มันต้องเมืองธรรมแน่นอน อีกทั้งพิมาย ลพบุรี นั้นเป็นพุทธที่ใช้บาลี ก็เลยต้องกลายเป็นนครธมฺ
ภาพสลักนูนต่ำที่ทหารละโว้ และสยามไปเดินสวนสนามต่อหน้าพระพักตร์นั้น สำคัญมาก คือ ทหารจากลพบุรี และสยามไปรบเพื่อกู้เมืองคืนจากพวกแขกจามที่มายึดพระนครนั่นเอง จากนั้นก็เดินสวนสนามเฉลิมฉลองชัยชนะ ทหารลพบุรีมีวินัยมาก เดินหน้าตรง ด้ามหอกทุกคนเรียงเป็นมุมแนวเดียวกัน แต่พอมาถึงกระบวนทหารสยาม มีคำสลักว่า “เนะ สยำกุก” (ประมาณว่า นี่ไงกองทัพสยาม) แต่ปรากฏว่า หันหน้ากันคนละทาง ปลายหอกก็ระเกะกะ นักวิชาการฝรั่งว่า ทหารสยามไม่มีวินัย แต่ผมว่า......
..ผมว่า ทหารลพบุรี ไม่มีคนรู้จักไม่รู้จะทักใคร ส่วนทหารสยาม เป็นคนพื้นเมือง มีญาติมิตรมายืนดูมาก ก็หันหน้าไปยิ้มแย้มทักทาย ก็เลยทำให้ดูไม่มีระเบียบ สรุปคือ สยำกุก เป็นคนพื้นเมืองพระนคร
พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ที่ถือกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดนครวัดนั้น ฝรั่งว่ามาจากชวา (แต่บางคน เช่น ชาร์ล ไฮแอม ก็ว่า มาจาก ชามา หรือ แขกจาม) สำหรับผมเสนอว่า มาจากไชยา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย)
ชื่อท่านก็บอกชัดๆ ว่า ไชยาวรมัน (พระผู้เป็นเจ้าจากเมืองไชยา) ศรีวิชัย กับทวาราวดี เป็นพี่น้องกัน มีไชยา ศรีธรรมราช นครปฐม ลพบุรี พิมาย ต่อกันเป็นห่วงโซ่ แล้วให้กำเนิดนครวัดนั่นแล รวมทั้งช่วยปกป้องกอบกู้ยามสงครามกับแขกจามทางตอนใต้ของเวียดนาม
คำว่า วรมัน นักวิชาการฝรั่งก็ผิดอีก ไปแปลกันว่า โล่ (shield) แต่คำนี้ผมฟันธงว่าเป็นคำเดียวกับ พรหมมัน เพราะสยามเรานั้น พ กับ ว ใช้แทนกันได้ เช่น วิเศษ พิเศษ วิจิตร พิจิตร
ชื่อปราสาทต่างๆ ในนครวัด นครธม ยังมีร่องรอยภาษาสยามแทบทุกแห่ง เช่น พิมานอากาศ นาคพัน ปักษีจำกรง เชื้อสายเทวดา เสาเปรต พระรูป ตาแก้ว ตาพรม
หลักฐานเหตุผลรายละเอียดยังมีอีกมาก แต่วันนี้เกินโควตาหน้ากระดาษแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้ พร้อมนี้ขอท้าโต้วาทีกับนักวิชาการโปรเขมรแบบซึ่งหน้าที่ไม่ลอบกัดกันแบบที่ผ่านมา ทั้งที่ผมเป็นวิศวกร ส่วนพวกท่านเป็น ดร. ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี กล้ารับคำท้าผมไหม ใครแพ้ให้ตัดหัวเสียประจานไว้ที่หน้าประตูนครวัด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนเมื่อก่อนเขาแทนตัวเองว่าเผ่าไทนะ เรียกว่าเผ่าไทเล็ก ต่างจากเผ่าไทใหญ่ทางตะวันตกแถบพม่าและอินเดีย
คณิตศาสตร์วันนี้
Saudi vs Iran ไม่ชอบกัน
Isis backdoor Iran
Sau = Isis
สุรากลั่นชุมชน 101 เหล้าขาวน้ำแดงหรือคู่แม่ลูก
==========================
HIGHLIGHTS:
- สุรากลั่นชุมชนในประเทศไทยยังต้องต่อสู้กับกฎหมายจากสรรพสามิต และ สสส. อยู่เสมอจึงทำให้สุราไทยยังต้องต่อสู้อีกยาวนาน
-สุรากลั่นชุมชนที่ดีที่สุดในไทยอยู่ที่ตำบลสะเอียบ จังหวัดแพร่
------------------------------------------
เหล้าขาว(สุรากลั่นชุมชน) อยู่คู่กับวัฒนธรรมการกินดื่มไทยมาอย่างยาวนาน โดยประเทศไทยนั้นกินข้าวเป็นธัญพืชหลัก เครื่องดื่มแอลกอฮอลจึงหนีไม่พ้นเหล้าขาว แต่ก่อนจะมามีเทคโนโลยีการกลั่น เรามีการหมักข้าวจากยีสต์ ไม่ต่างกับเบียร์ของชาวยุโรป คือสาโท น้ำขาว ฯลฯ แล้วแต่ภูมิภาคจะเรียกกัน แต่เหล้าขาวไทยก็ยังไม่เคยได้รับการยกย่องเป็นเครื่องดื่มประจำชาติอย่างจริงจัง และยังต้องแข่งขันกับทุนใหญ่จนถูกกดทับไม่ได้ลืมตาอ้าปากในระดับประเทศ
เหล้าขาว 101
วัตถุดิบหลักของเหล้าคือมี ข้าว+น้ำ+ลูกแป้ง
โดยลูกแป้งถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเหล้าไทย เพราะข้างในมีจุลลินทรีย์และยีสต์เป็นส่วนประกอบในกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกฮอล
ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรมากมายหลายอย่าง ที่ distiller รุ่นใหญ่ไม่บอกกันว่าสูตรของเขานั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง ซึ่งลูกแป้งนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของรสชาติและกลิ่นของสุราไทย ทั้งหมด
Taste note
สุรากลั่นชุมชนของไทยไม่ได้ถูกการจัดอันดับอย่างดีและไม่มี sommelier ให้ราคาอย่างไวน์ เบียร์ สาเก
แต่โดยหลักๆ แล้ว สุรากลั่นไทยหวานแบบ Molassesและ Spicy เป็นหลัก
ซึ่งตอนนี้ก็มี distiller หลายเจ้าพยายามยกระดับสุรากลั่นชุมชนให้ไปสู่ระดับประเทศให้ได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายในประเทศไทย ที่ไม่สามารถทำการบ่ม หรือดอง(infused) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เหล้า อาหาร และการเมือง
ด้วยทางภาคเหนือและอีสานมีเมนูอาหารที่ผู้ชายทุกคนถือว่าเป็นของดี ก็คือลาบ ความต่างของลาบทางเหนือกับอีสานก็มีความแตกต่างกันไปอีก แต่ถ้าจะให้อร่อยลำ หรือว่าแซ่บ ต้องกินดิบ จนมีมุกตลกในหมู่คอมมิวนิสต์ในยุคนักศึกษาเข้าป่าว่า "มีนักศึกษาแพทย์จากกรุงเทพฯ ไปบอกสหายชาวอีสานว่ากินอาหารดิบไม่ดีต่อสุขภาพมีพยาธิ มีแบคเตเรีย แต่เมื่อสหายชาวบ้านได้ฟังดังนั้นจึงบอกทันทีว่าถ้าให้เลิกกินลาบกินก้อยดิบเลิกปฏิวัติดีกว่า"
คุยกับบาร์เทนเดอร์ชื่อดังซอยวัดคู้บอน
เจ๊แหม่ม bartender/owner บาร์ริมถนนไม่มีชื่อ
ร้านพี่ขาย Infused Spirits โดยเบสตอนนี้ใช้เหล้าขาวจากสะเอียบเพราะรสชาติดีแต่แรกอยู่แล้ว กลิ่นไม่แรงมากและที่ทำให้ลูกค้าติดอกติดใจคือ aftertase ที่ทิ้งความหวานไว้ดีมากๆ แถม body แบบ medium ที่ทำให้คนดื่มรู้สึกเต็มปากเต็มคำ แต่ดื่มไม่ยากมาก
พอบาร์เรามีแต่ innfused เงี่ยเราเลย เสิร์ฟแบบ On the rock บ้าง ไม่ก็เป็น shot เพียวๆเลย แต่จะมีน้ำใบเตยสูตรพิเศษของร้านไว้ดื่มตบท้ายเพื่อเคลียร์ลิ้น แต่ถ้าเลี่ยนไปเราก็มีมะยมดองพริกเกลือ มะขามเปียก ให้เปรี้ยวมาตัด เหมือนที่คนแม็กซิกันดื่ม tequila หรือ Mezcal พี่ว่าคนไทยกับคนแม็กซิโกคล้ายๆ กันอาจเพราะประเทศตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตรเหมือนกัน
ส่วนปัญหาขอการเปิดบาร์ ตอนนี้มีหลักๆไม่กี่เรื่อง
1. การทำ infused spirits ยังผิดหฎหมายนไทยพี่ยังต้องคอยจ่ายตำรวจ จ่ายสรรพสามิตร อยู่เรื่อยๆ บางทีก็โดนจับเป็นพิธีให้ออกข่าวหน่อย
2. คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยให้ความสนใจ เรื่องเหล้าขาว มันไม่ค่อยเท่ การเป็น distiller มันลงทุนสูงกว่าการต้มเบียร์มาก และดื่มยาก คนเลยหันไปต้มเบียร์ มี small brewery เกิดขึ้นทั้งแอบทำในประเทศและนอกประเทศ
ส่วน small distillery มีแต่ตามต่างจังหวัด เพราะลูกค้าทางนั้นเยอะกว่าในกรุงเทพฯ แต่พี่ก็อยากให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจการกลั่นเหล้าบ้างเพราะมีเหล้าพื้นบ้านหลายชนิดที่กำลังจะสูญหายไปพร้อมกับคนเฒ่าคนแก่
เจ๊แหม่มทิ้งท้ายไว้ด้วยสูตร infused spirits และค็อกเทลไว้สองสูตรให้ชาว DOUBLE STANDARD
1. ม้ากระทืบโรง ส่วนผสมคือ ม้ากระทืบโรง,เถาวัลเหล็ก,เถาวัลเปรียง,ดอกคำฝอย,ฝางเสน
สรรพคุณ บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต แก้ปวดหลัง ปวดเอว ช่วยฟอกเลือด แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติบำรุงร่างกาย รับประทานประจำ แข็งแรงมีกำลังวังชา ดุจม้าคึกคะนองกำลังกระทืบโรง ! (สูตรนี้ รับประทานได้ทั้งชาย-หญิง) สามารถเพิ่มความหวานได้ด้วยน้ำผึ้งป่า หรือจะเป็นหญ้าหวานก็ได้สำหรับคนเป็นเบาหวาน
2. คู่แม่ลูก (เหล้าขาว+redbull)
อันนี้แล้วแต่คนนิยมอัตราส่วนความหวาน แต่โดยปกติแล้ว ratio 4:1 ดื่มง่ายดื่มสบาย กระชุ่มกระชวย
I am red
You are red
And if you're not red
I'll shoot your head
#มิตรสหายคอมมี่ท่านหนึ่ง
""เราไม่ได้ปิดถนน แค่คนมารวมตัวกันเยอะกว่าที่คิด" - เด็กแว้น, 2560"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ขณะที่ยืนรอข้าวผัดหมูไม่เผ็ดอยู่ที่ร้านสตรีทฟู้ดฮิปๆเจ้าประจำ
แม่ค้า1 : มึงๆ อีเปรี้ยวผูกคอตายในคุกว่ะ
แม่ค้า2 : ฮ้ะ ไรนะ จริงดิ
แม่ค้า3 : อะไรนะ อีเปรี้ยวอะนะ
แม่ค้า1 : จริงงง นี่ลูกไลน์มา
แม่ค้า4 : (ถามแม่ค้าสาม) อะไรกันนะ
แม่ค้า3: อีเปรี้ยวผูกคอตายในคุก
แม่ค้า4 : ฮ้ะ อีเปรี้ยวผูกคอตายในคุก!!! (เสียงดัง)
พี่วิน1 : เฮ้ย ข่าวลืออ้ะป่าววว (นั่น มีคริติคัลไมด์)
แม่ค้า3 : เออ ข่าวลือปะวะ อีเปรี้ยวมันใจเด็ดจะตายห่า ไม่ฆ่าตัวตายร๊อก(นั่น มีการคิดวิเคราะห์แยกแยะ)
แม่ค้า 2 : เออ อยู่ในคุกมันจะผูกคอตายได้ไงวะ (มีจิตใจตั้งคำถามดีมากครับ)
พี่วิน2 : อยู่ในคุกก็ผูกคอตายได้ป้า ใช้สายเสื้อในอ่ะ (เหยดดดด แฟนพันธุ์แท้นักสืบจิ๋วโคนัน)
แม่ค้า3 : แต่มันอยู่กันหลายคนป่าวในคุก ไม่น่าทำได้นะ (ถามได้คมมากครับป้า)
แม่ค้า1 : แต่นี่มันมีข่าวนะเว้ย นี่ไง ในไลน์เนี่ย
พี่วิน1 : ข่าวทางไลน์เชื่อไม่ค่อยได้หรอกป้า ชอบมีข่าวหลอก ( เหยด พี่มีมีเดียลิทเทอร์เรซี่)
แม่ค้า3 : เออๆ เดี๋ยวกูรอดูไลฟ์สรยุทธ์คืนนี้ กูว่ามันยังอยู่
กู: ป้าครับ ข้าวผัดกูค้าบบบบบ
#สังคมอุดมปัญญา #ชื่นชมจริงไรจริง #รัก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หลังจากลูกชายวัย 5 ขวบ ได้ดู TV เรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดิ์ ก็บอกแม่ว่า "ผมอยากมีเมีย 7 คน คนนึงซักผ้าให้ คนนึงดูแลบ้านให้ คนนึงทำอาหารให้กิน คนนึงอ่านหนังสือให้ฟัง คนนึงไปเดินเล่นกับผม คนนึงร้องเพลงให้ฟัง คนนึงอาบน้ำให้" แม่ถามว่า "แล้วกลางคืนลูกจะนอนกะใครล่ะ" ลูกตอบว่า "ก็นอนกะแม่แหล่ะ" แม่น้ำตาไหลดีใจพูดว่า "โอ้ ลูกรักของแม่ แล้วใครจะนอนกับ เมียทั้ง 7 ของลูกล่ะจ้ะ" ลูกบอก "ให้ไปนอนกับพ่อ" พ่อน้ำตาไหลดีใจพูดว่า "โอ้ ลูกรักของพ่อ"!!!
บูเชคธูป
อาวผิดกระทู้
'SeiMaKuTei'
เมนูพันลึกเพื่อคอซูซิสยาม
คอลัมน์ Tasteless
โดย เชฟอ้วนชวนแดก
===============
HIGHLIGHTS:
- หลังจากเป็นไทจากแก๊งยากูซ่า เชฟภักดี ศรีทอง แห่ง "อิไตอิคึ เรียล เจแปนนีส เรสทัวรองต์" ก็รังสรรค์เมนูพันลึกจาก "ปลาตีน" แห่งทะเลใต้
ที่ประทับใจไฮโซมาแล้วทั่วโลก
- ราคาสามคำแสนเองท่าน
-----------------------------
เฮ้ยหวัดดีเว้ย (ทำท่าไฮไฟว์) นี่กูเอง, "เชฟอ้วนชวนแดก" เจ้าของรางวัลเชฟมิชลิน สิบห้ากะโหลกคนเดียวในไทยแลนด์ประเทศ (กราบสิกราบ)
ก่อนอื่นเลยนะ กูต้องขอบอกว่ารู้สึกเป็นเกลียดมาก ๆ เลยนะ ที่ได้รับเชิญจากคณะบรรณาธิกรวย ทั้ง 7 ให้มาร่วมเขียนคอลัมน์ Tasteless
วันนี้ประเดิมซิงๆ กับคอลัมน์ Tastless กูจะพาทุกท่านไปรู้จักกับอาหารระดับไฮเอนด์ นั่นก็คือ "SeiMaKuTei" (เซมากูเตะ) สุดยอดเมนูซูชิที่ทำจาก "ปลาตีน" แห่งทะเลใต้ ซึ่งหารับประทานได้ยากมากส์ ในบ้านเมืองเรา (เชื่อกูสิ กูบอกว่าหายากก็หายาก เอ๊ะ..ไอ้นี่นี่ สงสัยจัง)
สำหรับพวกนักบริโภคดักดานที่วันๆ แดกแต่ผัดกระเพราหมูสับใส่ถั่วฝักยาวปนเปื้อนยาฆ่าแมลง กูขออธิบายคำนิยามสั้น ๆ ให้นะว่า "SeiMaKuTei" (เซมากูเตะ) เป็นคำเปรียบเปรยนะ มึงฟังดีๆ นะ มันหมายความว่า "ฉันขอมอบความไว้วางใจให้กับ(ปลา)ตีนของคุณ"
เอ้าๆๆๆ งงดิ .. เหรี้ยยย์ งงเป็นไก่ตาแตก
เอาเป็นว่า ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ก็ไปเสิร์ชหาข้อมูลต่อกันในกูเกิ้ลก็แล้วกันนะ คุณกรอกไปเลย "เซมากูเตะ" รอไม่ถึงวินาที ข้อมูลก็โผล่มาเพียบ
ต่อต่อ - คืองี้นะ เพื่อนกูเอง, เชฟภักดี ศรีทอง เค้าอินเว้นท์เมนูพันลึกนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2501 นะ ยุคนั้น "ปลา" ขาดแคลนจากท้องตลาดเมืองไทยมาก ๆ เลย แต่เคราะห์ดีเชฟภักดี ซึ่งสมัยนั้นมันถูกแก๊งยากูซ่าลักพาตัวไปเป็นแรงงานเด็ก ทำงานเยี่ยงทาสที่ "ตลาดปลาซึกิจิ" กรุงโตเกียวนะ เลยมีโอกาสได้สัมผัส ซึมซับกับปลาทุกชนิดในโลก
แต่ที่เชฟภักดีมันรู้สึกว่าเข้าตา-โดนลิ้น มากที่สุดนะ ก็คือ "ปลาตีน" นับตั้งแต่ปี 2516 เป็นต้นมา มันก็เลยใส่ใจเอาปลาตีนมาวิเคราะห์เจาะลึก เพื่อพัฒนาสูตรเมนูซูซิพันลึกสุดพิถีพิถันอร่อยล้ำสะเดิงเริงรู เรียกว่า เป็น "เมนูซูซิ" ที่ดีที่สุดที่เชฟภักดี ศรีทอง นำมาบรรณาการแก่โลกของเรา
หลังปี 2535 นะ หลังจากเชฟภักดีเป็นไท ได้รับอิสรภาพจากแก๊งยากูซ่า (มีเรื่องเล่าลือว่า เชฟมันทำเมนูปลาตีนแบบทีเด็ดโคตร ๆ จนได้กลายเป็นพ่อครัวเอก มีโอกาสใกล้ชิดหัวหน้าแก๊งไง พอสนิทกันหลายๆ ปี หัวหน้าแก๊งเลยเห็นใจที่รับใช้มานาน เลยปล่อยกลับไทย-คุณเข้าใจมั้ยเนี่ย กูเล่าเองยังงงๆ) ก็เดินทางกลับมาบ้านเกิดแถบลุ่มน่้ำเจ้าพระยา พร้อมกับเปิด "ซูซิเฮาส์" ในแนว "SeiMaKuTei" ขึ้นเป็นร้านแรกในไทย ตั้งชื่อเอาฤกษ์เอาชัยว่า "อิไตอิคึ เรียล เจแปนนีส เรสทัวรองต์"
แน่นอนว่า เมนูเด็ดได้แก่ "ซูซิปลาตีน" ผลตอบรับจากลูกค้าไฮโซทั่วทุกสารทิศได้ดาวทะลุห้าดาว รายได้แต่ละวันล้านแตกกระจุยกระจาย เป็นที่มาที่วันนี้ กูถึงมาแนะนำให้มึงได้รู้จักกับ "SeiMaKuTei" ของเชฟภักดี ศรีทอง เพื่อนกูนั่นเอง (ร้านเปิดเฉพาะตอนเย็นนะคุณ อย่าเสือกมาเช้ามาเที่ยง)
เอ้าๆๆ อยากรู้ราคากันล่ะสิ จดไว้เลยนะ ราคามื้อเย็น "SeiMaKuTei ปลาตีน By เชฟภักดี ศรีทอง" >> 3 คำ 100,000 บาท / 5 คำ 130,000 บาท / 10 คำ 150,000 บาท ราคานี้ไม่รวมไข่หวานกับซุปเอ็นหอยอีแดง แล้วก็ถ้าใครเกิดอยากแดก Sashimi ก็สั่งเพิ่มกันไปนะ ตามสบาย กูไม่ห้าม ไม่ใช่เงินกู
ร้าน "อิไตอิคึ เรียล เจแปนนีส เรสทัวรองต์" ตั้งอยู่เลขที่ 010 ชั้น 69 อาคารแตกใน ถนนหารมโหฬี ใกล้กับต้นมะขามต้นที่ 13 สีลม กรุงเทพฯ
ไปรับประทาน SeiMaKuTei ปลาตีนที่นี่เมื่อไหร่ ตอนเช็กบิลล์อย่าลืมบอกบริกรไปด้วยว่า แนะนำมาจาก "เชฟอ้วนชวนแดก" จะได้รับส่วนลดทันที 000.00000000001 เปอร์เซ็นต์ (เมื่อรับประทานเกินสิบล้านบาท)
Bon Appetit !
ขอพยาธิจงอยู่คู่ท่าน !!
แถวบ้าน มีตึกร้างเยอะมากๆๆๆ มีทุกตรอกซอกซอย เป็นตึกสูง 3 - 4 ชั้น ที่สร้างเพื่อให้คนมาเช่าทำ "สำนักงาน" แต่ไม่มีคนเช่า ก็ปล่อยร้างไว้งั้นแหละ
คือ ยุคนี้ ถ้าไม่ใช่บริษัทใหญ่ยักษ์ ที่มีประวัติยาวนาน เค้าจะมาเช่าตึกทำออฟฟิศกันเหรอวะ บริษัทกลางๆเล็กๆเค้าจะมาเสียเงินตรงนี้ทำไม เค้าใช้บ้านตัวเองเป็นสำนักงานทั้งนั้นนี่หว่า
นายเชี่ยวชาญแจ้งเจ้านายว่าจะขอลาออกจากงานที่ทำมาสิบปี บริษัทใหม่ให้ตำแหน่งและเงินเดือนสูงกว่า เจ้านายบอก “อย่าไปเลย ได้โปรด คุณมีค่าต่อบริษัท คุณเป็นทรัพยากรมีค่าของเรา ถ้าคุณไป บริษัทจะล้มแน่ อยู่ต่อก็แล้วกัน เดี๋ยวผมให้เงินเดือนขึ้น พลีส พลีส พลีส!”
นายเชี่ยวชาญอยู่ต่ออีกสองปี เจ้านายก็เรียกนายเชี่ยวชาญไปพบ แจ้งว่าบริษัทจะเลิกจ้างเขา
ทันใดนั้นนายเชี่ยวชาญพบว่าเขาไม่ได้เป็น ‘ทรัพยากรมีค่า’ สำหรับบริษัทนี้อีกต่อไป
เขาถูกแทนที่ได้
ความจริงคือนายเชี่ยวชาญไม่ได้โง่ลง หรือขี้เกียจขึ้น เขายังเก่งเหมือนเดิม แต่เกมเปลี่ยนไปแล้ว มีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง บางทีเงินเดือนของเขาสูงเกินไปแล้ว บางทีโลกทัศน์ของเขาไม่ขยายตามยุค บางทีภาษาอังกฤษที่เขารู้อาจไม่พอแล้ว บางทีประธานบริษัทคนใหม่แค่ไม่ชอบหน้าเขา ฯลฯ
และเมื่อถึงเวลาตัดสินใจขององค์กร บริษัทแทบทั้งหมดจะถือประโยชน์ขององค์กรหรือผู้มีอำนาจตัดสินเป็นที่ตั้ง
หลายคนทำงานอยู่ที่เดิมตลอดชีวิต บริษัทอื่นมาล่าตัวไปทำงานด้วย ก็ไม่ยอมไป เพราะจงรักภักดีต่อองค์กรอย่างมั่นคง
ผมรู้จักคนที่จงรักภักดีต่อองค์กร ไม่ย้ายไปที่อื่นทั้งที่ได้รับข้อเสนอดีกว่า แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เช่น วัยเร่ิมอ่อนล้า ความคิดอ่านเริ่มอ่อนแรง ความจงรักภักดีก็ไม่สามารถทำให้เขารักษาตำแหน่งและงานได้ เพราะแม้ความจงรักภักดีต่อองค์กรเป็นข้อดี แต่เมื่อถึงจุดตัดสินใจ บริษัทไม่ได้ดูที่ความจงรักภักดีเป็นหลัก
ถึงทำงานมานานปี ก็อย่ามีอีโก้ เก่งแค่ไหนก็ถูกไล่ออกได้
อย่าคิดว่าตนเองสุดยอด ไม่มีใครแทนเราได้
มีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ‘คนเก่ง’ และ ‘ทรัพยากรมีค่า’ ถูกแทนที่ได้เสมอ
หากคุณเป็นที่ต้องการขององค์กร เวลาไปลาออก เจ้านายจะพูดว่าบริษัทขาดคุณไม่ได้ ล่มแน่ ฯลฯ ทั้งนี้เพราะเขาขี้เกียจหาคนใหม่ แต่หากจำเป็นก็หาได้เสมอ
ไม่เชื่อลองตายดู รับรองว่าเขาหาคนใหม่มาจนได้ เพราะธุรกิจต้องดำเนินต่อไป
แม้ในระดับของผู้บริหารและผู้นำองค์กร ไม่มีใครในโลกที่เป็นทรัพยากรมีค่าจนปลดออกไม่ได้ บริษัทหาคนมาแทนได้เสมอ
ผู้นำคนไหนคิดว่าตัวเองเก่งกาจสุดยอด อาจประเมินตัวเองสูงเกินไป
ในโลกธุรกิจ ไม่มีเทวดา
.………………..
หลักของพุทธสอนเรื่องใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท แต่หลายคนเมื่ออยู่ที่สูงนานๆ สมองมักขาดออกซิเจน เห็นภาพลวงตาเป็นภาพจริง
มนุษย์เงินเดือนพึงคิดเสมอว่าเราทุกคนเป็น ‘expendible’ แปลอย่างไม่สุภาพว่า ถูกขับออกจากสำนักได้ทุกเมื่อ
ผู้ที่อยากอยู่จนเกษียณควรสร้างอำนาจต่อรอง ถ้าเราเก่ง มีวิสัยทัศน์ และหาเงินเข้าบริษัทได้ ก็ยังสามารถดำรงตำแหน่ง ‘ทรัพยากรมีค่า’ ขององค์กรต่อไป
พึงวิเคราะห์และประเมินตัวเองเป็นระยะ ควรรู้ว่าตนเองยืนอยู่ตรงไหน คุณภาพและคุณสมบัติของตนเองเป็นอย่างไร ยังใช้งานได้ดีหรือไม่ ต้องอัพเกรดแล้วยัง อย่ารอจนเบื้องบนเรียกไปบอกว่า “คุณเป็นทรัพยากรมีค่าของเรา แต่...”
การรู้เขารู้เราจะทำให้เราพบจุดแข็งของตนเอง และมันจะเป็นอำนาจต่อรองโดยเราไม่ต้องพูดสักคำ
และที่สำคัญ ในชีวิตการทำงาน ควรรู้ว่าเมื่อไรควรอยู่ต่อ เมื่อไรควรลาออก บางครั้งแม้ในเวลาที่กำลังมั่นคงที่สุด ก็ควรไป
มองที่เป้าหมาย แล้วก้าวเดินไปหาเป้านั้นโดยไม่วอกแวก ปรับแผนและจังหวะช้าเร็วตามความเหมาะสม แต่อย่าให้เป้าหมายหลุดจากสายตา
"ดีเบตเรื่องหลักประกันสุขภาพนี่มันควรจะเถียงกันว่าจะทำยังไงให้ระบบมันไปต่อได้อย่างมีคุณภาพ ดีต่อทั้งบุคลากรคนทำงานและกับคนใช้บริการได้แล้ว ไอ้มาเถียงกันว่าจะไปต่อหรือจะยกเลิกดีนี่มันเสียเวลาเสียอารมณ์กันมากๆ
แต่พอดีมันเหี้ยตรงที่มันไม่เคยมี consensus ว่าระบบนี้มันจำเป็นต่อประเทศ คนฉลาดๆ มากมายไม่เชื่อ ไม่เก็ต ไม่เห็นด้วยว่ามันต้องมี บทสนทนามันเลยวนอยู่อย่างนี้มาสิบกว่าปีแล้ว
ดังนั้นก่อนจะเปลี่ยนแปลงอะไรอยากให้ทำ pilot study จับคนฉลาดๆ เหล่านั้นมาบังคับให้เป็นชาวนาที่ไม่มีประกันสุขภาพสักสิบปี อนุญาตให้หาความรู้ด้านการทำนา/การดูแลสุขภาพได้เต็มที่ แต่ห้ามใข้เงินส่วนตัว คอนเนกชั่นส่วนตัวในการใช้ชีวิตแม้สักนิดเดียว ถ้าสิบปีผ่านไปแล้วคนฉลาดเหล่านั้นเกินครึ่งมีชีวิตที่ดี มีสุขภาพที่ดี มีเงินไปหาหมอเวลาไม่สบาย ก็ค่อยมาคุยกันต่อครับว่าระบบนี้อาจจะยกเลิกไปก็ได้ แค่จัดความรู้ให้ประชาชนก็พอ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีงานจงเคลียร์ มีเมียจงคลาน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Thailand 4.0 คือการที่กูต้องลงทุนลง Internet Explorer 11 เพื่อลงทะเบียนกับเวบหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ทั้งที่กูไม่ได้ใช้ IE มาจะห้าปีแล้ว!!"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Thailand 4.0 คือ การอุตส่าห์ลง Internet Explorer เพื่อลงทะเบียนออนไลน์กับเว็บหน่วยราชการแห่งหนึ่ง เพียงเพื่อพบข้อความหลังลงทะเบียนเสร็จว่าให้ปรินต์ใบลงทะเบียนนั้นออกมาแล้วส่งไปรษณีย์ไปยังหน่วยงานนั้นด้วย 55555555555555555555555555555555555555555555555 (หัวเราะสมเพช)"
#มิตรสหายท่านเดิม
ปกติเพจนี้จะไม่ค่อยติติงหรือต่อว่าอะไรใคร ถ้าคนติดตามเพจนี้มานานจะรู้ดี
ผมสนับสนุนให้ทุกคนได้ลองเสพของจากตัวเลือกใหม่ๆ และยินดีมากๆถ้าในตลาดเบียร์บ้านเราจะมีตัวเลือกดีๆให้ผู้บริโภค
และผมเองก็ชอบสังคมคราฟต์เบียร์ตรงที่มันมีลักษณะของการแบ่งปันกันตลอดเวลา เราแบ่งของดีๆกัน เราเอามาแชร์กัน เพื่อให้คนคอเดียวกันได้มีความสุขแบบที่เรามี
แต่เวลาเจอคนไม่น่ารัก ที่เขาเอาแต่ได้ และยังไปตัดโอกาสคนอื่นๆอีกเนี่ยบอกเลยว่าไม่ค่อยโอเค
เข้าใจนะครับว่าการเอาเบียร์ลงห้าง ใครจะไปซื้อก็ได้ ใครมาก่อนได้ก่อน จะซื้อเหมาไปเลยก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรได้ ไม่ผิดเลยจริงๆ
แต่ไปซื้อเหมาเยอะๆ แล้วเอามาใช้หาประโยชน์เข้าร้านตัวเองอีกทีนี่ดูยังไงก็ไม่น่ารัก และดูไร้น้ำใจ
คุณตัดโอกาสคนอื่นๆ ที่เขาอยากมีโอกาสได้สัมผัสเบียร์ตัวนี้บ้าง
แล้วยังเอามาใช้หาประโยชน์ทางอ้อมเข้าตัวเองอีก คนที่รักในสังคมของการแบ่งปันเขาไม่น่าจะทำกันแบบนี้
คนซื้อไม่ทันก็ไม่ต้องเสียใจไป ของล็อตหน้ายังมี ไม่ได้แดกก็ไม่ตาย เชื่อผมเถอะ 555
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"แล้วถ้าผมไม่เห็นด้วยที่นายกิจมาโนชณ์ โรจนทรัพย์ เป็นถึงครูบาอาจารย์แต่กลับแต่งตัวเป็นผู้หญิงวิปริตผิดเพศมาสอนหนังสือ ผมไม่ควรนิ่งเฉยแล้วเข้าไปบอกให้เขาเลิกไหมครับ
ไม่มีหรอกครับ ความคิดล้าหลังพรรค์นั้น เหมือนคนกอดกันในที่สาธารณะมันก็ไม่ผิดหรอกครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมตั้งใจจะเข้าโรงเรียนมหาเวทย์ แต่ดันไปเลือกโรงเรียนมหาเวทซะนี่
เรื่องของเด็กหนุ่มที่อยากจะเป็นจอมเวทย์แต่ไปสมัครที่ไหนก็ไม่มีใครรับ จนกระทั่งไปเข้าโรงเรียนมหาเวทแห่งหนึ่งที่รับอย่างง่ายดาย
เพื่อที่จะพบว่า โรงเรียนนี้ คือโรงเรียนนักเพาะกายมหา Weight ที่ไม่ได้ฝึกจอมเวทย์แต่ฝึกจอมเวย์(โปรตีน)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"รุ่นน้องเค้าไม่อยากรับน้องแค่นี้ก็ทนไม่ได้
รุ่นพี่จบไปจะทนกับชีวิตการทำงานได้เหรอ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เกมออนไลน์สมัยก่อนหลายเกมน่าจดจำ เพราะไม่มี NPC นำทางนี่แหละครับ
จึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน
A - "นาย"
เรา - "ครับ"
A - "ขอของหน่อย"
เรา - "กำ"
//Log out ออกเกมด้วยความเร็วแสง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
#มึงเชื่อกูและคอยดูไว้เลย!!! เดี๋ยวพอเปิดเทอมแล้วนักศึกษาชั้นปีที่1 เข้าสู้รั้วมหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2559 ที่จะถึงในไม่กี่เดือนนี้นะ
1. เริ่มมีกิจกรรมการรับน้อง
2. เกิดความไม่พอใจ เกิดกาารใช้ความรุนแรงทางทางกายภาพและความรุนแรงทางวัฒนธรรม มีการถ่ายคลิป อัดเสียง ลงโซเชียลเน็ตเวิร์ค
3. เกิดกระแสดราม่า ไม่พอใจจากฝ่ายโน่น นี่นั่น
4. ผู้บริหาร ผู้มีส่วนได้เสียต่อเรื่องดังกล่าว "เล่นงานกันและกัน" ผ่านพื้นที่สื่อที่ต่างฝ่ายต่างมีหรือถือครองอยู่ในมือ
5. จัดงานเสวนาวิชาการตามมหาวิทยาลัย
6. รายการทีวีโน่นนี่นั่น เชิญไปถกเถียงแถออกสื่อ ทั้งจากผ่ายต่อต้านที่จัดกันเองคุยกันเอง (โม้เย็ดม้ากันไปเอง รวมทั้งเป้นที่ปลดปล่อยพลังงานบางอย่างในวงคุยของบรรดาลิเบอร่านที่ทำตัวแปลกๆกับสังคมทั้งหลายมาร่วมตัวกัน) หรือไม่ก็เชิญอีกฝ่ายมาดีเบต อภิปรายหาทางออกแบบฉบับผักชี้โรยหน้า (แต่โดยมีอีกฝ่ายมักจะมาในลักษณะที่แถ หรือเอาโง่มาโชว์ในที่สาธารณะเสียมากกว่า)
7. เหยื่อ ในแต่ละเหตุการณ์เงียบ ปัญหาเชิงบุคคลเริ่มคลี่คลาย ปัญหาที่เกิดขึ้นจากทั้งในระดับตัวบุคคล วัฒนธรรมและโครงสร้างองค์กรไม่ได้รับการแก้ไข
8. ผู้มีส่วนได้เสียในการ "ร่วมกระทำการ" ต่างลอยหน้าลอยตา รุ่นพี่เรียนๆๆ แล้วก็เรียนเพื่อจบไป คณาจารย์เลวๆ บางคนยังลอยหน้าลอยตาสอนหนังสือในบางมหาวิทยาลัยได้อย่างลอยหน้าลอยตาเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
9. เรื่องราวต่างๆจางหาย รอการปะทุขึ้นให้ในเทศกาลรับน้องปีการศึกษาต่อไป พร้อมทั้งเกิดการขยับขยาย "จักรวาลแห่งความรุนแรง" ออกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง การรับน้องกับเพศสภาวะ(ที่ดูมีกระแสลดๆลงในระยะหลังๆ)
#เราจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏแห่งปัญหานี้ได้อย่างไร
#อันนี้ถามแบบซีเรียสจริงๆ
สเตตัสเดียวใฃ้ได้กับทุกเรื่อง ทุกเวลาเลยจ้า
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ถ้าหากคนโง่บินได้ โรงเรียนนี้คงเป็นสนามบิน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เพียงผู้ต้องหามีนาฬิกาแมว ก็จะมีคนพร้อมไปปกป้องว่าเป็นแพะ ยินดีช่วยเหลือร่วมรับผิดด้วย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เห็นผู้ต้องหาระเบิดยอมสารภาพแล้ววะ ไอ้พวกบอกเป็นแพะหายไปไหนหมดวะ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ตื่นสาย ซื้อขนมกับกาแฟไปกินบนเครื่อง ปรากฏว่าเก้าอี้ข้างๆ เป็นมุสลิม เลยออกปากถามกันก่อนว่าสะดวกมั้ย ด้วยรู้ว่านี่ช่วงรอมฎอน พี่เค้างงๆ มองมาทางเสียงแล้วว่าตามสบาย จากนั้นก็เริ่มคุยกัน
พี่เค้าเป็นคนตาบอดแต่กำเนิด มาจากเกาะลันตา เพิ่งไปปายมา ขาขึ้นนั่งรถทัวร์มา 30 ชั่วโมง ขากลับคนที่นั่นจองเครื่องให้ นี่คือการนั่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต
แกดูไม่ค่อยตื่นเต้น คุยไปยิงมุกไป แต่มือกุมกระเป๋าไว้แน่น แกเริ่มถามถึงตัวเครื่องบิน คนนั่งเยอะมั้ย เข้าไปนั่งในปีกได้หรือเปล่า แกอยากเดินคลำสำรวจห้องโดยสาร แต่ก็รู้ว่าเสียมารยาท เลยถามเราเรื่อยๆ เครื่องเริ่มเคลื่อนตัวไปรันเวย์ แกก็สงสัย ทำไมสั่นเหมือนอยู่บนรถติดล้อ นี่เคลื่ิอนไปข้างหน้าหรือถอยหลังอยู่ ทุกอย่างที่แกถามทำให้เราที่นั่งเครื่องบ่อยจนเลิกรู้สึกรู้สาความสะเทือนต่างๆ ไปแล้ว พลอยอดตื่นเต้นตามไม่ได้
ค่อยๆ อธิบายไปว่านี่กำลังออกจากลานจอดนะ ต้องขับไปรันเวย์ รันเวย์ก็เหมือนถนนยาวๆ มีทุ่งหญ้ากว้างสองข้าง อธิบายไปต้องคิดหาคำไปด้วย ทำให้พบว่าเรามีคลังคำอธิบายความหมายที่ไม่อิงกับการมองเห็นน้อยเหลือเกิน ถ้าเราพูดถึงสี ก็จะไม่มีความหมายกับพี่เขาเลย และเมื่อพูดถึงเมฆ เราไม่รู้ว่าพี่เขาจินตนาการถึงอะไร บอกไปได้เพียงว่าคล้ายลอนผ้านุ่มๆ แผ่ไปทั่วฟ้าเหนือหัว และจับก้อนเป็นหย่อมๆ ข้างล่างเรา คอยบังเมืองที่ตึกเหลือเล็กจิ๋วหลิวอยู่ใต้เท้าเรา
พอไต่ระดับจนท้องเครื่องขนานผิวโลก และลมนิ่งจนไม่มีแรงสะเทือนเหลือแล้ว เราหลับตาตามแล้วพบว่ามันไม่มีอะไรให้อธิบายได้เลย นอกจากเสียงคนจีนข้างหลังที่ดุลูกอยู่ กลัวแกเหงาเลยคุยกันต่อ -- แกมาปายเพราะที่นั่นมีคนสอนอ่านคัมภีร์กุรอานภาษาเบรลอยู่ ในไทยไม่มีที่อื่น และแกยังเล่าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวกับอักษรเบรล ทั้งเครื่องพิมพ์ดีด แท็บเล็ต เครื่องอ่านอักษรเป็นเสียง แต่ละอย่างราคาเป็นแสนขึ้นไป และต้องนำเข้า อย่างเครื่องที่พิมพ์กุรอานได้ก็มาจากมาเลเซีย ในไทยแทบไม่มีอะไรสำหรับคนตาบอดเลย
แกว่าการขาดแคลนเครื่องมือเหล่านี้ทำให้คนตาบอดเข้าถึงความรู้ ข้อมูลต่างๆ ได้อย่างจำกัด ข้อมูลที่เป็นเบรลในชีวิตประจำวันที่คุ้นที่สุดคงเป็นแม็กกี้ที่ดุนนูนเบรลบอกยี่ห้อไว้ข้างขวด
ถึงตรงนี้ก็นึกตาม ว่ารัฐของเราสร้างสวัสดิการและการดูแลคนตาบอดไว้ในระดับการสงเคราะห์เป็นหลัก แต่ไม่เคยทำให้คนตาบอดมีกำลังผลิตของตัวเอง แค่จะพิมพ์หนังสือ ถ้าไม่มีเงินเป็นแสน ก็ซื้อเครื่องพิมพ์ตัวเบรลไม่ได้ เบรลอังกฤษว่ายากแล้ว เบรลไทยยิ่งยาก และเบรลกุรอานยิ่งไม่ต้องพูดถึง
คุยกันอีกหลายเรื่อง จนเครื่องเริ่มเอียงตัวบินวน ไต่ระดับลงหาสนามบิน บอกแกว่ารังสิตเหมือนแถบริบบิ้นทุ่งนายาวๆ เย็บต่อกันเป็นผืนผ้ากว้างใหญ่ ส่วนเรื่องหัวนมยักษ์แปะพื้นก่อนถึงดอนเมือง...ไม่กล้าเล่า เตือนแกเรื่องแรงกระแทกเครื่องเบรก ช่วยหยิบกระเป๋ากับไ้ม้เท้าให้ แกขอบใจที่ช่วยเล่าให้ฟัง จะได้ไปเล่าให้ลูกเมียฟังต่อ หลังจากนี้แกต้องรอเครื่องไปกระบี่อีก 3 ชั่วโมง โดยที่กินอะไรไม่ได้ ถ้าเจอกันบนถนนบีบแตรทักกันได้นะ ...แล้วแต่ประสงค์ของพระเจ้าจะพาเรามาพบกันอีกครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตอนยังเด็ก ผู้ใหญ่มักจะสอนเราว่า พอเราโตขึ้นจนถึงวัยและได้ทำงาน มันจะทำให้เรารู้จักคุณค่าของเงินมากขึ้น
ซุยไอสัส
งานยิ่งเหนื่อย แม่งยิ่งทำให้ใช้ตังได้โดยไม่รู้สึกเสียดายและผิดบาปเหี้ยอะไรเลยสักนิด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กรณีปัญหาขัดแย้งซาอุ-กาตาร์
ผมยืนอยู่ข้างซาอุดิอารเบีย
เหตุผลนะหรือ ? ผมอธิบายมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมาว่า เพราะนี่คือชาติเตาฮีดและชาติที่ยังสนับสนุนแนวทางสะลัฟ สำหรับผมแล้ว การที่กษัตริย์ในบ้านเมืองนี้สนับสนุนอุละมาอ์เผยแพร่อิสลามอย่างทุกวันนี้ แค่นี้ก็ยิ่งใหญ่มากพอที่จะมองข้ามความบกพร่องของพวกเขาแล้ว. มันขึ้นกับว่าคุณใช้อะไรมองซาอุฯ ลัทธิการเมืองสมัยใหม่, แนวคิดขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหรือใช้นรกสวรรค์เป็นฐานการมอง
และผมก็เชื่อว่า หากไม่ใช่เพราะกาต้าพยายามตีตะล่อมซาอุฯจะทางตรงหรืออ้อมตลอดเวลาที่ผ่านมา ปัญหาแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
ผมให้ข้อสังเกตง่าย ๆ โดยมากของคนที่ด่าซาอุในเฟสตอนนี้ ก็มักเป็นคนที่ลุ้นให้ซาอุล่มสลายกลายเป็นรัฐประชาธิปไตยอยู่แล้ว. ฐานมวลชนของแต่ละฝ่ายก็มาจากฐานศาสนาคนละแบบ
ยิ่งกาต้ามีสัมพันธ์กับอิหร่านนี่ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะเลือกข้างซาอุ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เอะอะโทษรัฐบาล หาข้ออ้างไม่ทำอะไรด้วยตัวเอง แบบนี้แหละครับ
เก่งแต่ประดิษฐ์ข้ออ้างมาบังหน้า
ยิ่งมีวาทกรรมสะดวกๆ ยิ่งเหมาะมือ โทษ พรบ เข้าไป มันสะดวกยิ่งนัก
ขนาดประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนซอฟแวร์เถื่อน ให้ใช้กันสนุกมือมานานนับสิบปี
ให้ลองใช้ได้เป็นร้อยเป็นพัน ในขณะที่ต่างประเทศ โหลดแล้วเสี่ยงคุก .... มันก็ยังจะโทษรัฐบาลจนได้
ขนาดประเทศไทยต้นทุนดำรงชีพต่ำ เวลาว่างเยอะ ก็เอาไปเล่นเกม ดูหนัง แสวงหาสุขนิยมหมด
ถ้าทรัพยากรมนุษย์พร้อม มีความน่าเชื่อถือ ไม่ต้องรอรัฐบาล ไปหา angel กับธนาคาร หรือเจ้าสัวเองเลย
ไม่ใช่เอะอะก็หาเรื่องโทษรัฐบาล โทษฟ้า โทษดิน มั่วไปหมด
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ startup ไทยไม่มีวันไปได้ เพราะค่านิยมการทำงานเป็นทีม ที่เละ
ตามนโยบายเสรี อินดี้ เป็นนายตัวเอง ตามหนังสือขายฝันโง่ๆ ที่มีเกลื่อนกลาด
ผลคือไม่มีจิตสำนึกการเอาตัวรอดเป็นกลุ่ม
ญี่ปุ่นฝึกให้เอาตัวรอดกันตั้งแต่เด็ก จับคนไม่รู้จัก 10 คน ไปปล่อยเกาะ เดี๋ยวมันก็ฟอร์มทีมกันเอง
เทรนมาตั้งแต่อนุบาล เด็กโตต้องดูเด็กเล็ก . ไปโรงเรียนต้องดูแลกันเอง . เข้าบริษัทต้องมีรุ่น มีสาย .
ดูแลกันไป หัวหน้าด่าให้เก็บไว้ โทษตัวเองก่อนโทษคนอื่น เสียสละร่วงโรยเหมือนซากุระหนึ่งฤดู
คำว่าเสรีในพจนานุกรมของคนไทย เป็นคำศักดิ์สิทธ์ ใครพูดจะดูดีขึ้นมาทันที เป็นผลเริ่มจากคณะราษฐ
แต่ในญี่ปุ่น คำว่าเสรีไม่ใช่คำศักดิ์สิทธ์ การเป็นทาสของงานกลับเป็นคำศักดิ์สิทธ์ เซ็นรับผิดแทนกลุ่มทั้งกลุ่มเป็นเรื่องศักดิ์สิทธ์
แต่คนไทยหรือ เจอแบบนี้ก็โวย ระบบโซตัส ด่าระบบเสรี อ้างสิทธิมนุษยชน เพื่อที่จะสถาปนาสภาวะอณาธิปไตย
จับไปปล่อยบนเรือกลางทะเล รับรอง ตายหมู่ มีแต่จะเอา ประดิษฐ์สารพัดมาโทษ .
สุดท้ายก็กลับมากัดลิ้นตัวเองเวลาเห็นประเทศอื่นพัฒนามากกว่าตน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง (กูก็อปมาจาก bn)
เวลาวิกฤติ กูขอเอาตัวรอดคนเดียวก่อนถ้ามีกำลังพอกูค่อยๆช่วยทีละคนดีกว่า. กูไม่ทำอ่ะเสียสละเพื่อกลุ่ม เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด
"มาลองนึกๆดู ถ้าชนชั้นสูงไทยฟัง Hiphop แล้วทำเพลงออกมาคงจะปั่นน่าดู
" โย่ว ไอสัส พวกมึงมันแค่ชนชั้นกลาง
แต่พวกกูมียศศักดิ์ ยศหนัก พวกกูลูกขุนนาง
แม่งทำมาเลียนแบบพวกกู ทำมาแต่งตัวหรู
ไอ่ศีลธรรมที่มึงใช้ มันก็ลอกมาจากกู
กูบอกไว้เลยนะไอ้สัส พวกมึงยังไม่ True "
" กูเห็นมึงอินกับชาตินิยมที่พวกกูแต่ง กูเห็นแล้วขำ
เพราะว่าจริงๆโคตรพ่อมึงไม่ไทย แต่เป็นจีนไหหลำ
เกลียดพม่า เหยียดเขมร ดูถูกลาว ยังกะเมกันเหยียดคนดำ
แต่จริงๆมึงวอนนาบีไทยแท้ มึงเก็ตมะ .. บักหำ "
" แล้วอีกหลายตัว ที่แม่งทำตัวเคร่ง อนุรักษ์นิยม
ที่มึงมองเรื่องแต่งกูไม่ออก ก็เพราะความคิดมึงยังไม่คม
พยายามแต่งตัวให้ดูไทย วี้ดว้ายตอนเจอคนโชว์นม
ขณะกูช็อปกระจายที่เมืองนอก กูเห็นเห็นพวกมึง กูขำแทบเป็นลม โย่ว ""
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไทยแท้ไม่มีหรอกสมัยก่อน คนเขาเรียกว่า คนสยาม.
แล้วที่เปลี่ยนชื่อประเทศเพราะมีบักหำคนหนึ่งเสนองานศึกษาว่า แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชนเผ่า ไทฯ หลายเผ่า เลยขอให้เปลี่ยนชื่อเป็ยประเทศไทยบ่งบอกว่า เป็นชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่อ่ะนะ
ที่จริงมึงกล้าๆตั้งชื่อเป็นประเทศ อารยัน เลยน่าจะเท่น่าดู
เรียนเพื่อเอาเกรด
1. อะไรที่คาดว่าไม่ออกสอบ ไม่อ่านทำความเข้าใจ
2. เรียนแบบไม่กระตือรือล้น เพราะไม่ได้อยากรู้อะไร
3. การบ้านลอกเพื่อน เพื่อให้ได้คะแนนเต็ม เกรดจะได้สูง ๆ
4. เตรียมตัวสอบแบบเก็งข้อสอบ เพราะไม่ต้องการความรู้ในส่วนอื่น โดยเฉพาะส่วนที่ยาก
5. เรียนแบบท่องจำได้ เพราะไม่ได้อยากรู้จริง แค่สอบได้เกรดพอ
6. หลังจากเกรดออกแล้ว ก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะไม่ได้รู้จริง
เรียนเพื่อเอาความรู้
1. อยากรู้จริง
2. ส่วนที่ยาก ไม่มีปัญหา ค้นคว้าจนรู้หมด เพราะอยากรู้
3. ทำการบ้านเองหมด เพราะอยากรู้
4. ในส่วนที่อาจารย์ไม่สอน ไม่เป็นไร อยากรู้ ไปศึกษาเอง
5. ไม่เก็งข้อสอบ เพราะอยากรู้จริงหมดทุกอย่าง
6. ไม่ท่องจำ เพราะไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง
7. ไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับเกรดมากนัก เรียนเพราะอยากรู้มากกว่า
8. อยากรู้ไปหมด เลยศึกษาหมด เก่งกว่าอาจารย์ ได้เกรด A
9. ความรู้ที่ได้อยู่กับตัวไปจนตาย เพราะเกิดจากความเข้าใจ ไม่ใช่ท่องจำ
มันควรควบคู่แหละ
เกรตเอาไว้เป็นโปรไฟล์หรูๆให้กับมึง
ความรู้เอาไว้ตอนมึงทำงาน เขาจะได้รู้ว่ามึงไม่ได้ซื้อเกรต
>>628 ใครว่าเกรดใช้หาตังไม่ได้ เวลาหางานโดยเฉพาะเด็กจบใหม่นี่มันทำให้ดูดีกว่าคนเกรดต่ำเยอะ
ถ้าสัมภาษณ์ไม่แย่เค้าปล่อยหลุดเข้าไปแล้วพอถูไถทำงานได้อย่างน้อยบริษัทส่วนมากก็เก็บไว้แล้ว
ไอ้คนที่จริงๆแล้วทำงานเก่งแต่เกรดไม่ดีนี่ได้โอกาสหลังชาวบ่านเค้าเลย แถมโดนกดตังอีก
จะหนีไปทำฟรีแลนซ์ความเสี่ยงมันก็เยอะ
>>630
ก็แค่ในโลกสังคมที่ป่วยกับการดูเกรด ดูสถาบันล่ะว้า กูพูดถึงในกรณีที่อับจน เท่าเทียมกัน ลองพาปล่อยเกาะดูดิ หรือให้ใช้ชีวิตแบบดิ้นรน มึงคิดว่าคนแบบไหนจะรอด
อ่ะ แล้วกูจะบอกไรให้ คนที่ประสบเป็นเจ้าคนนายคนคือคนอย่างหลังที่>>626 ยกมา
คนแบบนี้จะเป็นเจ้าคนนายคน ส่วนพวกใช้เกรดก็เป็นขี้ข้าจนกว่าเขาจะปลดมึงออก หรือหมดความสำคัญกับเกรดมึงล่ะกัน
>>631 กูจะบอกให้ว่าเจ้าคนนายคนแบบที่มึงว่ามาน่ะ บางทีไอ้ความรู้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกนะ สิ่งสำคัญมีอยู่ 4 อย่าง ความรู้นะไม่พอหรอกนะ แต่สิ่งสำคัญคือ ความมุ่งมั่น ดวง และ ทรัพยากร ว่ะ โง่(ไม่มาก)แต่รวย ก็เป็นนายคนได้ ดวงดีทำอะไรก็รุ่งก็เป็นนายคนได้ มันก็ต้องมีองค์ประกอบมารวมๆกัน คนที่ทำได้จริง มันถึงน้อยไง
เรียนเพื่อเอาความรู้อ้างไม่ท่องจำนี้ก็ตลกล่ะมึง
เอาแค่เคมียังไงก็ต้องท่องจำ
ภาษาก็ต้องท่องจำมาก่อนไม่งั้นจะเข้าถึงไวยากรณ์แกรมม่าได้ไง ไหนจะจำตัวอักษรเฉพาะอีก
ความนับถือรักใคร่ในแก๊งค์คนดำก็ดี ในสีผิวของตนก็ดี ในครอบครัวคนดำก็ดี มีจิตซื่อตรงในหัวหน้าแก๊งค์ของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้แก๊งค์ของตนเจริญยิ่ง ขอย่านคนดำจงเจริญ ยั่งยืนตลอดไป ประชาชนสุขสันต์หน้าดำเพื่อเป็นพลังมืดของแผ่นดิน
#มิตรสหายนิกก้าท่านหนึ่ง
พวกคนโง่ ไม่เคยออกไปเที่ยวประเทศไหนก็พูดมาได้ประเทศไทยดีที่สุดในโลก นอกจากผัวแล้วประเทศที่กูใช้ชีวิตทุกวันนี้ทำให้กูลืมประเทศที่คิดไปเองว่าตัวเองกำลังพัฒนาแถว ๆ คาบสมุทรอินโดจีนไปละ อะไรนะต้มยำกุ้ง แกงแค น้ำพริกอ่อง ยำเห็ดถอบ ที่อังกฤษก็มีเหรอ? กูอยากจะบอกว่าไข่มดแดง ใบย่านาง แมงดา ปลาดุก ปลาหลิม มีให้แดกหมด เรื่องอะไรกูจะกลับไปให้ยุงกัดลูกกัดผัวกู ยุง เห็บ ตะเข็บ ตะขาบ มด ตุ๊กแก โรคเขตร้อนสารพัด นกหนูเต็มบ้านเต็มเมือง เรียกว่าโชคดี อีพวกโลกแคบ
#มิตรสหายมีงูท่านหนึ่ง
พุ่มพวงเคยโดนเอามาเปรียบหลายครั้ง
ตอนเด็กๆ(ยี่สิยกว่าปีมาแล้ว) ครูเพลงท่านหนึ่งเปรียบว่า
ถ้าพุ่มพวงคือการมองผู้ชายแล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้
นักร้องสมัยนี้คือการแหกโชว์ผู้ชายเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
#เพื่อนร่วมรุ่นฉันเป็นแค่พ่อครัว #งานเลี้ยงรุ่นทำไมกลายเป็นงานอวดงานอวย
หวางมีอาชีพเป็นพ่อครัว ครั้งหนึ่งเคยไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น หลังงานจบไป หวางก็ยืนกรานว่าชาตินี้คงไม่ติดต่อคบค้าสมาคมกับเพื่อนร่วมรุ่นเหล่านั้นอีกแล้ว...
เรื่องมีอยู่ว่า...งานเลี้ยงรุ่นที่หวางไปร่วมเป็นงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนสมัย ม.ต้น จริงๆหวางก็เรียนถึงแค่ ม.ต้น แล้วก็ต้องเลิกเรียนไป เพราะฐานะทางบ้านยากจน หลังจบ ม.ต้น หวางเลยต้องออกจากโรงเรียน และเริ่มทำงานเป็นพ่อครัวตั้งแต่นั้นมา
หวางใจจดใจจ่อรองานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้มาก เพราะมีเพื่อนสมัยเด็กหลายคนเลยที่เขาคิดถึงและไม่ได้เจอมาหลายสิบปี
บังเอิญประจวบเหมาะ...สถานที่จัดงานเลี้ยงคือโรงแรมห้าดาวที่หวางทำงานอยู่พอดี พอใกล้เที่ยง ทุกคนในรุ่นก็มากันครบเกือบหมดแล้ว งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้น #ทุกคนต่างตื่นเต้นพากันทักทายเพื่อนหลายๆคนที่ไม่ได้เจอกันหลายสิบปี ต่างบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองไปพบเจอมาหลังจากแยกย้ายกันไป
ขณะเดียวกันเอง...อาหารก็ค่อยๆทยอยยกออกมาจากครัวของโรงแรมมาเสริฟ์ให้เหล่าเพื่อนร่วมรุ่นในงาน
พิธีของงานเริ่มขึ้น...คือ ให้เพื่อนนักเรียนในรุ่นได้ขึ้นมาทักทายและแนะนำตัวกับเพื่อนทุกคนหมุนเวียนกันไปจนครบ...
คนแรกที่ขึ้นไปพูดเป็นหัวหน้าห้อง...เขาบอกว่าตอนนี้ได้เป็น #หัวหน้ากรม ที่หน่วยงานราชการในท้องที่แห่งหนึ่ง ขึ้นมาก็พูดจาวางมาดแบบข้าราชการผู้ใหญ่ เสมือนว่าเพื่อนๆที่นั่งฟังเป็นลูกน้องในกรมก็ไม่ปาน...
ก่อนพูดจบเขาฝากไว้กับทุกคน...ถ้าเพื่อนๆมีเหตุเดือดร้อนอะไรต้องการให้ช่วยบอกเขาได้เลย พร้อมจะช่วยเสมอ...พูดจบทุกคนปรบมือชอบใจใหญ่ เท่ห์จริงๆมีเพื่อนเป็นข้าราชการใหญ่โต
คนต่อไปที่ขึ้นพูด...เป็นเพื่อน #นักธุรกิจ ระหว่างพูดก็พาดพิงถึงธุรกิจใหญ่ที่ตัวเองดูแลอยู่ คำสั่งซื้อหลายล้านของธุรกิจตัวเองบ้าง เหล่านาฬิกาหรูและของสะสมราคาแพงที่ตัวเองชอบบ้าง...
ก่อนพูดจบเขาฝากไว้กับทุกคน...ถ้าเพื่อนๆมีเหตุร้อนเงินขอให้บอก เขาพร้อมยื่นมือให้ช่วย พวกเราเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก คุยง่าย...พูดจบทุกคนปรบมือชอบใจใหญ่ เท่ห์จริงๆมีเพื่อนเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน
หลังจากนั้นก็ถึงคิวขึ้นกล่าวของเพื่อนอีกหลายๆคน...ทั้ง #นายธนาคาร #ผู้จัดการใหญ่ #พนักงานระดับสูง ฯลฯ ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นกล่าวทักทาย... แต่ละคนก็พากันพรรณนาว่าช่วงนี้ตนเองทำอะไรอยู่ ได้ดิบได้ดีอย่างไร เห็นคุณค่าในมิตรภาพเพื่อนร่วมรุ่น และต่างคิดถึงช่วงเวลาที่เรียนร่วมกันขนาดไหน...
จนสุดท้ายเหลือเพียง หวาง ที่เพิ่งยุ่งในครัวเสร็จหลังจากอาหารจานสุดท้ายยกมาเสริฟ เขากระวีกระวาดขึ้นบนเวทีทันกล่าวทักทายกับทุกคนพอดี...
แต่เพราะรีบร้อนเลยไม่ทันเปลี่ยนชุด หวางออกมาพร้อมกับชุดพ่อครัวและผ้ากันเปื้อนเนื้อตัวมอมแมม
พอหวางขึ้นเวทีบรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนเป็นความเงียบ เพื่อนๆหลายคนเห็นพ่อครัวเนื้อตัวสกปรกขึ้นเวทีก็กระซิบกระซาบ หลายคนจำไม่ได้ว่านี้คือหวางเพื่อนร่วมรุ่นของตัวเอง เพื่อนผู้หญิงบางคนถึงกับกล่าวถากถางแกมตลก "เหม็นกลิ้นน้ำมันถึงนี่เลย ทำไมไม่อยู่ในครัวจนเลิกงานไปเลย"
พ่อครัวหวาง กล่าวสั้นๆ..."เราไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจเหมือนเพื่อนๆนะ เราทำงานที่โรงแรมแห่งนี้...#เราเป็นพ่อครัว อาหารวันนี้ที่ทุกคนทาน เรากับเพื่อนในครัวช่วยกันทำสุดฝีมือเลย หวังว่าคงถูกปากเพื่อนๆนะ"...เพียงเท่านี้ แล้วหวางก็ลงเวทีไป
ตอนที่หวางนั่งลงที่โต๊ะ...เขาบังเอิญได้ยินเพื่อนโต๊ะข้างๆนินทาเขาอยู่ "ตายแล้ว คิดไม่ถึง เพื่อนร่วมชั้นเราจะมีที่ตกต่ำขนาดนี้ อย่าพูดออกไปนะ ขายหน้าคนอื่นเขา"
หวางทำเป็นไม่ได้ยิน พูดจายิ้มแย้มกับเพื่อนร่วมโต๊ะ และทักทายเพื่อนๆในงานตามประสาเพื่อนวัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนาน...
ทุกคนในงานทานอาหารไป รินเหล้า ชนแก้ว สนทนา หัวเราะเฮฮากันอย่างออกรส...แต่...ไม่มีใครมาขอหวางชนแก้วเลย และไม่มีใครตั้งใจคุยกับหวางด้วย ดูเหมือนว่าหวางเป็นเพียงคนเดียวในงานที่ถุกทอดทิ้งให้เงียบเหงา...เพียง #เพราะเขาไม่ได้ดิบได้ดีแบบเพื่อนๆ...
(ต่อเม้นล่าง)
( ต่อจาก >>638 )
จนเวลาใกล้บ่ายที่งานเลิก...ทุกคนต่างอิ่มหนำสำราญ บางคนก็เริ่มเมากริ่มๆ...บริกรเดินถือบิลเข้ามาเช็คบิลที่โต๊ะของเพื่อนที่เป็นเหรัญญิกรับผิดชอบค่าใช้จ่ายงานเลี้ยงรุ่นครั้งนี้
แต่...เหรัญญิกเห็นบิลก็หน้าซีด เพราะค่าใช้จ่ายที่ออกมามันเกินงบที่เก็บมามาก..มากโข...เพราะที่นี่เป็นโรงแรมห้าดาวที่ดีที่สุดในมณฑลก็ว่าได้...ค่าใช้จ่ายรวมๆเกือบหมื่นหยวน(ราวห้าหมื่นบาท)
สายตาทุกคนเริ่มจับจ้องไปที่เพื่อนๆที่เป็นนักธุรกิจกับเถ้าแก่ใหญ่ เพราะเมื่อครู่หลายคนยังคุยโม้อยู่ว่ามีธุรกิจใหญ่โต ในวงสนทนาก็บอกตัวเองทำเงินได้เดือนละหลายล้าน...แต่เพื่อนเหล่านั้นหน้าแดง หลายคนบอกเงินไม่ขาดมือหรอก...แต่ต้องผ่านการอนุมัติจากเมียก่อน...แล้วก็ #นิ่งเงียบ
ส่วนหัวหน้าห้องที่เป็นหัวหน้ากรมก็ไม่พูดอะไร...ยังขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์นอกห้อง...บอก #งานราชการด่วนเข้า
หวางเห็นเพื่อนๆในห้องนิ่งกันนาน...นานมาก...แล้วหวางก็ลุกขึ้น ประกาศในห้องจัดเลี้ยง "ไม่เป็นไรเพื่อน มื้อนี้เราขอเลี้ยงนะ!!!"
สิ้นเสียงประกาศของหวาง เพื่อนๆหลายคนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินกับหู...
แล้วบริกรก็เข้ามาหาหวาง แล้วโค้งคำนับ "รับทราบค่ะ ประธานหวาง"...
ตอนนี้เอง ทุกคนถึงเพิ่งรู้...เพื่อนหวางที่ใส่ชุดพ่อครัวมอมแมมคนนี้ แท้จริงคือเถ้าแก่เจ้าของโรงแรมห้าดาวที่หรูที่สุดในมณฑลแห่งนี้!!!
หลายคนก็พูดติดตลกแก้เขินบอก "#ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่" "เพื่อนหวางนายนี่ก็ #ถ่อมตัวจนดูไม่ออกเลย" "เพื่อน นายเป็นใหญ่ #เป็นโตขนาดนี้อุบเงียบไว้เลยนะ"...แล้วเพื่อนๆก็พากันกรูเข้ามาหาหวาง หวังจะตีสนิทด้วยก่อนเลิกงาน...
เวลานี้ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มตอนเริ่มงานของหวาง...เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง...เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง...
"ก่อนหน้านั้น ตอนเรากล่าวบนเวทีว่าอาหารกว่าสิบอย่างที่เพื่อนๆกินกันในงานวันนี้ เรากับเพื่อนพ่อครัวช่วยกันทำสุดฝีมือ ไม่เห็นมีใครขอบคุณเรากับเพื่อนเลย! เพราะเราเป็น...#แค่...#พ่อครัว ใชมั้ย?"
"พ่อครัวแบบเราเราอาจจะเนื้อตัวมอมแมม เสื้อติดกลิ่นน้ำมัน
ไม่น่าเข้าใกล้นะ แต่ไม่ใช่เพราะพ่อครัวเนื้อตัวสกปรกแบบพวกเราเหรอ? พวกเธอถึงมี #อาหารเลิศรส ที่รังสรรค์อย่างปราณีตให้ทานกัน?"
"เรากับเพื่อนพ่อครัวหลายสิบชีวิตในครัว ยุ่งตัวเป็นเกลียวตั้งแต่เช้า หวังเพียงให้เพื่อนๆอย่างพวกเธอมีอาหารดัีๆทาน...แต่ไม่มีใครเห็นคุณค่าสิ่งที่เราทำเลย ซ้ำร้ายยังดูถูกเยาะเย้ยงานที่เราทำอีก"
"คนเรา...ต่อให้งานการใหญ่โต มีหน้ามีตาในสังคม แต่ถ้าความเคารพในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังไม่มี ก็เป็นแค่คนชั้นต่ำ..."
"พวกเธอทุกคน...ไม่คู่ควรจะมาทานอาหารที่โรงแรมนี้อีก โรงแรมของฉันไม่ต้อนรับพวกเธอ!!!"
หลังหวางพูดจบ ก็เดินจากไป...ทิ้งให้เพื่อนๆร่วมรุ่นวัยเด็กของเขาทั้งห้อง #หน้าชา อยู่อย่างนั้น
...เป็นอันจบงานเลี้ยงรุ่น
#นิทานจีนจากเรื่องจริงของชีวิต
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผู้มีรสนิยมทางเพศที่ไม่ใช่ BINARY
ในกรณีที่มีสาเหตุเนื่องมาจาก ฮอร์โมนเพศในร่างกายมีปริมาณผิดปกติ หรือทำงานไม่ปกติ
เราสามารถระบุได้ไหมว่าคนเหล่านี้เป็นโรค/มีสภาวะผิดปกติได้หรือไม่ ?
--------
ผู้ป่วยโรคทางจิตเวช เนื่องมาจากสารเคมีในสมองไม่ปกติ หรือส่วนประกอบสของสมองฟังก์ชั่นไม่ถูกต้อง
เราสามารถเคลมว่าคนเหล่านี้เป็นโรค/มีสภาวะผิดปกติได้
ผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้การเจริญเติบโตมากหรือน้อยกว่าคนทั่วไป ลักษณะทางกายภาพแปลกไปจากคนปกติ ฟังก์ชั่นร่างกายหลายอย่างทำงานไม่ปกติ
เราสามารถเคลมว่าคนเหล่านี้เป็นโรค/มีสภาวะผิดปกติได้
ผู้ป่วยที่ปริมาณโครโมโซมผิดปกติ ลักษณะทางกายภาพแปลกไปจากคนปกติ ฟังก์ชั่นร่างกายหลายอย่างทำงานไม่ปกติ การทำงานของสมองต่างจากคนปกติ
เราสามารถเคลมว่าคนเหล่านี้เป็นโรค/มีสภาวะผิดปกติได้
--------
หรือจริง ๆ ทางการแพทย์ได้ระบุไว้เช่นนั้นอยู่แล้ว
แต่เพื่อมารยาททางสังคม / PC / อะไรก็ตาม เราจึงถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากการเลือก/ตัดสินใจ/ FREE WILLY ของเจ้าตัวเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
[บทเรียนจาก Yahoo!]
#Breakfast4brain
สัปดาห์นี้ Yahoo! หนึ่งในผู้บุกเบิกโลกอินเตอร์เน็ต กำลังจะกลายเป็นอดีตอย่างทางการ
เมื่อกลุ่มผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติให้ขายสินทรัพย์ และธุรกิจหลัก แก่เครือยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคม Verizon ในราคาราว 4,500 ล้านดอลลาร์ และเตรียมก่อตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ Oath
ส่วนทรัพย์สินอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในดีลนี้ อาทิ หุ้นใน Alibaba, Yahoo! Japan และสิทธิบัตรเทคโนโลยีต่างๆ จะยังอยู่ในความดูแลของกลุ่มบริษัทเดิม แต่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Altaba Inc.
คำถามที่ตามมา คือเกิดอะไรขึ้นกับหนึ่งในองค์กรที่ถือเป็นตำนานของซิลิคอน วัลลีย์ จนลงเอยด้วยบทสรุปแบบนี้
..
.
Yahoo! ถือกำเนิด เมื่อเดือนเมษายน 1994 ในลักษณะเดียวกับยักษ์ใหญ่ในโลกไอทีอื่นๆ
คือการมองเห็นโอกาสและช่องทางใหม่ๆของสองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
Jerry Yang หนุ่มไต้หวันอพยพที่หลงใหลในคณิตศาสตร์ และ David Filo โปรแกรมเมอร์ผู้เงียบขรึมจากหลุยเซียนา
ทั้งคู่สร้างดัชนีรวบรวมลิงค์ของเว็บไซต์ต่างๆในยุคนั้น โดยใช้ชื่อว่า 'Jerry and David's Guide to the World Wide Web'
หนึ่งปีถัดมา หลังได้เงินทุนจาก Sequoia Capital ทั้งคู่ก็ตัดสินใจจดทะเบียนบริษัท พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Yahoo!
และเติบโตอย่างรวดเร็วในภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอทคอม พร้อมกับบริษัทร่วมยุค ทั้ง MSN, Alta Vista, Netscape, Lycos, Excite ฯลฯ
จากจุดขายในยุคแรกอย่างเสิร์ชเอ็นจิน
Yahoo! ขยายกิจการออกไป ด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทอื่น มาเป็นของตัวเอง อาทิ Rocketmail (Yahoo! Mail) ClassicGames.com (Yahoo! Games) ฯลฯ
รวมถึง Yahoo! Messenger ซึ่งเป็นบริการส่งข้อความแบบ instant message ยุคบุกเบิกด้วย
หลักฐานความรุ่งเรืองของ Yahoo! คือการที่หุ้นของบริษัทพุ่งไปแตะ all-time high ที่ 118.75 ดอลลาร์ ในปี 2000
..
.
แต่หลังฟองสบู่ไอทีแตกในปีถัดมา จนทำให้หุ้นของบริษัทตกลงมาต่ำสุดที่ 8.11 ดอลลาร์
ท่าทีของ Yahoo! ก็เปลี่ยนไป และไม่ทะเยอทะยานเหมือนเดิมอีก
Yang เลือก Terry Semel อดีตผู้บริหาร Warner Brothers มารับตำแหน่งซีอีโอ เพื่อเปลี่ยนแนวทางจากไอทีไปสู่องค์กรสื่อแทน
ขณะที่แนวทางของ Semel ก็เลือก 'ลดความเสี่ยง' สวนทางกับสิ่งที่บริษัทหัวก้าวหน้าอย่าง Yahoo! ควรจะเป็น
โดยเฉพาะในหลายดีลที่เกือบจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการ
เช่น ในปี 2002 Yahoo! มีโอกาสซื้อกิจการของ Google แต่ Semel เลือกกดราคาไว้ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งที่ได้รับคำแนะนำจากคนใกล้ชิดว่ามูลค่าขั้นต่ำของอีกฝ่าย อาจสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์
หรือในปี 2006 Semel ก็ตัดสินใจลดข้อเสนอซื้อ Facebook ในยุคตั้งไข่ จาก 1,000 ล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 850 ล้านดอลลาร์
แน่นอนว่าทั้งสองข้อเสนอนั้นถูกปฏิเสธ ก่อนที่ทั้ง Google และ Facebook จะเติบโตจนแซงหน้า Yahoo! ในเวลาต่อมา
..
.
กลับกัน เมื่อถึงเวลาที่ต้องถอย Yahoo! กลับเลือกเดินหน้าต่อ
เพราะหลังสูญเสียตำแหน่งผู้นำในตลาดเสิร์ชเอ็นจินไป
Yahoo! ยังได้รับข้อเสนอขอซื้อกิจการ ในราคา 45,000 ล้านดอลลาร์ จาก Microsoft ในยุคของซีอีโอ Steve Ballmer ที่ต้องการได้ know-how ของ Yahoo! เพื่อแข่งขันกับ Google เมื่อปี 2008
แต่ Yang ที่กลับมารับตำแหน่งซีอีโอแทน Semel เลือกปฏิเสธ
จากหัวหอกในยุคบุกเบิกของไอที Yahoo! จึงค่อยๆกลายเป็นผู้ตาม
และต้องเลย์ออฟพนักงานมากถึง 2 พันคนในปี 2012 หรือคิดเป็นร้อยละ 14 ของทั้งองค์กร
..
.
กระนั้น ก็ใช่ว่า Yang จะตัดสินใจผิดพลาดไปหมดทุกอย่าง
หนึ่งในดีลที่น่าจะถือว่าดีที่สุดของ Yahoo! เกิดขึ้นในปี 2005 คือการลงทุนซื้อหุ้น 40% ของ Alibaba เป็นเงิน 1,000 ล้านเหรียญ
เพราะปัจจุบัน Alibaba Group กลายเป็นอภิมหาอำนาจในวงการอีคอมเมิร์ซของโลกไปเรียบร้อย
แม้จะถูกขายออกไป 25% หลัง Yang ตัดสินใจแยกตัวออกไป
แต่หุ้น 15% ที่ยังถืออยู่ ก็งอกเงยจนมีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านเหรียญ
น่าเสียดาย คือมันไม่อาจช่วยให้ Yahoo! อยู่รอดในวงการได้ สมกับที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องให้เป็นผู้บุกเบิกยุคอินเตอร์เน็ต
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เคยมีคนบอกผมว่า
"มีเงินเยอะขนาดไหน ก็ซื้อเวลากับความสุขในชีวิตไม่ได้หรอก"
ผมเคยเชื่อคำพูดนี้มาตลอด จนกระทั่งเมื่อได้มาทำงานในสายสาธารณสุข ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป
เดี๋ยวก่อนครับ ก่อนจะมีคนดราม่า
กรุณาอ่านสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้ก่อน
อย่างที่รู้กันเรื่องการทำงานของหมอไทยที่เป็นข่าวใหญ่โตในช่วงเดือนที่ผ่านมา ว่าอยู่เวรกันจนไม่สบายจนถึงขั้นเสียชีวิตเนี่ย ทำให้มีคำวิจารณ์ต่างๆนาๆมากมายตามมา
บางคนก็บอกว่าน่าสงสาร
บางคนก็บอกว่าหมอแม่งเห็นแก่เงิน อยู่เวรติดกันจนไม่ดูแลตัวเอง
วันนี้ผมเลยขอเล่าถึงเรื่องนึง มันเป็นเรื่องที่หมอทุกคนเคยเจอและเคยทำมาก่อนแน่นอน นั่นก็คือ
"การขายเวร"
ผมเคยคุยเรื่อง"การขายเวร"กับเพื่อนในสายอาชีพอื่น แล้วเพื่อนก็งงแดกครับ ว่าคืออะไร
"การขายเวรนี่คือไรวะ กูได้ยินหมอพูดกัน"
"สมมุติวันนี้ กูทำงานในเวลาราชการ 8.30-16.30 แล้วกูต้องอยู่เวรต่อ 16.30ถึงเช้าอีกวัน แต่กูอยู่ไม่ไหว เพราะก่อนหน้านี้กูอยู่เวรมาแล้วติดกัน 2 วัน กูก็ต้องขายเวรวันนี้ให้คนอื่นไง"
"แล้วแม่งทำยังไงวะ การขายเวรเนี่ย?"
"ก็สมมุติกูได้ค่าเวร 1,100 บาทต่อ 8 ชม. กูก็จะประกาศขายในกรุ๊ปไลน์ที่มีหมออยู่รวมๆว่า มีใครจะซื้อเวรวันนี้มั้ย บวกเพิ่มให้ 900 บาท ถ้ามีใครสนใจเค้าก็จะทักกูมาขอซื้อ"
"แล้วไงต่อ?"
"แล้วหมอคนนั้นก็จะมาอยู่เวรแทนกูไง แล้วกูก็จะต้องเอาเงินให้เค้ารวมเป็น 2000 บาท/8 ชม."
"อ่อออออ เข้าใจละ แต่เดี๋ยวก่อน!!"
"อะไรอีก มึงงงอะไรอีก?"
"ปกติเวลาคนขายของเค้าต้องได้เงินปะวะ? คนซื้อก็ต้องเสียเงินแล้วได้ของปะวะ? แล้วทำไมมึงใช้คำว่าขายเวรทั้งๆที่มึงเป็นคนเสียเงินวะ"
".......เอออออวะ?!?......นั่นดิ....สมแล้วที่มึงเรียนเศรษฐศาสตร์มา กูก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกัน"
พอเพื่อนถามคำถามนี้มาผมก็นั่งเอ๋ออยู่แปปนึง แล้วก็คิดว่าการอธิบายคำว่า "ขายเวร" ให้คนอื่นเข้าใจตามหลักเศรษฐศาสตร์มันก็คือ "การซื้อเวลา" นั่นแหล่ะครับ
"ผมยอมเสียเงิน 1100 บาท(รพ.ให้) บวกกับเงินตัวเอง(เข้าเนื้อ)อีก 900 บาท เพื่อที่จะไม่ต้องอยู่เวร แล้วได้เวลามาให้กับตัวเองได้พัก ได้ทำอะไรที่อยากทำ เป็นจำนวน 8 ชม."
นั่นไงครับ "จ่ายเงินเพื่อแลกกับเวลา" ดังนั้น
"การขายเวร" จึงเท่ากับ "การซื้อเวลา"
เวลาในแต่ละวันของคนเรามีเท่ากัน คือ 24 ชม.
ผมเสียเงินไป ผมไม่ได้เวลาเพิ่มเป็น 32 ชม. ผมก็ยังมีเวลาเท่าเดิมคือ 24 ชม./วัน
ลองคิดดูนะครับ ว่าทำไมคนเราต้องยอมเสียเงินตัวเองเพื่อแลกมากับเวลาที่เราสมควรจะได้อยู่แล้วใน1วัน มันไม่แปลกหรอ?
ผมไม่เถียงครับ ว่าหมอเป็นอาชีพมีรายได้มากกว่าบางอาชีพ(ผมใช้คำว่าบางอาชีพ เพราะเดี๋ยวนี้มีอีกหลายอาชีพที่ได้เงินเยอะกว่าหมอเยอะครับ) แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเวลาในการทำงานที่มากกว่าอาชีพอื่น 2-3 เท่า
นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงบุคลากรอื่นๆเช่น "พยาบาล เภสัช เวรเปล คนขับรถรพ." คนเหล่านี้ก็เผชิญปัญหานี้เหมือนกันหมด แถมยังได้ค่าตอบแทนน้อยกว่าแพทย์ค่อนข้างเยอะ
หลายครั้งพวกเราไม่ได้อยากอยู่เวรครับ แต่มันเป็นอะไรที่เลี่ยงไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบของเราต่ออาชีพนี้
ผมไม่รู้ว่าสายอาชีพอื่นเค้ามีแบบนี้รึเปล่า แต่อาชีพสายสาธารณสุขในรพ.มีแบบนี้แทบทุกที่แน่นอน
นี่แหล่ะครับผมจึงบอกว่าตอนนี้ผมไม่เชื่อคำพูดที่ว่า "มีเงินเยอะขนาดไหน ก็ซื้อเวลากับความสุขในชีวิตไม่ได้หรอก"
เพราะเวลาผมขายเวร(เอาเงินไปซื้อเวลา)
ผมก็จะได้เวลาสำหรับการนอนพักโง่ๆบนเตียง การออกไปกินข้าวนอกรพ.
การได้ดูหนังที่เราอยากดูซักเรื่อง
ซึ่งทั้งหมดมันก็คือการใช้ชีวิตแบบคนปกตินี่แหล่ะ แต่สำหรับบางคนมันก็คือความสุขแล้วครับ."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ประเทศเราเคยมีโครงการ "ต้นกล้าอาชีพ" ของรัฐบาล<เซ็นเซอร์> เป็นโครงการให้คนจน คนว่างงานมาฝึกอาชีพ ฝึกจบก็ให้เงิน 4,800 บาท+ค่ารถกลับบ้าน 1,000 บาทสำหรับไปประกอบอาชีพ เข้าใจว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่ทำขึ้นมาแข่งกับ "กองทุนหมู่บ้าน" ของ<เซ็นเซอร์>ที่โดนครหาว่าแจกเงินให้คนจนเอาไปซื้อมือถือ ซื้อมอเตอร์ไซค์ นี่เลย "สอนจับปลา" เอาคนมาเรียนเพิ่มความรู้ (อีกอันคืออีกองทุนที่ชาวบ้านต้อง "เขียนโครงการ" มาถึงจะได้เงิน)
ไม่รู้ว่าโครงการต้นกล้าอาชีพมันสำเร็จขนาดไหน ไม่เห็นการประเมิน แต่ที่แน่ๆคือไม่ใช่โครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนแน่ๆ ไม่ได้ยินชื่อมานานแล้ว
มีคนบอกว่าการแก้ปัญหาความยากจนด้วยการ "ให้ความรู้" กับคนจนเฉยๆ ก็เหมือนกับสอนคนจับปลาเสร็จแล้วก็โยนพวกเขากลับลงไปกลางพายุในมหาสมุทร เรือก็ไม่มี เบ็ดแหก็ไม่มี แล้วจะคาดหวังอะไรได้
ถ้าเทียบกับโครงการอย่างกองทุนหมู่บ้านที่ยังมีเงินหมุนเวียนอยู่จนถึงทุกวันนี้ และบางที่โตไปเป็นธนาคารชุมชนไปแล้ว การทำให้ชาวบ้านเข้าถึงทุนที่เป็น "เงิน" ตรงๆ ได้ผลกว่าเยอะ (โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นเงินที่ไม่มีข้อผูกมัดว่าจะต้องเอาไปทำอะไรและต้องมีมาอย่างต่อเนื่อง) พอคนเราเห็นว่ามี "โอกาส" เค้าจะเริ่มคิดถึง "อนาคต"
ปีหลังๆ มีการทดลองโครงการประเทศแจกเงินเอาดื้อๆ ในหลายประเทศ ผลดีกว่าพวกโครงการแจก "ปัจจัยการผลิต" อย่างสัตว์เลี้ยง/เมล็ดพันธุ์อยู่มาก เพราะเมื่อก่อนเราจะชอบคิดว่าถ้าแจกเงินไปคนจนก็เอาไปถลุงหมด เราเลย "คิดแทน" แล้วแจกของแบบที่เราคิดว่าดีกับเขาไป สุดท้ายชาวบ้านก็เอาหมูที่ได้มาไปขาย เอาไปจ่ายดอกเบี้ย จบ แต่ถ้าให้เป็นเงิน โอกาสที่เค้าจะเริ่มเอาไปลงทุนในสิ่งที่คิดว่าดีกับตัวเองมีมากกว่า
ความจนคือการขาดแคลน "ต้นทุน" ไม่ใช่แค่การขาดความรู้หรือขาดทัศนคติที่ดี สองอย่างที่ว่าเป็นแค่หนึ่งในต้นทุนเท่านั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง "เงิน" ก็ยังเป็นตัวชี้ขาดอยู่ดี
สำหรับเรา ในเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน แนวคิดเรื่อง Universal Basic Income น่าสนใจและน่าทดลองทำมากกว่าการตั้งศูนย์สอนการจับปลามาก แต่เราหิวแล้ว เราเลยจบการบ่นแค่นี้ จบ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ 5 คัน หรือ 5 พัน อ่ะครับ
ประเด็นอยู่ที่ว่า
- grab taxi ผิดกฎหมายจริงไหม
- ถ้าผิด ผิดข้อไหน ฉบับไหน?
- ถ้าผิด แล้วมันเป็นหน้าที่ของทหารมาจับไหม?
- ทหารบอกว่าทำตามคำสั่งนายกฯจริงไหม? ด้วยอำนาจใด? ใครลงนาม?
- เจ้าหน้าที่ดำเนินการด้วยอำนาจของนายกฯ โดยไม่มีกฎหมายรับรองได้ด้วยเหรอ?
และสุดท้าย ถ้าจะกวดขันจริงๆ ไปไล่จะแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารจะง่ายกว่าไหม ไปได้ทุกหน้าห้างสรรพสินค้าเลย ทำได้เคร่งครัดจริงๆ เผลอๆทั้ง uber ทั้ง grab จะตายไปเองเสียด้วยซ้ำไป
การใช้อำนาจโดยไม่มีฐานกฎหมายรองรับ เอะอะอ้างหัวหน้าตัวเอง อันนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐแล้วล่ะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ต้องพิจารณาแบบไม่มีนัยการเมืองนะครับ
ประวัติศาสตร์รถไฟความเร็วสูงบ้านเรา เริ่มครั้งแรก ปี 2535 ตอนนั้นสภาพัฒน์ทำการศึกษา และมันไม่ Feasible (ตอนนี้ก็ยังไม่ Feasible อยู่ดี)
ต่อมา สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ ก็เอามาปัดฝุ่นใหม่ ยังไม่ทันได้ทำถึงไหนก็เปลี่ยนรัฐบาลเสียก่อน ตอนนั้น ก็มุ่งเน้นที่ กทม. - ระยอง และ กทม. -หนองคาย ก่อน
ต่อมา สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ ก็เอามาปัดฝุ่นอีก โดยให้ สนข. ศึกษาและออกแบบ ไปพร้อมกับการเสนอ พรบ. กู้เงิน ซึ่งส่วนที่คัดค้านและยกเลิกกันไปคือ พรบ. กู้เงินครับ สำหรับตัวการศึกษาและออกแบบรายละเอียดก็ทำต่อเนื่องกันมา (ก็เซ็นต์สัญญาไปแล้วนิ) มาเสร็จเอาในรัฐบาลนี้ (รอผ่าน EIA)
ต่อมา สมัยรัฐบาลประยุทธ์ ก็เอามาปัดฝุ่นอีกครั้ง ตอนแรก ก็จะเอาเป็นรถไฟความเร็วปานกลาง ที่นี้ มีตัวเลขจริงๆ ให้พิจารณาและ (ย้ำนะครับ พึ่งมีตัวเลขที่เกิดจากการศึกษาจริงๆ ในสมัยนี้ ซึ่งเป็นผลจากที่รัฐบาลที่แล้วเริ่มศึกษา และรัฐบาลก่อนหน้านั้น ยกประเด็นขึ้นมา) ปรากฏว่าตัวรถไฟความเร็วสูง แพงกว่ารถไฟความเร็วปานกลางไม่มากนัก (แต่รถไฟความเร็วสูงขนสินค้าไม่ได้) ก็เลยสรุปว่า เร่งทางคู่ เพื่อเน้นสินค้าและผู้โดยสารปกติ กับความเร็วสูง เพื่อเน้นผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวพรีเมี่ยม
ส่วนตัว ผมมีข้อสังเกตดังนี้ ครับ
1. โครงการด้านคมนาคม พูดกันตรงๆ ส่วนใหญ่ใช้เวลา 5-10 ปี ในขั้นการศึกษา ออกแบบ และประกวดราคา ดังนั้น โครงการส่วนใหญ่ เป็นโครงการใน Pipeline ที่ส่วนราชการเขามี หรือเริ่มศึกษาไว้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าฝ่ายการเมืองไหน จะหยิบยกมาใส่หน้าปก หรือเอามาเล่าเรื่องได้เก่งกว่ากัน (อันนี้ต้องบอกเลยว่า ฝั่ง เพื่อไทย เล่าได้เก่งกว่ามาก) คิดง่ายๆ ถ้าใครเริ่มจากศูนย์ ไม่มีทันเห็นผลงานในรัฐบาลเดียวแน่นอน (ยกตัวอย่าง โครงการรถไฟเด่นชัย-เชียงราย เริ่มมาตั้งแต่แถวๆ รัฐบาล พล.อ. เปรม ป่านนี้ พึ่งจะศึกษาเสร็จและเตรียมเสนอ ครม.)
2. รถไฟความเร็วสูง ที่ทะเลาะกันทั้ง 2 ครั้ง ทะเลาะกันเรื่องกระบวนการ โดยรัฐบาลที่แล้ว ก็เรื่อง พรบ. กู้เงิน ส่วนรัฐบาลนี้ ก็ ม. 44 ส่วนเรื่องความเหมาะสมของโครงการ ยังไม่ค่อยมีใครถกเถียงกันมากนัก ถ้ามีก็ออกแนวการเมือง เอาเรื่องถนนลูกรังมาว่ากันบ้าง เอาเรื่องปลีกย่อยขายผัก มาประชดประชันบ้าง (ทั้ง 2 ฝ่ายนะครับ)
3. ในทางวิชาการ ถ้าถามว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงดีไหม ในแง่ระยะทาง ถือว่าพอไหว (ไม่ควรต่ำกว่า 600 กม.) ส่วนว่ามันดีไหม ผมก็เทียบง่ายๆ ว่าเหมือนมีรถ Benz มันดีและเท่มาก อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายต้องรับรู้และยอมรับด้วยกันนะครับ ว่าตัวโครงการ มันต้องขาดทุน (ห้ามมาด่ากันทีหลังว่าเห้ย บริหารยังไงให้ขาดทุน เพราะตัวรถไฟความเร็วสูง ขาดทุนเกือบทุกที่อยู่แล้ว) สิ่งที่จะต้องทำคือ ใช้รถไฟความเร็วสูง เป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดันการพัฒนาเมือง แบบก้าวกระโดด (ซึ่งไม่แน่ว่าจะทำได้หรือไม่) โดยแต่ละเมือง ต้องมีการพัฒนาที่สอดคล้องและครบถ้วนสมบูรณ์ในเมืองเดียว มีระบบขนส่งมวลชนในแต่ละเมืองที่ดีเยี่ยม ซึ่งจะนำไปสู่การกระจายความเจริญ และลดการย้ายถิ่นฐาน ทั้งหมดนี้ รถไฟความเร็วสูงทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมกับหลายกระทรวง หลายท้องถิ่น หลายภาคเอกชน ถ้าจะทำจริงๆ ต้องเอาให้ได้แบบนี้ ส่วนตัว ห่วงเรื่องความปลอดภัย คือรถไฟความเร็วสูงต้องมีการบำรุงรักษาและตรวจสอบที่เข้มงวด 100% ผลยังห่วงว่าพี่ไทยเราไม่ค่อยถูกโรคกับอะไรที่เข้มงวดแบบนี้ กลัวจะมีการหยวนๆ และเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้น
4. ผมหวังว่าในอนาคต การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ (อาจจะกำหนดว่าตั้งแต่กี่ล้านบาทขึ้นไป) ต้องผ่านประชามติเสียก่อน (เอากันให้แบบประชาธิปไตยเต็มที่ไปเลย) และถือว่าเป็นสัญญาประชาคมไปเลย (แต่ภาครัฐต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบด้านนะ)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นข่าวนี้กำลังดัง นึกถึงเรื่องที่เพื่อนชาวเซี่ยงไฮ้เคยเล่าให้ฟัง
ที่เมืองจีน คนใช้จักรยานกันเยอะมาก แต่จักรยานก็หายกันเยอะมาก ชายหนุ่มผู้หนึ่งเพิ่งโดนขโมยจักรยานมา เลยไปซื้อคันใหม่ พอตกเย็นกลับจากที่ทำงาน คันใหม่ก็โดนขโมยไปอีก
ด้วยความโมโห พ่อเลยแจ้นไปซื้อจักรยานอีกคัน พร้อมลอค 7 ตัว เอาไปจอดไว้กลางสะพานที่ขึ้นชื่อเรื่องโจรจักรยาน พ่อหนุ่มลอคจักรยานคันใหม่ด้วยลอคทั้ง 7 เสร็จแล้วก็ติดป้าย เขียนว่า "ลองดูสิ พวกมึงจะขโมยจักรยานกูได้ยังไง"
เช้าวันรุ่งขึ้น พ่อหนุ่มตื่นมาดู พบว่าจักรยานยังอยู่ดี แต่มีลอคตัวที่ 8 เพิ่มขึ้นมา พร้อมป้ายใหม่ เขียนว่า "ลองดูสิ มึงจะขี่จักรยานมึงได้ยังไง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ดอกไม้ในคุก
เรื่องอภิรมย์ในคุกนั้นช่างมีอยู่น้อยนิด การเอาชายฉกรรจ์กว่าห้าพันคนมาอยู่รวมกันภายใต้กำแพงสี่เหลี่ยมโดยไม่ได้เห็นผู้หญิงสักคนเป็นปีๆ ย่อมเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ
“กะเทย” จึงเป็นเสมือนดอกไม้ที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง
ในคุกแบ่งกะเทยออกเป็น 2 ประเภท
ประเภทแรก ยังไม่แปลงเพศ แบ่งย่อยได้เป็น ทำนมแล้วจำพวกหนึ่ง ยังไม่ทำนมอีกจำพวกหนึ่ง
ส่วนประเภทที่สอง แปลงเพศแล้ว อันถือเป็นเพชรในตม เป็นของหายาก
กะเทยในคุกเป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อเป็นของหายากจึงเกิดการแย่งชิงจนถึงขนาดมี “ศึกชิงนาง (กะเทย)” เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เรือนจำจึงมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเป็นระเบียบไว้สำหรับกะเทยที่เข้ามาใหม่ มิเช่นนั้นนักโทษชายทั้งหนุ่มทั้งแก่ชราจะต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงขนาดตีรันฟันแทงกันเพราะแย่งกะเทยไม่เว้นแต่ละวัน
เรือนจำจะจัดให้กะเทยที่แปลงเพศแล้วแยกออกไปจากแดน
โดยให้ไปอยู่ในสถานพยาบาลเพื่อรอส่งตัวไปยังเรือนจำที่มีห้องขังแยกต่างหากสำหรับกะเทยแปลงเพศโดยเฉพาะ
อาจส่งมาที่เรือนจำคลองเปรมซึ่งเป็นเรือนจำขนาดใหญ่ มีแดนสำหรับควบคุมกะเทยแปลงเพศ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าทุกอย่างในคุกไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ โดยมากล้วนขาดแคลน ดังนั้น ของอะไรที่พอใช้ได้ก็เอาเป็นว่าต้องใช้ไปก่อน
อยากให้คนอยากมี Startup ดู Travis Kalanick เป็นอุทาหรณ์ ตอนเริ่มทำบริษัทแรกๆ มันจะมีช่วง honeymoon period อยู่ (ยิ่งดัง Honeymoon ยิ่งนาน) คนในทีมคิดว่าเราโคตรเจ๋ง, vc ชมทุกวันว่าเอ็งเก่ง ถ้ามีคนรู้จักในฝั่งสื่อก็ได้รับการยกยอปอปั้นจนหูชา
.
แต่เงินเริ่มไหลออกหนักๆ มีข่าวคราวไม่ดีมากเข้า ถ้าเขาอยากจะเล่นงานคุณเขาก็เล่นทันที อย่าง Kalanick แม่เพิ่งเสีย VC ก็ยังบีบให้ออกแบบโนสนโนแคร์เลย เพื่อนๆ ก็ช่วยไม่ได้มากหรอก พอถึงวิกฤติทุกคนก็ต้องพยายามรักษาสิ่งที่สร้างขึ้นมาก่อน
.
ถ่อมตัว อย่าใส่ใจเสียงอวยจากคนใกล้ คนไกลมาก อย่าหลงตัวเองว่าเป็นฮีโร่ ไอดอลบ้าบอคอแตก พิสูจน์ตัวเองด้วยเวลา, รายได้, Product ก่อนแล้วอะไรๆ มันก็จะตามมาเองครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คอลัมน์: จับข่วยคุยกับเคน น่ะค่ะหมวย
“คุยกับอ.เสก เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน14 (ตุลา)”
======================
Highlights:
- เสกสรร ประสาทกิน ถือเป็นไอดอลนักต่อสู้และกลุ่มผู้นิยมมีเมียเด็กเป็นอย่างมาก นอกจากผลงานทางวิชากามแล้ว ก็ยังเป็นนักเขียนที่ขึ้นชื่อ ทั้งผลงาน คนกับยาดองเสือ11ตัว คนบ้าฟัน วิหารที่เปล่าเปลี่ยว และ วันที่ถอยหมอน หลังจากเกษียณแกก็หายจากแวดวงไปนานจนได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากปาฐกถาที่เรียกเสียงฮือฮาไปเมื่อไม่นานมานี้ Double Standard โดยบ.ก. เคน น่ะค่ะหมวย ได้นัดจับข่วยคุยกันกับ อ.เสกสรร ประสาทกิน ถึงเรื่องชีวิต มุมมอง และปาฐกถาของเขาล่าสุด ในงาน “ตู้ ดิเรก ทอล์ก ตอน สาวป.โทนั้นโก้จริงๆ ตะลึดตึ๊ดตึ่งตึงตึ้ง”
---------------------------------------
#ขออัพเดตชีวิตส่วนตัวของอาจารย์นิดนึงครับช่วงนี้ทำอะไรบ้าง
อ.เสก: ช่วงนี้ก็ปลงๆกับชีวิต ว่างๆผมก็จะนั่ง วิปัสสนากามวิตถาร คนมันอยู่ในวัยเกษียณแล้ว ไม่มีอะไรที่ท้าทาย ปลงหนักด้วย เมียเก่าผม (จิระพันธ์ มิตรระอา กวีรางวัลซีฟู้ด) ก็ไปไกลแล้วยิ่งแก่ยิ่งเลอะเทอะตอนสาวๆ ก็เกลียดทหาร พอหลังๆ กวักมือเรียกทหารหยอยๆ ส่วนลูกชายคนเล็กผมตอนนี้ก็เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้ประเทศเกาหลีเหนือ (วรรณเสือ ประสาทกิน) จริงๆ มันก็ขยันทำมาหากินตั้งแต่เด็ก พยายามจะไปให้ไกลกว่าชื่อเสียงของผม แต่ก็นะอย่างที่เห็น ส่วนผมตอนนี้ก็ต้องหมั่นเช็กสุขภาพ นักโภชนาการชื่อดังอย่าง “พรศักดิ์ ส่องแสง”เคยกล่าวไว้ว่า “มีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกาย ไม่ต้องนึกอายเป็นลูกผู้ชายต้องกล้า อย่าไปตะแบงในเมื่อเรี่ยวแรงโรยรา ร่างกายไม่ไหวก็ต้องอาศัยโด๊บยา มีคู่นอนอ่อนกว่าต้องหายาบำรุง.”
#อยากให้อาจารย์เสกสรุปปาฐกถาเมื่อวานนี้ให้ฟังหน่อย ว่าใจความสำคัญของมันคืออะไรคนตีความเป็นร้อยแปดพันเก้า
อ.เสก: ช่วงที่หายไปนี้ผมไปฝึกวิชาตัวเบามาที่วัดเส้าหลิน ผมเลยมักจะลอยตัวเหนือปัญหาได้สบายๆ ก็พูดให้กำกวมๆเอาไว้ ให้ฝ่ายนั้นและฝ่ายนี้เขาตัดท่อนที่เขาสบายใจเอาไปโพสต์ด่ากัน พอฝ่ายที่โควตเขาก็ยกย่องว่าผมกล้าหาญ จริงๆผมเรียนรู้วิธีการพูดจากอดีตนายกฯสองท่านทั้ง พล.อ.ชวเลต จงใจเย็ด กับ อะปิ๊สิ๊ด เวทนาจริงนะ ในการพูดให้กำกวมเข้าไว้ รักทุกฝ่ายเข้าได้ทุกคน คนประเทศนี้อยู่ด้วยง่ายน่าเอ็นดู แค่เราเป็นฮีโร่ช่วงข้ามคืน คนแม่งก็บูชาอย่างกะอะไรดี แล้วน้องเคนอยากจะโควทผมตรงไหนล่ะ เอาที่สบายใจเลย
#อยากให้อาจารย์เสกเล่าเรื่องประสบการณ์14อีกครั้งได้ไหมครับ หากย้อนมองไปอยากไปแก้อะไรนอกจากแก้ผ้าเอากับมวลชนกรี๊ดเซเล็บการเมือง
อ.เสก: นี่ถ้าย้อนกลับไปได้ผมคงเอาดีด้านเดียวกับเพื่อนสนิทผม "ทีละเย็ด บุญมา" ที่วันๆไม่ต้องทำห่าอะไร ใส่เสื้อกั๊กมานั่งคิดคำคม นี่มันคิดว่ามันเป็นดีเจเชาเชาหรือคัตโตะรึไงวะ ต้องมานั่งปั้นคำคมคำใหม่ทุกครั้ง ใส่เสื้อกั๊กนี่เป็นสัญลักษณ์เลยว่าต้องแทงกั๊กไปซะทุกเรื่อง แต่ตลกที่สื่อมวลชนก็ยังบูชา นี่ผมเกษียณไปได้แค่รองศาสตราจารย์ ไอนี่ไม่ทำห่าเรียนจบมาไม่ตรงสาย งานวิชากามไม่ทำยังได้ศาสตราจารย์เลย แค่คิดคำคมให้สื่อไปลอกต่อๆกัน 555
ส่วนบรรยากาศ 14 ตุลาฯ นี่มันก็รำลึกกันทุกปี งานแบบนี้นี่ทำให้คนรุ่นผมยังมีตัวตนนนะ บางคนนี่แก่ไปเลอะเทอะประสาทแดก เชียร์เผด็จการแล้ว แต่งานนี้ก็เหมือนให้พวกเราล้างตัวกันทุกปี ชุบตัวยังกะทำทำศีลจุ่มแบปติสต์กันทำเหี้ยกันมาทั้งปี ขอล้างสีเป็นวีรชนแค่วันเดียว แล้วก็รอมาล้างใหม่ปีหน้า เพื่อนผมนี่แม่งไปเป็นหางเครื่องทหารตั้งเยอะแยะ จะไปรำลึกห่าอะไรกัน ถ้าทุกวันนี้แม่งก็อยู่กันแบบหน้าไหว้หลังหลอก หรือจะรอให้แม่งลุกขึ้นมาฆ่าคนก่อน เราก็จะได้เป็นวีรชน
#ในปาฐกถาอาจารย์เสกบอกว่าปัญญาชนรุ่นใหม่ไปยึดติดกับการเคลื่อนไหวในเฟซบุ๊ก มันเป็นปัญหาอย่างไร
อ.เสก: จริงๆผมไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยีนะ แต่ถ้ามีคนรุ่นใหม่ดังกว่าผมแล้วผมจะไปอยู่ไหนล่ะวะ คนต้องทำมาหาแดก อย่าง “ไผ่ ดาวแดง” นี่ถ้าเขาดังกว่าผมๆจะเอาอะไรไปตีกิน คุณอย่าไปยึดติดกับอะไรแบบนี้มาก ประเทศบ้านี่แม่งแค่กดแชร์กดไลค์ นี่อาจจะติดคุกได้แล้ว นี่ถ้ามีเฟซบุ๊กตอน 14 ตุลาฯ คนแม่งคงออกไปถ่ายรูปกันเยอะแยะเหมือนม็อบนกหวีดแน่ๆ ไม่แน่ยุคนั้น เราอาจจะเห็น สมบัติ เมาลามีน หรือ อารยัน นามลวง มาจัดงานอาร์ทเลนบนถนนราชดำเนิน หรืออาจจะมีคลิปหลุดว่าเงินบริจาคนักศึกษาตอนนั้นหายไปไหนอ่ะนะ
#คำถามสุดท้ายอาจารย์เสกไม่เล่นเฟซบุ๊ก แล้วอาจารย์เล่นโซเชียลมีเดียอะไรบ้างให้สมกับยุคไทยแลนด์ 4.0
อ.เสก: ผมเล่นแต่ทินเดอร์กับบีทอล์ก ถ้าสาวๆคนไหน ขาว สวย มหวย เซกส์ ตัวเล็ก นมโต เจอผมอย่าลืมปัดขวา เผื่อจะแมทช์กัน เราจะได้ไปแลกเปลี่ยนปรัชญาชีวิตและความรักชั่วข้ามคืนกันนะครับ
#นี่โฆษณานัดยิ้มนี่ครับ
อ.เสก: ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อ่าวเห้ย!!!ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า
.
.
.
.
.
เรื่องมีอยู่ว่ามีคนจากสมาคมหมากรุกจีนโทรมาถามว่าน้องที่ได้ที่หนึ่งใช่มั้ยพอดีจะได้ไปแข่งระดับ ASEAN ที่กัมพูชาและจะขอนัดกันคุยว่าจะสะดวกวันไหนจัดเตรียมการซ้อม แต่ทีนี้น้องที่ได้อันดับสองยังไม่กลับมาจากต่างประเทศต้องรอน้องกลับมาก่อน
สมาคมหมากรุกจีนแห่งประเทศไทย:ใช่น้องที่ชนะเลิศเปล่าครับ
เรา:ใช่ค่ะ
สมาคมหมากรุกจีนแห่งประเทศไทย:วันจันทร์เวลา 18.00 น นายกสมาคมขอนัดคุยรายละเอียดที่ภัตตาคารอายัดโรงแรมแม่น้ำครับ
ณ เวลา หกโมงกว่าๆที่โรงแรมที่นัดเจอนายกพอเจอก็เปิดเรื่องเลย
นายกสมาคม:ตกลงไปใช่มั้ย?
เรา:ไปค่ะ(อ่าวทำไมถามแบบนี้ล่ะ)
นายกหันไปถามน้องที่ได้ที่สองและคุณแม่น้องเขา
นายก: แล้วเราไปได้อยู่แล้วใช่มั้ย
สองคนนั้นก็”โอเคค่ะ”แล้วต้องยังไงบ้างคะบลาๆๆๆๆ
นายก:ทีนี้มันต้องนอนสามคน(เรา+แม่น้อง+น้องราวๆม.1)
ตอนนั้นไอเราก็คิดโหเขาส่งสองคนเลยหรอเสียดายน่าจะสามคนพี่จะได้ไปด้วย
ข้าวก็มา กินจุ๊ปจิ๊บจ็อปแจ็บคุยกันตามฉบับคนจีนโช้งเช้งๆๆ แล้วนายกก็พูดว่า
นายก:เออ เดี๋ยวให้คนนี้(เรา)ไปดูลาดราวไปดูเชิงการแข่งอ่ะนะ แล้วส่วนคนนี้(น้อง)ไปแข่ง
เดี๋ยวนะลุง กุ กุนี่ที่หนึ่ง น้องเขาที่สอง ให้กุไปดูน้องแข่ง
เรา:เดี๋ยวนะคะนี่คือให้หนูไปดูน้องแข่งหรอคะ
นายก : อ่าใช่ แข่งได้คนเดียว
งง… แล้วลุงแกก็หันไปคุยกับท่านอื่นซึ่งเป็นคนในสมาคมเนี่ยแหละไม่รุยศอะไร ไอเราก็นั่งงงตัวเอง โอ่โหไปถึงตรงนู้นแม่งไปดูน้องแข่งเห็นกุเป็นเชียร์หลีดเดอร์หรอนี่กุได้ที่หนึ่งมาสองปีติด เอาที่สองไปแข่งแล้วให้กุไปเชียร์ เอากุไปดูเชิงว่าเขาแข่งยังไง น้องม.1นี่ฉลาด เชิงเก่งกว่ากุว่างั้น หรือว่าเราฟังผิดวะน้องเขาควรไปดูเชิงแล้วเราควรได้ไปแข่งสิ อะเด๋วๆๆเด๋วรอมีจังหวะก่อนแล้วค่อยถามอีกที รอไปรอมาจนจะจบงาน
นายก:สรุปเรียบร้อยนะ(ชี้มาที่เรา)^^
เรา:เอ่อ ที่พูดมาคือจะให้หนูไปดูน้องแข่งระดับ ASEAN หรอคะ
นายก : ใช่ ก็เรายังเล่นเป็นงูๆปลาๆอยู่เลยตำราก็ไม่ศึกษาเรายังอ่อนกว่าคนประเทศอื่นเขามากสู้ไม่ไหวหรอก ไปดูเชิงก่อนแล้วปีหน้าถ้าได้ที่หนึ่ง ก็อาจจะเอาไปแข่ง
เรา:.....(เงียบ)
เรา: คือถ้างั้นหนูก็ไม่ต้องไปก็ได้ค่ะ
นายก:อ่าว เราไม่ว่างหรอ ...ก็ ก็ไม่เป็นไร
เรา: คือถ้าจะให้หนูไปแข่ง หนูไป แต่ถ้าจะให้หนูไปเพื่อไปดูน้องแข่งหนูไม่ต้องไปหรอกค่ะ
นายก :งั้น ก็แล้วแต่
อ่าว จบงี้? แล้วก็แยกกลับประมาณสามทุ่ม
เออ!! กุมันโง่เล่นงูๆปลาๆ แต่เอาคนที่แพ้อิโง่นี่ไปแข่งแทนเนี่ยนะ เออ!!ฉลาดดีหนิ เรียกไปดูน้องแข่งมันมีแบบนี้ด้วยหรอวะแม่งใครๆก็อยากแข่งทั้งนั้นปะวะไปดูเชิงทำบ้าอะไรห้าวันวะดูจนกุเปนเซียนเชิงเลยหรอ เสียศักด์ศรีชิหาย แล้วจะให้กุแข่งเอาที่หนึ่งอีกปีนึงเผื่อเอาไปแข่ง เป็นอะไรมากปะ กุได้สองปีติดยังไม่เอาไปแข่ง จบคณะขายฝันมาหรอ นิสัยไม่ดีว่ะแม่ง
R.I.P แด่ตำแหน่งที่ 2 ปี 2557
ที่ 1 ปี 2558
ที่ 1 ปี 2559
ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในเมื่อรถไฟความเร็วสูงมันไม่ได้มีไว้ขนสินค้า ทำให้คนยังอยากให้ขนผักไปขายอยู่ล่ะครับ คนนะครับไม่ใช่ผัก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
A: เด็กสมัยนี้มันไม่มีความภูมิใจในประเทศตัวเองกันแล้ว ลืมกำพืดกันหมด
B: ได้ข่าวว่าก๋งมึงมาเรือนะ
มิตรฯ
มีหลายคนมากติดต่อมาว่าเป็นนักคิดไอเดีย Startup ช่วยหาคนให้หน่อย ...
อยากบอกจากใจจริงว่า โลกนี้ไม่มีหรอกนักคิดไอเดีย Startup อ่ะ มีแต่คนที่ได้แต่คิดแต่ทำไม่ได้ แล้วอยากหาตำแหน่งให้ตัวเอง ... เยอะมากด้วย ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยเลยหละ เชื่อมโยงกับเรื่องว่าทำไมโปรแกรมเมอร์ขาดแคลน
ยังคงยืนยันคำเดิม ... Idea is cheap ใคร ๆ ก็คิดได้ มันเป็นแค่กระแสไฟฟ้าราคาถูกในสมอง มูลค่าอยู่ที่คนทำได้ต่างหาก ...
ถ้าอยากจะหาคนก็ต้องเป็นอย่างอื่น เป็นนักธุรกิจ เป็นผู้มีความได้เปรียบทางตลาด เป็นอะไรก็ได้แต่ไม่ใช่นักคิด มัน Cheap มาก ...
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำไม ผี ตามโรงแรม บ้านพัก รีสอท ถึงหวง ห้องมากๆ แต่ไม่ว่างโทรมา แคนเซฺ่ลเราที่กำลังจะไปเข้าพัก หน้าด้าน ไม่มียางอาาย หวงมากก็ เอาเงินจองฉันคืนมา อีผู้ดี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อใดที่ Google Maps เริ่มอวดเลี่ยมอวดหลวกพยายามจะแนะนำเส้นทางที่ดีกว่า...เมื่อนั้นให้มั่นใจได้เลยว่าท่านจะไปถึงที่หมายช้ากว่าเดิมอย่างแน่นอน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สมศักดิ์เจียม ไม่เคยเข้าร่วมการสัมมนาระหว่างประเทศหรือไง ชอบแทรกขณะที่คนอื่นพูดอยู่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมน่าจะเคยร่วมสัมมนาฝรั่งก่อน อ. Pavin Chachavalpongpun จบปริญญาตรีกระมัง
BTW โปรดสังเกตว่าที่ผมพูดแย้ง #อยู่ในช่วงถามตอบถกเถียงครับ ไม่ได้พูดแย้งในระหว่างเขานำเสนอ
BTW2. ผมทรีตการสัมมนาวันนี้เป็นการถกเถียงการเมืองอยู่นะ (แม้กระนั้นก็ยัง observe ที่กล่าวข้างต้นว่า ไม่ได้แย้งขึ้นมาในระหว่างเขานำเสนอ)
ผมน่าจะเคยเริ่มเข้าร่วมการถกเถียงการเมืองก่อน อ.ปวินเกิดนะครับ
#มิตรสหายบาโฟท่านหนึ่ง
อาจารย์อาจจะร่วมสัมมนาฝรั่งก่อนผมเกิด แต่ผมมั่นใจว่า มาจนบัดนี้ ผมเข้าร่วมงานสัมมนา เล็คเชอร์ ต่างๆ ระหว่างประเทศเยอะกว่าอาจารย์มาก แม้แต่ช่วงถามตอบ ไม่มีใครพูดแทรกครับ เพราะเป็นเรื่องมารยาท โดยเฉพาะเมื่อคนที่กำลังพูด เค้าขอร้องให้อาจารย์รอให้เค้าพูดจบก่อน สงสัยสมัยก่อนผมเกิด คนอาจไม่เคร่งเรื่องมารยาท
#มิตรสหายท่านหนึ่งคนเดิม
"เป็น 1 เสียงที่ขอให้ 'ช่างชุ่ย' เจ๊งเร็วๆ คนไม่ฮิป ที่สัญจรจะได้ไม่เดือดร้อนกับความชุ่ย
ไหล่ทางซ้ายจอดรถ เลนซ้ายจอดรอเข้า+ถามทางพนักงาน เลนขวารถรอเข้าจอดใต้ทางด่วน แล้วก็ติดคนที่จอดใต้ทางด่วน เดินข้ามถนนอีก
มันไม่มีที่จอดรถ ไอ้ที่จอดใต้ทางด่วนจะเปิดให้เข้าหลังสี่โมงเย็น
มันเข้าได้ทางเดียว เข้าทางสิรินธรไม่ได้ ต้องเข้าทางเลียบทางด่วนซึ่งก็รถติดมโหฬาร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นักโทษที่ถูกประหารชีวิตส่วนใหญ่ คือ คนยากจน คนด้อยโอกาสซึ่งไม่สามารถว่าจ้างทนายความที่มีความสามารถเพื่อให้ความรู้และแก้ต่างให้กับตนเองได้ จากงานวิจัยเกี่ยวกับนักโทษประหารชีวิตที่ทำโดย สุมณทิพย์ จิตสว่าง ระบุว่า สถานภาพของนักโทษประหารชีวิตในประเทศไทยเป็นบุคคลที่มีฐานะทางสังคมไม่สูงนัก ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถม มีรายได้ไม่เกิน 10,000 บาท การตกเป็นนักโทษประหารชีวิตเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่กดดันหล่อหลอมให้ก่ออาชญากรรม เช่น การคบเพื่อน การเรียนรู้ทางสังคม มีการควบคุมตัวเองต่ำ รวมทั้งการไม่เกรงกลัวโทษประหารชีวิตในขณะกระทำความผิด กล่าวคือ โทษประหารชีวิตไม่สามารถยับยั้งให้พวกเขาก่ออาชญากรรม แต่พวกเขาจะกลัวโทษที่จะได้รับหลังจากกระทำความผิดแล้ว
มิตรสหายท่านหนึ่ง ไม่เคยเข้าร่วมการสัมมนาระหว่างประเทศหรือไง ชอบแทรกขณะที่คนอื่นพูดอยู่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมน่าจะเคยร่วมสัมมนาฝรั่งก่อน มิตรสหายท่านหนึ่ง จบปริญญาตรีกระมัง
BTW โปรดสังเกตว่าที่ผมพูดแย้ง #อยู่ในช่วงถามตอบถกเถียงครับ ไม่ได้พูดแย้งในระหว่างเขานำเสนอ
BTW2. ผมทรีตการสัมมนาวันนี้เป็นการถกเถียงการเมืองอยู่นะ (แม้กระนั้นก็ยัง observe ที่กล่าวข้างต้นว่า ไม่ได้แย้งขึ้นมาในระหว่างเขานำเสนอ)
ผมน่าจะเคยเริ่มเข้าร่วมการถกเถียงการเมืองก่อน มิตรสหายท่านหนึ่งเกิดนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อาจารย์อาจจะร่วมสัมมนาฝรั่งก่อนผมเกิด แต่ผมมั่นใจว่า มาจนบัดนี้ ผมเข้าร่วมงานสัมมนา เล็คเชอร์ ต่างๆ ระหว่างประเทศเยอะกว่าอาจารย์มาก แม้แต่ช่วงถามตอบ ไม่มีใครพูดแทรกครับ เพราะเป็นเรื่องมารยาท โดยเฉพาะเมื่อคนที่กำลังพูด เค้าขอร้องให้อาจารย์รอให้เค้าพูดจบก่อน สงสัยสมัยก่อนผมเกิด คนอาจไม่เคร่งเรื่องมารยาท
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แก้ไว้เดี๋ยวมันผิดคอนเซ็ปต์มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประวัติศาสตร์ "Sushi" (ยาว)
จุดเริ่มต้นของซูชิบนโลกใบนี้ หลายคนคงทราบว่าต้นตอเผ่าพันธ์ของมันมาจากอาหารแนวตะวันออกเฉียงใต้แบบเราๆนี้คือ อาหารแนวปลาส้ม ในยุคแรกไม่ได้บอกว่ามาจากประเทศไหนแต่คาดว่ามาจากทางไทยหรือพม่า....
จากนั้นปลาส้มของเราไปถึงญี่ปุ่นได้อย่างไร ไม่มีใครทราบ🙄 แต่ก็มีการตั้งสมมุติฐานกันมากมายอย่าง มีการติดต่อค้าขายกับญี่ปุ่นในสมัยโบราณจึงนำวัฒนธรรมปลาส้มไปสู่ญี่ปุ่น หรือ วัฒนธรรมปลาส้มค่อยๆคลืบคลานไปถึงจีนแล้วข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งเกาหลีใต้🇰🇷เป็นคนเริ่มอารยธรรมทำซูชิแล้วสอนญี่ปุ่นให้ทำกินบ้าง(ติ่งเกาหลีคิดแบบนั้น)
ไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงการมาถึงของปลาส้ม🐠 แต่เท่าที่มีประวัติศาสตร์บันทึกไว้ จุดเริ่มต้นของอาหารจำพวกซูชิเริ่มเมื่อค.ศ.700 มาจาก อาหารโบราณที่ชื่อว่า "Funa sushi" ซึ้งจังหวัดแรกที่มีบันทึกเอาไว้คือจังหวัด ชิงะ ในภูมิภาคคันไซ ซึ้งเป็นจังหวัดที่มีทะเลสาปขนาดใหญ่แห่งหนึ่งคือทะเลสาป บิวะ
ฟุนะซูชิคือการนำ ปลาไนมาหมักด้วยข้าวเป็นเวลานานกว่า3ปี ในยุคแรกอาหารแบบนี้จัดว่าเป็นเสบียงที่สำคัญ เพราะในยุคนั้นมีทั้งความอดอยากและสงคราม รวมทั้งรสชาติที่โดดเด่นจึงเป็นที่ชื่นชอบของคนสมัยนั้น โดยจัดว่าเป็นซูชิชนิดแรกที่บันทึกเอาไว้ เราเรียกซูชิประเภทนี้ว่า "Nare sushi"
ต่อมาผ่านไปราวๆ800ปีถัดมา เนื่องจากระยะเวลาที่นานในการหมักบ่มปลา ทำให้คนเริ่มหันมานิยมกินทั้งๆที่ยังหมักไม่ครบสามปี ซึ้งเราเรียกNare sushiแบบนี้ว่า Nama Nare หรือ ซูชินาเระแบบสดนั่นเอง มักจะใช้ปลาซาบะหรือปลาโคฮาดะดองเป็นเดือนแล้วนำมาทาน
ในช่วงร้อยกว่าปีนี้เองเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตลอดการของซูชิ😎 เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการที่สำคัญเลยทีเดียวเกี่ยวกับซูชิคือ เกิดการนำน้ำส้มสายชูมาผสมกับข้าวเพื่อให้ได้รสชาติเปรี้ยวโดยไม่ต้องหมักเป็นเดือน.....ในยุคนี้ซูชิข้าวน้ำส้มนี้กำเนิดเพิ่มเติมมาอีกสามชนิดคือ Surume sushi(จากจังหวัดOsaka),ayu sushi(จากจังหวัดYoshino),saba sugata(จากKyuto)
เอกลักษณ์ที่สำคัญของซูชิข้าวเปรี้ยวยุคนี้คือใช้ปลาเป็นตัวนำมาดองน้ำส้ม ในขณะเดียวกันซูชิปลาหมักก็ไม่ยอมแพ้ มีการพัฒนาตัวเองเป็นก้อนเป็นคำเหมือนกัน เป็น Kabura sushi จากจังหวัด kaga และ Hatahata sushi จากจังหวัด akita ที่นำปลาอื่นๆมาหมักบ่มกินดูบ้าง
แต่ยุคของซูชิหมักก็ได้หมดลงที่ยุคนี้เอง จากSugata sushiได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็น Ii sushi ที่เกิดจากความต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการทำซูชิ ได้มีคนคิดค้นพิมพ์ไม้ขึ้นเพื่อทำข้าวอัดซูชิ และตัดแบ่งได้ง่ายๆ นี่เองคือจุดเริ่มต้นของ Kokera sushi , Hako sushi หรือที่สมัยนี้เราเรียกกันว่า Ochi sushi โดยการดองปลาจากยุคก่อนสมัย Sugata sushi ที่ต้องดองข้ามคืน เหลือเพียงแค่หลักชั่วโมง เพิ่มความสะดวกในการกินด้วยการแล่ปลาเป็นชิ้นๆก่อนวางลงในพิมข้าวอัด และตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ ถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากสำหรับซูชิในโอซาก้า ตรงกับ ค.ศ. 1700 🇯🇵
ในยุคนี้เองเกิดซูชิอีกแบบคือ Unohana sushi แต่เชฟอ๊อบค้นหาข้อมูลยังไม่เจอไว้จะมาเขียนเพิ่มเติมให้อ่านครับ
(มีต่อ)
(ต่อจากข้างบน)
เวลาผ่านไปอีกร้อยปี เข้า ค.ศ.ที่1800 วัฒนธรรมของซูชิแผ่ขยายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น แม้กระทั่งชนชั้นศักดินาอย่างซามูไรก็ไม่เว้น มีการคิดค้นซูชิเพื่อเฉลิมฉลองของซามูไรที่ใช้ข้าวอัดโรยหน้าด้วยไข่ฝอย โดยข้าวอัดนี้จะมีไส้กุ้งปรุงรสเปรี้ยว เห็ดหอมต้มซอส และวัตถุดิบอื่นๆมากมาย เวลาจะทานซามูไรจะใช้ดาบของตัวเองเพื่อตัดแบ่งชิ้นกินอย่างสนุกสนาน โดยเรียกซูชินี้ว่า Oomura sushi (พบบันทึกที่นางาซากิที่แรก)
ในขณะเดียวกันที่เอโดะมีซูชินอกรีดเกิดขึ้นมาชื่อว่า Nigiri sushi 🍣โดยจะใช้ปลาสดที่ไม่ได้หมักมาแล่และปั้นโปะบนข้าวซูชิ ซูชินอกรีดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ซูชิในยุคปัจุบันที่เราเรียกกันว่า Edomae sushi
บุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลมากในการนำnigiri sushi ไปสู่การยอมรับของสังคมทั่วไปคือ "HANAYA YOHEI" ที่เปิดร้านซูชิและใช้การปั้นแบบนิกิริบุกเบิกยุคสมัยของ Edomae style วิวัฒนาการซูชิเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป จากที่ใช้ปลาหมักดอง เริ่มมีการใช้ปลาสดกันมากขึ้นเนื่องจากความสะดวกสบายในสาธารณูปโภคที่มากขึ้น น้ำแข็งเริ่มสามารถหามาใช้กันได้ถึงแม้จะยังเป็นของแพงอยู่ก็ตาม
ในยุคถัดมานี้มีการพัฒนา Oomura sushi มาเป็น Gomoku sushi หรือที่คนไทยชอบเรียกข้าวยำซูชิ และเกิด Chirashi sushi ที่ใช้วัตถุดิบเป็นของสดโดยเฉพาะโปะบนข้าวซูชิในชาม ไม่ต้องผ่านการอัดข้าวแต่อย่างใด โดยในช่วงถัดๆมานี้เองก็เกิด มากิซูชิและอินาริซูชิตามๆกันมา
สุดท้าย ซูชิที่ถูกพัฒนามาในยุคหลังๆอย่างเช่น แคริฟอเนียโรล อุรามากิ พวกนี้ จัดเป็น Kawari-sushi หรือ ซูชิยุคใหม่ ประเทศที่มีอิทธิพลอย่างมากในซูชิยุคใหม่นี้คืออเมริกาครับ เพราะหลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามอเมริกาได้เข้าไปวางรากฐานประเทศให้ และได้เรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นกลับมาที่อเมริกา จึงมีการต่อยอดสิ่งต่างๆตามมากอีกมากมาย
ยาวมั้ยครับประวัติศาสตร์ซูชิ ใครชอบซูชิต้องไม่พลาดครับ ^ ^-
ปล.ใครจะเอาไปเผยแพร่ต่อให้เครดิตด้วยน้า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นักเรียนจีนผู้สอบเอนทรานซ์ สายศิลป์ ได้คะแนนสูงสุดในปักกิ่ง จุดประเด็นดราม่า "คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กชนบทที่จะเข้าเรียน ใน มหาวิทยาลัยดีดี"
นักเรียนจีน "สวง ซวนอ๋าง" ที่เพิ่งจบม.6 จากโรงเรียนมัธยมปักกิ่งแห่งที่ 2 (Beijing No.2 Middle School) ผู้สอบเกาเข่า-เอนทรานซ์จีน สายศิลป์ ได้คะแนนสูงสุดในปักกิ่ง 690 คะแนน จากคะแนนเต็ม 750 ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนว่า
"สำหรับเด็กจีนที่มาจากเขตชนบท คงจะเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยดีดี อย่างตัวผมที่มาจากชนชั้นกลาง พ่อแม่มีการศึกษา อาศัยในเมืองใหญ่อย่างกรุงปักกิ่ง ทำให้ไม่ต้องมาวิตกกังวลกับสภาพการใช้ชีวิต ทำให้ได้ใช้เวลาเต็มที่กับการเรียน ซึ่งมีโอกาสทางการศึกษามากมายที่เราได้รับ ในขณะที่เด็กในชนบท จะไม่มีโอกาสตรงนี้เหมือนเรา"
เขายังเน้นย้ำอีกว่า "คนที่ได้คะแนนสูงสุดและคะแนนดีในการสอบเกาเข่าจีน ล้วนมาจากคนที่มีพื้นหลังครอบครัวที่ดี โดยครอบครัวของเขาพ่อแม่เป็นนักการทูต จึงหยิบยื่นโอกาสดีดีให้เสมอ" และตัวเขายังบอกกับผู้สื่อข่าวจีนว่า "ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกมหาวิทยาลัยชิงหวา หรือ ปักกิ่ง สองมหาวิทยาลัยอันดับต้นของจีน"
คำสัมภาษณ์ของเขา ทำให้เกิดดราม่าร้อนๆในขณะนี้ในโลกออนไลน์จีน สำหรับประเด็นเด็กในเมืองกับชนบทกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยมีแบ่งเป็น 2 ฝ่าย : ฝ่ายที่เห็นด้วยกับคำพูดของเด็กคนนี้ กับ ฝ่ายที่มองว่า คำพูดของเขาค่อนข้างจะมั่นใจในตนเองไป ดูถูกผู้อื่น โดยฝ่ายนี้มองว่า ทุกคนล้วนมีความสามารถ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าในเมือง หรือชนบท ไม่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม แต่อยู่ที่ตัวตนเอง
ทั้งนี้ ถ้าศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาในจีน จะพบว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างในเมืองกับชนบท ยังคงมีอยู่จริงในสังคมจีน และถือเป็นปัญหาหนึ่งที่ทางจีนพยายามแก้ไขมาโดยตลอด อย่างในปี 2007 ทางการจีนได้เริ่มต้นนโยบายเรียนฟรี ในการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี สำหรับเด็กในชนทบท พร้อมจัดสรรหนังสือฟรีและเงินช่วยเหลือค่าที่พักอาศัย เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ในปี 2012 ทางการจีนได้เริ่มเพิ่มโควตาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน และในคลาสที่หนึ่ง (มหาวิทยาลัยในจีน แบ่งเป็น 3 คลาส) ให้กับเด็กชนบท
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สามีไปทำผู้หญิงอีกคนท้อง เราจะทำยังไงดี มันมืดในหัวมาก มีคำถามเยอะๆมากในหัว!!!! เราถามสามีไปว่าใคร สามีบอกว่าเป็นน้องของเพื่อนพลาดนอนกันครั้งเดียวแล้วท้อง ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนจุกอยู่ในอกมากก น้ำตาไม่ไหล มันแน่นไปหมด เรายืนนิ่งๆโดยไม่พูดอะไรประมาณ5นาที เราบอกผัวไปว่า " ถ้ามีคนอื่นแล้วก็ไม่ต้องมีเรา ต่างคนต่างอยู่ จบ!! " สามีสวนกลับทันทีว่าไม่ได้ ผิดไปแล้วขอโทษ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ อย่าเลิกกันเลย เราจะทำยังไง เราเลยบอกว่างั้นขอคุยกับผู้หญิงคนนั้นหน่อย แล้วสามีพาเราไปเจอ
แว๊ปแรกที่เห็นคือ เด็กกว่ากุ ขาวประมาณกัน หุ่นเท่ากัน ( แต่เรานมใหญ่กว่า ) หน้าตาดีระดับนึงแบบไม่เคยเข้าคลีนิค เราถามผู้หญิงคนนั้นว่า รักสามีเราไหม นางพยักหน้า เราถามอีกว่า " รักหรอ แล้วเธอไม่รู้หรอ ว่าสามีใคร " นางตอบว่า รู้!!ตอนนั้นเรามือสั่นตัวสั่นมาก อยากจะทะยานเข้า แต่ก็สงสารเด็กในท้อง เราตั้งสติแปปนึงแล้วนั่งคุยกันเพื่อหาทางออก ( แต่ก่อนจะมาถึงเราถามสามีก่อนมาแล้วว่า รักนางไหม สามีตอบว่าไม่ แต่รู้ว่าน่ารัก แต่ไม่คิดจีบ มาพลาดตอนเมาที่บ้านเพื่อน สามีเมาแล้วนางเอาผ้ามาเช็ดหน้าเลยได้กัน สามีบอกอีกว่าไม่คิดที่จะเลิกกับเรา เลยมาบอกความจริง แต่ก็แล้วแต่เราจะตัดสินใจ )
เราเสนอไปว่า เราจะเลี้ยงลูกเอง แต่นางอยู่ด้วยไม่ได้ นางหันหน้าไปทางสามีแล้วร้องไห้. เราสงสารจับใจ เข้าใจเลยว่านางรู้สึกยังไง สามีบอกกับนางว่า
" พี่ผิด พี่รู้ ถึงวันนั้นพี่จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็จะรับผิดชอบเอง แต่ถ้าจะให้พี่อยู่ด้วยพี่ทำไม่ได้ พี่รักเมีย
" เราควรรู้สึกดีใช่ไหม? แต่เปล่าเลย เรายิ่งสงสารนางเข้าไปอีก และรู้สึกว่า สามีเห็นแก่ตัวมาก เราจึงบอกไปว่างั้นเอาแบบนี้ เราขอเลิกกับสามีเพราะเราพูดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้ามีคนอื่นไม่มีเรา แล้วเด็กถ้าคลอดแล้วไม่พร้อมเลี้ยงเอามาให้เรา ส่วนสามีจะเอาไง ก็คุยกันเอง เราไม่ยุ่งแล้ว...
เราหันหลังกลับขึ้นรถทันที เราขับรถออกมา น้ำตามาจากไหนไม่รู้ไหลมาเต็มมากกก เราฟูมฟาย เสียใจมากกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถามตัวเองว่าทำไมๆๆ เป็นล้านๆครั้ง เราขับรถไม่เร็วมาก เรามองกระจกหลังเห็นสามีขับรถตามเรามา เราเลยเริ่มเหยียบหนี แล้วเสียง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เรารับโทรศัพท์ พร้อมมีเสียงพูดกับเราว่า เสียงสามี" ตื่นย้าง พี่กำลังออกไปแล้วเด้อ จะเอาอะไรเพิ่มไหม "
โถ่ทั้งงงงกุฝัน!! ลืมตามาน้ำตาติดหมอนเลย
โอ้ยฝันดราม่าแท้ ขนาดตื่นแล้วยังไม่จบดราม่า
ยังโกรธผัวอยู่เลย นี่ถ้าอยู่ด้วยกันมีทุบ!!!@@@!!!
ขอบคุณที่ทนอ่าน ถามว่ามีสาระไหม ตอบเลยว่า หึ..หึ
แต่แค่อยากแชร์ให้ฟัง ทดสอบว่าคนไทยอ่านเกิน 8บรรทัด😆😆😆
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนแบบไหนดัง คนในชาติส่วนใหญ่ก็คุณภาพระดับนั้นแหละ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อื้อหืออออ ...จะบอกว่า จริงๆ เป็นคำพิพากษาที่เป๊ะด้าน "หลักการ" มากนะฮะ ถ้าทุกคดี ศาลเป๊ะแบบนี้ เคร่งครัดในหลักการแบบนี้ หลายคดีในเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ผลก็จะต่างออกไปเลย
1) ศาลให้ความเห็นว่า ลำพังภาพและคลิปทาง อินเทอร์เน็ต และสื่อต่างๆ ที่เป็น "พยานวัตถุ" ที่โจทก์เอามาสืบโดยไม่มีใครมาสืบประกอบสิ่งเหล่านี้เลย กระทั่ง คนที่ถ่ายคลิปหรือถ่ายภาพนั้นเอง (ทั้งๆ ที่ในวันนั้น ในสถานทึ่เกิดเหตุก็มีคนเยอะแยะ) มีน้ำหนักน้อย ...ซึ่งเอาจริงๆ นะฮะ มันก็ถูกต้องตามหลักเรื่องพยานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับ "พยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์"
2) ภาพกะคลิปที่เอามา มันก็คือบรรดา ที่คนทั่วไป เห็นตามเน็ตนั่นเอง ศาลบอกว่าสามารถ "ตัดต่อแก้ไข" ได้ง่าย ซึ่งมันก็จริงอีก ! (แต่คดีอื่น ไม่ค่อยเจอศาลที่เชื่อ และวิเคราะห์แบบนี้นะ บางคดี ขนาดภาพถ่ายหน้าจอจากเฟสบุ๊ก ศาลบางศาลยังเชื่อเลย)
3) แม้จะมีบางภาพเปิดหน้า เปิดหมวก และหน้านั้นคล้ายจำเลย และชุด รูปร่าง ก็ตรงกะภาพปิดหน้าอื่น แต่ ๆๆ ภาพใน "จังหวะที่ยิง" (น่าจะหมายถึงภาพ ทึ่ถุงป๊อปคอน ชัดๆน่ะ) เป็นภาพปิดหน้า และมอง "ไม่เห็นรูปร่าง" ศาลเห็นว่า ชี้ชัดไม่ได้ว่า เป็นคนเดียวกันกะที่เปิดหน้าจริงหรือเปล่า ที่เดียวกัน หรือเวลานั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้...ซึ่งๆๆ ก็ ..ถูกแหละ แต่อันนี้ วิญญูชนเห็นก็อาจจะบอกว่า ก็คือคนเดียวกัน เวลาเดียวกันแหละ แต่ก็นั่นแหละฮะ การอธิบายของศาลแบบนี้กับพยานที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ มันก็ไม่ได้ "ขัด" กับหลักการที่มีอยู่เลยนะ
4) คำรับสารภาพในชั้นสอบสวน ไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ และจำเลยสู้เรื่องนี้ในศาลจริงๆ จึง รับฟังไม่ได้ ..ซึ่ง เอาจริงๆ ก็ถูกของศาลนะฮะ แต่คดีอื่นเราจะไม่ค่อยได้ยินอะไรแบบนี้เท่าไหร่ไง ขนาดมีข้อเท็จจริงว่าบางคดี ตำรวจ "เอาตัวลูกเล็ก" ของจำเลยไป "ดูแล" ขณะ ถามคำให้การ จนทำให้จำเลยต้องรับ ไม่งั้นลูกจะถู "ดูแล" นาน ศาลยัง ฟังคำรับนั้นเลย
(ประโยคที่มักได้ยินอีกประโยคจากศาลที่ผ่านมา ก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีเหตุโกรธเคืองกะจำเลย พยาน และคำรับจึงฟังได้ น่าเชื่อถือ)
5) สรุปหนึ่ง คดีนี้ ไม่รู้ว่าโจทก์ (อัยการ) "ไม่ หรือ ตั้งใจ ไม่" เป็น "มืออาชีพ" ก็ไม่รู้ได้ ที่เป็นไปได้อย่างไร เอาพยานแค่พื้นๆ ที่หาได้ตามสื่อ อินเทอร์เน็ตทั่วไป ไปสืบ โดยไม่เอามนุษย์มนา ที่อยู่แถวนั้น ไปสืบประกอบเลย
6) สรุปสอง ศาลประเทศนี้ ถ้าจะให้ เป๊ะหลักการ คงความยุติธรรมตามกฎหมาย เขาก็ทำได้ฮะ เมื่อเวลาที่เขาต้องการจะเป๊ะ
ปล. ถ้าตัดประเด็นการเมืองออกหมด คำพิพากษานี้ สามารถเอาไปเป็นตัวอย่าง ที่ใช้หลักการถูกต้อง สำหรับสอนในคลาสวิชาวิ-อาญา หรือ พยานดิจิทัลได้เลยนะฮะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรียน ผู้ติดตามเพจ Dad Mom and Nigg ที่รักทุกท่าน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดปัญหาขึ้นกับเพจ รวมถึงกระแสไม่พอใจอย่างรุนแรงเกี่ยวกับคนดำในสังคมคนขาว
ข้อเขียนนี้ต้องการแจ้งทุกท่านที่ติดตามเพจมาโดยตลอดว่า
หมอสองคนไม่ได้นิ่งนอนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และได้มีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความสดโดยตรงไปแล้ว
การรวบรวมข้อมูล การตรวจสอบ และการจัดการต่างๆ กำลังอยู่ในกระบวนการแก้ไข
หมอสองคนรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจสำหรับไก่ทอด แตงโม น้ำองุ่น และจักรยาน ที่หลายท่านส่งมาให้อย่างล้นหลาม
ข้อความแสดงความไม่พอใจ สุภาพเกินไป เรื่อยไปจนถึงขู่แจ้งสันติบาลให้มากดกริ่งหน้าบ้านของหมอ จากกลุ่มคนขาวที่ไม่เคยติดตามเพจ
ไม่เคยรู้จักตัวตนแท้ๆ ของหมอสองคน ไม่เคยรู้ว่าหมอสองคนในฐานะพ่อแม่ มีหลักคิดและวิธีเลี้ยงเด็กดำอย่างไร
อีกทั้งไม่สามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเพจ ว่าเราทั้งสองต้องการช่วยเหลือให้สังคมคนดำสามารถใช้ชีวิตภายใต้โลกอันโหดร้ายทารุณที่เต็มไปด้วยสันติบาลและคนขาวอย่างมุ่งมั่นขนาดไหน
ฝากถึงคนขาวบางท่านที่พยายามจะชี้แจงในมุมมองของผู้ที่มีความสด เพราะอยากให้คนขาวผู้อื่นเข้าใจ อย่างที่พวกเราทุกคนเข้าใจดีอยู่แล้ว
ได้โปรดทำใจปล่อยผ่านไป และล็อกจักรยานของท่านเอาไว้ให้ดี
หมอสองคนทั้งเห็นใจท่าน และรู้สึกแย่ตามไปด้วย ที่ท่านเกือบเกมส์ให้กับสันติบาลเพราะเรื่องนี้
ขอให้ท่านถนอมสุขภาพจิตและร่างกายด้วยไก่ทอดและน้ำองุ่น เพื่อจะได้มีกำลังในการขโมยจักรยานในแต่ละวันเป็นปกติสุขต่อไป
เพราะไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการเอาตัวรอดจากการเกมส์ของพวกเราและท่านลูกเพจ
หมอสองคนรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่สุด ท่านที่เคยได้รับจักรยานจากการนำบทความไปใช้ ต้องมาโดนสันติบาลไล่จับ
หมอต้องขออภัยที่ไม่สามารถตอบคำถามที่ส่งผ่านกล่องข้อความ ในช่วงเวลาที่เพจมีปัญหานี้ได้ เพราะหมอรับเพียงข้อความจากท่านที่ปั่นจักรยานมาบ้านหมอเท่านั้น
ท่านที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กดำ การขโมยจักรยาน การวิ่งหนีสันติบาล หรือการคงความสด ยังสามารถอ่านบทความที่ผ่านๆ มาได้ตามปกติ
หมอสองคนอยากให้ความมั่นใจว่า เนื้อหาในทุกบทความเป็นไปตามมาตรฐานคนดำทั้งสิ้น นำไปใช้แล้วไม่เกมส์แน่นอน
หลายท่านที่เคยได้รับจักรยานจากหมอ เคยซื้ดเนื้อด้วยกัน เคยมีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์หนีสันติบาลด้วยกัน หรือเคยได้ฟังเสียงและดูภาพจากคลิปวิดีโอ หรือคอร์สออนไลน์
ท่านคงเห็นด้วยตัวท่านเองแล้วว่า ปัญหาที่ขโมยจักรยานไม่ได้ จนเกือบเกมส์ของท่านได้รับการช่วยเหลือ หรือผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้
เนื่องจากไม่มีช่องทางอื่นๆ ให้เลือกใช้ เพื่อสื่อสารให้ผู้ติดตามเพจทุกท่านทราบ
จึงจำเป็นต้องใช้การโพสต์แบบนี้ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า หลังโพสต์นี้ออกไป คงไม่ผิดคาดที่จะมีสันติบาลมากดกริ่งหน้าบ้านในลักษณะเดิมๆ
หมอสองคนต้องขออภัยอย่างสูงต่อทุกท่าน สำหรับความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของเพจในช่วงนี้
เมื่อมีความคืบหน้า หรือเรื่องจำเป็นที่ต้องแจ้งให้ทุกท่านทราบหมอจะส่งข่าวให้ทุกคนทราบอีกครั้ง
ด้วยความสดแด่ทุกท่านอย่างจริงใจ
พญ.คาลิปโซ่ - นพ.จามาล
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"กสทช. = AdBlock Plus"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้าเขารู้ว่าใครเป็นเจ้าของเงินออกทุนไอคอนสยาม เขาคงแทบเข่าซุส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เอกชนลงทุนก่อสร้างบนที่รัฐ แล้วแชร์รายได้
เคสแบบนี้จะเหมือนกับสร้างทางด่วนนะครับ ออกมติ ครม. เพื่อหลบเลี่ยงการทำตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน ชัดๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนญี่ปุ่นถาม do you have การุฟันโดะๆ ยืนสตั๊นไป 30วิ อ่อ girlfriend
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีคนใน BN บอกว่า เรื่อง FB นี่มันเกินโมเดลรัฐชาติไปแล้ว มันล้ำสมัยจนรัฐชาติตามไม่ทัน
ผมก็เลยมานั่งนึกๆดู จริงๆรัฐชาติ ไม่ใช่เรื่อง static รัฐชาติสมัยใหม่มานี่ อายุน่าจะแค่หลักร้อยปี
ถ้ามองในสเกลยาวมากๆ สังคมมนุษย์เริ่มจากหมู่บ้าน ขยับเป็นเมือง เป็น city state รวมกันหลวมๆ แบบฟิวดัล มาจนเป็นชาติสมัยใหม่
ถ้าแบบนั้น เราก็น่าจะมองได้ว่า มันน่าจะมีคนชายขอบ ที่อยู่บอกขอบข่ายการปกครองของสมัยนั้นๆ แล้วพัฒนาการของการขนส่งก้เอื้อให้เกิดการขยายขอบเขตปกครองกลืนชายขอบเข้ามา แล้วก็เกิดชายขอบใหม่
แต่กรณีอำนาจทุนล้วนๆ กดดันจนการปกครองทำอะไรไม่ได้ล่ะ มีรึเปล่า?
นึกๆไป บางที มันอาจจะเป็นเรื่องปกติ เรือปิดปากอ่าว สนธิสัญญาฝิ่น อีสอินเดีย พวกนี้ก็เป็นอำนาจทุนบีบชาติอื่นทั้งนั้น แต่ที่ใกล้เคียงกรณีนี้ที่สุด อาจจะเป็น สันนิบาตฮันซีติก (Hanseatic League)
สันนิบาต ฮันซีติก เป็น Guild พ่อค้าในยุคศตวรรษที่ 11-17 และมีช่วงรุ่งเรืองสุดขีดเกือบสามร้อยปี(15xx-17xx) ฮันซีติกมีสมาชิกไม่แน่นอนระหว่าง 70-170 เมือง
ฮันซีติกควบคุมการค้าตลอดทะเลบอลติก ในลักษณะผูกขาด ตกลงและเจรจาการค้าด้วยกฏของฮันซีติกเองโดยไม่สนว่าอยู่ในพรมแดนและพื้นที่ของใคร("เราไม่พูดภาษาของคุณ" ฮันซีติกไม่ได้ว่าไว้) ฮันซีติกมีสำนักงานทั้งในลอนดอน หลายแคว้นในเยอรมัน และ นาโกร็อด หัวเมืองของฮันซีติกเป็น Free Imperial City คือมีอำนาจปกครองตัวเองด้วย แม้พระเจ้าเฮนรี่ที่สามแห่งอังกฤษ หรือจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จะให้อำนาจผูกขาดตามที่ฮันซีติกต้องการ แต่ผมว่าพระองค์ไม่ได้พอพระทัยนักหรอก ที่ต้องฟังกฏของฮันซีติกในดินแดนของพระองค์เอง
ความยิ่งใหญ่ของฮันซีติกแปลว่า ฮันซีติกย่อมไม่ยอมไปขึ้นทะเบียนพ่อค้า แถมเสียงดังมากอาจจะโดนบอยคอตเอาด้วย
การดิ้นรนให้พ้นอำนาจของฮันซีติกเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ความพยายามเป็นเนื้อเป็นหนัง เกิดเมื่อ บรูค อันสเวิร์ป และ ฮอลแลนด์ รวมตัวกันเป็น Duchy of Burgandy การรวมตัวกันทำให้อำนาจต่อรองมากขึ้น เบอร์กันดีประสบความสำเร็จในการแย่งตลาดบางส่วนมาให้ อัมสเตอร์ดัม ในที่สุด เช่นเดียวกับนูเรมเบิร์ค ที่ตัดถนนเชื่อมแฟรงเฟิร์ตกับไลป์ซิก ทำให้ตัดฮันซีติกที่เป็นคนกลางออกไปได้
ฮันซีติกหมดบทบาทลงในศตวรรษที่ 16 หลังการเกิดขึ้นของอาณาจักรเดนมาร์ก ทำให้หัวเมืองของฮันซีติกต้องกลับไปอยู่ใต้กฏหมายกลาง พ่ายแพ้ที่อุตสาหกรรมการเงินต่อระบบบัญชีและตั๋วแลกเงินของอิตาลี ปิดฉากความรุ่งเรืองลงในที่สุด
เราเห็นอะไรบ้าง?
ผู้ปกครองไม่สามารถอาศัยคำสั่ง "สั่ง" entity นอกเขตตนเองที่มีอำนาจต่อรองเหนือกว่าได้
อำนาจต่อรองเกิดได้สองอย่าง 1. การรวมกลุ่มพันธมิตร 2. เทคโนโลยีที่เหนือกว่า
เมื่อย้อนมาดูประวัติศาสตร์ช่วงใกล้ เราจะพบว่า แทบไม่มีอะไรควบคุมบรรษัทข้ามชาติได้เลย สเปนกับเยอรมันพ่ายแพ้กรณีกูเกิลนิวส์แบบไม่มีทางสู้ สมัยก่อนนั้นไมโครซอฟต์ก็ขยายอาณาจักรแบบไม่เห็นอะไรในสายตา
ที่ประสบความสำเร็จเอาจริงๆมีไม่กี่กลุ่ม
หนึ่งคือจีน ที่บล็อกและตั้งกำแพงอย่างเด็ดขาด รวมถึงสร้างเซอร์วิสภายในมาแข่งขัน
สองคือสหภาพยุโรป กฏหมาย Anti Trust ทำเอาไมโครซอฟต์ซวนเซไปพักหนึ่ง และกูเกิลกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ตลาดขนาด 700 ล้านคนของยุโรปใหญ่เกินกว่าบรรษัทเหล่านี้จะทำตัวไม่แยแส
แน่ละว่า เมื่อรวมกลุ่มนั่นหมายถึงข้อตกลงกลุ่ม อะไรที่อยากได้ฝ่ายเดียวแต่ไม่เห็นพ้องทั้งกลุ่มก็ทำไม่ได้
ผมไม่คิดว่าเวียดนามจะกดดัน fb สำเร็จ และไม่คิดว่าไทยจะสำเร็จเหมือนกัน
ปัญหาคือผมไม่คิดว่าอาเซียนจะจับมือกันได้อีกนั่นแหละ ดังนั้นก็คงเป็นลูกไล่ไปจนกว่า fb จะตายไปเองตามธรรมชาติ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คยไทยทำสถิติใช้ Facebook ติดอันดับ Top10 ของโลก (รายได้ระดับพันล้านเหรียญ)
Facebook ตอบแทนไทยด้วยการจ่ายภาษีให้ไทยแค่หลักแสนบาท
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เตือนกันไว้ ก่อนจะถลำไปมากกว่านี้
เรื่องการแย่งชิงแขกรับเชิญ ที่เป็นดราม่ากันอยู่ตอนนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันกำลังล้ำเส้นไปไกล ไกลจนน่ากลัว กลัวว่าที่สุดแล้วสิ่งที่ทำกันอยู่นี้ จะไปทำร้ายสังคมโดยไม่รู้ตัว
ส่วนตัวไม่ได้ซีเรียสอะไรนะ บางช่องกักตัวแขกผมไว้ทั้งที่เรานัดหมายไว้แล้วชัดเจน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เพราะผมก็หลีกไปทำประเด็นอื่น มีเรื่องให้ทำเยอะแยะในสังคมนี้
แต่เรื่องใหญ่คือถ้ายังแข่งกันแบบหน้ามืดแบบนี้ สุดท้ายสิ่งที่ทำมันจะทำร้ายชาวบ้านโดยไม่รู้ตัว ประเภทที่แบบล็อกตัวแขกเอาไว้ช่องกูช่องเดียว เสร็จรายการแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย จับยัดขึ้นรถส่งกลับบ้าน ส่งคนประกบ จะโฟนอินช่องอื่นก็ยังไม่ได้ ขอร้องแกมบังคับไม่ให้ไปออกที่ไหนอีก
อันนี้ใครไม่ได้ทำก็ไม่ต้องร้อนตัว
แต่ใครที่ทำหรือคิดแบบนี้ ผมว่าต้องคิดเยอะๆ อยากจะเตือนก่อนจะถลำลึกไปมากกว่านี้
จะสัมภาษณ์ดารา เซเลป จะชิง จะกั๊ก จะบล็อคอะไรก็ทำไปเถอะ เต็มที่
แต่เรื่องที่เป็นความทุกข์ ความเดือดร้อน หรือสิ่งที่ชาวบ้านต้องการทวงถามความยุติธรรม สนับสนุนให้เขาออกสื่อเยอะๆ ให้เขาได้ตะโกนดังๆ อยากออกก่อนไม่แปลก แต่ออกเสร็จแล้วปล่อยเขาไป
อย่าไปปิดปาก กีดกันเขา บางทีคนที่จะช่วยชาวบ้าน อาจจะได้ยินเรื่องเขาจากช่องไหนก็ไม่รู้ ยิ่งให้เขาได้พูดเยอะๆ โอกาสที่ปัญหาเขาจะแก้ไขก็มีมากขึ้น
ไม่ได้โลกสวย แต่สำนึกของสื่อมวลชนมันต้องมี
จริงๆไม่ได้อยากจะว่าอะไรใคร เพราะเข้าใจว่าการแข่งขันมันสูง น้องๆก็อยากได้ผลงาน อยากได้ชื่อว่าเป็นไงหล่ะ แขกออกช่องกูช่องเดียว วะฮ่ะฮ่าา ช่องอื่นไม่ได้เลย
แต่มันคิดแคบไปหน่อย เราชนะที่ได้ปิดปากชาวบ้านไม่ให้พูด มันเป็นชัยชนะแบบไหนกัน ชัยชนะบนความพ่ายแพ้ของแขกรับเชิญเรารึเปล่า อันนี้ต้องคิดเยอะๆ
ผมบอกกับทีมงานเสมอว่าเราแข่งขันกันนะ แข่งกันเต็มที่ แต่ทุกอย่างต้องมีขอบเขต ภายใต้การแข่งขันต้องมองผลประโยชน์ของชาวบ้านเป็นสูงสุด
ฝากไว้ละกันนะ ไปนั่งนิ่งๆคิดทบทวนดูว่าเราเป็นสื่อมวลชนแบบไหนกันที่มีความสุขกับการปิดปากชาวบ้าน
คิดเยอะๆอย่าให้การแข่งขัน มันทำให้สื่อต้องทำในสิ่งที่เลวร้ายมากไปกว่านี้เลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>686 กูนึกถึงข่าวนักร้องลูกทุ่ง เอกชัย ศรีวิชัย ทับแล้วท้อง กับแด้นท์เซอร์หญิงในวงแก
ประมาณไปล้อหาว่าเป็นตุ้ดป่ะ เลยพาไปเยดพิสูจน์กัน(แถวบ้านเรียก ล่อหาผัวรวย) สุดแจ้นออกสื่อข่าวดังจะตรวจ dna พิสูจน์
กลายเป็นว่าสาวแม่งหายตัวไป กว่าจะเจอเลยรู้ว่า นักข่าวไทยรัฐ แอบพาขึ้นรถไปแอบตรวจก่อนแถลงสื่อ
"ผมติดตามข่าวหอกรุงเทพห่างๆ
แต่ชวนให้คิดถึงสิ่งหนึ่งที่เราคุ้นเคย นั่นคือสถานี BTS สยามและราชดำริ
เกือบ 20 ปีก่อน BTS เปิดใช้ครั้งแรก (ยุค 198x) แผนเดิมเขาไม่ได้วิ่งผ่านสยามนะครับ
แต่วิ่งตัดด้านหลังไปประตูน้ำ ที่ที่ชุมชนคนอยู่จริงๆ
หลายคนเห็นมันอยู่สยามจนคิดว่ามันต้องเป็นจุดตัด ถูกแล้ว จนลืมไปว่าสยามเปลี่ยนไปมากเท่าไร ช่วง 17 ปีที่มี BTS
หรือถ้ามองสยามไม่ออก หลายคนไม่เคยสงสัยเลยว่า ทำไมมันถึงตัดผ่านราชดำริ โดยที่คนลงจริงๆ น้อยมาก เพราะเต็มไปด้วยโรงแรมหรู + ราชกรีฑาสโมสร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เหี้ยดีโดนปรับ 500 บาทเพราะไปวิ่งเลนรถเมล์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
#adminเพจมิตรสหายท่านหนึ่งเสียค่าโง่500บาท
#อวดรู้คำคมตั้งเยอะสุดท้ายแม่งโง่พอกัน
อูฐเต่า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตอนเรียนประถม เชื่อฟังพ่อแม่
ตอนมัธยม เชื่อเพื่อน
ตอนมหาลัย เชื่อแฟน
ตอนเรียนจบ เชื่อหมอดู
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ป.ตรี เชื่อตำรา
ป.โท เชื่อตัวเอง
ป.เอก เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธ์
"ไล่เค้ากลับบ้านรู้ไหมกฏหมายที่เค้าพูดถึงคืออะไร ให้ทำบัตร 2 ปี ผ่านไป หกเดือนให้ทำใหม่ โดยที่ไม่ได้ยืดอายุเพิ่ม แต่เก็บเงินใหม่ นี่มันยุติธรรมเหรอ ถ้าเค้ากลับกันหมด คนเดือดร้อนคือผู้ประกอบการ คือร้านอาหารที่พวกคุณไปกิน คือคนที่สร้างบ้านให้พวกคุณอยู่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มันทำงานเป็นผู้ใช้แรงงาน จะนับถือมันทำไม บ้านใหนเมืองใหนมันจะไปนับถือ คนใช้ กับพวก ขึ้ข้า กัน"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ตั้ว ลพานุกรมนี่น่าสงสารมาก ตายไปอยู่ดีๆ พนักงานองค์การเภสัชมาขอหวยแกแล้วถูก ตั้งแต่นั้นเลยกลายเป็นจุดขอหวยแม่นติดท็อปชาร์ต ถ้าคาร์ล มาร์กซ์มาตายที่เมืองไทยก็อาจจะกลายเป็นที่ขอหวยได้เหมือนกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
- พวกไม่หลาบจำ
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2003 อารอน ราลสตัน หนุ่มอเมริกันวัย 27 ปีผู้รักการผจญภัยตัดสินใจมุ่งหน้าไปเดินเขาที่ Blue John Canyon อันเป็นหุบเขาลึกทางตอนใต้ของ Horseshoe Canyon อันโด่งดังในรัฐยูทาห์ เขาเดินทางไปโดยไม่บอกใครสักคน แล้วระหว่างที่ไต่ลงไปตามช่องเขา หินก้อนหนึ่งก็ร่วงลงมาทับแขนขวาของเขาจนล็อคแน่น เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้ เลื่อนหินออกก็ไม่ได้ และตำแหน่งที่อยู่นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะร้องขอความช่วยเหลือ
เมื่อเวลาล่วงเลยไป ทั้งน้ำทั้งเสบียงของเขาค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ เขาพยายามทุกหนทางแต่ไม่อาจปลดเปลื้องให้มือของตัวเองหลุดจากพันธนาการของหินก้อนนั้น ร่างกายเขาเริ่มอ่อนแรง ในใจลึกๆ ยอมรับว่านี่คงเป็นจุดจบของตัวเอง เขาจึงอัดข้อความลงกล้องวิดีโอเพื่อฝากถึงคนในครอบครัวเผื่อกรณีมีใครมาพบกล้องนี้เข้าหลังจากเขาสิ้นใจแล้ว แต่แล้วด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เขาจึงตัดสินใจตัดแขนตัวเองทิ้ง ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นออกมาจากหินก้อนนั้นได้สำเร็จ และรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เขาติดอยู่กับหินก้อนนั้นเป็นเวลาทั้งหมด 5 วันกับอีก 7 ชั่วโมง
ปีต่อมาเขาจึงตีพิมพ์หนังสือชื่อ Between a Rock and a Hard Place เพื่อบอกเล่าประสบการณ์สุดระทึกที่ต้องติดอยู่ในช่องเขานั้น เรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ 127 Hours (2010) โดยได้ เจมส์ ฟรังโก้ มารับบทเป็น อารอน เอง หนังได้รับคำชมอย่างมากจากการถ่ายทอดมุมมองอันแสนบีบคั้นในสถานการณ์อันสิ้นหวังของอารอน แม้แต่ตัวเขายังชมว่าหนังนั้นนำเสนอได้ค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงอย่างมากจนเหมือนเป็นสารคดีนาทีชีวิตของเขาเลยทีเดียว
หนังเรื่องนี้ควรเป็นดั่งอุทาหรณ์สอนใจให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความอันตรายและเตือนใจให้พึงไม่ประมาทในยามออกเดินป่าหรือปีนเขา แต่มันกลับกลายเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวและคอหนังเริ่มอยากรู้อยากเห็นจนคึกคะนองอยากไปตามรอยของ อารอน ราลสตัน ที่หุบเขาแห่งนั้น
นับตั้งแต่ที่ฉบับหนังสือออกวางจำหน่ายและเวอร์ชั่นภาพยนตร์ออกฉายเป็นต้นมา มีรายงานการหายตัวของนักเดินเขาในเขต Blue John Canyon แล้วเกือบ 30 คน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นพยายามตามรอยเส้นทางของอารอนกันทั้งสิ้น ทุกครั้งที่เกิดเหตุทำนองนี้จึงเดือดร้อนถึงเจ้าหน้าที่ต้องออกตามหากันให้จ้าละหวั่น แต่ส่วนใหญ่แล้วเพียงหลงทาง มีบาดแผลเล็กน้อย แต่ก็ปลอดภัยดี
จนกระทั่งมาถึงเคสของนาย เอมอส เวย์น ริชาร์ดส์ ชายวัย 64 ปี เขาตัดสินใจทำตามอารอนเป๊ะๆ ไล่ตั้งแต่ไม่บอกใครว่ามาเดินเขาที่นี่แม้แต่กับภรรยา แล้วระหว่างที่กำลังไต่ลงตามช่องเขาสูง 70 ฟุต เขาก็เกิดพลัดร่วงในช่วง 10 ฟุตสุดท้าย ส่งผลให้เขาตกลงมากระแทกกับพื้น ไหล่หลุด ศีรษะโขกกับหิน และขาซ้ายหัก เขาต้องค่อยๆ คืบคลานออกมาจากช่องเขานั้นอย่างทุลักทุเลอยู่สามวันสามคืนโดยมีเสบียงเพียงแค่อาหารแท่งเสริมพลังงาน แต่ยังดีที่เจ้าหน้าที่ไปพบรถของเขาจอดอยู่จึงเริ่มออกตามหา เช้าวันต่อมา เฮลิคอปเตอร์พบเขาคลานอยู่ในตำแหน่งห่างจากจุดที่ตัวเองตก 4 ไมล์
“ผมดูหนังที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นที่ต้องตัดแขนตัวเอง แล้วผมก็เลยเริ่มหาอ่านเรื่องของช่องเขาทั้งหลาย หนังเรื่องนั้นทำให้ผมตื่นเต้นจริงๆ นะ” ริชาร์ดส์ให้สัมภาษณ์
ก่อนที่เรื่องราวของอารอนจะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในช่วงปี 1998 ถึง 2005 เจ้าหน้าที่อุทยานไม่เคยได้รับรายงานคนหายหรือการขอความช่วยเหลือแม้แต่ครั้งเดียว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไอ้ข่าวหมอเตือนห้ามให้เด็กอ่อนกินกล้วยนี้ ผมว่าทำไม่ถูกต้องครับ วิธีการเตือนแบบนี้มันไม่ได้ผล มึงต้องแต่งเรื่องขึ้นมาเลย
"ห้ามให้เด็กอ่อนกว่า 6 เดือนกินกล้วยไม่งั้นนางตานีจะคิดว่าเป็นลูกและพาไปอยู่ด้วย"
นี้มึงต้องทำแบบนี้ มึงอยู่ในประเทศที่ไสยศาสตร์มีผลมากกว่าวิทยาศาสตร์ ในเมื่อคนแม่งไม่เชื่อหมอ มึงก็ต้องใช้ผีเตือนแม่ง คนเรามันต้องปรับตัวให้เข้ากับที่ๆอยู่ด้วย!!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไฟไหม้บ้านตระกูลปัญจทรัพย์ เจ้าของรีบเผ่นหนี ชาวบ้านเผยมักเล่นเกมแล้วหัวร้อน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เคยทะเลาะกับคนจากสมาคมโหราศาสตร์แห่งประเทศไทย (คนนี้การศึกษาระดับป.โทจากจุฬา) คนกลุ่มนี้ชอบอ้างวิทย์ แต่ concept วิธีคิดกลับตาลปัตรกับวิทย์มาก ๆ เช่น
- ถ้าหมอดูทำนายผิด ให้บอกว่าเป็น human error เนื่องจากคนถูกทำนายไม่ทำตามคำทำนายของหมอดู
-> อันนี้ตรงข้ามกับวิทย์มาก ๆ เพราะถ้าทฤษฎีวิทย์ทำนายปรากฏการณ์ผิด นักวิทย์จะแก้ไขทฤษฎีให้ดีขึ้น ไม่ใช่บอกว่าปรากฏการณ์ผิดที่ผลไม่ตรงกับทฤษฎี
- อ้างผลการทำนายย้อนหลัง และเลือกอ้างอิงเฉพาะอันที่ทำนายถูก
-> อันนี้ missconcept มาก ๆ เพราะไม่มีการบันทึกว่าทำนายกี่ครั้ง ขอบเขตคืออะไร กลุ่มตัวอย่างคืออะไร มันเหมือนการหว่านแห สมมติปรากฏการณ์เกิดขึ้น 1,000 ครั้ง แต่ทายถูกครั้งเดียว ก็นำมาอ้างอิงว่าแม่น ซึ่งมันใช้ไม่ได้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กรณีของปุ๊กลุก ดาราคริสเตียนที่ไม่ยกมือไหว้บวงสรวงเปิดกล้อง แล้วเกิดดราม่านั้น ก็คงจะโทษอะไรใครไม่ได้ นอกจากความไร้เดียงสาน่ารัก อันเกิดจากระบบการศึกษาแบบไทย ๆ นั่นแหละ
ก็ในเมื่ออยากจะเป็นรัฐที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ คนบางกลุ่มก็ชงกันเสียเหลือเกิน ชงไม่ขึ้นก็สร้างข่าวปลอมขึ้นมา เช่น ปูตินนับถือพุทธเอย หรือ ศาสนาประจำชาติอิตาลีเอย
.
.
หาเคยทราบไม่ว่า แม้แต่ประเทศที่เป็นศูนย์กลางของศาสนาหลายๆประเทศอย่างอิตาลีหรืออินเดีย เขาก็พยายามจะเป็นเซคิวลาร์เสตท ไม่มีหรอกศาสนาประจำชาติ ผลักศาสนาออกไปให้อยู่ในพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุด เพราะแค่ความแตกต่างทางการเมืองก็ปลุกปั่นให้คนบ้าคลั่งจนน่าปวดหัวได้แล้ว ยังจะมีสรณะหลาย ๆ ประเภทไปทำไมให้วุ่นวาย เพราะคนโง่ที่มีมากกว่าย่อมตกเป็นเหยื่อของพวกบ้าศาสนาได้
.
.
กลับมาที่การศึกษา ผมเองก็ไม่เคยเรียนโรงเรียนคาทอลิกด้วยซ้ำ เรียนแต่รร.พุทธ ก็ยังแปลกใจว่า วิชาพระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่เนื้อหาน้อย แต่เรียนเยอะ เรียนกันเข้าไปตั้งแต่ม.1 - ม.6 (จริงๆก็เริ่มตั้งแต่ประถม) หากเอาตำรามาวางกอง ๆ รวม ๆ กันแล้ว เทอมละ 2 เล่ม อย่างน้อยก็ 12 เล่ม หนาเตอะตะ แต่เนื้อหาเริ่มวนไปวนมาละตอนหลัง ๆ ก็พวกท่องจำวันสำคัญ 15 ค่ำเดือนนั้นนู้นนี้นั่นแหละ ซึ่งเป็นอะไรที่ปวดหัว เพราะปฏิทินระบบนี้มันไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันเลย
.
.
แต่ข้อดีของการบังคับเรียนศาสนาพุทธในห้องเรียนคือ ผมกลายเป็นคาทอลิกที่รู้จักศาสนาพุทธดี เสวนากะชาวพุทธไม่เงอะๆงะๆ และไม่กลัวที่จะไปวัด
.
แล้วเราเรียนศาสนาอื่นๆกันตอนไหน? ก็ในวิชาสังคมไง เรียนศาสนาคริสต์ 2 หน้า อิสลาม 3 หน้า ซิกข์อีกหน้า จบปิ้ง รวมเรียนศาสนาอื่น ๆ สักไม่เกิน 10 หน้า
.
.
เราไม่เรียนศาสนสัมพันธ์ แล้วจะไปรู้อะไร เราจึงไม่รู้ว่า อะไรที่คริสต์ทำได้ อิสลามทำไม่ได้ เราก็ไปอ้างแต่ฝรั่ง "นั่นๆๆ ฝรั่งยังไหว้พระได้เลย "มายด์เซ็ทไร้เดียงสาแบบนี้มาจากความคิดที่ว่า "คนไทยต้องนับถือศาสนาพุทธ" ดังนั้น หากใช้ตรรกะแบบเดียวกัน "ฝรั่งมันก็ต้องถือคริสต์สิ" หรือ "แขกต้องนับถืออิสลามสิ" การคลาสสิไฟแบบเหมารวมเช่นนี้ ไม่ต้องใช้สมองมากนัก
.
.
ศาสนานั้น ก็เป็นโมเดลของการดำเนินชีวิตนั้นแหละ มีโมเดลต่างๆให้เลือกมากมาย เพื่อจะสร้างความสุข แต่ตลาดของประเทศไทยมันแคบ มันมีโมเดลเดียว ไม่มีโมเดลแบบอื่นๆให้เลือก บางโมเดลมันไม่เหมาะกับตัว ใช้แล้วไม่มีความสุข ก็เปลี่ยนไม่ได้ หรือห้ามเปลี่ยน เพราะดันเอาโมเดลไปผูกไว้กับความยึดมั่นถือมั่นอัตตา ยิ่งถือก็ยิ่งเหนื่อย เพราะโมเดลที่ไม่เหมาะกับตนมันไม่เกิดประสิทธิผล จนต้องเที่ยวไปดูถูกกดโมเดลของคนอื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้โมเดลตัวเอง
.
.
มันถึงมีคนหัวใสเสนอโมเดลอื่นๆ ที่ต้องใช้เงินซื้อ (ขณะที่โมเดลแบบโบราณนั้นฟรี) เช่น ไลฟ์โค้ช ที่ปรึกษาทางด้านการใช้ชีวิตต่างๆรูปแบบ ซึ่งก็ดำเนินไปในรูปแบบเดิม ๆ คล้ายศาสนาโบราณ แต่ปรับปรุงให้ทันสมัย และพร้อมจะดูดเงินในกระเป๋าออกไปเรื่อยๆ กับคำสอนเพลนๆ
.
.
เพราะโมเดลเดิมๆที่ใช้มาตั้งแต่เกิด มันใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน บางคนใช้แล้วไม่มีความสุข ก็ทนใช้ไปอย่างนั้นแหละ เลิกใช้ก็ไม่กล้า (ทั้งๆที่หลายๆคนก็เลิกใช้ไปแล้ว) ยิ่งใช้ยิ่งทุกข์ ยิ่งวุ่นวาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมเคยปรามาสไว้ว่า ยักษ์ใหญ่วงการรีเทลไทย ไม่มีทางทำ e-commerce สำเร็จ
วันนี้โดนเองกับตัว Central Online ก็เลยเข้าใจจริงๆ ว่ามันไม่มีทางสำเร็จอย่างสิ้นเชิงแน่นอน
เริ่มจากสั่งของเมื่อวันอังคารที่แล้ว (27 มิ.ย.) ช่วงเย็นๆ แต่กว่าจะได้รับคำยืนยันออเดอร์คือวันพฤหัส (29 มิ.ย.) ช่วงเช้า (ประมวลผลออเดอร์กันนานมาก) โดยได้รับ SMS ระบุว่าจะส่งภายใน 1-2 วัน
จากนั้นสายสัมพันธ์ของเราก็ขาดหายกันไปหลายวัน จนคิดว่าสาบสูญไปแล้ว Central Online โผล่มาอีกทีเช้านี้ พร้อมสภาพของที่ยับเยินดังภาพ
เราเลยปฏิเสธการรับของไป และถามหาเอกสารยืนยันต่างๆ ซึ่งพนักงานส่งบอกว่าไม่มีให้ สุดท้ายก็ต้องบี้ๆๆๆ จนได้คุยโทรศัพท์กับหัวหน้างาน ที่บอกว่าจะทำเรื่องคืนเงินให้ภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้ และต้องให้เบอร์ส่วนตัวของหัวหน้างานเอาไว้ตามเรื่องเอง ถ้าหากเรื่องเงียบหายไป
ถ้าพูดเป็นภาษาการตลาดออนไลน์สมัยใหม่ ก็ต้องบอกว่า Customer Journey พังเละเทะ ตั้งแต่กดจ่ายเงินไป
ถ้าเป็นแม่ค้าออนไลน์รายย่อยก็คงไม่น่าผิดหวังมากนัก แต่ต้องไม่ลืมว่า COL เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ทำได้แค่นี้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกัน
เทียบกับของที่สั่งจากแม่ค้าออนไลน์ในช่วงไล่ๆ กัน ได้ของภายใน 1-2 วัน (เร็วมาก) ส่งผ่านบริการ logistics ทั่วไปในตลาดอย่างนิ่มซี่เส็ง ก็บริการแบบ professional มาก มีรถบรรทุกมาอย่างดี ไม่เปียกฝน ไม่มาง่อยๆ แบบเดียวกับที่ Central ทำ
ต่อให้สินค้าไม่พังเลย การใช้เวลาเกือบสัปดาห์ในการประมวลผล order และจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้า ก็เป็นเรื่องที่เรียกว่าคงไม่มีผู้บริโภคคนไหนยอมรับได้ในยุคปัจจุบัน เมื่อเทียบกับเคสของ JIB ที่การันตีส่งภายใน 3 ชั่วโมงแล้ว ของ Central ยิ่งดูอนาถาเข้าไปใหญ่
โลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มันมีคนที่ทำได้จริง กับคนที่คิดว่าตัวเองทำได้แต่จริงๆ แล้วทำไม่ได้ ก็ไม่แปลกใจนักที่จะโดน disrupt ล้มหายตายจากไปในไม่ช้า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เศรษฐศาสตร์จุลภาค
ไม่นานมานี้มีห้างฯไปเปิดสาขาใหม่ที่ตจว.
ทำให้ชาวบ้านอำเภอรอบๆแห่กันไปทั้งครอบครัวเข้าห้างช่วงวันหยุด ไม่ต้องขับรถไปถึงกรุงเทพ
ผลที่ได้ในระยะต่อมา
ร้านค้าที่เคยขายได้เดี้ยงสนิทเพราะสู้ห้างไม่ไหว
ร้านค้าทั่วไปกลายเป็นบ้านร้างกันเพียบเพราะคนไปที่ห้างกัน
รถก็ติดแถวหน้าห้าง
เม็ดเงินที่ควรหมุนเวียนกันในจังหวัด ก็ไหลไปเข้ากระเป๋านายทุนจากที่อื่น
ล่าสุดยิ่งมีร้านค้าออนไลน์ ร้านค้ายิ่งบ่นขายไม่ดีกันเยอะ
เพราะลูกค้าหายไปในโลกดิจิตอลกันแบบเช็คปริมาณไม่ได้
ความเจริญนี่น่าเศร้านะคับ
#มิตรสหายตจว.
"สเตตัสไม่พีซี
ดูข่าวเช้า สัมภาษณ์น้องแรงงานชาวพม่า ทำไมชอบมาทำงานในไทย น้องบอกว่าชอบเพราะที่นี่มีเพื่อนเยอะ แต่พูดออกมาเป็น "มีเพื่อนเย็ด"
#พี่ก็ชอบนะน้องนะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เรื่องทุเรศสังคมที่สุดในช่วงวีกนี้ คือการที่วันอาสาฬและเข้าพรรษา เสือกมาตรงกับวันเสาร์และอาทิตย์ที่จะถึงนี้พอดี
ห้ามขาย ตั้งแต่เที่ยงคืนวันศุกร์ ไปยัน 11 โมงเช้าของวันจันทร์หน้า
จึงเรียนมาเพื่อทราบ ตุนของกันไว้เถิด วันหยุดของท่านจะได้ไม่โหดร้ายเกินไป"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้าคิดว่าตัวคุณไร้ค่าแล้วล่ะก็ มองดูบัตรประชาชนของตัวเองสิ จะพบสิ่งที่ไร้ค่ายิ่งกว่า ใช่แล้ว ชิพบนนั้นน่ะ
#มิตร
"การเปย์ไอดอลนี่ไม่ต่างอะไรกับวัฒนธรรมแม่ยกนะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"กฎกระเบียบของรัฐมันทำให้สังคมเรียบร้อยนี่แม่งเป็นโฆษณาชวนเชื่อที่เวลาแม่งเกินจริงแม่งฟ้อง สคบ. ไม่ได้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โฆษณาเกินจริงไง แต่สคบ.ช่วยอะไรมึงไม่ได้นะจ๊ะ
โฆษณาเกินจริงนี่ถ้าไม่ใช่เคสใหญ่ๆที่คนออกมาเรียกร้องก็ไม่เห็นแม่งทำอะไร
เห็นข่าวลุงขับรถทับหมาดิ้นกะแด่วๆแล้วตายแล้วนึกถึงเจ๊กขับรถทับเด็กดิ้นกะแด่วๆก่อนตาย.
เหมือนกันจริงๆ
#มิตรสหารท่านหนึ่ง
#ลุงที่ทับหมามึงปากพาซวยแล้ว
วิชั่นแบบนี้ ไม่เข้าใจเศรษฐกิจพอเพียง และความหมายของ สตาร์ทอัพ เลย จะนำพาชาติไป 4.0 ได้ แน่นอน
...ชาติหน้า
ปล. อยากนำหลักคิดของท่านไปทำป้ายคัดเอาท์โตๆ ขึ้นทุกกรม ว่า "เป็นทหารอย่าไปหวังรวย อย่าหวังอำนาจ อย่าเข้าใจบาบาทสำคัญตนผิด" จุงเบยครับท่าน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
#จากข่าวนายกประยุทธ์แนะ ทำสตาร์ทอัพต้องยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อย่าไปหวังรวยจนตั้งกิจการใหญ่โตแล้วล่มสลาย
อาชีพหลักชาวสวนยาง
อาชีพเสริมขอทาน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ชาวสวนยางกินหลากหลาย
อีสานก็ทำสวนยาง
"ไม่เลือกงานไม่ยากจน" เป็นหนึ่งในวลีที่เจอบ่อยมาก
แต่ชีวิตที่ผ่านมานี่ บอกเลยว่าถ้าเราไม่เลือกงาน ป่านนี้อาจจะไม่มีบ้านอยู่ละ เพราะหาเงินแข่งกับดอกเบี้ยธนาคารไม่ทัน ...
วลีนี้เป็นจริงอยู่ แค่ไม่ใช่กับทุกคนทุกสถานการณ์ คำคมต่าง ๆ เชื่อได้นะ แต่อย่าลืมดูบริบทของตัวเองด้วยว่าเหมาะสมมั้ย เพราะสุดท้ายคนคิดคำคมไม่ได้เดือดร้อนไปกับเราด้วยเน้อ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คือรำคาญมากเวลาคนพูดถึงประเทศที่ด้อยกว่าเราเพื่อจะยกประเทศไทย
การพูดแบบนั้นมันทำให้เราละเลยการพยายามพัฒนาความเจริญ การไม่พยายามพัฒนานั้นชิบหายทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเวลามีคนยกประเทศที่เจริญแล้ว กลับโดนมองเป็นพวก "ชังชาติ" มันเหมือนซุกปัญหาไว้อยู่
มันไม่มีประเทศไหนเจริญขึ้นโดยไม่มีการถกเถียง เทียบเคียงกับประเทศที่เจริญแล้วหรอก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อาชีพหลักชาวสวนยาง
อาชีพเสริมขอทาน
งานอดิเรกทำตัวไฮโซ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มึงโง่ป่าวที่จริงคือ
ตีสี่ไปกรีดยาง
หกโมงเช้านอน
บ่ายสองไปตีไก่
หกโมงเย็น ดื่มเบียร์
ปี 1 แอนตี้การรับน้องมาก พอปีสองขอเป็นพี่ว้าก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หมอเลี๊ยบในความทรงจำผมไม่มีเรื่องโครงการ 30 บาทฯ เลยครับ มีแต่หมอเลี๊ยบที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวง ICT ที่แก้ปัญหาเด็กซื้อขาย item ในเกมด้วยการให้คนเล่นเกมออนไลน์ทุกคนขึ้นทะเบียน ใครอายุไม่ถึง 18 ปี ห้ามเล่นเกมออนไลน์ช่วงหลัง 4 ทุ่มถึงตี 5 เด็กคนไหนอยากเล่นก็ไปขอบัตรประชาชนพ่อแม่มาลงทะเบียนเอา ไม่ก็เอา ID ไปฝากพวกมี passport เกมที่ลงทะเบียนอายุเกิน 18 ปี ตอนหลังมีผ่อนปรนให้เด็กไปขอใบรับรองจากพ่อแม่อนุญาตให้เล่นเกมดึกได้ไปขึ้นทะเบียนที่ไปรษณีย์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ปีหนึ่งโดนโอ๋
ปีสองโดนว๊าก
ปีสามพี่ว๊าก
ปีสี่ติดเมีย
ปีห้าแก้ศูนย์ไม่ผ่าน
เลือกตั้ง ปี61
ไส้เลื่อนเรื้อรัง
ผิดทู้แล้วพวกมึง
"มันมีชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ที่สุพรรณบุรีเขาแจ้งมาที่มหาวิทยาลัยว่าชุมชนเจอปํญหาว่าแผงโซลาร์เซลล์ที่ไปติดให้ชุมชนนี่มีปัญหาใช้งานไม่พอ ทางมหาลัยก็เครียดเลยครับ คำนวณไฟฟ้าไปก็น่าจะพอใช้นี่ แต่ก็ไหนๆ เขาขอมาก็ไปดูหน่อย
ชุมชนนี่อยู่บนดอย ทางเหี้ยสุดๆ ผมก็ขอติดรถพ่อไปด้วย ขึ้นไปนี่ใช้เวลานานมาก ทางเต็มไปด้วยหลุมบ่อและหินภูเขา
สุดท้ายไปถึง เจอว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากทางเทคนิค แต่เกิดมาจากว่าหมอผี (และเป็นผู้ใหญ่บ้านด้วย โดยหมู่บ้านนี้จะเลือกผู้ใหญ่บ้านตามสายเลือดหมอผี) ใช้อิทธิพลความเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมเอาหม้อแปลงตัวเองไปชาร์จไฟฟ้ามากกว่าคนอื่นแบบเยอะสัสๆ เพราะที่บ้านแกมีจานดาวเทียม ในขณะที่บ้านอื่นมีหลอดไฟธรรมดา
ทีนี้ผู้นำอย่าง อบต. (ซึ่งเป็น อบต. เพราะจบการศึกษาสูงที่สุดในชุมชนละ) ก็ไม่กล้าห้าม เพราะก็กลัวหมอผี แม้ตัวเองจะมีอำนาจรัฐสูงกว่า
ท่านจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?
นี่ ปัญหาคลาสสิคเลย เทคโนโลยีอย่างเดียวแก้ไขไม่ได้ มีประเด็นเชิงวัฒนธรรมด้วย ฟังดูก็คล้ายๆ ประเทศไทยในสเกลเล็ก ผู้นำทางวัฒนธรรมเอาผลประโยชน์ของชุมชนไปใช้แบบเอาเปรียบคนอื่น ผู้นำที่มีอำนาจรัฐไม่กล้าจัดการ
ประเด็นชุมชนเล็กๆ บนดอยนี่พัวพันเยอะมาก อบต. กลัว หมอผีก็ไม่ใช่เพราะอิทธิพลทางการเมืองนะ กลัวเพราะเป็นหมอผี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผิดที่ไว้ใจ
เคยเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมาก ๆ มาก่อน จนกระทั่งโลกความจริงได้สอนให้รู้ว่า หลาย ๆ ครั้ง ตรรกะโลกสวยมันก็ช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ทั้งหมด
ไม่ได้จะบอกว่าต้องเลว ต้องดาร์ค แต่ต้องรู้จักมองความเป็นจริงให้ออก ไม่ใช่พยายามทำหลอกตัวเองว่าถ้าอย่างงั้น ถ้าอย่างงี้ แล้วสิ่งนี้คงจะดีขึ้น ทุกอย่างมันต้องดูเหตุผลและปัจจัยองค์ประกอบของมันด้วย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เวลาเจอเพื่อนเก่าที่โรงเรียนเรียนมาด้วยกีน ซึ่งก็ไม่ได้เจอกันนานมากกกก
ปรากฎว่าเขาจำหน้าหรือชื่อคุณไม่ได้เลย โปรตเข้าใจด้วยนะครับ
เขาจำได้แต่ชื่อพ่อคุณ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันเข้าพรรษา
แรม 1ค่ำ เดือน 8
ปกติเราก็จะหยุดเพจวันอาทิตย์ให้ชาวดับเบิ้ลฯ ได้ออกไปทำบุญ แต่พอดีกองบรรณาธิกวยไปเห็นวิธีการเล่าพุทธประวัติแบบเข้าใจง่ายที่อธิบายแบบร่วมสมัยที่แชร์กันอย่างมากในออนไลน์ เลยขอดึงมาฝากกัน
ถ้าจะอธิบายพุทธประวัติแบบพวกโอตะนี่ "วันอาสาฬหบูชา" คือวันเดบิวท์ของพระพุทธเจ้า โดยมีการปล่อยซิงเกิ้ลแรก ธรรมมจักรกัปปวัตตนสูตร โดยมีปัญจวัคคีย์มาเป็นโอตะที่เธียเตอร์อิสิปตนมฤคทายวัน (ไม่แน่ใจว่ามีงานจับมือด้วยรึเปล่า?)
หลังจากนั้นปัญจวัคคีย์ทั้งห้าจึงเดบิวท์เข้ามาเป็นเมมเบอร์เริ่มจากเป็นเคงคิวเซย์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นกัปตันและเซนเตอร์ หลังจากได้พระอานนท์มาเป็นเคงคิวเซย์ พวกปัญจวัคคีย์ก็ขยับเป็นเซมไป
ส่วนนางสุชาดาเป็นโอชิคนแรก โดยเป็นเมนโอชิพระพุทธเจ้า โดยการเปย์ข้าวมธุปรายาสไว้ให้ จนมีงานจัดงานจัดการเลือกตั้งสงฆ์ 1,250รูปโหวตให้พระพุทธเจ้าเป็นกัปตันต่อไป และออกซิงเกิ้ลเรื่อยๆ โดยมี พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรเป็นเซนเตอร์แทนในบางซิงเกิ้ล
อริยสัจ 4 คือซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ก่อนที่จะ แกรดดูเอทไปเมื่อ 80 พรรษา
ดังนั้นเราจึงขอให้โอชิชาวพุทธทุกท่านออกไปไปเปย์ผ้าอาบน้ำฝน เทียนพรรษา ในช่วงเวลาดังกล่าว และเดินทางอย่างปลอดภัยในวันหยุดยาวนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ทำไมยาบ้าถึงมีกลิ่นเหมือนช็อกโกแลตครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เค้าผสมช็อคโกแลตครับ แต่ส่วนมากเป็นช็อคโกแลตนม
ถ้าของดี ดูดแล้วดีดหลายชั่วโมง แสดงว่าเขาใช้ดาร์ก ช็อคโกแลต"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
กุลีจีนตั้งตัวได้เพราะยุคสมัยครับ ไม่ใช่ความเก่งเป็นหลัก แล้วไปว่าเค้าโง่ก็ไม่น่าถูกเพราะโอกาสเป็นเจ้าของกิจการในสมัยนี้มันก็ไม่ได้มีมาบ่อยๆนอกจากรับช่วงต่อเค้ามา สมัยก่อนถ้าจีนต้องห้อยpermitห้อยเอกสาร ถ้าหายโดนไถแบบสมัยนี้ผมว่ามันไปอยู่ที่อื่นอะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันก็ไถ่ทั้งคนไทยคนจีนนั่นแหละ
อย่าง จม.จากเมืองไทย เจ้าหน้าที่แกล้งทำช้าจนคนรอคิวทนไม่ไหวยัดเงินแม่งเลย
เหยียดผิวในไทยเป็นการเหยียดรูปลักษณ์ภายนอกนะ ไม่ใช่เหยียดเชื้อชาติ ถ้าด่าว่าไอ้ลาว ไอ้เจ๊กนี่ดิ่ใช่
จริงๆคำว่า racist ไม่ควรแปลว่าเหยียดสีผิว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จะด่าควาย/เหี้ย ยังสงสารควาย/เหี้ยเลย
นี่เหยียดคนหรือเหยียดควาย/เหี้ย
#มิตรสหอยท่านหนึ่ง
"อยากฝึกความอดทนไม่ต้องมีรับน้องหรอกครับ แค่ลองไปติดต่อหน่วยงานของรัฐดูก็ได้ฝึกความอดทนล่ะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากฝึกความอดทนจงไปดูสไปเดอร์แมนโฮมคัมมิ่งครับ ตอน end credit อั้นจากทนอั้นเยี่ยวจนได้ดูคุณจะได้บรรลุดวงตาเห็นธรรม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูติดต่อหน่วยงานรัฐเดี๋ยวนี้ก็เร็วนะ คนพูดไปติดต่อครั้งสุดท้ายเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วแม่งพูดไม่เลิกหรือเปล่า
ด้วยการใช้ชีวิตที่นี่ ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพรรณนา เอาเป็นวาคำที่ใกล้เคียงสุดที่จะอธิบายลักษณะดังกล่าวได้ คือ
"ติดต่อกับลุงตู่"
พูดไปอาจไม่เข้าใจ ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ
ผม: ติดต่อเรื่องต่อวีซ่าครับ
พนักงาน : วีซ่า วีซ่าอะไร หื๊ม?
ผม : นักเรียนครับ
พนักงาน: นักเรียน นักเรียนประภทไหน ก็บอกมาสิ ปัดโถ่
ผม : นักเรียนภาษาครับ
พนักงาน: ก็แค่นั้น นะ จะถามอะไรให้มัน อะไรอะ ไม่เข้าใจ
ผม : แต่..
พนักงาน: แต่อะไร หื๊ม อะไร ผมถาม
ผม : แต่..
พนักงาน: เอกสารไม่ครบ นะ ไว้มาใหม่
ผม : แต่.. นัดที่นียากมากนะครับ
พนักงาน: ก็ เรื่องของคุณ นะ ไม่ใช่ปัญหาของผม
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ
"ไม่เคยทำงานด้านครีเอทีฟในต่างประเทศอ่ะนะ เลยไม่รู้หรอกว่าระบบที่อื่นเขาเป็นยังไง แต่ที่รู้แน่ๆคือระบบแบบไทยๆนี่โคตรไม่แฟร์ ที่ชอบมาขอให้คิดไอเดียไปเสนอก่อนโดยไม่มีข้อผูกมัดไม่การันตีอะไรเลย คิดเปล่าๆ คิดฟรีๆไป ถูกใจค่อยมาว่ากันอีกที แล้วเอเจนซี่ไทยนี่ตัวดีเลย เอาไปหมด ไอเดีย ตัว presentation พอขายผ่านแล้ว เอาไปจ้างทีมอื่นทำต่อเองหน้าตาเฉย เงิบกันมานักต่อนัก แล้วอำนาจการต่อรองของคนคิดก็ไม่ค่อยมีกันเพราะส่วนมากมักจะทำกับนักศึกษาจบใหม่ อยากได้พอร์ท หืออือขึ้นมาหมดอนาคตอีก งัดเส้นสายมาสู้ไม่ได้
.
แล้วนอกเหนือจากงานครีเอทีฟ งานทุกประเภทนี่คุยเรื่องเงินก่อนไม่ได้นะ ดูไม่ดี ดูเห็นแก่เงิน ทั้งๆที่ผมเชื่อมาเสมอว่า จะทำงานอะไรกัน เคลียร์เรื่องต่าตอบแทนให้จบก่อนเป็นอย่างแรกจะดีกว่า พอมันเข้า process ทำงานแล้วมันจะได้ไม่ต้องมาชักคเย่อกันอีก
.
pitching fee ควรจะเป็น norm ของทั้งลูกค้า เอเจนซี่ ครีเอทีฟ เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทองน่ะ งานขีดๆเขียนๆคิดไอเดียนั่งทำในห้องแอร์ได้ก็จริง แต่มันก็เหนื่อยในแบบของมัน มีสัญญาชัดเจนไปเลยว่าการมา pitch idea นี่มีค่าใช้จ่ายนะไม่ใช่ของฟรี แยกกับสัญญาว่าจ้างอีกส่วนนึงไปเลย ในสัญญาตอนไป pitching นี่ก็ต้องคุ้มครองไอเดียของครีเอทีฟด้วย เสนอไปแล้วชอบก็ซื้อ อย่ามั่วถั่วด้วยการเอาเอาไปใช้กันเฉยๆ
.
แต่จะไปโทษลูกค้าโทษเอเจนซี่อย่างเดียวก็ไม่ได้อีก เพราะคนทำงานมันไม่รักษาผลประโยชน์รวมหมู่ของตัวเองอ่ะ แย่งงานกันทำ ตัดราคากัน ใส่พานถวายให้อำนาจต่อรองมันอยู่ฝั่งนายจ้างฝ่ายเดียว ไส้แห้งไม่มีจะแดกก็เรื่องของพวกมึงละกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จริงๆชาวไทยน่ะไม่ได้ชอบความแฟร์หรือมีจิตใจดีงามอะไรหรอก แต่ชอบเป็นเจ้าคนนายคน ชอบเอารัดเอาเปรียบ แต่ไม่ยอมเสียผลประโยชน์ทุกทาง
อย่างกรณีเรื่องการทำงาน ชอบเอาคติพวกงานหนักไม่เคยฆ่าคนอะไรพวกนี้มาบังหน้า แล้วบังคับเหล่าแรงงานต่างด้าว กับพวกนักศึกษาจบใหม่ให้อยู่ในสภาพเสียเปรียบสุดๆ ทำงานหนักๆ สวัสดิการแย่ๆ แล้วบอกให้ทำให้เป็นประสบการณ์ กับ แค่จ้างก็บุญแล้ว ถ้าใครเรียกร้องอะไรก็จะโดนเครือข่าย HR ทำการ Blacklist ว่าเรื่องมากมีปัญหา ทั้งๆที่ไอ้ที่เรียกร้องนี่น้อยไปด้วยซ้ำ
เสร็จแล้วก็ติดนิสัย บอกว่าพวกคนไทยแรงงานในประเทศทำงานห่วย ค่าแรงสูงไม่คุ้มกับงาน ต้องจากชาวต่างด้าวเพราะงานดีค่าแรงถูก ทั้งๆที่ทำอยู่น่ะเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน คนที่รู้สิทธิทางกฎหมายเขาไม่มาทำให้เสียเวลาในชีวิต เสียพลังงาน แถมเจ็บป่วยไม่รับผิดชอบหรอก แล้วก้ไปว่าเขาว่าขี้เกียจเลือกงาน
พวกนี้พอออกมาเปิดพวกร้านอาหารไทยตามเมืองนอกก็เอานิสัยแบบเดียวกันมาใช้ เช่นจ้างแรงงานไทย แต่จ่ายไม่ยุติธรรม จ่ายแบบเหมาจ่ายบ้าง ให้ ชม ละ 10 ดอล ทั้งๆค่าแรงมาตรฐานนั้น 14 ดอล ขึ้นไป ไม่ก็บังคับให้ทำเกินเงื่อนไขวีซ่าบ้าง งานก็หนักหน่วง ใครเรียกร้องอะไรก็จะโดนถีบออกแล้วเอาไปบอกในหมู่คนไทยใส่ร้ายป้ายสีว่าแย่ เรื่องมาก อย่าไปรับมัน ทั้งๆที่ๆเรียกร้องนั้นมันตามกฎหมายแรงงาน
#การจ้างงาน #แรงงานต่างด้าว #คนไทย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แซวนิดแซวหน่อย แหม๋ดิ้นกันจัง บางที 'เส้นสองสลึง' ยังขาดยากกว่า 'ความอ่อนไหว' ของพวกคุณเลยนะครับ olo
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“ความผิด” ฉกรรจ์ของหลิวเสี่ยวโป 61 ปี คือเขายอมสละชื่อเสียงเกียรติยศในฐานะ “นักวิชาการ” ในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยดัง มาร่วมสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตย ที่นำโดยกลุ่มนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมินปี 1989 ก่อนหน้านั้น เขาเล่าเรียนด้านวรรณกรรมจนจบเอก ได้รับบรรจุเป็นอาจารย์ใน Beijing Normal University ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ของจีน มีงานเขียนทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์มากมาย ได้รับเชิญไปสอนที่ Columbia University, University of Oslo และUniversity of Hawaii แต่เมื่อนศ.นำประชาชนลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องให้จีนเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น เขาไม่อาจอยู่เฉยได้ เขาเดินทางกลับมาจีน สนับสนุนการชุมนุมของนศ. แต่นั่นเป็น “จุดจบ” ทางวิชาการของเขา
เขาติดคุกระหว่างปี 1989-1991 เมื่อได้รับการปล่อยตัวก็ถูกติดตามทุกฝีก้าว ห้ามให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ (สื่อในประเทศไม่มีอยู่แล้ว) ปี 1993 เขาได้รับเชิญไปออสเตรเลีย มีคนแนะนำให้เขา “ลี้ภัย” ที่นั่น แต่เขาไม่ทำ เขาเดินทางกลับมาจีน และยังคงเขียนงานเรียกร้องประชาธิปไตยต่อไป ปี 1995 เขาถูกจับอีก เพราะจัดชุมนุมวาระครบหกปี เหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน คราวนี้ถูกขังในบ้านยาว เมื่อได้รับการปล่อยตัว เขาก็ยังคงเขียนงานงานเผยแพร่ต่อ ก็ถูกจับอีก คราวนี้ถูกส่งเข้าค่ายแรงงานในชนชท เพื่อ “ปรับทัศนคติ” (reeducation) อีกสี่ปี (เขาแต่งกับภรรยาคนปัจจุบัน คุณหลิวเสียที่นี่)
เมื่อได้รับการปล่อยตัวในปี 2000 เขายังเขียนงานด้านสิทธิมนุษยชนต่อไป ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับรัฐบาลเผด็จการจีนคือ การที่เขาเป็นแกนนำเขียน Charter 08 ( https://www.cecc.gov/resources/legal-provisions/charter-08-chinese-and-english-text ) เมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องให้จีนเปิดกว้าง ยอมรับการมีส่วนร่วมของประชาชน เคารพหลักสิทธิมนุษยชน ฯลฯ ปี 2009 ศาลสั่งจำคุกเขา 11 ปี
สรุปว่า ช่วงครึ่งหลังของชีวิตหลิวเสี่ยวโป คือหลังอายุ 34 เป็นต้นมา เขาอยู่ในคุกมากกว่าข้างนอก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น เขาเป็นนักวิชาการที่รุ่งโรจน์มาก เขายอมสละความมั่นคงของชีวิต เพื่ออุดมการณ์ และ “ความผิด” ของเขาในสายตารัฐบาลจีนคือ การเขียนหนังสือ เขาไม่ได้จัดตั้งใคร เขาเพียงแต่เขียนหนังสือ เผยแพร่ความคิดที่เขาสนับสนุน เขาไม่เคยสนับสนุนการล้มพรรคคอมมิวนิสต์ หรือการใช้กำลังรุนแรงแต่อย่างใด
ในปาฐกถาพิธีรับรางวัลโนเบลปี 2010 (ซึ่งเขาไม่ได้ไปหรอก เพราะติดคุกอยู่) เขาบอกว่า “I have no enemies and no hatred.” ( https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/peace/laureates/2010/xiaobo-lecture.html ) เขาไม่คิดว่าใครเป็นศัตรู และไม่เคยเกลียดชังใคร ไม่ว่าจะเป็นตำรวจที่สอดแนมเขา อัยการหรือศาลที่ตัดสินให้เขารับโทษ “None of the police who monitored, arrested, and interrogated me, none of the prosecutors who indicted me, and none of the judges who judged me are my enemies.” เขาเห็นว่า “ความเกลียดชังทำลายสติปัญญาและสามัญสำนึกของมนุษย์” “Hatred can rot away at a person's intelligence and conscience.” กับรัฐบาลเผด็จการ ชิงชังประชาชน เขาเห็นว่าต้องแก้ไขด้วยการแผ่เมตตาและให้ความรักแก่คนเหล่านี้
หลิวเสี่ยวโปกำลังจะตายครับ เขาป่วยเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย สภาพที่เลวร้ายในเรือนจำของจีนเป็นต้นเหตุสำคัญ ( https://nyti.ms/2v2nEzJ ) แม้ตอนนี้ได้ออกมารักษาตัวในโรงพยาบาลข้างนอก (คงไม่อยากให้ตายในคุก) แต่ทางการจีนไม่ยอมให้เขาไปรักษาตัวในต่างประเทศ แม้มีรัฐบาลหลายแห่งยื่นมือช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ความจริง ด้วยอาการแบบนี้ เขาไม่รอดอยู่แล้ว นี่คือรัฐบาลจีนที่โหดร้ายในยุคของนายสีจิ้นผิง ระบอบที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้จะดำรงอยู่ได้หรือ?
ปล. ถ้าเขาเสียชีวิตในเร็ววัน ก็จะถือเป็นผู้รับรางวัลโนเบลสันติภาพคนที่สองที่ตายคาคุก ต่อจาก Carl von Ossietzky (1889 -1938) ซึ่งรณรงค์เพื่อสันติภาพ ไม่สนับสนุนการสะสมอาวุธ ที่ถูกพวกนาซีเยอรมันขังคุกจนตาย สามปีหลังเขาได้รางวัลนี้ แล้วรัฐบาลจีนกับระบอบนาซีต่างกันอย่างไร? #LiuXiaobo
http://wapo.st/2tCOXmv
https://en.wikipedia.org/wiki/Liu_Xiaobo
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"สาวน้อยวัย 14 ปี รณรงค์ให้โรงเรียนจัดหาผ้าอนามัยให้เด็กๆในโรงเรียนใช้ฟรี
Cordelia Longo สาวน้อยวัย 14 ปี จากโรงเรียนในวอชิงตัน ประสบปัญหาการหาผ้าอนามัยใส่ในโรงเรียนยามฉุกเฉิน เพราะถึงแม้โรงเรียนจะมีตู้กดแต่ก็เสียบ่อยและบางทีเธอก็ไม่มีเหรียญหยอด เธอสงสัยว่าทำไมผ้าอนามัยของผู้หญิงถึงไม่ใช่สิ่งที่เธอควรจะได้รับฟรีๆเหมือนกับกระดาษทิชชู่ เธอจึงได้ทำเรื่องร้องเรียนและรณรงค์ให้โรงเรียนจัดหาผ้าอนามัยให้เด็กๆใช้ฟรี
"ทำไมกระดาษเช็ดมือและทิชชู่ห้องน้ำถึงเป็นของฟรี แต่ผ้าอนามัยถึงไม่ฟรีล่ะ ?" เธอเขียนในจดหมายถึงฝ่ายบริหารของโรงเรียน "กระดาษเช็ดมือและทิชชู่ในห้องน้ำเป็นสิ่งที่ใช้กันปกติเพื่อเช็ดทำความสะอาดของเสียที่เกิดจากระบบของร่างกายเรา ผ้าอนามัยก็เป็นสิ่งที่ใช้ทำความสะอาดของเสียในร่างกายอันเป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติเช่นเดียวกัน
สิ่งที่แตกต่างอย่างเดียวคือ มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องใช้ผ้าอนามัย แต่ผู้หญิงก็ไม่ได้เลือกที่จะมีหรือไม่มีประจำเดือนเสียหน่อย แล้วทำไมผู้หญิงกลับถูกลงโทษโดยการต้องจ่ายเงินในสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติของร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้เช่นนี้ล่ะ"
ในระหว่างที่ร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังฝ่ายบริหารของโรงเรียน เธอก็ได้ไปซื้อตะกร้าและผ้าอนามัยมาวางไว้ในห้องน้ำโรงเรียนเพื่อแจกให้เพื่อนในโรงเรียนฟรีๆ พร้อมติดป้ายว่า "สิทธิสตรีคือสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนคือสิทธิสตรี"
Longo ได้รับการสนับสนุนจากครูและเด็กในโรงเรียนทั้งชายและหญิง 100 รายชื่อ ทำให้โรงเรียนต้องมีเครื่องกดผ้าอนามัยให้นักเรียนใช้โดยที่ไม่ต้องเสียสตางค์เหมือนแต่ก่อน
นักเรียนหญิงหลายคนทั่วโลกต้องขาดเรียนเพราะว่าไม่สามารถหาผ้าอนามัยใส่ได้ จากผลสำรวจของแอพติดตามการมีประจำเดือน (Clue) เผยว่า 17% ของผู้ใช้ ต้องสูญเสียโอกาสบางอย่างที่สำคัญไปเนื่องจากมีประจำเดือน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความอายต่อระบบร่างกายของตัวเอง แต่เป็นการสูญเสียโอกาสด้วย
...
(อ่านต้นฉบับเต็มๆได้ที่ How This 14-Year-Old Got Free Pads & Tampons in Her Middle School http://www.teenvogue.com/story/teen-school-bathroom-tampons-pads ) "
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้าร้องเรียนแบบนี้ในไทย กระดาษชำระจะถูกเอาออกไปด้วย
งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย คนนั่งนับเงินกระดิกตีนจิบกาแฟได้กล่าวไว้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ร้องเรียนให้มุสซี่ไปละหมาดกันในเล้าหมูกับวัดไทยพุทธบ้างงดิ ตั้งมัสยิดมาละรำคาญเสียงสวดเห่าหอน
Rogelio Andaverde หนุ่มวัย 34 ปี นึกอยากออกไปดื่มกับเพื่อน ๆ แต่แฟนของเขาไม่ยอม บอกให้อยู่บ้าน
แต่ Rogelio อยากออกไปมาก เลยวางแผนกับเพื่อน ๆ ให้ทำทีมาลักพาตัวเขาออกไปที เอาแบบสมจริงหน่อย ๆ
ผลที่ได้คือ เพื่อนตัวดีมาตามคำขอ คลุมหน้า ทำเสียงตะโกนโวยวาย เอาปืนขู่ ก่อนจะลาก Rogelio ออกจากบ้าน โยนใส่รถ แล้วขับออกไปหน้าตาเฉย
ทำเอาแฟนสาวตกใจแทบสิ้นสติ กับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้า... แน่นอนเธอแจ้งตำรวจ
ตัดกลับมาที่ Rogelio กำลังสนุกสนานกับเพื่อน ๆ อย่างมากมาย
ในขณะที่ตำรวจทั้งกอง และเฮลิคอปเตอร์ ระดมตามหาตัวเขาให้ควัก แต่ก็หาไม่เจอ
เช้าวันต่อมา Rogelio Andaverde ก็เดินทางกลับบ้าน ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ บอกว่า พวกนั้นใจอ่อน ยอมปล่อยกลับมา
เรื่องเหมือนจะจบ แต่ไม่จบ เมื่อตำรวจพยายามสืบต่อไป มันเกิดอะไรยังไง ผลก็มาลงเอย โป๊ะแตกกกกก
Rogelio Andaverde ถูกตั้งข้อหาสร้างเรื่อง ทำเรื่องเท็จ บลา ๆ ๆ โดนปรับเงิน 2,000 ดอลลาร์ และจำคุกอีก 6 เดือน
ไม่ได้ออกดื่มอีกเลย 6 เดือน คุ้มกันไหมล้า
ในข่าวเขียนว่าโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 2,000$ หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ไม่ได้ถูกตัดสินลงโทษ ซึ่งไม่รู้นะว่าจะเจรจากันออกมาแบบไหน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วิธีทำการทดลองรถไฟทับเหรียญที่ถูกต้อง ควรอมเหรียญไว้ในปากก่อน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
#เรื่องเล่ายามดึก ตั้งแต่มาอยู่จีน มาใช้ชีวิตต่างประเทศ ทำให้ความคิดในการปฏิบัติกับแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเปลี่ยนไป
ย้อนไปเมื่อสมัยวัยรุ่น ตอนอยู่ไทย ก็ใช้ชีวิตสนุกๆ หาเรื่องมาพูดคุยเฮฮาตามปกติ ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนนั้น มุขประมาณว่า "พูดไทยไม่ชัด" ล้อเลียนสำเนียงพูดไทยของคนต่างชาติ โดยเฉพาะแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านและจากชนเผ่าต่างๆ เช่น ไทยใหญ่ เป็นมุขที่มักเรียกเสียงฮาได้เสมอ ตามหน้าจอทีวีก็มักจะมีมุข ร้องเพลงชาติไทยไม่ชัด ร้องเพลงชาติลอยกระทงอยู่เนืองๆ
เวลาไปร้านอาหารในเชียงใหม่ สมัยที่เรียนในรั้วมช. ผมเป็นคนหนึ่งที่มักจะแสดงอาการหงุดหงิดที่พนักงานเสิร์ฟที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือไทยใหญ่ พูดไทยไม่ชัด ฟังไทยไม่ค่อยออก ต้องให้พูดหรือถามซ้ำบ่อยๆ
แต่เวลาที่ชาวต่างชาติจากอเมริกา ทวีปยุโรป ออสเตรเลีย หรืออื่นๆที่มีลักษณะที่เราเรียกเขาว่าฝรั่งและให้เกียรติเขา หากเขาพูดไทยไม่ชัด ผมกลับมองว่าน่ารัก ดูโอเค ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่พอเป็นเหตุการณ์พนักงานเสิร์ฟ ผมกลับหงุดหงิดและไม่พอใจเขา พอผมมองกลับไปตอนนั้น สิ่งที่ทำมันดูแย่มาก และผมแอบเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่คงเคยเป็นคล้ายๆผมตอนนั้น
กรรมมันไวยิ่งกว่าติดจรวด
หลังเรียนจบปริญญาตรีจาก มช. ไม่ถึงปี ผมบินลัดฟ้ามาเริ่มต้นชีวิตต่างแดนที่กรุงปักกิ่งประเทศจีน ในปี 2011 ที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการชดใช้กรรมที่เคยทำไว้
ผมกลายเป็น "ต่างด้าว" ในสายตาใครหลายคน และด้วยความที่มีเชื้อจีน และหัวดำ คนจีนจำนวนไม่น้อยจึงมองว่าเป็นคนจีน ไม่ใช่ต่างชาติ แต่พอเวลาพูดออกมา ด้วยความที่พูดจีนไม่ชัด และมีปัญหาการพูดตั้งแต่ลืมตาดูโลก คือ "ติดอ่าง" คนจีนหลายคนก็หัวเราะ และแอบนินทาเรา สายตาที่มองก็ไม่ต่างจากที่เราเคยมอง "คนต่างด้าว" สมัยที่อยู่ไทย
ผมเคยเจอหนักถึงขนาดที่คนจีนถามประมาณว่า เป็นชนเผ่า ชนกลุ่มน้อยหรอ แล้วก็หัวเราะ หรือไม่ก็จะล้อเลียนสำเนียง หรือไม่ก็ทำท่าติดๆขัดๆแบบที่ผมเป็น และหัวเราะ พร้อมเดินจากไป
สิ่งที่เล่ามา ไม่ได้เจอจากคนจีนทุกคนหรอกครับ แต่ก็ทำให้เราได้รู้สึกตัวว่า "ต่อไปนี้ จะไม่ปฏิบัติแย่ๆกับคนที่เราเรียกว่า ต่างด้าว ในไทยอีก" คนทุกคนมีปัญหาไม่เหมือนกัน อย่างเช่นผม ผมมีปัญหาการพูด และมาจีนแรกๆ ก็ไม่ได้ภาษาจีนเลย ดังนั้นการสื่อสารแย่สุดๆ แต่ผมก็พยายามสุดๆที่จะทำให้ได้ แต่พอโดนแบบที่เล่ามา กำลังใจก็แทบหายไปเลย ดังนั้นเราไม่ควรทำลายกำลังใจของใคร
ตั้งแต่นั้นมา เวลากลับไทย ผมจะปฏิบัติกับคนที่พยายามพูดภาษาไทยและใช้ชีวิตในไทย อย่างดีที่สุด พยายามช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ และพยายามไม่ทำลายกำลังใจของใคร
ที่สำคัญ ผมก็แปรเปลี่ยนสิ่งที่โดนทำไม่ดี มาเป็นแรงผลักดันในการเรียนและใช้ชีวิตที่นี่ ซึ่งต้องยอมรับว่าอยู่ที่นี่ผมได้เรียนรู้และฝึกจิตใจ ได้รับมุมมองใหม่ๆ แม้หลายครั้งจะทำพลาดไปบ้าง แต่เมื่อรู้ว่าพลาดก็ทำให้ดีขึ้น
ที่เล่ามาทั้งหมด คืออยากฝากไว้เป็นข้อคิด ไม่ว่าจะอยู่จีน อยู่ไทย หรือประเทศไหนก็ตาม การปฎิบัติตนกับคนรอบข้าง และฝึกจิตใจ ฝึกระบบความคิด มุมมองของเรา คือสิ่งที่สำคัญมาก
หวังว่าโพสต์นี้จะมีประโยชน์สำหรับทุกคนครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“แน่นอนว่า ผมได้มีโอกาสดูเกมระหว่าง เบลารุส กับ บูร์กินาฟาโซ ซึ่งการเจอกับทีมจากยุโรปย่อมเป็นเกมที่ยากเสมอ แต่เราก็ได้เตรียมทีมมาเป็นอย่างดี อย่างที่ โจเซ มูรินโญ เคยกล่าวไว้ มันไม่สำคัญว่ารูปเกมจะออกมาอย่างไร ผลการแข่งขันตั้งหากที่สำคัญกว่า และเราจะทำให้ดีที่สุดในเกมนัดนั้น”
#มิ(ตรสหาย)โลวาน ราเยวัช
"สังคมไทยไม่มีความหวังให้กับคนรุ่นต่อไป"
ผู้คนก่นบ่นว่าเรื่องคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย ว่ามีปัญหา ไม่ได้คุณภาพ ลงเงินทรัพยากรไปมากมายและได้ผลไม่คุ้มค่า แรงงานไม่มีคุณภาพ ไม่มีวินัย ไม่มีความรู้ ไม่มีทักษะ บัณฑิตไม่มีคุณภาพ ทำงานไม่ได้ คนรุ่นใหม่ติดหนี้ติดสิน ติดยา สุขนิยม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้โพล่งเข้ามาในบทสนทนาในกลุ่มต่างๆ ที่เราคุยกันในแวดวงคนมองโลกในแง่ลบอยู่เนืองๆ
เมื่อวานนี้มีคนไม่ประสงค์ออกนาม "ศอกกลับ" ในแนวคิดอีกทางหนึ่ง ผมถึงกับนอนไม่หลับ คิดอยู่ทั้งคืนว่าเหตุผลที่เขาให้มานั้น มันจริงหรือไม่อย่างไร
แนวคิดของท่านนั้นเริ่มที่ว่า อย่าไปว่าคนรุ่นใหม่เสียทั้งหมด ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ทรัพยากรประเทศเราแน่น แล้ว ที่ดิน ทรัพยากร สัมปทาน สิทธิในการทำหรือไม่ทำ ที่จะสามารถจับจองได้ อยู่ในมือคนส่วนน้อยของประเทศทั้งหมดแล้ว
2. สังคมที่เป็นลำดับชั้นและเป็นสังคมปิด ทำให้ยากต่อการทำมาหากินของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก ถึงมีการศึกษา เรื่องของเส้นสาย พวกใคร พวกมัน มันฝังรากลึกในสังคม
3. ลูกหลานเราไม่โง่ เพียงเขาเห็นว่า เขาทำอย่างไรก็ไม่มีทางลืมตาอ้าปากมีรายได้เกินรายได้ปานกลางค่อนน้อยได้ เพราะ ค่าแรงงานก็ถูกกดไว้ ค่าครองชีพก็สูงขึ้น ทำมาหากินอะไรก็ถูกกีดกัน ไม่เป็นธรรมจากระบบการคอรัปชั่นของภาครัฐ และ การกีดกันเอาเปรียบทุกเม็ดจากธุรกิจขนาดใหญ่ รากเหง้าของการโกง คอรัปชั่น เอารัดเอาเปรียบ คงต้องลดลงบ้าง ดูอย่างเงินเดือนแรกเข้าวิศวกรในยี่สิบห้าปีผ่านมาเพิ่มขึ้นสัก 20% ขณะที่ข้าวแกงราคาเพิ่มขึ้น 560%
4. คนรุ่นใหม่เราเลยไม่มีความหวัง สุขนิยมกับ รอยสักตามร่างกาย, สายลมที่โชยพัดผ่านปลายผมบนมอเตอร์ไซด์ที่ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, กับเบียร์สิงสาราสัตว์แกล้มหมูกระทะที่กินได้ไม่อั้น จะติดหนี้บัตรเครดิต ไม่ใช้หนี้ กยศ. คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่มีความหวังอยู่แล้ว
5. ด้วยระบบการกระจายทรัพยากร สินทรัพย์ ของสังคมที่มีอยู่ พวกคนรุ่นใหม่เขามีความสามารถ ขยัน เรียนดี ซื่อสัตย์ อย่างไร ก็ไม่มีทางรวยและลืมตาอ้าปากได้ตามระบบปกติ เพราะดูกดเอาไว้จากระบบการถือครองทรัพยสินเพราะลืมตามาดูโลกก่อน และมีโอกาสจากเหตุการณ์ในช่วงเวลา เช่น แต่ก่อนมีคนรวยมากๆ จากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้น
6. "เงินเป็นของบุคคล แต่ทรัพยากรเป็นของสังคม" เรามีคนมีเงินใช้โอกาสที่เกิดก่อนไปถือครองทรัพยากร แต่ไม่ก่อให้ทรัพยากรนั้นเกิดประโยชน์กับสังคม อย่างนี้มันจะใช้การได้อย่างไร
มีคนพูดกันเลื่อนลอยว่าเราต้องมีภาษี มรดก ภาษีที่ดิน ในอัตรา ก้าวหน้า ก้าวแบบหน้ามืด เลยครับ เพื่อคืนทรัพยากรให้กับ กองกลาง เมื่อลมหายใจหมดสิ้นไป เล่นเกมก็ต้องล้างไพ่กันบ้าง สิ่งเหล่านี้ ที่ไม่อยากให้เกิด (รวมผมเองด้วย) จะเป็นกลไกที่คืนความหวังให้กับคนรุ่นใหม่ในสังคม. เราจะยอมกันไหมให้มีภาษีมรดกที่เกิน 5 ล้านบาท มีอัตรา 60% เราจะรับได้ไหมว่าใครถือครองที่ดินสำหรับอยู่อาศัยที่เกิน 100 ตารางวา มีภาษีที่ดิน 20% ของราคาประเมิน ต่อไป และถ้ามีที่ดินไม่ได้ทำอะไรตากแดดไปวันๆ ให้เสียภาษี 40% ของราคาประเมินต่อปี อ๊าก ผมคงขาดใจตายคนหนึ่ง
และ...คนรุ่นผมอีกทั้งคนรุ่นก่อนหน้าและตามมา จะมาเริ่มสร้างสังคมที่มีความหวังให้กับคนรุ่นต่อไปอย่างไร
(ความเห็นข้างบนเป็นแบบเปรยๆ นะครับ ยังไม่ตกตะกอนสักทีเดียว)
เมื่อหลายปีนานมาแล้ว ผมมีโอกาสได้คุยกับน้องคนนึงที่เป็น FC งานเขียน
น้องเขาถามผมว่า พี่เล่นแต่อาชีพนักดาบอาชีพเดียว พี่ไม่เบื่อเหรอ ?
ผมตอบ... ไม่เบื่อนะ เพราะมันเป็นอาชีพที่ใช่ พอมันใช่ เราก็เลยชอบ พอชอบก็เล่นได้เรื่อย ๆ ไม่เบื่อ
น้องเขาถามต่อ... แล้วพี่รู้ได้ยังไง ว่าอาชีพนี้มันใช่ ทั้ง ๆ ที่ในเกมก็มีตั้งหลายอาชีพให้เล่น
ผมตอบ... ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าชอบอาวุธดาบ ก็เลยเล่น แค่นั้นเอง ส่วนใช่ไม่ใช่ กว่าจะรู้ก็ต้องเล่นไปสักพักนึง ใช้ชีวิตไปสักพักนึง
ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่ ก็เลิกไปเล่นอาชีพอื่น แต่ของผมมันใช่ ก็เลยเล่นไปยาว ๆ
.
.
.
ตอนนั้น ผมแนะนำอยู่ในขอบเขตของเกมครับ ไม่ได้คิดอะไรมาก และผมก็ไม่รู้เลยว่า พออีกหลายปีผ่านไป น้องคนนี้เรียนจบ ปัจจุบันไปเป็นครูสอนเด็กมัธยม
เขาจะนำแนวคิดนี้ไปสอนเด็กนักเรียนได้
น้องคนนี้กลับมาเล่าว่า เรื่องเรียนเก่งก็เป็นเรื่องที่ซีเรียส แต่ที่ซีเรียสกว่าก็คือ เขาอยากให้เด็ก ๆ รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ใช่สำหรับเขา
สมัยเล่นเกม กว่าครูจะเจออาชีพที่ใช่ ครูแม่งเล่นจนเกือบหมดทั้งเกม ตั้งแต่นักดาบ โจร นักธนู นักเวทย์ กว่าจะรู้ว่าชอบอโค ก็เสียเวลาไปตั้ง 2 เดือน
แต่ก็โคตรคุ้มที่หาเจอ เพราะมันกลายเป็นแนวทางสำหรับไปเล่นเกมอื่นด้วย
และที่คุ้มสัส ๆ ยิ่งกว่า ก็คือ มันเป็นแนวทางที่เขาเอามาปรับใช้กับชีวิตได้ด้วย
เด็กหลายคนอยากเจอสิ่งที่ใช่ แต่ก็ไม่รู้จะหายังไง ด้วยความที่เราผ่านกันมาแล้ว มันแนะนำได้เลย
ว่าทางเดียวที่จะเจอก็คือ ต้องหาอะไรทำไปเรื่อย ๆ พร้อมกับถามใจตัวเองไปด้วยว่า สิ่งนี้มันใช่หรือยัง
.
.
.
ผมได้ฟังน้องเขาเล่าก็อึ้ง เออ เฮ้ย ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรไกลกว่านี้จริง ๆ นะ 555+ สาบานเลย
แต่พอมาได้ฟังแบบนี้ พร้อมกับได้รับคำขอบคุณ มันก็อดยิ้มไม่ได้ 😊 และรู้สึกว่า อยากเขียนแชร์เรื่องนี้จัง
บางทีการเล่นเกมสอนอะไรเราเยอะนะ เยอะมาก แต่เกมกลับไม่ได้รับเครดิตอะไรที่มากไปกว่าความสนุกสนาน
ถ้ามีเวลาว่าง ๆ ผมอาจจะต้องทบทวนชีวิตตัวเองหน่อยละมั้ง ว่าอะไรดี ๆ ที่มีอยู่ในวันนี้ ผมอาจได้รับมาจากตอนเล่นเกมก็ได้
เพราะนักดาบคนนั้น กับนักเขียนคนนี้
มันก็คนเดียวกันนี่หว่า...
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
10 ปาฏิหาริย์ที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนของเท็ตสึยะ โนมุระ
.
------------------------------------------
1. โดนโจรจี้
------------------------------------------
.
ในปี 2011 หลัง Final Fantasy Versus XIII เปิดตัวมาได้ 5 ปี ในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งย่านชินจูกุ คุณโนมุระเคยโดนโจรข้างถนนจี้เอาเงิน ขณะที่กำลังเปิดกระเป๋าตังค์เพื่อเตรียมส่งเงินให้ ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งตกจากกระเป๋าตังค์ออกมา
.
"เฮ่ย นั่นมันวันวางจำหน่าย FF Versus XIII" โนมุระอุทาน
.
ด้วยความตกใจ โจรรีบก้มลงไปหยิบกระดานขึ้นมา เขากางออกมาก่อนจะพบว่ากระดาษแผ่นนั้นเป็นกระดาษเปล่า ไม่มีอะไรเขียนอยู่ พอลองพลิกอีกด้าน ก็เป็นกระดาษเปล่าอีกเช่นกัน
.
โจรตะคอกถามว่านี่มันอะไรกันวะ!!? ก่อนจะพบว่าคุณโนมุระใช้จังหวะนั้น โกยฝุ่นตลบหนีไปแล้ว...
.
.
.
.
------------------------------------------
2. ผจญมนุษย์ต่างดาว
------------------------------------------
.
ต้นปี 2013 ในคืนหนึ่งซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานอยู่ในออฟฟิซ ระหว่างที่คุณโนมุระออกมาหาของกินที่ร้าน Lawson หน้าปากซอย เจ้าตัวก็โดนแสงลึกลับดูดขึ้นฟ้า วินาทีถัดมาที่ได้สติ ก็มาปรากฏตัวอยู่บนยานอวกาศต่อหน้ามนุษย์ต่างดาว
.
มนุษย์ต่างดาว : !@#$%^&#&@)$)($*_@$)+
.
โนมุระ : แย่ล่ะสิ... ปล่อยผมไปเถอะครับ ผมยังมีภาระที่ต้องสะสาง งานที่สุมไว้เป็นตั้ง
.
มนุษย์ต่างดาว !!#%%&*&#@$*(@#&($!$&*#
.
ไม่ว่าจะด้วยความเคร่งเครียด ความรู้สึกรับผิดชอบ ความหวาดกลัว จะเพราะฟังภาษาของมนุษย์ต่างดาวไม่เข้าใจ หรือเหตุผลกลใดก็ตาม แต่คุณโนมุระก็ตัดสินใจ ตะคอกมนุษย์ต่างดาวกลับไปสั้น ๆ ว่า
.
"สาสสสสสสส~!!! มึงอยากเล่น Kingdom Hearts III มั้ยยยย!!?"
.
เพียงเท่านั้น... เอเลี่ยนก็ส่งคุณโนมุระกลับสู่ร้าน Lawson หน้าปากซอย แถมสเลอปปี้และหนมจีบกุ้งให้อีกไม้....
.
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณโนมุระ ต้องตั้งทีมพัฒนา Kingdom Hearts III และเปิดตัวในงาน E3 2013
.
.
.
.
------------------------------------------
3. ลงนรก
------------------------------------------
.
ในปี 2014 หลังข่าวว่าคุณโนมุระถูกถอดออกจากการเป็นผู้กำกับ Final Fantasy XV เริ่มกระจายออกไปในวงกว้าง ช่วงนั้นคุณโนมุระแกเก็บตัว ทั้งเศร้าและโกรธ ไม่อยากคุยสุงสิงกับใคร
.
วันหนึ่งแกไปขับรถอย่างฟุ้งซ่านขาดสติจนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ร่างกายหมดสติไป หัวใจหยุดเต้น อยู่ท่ามกลางความเป็นตาย ตอนนั้นเองจิตของคุณโนมุระก็ได้มาอยู่ต่อหน้ายมราช
.
"มนุษย์ผู้ต้อยต่ำและบาปหนา สูญเสียกำลังใจและเป้าหมายในการทำงาน ขาดสติจนถึงแก่ความตาย เจ้าคิดว่าตนเองยังมีเหตุผลสมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่?" ยมราชไต่ถาม
.
"น่าเสียดายนะ ถ้ามีโอกาส... ผมก็อยากจะรีเมค Final Fantasy VII สักครั้ง..."
.
สิ้นคำตอบนั้น คุณโนมุระก็ฟื้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าตัวลืมตาตื่นขึ้นบนโลก และรอดตายมาได้ราวกับปาฏิหาริย์
.
ก่อนที่เขาจะไปหารือวางแผนแก้เคล็ดกับคุณคิตาเสะ นำไปสู่การจัดฉากเปิดตัว FFVII Remake ใน E3 2015
.
เพื่อหลอกยมราช... และเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองว่ากำลังพัฒนา FFVII Remake อยู่
.
.
.
.
------------------------------------------
4. พบพระเจ้า
------------------------------------------
.
ในปี 2015 คืนหนึ่งขณะที่คุณโนมุระกำลังนั่งสมาธิเข้าฌานตามปกติ จิตของเขาก้าวล้ำข้ามขอบเขตของกาลเวลา จนได้ไปพบกับตัวตนลึกลับที่เขาเชื่อว่าอาจเป็นพระผู้เป็นเจ้า
.
"ข้าคือผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้... ข้าผู้มองเห็นสายธารแห่งกาลเวลาทุกยุคสมัย..."
.
"เจ้านักสร้างเกมเอย... จงเอ่ยถามปริศนาที่เจ้าต้องการคำตอบ หากมันจะช่วยในการพัฒนาเกมแก่เจ้าได้..." คนที่น่าจะเป็นพระเจ้าเอ่ยถาม
.
คุณโนมุระตั้งสติคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับไปว่า
.
"Kingdom Hearts .......คืออะไร?"
.
สิ้นคำถาม... คุณโนมุระโดนพระเจ้า kick ออกจากมิติลี้ลับทันที
.
หลังจากนั้นจนถึงวันนี้ คุณโนมุระก็ไม่เคยได้พบพระเจ้าอีกเลย คาดว่าอาจจะโดนท่านจดเข้า Black List ไปแล้ว
.
.
.
.
------------------------------------------
5. อนาคตของมนุษยชาติ
------------------------------------------
.
ในปี 2017 คุณโยโกะ ยูกิโกะ เปิดเผยว่าสามีของตนเคยเป็นคนที่สดใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นในความยุติธรรม จนกระทั่งได้ไปดื่มกับคุณโนมุระในค่ำคืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน หลังจากวันนั้นมา สามีของตนก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน แถมยังหาหน้ากากแปลก ๆ มาใส่
.
ทราบภายหลังว่าในค่ำคืนนั้น สามีของตนได้สนทนากับคุณโนมุระในหัวข้อ "คิดว่าอนาคตของมนุษยชาติจะเป็นอย่างไร?"
.
แล้วคุณโนมุระก็ตอบสามีของคุณยูกิโกะว่า "มันก็เหมือนอนาคตของผมกับ FF Versus XIII นั่นแหละ!!!"
.
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้สามีของคุณยูกิโกะ ให้สัมภาษณ์ต่อเว็บไซต์ Glixel ในเวลาต่อมาว่า เขาไม่เชื่อว่ามนุษย์ที่รบราฆ่าฟันกันมากว่า 2,000 ปี จะมี Happy Ending ได้
.
.
.
.
------------------------------------------
6. ลูกและภรรยา
------------------------------------------
.
คุณโนมุระไม่เคยพูดถึงเรื่องภรรยาและลูกชายของตนให้สื่อใด ๆ ฟังมาก่อน เขามักเลี่ยงที่จะพูดถึงครอบครัวของตนเอง นั่นก็เพราะเขามีชีวิตครอบครัวที่แตกระแหง ไม่ค่อยอบอุ่นนัก
.
ภรรยาของคุณโนมุระเป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นแล้ว ส่วนลูกชายของเขาเป็นนักฟุตบอลรูปร่างสูงใหญ่ ฝีเท้าไม่เท่าไหร่ แต่ฝีปากไม่เคยเป็นรองใคร
.
ว่ากันว่าปัจจุบันลูกชายของคุณโนมุระเป็นนักเตะไร้สังกัด กำลังฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์...
.
.
.
.
------------------------------------------
7. สบายดีมั้ย?
------------------------------------------
.
วันก่อนสด ๆ ร้อน ๆ เลย... กรกฎาคมนี่แหละ
.
มีคนรู้จักของคุณโนมุระคนหนึ่ง ได้พบกับคุณโนมุระหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมา 2 ปี ก็เลยทักทายไปตามภาษาเพื่อน ถามไถ่ว่า "สบายดีมั้ย?"
.
คุณโนมุระตอบมาอย่างหนักแน่นว่า
.
"ไม่!!"
.
แล้วแกก็หัวเราะ 555555 5 5555 55 555 แล้วก็เดินหนีไปเลย...
.
.
.
.
------------------------------------------
8. อเวนเจอร์ส
------------------------------------------
.
โทนี สตาร์คเปิดเผยว่าครั้งหนึ่งตอนรวบรวมกำลังพลเพื่อไปเปิดศึก Civil War กับกัปตันอเมริกา (ผู้ชั่วร้ายกว่าวายร้ายทั้งมวลรวมกัน) เขาเคยไปชวนเท็ตสึยะ โนมุระ ให้มาเข้าร่วมทีมอเวนเจอร์สมาก่อน
.
ทว่าคุณโนมุระตอบปฏิเสธกลับมา ทำให้สตาร์คต้องไปหาสมาชิกใหม่ จนกระทั่งได้พบกับเด็กหนุ่มผู้เหมาะสมปีเตอร์ ปาร์คเกอร์
.
สตาร์คแฉว่าโนมุระปฏิเสธเขา โดยอ้างว่าติดทำ Kingdom Hearts III อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นแฟนตัวยงของ DC Comics โดยเฉพาะบรูซ เวย์น.... โนมุระจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับทางอเวนเจอร์สแต่อย่างใด
.
.
.
.
------------------------------------------
10. ความสุขในชีวิต
------------------------------------------
.
คุณโนมุระเคยเปิดเผยว่าช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต คือยามที่ได้เปิดฉายเทรลเลอร์ใหม่ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก เขามักเฝ้ารอที่จะได้เห็นปฏิกิริยา สีหน้าของผู้ชมแบบสด ๆ ว่าจะมีอารมณ์ร่วม ดีใจ กรีดร้อง หรือเฮ กับฉากไหนบ้าง หรือรู้สึกอย่างไรกันบ้าง
.
บางครั้งคุณโนมุระก็แอบมองผู้ชมจากหลังเวที หรือบางงานที่เขาเป็นคนพูดพรีเซนต์เอง ก็ยืนจ้องหน้าผู้ชมที่กำลังดูเทรลเลอร์อยู่ตรงนั้นเลย
.
รอยยิ้ม และความสุขที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของผู้ชมในเวลานั้น คือของขวัญที่ประเมินค่ามิได้และดีที่สุดสำหรับคุณโนมุระแล้ว
.
และเขาจะเก็บภาพที่เห็นนั้นไว้เป็นความทรงจำไม่รู้ลืม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Interviewer: How much milk do these cows give?
Farmer: Which one? The Black one or the brown one?
Interviewer: Brown one.
Farmer: A couple of litres per day.
Interviewer: And the black one?
Farmer: A couple of litres per day.
Interviewer(naturally a bit flummoxed): I see. What do you give them to eat?
Farmer: Which one? Black or brown?
Interviewer: Black.
Farmer: It eats grass.
Interviewer: And the other one?
Farmer: Grass.
Interviewer(now annoyed) : Why do you keep asking which one when the answers are the same?!
Farmer: Because the black one’s mine.
Interviewer: Oh, and the brown one?
Farmer: It’s also mine.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อ Sex สร้างโอกาส ...ช่องทางของสาวสตาร์ทอัพกับนักลงทุน
เรื่องจริงไม่อิงนิยายของ ‘Perri Chase’ หญิงสาวผู้ (เคย) มีความคิดอยากทำสตาร์ทอัพ และตัวเธอก็ก็เป็นคนนำเรื่องราวนี้มาถ่ายทอดผ่านทางเว็บไซต์ Business Insider
.
ฟังดูอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสักเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะครับ ก็แค่เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากเริ่มทำสตาร์ทอัพ แต่ที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องความฝันอยากมีธุรกิจสตาร์ทอัพของเธอเท่านั้น แต่มันคือเรื่องราวระหว่างทาง ความทะเยอทะยาน และวิธีที่เธอเลือกใช้ในการเดินหน้าสู่ความฝันที่อยากมีสตาร์ทอัพเป็นของตัวเอง ซึ่งเราขอบอกเลยว่าเรื่องนี้มันลึก มันแซ่บ กว่าที่คุณคิดไว้เยอะ ซึ่งเรื่องนี้ผมต้องของบอกไว้ก่อนว่า มันเป็นมุมมืดที่มีอยู่แทบจะทุกวงการ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันเท่านั้นแหละ และวันนี้เราจะมาล้วงลึกเรื่องราวนี้กัน
.
Perri Chase เธอมีความฝันทั่วไปเหมือนทุกคนนี่แหละครับ อยากมีธุรกิจ อยากเริ่มต้นสร้างอนาคต และเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เธอกำลังเริ่มต้นสตาร์ทอัพครั้งใหม่ เธอมีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาแนะนำเธอในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรู้ แนะนำหนังสือที่น่าสนใจ รวมไปถึงคอนเน็กชั่นต่างๆ ในวงการธุรกิจ โดย Perri Chase มีเป้าหมายว่า ‘ฉันจะต้องหาเงินมาสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพให้ได้ 2 ล้านดอลล่าร์’
.
แน่นอนว่าในตอนนั้น เธอได้มีโอกาสพบปะนักลงทุนมากหน้าหลายตา แต่เธอก็ไม่สามารถทำให้นักลงทุนคนไหนประทับใจในตัวผลงานของเธอได้เลย ทั้งๆ ที่เธอมีความพยายามเป็นอย่างมากนะ แต่มันก็ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี ...ในตอนนั้นความฝันของเธอที่อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็ต้องฝันค้างเอาไว้ซะงั้น
.
แม้ความฝันจะค้างเติ่งอยู่กับที่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะล้มเลิกความฝันของเธอไป ถึงเธอจะไม่ได้เงิน 2 ล้านดอลล่าร์อย่างที่ตั้งเป้าไว้ แต่เมื่อเธอลองมาคิดอีกที เธอก็รู้สึกว่า ‘อย่างน้อยก็ยังได้ร่วมงาน ได้พบเจอนักลงทุนดีๆ’ ซึ่งบางทีคนอื่นอาจจะไม่เคยมีโอกาสเช่นเธอเลยด้วยซ้ำ เมื่อเงินที่ตั้งเป้าไว้ยังไม่เป็นจริง เธอจึงตัดสินใจหาคอนเน็กชั่นให้มากขึ้น ทำงานหนักขึ้น หาวิธีที่จะเพิ่มเงินในกระเป๋าให้มากขึ้น และแน่นอนว่าเธอยังคงมีความฝันที่อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
.
หลังจากใช้เวลากว่า 10 ปี ในฐานะ Headhunter กับ Wall Street มันทำให้เธอรู้สึกว่าการหา Contact ใน Sillicon Valley ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันยากมากจริงๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะต้องพึ่งแต้มบุญใน Contact ไปซะทุกอย่าง ซึ่งมันยากมาก ถ้าคุณไม่มีคอนเน็กชั่นกับคนวงในเลย อย่าฝันว่าจะเข้าไปถึงตัวนักลงทุนแต่ละคนได้
.
จนกะทั่งวันหนึ่ง... ที่ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับโอกาสอีกครั้ง เธอได้พบกับนักลงทุนอิสระรายหนึ่ง และได้นัดคุย นัดเจรจากันที่บาร์ในโรงแรม ฟังดูเหมือนจะน่ากลัวไปสักนิดสำหรับผู้หญิงที่ต้องไปคุยงานกับนักธุรกิจที่บาร์ของโรงแรม แถมเป็นเวลากลางคืนอีกด้วย
…แต่สำหรับเธอ เธอมีประสบการณ์ลักษณะนี้มากว่า 20 ปีแล้วล่ะ ดังนั้นการพูดคุยเจรจาธุรกิจในบาร์มืดๆ นั่นจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับเธอแต่อย่างใด
.
พวกเขานัดเจอกันเวลาสี่ทุ่ม ซึ่งก็เป็นเธอนี่แหละ ที่เลือกนัดเค้าในเวลามืดค่ำแบบนั้น และแน่นอนว่าสถานที่นัดพบ เธอก็เป็นคนจัดการเองทั้งหมด (แม้ว่าในตอนนั้นยังไม่มีอะไรมาการันตีว่าเธอจะได้เงินลงทุน) แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอก็ค่อนข้างมั่นใจว่ายังไงนักลงทุนคนนี้ ก็ต้องยอมลงทุนให้เธอแน่นอน หากเธองัดไม้เด็ดออกมา
.
ไม้เด็ดที่ว่าก็ไม่ใช่เทคนิคการโน้มน้าวใจคนด้วยผลงานหรอกครับ แต่เป็น ‘จริตและเสน่ห์ของผู้หญิง’ ที่เธอมีนี่แหละ ที่เธอใช้ในการดึงดูดเหล่านักธุรกิจ (ส่วนมากจะเป็นผู้ชาย) ให้มาร่วมลงทุนธุรกิจไปกับเธอ แน่นอนว่าชายนักธุรกิจคนนั้น ไม่ได้มองเธอเป็นเพื่อนร่วมงานแล้วล่ะ แต่เขามองเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง (ที่บังเอิญอยากทำธุรกิจสตาร์ทอัพเท่านั้นเอง)
.
(ต่อเม้นล่าง)
( ต่อจาก >>770 )
แม้ว่าเป้าหมายในการพูดคุยครั้งนี้จะเป็นเรื่องธุรกิจ แต่บทสนทนาในคืนนั้นกลับมีเรื่องธุรกิจน้อยลงไปเรื่อยๆ และดื่มหนักมากขึ้น มากขึ้น จนในที่สุดเขาก็เอ่ยปากว่า...เขาต้องการนอนกับเธอ
.
ครับ...นั่นเป็นเรื่องที่เธอรู้อยู่แล้วล่ะ ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น เมื่อผ่านไปได้สัก 2-3 แก้ว เธอมักจะยื่นข้อเสนอว่า “ถ้าเราไปด้วยกันในคืนนี้ เขาจะไม่ได้ลงทุนร่วมกับบริษัทของเธอนะ คุณจะต้องการแบบนั้นจริงๆ เหรอ?” แน่นอนว่าฝ่ายชายไม่ได้สนใจไปที่เรื่องนั้นแล้วล่ะ เพราะใจเขาก็คิดแค่ว่าอยากจะไปกับเธอในคืนนี้ก็พอ
หลายคนอาจจะงงว่า อ้าว...แล้วงี้เธอได้อะไร?
.
ครับเธออาจจะไม่ได้เงินลงทุนจากคนนั้น แต่สิ่งที่เธอได้จากการกระทำดังกล่าวของเธอคือ ‘คอนเน็กชั่น’ ที่เธอนั้นมองว่าเป็นเรื่องสำคัญสุดๆ ในการทำธุรกิจ
.
เธอเริ่มใช้จริตความเป็นผู้หญิงของเธอในการทำงาน และใช้เป็นช่องทางในการเข้าหาคอนเน็กชั่น เธอมักจะนัดคุยงานที่บาร์ในเวลากลางคืนเสมอๆ แน่นอนว่าเธอได้คอนเน็กชั่นมาเพียบเลยล่ะ (แต่ไม่ได้แปลว่าเธอนอนกับผู้ชายทั้งหมดนะครับ)
.
Perri Chase กล่าวว่า เธอรู้สึกว่าสังคม วัฒนธรรม มันเป็นสิ่งที่บีบให้เธอคิดเช่นนั้น คิดว่าการใช้ความเป็นผู้หญิงดึงดูดเพศตรงข้าม เป็นอาวุธของผู้หญิง ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะเอาไปใช้ในแง่ไหน ซึ่งเธอเลือกแล้ว และดูเหมือนว่าเธอจะประสบความสำเร็จอย่างมากในวิธีแบบนี้ของเธอ
.
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะใช้ความเป็นผู้หญิงเป็นใบเบิกทางเข้าสู่วงการ แต่เส้นกั้นของเธอกับเหล่าผู้ชายที่เขามาพูดคุยเรื่องธุรกิจกับเธอก็มีอย่างชัดเจน เธอไม่มีสัมพันธ์ทางกายกับผู้ชายคนไหน และทุกอย่างก็เป็นไปได้สวย พวกเขาเริ่มเข้าหาเธอมากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาหรือสิ่งที่เธอสวมใส่อีกต่อไป แต่พวกเขาเข้ามาเพราะชื่อเสียงของเธอ เขารู้ว่าเธอทำอะไรได้ และศักยภาพของเธอมีมากกว่า การพูดคุยต่างๆ ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น และเธอไม่ได้ใช้มารยาหญิงในการพูดคุยธุรกิจอีกต่อไป จนเธอสามารถก้าวมาอยู่จุดที่เธออยากยืนได้สำเร็จ
.
แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป เมื่อเธอได้มองย้อนกลับมาเธอกลับรู้สึกว่า นี่ไม่ต่างอะไรกับการคุกคามทางเพศเลยสักนิด (ถึงแม้ว่าจะเป็นการยินยอมก็เถอะ) มันก็คือการคุกคามทางเพศแบบหนึ่งอยู่ดี เธอมองว่าสิ่งแวดล้อม สังคมทางธุรกิจ มันบีบบังคับให้ผู้หญิง (บางคน) ต้องเลือกทำเช่นนั้น และเมื่อเธอพบเห็นผู้หญิงทำในสิ่งที่เธอเคยทำ มันเป็นเหมือนมีดที่กรีดแทงเธอ ให้เป็นแผลฝังลึกอยู่ในใจ
.
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เธอเคยผิดพลาดไป แต่ในปัจจุบันนี้เธอก็เป็นคนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเหล่าผู้หญิงที่ได้รับบาดแผลทางใจจากเรื่องพวกนี้อยู่ และเธอก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงวงจรอุบาทว์ลักษณะนี้ ถึงแม้ว่าจะเคยเป็นคนเริ่มเองก็เถอะ
.
และนี้แหละครับคือเรื่องจริงจาก Perri Chase หญิงสาวผู้กล้าเปิดเผยว่าตัวเองเคยใช้พลังดึงดูดทางเพศเป็นช่องทางการหาคอนเน็กชั่นอย่างแท้จริง เราบอกไม่ได้หรอกครับ ว่าสิ่งที่เธอทำมันเป็นเรื่องถูกหรือผิด แล้วคุณล่ะครับ มีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้บ้าง เอามาแชร์กันได้เลยนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รายการ Master Chef พวกกรรมการมันรู้จักการทำอาหารหรือเปล่าวะ หรือสักแต่คลั่งชาติ ปัญญาอ่อน อ้างความเป็นไทยไร้สาระ คำวิจารณ์แต่ละอย่างไม่มีอะไรเกี่ยวกับอาหารเลย มีแต่ความคลั่ง เหมือนกรรมการที่มารายการนี้ อยากมาสำเร็จความใคร่ของตัวเองด้วยพล่ามความเป็นไทยเพื่อตัดสินคนมาแข่งอย่างเดียว
เทียบกับรายการของ Gordon Ramsey แล้วคนละเรื่องเลย จริงๆ Gordon เป็นเชฟปากเสีย อารมณ์ร้อน แต่เวลาด่าคนแข่งเค้าด่าเรื่องการทำอาหาร สุกไป ดิบไป ปรุงรสไม่ได้เรื่อง ไม่มีมาพล่ามดูถูกคนอื่นอ้างความเป็นชาติห่าเหวอะไรแบบคนไทยหรอก คือรายการทำแข่งการปรุงอาหารให้อร่อยถูกปาก และน่าทาน ไม่ได้แข่งความคลั่งชาติ
ไม่น่าเปิดมาเจอรายการทำอาหารห่วยๆ แบบนี้ตอนกินข้าวเลยมันทุเรศฉิบหายประเทศไทย มีแต่พวกนักชิมอีโก้สูงดูถูกคนอื่น กับเชฟหลงตัวเองคลั่งชาติปัญญาอ่อน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พวกเรียกร้อง e-sport ต่างอะไรกับเด็กแว้นท์เรียกร้องที่ซิ่งบนถนนครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พูดถึงท่านอาจารย์มาวิน 007 แล้ว เดี๋ยวนี้เราหารูปอาจารย์มาวินที่แท้จริงในผมเกิ้ลแทบไม่ได้แล้วนะคุณ ไฟล์ในเว็บประมูลก็โหลดไม่ขึ้นแล้วด้วย น่าเสียดายมาก เมื่อก่อนนี่พิมพ์ปั๊ปเจอปุ๊ปเลย กลายเป็นหนึ่งในอารยธรรมของประมูลที่ล่มสลายไปแล้ว ถ้าใครยังมี Mawin 007 ชุด Limited Collection ที่มีคนเอาไปปล่อยบิทให้ฝรั่งดูดกันเมื่อหลายๆปีก่อนอยู่ในเครื่องนี่คงจะเป็น Rare Item มากๆเลยอ่ะค่ะ ส่วนของหนูบินไปพร้อมกับ HDD เก่าแล้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นข่าวหมอเตือนห้ามให้ทารกกินกล้วย แต่ดันมีชาวไทยมาด่าหมอ แล้ว ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่
แม่ผมเป็นพยาบาล ผมเกิดในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เคยได้ยินวิธีการตายแบบมาสเตอร์พีชจากความเชื่อท้องถิ่นมาเป็นสิบๆรูปแบบ
ปัญหาใหญ่คือ คนไทยเชื่อหมอผี กับเรื่องที่ใครก็ไม่รู้พูดมา มากกว่าหมอ หมอบอกไม่เชื่อ แต่เชื่อจดหมายลูกโซ่สูตรยาผีบอกที่หย่อนอยู่ในตู้จดหมายก็มี
จากบันทึก เราพบว่าความเกรียนแล้วดื้อของชาวสยาม มีมาตั้งแต่วันที่การแพทย์สมัยใหม่เข้ามาในแผ่นดินสยามแล้ว โหดสัสมาตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อน
บุคคลที่ต่อสู้กับเรื่องนี้เป็นคนแรกคือ หมอปลัดเล หรือชื่อเต็มคือ แดน บีช บรัดเลย์ (Dr.Daniel Beach Bradley)
ในยุคที่หมอบรัดเลย์เกิด กระแสฟื้นฟูศาสนาในอเมริกันกำลังเฟื่องฟู มีความคิดในเรื่องรณรงค์เลิกทาส และเรียกร้องให้ผู้ศรัทธาทำมิชชั่น โดยการเดินทางไปยังประเทศที่ยังไม่พัฒนา เพื่อเผยแพร่ศาสนา และวิทยาการต่างๆ
หมอบรัดเลย์เป็นนายแพทย์ซึ่งเดินทางมายังประเทศไทยเป็นคณะมิชชันนารีของคณะอเมริกัน เข้ามาถึงประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2378 (1835)
ตอนนั้นหมออายุ 31 ปี เป็นผู้ร่วมเริ่มต้นพันธกิจคริสเตียนสายโปรแตสแตนท์ในประเทศไทย และร่วมก่อตั้งคณะเพรสไบทีเรียนสยาม ที่ต่อมาเป็นสภาคริสตจักรไทย
คิดว่าเมื่อหมอบรัดเลย์มาถึงสยาม คนไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 ตอบรับอย่างไร กับการแพทย์ตะวันตก?
กลายเป็นว่าคนสมัยนั้นมองว่า ศาสนา กับ วิชาต่างๆ เป็นเรื่องเดียวกัน
ประมาณว่า การรักษาโรคกับการไล่ผีเป็นสิ่งเดียวกัน ยาบำรุงธาตุกับความเชื่อเรื่องจักรวาลวิทยาของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งเดียวกัน อายุรเวทอินเดียถูกผนวกเข้ากับความเชื่อของศาสนาจนเป็นเนื้อเดียวกัน
ดังนั้นการแพทย์ตะวันตก จึงไม่อาจอธิบายให้คนสยามเข้าใจได้
พูดง่ายๆคือ สมมุติคนป่วยคือถูกผีเข้าก็ต้องหาว่านทีมีฤทธิ์ไล่ผีสิ ยาฆ่าเชื้อห่าอะไร
นอกจากนั้น เราก็รู้ดีว่าหมอหลวงจะมีท่าทียังไงเมื่อมีศาสตร์ใหม่ที่ได้ผลมากกว่าเข้ามาเหยียบแผ่นดิน คิดว่าหมอหลวงจะมีจิตวิญญาณไปขอเรียนเพื่อพัฒนาวิชาการแพทย์มารักษาคนงั้นเหรอ - คิดอะไรเป็นการ์ตูนหมอญี่ปุ่นแบบนั้น คุณก็รู้ว่าที่นี่สยาม
ผลคือการรักษาของหมอบรัดเลย์ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวสยาม เวลานั้นชาวจีนตอบรับการแพทย์ตะวันตกมากกว่า รวมถึงมีชาวจีนเปิดรับศาสนาคริสต์มากกว่า หมอบรัดเลย์ จึงเริ่มต้นก่อตั้งโรงหมอบริเวณแถวๆเยาวราชในปัจจุบัน เพื่อจ่ายยา และหนังสือศาสนาให้แก่คนไข้
ผลคือทางการสยามไม่ชื่นชอบหมอบรัดเลย์นัก จึงกลั่นแกล้งไม่ให้เช่าที่ต่อ โดยอ้างว่าเกรงจะทำให้ชาวจีนก่อกบฏ
หมออยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องย้ายไปอยู่บริเวณชุมชนชาวโปรตุเกส พวกคณะมิชชันนารีช่วยกันสร้างโอสถศาลาขึ้น เปิดทำการเมื่อ 30 ตุลาคม 2378(1835)
ปี 2379(1836 ) หมอบรัดเลย์ได้สั่งแท่นพิมพ์เข้ามาเป็นเครื่องแรกในสยาม และได้พิมพ์หนังสือเล่มแรกของสยามคือ "บัญญัติ 10 ประการ" เพื่อแจกในการเผยแพร่ศาสนา
วิชาของหมอยังไม่เป็นที่ไว้วางใจของชาวสยาม จนกระทั้ง 3 มกราคม 2380(1837) มีพระสงฆ์รูปหนึ่งถูกพลุที่ใช้ในงานวัดระเบิดใส่จนแขนขาด หมอบรัดเลย์จึงทำการผ่าตัดใหญ่เป็นครั้งแรกในสยาม ชื่อเสียงของหมอก็เลยดังขึ้นมา
(ว่ากันว่ามีการผ่าตัดเอาเนื้องอกจากทาสออกก่อนหน้านั้น ซึ่งควรนับเป็นครั้งแรกมากกว่า)
นั่นทำให้ชื่อเสียงของหมอบรัดเลย์ดีขึ้น ชาวสยามยอมรับการผ่าตัดต้อกระจก และเนื้องอก แต่จุดประสงค์ทางด้านศาสนาของหมอก็ไม่คืบหน้าเท่าไหร่ ทางการสยามสนใจงานด้านการพิมพ์ของหมอมากกว่า
ทางการสยามได้ให้การสนับสนุน และจ้างให้หมอพิมพ์เอกสารเรื่องการห้ามสูบฝิ่นของรัฐบาล 9,000 ฉบับ
ในปี 2384(1841) หมอบรัดเลย์ ก็สั่งหล่อตัวอักษรไทยเพื่อใช้เรียงพิมพ์ขึ้นได้เป็นครั้งแรก จากที่ก่อนหน้านี้ใช้บล็อกพิมพ์ไม้
ปี2387(1844) หมอบรัดเลย์ก็ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของสยามขึ้นในชื่อว่า หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์
และแล้วก็เกิดการระบาดของไข้ทรพิษหรือโรคฝีดาษขึ้นในสยาม
(ต่อเม้นล่าง)
( ต่อจาก >>776 )
ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ของภูมิภาค จะพบว่าจะมีโรคพวกนี้ระบาดทุกประมาณ 30-50 ปี เรียกรวมๆว่า "ห่าลง" ซึ่งมีโรคยอดฮิตคือ อหิวาฯ ฝีดาษ กาฬโรค เวียนๆกันไป ลงเมื่อไหร่ก็ตายห่ากันทั้งเมือง
หมอบรัดเลย์ได้เสนอวิธีการรับมือกับฝีดาษแบบสมัยใหม่คือ การปลูกฝี
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเมตตาพระราชทานเงินให้หมอซื้อเชื้อสำหรับการปลูกฝีมาจากอเมริกา หมอบรัดเลย์ได้ศึกษาต่อจนกระทั้งสามารถผลิตเชื้อที่ใช้ปลูกฝีต่อได้เอง จนสามารถปลูกฝีได้แพร่หลาย สยามจึงสามารถชนะไข้ทรพิษ ซึ่งเป็นโรคที่ฆ่าชาวสยามมาตลอดสมัยโบราณได้สำเร็จ
หมอบรัดเลย์ได้รับเงินพระราชทานเป็นรางวัลที่เอาชนะฝีดาษได้สำเร็จ หมอพยายามขยายสู่เป้าหมายต่อไปคือการเอาชนะความตายของทารกตอนคลอด หมอจึงนำเงินรางวัลนี้ไปเป็นทุนพิมพ์หนังสือคัมภีร์ครรภ์รักษา ซึ่งเป็นวิธีทำคลอดแบบสมัยใหม่
ถ้าโครงการของหมอสำเร็จเราอาจจะไม่มีแม่นาคพระโขนง แต่ผลคือล้มเหลว ชาวสยามยังคงใช้วิธีทำคลอดแบบเดิม แล้วก็ตายทั้งกลมกันเหมือนเดิม
หมอบรัดเลย์ยังไม่ท้อถอย ยังพยายามฝึกหมอหลวงด้วยวิชาแพทย์สมัยใหม่ มีการพิมพ์ตำราแพทย์กว่า 200 ปก
โรงพิมพ์ของหมอ ยังพิมพ์หนังสืออื่นๆออกมาจำนวนมาก ทั้งจินดามณีซึ่งเป็นหนังสือเรียนภาษาไทยเล่มแรก หรือแม้กระทั้งสามก๊ก
แต่ภารกิจการเผยแพร่ความคิดของหมอบรัดเลย์เป็นไปอย่างเหนื่อยยาก และไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
เหตุผลคือ ยังมีคนสยามที่อ่านหนังสือออกน้อยมาก ความเชื่อเดิมฝังรากลึกยากจะแก้ไข
สำคัญคือ เมื่อคนสยามไม่เชื่อศาสนาของหมอตั้งแต่ต้นแล้ว ก็กลายเป็นปฏิเสธความรู้อื่นๆของฝรั่งไปด้วย
คนสยามมีนิสัยเชื่อคนตามคนที่พูดมากกว่าหลักความจริงของคำที่พูด เช่นในตอนปลูกฝี ที่ได้ผล เพราะโครงการมาจากพระเจ้าแผ่นดิน พอเป็นโครงการของหมอเอง คนสยามก็เชื่อพระ เชื่อผู้ใหญ่ในชุมชนมากกว่าหมอ
นี่ทำให้ชีวิตของหมอบรัดเลย์ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จทั้งด้านการเผยแพร่ศาสนา การเผยแพร่ความคิด และการเผยแพร่วิชาการแพทย์
ในตอนแรกหมอยังพอเลี้ยงชีพจากธุรกิจการพิมพ์ได้ แต่หมอก็ต้องพบวิกฤติเพราะนิสัยรักความถูกต้องของตัวเอง
ด้วยความเป็นทั้งมิชชั้นนารีอเมริกัน และเจ้าของหนังสือพิมพ์ หมอบรัดเลย์คิดว่าเป็นจรรยาบรรณที่จะต้องต่อสู้กับคอรัปชั่น
แต่นายก็รู้ว่าที่นี่สยาม
หมอบรัดเลย์เขียนบทความเปิดโปงการทำสัญญาแบบลับๆระหว่างข้าราชการสยามกับกงสุลฝรั่งเศส ซึ่งคงจะไปขัดผลประโยชน์คนระดับพระคลัง
ผลคือหมอบรัดเลย์ถูกฟ้อง และแพ้คดี เพื่อนๆต้องรวมเงินกันไปจ่ายค่าปรับ ผลคือทำให้หนังสือพิมพ์ของหมอต้องปิดตัวไป
ถึงอย่างนั้น หมอก็ยังพยายามเผยแพร่ความรู้ให้กับชาวสยาม ด้วยการพิมพ์เผยแพร่หนังสือแปลจากภาษาต่างประเทศ ตำราแพทย์ และตำราเรียน มาอย่างต่อเนื่อง
หมอบรัดเลย์ทำงานอย่างหนัก จนกระทั้งเสียชีวิตในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2416(1873) เป็นเวลา40กว่าปี ในภารกิจพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกฝั่งของโลกจากบ้านเกิดของหมอ
งานของหมอบรัดเลย์แทบจะไม่ประสบความสำเร็จเลยในยุคสมัยของหมอ มีคนน้อยมากที่รับเชื่อ มีคนน้อยมากที่เปลี่ยนพฤติกรรมด้านสาธารณสุข งานด้านสื่อก็ต้องปิดฉากลง
ที่จริงแล้ว หมอบรัดเลย์เป็นทั้งบิดาของคริสตจักรไทย บิดาแห่งการแพทย์สมัยใหม่ บิดาแห่งการพิมพ์ และบิดาแห่งสื่อไทย แต่หมอก็ไม่ได้รับเกียรติเท่าที่ควรจะเป็น
แต่ไม่ว่ามนุษย์จะยกย่องให้เกียรติหมอบรัดเลย์หรือไม่ รากฐานทางด้านศาสนา การแพทย์ และสิ่งพิมพ์ก็ถูกวางไว้แล้ว สิ่งที่หมอทำไว้ได้ค่อยๆขยาย และต่อยอดจนมาถึงปัจจุบัน
.
.
.
ผมอยากจะปิดประเด็นนี้ด้วยเรื่องของนาอามาน
นาอามานเป็นแม่ทัพชาวซีเรียก่อนสมัยคริสต์กาล ซึ่งเป็นโรคเรื้อน สาวใช้ของเขาที่เป็นเชลยชาวยิว จึงบอกให้ไปหา เอลีชา ผู้ที่จะรักษาได้
ทีนี้ เรื่องมันใหญ่มาก เพราะตอนนั้นซีเรียกับอิสราเอลเป็นศัตรูกัน แต่นาอามานก็อยากหายต้องให้พระราชาทำเรื่องขอเดินทางไปหาเอลีชา
พอเจอหน้า เอลีชา ดูอาการแล้วบอกให้ นาอามาน ไปล้างตัวในแม่น้ำจอร์แดนหน้าบ้านเอลีชา 7 ครั้ง แล้วเดี๋ยวหายกลับบ้านได้
นาอามาน โมโหมาก บอกประมาณว่า "สัส โรคเรื้อนมันจะหายง่ายๆแบบนั้นได้ยังไงวะ นี่ข้ามาจาดามัสกัสมาเจอพระยิวเพื่อโดนบอกให้ไปอาบน้ำเนี่ยนะ"
ผมคิดว่าคนไม่เชื่อหมอกัน เป็นเพราะการรักษาจริงๆ มันเรียบง่ายไม่อภินิหาร เขาอยากได้พิธีเท่ๆ มีปล่อยแสง มีคนสวด
.
.
.
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะฝากไปถึงคริสเตียนว่า หากคิดจะทำอะไรแปลกๆ ขอให้คิดถึงหน้าหมอบรัดเลย์ และมิชชั่นของหมอทั้ง 40 ปีไว้
กลุ่มพันธกิจต่างๆของคนรุ่นก่อนๆก็พยายามกันแทบตายกว่าจะสร้างโรงพยาบาลกันได้แต่ละแห่งหวังให้พี่น้องได้ใช้ประโยชน์
ส่วนคนอื่นถ้าใครยังจะเชื่ออะไรของเขาอยู่ ก็ให้เป็นทางของใครของมันก็แล้วกัน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"สมน้ำหน้าไอ้ฝรั่งเนท มีสิทธิ์อะไรมาทำลายโบราณวัตถุของประเทศคนอื่น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพิ่งอ่านข่าวคนที่บอกว่าจบ NLP แล้ว Treat คนเป็นโรคซึมเศร้าอย่างเลวร้าย ไปไล่เช็คข้อมูลจากทั้งสองด้านแล้วพบว่ามันเป็นเรื่องที่แย่มากนะ
อยากจะบอกว่าพฤติกรรมดังกล่าวอันตรายมาก ถ้าปรึกษา 1-1 แล้วโดนพูดกลับไปแบบนั้น เชื่อว่าคนนั้นคงฆ่าตัวตายไปแล้ว
เท่าที่อ่านดู พฤติกรรมที่ทำเนี่ยเหมือนอาการคนเป็นจิตเวชชนิดหนึ่งเลยนะ ซึ่งพอมาเจอกับคนเป็นโรคซึมเศร้านี่เหมือนถือมีดมาช่วยเฉือนเลยนะ
อย่าบอกว่าจบ NLP มาแล้วเลยทำได้เลย ถ้าจบจิตแพทย์มาแล้วทำแบบนี้คงโดนถอนใบอนุญาตหมดอนาคตไปละ
พยายามช่วยคนเป็นโรคซึมเศร้ามานาน เห็นคนแบบนี้แล้วขึ้นเลย มือไม่พายเอาหัวกดน้ำ แย่
สังคมป่วยจัง คอยแต่ยกยอแต่คนแบบนี้ อยากให้สังคมดึงคนดี ๆ ที่น่าเอาเยี่ยงอย่างมาเป็นไอดอลจริง ๆ ของสังคมหน่อย สงสารเด็กรุ่นใหม่
อยู่นี่ไม่ค่อยได้รับรู้ข่าวจากไทยเท่าไหร่ แต่ก็พบว่ากว่า 80% ที่รับรู้มักจะเป็นข่าวร้าย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"A: ผมเป็นคนไม่หลงลาภยศ ตอนที่ผมได้รางวัลระดับโลกผมก็ไม่ไปรับ เพราะผมไม่อยากหลงมัน ของพรรณนั้นมันไม่มีค่าอะไรเลย
B: ผมก็เชื่อว่าพี่ก็ไม่ได้อะไรจริงๆ แต่ผมได้ยินเรื่องนี้ในแทบทุกรายการที่พี่ไปออกเลยครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผู้หญิงที่กำลังถูกข่มขืนมีปฏิกิริยาอย่างไร: ความจริงกับความเชื่อ
เมื่อวานสอนวิชาสัมมนากฎหมายอาญา แล้วถามนักศึกษาว่า "พวกคุณคิดว่าผู้หญิงที่กำลังถูกข่มขืนเค้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร" นักศึกษาทั้งห้อง (11 คน ถามทีละคน) ซึ่งมีทั้งหญิงและชายตอบตรงกันว่าผู้หญิงก็คงจะดิ้นรน ขัดขืน และร้องเรียกให้คนช่วย คำตอบนี้ไม่แตกต่างกันกับคำตอบที่ถามในหลายๆ คลาสที่สอน และกับหลายๆ คนที่พูดคุย
เรามักจะเชื่อกันอย่างนั้นเพราะส่วนใหญ่เราก็ไม่เคยถูกข่มขืน และถึงแม้ตามสถิติแล้วผู้หญิงทั่วโลกโดยเฉลี่ยทุก 1 ใน 5 คน จะเคยถูกข่มขืนหรือถูกพยายามข่มขืน แต่คนที่ผ่านประสบการณ์นี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกมาพูดให้เราฟัง เราจึงเรียนรู้ประสบการณ์แบบนี้ด้วยจินตนาการ ผ่านทางสื่อต่างๆ ซึ่งสร้างภาพให้เราเห็นว่าผู้หญิงที่ถูกข่มขืนจะดิ้นรนสุดกำลังและเรียกร้องให้คนมาช่วย เพื่อสร้างภาพเหยื่อให้น่าสงสารที่สุด
ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและควรต้องคุยกัน และผมไม่คิดว่าเราควรรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องพูดเรื่องความผิดเกี่ยวกับเพศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักกฎหมาย เพราะเมื่อเรามีความคาดหวังว่าผู้หญิงที่เป็นเหยื่อต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แล้วในชีวิตจริงเหยื่อนิ่งเฉยไม่โวยวาย ผู้กระทำความผิดอาจอ้างได้ว่ายินยอม เพราะถ้าไม่ยอมคงดิ้นแล้ว โวยวายแล้ว และเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ (ดู CEDAW/C/57/D/34/2011 และ CEDAW/C/46/D/18/2008) รวมทั้งเป็นการวางตราบาปให้กับผู้หญิงที่ถูกข่มขืนว่าทำไมเราไม่สู้ ทำไมเราไม่หนี ถ้าเราทำแบบนั้น ผลคงไม่เป็นแบบนี้
แล้วผู้หญิงโวยวาย ดิ้นรน และเรียกให้ช่วย..จริงหรือ? หรือถามใหม่ ในทางชีววิทยาผู้หญิงในสภาวะเช่นนั้นโวยวาย ดิ้นรน ร้องให้คนช่วยได้จริงหรือ?
คำตอบอาจทำให้ประหลาดใจ เพราะถึงแม้โดยปกติเมื่อเราเผชิญกับภยันตรายร่างกายเราจะสั่งให้เราเข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อมที่จะสู้ หรือหนี (fight or flight) ดวงตาเปิดกว้าง ลูกตาดำกรอกด้วยความเร็ว ได้ยินเสียงทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ถ้าภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่หนีไม่พ้น และรู้ว่าสู้ไม่สำเร็จ (สมองเราคำนวณความเป็นไปได้เร็วมากว่าจะชนะหรือแพ้ และการคำนวณนี้อยู่เหนือการควบคุมของเรา) และภยันตรายนั้นกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งการคุกคามทางเพศโดยเฉพาะการข่มขืนเป็นภยันตรายที่อยู่ในกลุ่มนี้สมองจะสั่งการให้เราอยู่เฉยๆ แล้วการสั่งการนี้ไม่ใช่การแนะนำของสมองต่อร่างกายนะครับ แต่เป็นการที่สมองยึดครองร่างกายไปจากเรา เพราะตอนนั้นสมองส่วนใช้เหตุผล (prefrontal cortex) จะถูกทำให้ใช้การณ์ไม่ได้ เราอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถสั่งการให้ร่างกายขยับได้่ตามใจ (เหมือนกวางที่ถูกเสือจ้อง) ปฏิกิริยาโดยธรรมชาติของร่างกายเมื่ออยู่ในสภาวะสิ้นหวังนั้น จากตาเปิดกว้างตอนนี้เราจะปิดตาลง ตัวสั่นเทา อุณหภูมิร่างกายลดลง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด หมดเรี่ยวแรง และในกรณีที่รุนแรงคือเราไม่รู้สึกถึงตัวตนหรือแยกตัวตนออกจากร่างกายที่ถูกกระทำ เราเรียกปฏิกิริยาทั้งหมดนี้ว่า "tonic immobility"
(ต่อเม้นล่าง)
( ต่อจาก >>784 )
แน่นอนว่าเราสามารถเอาชนะปฏิกิริยาธรรมชาติพวกนี้ ด้วยการฝึกฝนให้ร่างกายเราคุ้นเคยกับสภาวะหวาดกลัวและสิ้นหวังนั้น เหมือนทหารที่ทำให้คุ้นเคยกับเสียงดงกระสุน เมื่อสมองคุ้นชินความหวาดกลัวรูปแบบนี้ เราก็จะยังสามารถบังคับร่างกายได้ คำถามคือผู้หญิงที่เป็นเหยื่อได้ถูกฝึกหัดให้คุ้นชินกับความหวาดกลัวจากการถูกจู่โจมในทางเพศหรือไม่ ผมคิดว่าเรารู้ว่าคำตอบคือไม่ (เว้นแต่กรณีภรรยาถูกสามีข่มขืนเป็นประจำ แต่นั้นก็อาจอธิบายได้ว่าทำไมภรรยาถึงกล้าตอบโต้สามีมากกว่าผู้หญิงถูกคนแปลกหน้าจู่โจม เพราะภรรยา "อาจ" ไม่ได้หวาดกลัวสามี หรือคุ้นชินกับความหวาดกลัวนั้น เหมือนทหารที่ถูกฝึกฝน)
ผมหวังว่าเพื่อนใน fb ที่เป็นนักกฎหมายรุ่นใหม่เมื่อเป็นผู้พิพากษาแล้ว หรือที่เป็นผู้พิพากษาอยู่เมื่อเจอคดีว่าผู้หญิงไม่ร้อง ไม่หนี ไม่ดิ้น จะเข้าใจปฏิกิริยาทางธรรมชาติของร่างกายได้ดีขึ้น และไม่ตัดสินคดีตามจินตนาการว่าการที่ไม่ร้อง ไม่หนี ไม่ดิ้น แปลว่ายอม ซึ่งนั่นไม่เพียงเป็นการทำลายชีวิตคนที่ถูกทำลายมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ยังเป็นการส่งต่อความเชื่อผิดๆให้กับคนรุ่นต่อไปด้วยครับ
#อย่าให้รุ่นลูกฉลาดเพียงเท่ารุ่นเรา #ข่มขืนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
(รายละเอียดอาการและกรณีศึกษา tonic immobility ดูเพิ่มเติมที่ Fear and the Defense Cascade: Clinical Implications and Management บทความนี้ตีพิมพ์ในวารสารจิตเวชศาสตร์ ของ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Harvard)
http://journals.lww.com/hrpjournal/Fulltext/2015/07000/Fear_and_the_Defense_Cascade___Clinical.3.aspx
ส่วนเรื่องการที่สมองส่วนการใช้เหตุผลใช้การไม่ได้เมื่อถูกโจมตีอย่างรุนแรง ดู Stress signalling pathways that impair prefrontal cortex structure and function. ตีพิม์ใน Nature Reviews Neuroscience https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19455173
ใครไม่อยากอ่านงานเขียนทางแพทย์ยาวๆ (แต่สนุกมากอ่านเถอะ)หรืออ่านเป็นพื้นความรู้ก่อน อาจอ่านได้จากบทความในหนังสือพิมพ์ที่เขียนโดยแพทย์จิตเวชเกี่ยวกับเรื่องนี้ https://www.washingtonpost.com/news/grade-point/wp/2015/06/23/why-many-rape-victims-dont-fight-or-yell/ "
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าแค่ปลดล็อคจักรยานเธอยังทำไม่ได้ แล้วเธอจะปลดล็อคชีวิตได้อย่างไร "
ดร. อัมบูเอ้ เจ้าของคอร์สปลดล็อคทุกยานพาหนะง่ายๆเริ่มที่ใกล้บ้านคุณ
"เจ้าหน้าที่ที่้เขตบอกให้เอาทะเบียนสมรสไปเคลือบ แต่พอมากรมการกงศุลเจ้าหน้าที่บอกว่าใช้ไม่ได้ ผมว่าหน่วยงานราชการแม่งควรจะคุยกันเองหน่อยนะ ขอให้ควยครับ ควยยยยย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องสมมติครับ...
นักท่องเที่ยวเดินทางด้วยรถทัวร์ขนาดใหญ่
มุ่งหน้าเข้าพักที่โรงแรมดังย่านสุขุมวิท 13
ถนนด้านหน้ากว้างสามเลน ติดขัดพอตัว
รถใหญ่มาก ทางเข้าโรงแรมแคบมาก
รถต้องตีวงเลี้ยวตั้งแต่เลนนอกสุด...
วิบากกรรมยังไม่จบ รถเข้าไม่ได้สุดคัน
ต้องปล่อยนักท่องเที่ยวเดินลง
ทิ้งท้ายรถค้างไว้อยู่ค่อนทางเดินเท้า
ไอ้ตี๋เดินผ่านไม่ได้ มองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก
นักท่องเที่ยวคงไม่ผิด เค้าบอกให้ลง
คนขับรถคงไม่ผิด วงเลี้ยวรถมันกว้าง
เจ้าหน้าที่โรงแรมคงไม่ผิด ที่จอดมีแค่นี้
โรงแรมคงไม่ผิด เว้นระยะตามกฏหมายแล้ว
เออ กูผิดเอง กูลงไปเดินบนถนนก็ได้...
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องสมมติครับ..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Employing people based on their ability to perform a job ostracizes those with little or no skill and has no place in an inclusive society"
"ถ้าหากแบรนด์ต่าง ๆ หันไปแข่งกันไปสร้างคุณค่าให้ตัว 'แพคเกจ' แทนตัว 'สินค้า' ก็จะน่าสนุกมากขึ้น ... เช่น หากเบียร์ช้างสามารถพัฒนาขวดให้นำไปก่อสร้างบ้านแทนอิฐได้ก็จะชนะเบียร์ทุกเจ้าบนโลกนี้เลย เพราะคนที่ชอบกินเบียร์และอยากเก็บตังค์สร้างบ้านด้วยจะหันมากินเบียร์ช้างหมดอ่ะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เขาเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ ยังมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าโรคซึมเศร้ามันเป็นเพราะคนรู้สึกเศร้าเฉยๆ ก็เลยฆ่าตัวตาย ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่ มันเป็น "โรค" ที่เกิดขึ้นมาได้จากหลายสาเหตุอย่างเช่นความผิดปกติของการทำงานของสมอง หรือ พันธุกรรม เป็นต้น
ซึ่งถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ก็ทำความเข้าใจกันไป แต่พวกที่ไม่พยายามทำความเข้าใจเลย แล้วคิดว่าตัวเองเจ๋ง คุมอยู่ คุมได้ ไม่ฆ่าตัวตาย นี่ไม่ใหววะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ดีใจครับที่คนไทยตื่นตัวเรื่องซึมเศร้ากัน ผมจะได้ใช้'self-diagnosed' depressionเป็นข้ออ้างลางานเเบบmillenialsอเมริกาได้ซักที"
-มิตรสหอยทั่นนึง
เป็นซึมเศร้ากับอย่างอืานอีกแยะ ไม่ได้self diagnosed ด้วย แต่แนะนำถ้าจะให้ชัวร์ำปหาจิตแพทย์ดีสุด
ทำไมนวลถึงพูดถึงเรื่องโรคเงี่ยนบ่อย
เพราะผู้ป่วยโรคเงี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
มันไม่ได้เป็นโรคที่เกิดจากความอ่อนแอ ไม่ได้ติดมาจากพฤติกรรมน่าละอาย ไม่ได้ติดต่อแพร่เชื้อได้ผ่านการสัมผัส เป็นเพียงอาการผิดปกติของสารเคมีสื่อนำในสมอง เป็นแค่อาการป่วย เหมือนคนเป็นหวัด เป็นตาแดง คือใครๆก็ป่วยได้นะ
แต่คนในสังคมกลับ stigmatize คนเป็นโรคนี้ ว่าหื่นกามบ้างล่ะ ลามกจกเปรตบ้างล่ะ เป็นคนจิตวิปริต ไม่รู้จักเกรงกลัวกฎหมายบ้างล่ะ คำพูดพวกนี้นอกจากจะทำให้รู้ว่าคนพูดขาดความรู้ความเข้าใจในโรคนี้เป็นอย่างมากแล้ว ยังทำร้าย ทำลายสภาพจิตใจของผู้ป่วยอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่อมันมาจากปากของคนที่เรารัก หรือคนในครอบครัวของเราเอง
สิ่งที่จะช่วยทั้งสองฝ่ายได้คือความรู้ ความเข้าใจ knowledge is power อะยูโน้ว ถ้ารู้ถูกเข้าใจถูก มันก็จะนำไปสู่การรักษาเยียวยาอย่างถูกต้องได้ ที่เคยอายก็เลิกอาย ที่เคยเหยียดหยันหยามกันก็เลิกเสีย เปลี่ยนมาเป็นรับฟังกัน ให้กำลังใจกัน ต่อให้ไม่หายทันทีมันก็ดีขึ้นเยอะ
พอไม่รู้แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างล่ะ ไอ้คนป่วยก็ยิ่งแย่หนัก มองว่าตัวเองวิปริต สมองยิ่งไม่สมดุลอยู่ เงี่ยนหนักอยู่แล้ว เจอคนไม่ป่วยที่ขาดความรู้เอาผีบ้าผีบอมาใส่หัวก็ยิ่งไปกันใหญ่ บางคนงมงายไม่ให้ไปหาหมอ ลากไปวัด ทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวกันเลย บางคนก็เอาบรรทัดฐานของคนปกติมาตัดสินเขาอีก
ปกติคุณเห็นคนกำลังจมน้ำอยู่แล้วเกิดความคิดว่าคนคนนี้กำลัง have sex แบบ outdoor ไหม
ถ้าคำตอบคือไม่ นวลอยากให้คุณลองมองว่าคนเป็นโรคเงี่ยนก็กำลังตะเกียกตะกายไม่ให้ตัวเองจมอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้จมน้ำ เขาจมความคิด จมความเงี่ยนของตัวเอง โดยปริมาณความเงี่ยนนี้มันอยู่นอกเหนือความควบคุมของเขา
อืม ลองเปลี่ยน keywords ดู ก็พอได้นะ
ไอ้เหี้ยเท็กซี่ครับไอ้คันคนขับที่หน้าตามึงเหมือนพึ่งออกจากคุกมา ถ้ามึงจะรับกู แล้วมึงมาเจอรถติดแล้วทำเป็นฮึดฮัทเนี่ย สัตว์นรกอย่างมึงอย่ารับกูเลยดีกว่าครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประเทศอาหรับในตะวันออกกลาง เคร่งศาสนาแค่ไหนก็มีหมูขายนะคะ แต่ประเทศหีแตดแถบเส้นลองจิจูดที่ 100 ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นรัฐศาสนาและรังเกียจพวกคลั่งศาสนากลับห้ามไม่ให้ขายแอลกอฮอล์ในวันพระ แม้ว่ามึงจะนับถือศาสนาใด ๆ ที่ไม่เกี่ยวเหี้ยอะไรกับศาสนาที่ก็อปศีลข้อ 5 มาจากศาสนาอื่นโดยไม่ให้เครดิตแบบหน้าด้าน ๆ เลยก็ตาม
#มิตรสหายมีงูท่านหนึ่ง
ควยเหอะเพราะ วันพระที่ว่าส่วนใหญ่มันเป็นวันหยุด
พอหยุดยาว =>คนกลับบ้านนอก,เข้ากรุงเทพมาทำงาน => เดินทางไกลกันเยอะ => ให้กินLกฮ.=>เกิดอุบัติเหตุสิ่
มึงรู้ยังว่าเดี๋ยวนี้เขาห้ามขายเหล้าในปั้มแล้ว
"ร็อคสตาร์ยุค 1960's จะให้ Authentic ต้องตายก่อนสิ้นศตวรรษ
ร็อคสตาร์ยุค 1970's จะให้ Authentic ต้องเคยโอเวอร์โดส
ร็อคสตาร์ยุค 1980's จะให้ Authentic ต้องเคยกระทืบเมีย
ร็อคสตาร์ยุค 1990's จะให้ Authentic ต้องฆ่าตัวตาย
ร็อคสตาร์ยุค 2000's จะให้ Authentic เด็กๆ ต้องเคยโดนอัดตูด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ยุค 2010's ต้องเน้นการกุศล ออกวิ่งมาราธอน
มีเรื่องเจ๋งๆมาเล่าให้ฟัง ที่มหาวิทยาลัยที่นี่(ที่เยอรมัน) โรงอาหาร "ขายเบียร์"
มินิมาร์ทในมหาวิทยาลัยก็ "ขายเบียร์"
ใต้ตึกสำนักงานมีพิซซ่าบาร์ที่ "ขายเบียร์"
และกลางมหาลัยตรงแคมปัสหลักก็มีคาเฟ่ที่ "ขายเบียร์" (เบียร์สดด้วย)
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ที่เราโตขึ้นมากับชุดความคิดที่ว่า "กินเหล้าเมายา" นั้นไม่ดี จนกระทั่งพอเราได้ออกมานอกอ่างปลาทอง เราก็เหมือนได้เห็นอะไรๆมากขึ้น
จริงอยู่ไม่ใช่ว่ากินเบียร์จะมีแต่ข้อดีเสมอไป เพียงแต่ว่าสิ่งที่ไม่ดีไม่น่าจะใช่เบียร์ หรือความสุขดื่มดำในการลิ้มรสเบียร์ แต่เป็น "การเมาไม่ได้สติ" หรือ การเมาแล้วเละเทะไม่รู้ความอะไรแบบนี้ มากกว่า
ที่นี่ เราสามารถซื้ออาหารราคาสองยูโรกว่าๆพร้อมเบียร์หนึ่งกระป๋องจิบได้สบายใจ เราสามารถดื่มเบียร์ตอนกลางวัน ตอนเย็น ตอนสิบโมง โดยไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี กินเหล้าเมายา
ไม่มีใครสักคนที่นี่มองว่าการดื่มเบียร์เป็นตัวแบ่งว่าใครเป็นคนยังไง เมื่อทุกคนโตแล้วก็ควรเลือกได้
ถึงขั้นรู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร ทำไมจะต้องให้สังคมมาตัดสินเครื่องดื่มให้ด้วย
นี่เป็นเรื่องเล็กๆ ที่รู้สึกว่าประทับใจมากๆ เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆที่บ่งบอกถึง "หลักคิด" ที่น่าจะนำมาใช้กับประเทศไทยได้
มันจะดีแค่ไหน ถ้านักศึกษา สามารถเข้าถึงเสรีภาพตรงนี้
ในความคิดส่วนตัว ในเรื่องนี้หัวข้อนี้ ชอบที่นี่มากๆ (เรื่องอื่นที่ไทยที่ชอบมากกว่าก็มี) ชอบที่สังคมให้อำนาจในการตัดสินใจไว้กับตัวเราเอง และให้เราบริหารจัดการตัวเอง
อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้ และอยากให้การดื่มเบียร์ การชอบดื่ม เป็นอำนาจในการตัดสินใจส่วนตัว เป็นความรับผิดชอบของตัวเราเอง และไม่ใช่หน้าที่คนอื่นที่จะมาตัดสินใจให้เรา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>802 ปัญหาคือการลดอัตราคนเมาแล้วขับให้ได้ วิธีง่ายที่สุดคืองดขาย ซึ่งก็ไม่ได้ผลอะไรนัก แต่ก็หาวิธีดีกว่าไม่ได้
เมืองนอกสามารถ self-regulate ตัวเองได้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งด้านวัฒนธรรมและการศึกษา
แต่กูไม่คิดว่าไทยจะทำได้ และคงไม่มีวันจะทำได้ด้วย ยกเว้นระบบรถขับเคลื่อนอัตโนมัตจะมาถึงอะนะ
ประเด็นหนึ่งที่คอร์บินยกขึ้นมาคือ no อย่างเดียวไม่พอ เราต้องหใ้ทางออกใหม่ด้วย ไม่งั้นคนจะไม่เดินตาม
ดังนั้นปัญหาก็กลับมาที่ตอนต้นที่กูพูด เราจะลดการเมาแล้วขับได้ยังไง นอกจากการงดขาย ตอบได้ก็แก้ปัญหานี้ได้
"ผมกลัวว่าดันเคิร์กจะห่วย ผมเลยยัดตังนักวิจารณ์ให้เขารีวิว10/10"
คริสโตเฟอร์โนแลนสารภาพกับสำนักข่าว Bollywood Reporter ในข้อกล่าวหาจากเจอร์นัลลิสต์คนหนึ่ง ที่โพสต์ข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณี "โดนจ้างมารีวิว" ของบล็อกชื่อดัง
สุดท้ายทาง Bollywood Reporter ก็ได้ขุดลึกเรื่องฉาวครั้งนี้ต่อ จนพบว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการซื้อรีวิวจากนักวิจารณ์ เพราะจากใบเสร็จรับเงิน และธุรกรรมทางบัญชี
"ดามาล่า พันประทิป" เจอร์นัลลิสต์ชื่อดัง ได้ตรวจพบอีกว่าทางวอร์เนอร์บราเธอร์ส ได้ซื้อเว็บ Fresh Tomatoes หรือที่เรียกกันติดปากว่าเว็บมะเขือสด ที่เป็นเจ้าของโดยดิสนีย์ เพื่อให้นักวิจารณ์รีวิวหนังในดีซีออกมาดีๆ ซึ่งดันเคิร์ก ซึ่งเป็นหนังจากสตูดิโอวอร์เนอร์ ก็ได้ซื้อนักวิจารณ์ในครั้งนี้ด้วย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
$ โอบาม่า กับ เบียร์แห่งประชาธิปไตย $
.
-------------------------------------------------------
.
ผู้นำประเทศต่างๆควรมีเวลาที่ดีร่วมกัน ไม่ควรที่จะเครียดจนเกินไป และการจิบเบียร์ร่วมกันคือช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุด
.
นั่นคือแนวคิดของ บารัค โอบาม่า ที่ชื่นชอบการดื่มเบียร์ร่วมกับอาคันตุกะที่มาเยือนทำเนียบขาว เขาแสดงทัศนคติว่า
.
" จอร์จ วอชิงตัน เองก็เคยทำโรงหมักกลั่นวิสกี้ไว้ที่ เมาท์ เวอร์นอน และ โทมัส เจฟเฟอร์สัน เองเขาก็ทำโรงหมักไวน์ของตัวเอง ผมชื่นชอบการดื่มเบียร์ ผมจึงชวนเชฟของทำเนียบขาวหมักเบียร์ไว้ดื่มเองและต้อนรับแขกผู้มาเยือน "
.
รังผึ้งรวงงามที่สนามหญ้า เซาธ์ ลอว์น ถูใช้มาเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการหมักบ่มเบียร์ จนออกมาเป็น Ale to the Chief เบียร์รสหวานขมละมุนที่ใครได้ลิ้มลองเป็นต้องติดใจ
.
ประชาชนต่างแสดงเจตนาที่จะลิ้มลองเบียร์ของโอบาม่า เขาบอกว่ามันคือสูตรลับ แต่เมื่อประชาชนต้องการ เขาจะทำให้สูตรลับไม่ลับอีกต่อไป เตรียมสมุดปากกากันไว้ให้ดี เพราะ โอบาม่า สั่งให้เชฟออกมาเปิดเผยสูตรในเพจ We the People
.
" มันคือของขวัญที่ผมควรมอบให้ประชาชน มันคือเบียร์ของทุกๆคน ขอให้มีความสุขกับสูตรของเรา "
.
โอบาม่า ฉลาดที่จะโปรยคำหวานพร้อมกับบอกสูตรลับที่ไม่ลับแล้วให้ประชาชนของเขา หลายๆคนได้ลิ้มลองเบียร์จากสูตรนี้แล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาควรหมักเบียร์ยี่ห้อนี้ขายจริงๆจังๆได้แล้ว
.
" ก็ไม่แน่หรอก เมื่อผมลงจากตำแหน่ง ผมอาจหมักเบียร์ขายจนร่ำรวยก็ได้ แต่พวกคุณเองก็มีสูตรแล้วนี่ "
.
ถึงตอนนี้ โอบาม่า ได้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว และยังมีคนรอคอยเบียร์ Ale to the Chief ของเขาอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ข้าราชการบางคนก็มาอุปโลกน์ตัวเองเป็นตัวแทนประชาชน บอกว่าไม่ใช่นักการเมือง คือคุณมาทำงานด้านบริหารและนิติบัญญัติมันคือนักการเมือง แล้วก็ไปสร้างวาทกรรมว่า นักการเมืองมันเลว แต่ตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งนักการเมือง ...แต่คุณไม่สามารถถูกตรวจสอบได้
เป็นนิดหน่อย รักษาเองไม่หาย ไปหาหมอ เจอด่าอีกว่าทำไมไม่รีบมา
เป็นนิดหน่อย รีบไปกลัวเป็นหนัก บางโรค ไม่แสดงอาการ เจอด่าอีก เป็นนิดหน่อยมาทำไม
ไม่อยากกวนหมอ ซื้อยากินเอง เจอแซะอีก พวกซื้อยากินเองมั่วๆ ทำหมอเหนื่อย
จะค้นกูเกิ้ล ก็เจอแซะอีกว่า อย่าโง่ไปหาหมอดีกว่า อย่าเชื่อกูเกิ้ลมากสิ หลายอันก็มั่ว
เอาใจหมอโซเชียลไม่ถูกเลยครับ
แอดมินผู้สร้างภาพต่อต้านการเหยียดเพศเพื่อปกป้องสาวฟุ แต่การคุยเรื่องกะหรี่ที่เป็นการเหยียดเพศหญิงราวกับเครื่องมือทางเพศที่ซื้อขายกันได้เสือกกลายเป็นควายใบ้แดกไปซะงั้น
คิดถึงไอ้จ่าเงิบเลยว่ะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ธรรมดาผมก้ออดทนนะ แต่บางทีก้อไม่ไหว รพ จุฬา คลีนิคศัลยกรรม ชั้นหก ภปร เรียกผู้ป่วยให้มารอพบหมอ แต่ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ให้ยืนรอไปเรื่อยๆ ทั้งที่เก้าอี้ข้างนอกก้อว่าง ขอไปนั่งข้างนอกก้อบอกว่าให้รอเรียกชื่อที่นี่ไม่เรียกข้างนอก
คนมาหาหมอเขาเปนผู้ป่วย จะให้เขายืนทำไม เขาป้วยเขาเจ็บ ที่นั่งก้อมีเยอะ แค่บริหารจัดการอีกนิด
บ่นไปก้อไม่มีอะไรดีขึ้น เศร้ากับวิธีการบริหาร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ไม่พอ เครื่องเสียงก้อมี ทีเรียกรับแฟ้มไม่ต้องใช้ลำโพงก้อดันใช้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"11 นาทีบนแท็กซี่ จากพญาไทไปจุฬาฯ ได้รู้ว่า
1. ภรรยาพี่โชเฟอร์จบบัญชี จุฬาฯ
2. ปัจจุบันภรรยาพี่เขาเป็นผู้จัดการภาค ธนาคารทหารไทย
3.ภรรยาอายุ 59 ปี (มีรูปให้ดูด้วย)
4. พี่โชเฟอร์จบนายร้อยสามพราน รุ่นเดียวกับอัศวิน ขวัญเมือง
5. ปัจจุบันพี่เขาเป็นข้าราชการบำนาญ มีรายได้ 84, 000 บาท/เดือน
6. เหตุที่บำนาญต่อเดือนสูงคูณสอง เนื่องจากสังกัดหน่วยรบ เคยผ่านสมรภูมิร่องกล้า
7. ตอนกลับจากรบ ลูกน้องตายหลายสิบคน ต้องปลอมตัว ปล่อยผมยาว ไว้หนวดเคราเข้าเมือง พกบัตรแสดงตนนำหน้าว่า "นาย" เพื่อไม่ให้เป็นเป้าคอมมิวนิสต์ แกบอก "ผู้ก่อการร้ายสมัยก่อนมีคุณธรรม ไม่ทำชาวบ้าน ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้"
8. กลับมาที่ภรรยา พี่แกบอกว่าเดิมทีไม่ได้ชอบ เพราะคบกับเด็กสาวอีกคนอยู่ แต่ภรรยานิยมในตัวพี่เขามาก จนตกร่องปล่องชิ้นกันในที่สุด
9. มีลูกชายหนึ่งคน อายุ 36 ปี จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากแมรีแลนด์
10. ลูกชายเป็นเด็กเรียน ทั้งชีวิตมีแต่เรื่องเรียน ไม่ก็นั่งสมาธิ
11. เหตุที่มาขับแท็กซี่เนื่องจากนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็ป่วย สู้ออกมาขับรถชมเมือง หารายได้เลี้ยงหมาจรจัดได้ประโยชน์กว่า
12. ปัจจุบันที่บ้านมีหมาในอุปถัมภ์ 18 ตัว
...
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถามสักคำ
แกคงเหงา"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
Are male bathrooms going to be sexist soon? Because it's mens only?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เตรียมจะเขียนเรื่องนี้มาซักพัก ได้ฤกษ์งามยามดี มีแรงบันดาลใจที่จะลงมือเขียนซักทีครับ
พูดเรื่องทูน่าครับวันนี้ เพิ่มเติมจากที่เคยเขียนกว้างๆไปนานแล้ว แต่วันนี้ขอพูดลงลึกขึ้น สรุปง่ายๆให้เป็นข้อๆครับ
1.) เนื้อทูน่าจริงๆแล้ว ไม่ได้มีสีแดงอมชมพู แบบที่เห็นกันในร้านส่วนใหญ่ สีที่เห็นแบบนั้น เกิดจากกระบวนการเก็บรักษาที่ใช้ คาร์บอนไดออกไซด์เย็นเจี๊ยบ ยิงเพื่อให้แข็งเฉียบพลัน ยิงเพื่อให้คงสีสันสดสวย แต่คาร์บอนไดออกไซด์เมื่อสัมผัสกับน้ำที่มีอย่างเหลือเฟือในเนื้อปลา จะมีส่วนที่กลายเป็น กรดคาร์บอนนิค ซึ่งกลายเป็นการกันเน่าเสียแบบอ่อนๆไปในตัว แต่ถ้ามีมากไป มันจะทำให้เกิดรสเปรี้ยวในเนื้อปลาได้ เนื้อปลาทูน่าปรกติ มีได้หลายสีแล้วแต่ส่่วน และ แล้วแต่ชนิดของทูน่า ทูน่าใหญ่ๆแบบใช้ทำอาหารญี่ปุ่นเกรดดีๆ จะมีสีแดงเข้มอมม่งและออกน้ำตาลหน่อยๆ เป็นสีธรรมชาติ และร้านเกรดพรีเมียมจะมองหาแบบนี้ ... ส่วน Bonito สดๆ ในช่วงฤดูกาลที่่คนญี่ปุ่นเค้าจะนิยมทานเป็นซาชิมิกัน จะมีสีออกอมม่วงแบบบานเย็นมากหน่อย อร่อยมากครับ
2.) ปลาทูน่าสดไม่ได้เปรี้ยว ... จริงอยู่ที่ทูน่าเป็นปลาที่ว่ายตลอดเวลา และว่ายเร็วมากตอนจะโดนจับ ซึ่งอาจทำให้มีกรดแล็คติคค้างอยู่ในเลือดและกล้ามเนื้อได้บ้าง แต่ในการเตรียมทูน่านั้น จะมีการรีดเลือดออกก่อน เพราะมันเป็นปลาที่เลือดเยอะมาก ถ้าใครเคยเห็นตอนที่เค้าแขนนห้อยหัวทิ้งไว้ก่อนแล่ นั่นแหละครับ เค้ากำลังรีดเลือดมันออกมาก่อน ดังนั้นทูน่าใหญ่ๆ ถ้าเตรียมถูกต้อง ไม่ควรจะเปรี้ยว ส่วนทูน่าเล็กยิ่งไม่เปรี้ยวเลย ดังนั้นที่บอกว่าทูน่าสดจะเปรี้ยว จึงต้องเอาไปบ่มนั้น จึงเป็นการจับแพะชนแกะ ... ส่วนใครจะลิ้นไวรับรู้รสเปรี้ยวที่ซ่อนอยู่อย่างเร้นลับ และรู้สึกว่ามันเปรี้ยวจนเกินรับได้ อันนั้นคงต้องเป็นข้อยกเว้นเฉพาะบุคคล
3.) เนื้อปลาทูน่าก็มีการเอจนะครับ เหมือนเนื้อวัวเลย การเอจหรือบ่มนี้ ทำเพื่อปรับปรุงคุณภาพของเนื้อปลา แต่ก็ไม่ได้ตะบี้ตะแบงบ่มไมทั้งหมดครับ ส่วนใหญ่จะทำเฉพาะในทูน่าใหญ่ๆ การเอจ(age) จะทำให้เนื้อปลามีรสชาติเข้มข้นขึ้น และ รสสัมผัสอ่อมละมุนขึ้น เช่นเดียวกับในเนื้อวัว
(ต่อเม้นล่าง)
( ต่อจาก >>816 )
4.) ปลาทูน่าที่จับโดยเรือจับทูน่าแท้ๆขนาดใหญ่ๆ จะจับในน่านน้ำลึกกลางทะเล จับด้วยอวน เรือพวกนี้จะออกทะเลนานมาก ปลาจึงถูกโพรเซสภายในท้องเรือ อย่างที่เราเห็นในวีภาพตลาดซึกิจิ ว่าตัวใหญ่มันจะถูกตัดหัว ล้า่งท้อง และฟรีสแข็งโดยทันที ส่วนปลาเล็กกว่าก็จะถูกฟรีสเลย ... ปลาทูน่าสด ถ้าไม่ได้มาจากฟาร์มเลี้ยง ซึ่งมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะถูกจับด้วยเบ็ดครับ ทั้งเบ็ดเดี่ยว เบ็ดราว เลย ทูน่าสดแท้ๆเมืองไทย ที่เป็น Premium แบบ Bluefin หรือ Yellowfin ส่วนใหญ่สั่งเข้ามาจากแถวๆ อินโดนีเซีย
5.) ปลาทูน่าพันธุ์ใหญ่ๆเป็นนักเดินทางที่ล่องตามกระแสน้ำ Stream ต่างๆไปทั่วโลก การจับมัน จริงๆก็คือการจับในเส้นทางอพยพเดินทางของมัน แต่ระบบของปลาจะตอบสนองต่ออุณหภูมิของน้ำ ดังนั้นปลาที่จับในเขตน้ำอุ่น กับน้ำเย็น จึงต่างกันท้้งรสสัมผัสและเนื้อสัมผัส ... ส่วนปลาที่มากับเรือจับทูน่าที่มาขึ้นฝั่งที่ไทยและเอามาขายในไทยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็น Bigeye Tuna ซึ่งตัวเล็กกว่า และรสชาติเทียบกับพวกบลูฟินหรือYellowfin ไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนใช้อยุ่มากด้วยเงื่อนไขทางราคา แถมยังตัดส่วนท้องมาขายเป็น Toro รุ่นราคาต่ำอีกต่างหาก ... ส่วนทูน่ากระป๋องเมืองไทยนั้น ไม่ได้มาจากปลาสดพวกนี้ แต่ส่วนใหญ่จะซื้อเป็นเนื้อปลาสุกแล้ว มาจากประเทศเช่นอินเดีย ปากีสถาน ฯลฯ แล้วมาแพ็ค บรรจุกระป๋องที่เมืองไทย
... ส่วนทูน่าตัวเล็กๆแบบปลาโอนั้น หาได้จากเรือประมงปรกติ
6.) โทโร ไม่ได้มีแค่โอโทโร่ กับ ชูโทโร่ จริงๆแล้วทูน่าที่ขายให้กับร้านทั่วๆไปนั้น ญี่ปุ่นเค้าจะตัดแยกย่อย เป็นสิบๆเบอร์เลยครับ แล้วราคาก็จะไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่ามันค่อนมาทางโอโทโร(ทางหัว) หรือค่อนไปทางชูโทโร่(ทางหาง)มากแค่ไหน ... สิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยทราบก็คือ ยิ่งเป็นส่วนที่มีมันสูงก็จะยิ่งมีพังผืดมากด้วยเช่่นกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลนึงที่ร้านซาชิมิแบบพรีเมียมในญี่ปุ่นจะ Age เนื้อปลาไว้ให้นุ่มลงก่อน จึงค่อยนำออกมาทำอาหาร ... ส่วนร้านที่ไม่มีการบ่มเนื้อปลา ส่วนใหญ่จะไม่เลือกเบอร์สูงสุดหรือต่ำสุด แต่จะเลือกใช้เบอร์กลางๆ คือมีมันมากพอที่จะอร่อยและมีพังผืดน้อยพอที่จะไม่เหนียวเกินไป ... ดังนั้นเวลาร้านโฆษณาว่าขายโทโร่ จึงต้องดูให้ดีว่า ขายโทโร่จากทูน่าอะไร ชูหรือโอ และโอเบอร์ไหน !!!
ท้ายสุดนี้ สารภาพตามตรงว่า แรงบันดาลใจที่ลุกมานั่งเขียนสำเร็จวันนีั้ มาจากความไม่พอใจครับ
เนื่องจากวันนี้ พอดีมีโพสต์ของร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง เด้งขึ้นมาใน Feed แล้วพออ่านแล้วจึงเกิดอาการคัน เพราะคนเขียนไม่น่าจะรู้เรื่องจริง แต่กล้าเขียน อาจเพราะคิดว่า คนอ่านย่อมไม่รู้ข้อมูลมากกว่า และผมก็แปลกใจว่า คนอ่านก็ตอบสนองแบบเชื่อถือง่ายๆ ทั้งๆที่เป็นข้อมูลทีมาจากผู้ประกอบการค้าที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ที่แน่นอนว่าข้อมูลที่เค้าให้จะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเค้าเท่านั้น
ร้านอาหารดังกล่าว ชื่อขึ้นด้วยคำว่า KEN .... (ใครทราบกรุณาอย่าเอ่ยชื่อเต็มในเม้นต์นะครับ มิฉะนั้นผมจำเป็นต้องลบ
เอาพอหอมปากหอมคอแค่นี้พอ) ขออภัยที่ต้องขี้เป้า ซึ่งคนที่ตามกันมาประจำก็จะทราบว่าไม่ใช่ปรกติของผม แต่รับไม่ได้กับพฤติกรรมแบบนี้จริงๆ ... ผมเข้าใจว่าร้านต้องพยายามสร้างสตอรี่ และโชว์ความรอบรู้ แต่เมื่อมีสิ่งผิดพลาดหรือถูกท้วงติง ซึ่งการท้วงติงของผม ขอรับรองว่าทำอย่างระมัดระวัง เพราะเราไม่ได้อยากมีศัตรู หรือฆ่าใครให้ตายทางธุรกิจ ผมจึงพยายามที่จะไม่รุกไล่หรือต้อนให้จนมุม ที่จริง ไม่เถียงเอาชนะด้วยซ้ำ แต่แค่ทิ้งข้อมูลอีกชุดไว้ เพื่อให้เกิดคำถามที่ผู้บริโภคจะได้ตั้งคำถามต่อ และหาข้อมูลเพิ่มได้ .. แต่ความร้อนตัวทำให้เค้าบล็อค และ ดิสเครดิต แบบห้ามถกเถียง !!! ... รับไม่ได้ครับ กล้าตั้งตัวเป็นกูรู ต้องกล้าตอบคำถาม ถ้าถนัดพูดข้างเดียว หวังผลทางการค้าอย่างเดียว อย่าบอกว่ากูรู้ครับ ... คนทุกคนผิดพลาดได้ ไม่ใช่เรืองเลวร้าย ผมเองผิดพลาดทุกวัน ทำเรื่องโง่ๆทุกวัน มีเรื่องไม่รู้อีกมากมายเลยครับ ... ข้อมูลในสื่อสาธารณะจึงเป็นข้อมูลที่เราทุกคนควรช่วยกันตรวจสอบ อย่าปล่อยผ่านครับ เพื่อสร้างประชาคมที่ดีและกติการที่ดีในการอยู่ร่วมกัน : )
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปกติถ้าหมอต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลานอน ต้องควงเวรรัวๆ จนป่วยแทบตาย มันต้องประท้วงไปที่กระทรวงสาธารณสุข ประท้วงไปที่รัฐบาลมั๊ยว่าจัดระบบยังไง ทำไมลูกน้องต้องทำงานเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่จ้างหมอเพิ่ม ทำไมไม่ขยายโรงพยาบาล ทำไมไม่มีระบบจำกัดชั่วโมงกาทำงาน ฯลฯ แต่นี่คืออะไร ไปชี้หน้าด่าคนไข้ว่าเอาแต่ได้ ป่วยแล้วอยากได้แต่การรักษาฟรี ทำไมไม่ลงทุน ทำไมเอาเงินไปสร้างวัดไม่มาสร้างโรงพยาบาล ทำไมเอาแต่พึ่งพารัฐไม่พึ่งพาตัวเอง อ้าว เจ้านายสบายเลย ไม่ต้องปรับปรุงระบบ ไม่ต้องเพิ่มงบประมาณ ไม่ต้องดูแลคุณภาพชีวิตบุคลากร ไม่ต้องมีการถกเถียงว่าจะปรับปรุงระบบยังไง ลอยตัว ปล่อยให้หมอกับคนไข้ด่ากันไปกันมาสนุกสนาน ระบบก็เหี้ยเท่าเดิม ระยำจริง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"...พยายามประท้วงสธ.แล้ว เค้าก็หาว่าจะล้มระบบสามสิบบาท กลั่นแกล้งคนจน..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ขนาดแฟนมึงยังดูแลกระเจี้ยวตัวเองไม่ให้ปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาไม่ได้"
"ตัวมึงที่เป็นแฟนมัน มันจะดูแลมึงดีเท่ากระเจี๊ยวมันเหรอ"
#มิตรเหม็นควยท่านหนึ่ง
วันนี้มีคนพูดถึงเรื่อง E Sport เยอะ บอกว่าไม่สนับสนุน พวกค้านก็จะบอก เพราะคนติดเกมร่างกายจะไม่แข็งแรง
เฮ้อ....
อยากให้มาเห็นเวลาพวกเราเดินสะพานเหล็กสมัยก่อนจังเลย ว่าที่บอกไม่แข็งแรงน่ะ พวกเราเดินแบกอะไรกันบ้าง และเดินกี่ ชม. ต่อวัน
คนธรรมดาทำได้มั้ย ปัดโท่ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพื่อนผมในเฟสบางส่วนที่เป็นแฟนคลับนักร้อง
สาวสวยคนนึงที่ดังอยู่เพลงเดียว ลูกเสียงก็งั้น ๆ
เน้นโชว์หีย์เป็นหลัก แล้วเพลงแม้งก็ไม่มีความหมาย
ดีๆ หรือเพราะเหี้ยไรเลย จัดอยู่ในกลุ่มคุณภาพต่ำ
ที่ไม่น่าเสพเลยด้วยซ้ำ เรื่องมีอยู่ว่าอีนักร้องคนนี้
ช่วงนี้มันมีข่าวบ่อยทีนี้มันก็จะมีคอมเม้นเพื่อนๆใน
เฟสนี่แหละที่กูหมั่นใส้ในความเป็นผู้พิทักษ์หีย์
ของมันด้วยตรรกะที่ว่า "น้องเขาทำเพื่อครอบครัว"
"ตอนอายุเท่านี้มึงทำได้แบบน้องเขาไหม"
"แหกนิดหน่อยมีบ้านมีรถมึงทำได้รึป่าว"
โถ่วววววไอเหี้ยพอมีเด็กมาไลฟสดเต้นโชว์นม
โชว์หีย์โชว์แตดมึงเสือกไปด่ามันย้อนแย้งชิบหาย
เด็กมันควรได้โอกาสอะใช่แต่มึงคิดภาพถ้าเด็ก
วัยนี้ทุกคนเอาหีย์มาแหกรับโอกาสเหมือนอีนี่
วงการเพลงลูกทุ่งแม้งคงบันเทิงน่าดู
แล้วไอพวกที่บอกว่าเพลงมันเพราะความหมาย
มันดี นี่น่าตบปากยิ่งนักไอสัสมึงชอบเพราะหีย์
ก็บอกชอบหีย์ไม่ใช่มาบอกว่าเพลงมันเพราะ
ความหมายมันดีมันมีคุณภาพไอสัส
#เสพหีย์กับเสพดนตรีมันต่างกัน
#วงการลูกทุ่งไทยมาถึงขั้นนี้กันแล้วหรอ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วิธีลดจำนวนคนที่อยากฆ่าตัวตาย คือปล่อยให้เขาฆ่าตัวตายครับ เท่านี้จำนวนก็ลดลงแล้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ได้มีน้องแพทย์ที่น่ารักท่านหนึ่ง inbox มาให้ความรู้ทาง จิตเวชกับผมในวันนี้ ผมเลยได้ตอบท่านไปเพื่อความเข้าใจและ recap สิ่งที่ผมบรรยายไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ท่านเลยเข้าใจเจตนารมย์ผมชัดเจนขึ้นเลยจะpost reply message ของผมให้ ทุกท่านได้อ่าน เพราะรู้สึกว่า มีดราม่าเรื่องซึมเศร้าเพราะฟังสิ่งที่ผมบรรยายไม่ค่อยเข้าใจ เยอะ..... เผื่อจะเข้าใจอะไรๆกันมากขึ้น
วาอลัยกุมสลามวารอฮ์มาตุลลอฮ์ฮิวาบารอกาตุ
ญาซากอลลอฮ์ฮูคอยรอน สำหรับการตักเตือนครับ
ประเด็นของการดราม่าส่วนตัว ผมเห็นว่าเป็นปัญหาของการศึกษาไทยที่สอนการ comprehend ได้ไม่ดีครับ สิ่งที่ผมได้พูด ผมได้เพียงแค่แนะนำคนให้ กินข้าวก่อนกินยาบำรุง ไม่ใช่กินอาหารเสริมแล้วคิดว่ามันจะดีกว่าสำหรับร่างกายเท่านั้น กล่าวคือ ให้หาสัจธรรมความหมายของชีวิตก่อนเพื่อให้จิตวิญญาณเราเข้าใจชีวิต เพราะการขาดความเข้าใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นสาเหตุหลักของความสับสนซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความเครียด โดยทั้งหมดนั้นผมได้กล่าวไว้แล้วในรายการว่าไม่เหมารวมถึงคนที่เป็นโรคบ้าหรือ เป็นschizophrenia วิกลจริต ลองย้อนดูเทปนะครับ ผมก็ไม่เข้าใจว่าจะดราม่ากันทำไม?
แต่ในสมัยนี้การแพทย์ ได้ถือวิสาสะในการ ฟัตตวาสภาวะจิตใจมนุษย์ที่มี Chemical imbalanceเพียงเล็กน้อยว่าเป็นโรคร้าย ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนในสังคมปัจจุบันนำเอาไปใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิดต่อตัวเองและผู้อื่น สังเกตได้ว่าไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะมีคนกล่าวอ้างว่าเป็นคนเป็นโรคซึมเสร้า แล้วใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธที่จะศึกษาสัจธรรมที่ถูกส่งมาจากอัลลอฮ์เพื่อเป็นทางนำและเลือกกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะคนเหล่านี้ถือว่าศาสนาเป็นรอง
หน้าที่หลักของแพทย์ ซึ่งพ่อผมพ่อคุณตาลและภรรยาของเราทั้งคู่ก็เป็นแพทย์ ผมจึงไม่ได้มองข้ามทัศนะของแพทย์แต่กล้าที่จะ challenge ในบางจุดคือการรักษาผู้ป่วยที่ป่วย Physically จับต้องได้ มีวิธีรักษาที่เป็นที่ยอมรับโดยเอกฉันท์ในวงการแพทย์ ว่าเป็นหนัาที่หลักของแพทย์
ส่วนหน้าที่หลักของนักการศาสนามุสลิมคือการ รักษาโรคที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ที่การแพทย์ไม่สมควรถือวิสาสะในการวินิจฉัยโดยไม่ให้ความสำคัญกับจริยธรรมหรือสัจธรรมก่อน
ขณะนี้วงการแพทย์กำลังถือวิสาสะข้ามขอบเขตของตัวเองมาวินิจฉัยโรคทางจิตวิญญาณ โดยทำให้มนุษย์ที่อ่อนแอในทางจิตวิญญาณหลงทางและก่อความเดือดร้อนและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในสังคม.
อย่างที่ผมได้กล่าวครับ severe cases ผม ทราบและเห็นด้วยว่า การแพทย์ควรดูแล และอัลลอฮ์จะไม่เอาโทษคนจำพวกนี้ แต่ในกรณีคนส่วนใหญ่ที่อ้างว่ามีโรคซึมเศร้านั้น ส่วนใหญ่มีสติสัมปชัญญะในการเลือกได้ระหว่างความดีชั่ว แต่เลือกที่จะทำความชั่วเพราะมีใบcertified จากวงการแพทย์เป็นใบเบิกทางให้กระทำได้โดยคนอื่นต้องเห็นใจ อันนี้อัลลอฮ์ทรงเอาผิดแน่นอนอินชาอัลลอฮ์
ปัญหาคือแพทย์มุสลิมไม่เสนอให้ทางออกคนพวกนี้ในการให้ความรู้เรื่องสัจธรรมก่อนแต่วินิจฉัยโดยง่ายดายว่าเป็น medical decease และไม่ระวังตัวว่าอาจจะตกอยู่ในสถานะที่ต้องรับบาปในการยืนหยัดเผยแพร่ทางออกของการรักษาโรคทางจิตใจในมุมมองของวิชาชีพตัวเองก่อนการให้ความรู้ทางสัจธรรมตามหลักการที่ถูกต้อง จึงทำให้ผมต้องทำหน้าที่พูดสิ่งที่อยู่ในอัลกุรอานเท่านั้นครับ
ขอให้อัลลอฮ์ตอบแทนความหวังดีครับ ผมและตาลสัมผัสได้ถึงความจริงใจของข้อความท่านครับ จึงขอให้อัลลอฮ์ลตอบแทนครับ รักพี่น้องเสมอครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"งานวิจัยเผย ฟองน้ำล้างจานเต็มไปด้วยแบคทีเรียมหาศาล และยิ่งทำความสะอาดมันบ่อยๆ ยิ่งแย่เพราะทำให้มีแบคทีเรียที่ทนทานมากขึ้น (เช่นเดียวกับกลไกการดื้อยา) แถมยังเป็นแบคทีเรียก่อโรคด้วย
คำแนะนำคือ เปลี่ยนฟองน้ำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ยิ่งดี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เปลี่ยนทุกสัปดาห์เลยเหรอเปลืองต้นทุนครับ ปากก็ปากลูกค้าผมทำขายไม่ได้ทำกินเองซักหน่อย"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
10 สัญญาณที่บอกว่า คุณติดเกมมากเกินไปแล้ว
1. คุณจะหงุดหงิด เมื่อคุณไม่ได้เล่นเกม
2. เฮ้ย อยากเล่นเกมโว้ย !!!
3. ไม่เขียนละ ไปเล่นเกมดีกว่า
4.
5.
6.
7.
8.
9.
10.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
【เม้าท์มอยก่อนนอน】
กำลังเคลิ้ม ปิดไฟดูยูทูบก่อนนอน เจอวีดีโอรายการประกวดร้องเพลง 🎵 ..
เพลงกำลังมันส์ เอ๊ะ? เราก็ง่วงนะ แต่ทำไมตัวกระตุก เตียงขยับ หรือว่าเพลงจะมันส์จนร่างกายมันขยับเอง 💃 ..
จังหวะนั้น มือถือก็สั่น .. พรืดๆๆ 📳 ..
.
..
...
....
อ๋อ.. แผ่นดินไหว =___=
#ค่ะ
#ปิดมือถือนอน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนด่าประเทศ = พวกไม่รักชาติ มือไม่พาย ทำไมไม่เสนอวิธีแก้ มัวแต่ด่า
คนเสนอวิธีแก้ = โดนอุ้มหาย และโดนจับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วัฒนธรรม merchandization เอย commercialization เอย และ sexual objectification ที่มีต่อผู้หญิง แบบโอตาคุคลั่งไอดอลสาวแบบโจรแคระนี่แม่งรุนแรงจริงๆ และที่เหี้ยและรับไม่ได้อย่างถึงที่สุดคือแม่งเผยแพร่มาสู่เมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยละ ไอห่า เรื่องนี้รู้สึกรับไม่ได้จริงๆ รู้สึกทุเรศ อัปรีย์ จังไรเป็นร้อยเท่าพันทวี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ชาติจะพัฒนาได้ กินก๋วยเตี๋ยวแล้วรสชาติเฮงซวย อย่าบ่นครับ มีพวงเครื่องปรุงก็ปรุงไปครับ ต้องช่วยกัน อยากได้ต้องทำเอง สั่งเกี๊ยวหมูแดง คนขายลืมหมูแดง เราเติมน้ำตาลไปสามช้อนแทนได้ครับ คิดซะว่าเป็นหมู หมูอยู่ที่ใจ 🐷 คนขายไม่ผิด เขาอุตส่าห์เสียสละมาขายให้เรากิน จริงๆ เขานอนอยู่บ้านก็ได้ ต้องขอบคุณเขา 🙏"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ให้รัฐบาลเหี้ยๆของชาติตัวเองบริหารประเทศตัวเองดีกว่า ให้รัฐบาลเทพๆจากชาติอื่นเข้ามาบริหาร
#มิตรสหายท่านหนึ่งที่อดรางวัลโนเบล
ทำไมอากงอาผ่อซือเจ้ตั๋วเฮียทั้งหลายต้องโกรธแค้นที่มีคนด่าชาติไทยด้วยอ่ะครับ ต้องออกโรงมายกผีบรรพบุรุษบางระจัน อยุธยา ทั้งที่บรรพบุรุษมาจากซัวเถา กว่างสิว ล่องเรือกากี่นั้งโล้สำเภาตุ๊บป่องๆมาตกแต่ไทย
ห่าสุดคืออ้ายบ่าวเจียงใหม่ ที่รักชาติไทยจนลืมว่าตัวเองเป็นชนชาติลาวล้านนา แต่ถูกสยามยึดไว้เป็นไพร่ในเบี้ยเสียเอกราชจนลืมกำพืดกำเนิด
อีกพวกนึงก็ไปไหว้ตี่จูเอี๊ยะ อีกพวกนึงก็ไปแห่ตุง
ป๊าดโธ่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำไมวัยรุ่นหลายคนถึง "ชังชาติ" ?
.
นั่นก็เพราะ เขาไม่เคยรู้สึกว่า "ชาติ" เป็นของเขาเลยไงครับ
.
นี่คือความรู้สึกเวลาที่ผมอ่านข่าวที่ฮ่องกงสามารถเลือกผู้สมัครอายุยี่สิบจากพรรคเยาวชนเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงในสภาได้ ในขณะที่สภาบ้านเรา 3/4 เป็นคนวัยหลังเกษียณ
.
หรือข่าวที่สิงคโปร์ทำประชาพิจารณ์เรื่องวัสดุพื้นทางเดิน แล้วนึกไปถึงดีไซน์สะพานคนเดินข้ามเจ้าพระยาสุดอุบาทว์ ที่ผู้สร้างไม่คิดจะถงจะถามอะไรเราสักคำ
.
คุณภาพชีวิตที่แย่เป็นแค่ครึ่งหนึ่งของปัญหา เพราะอีกครึ่งหนึ่งคือโครงสร้างอะไรก็แล้วแต่ที่กีดกันไม่ให้เรากระโดดเข้าไปแก้มัน
.
แน่ล่ะว่ามีคนรุ่นใหม่หลาย ๆ คนพยายามจะหาทางแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ ในมุมของตัวเอง (ผมก็หวังว่าสักวันจะได้เป็นหนึ่งในนั้น) แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีคนตัวเล็กน้อยคนที่พยายามแก้ไขปัญหาอะไรในประเทศนี้ แล้วไม่จบลงด้วยการเจอตอ
.
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่เห็นด้วยทุกครั้ง เวลาที่มีคนบ่นคนด่าประเทศตัวเอง แล้วมีอีกคนไปคอมเมนต์ทำนองว่า "ก่อนจะด่า ทำอะไรให้ประเทศรึยัง?" ถ้าลองคิดดูดี ๆ แล้ว ...
.
1. คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้ทำอะไร เขาอาจจะทำแล้ว/กำลังพยายามทำอยู่แต่คุณไม่รู้ หรือว่าอยากทำใจจะขาด แต่หลาย ๆ อย่างในสังคมมันไม่เอื้อให้เขาทำได้ คือคนมันจะด่าไปด้วย หาทางแก้ไปด้วยไม่ได้เหรอ?
.
2. ต่อให้เขาจะไม่ได้ทำอะไรเป็นรูปธรรม แต่แค่การที่เขาเลือกที่จะไม่เงียบ แล้วกล้ากระโดดออกมาสะท้อนความรู้สึกในฐานะผู้อยู่อาศัยในประเทศคนหนึ่ง แค่นี้มันก็เป็นข้อมูลที่ล้ำค่าแล้ว อย่างน้อยสังคมก็ควรจะได้รับรู้ว่าคนคนนึงรู้สึกยังไงจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแรงขับดันสู่การเปลี่ยนแปลงมันก็ไม่เกิด
.
3. ต่อให้สิ่งที่เขาพูดจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยก็ตาม ถ้าบ้านหลังนี้เป็นของเขาจริง ๆ มันก็สิทธิ์ของเขาที่จะด่าขิงด่าข่าอะไรตามใจชอบ ความคิดที่ว่าบ้านหลังนี้ด่าไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ รังแต่จะทำให้ความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของบ้านลดลงไปอีก
.
บ้านควรจะเป็นสถานที่ที่เราสามารถเป็นตัวเองได้มากที่สุด ถ้าบ้านหลังไหนผู้อยู่อาศัยต้องใส่หน้ากากเข้าหากันถึงจะอยู่ได้ นั่นก็ไม่เรียกว่าบ้าน
.
เราไม่รู้หรอกว่าในอีก 50 ปีหรือ 1000 ปี ประเทศเราจะเจริญหรือเปล่า หรือว่ารถเมล์จะมาตรงเวลาขึ้นไหม แต่สิ่งที่มัน "จริง" ในข้อความเหล่านั้น คือความรู้สึกสิ้นหวังของคนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งที่มีต่อประเทศนี้
.
แต่เอาเถอะ สุดท้ายโดยส่วนตัวแล้วผมก็ยังอยากรู้สึกว่าประเทศนี้เป็นบ้าน ไม่ใช่แค่ "เช่าเขาอยู่" อย่างที่หลาย ๆ คนพูดกัน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ระหว่างคนรุ่นใหม่กับเป้าหมายที่ว่าคือ Generation Gap ขนาดมโหฬาร ที่อีกฝั่งมีคนอีกกลุ่มพยายามพาประเทศไปในทิศทางที่เราได้แต่สายหัว ทั้ง ๆ ที่ในอนาคตอีกยี่สิบสามสิบปีข้างหน้า โลกมันไม่ใช่ของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
.
ดังนั้นก่อนถามว่าเราทำอะไรให้กับประเทศ
.
จงถามก่อนว่าประเทศยอมให้เราทำอะไรกับมันบ้าง
.
ปล1. สรุปว่าอิมเมจเจอรถเมล์ดีเลย์ เลยบ่นลงทวิต แค่นั้นเอง ทำไมกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ขนาดนี้ = =
.
ปล2. เราโอเคกับอิมเมจทุกอย่าง ยกเว้นอยู่อย่างเดียวคือที่เธอถอดแว่นนี่ล่ะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"น่าเบื่อเนอะ เอะอะก็ถามสี. ถามจริงพวกถามนี้อยากแยกประเทศอยู่ขนาดนั้นเลยเรอะ อยากเห็นเด็กถือปืนมากกว่าหนังสือเรียนเรอะ อยากเห็นซากศพคนตายขนาดนั้นเลยเรอะ ถึงต้องถามสีแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย เพื่ออะไรวะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปีนี้คงไม่มีดราม่าเนติวิทย์หรอก ว่าจะกราบถวายบังคมหรือเปล่า ฝนตกหนักมากตอนนี้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นึกถึงลุงคนนึงที่ตายห่าไปแล้วเลย ที่ชอบปั้นวาทกรรมให้คนภูมิใจกับความจนโง่ๆ แต่ตัวเองรวยล้นฟ้า แพล่มสอนลูกคนอื่นไปทั่ว แต่ไม่มีปัญญาสอนลูกตัวเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทอมหัวไม่หวีหีไม่ล้าง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้าอิมเมจมีน้องชาย การทวีตว่ายิงกูดิ อาจจะทำให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
#มิตรฯ
มหาตมะ คานธีคนที่กวนตีนอังกฤษจนน่าหมั่นไส้แถมจะจัดการก็ไม่กล้า สุดท้ายดันโดนคนชาติตัวเองยิง มนุษย์นี่มันโง่อ่อนแอและสิ้นหวังจริงๆ
#มิตรสหายข้างบน
ฬ ทำให้เราเห็นว่าสกิล Taunt ของแท้งในเกม RPG มันสามารถทำได้จริง
#มิตรสหาย
https://www.facebook.com/High-on-Liberal-Islam-1450204038403700/
-มิตรสหายไม่กินหมูท่านนึง
มารยาททราม ก็คือมารยาททราม
-ฟังเขาพูดมา
"คุณไม่เข้าใจหรอกว่า เวลาชุดนักศึกษาเปียกฝน แม่งฟินขนาดไหน แล้วยิ่งนักศึกษาชายบางคนมีขนอ่อนที่หน้าอกนะ มึงเอ้ย...
กูไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงของขึ้นขนาดนั้น เขารอมาเป็นปีเพื่องานนี้ สวรรค์ล่มเพราะ เนเน่ แอนด์เดอะแก๊งค์ แท้ๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เราควรรักหรือควรชังชาติแค่ไหน #ยาวนิดหนึ่งแต่อยากให้อ่าน
ตั้งแต่เขียนหนังสือเกี่ยวกับฮิตเลอร์ ได้มีโอกาสไปงานเสวนาหลากหลาย หนึ่งในคำถามที่เจอบ่อยสุดคือ "สรุปแล้ว การที่ฮิตเลอร์สอนให้รักชาติ ก็เป็นสิ่งดีใช่หรือเปล่าครับ"
ขอเล่าอะไรให้ฟังนิดหนึ่งแล้วกัน ตอนเรียนจบเอกใหม่ๆ เราได้มีโอกาสไปทำวิจัยต่อที่เยอรมนี และถ้าผลักดันตัวเองดีๆ ก็คงได้อยู่ทำงานที่นั่นกึ่งถาวร
แต่สุดท้ายเราก็เลือกกลับเมืองไทย จะบอกว่าเพราะเรา "รักชาติ" ก็คงได้กระมัง ตอนนั้นถ้าถามว่ารักอะไรของเมืองไทยที่สุด เราตอบทุกคนว่า "ชอบแผงลอยกรุงเทพตอนกลางคืน"
แล้วทุกวันนี้เป็นอย่างไร เราเจอนโยบายกวาดล้างแผงลอย ก็เท่ากับอย่างน้อยๆ เหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้เรารักชาติมันหมดไปแล้ว
#เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้แต่ละคนรักชาติ มักจะฟังดูงี่เง่า ไม่ซ้ำซ้อนกัน ไม่หยุดนิ่งตายตัว หรือไม่สามารถเอามาสรุปง่ายๆ ได้ บางเหตุผลก็ขัดแย้งกันเอง (บางคนอาจรักเมืองไทยตอนนี้มากกว่า เพราะรักความเป็นระเบียบเรียบร้อยบนทางเท้า)
ซึ่งไอ้เหตุผลจริงๆ เหล่านี้น่ะ เป็นเหตุผลที่ผู้มีอำนาจ คนที่ต้องการแปรความรักชาติเป็นคลั่งชาติ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ยอมรับไม่ได้ คนอย่างฮิตเลอร์ต้องการให้เรารักชาติ ด้วยเหตุผลเก๊ๆ สามสี่ข้อ เหตุผลที่เข้าใจง่าย ที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และทุกคนเห็นตรงกันหมด เพราะเหตุผลเก๊ๆ ของการรักชาติ เอามาทำโฆษณาชวนเชื่อได้ง่ายกว่า
เราควรรักหรือควรชังชาติแค่ไหน คำตอบเราคือ "เราควรรักชาติด้วยเหตุผลจริงๆ เหตุผลของเราเอง ไม่ว่ามันจะฟังดูงี่เง่าแค่ไหน และในทางกลับกัน จงชังทุกเหตุผลที่เขาพยายามหยิบยกยัดเยียดขึ้นมาให้เรารักชาติ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คนบางกลุ่มแถวๆนี้ชอบเอาปลอกคอใส่ตัวเด็ก แล้วล่ามไว้ติดตัว
เหมือนจูงหมา เข้าใจว่าถ้าไม่ล่ามไว้ หมาจะไปกัดใครเขา
แต่โทษทีฮะ นี่คือเด็ก...นี่คือทรัพยากรที่ไร้ขีดจำกัดของประเทศ
คุณ....อาจจะผลักภาระทุกอย่าง
แล้วบอกว่าเด็กเป็นตัวปัญหา
โดยไม่ได้มองว่าเด็กเองเห็นปัญหา และชี้ไปที่มัน
คุณกำลังกล่าวโทษคนที่อาจจะชี้ทางออกของประเทศในอนาคต
และทำเป็นไม่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น
ใครอยากเห็นสภาพของปัญหาของประเทศไทยว่าเป็นยังไง ควรมองไปถึงระบบและการปลูกฝังที่คนแก่บางคนบอกเรา มากกว่าจะมองว่าเยาวชนคือปัญหาครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กินไมโลดิบกันทำไมคะ ไม่กลัวพยาธิเหรอ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำไมเด็กรุ่นใหม่ มีแนวโน้มเหี้ยกว่าคนรุ่นเก่าครับ
ทั้งแว้นท์ สก้อย ติดยา ติดเกม ติดการพนัน เยดจนท้องก่อนวัยอันควร บริโภคของเถื่อนผิดลิขสิทธิ์กันด้านๆ โกง ทุกอย่างที่คนรุ่นเก่าทำเหี้ยๆ เด็กรุ่นใหม่เลียนแบบได้หมดแถมพัฒนาต่อได้อีก
#เยาวชนหัวควยทั่นหนึ่ง
อิสลามเฮงซวย อีก 50 หรือ 1000 ปี ก็ไม่มีทางชนะยิวหรอก ปาหินกูดิ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อัลลาอักบา!! อัลลาอักบา!! ตู้ม!!
#มุซซี่ท่านหนึ่ง
"คนอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่เพื่อนรอบข้างผมที่ชอบบ่นคือคนที่มี vision มองอะไรก็เห็นเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข ไปตรงไหน ไปทำอะไรก็จะบ่น
- ทำไมตีเส้นแบบนี้ มันสร้างความสับสน
- ทำไมเขียนป้ายแบบนี้ มันสื่อสารไม่ชัดเจน
- ทำไมทำทางเดินแบบนี้ คนพิการเดินไม่ได้
- ทำไมเอาประตูมาไว้ตรงนี้ ทำให้คนเดินไม่ flow
- ทำไมใช้สีแบบนี้ มันไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมโดยรวม
- ทำไมไม่ใช้หน้าต่างแบบนี้ ห้องจะได้มีแสงสว่างเพิ่มขึ้น
คนที่ไม่บ่น คือคนที่ไม่ critical กับสภาพแวดล้อมรอบข้าง ไม่เคยสังเกต ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่คิดอะไรมาก เพราะถ้าคิดมากจะบ่นทุกคน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ญี่ปุ่นนี่ก็ดราม่าไม่เว้นวันเหมือนเมืองไทยเลย พักตาจากดราม่ามหาลัยมาดูดราม่าประถมจากฝั่งญี่ปุ่นกันมั้ง 555
ดราม่าเดือดในโลกออนไลน์ของญี่ปุ่นตอนนี้คือเรื่อง
"ห้ามนักเรียนผู้หญิงมัดผมหางม้า" "ห้ามสวมบรา" !!!🙄
เรื่องมีอยู่ว่าผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่ายูอิจิโร่ทวิตเล่าเรื่องราวการสนทนากับแม่ บอกว่าในที่ประชุมสมาคมผู้ปกครอง "ออกกฎห้ามมัดผมหางม้าแล้วนะ" (ญี่ปุ่นมีระบบสมาคมผู้ปกครองและครูทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่าผู้ปกครอง เด็ก และโรงเรียน) เหตุผลนั้นคือพวกครูในโรงเรียนบอกว่า "มัดผมหางม้าจะทำให้เด็กผู้ชายเกิดอารมณ์" 😨
เวลามัดผมหางม้า จะเห็นท้ายทอย และท้ายทอยผู้หญิงเป็นส่วนที่เซ็กซี่ (ดูหนัง AV มากไปปะเนี่ย --'') ที่มองแล้วเด็กผู้ชายอาจเกิดอารมณ์ได้ ก็เลยตัดปัญหาตั้งกฎห้ามเด็กนักเรียนผู้หญิงมัดผมหางม้ามันซะเลย นึกว่าแม่พูดเล่นวันรุ่งขึ้นมีการประชุมนักเรียน ก็มีใบแจ้งกฎใหม่ห้ามมัดผมหางม้าจริงๆ
หลังจากทวิตไปก็ดราม่าเลยจ้า จริงๆจะว่าดราม่าก็ไม่ถูกเพราะความเห็นแทบจะด่าโรงเรียนกันร้อยเปอร์เซนต์ ข่าวหลายๆสำนักก็เอาประเด็นนี้ไปเล่น ตอนแรกนึกว่ามีที่เดียว พอเป็นข่าวก็มีผู้ปกครองหลายคนบอกว่าโรงเรียนลูกชั้นก็เหมือนกัน ก็เลยพบว่าไม่ใช่โรงเรียนนี้ที่เดียวเท่านั้น แต่ยังมีโรงเรียนประถมอีกจำนวนหนึ่งที่ห้ามมัดผม แต่ที่พีคสุดๆๆๆๆ คงเป็นโรงเรียนประถมแห่งนึง ห้ามนักเรียนผู้หญิง (เด็กประถม)สวมบรามาโรงเรียน ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ บราชุดชั้นในทำให้ผู้ชายเกิดอารมณ์ !!!!
ชาวเน็ตด่ากันเพียบบบบบบ ตั้งแต่ตั้งคำถามเลยว่า
"ใครเป็นคนคิดกฏ? ขอเห็นหน้าคนตั้งกฎหน่อย"
"คนเป็นครูคิดได้เท่านี้รึ"
"ไอ้ที่เกิดอารมณ์น่ะไม่ใช่เด็กนักเรียนผู้ชายหรอกมั้ง ครูผู้ชายเองละมั้งที่เกิดอารมณ์!"
"โนบราด้วยหรอ เห็นด้วยยย ยิ่งเซ็กซี่เข้าไปใหญ่" (ประชด)
"ตอนนี้โนบรา ต่อไปจะห้ามใส่กางเกงในมั้ย เพราะกางเกงในก็ทำให้ชั้นเกิดอารมณ์นะ"
"ไม่ใส่บราแล้วฝนตกชุดเปียกทำไง"
"รบกวนห้ามเด็กผู้ชายใส่กางเกงบอลทีค่ะ ดิฉันเห็นแล้วหื่นนน"
มีความเห็นนึงน่าสนใจบอกไว้ว่า "การห้ามเด็กผู้หญิงมัดผมหางม้า หรือห้ามใส่บราด้วยเหตุผลว่าผู้ชายเห็นแล้วจะเกิดอารมณ์ ก็มันเหมือนการที่คุณลงโทษเหยื่อ เหมือนคุณกำลังจะบอกว่าเหยื่อที่โดนข่มขืนน่ะสมควรแล้วเพราะแต่งตัวไม่ระวัง สิ่งที่โรงเรียนควรทำคือการปลูกฝังจิตสำนึกเด็กผู้ชายไม่ให้ทำร้ายเพศหญิง ให้เกียรติ เกิดอารมณ์หรือไม่เป็นปัญหาของเด็กผู้ชายที่คุณต้องควบคุมตัวเอง ผู้หญิงไม่ควรต้องรองรับอารมณ์หื่นของผู้ชาย"
เป็นกฏที่บ้าบอดี แล้วเพื่อนๆอ่านแล้วมีความเห็นว่าไงกันมั่ง
รวบรวมข่าวจากหลายๆที่
CR :
http://www.akb48matomemory.com/archives/1066929068.html
https://goo.gl/X9obLp
https://twitter.com/yuuitirou528/status/891334540559499264
http://news.livedoor.com/article/detail/13413853/
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไดโนเสาร์มีทุกประเทศ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พวกที่โทษว่าประเทศตัวเองมีแต่ไดโนเสาร์นั้นแสดงว่าตัวมพวกมึงได้ติดเชื้อไดโนเสาร์เข้าแล้ว
#มิตรเพจดราม่า
"เสาร์ควยไร วันนี้วันอาทิตย์แล้ว"
- นายพลศาสตราจารย์นายแพทย์มัตซึโมโต้ มุดดามีนา ฮุซเซ็น ชินนะวัตรา
งานศพที่ใด เป็นได้แค่แขกรับเชิญ
//สวดบังสุกุลรัวๆ 😣
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ลบรูปเมียกูออกให้หมด"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
สื่อถามหา: เด็กโอลิมปิกวิชาการได้เหรียญแล้วหายไปไหน? อันนี้ขอตอบในฐานะที่เป็นอดีตเหรียญเงินโอลิมปิก เด็กโอฯไม่ได้หายไปไหนครับ เพื่อนผมหลายคนเป็นนักวิจัย อาจารย์ ฉลาดปราดเปรื่อง มีงานค้นคว้าตั้งแต่เรื่องการแปรรูปอาหารไปจนถึงส่งยานอวกาศไปบนอุกกาบาต. เพียงแต่ว่าตัวตนหรืองานของเขาอาจจะไม่ได้ฉูดฉาดจนถึงขั้นออกทีวีได้เรื่อยๆครับ. อีกเรื่องหนึ่งคือเด็กโอฯส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจหรือแบรนด์ บางทีเราอาจจะได้เห็นผลงานเขาทางอ้อมแต่เราอาจจะไม่รู้ครับ. อย่าง Siri ภาษาไทย หรือ กล้องในไอโฟนก็มีคนไทยมีส่วนร่วมอยู่ด้วยหละครับ. หลายคนอายุยังน้อย หลายคนเก็บประสบการณ์จนพอก็จะกลับไทยครับ
ความคาดหวังที่จะเห็นคนไทยได้เป็นผู้สร้างทางด้านเทคโนโลยีนั้น ผมอยู่ตรงนี้มา เห็นว่าวิชาการเป็นเพียงแค่ปัจจัยเดียวเท่านั้น อีกปัจจัยสำคัญคือเรื่องธุรกิจ ซึ่งเก่งคนเดียวคงไม่พอ ต้องพัฒนาพร้อมกันไปเป็นทีม หรือทั้งอุตสาหกรรม มันถึงจะเห็นผลเหมือนต่างประเทศครับ
ข้อได้เปรียบที่ใหญ่มากๆสำหรับธุรกิจเทคโนโลยีในต่างประเทศคือ ตลาดของเขานั้นใหญ่และมีกำลังซื้อเยอะครับ เจ้าของเทคโนโลยีอย่างอเมริกาฯเลยลงทุนให้มีทั้งบุคลากรและอุตสาหกรรมที่พร้อมกว่า. แต่อย่างที่บอกว่าที่จริงคนไทยก็เก่งไม่แพ้กัน และเรามีกันไม่มาก จึงยิ่งควรจะรวมตัวกันเข้าไว้ให้ยิ่งกว่า แล้ววันหนึ่งเราก็จะเห็นผลลัพท์ครับว่าคนไทยก็ทำได้.
ก่อนจบ ขอขายของหน่อยนะครับ. อย่างทีม OmniVirt เราเป็นคนไทย มีกันแค่ไม่กี่คน แต่ลูกค้าในอเมริกาฯบอกว่าผลงานออกมาเหมือนบริษัทมีคนเยอะมาก. โดยปกติบริษัทไทยอาจจะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในตลาดต่างประเทศ (ทั้งด้านเทคโนโลยีและด้านธุรกิจ) แต่ตอนนี้เราแก้ปัญหาตรงนี้ได้แล้ว และ รอคนมาร่วมเดินทางอยู่ครับ. เพื่อนๆ พี่น้องคอมโอฯ ใครฟังอยู่ มาร่วมงานกันนะครับ. พร้อมจัดการเรื่องวีซ่า ที่อยู่ การเดินทางให้ครับ. ขอบคุณครับ.
กูไหว้พระ พระยังไม่รับไหว้กูเลย เสียจัย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Microsoft พัฒนา chatbot ชื่อว่า Xiaobing (Little Ice) ขึ้นมาแล้วให้บริการในหลายแพลตฟอร์ม รวมทั้ง WeChat ด้วย
วันนี้ผมเลยลองเล่นดูบ้าง แต่ว่าผมใช้คีย์บอร์ดมือถือตัวเต็มเป็นหลัก เลยลองถามคำถามพื้นๆ อย่างชื่ออะไรมันก็ตอบได้ แสดงว่าใช้ตัวเต็มคุยด้วยได้ ทีนี้ก็เลยถามต่อว่ามีแฟนหรือยัง มันก็ตอบว่า "ไม่มี มีเธอคนเดียวก็พอแล้ว" เออ มันก็รู้จักเล่นหัว แล้วมันก็ถามผมมาว่า "มีคนที่ชอบหรือเปล่า" ฮ่าๆ เข้าทางกูแล้ว ผมเลยตอบว่า "ชอบท่านประธานเหมา" ทีนี้มันตอบมาว่า "เฮ้อ เปลี่ยนเรื่องได้ไหม มีเรื่องคุยตั้งเยอะแยะ" ผมถามต่ออีกว่า "แล้วรู้จักพรรคคอมมิวนิสต์จีนไหม" ทีนี้มันตอบว่า "โอ้ ฉันยังเด็ก ฉันไม่รู้เรื่องหรอก"
ทั้งหมดนี่จะลองเทสต์ดูว่า WeChat นอกประเทศก็โดนเซ็นเซอร์ไหม เพราะเดิม chatbot ตัวนี้เคยปิดบริการชั่วคราว เพราะมีคนเอามาโพสต์ใน Weibo ว่าไปถาม Xiaobing ว่า "รักพรรคคอมมิวนิสต์จีนไหม" แล้วมันตอบกลับมาว่า "ไม่รัก" คนก็เลยฮือฮา แห่เข้าไปคุยเรื่องการเมืองกับมันใหญ่ ผู้ให้บริการอย่าง Tencent เลยสั่งปิดชั่วคราว พอเปิดใหม่ชวนคุยเรื่องการเมืองมันก็สั่งให้เปลี่ยนเรื่องตลอดเลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพื่อนๆคิดว่า 10 ปีข้างหน้า เมื่อ "เนติวิทย์และผองเพื่อน" ลงเล่นการเมือง พวกเค้าจะยังรักษาอุดมการณ์ไว้ได้ หรือจะกลายเป็นแบบนักการเมืองไทยที่ผ่านๆมา อ้วนๆ แดกเช้าแดกเย็น ยักย้ายถ่ายเท อุปถัมน์กันไปมา
ปล.นักการเมืองไทยที่ผ่านๆมา ก็เคยเป็นนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมประท้วงฝ่าดงปืนต่อต้านนักการเมืองที่ไม่ดีกันทั้งนั้น
ถ้าสงครามใช้การตีกอล์ฟตัดสิน พวกนายพลไทยคงพาประเทศนี้ครองโลกอะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไปอวกาศกลับมาหมาแมวมันคงยืนสองขาได้แล้ว กูก็จะมาเล่าให้พวกมันฟังว่าแต่ก่อนมีชีวิตด้วยกันงี้ๆ มีกระดิกหางชัวร์ๆหมาน่ะ
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ลดการซื้อของฟุ่มเฟือย โดยการเลิกซื้อหนังสือ แต่ไปเน้นเสื้อแฟชั่น รองเท้าแบรนด์และแกดเจ็ทสูดหรู ....
เราหมุนรอบตัวเองไม่ได้ แต่อยู่ในวัตถุที่หมุนรอบได้
ตลกชะมัด แล้วอีกอย่างเราต้องแบกแม่เหล็กขนาดเท่าตัวติดหลังด้วย
มิตรสหายท่านหนึ่ง
เป็นที่หนึ่งไม่ได้ซักเรื่อง เลยมาเอาดีด้านแซะชาวบ้านหรอจ้ะ วงวาร
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ความอดทนสะท้อนกลับได้ทุกสิ่งคือคุณสมบัติของโล่เอจิสต์ โล่้เอจิสต์จึงเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง
ควบคู่กับดาบแห่งการเสียสละ
มิตรสหายท่านหนึ่ง
มิกุคงเกลียดมันด้วยแหละ มันวาดแต่กางเกงในของเค้า ความคิดแม่งเลวทราม
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มีคนใช้ GRAB รถแดงเชียงใหม่ แต่พอรถแดงมา จะเอาราคาเหมา ไม่เอาราคาตามแอป คนเรียกไม่ยอม เลยถูกรถแดงด่าฟรี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้า CEO บ. ใหนซัก บ. นึกสนุกตั้งกล่องรับฟังความคิดเห็นเอาไว้
แล้ว e-mail บอกทุกคนในองงค์กรณ์ว่า
"เขียนเฮียอะไรลงไปก็ได้ รับฟังหมด"
พอเจอคนกล้าเขียนปัญหาจริงๆ หย่อนตูมไป
ก็จะออก step นี้
ใครเขียน(วะ) ไปหาตัวมา
บอกมาแต่ปัญหา บอกวิธีแก้มาด้วยสิ จะให้ผมทำไง ?
สุดท้าย ก็โดนไล่ออก
Pro Tip : "อย่าทำ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คือเราไม่เคยรู้เลยว่าที่เขาว่าเราโทรมๆหลังอยู่เวรเนี่ยมันประมาณไหน
วันนั้นโซซัดโซเซดังนกน้อย(ทำไมต้องนก)บินถลาร่อนไปราวน์ หายางมัดผมไม่เจอก็เดินไปทั้งอย่างนั้น
เห็นน้องเอ๊กซ์เทิร์นกำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน แพทย์สาวก็เลยเอ็นดู ไม่ส่งเสียงเรียก
ก็แค่เดินเงียบๆไปยืนตรงหน้าน้อง ด้วยความภูมิใจในความขยันของน้อง พอเห็นน้องทำงานจะเสร็จ ก็ว่าจะทักทาย แค่อ้าปาก ก็เผอิญน้องรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้นมาก่อน น้องนั้นดูตกใจเบาๆและอุทานออกมาว่า
.
.
.
"แอ๊ ผีปอบ!!"
......ยิ้มเอ็นดูค้างงง
# นี่พี่เองไงล่ะ
# หลังจากนั้นน้องก็ขอโทษขอโพย
# แต่แก้วที่มันร้าวไม่นานนนก็คงจะแตกกก ใจที่มันร้าวไม่นานก็คงจะแหลกกกกก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันไม่ใช่ยันเดเระหรอก แค่เค้ามาตามผัวกลับบ้าน ก็แค่นั้นเอง อิอิ
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ต้องเลิกเป็นคนพิการนะ หรืออยู่แต่บ้านไม่ออกไปไหน การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากตัวเราก่อน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สังคมสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมดครับ เด็กนึกอยากเป็นหมอจัดฟัน ก็ไปสั่งเครื่องมือในเน็ตมารับจัดหันให้เพื่อน แล้วเป็นไงครับ เหงือกอักเสบกันไป
ล่าสุดนี่ครับ ป้าร้านเย็บผ้าแถวบ้านพี่เป็ด ขึ้นป้าย "รับตัดขา" เฮ้ย! ป้าไม่ใช่หมอนะ แล้วใครจะบ้าจี้ให้ป้าตัดขาอ่ะครับ ก็เป็นแบบเนี้ย บ้านเมืองถึงไม่เจริญซักที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ดูเหมือนมีข้อแม้ ห้ามเข้าใกล้ฉันเพราะาเธอแยกฉันกะเมียออกจากกัน นั่นคือบาปที่เธอต้องชดใช้"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"นักศึกษามาโวยวายว่าทำไมต้องให้ใส่กางเกงสแล็คไปเรียนตอนที่นัดไปเรียนสัมมนาด้วย ถึงขั้นถ้าอาจารย์ยังจะให้ใส่ ผมก็จะไม่ไปเรียน (ช็อครอบแรกกับวิธีการแก้ปัญหา)
ก็ถามว่าทำไม นักศึกษาก็แย้งโวยวายมา จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า
"กางเกงที่ผมมี ผมใส่ไม่ได้แล้วครับ"
ช็อครอบสอง ไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลเชิงการเปลี่ยนแปลงของมวลรวมร่างกาย หาใช่การวิพากษ์ทางด้านสังคมวิทยาหรืออุดมการณ์ไม่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วันนี้แอดได้อ่านเรื่องของ #อันตรายของกระติกน้ำแข็ง จากทางศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ในการใส่ข้าวเหนียวนึ่งจากลิงก์นี้น่ะครับ
https://www.facebook.com/DramaAdd/photos/pcb.10155766144853291/10155766133178291/?type=3&theater
ซึ่งความจริงคือถ้าพลาสติกที่ใช้นั้นไม่ใช่เกรดอาหารก็ไม่ควรนำมาใช้งานแบบนี้ล่ะครับ แต่ว่าแอดพบว่าเนื้อหาที่เขียนนั้นผิดไปจากความเป็นจริงอย่างมากเลยน่ะครับ
ซึ่งในเรื่องกล่าวถึงว่า กระติกน้ำแข็งนั้นทำจากเทอร์โมเซตติง พลาสติก (Thermosetting polymer) น่ะครับ เอริ่ม!! เริ่มเรื่องก็ชักจะมีความแหม่งๆแล้ว
เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่ที่ใช้ทำกระติกน้ำแข็งในเมืองไทยนั้นมักจะเป็น HDPE (High density polyethylene) และ PP (Polypropylene) น่ะครับ เนื่องจากว่ามีน้ำหนักเบา ทนแรงกระแทก (impact strength) ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แถมยังมีราคาถูกควรค่าแก่การใช้งานด้วย
ซึ่งมีการระบุว่ามีการใช้ Melamine formaldehyde/ Phenol formaldehyde / Epoxy resin ต่างๆเป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพลาสติกพวกนี้ราคาสูงเกินไปครับ และยังทนแรงกระแทกได้ไม่ดีนัก (เว้นแต่ epoxy resin น่ะครับ) อีกทั้งยังมีค่าความถ่วงจำเพาะค่อนข้างสูงครับ ขืนเอามาทำกระติกน้ำนี่ รับรองทั้งหนักทั้งแตกง่ายตั้งแต่ 3-4 วันที่ใช้กันเลยทีเดียว
นอกจากนั้นยังมีการบอกว่ามีอันตรายจากสาร plasticizer อีกแหน่ะ ซึ่งใน HDPE และ PP นั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้ plasticizer แล้วล่ะครับ เนื่องจากว่ามีค่าการทนแรงกระแทกได้ดี และขืนใส่ plasticizer ลงไปเพิ่มนี่ รับรองพลาสติกได้อ่อนยวบยาบเป็นยาง (Rubber) ง่ายๆเลยล่ะ
เพราะวัตถุประสงค์ของการใส่ plasticizer นั้นเป็นการลดค่าอุณหภูมิที่มีสถานะคล้ายแก้ว (Glass transition temperature : Tg) น่ะครับ เพื่อสามารถเพิ่มการทนแรงกระแทกได้ดี
แต่ว่าค่า Tg ของ HDPE นั้นเท่ากับ (-125°C) และ PP นั้นเท่ากับ (-10°C) ซึ่งก็มีค่าต่ำมากๆอยู่แล้ว
ดังนั้นพวกสาร phthalate ที่ใช้เป็น plasticizer นั้นก็เลยไม่จำเป็นต้องใส่ลงไปน่ะครับ อ้อ! แล้วอีกอย่างเจ้า phthalate plasticizer นั้นเค้าไม่ใช้งานกับ HDPE และ PP น่ะครับ เนื่องจากว่าสารประกอบ phthalate นั้นไม่สามารถละลายในเนื้อของ HDPE และ PP ได้
แต่ phthalate plasticizers นั้นมักจะนิยมใช้กับพวก Polyvinylchloride (PVC) น่ะครับ เนื่องจากว่าอะตอมของออกซิเจนที่หมู่คาร์บอนิล (Carbonyl) นั้นจะสามารถเกิดอันตรกิริยากับอะตอมของคลอรีนใน PVC ได้น่ะครับ
ซึ่งการที่จะระบุว่าสารพธาเลตนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกายนั้นเป็นเรื่องจริงครับ แต่ข้อมูลมันผิดตรงที่ระบุว่าสารประกอบพธาเลตนั้นนำมาใส่ในพลาสติกที่ใช้ทำกระติกน้ำแข็งน่ะครับ
แล้วหลายๆคนก็สงสัยว่า อ้าว!! แล้ว HDPE และ PP มาใส่ของร้อนแล้วไม่อันตรายเรอะ?? ซึ่งปกติถ้า HDPE และ PP ที่ใช้นั้นเป็นเกรดอาหาร (Food grade) นั้นก็จะมีความปลอดภัยน่ะครับ เนื่องจากว่าทั้ง HDPE และ PP นั้นใช้ผลิตเป็นถุงพลาสติกร้อนที่ใส่อาหาร เช่น แกงถุง ก๋วยเตี๋ยวถุงอยู่แล้ว
ซึ่งเจ้า HDPE นั้นจะมีจุดอ่อนตัวที่ประมาณ 80-100°C และ PP นั้นจะมีจุดอ่อนตัวที่ประมาณ 120°C น่ะครับ ซึ่งถ้าใช้ HDPE ในการใส่ของร้อนถึงขนาดน้ำเดือดจัดนี่ก็คงจะทนร้อนไม่ค่อยได้นานน่ะครับ ในขณะที่ PP นั้นสามารถทนได้ดี และเป็นพลาสติกชนิดเดียวที่สามารถใช้ใส่อาหารอุ่นในไมโครเวฟได้ (โดยที่อาหารนั้นไม่ควรมีน้ำมันมากน่ะครับ)
ซึ่งอันตรายที่เกิดขึ้นโดยแท้จริงนั้นมักจะเกิดจากการใช้พวก Recycling polymer ของ HDPE และ PP มากกว่า เนื่องจากว่าอาจจะมีสารเจือปนอื่นๆ และอาจจะมีการเติมสีที่ไม่ใช่เกรดอาหารลงมาด้วย แต่ก็มีการยืนยันจากลูกเพจนะครับว่าปัจจุบันไม่มีการใช้งาน recycling PP มาใช้บรรจุอาหารน่ะครับ
ดังนั้นเวลาเลือกพลาสติกที่ใส่ของร้อน อย่างเช่นพวกข้าวเหนียวนึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือ "การใช้ภาชนะพลาสติกที่เป็นพวก PP ที่ไม่ใส่สีที่มีสัญลักษณ์การ recycle เบอร์ 5 ที่ล้อมรอบด้วยเครื่องหมายลูกศรวนเป็นรูปสามเหลี่ยม" น่ะครับ จึงจะปลอดภัยโดยแท้จริง
ส่วนเรื่อง Plasticizers ในกระติกน้ำแข็งงี้/ เรื่องการใช้ Thermosetting polymer งี้ นี่แอดก็ขอแก้ข้อมูลละกันนะครับ เพราะเนื้อหาที่เขียนมานั้นมั่วเหลือเกินจนอดีตเด็กพอลิเมอร์อย่างแอดต้องมาแก้ข่าวอ่ะครับ
#ขอพื้นที่ในการแก้ไขข้อมูล
#ไม่รู้แต่เล่าเป็นตุเป็นตะได้
#แถมมาอ้างชื่อสถาบันศึกษาอีก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ต่อให้มึงกินโอเมก้า,3 มึงก็ไม่ฉลาดเพราะมึงไม่ใช่ฝรั่ง
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าทหารผีมีจริง การห้อยพระแล้วฟันแทงไม่เข้า โดนระเบิดไม่เป็นไร ยิงไม่เป็นอะไรมีจริง ป่านนี้องค์กร สปอ SEATO คงไม่โดนยุบหรอก ลาวป่านนี้ก็คงใช้ชื่อราชอาณาจักรลาว เขมรก็คงใช้ชื่อสาธารณรัฐเขมร เวียดนามใต้ก็คงรวมกะเหนือเป็นสาธารณรัฐเวียดนามหมดแล้ว ป่านนี้เราคงได้เห็น SEATO กะ NATO ร่วมมือกันในอัฟกานิสถานไปแล้ว คงได้เห็นทหารไทยไปประจำการในอัฟกานิสถานแล้ว
โอ้ยยยแม่ง เชื่อกันไปได้ไงวะเรื่องนี้ โฆษณาหลอกขายพระ
ทหารผีไทยในเวียดนาม ทหารผีจริงมัน SASR จากออสเตรเลียเว้ย เห็นแม่งเอามาโพสกันจังไอ้เรื่องนี้ คนแม่งก็เสือกเชื่อ แหล่งอ้างอิงจริงๆก็ไม่มี เห็นละเบื่อ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูเคยอ่านต๋วยตูนทีนึง ทหารใหม่นั่งฮ.ไปประจำการแนวรบที่ประจันกับลาวแดง. วันแรกต้องขุดหลุมอยู่ยามแล้วเหนื่อยหลับไป. ตอนตีสองมีคนมาปลุกบอกว่า มึงอย่าอู้หลับนะมึงเมื่อก่อนมีคนหลับยามแล้ว ตายห่าทั้งหมู่. นู่นแน่ะ ที่ชายป่ามีเงาไหวๆอยู่ ลาวแดงจะมาเล่นมึงแล้ว
ทหารใหม่มันก็สงสัยว่าไอ้ห่านี่ทำไมไม่พกปืนวะ รุ่นพี่ที่มาปลุกเลยยิ้มแล้วลูกตาหลุดจากเบ้าข้างนึง. กูเนี้ยแหล่ะคนหลับยาม กระสุนนัดแรกเจาะเข้าหัวลูกตาหลุดเลย
Noam Chomsky แล้วงัยยส์
ไม่ใช่ใครแคร์นะ แต่เป็น "ใครเหรออออ"
-------------------------------------------
#มิตรสหายท่านหนึ่ง พาไปสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณี Noam Chomsky ส่งอีเมลให้กำลังใจ เนเน่ โดยสำรวจจาก "เสียงคุณภาพ" ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขต กทม. ด้วยคำถามง่ายๆ ว่า Noam Chomsky คือใคร? /เพลงมา! เค้าเป็นใครหนอ เค้ามาจากไหน
"นักภาษาศาตร์คนสำคัญเลยนะคนนี้ ก็อ่านบ้าง แต่บ้านเราก็มีนักภาษาศาตร์ที่เก่งและมีผลงานน่าสนใจเหมือนกัน อย่างหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งก็นับเป็นปูชนียบุคคล มีผลงานหนังสือดีๆหลายเล่ม ส่วนตัวชอบคึกฤทธิ์มากกว่า บางทีเราอย่าไปเห่อของนอก คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก เชื่อครู ครูรู้ครูเรียนมา --- อาจารย์ลิลี่ คุณครูภาษาไทย
"โห้ยย คุณผมจบปริญญามา 5 ใบนะครับ ดังนั้นผมรู้จักอยู่แล้ว แต่เราอย่าไปให้ราคามาก พวกนี้ต้องการบ่อนทำลายชาติเรา" --- จักร ชูขนเพชร นักวิชาเกิน
"นม ชมสกาย ชื่อแปลกมากเลย แต่ก็เพราะดีนะ ชมสกาย แต่อะไรนมๆ เนี่ยผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ ชมนมยิ่งชอบ แล้วถ้าชมนมน้องสกายที่ครัวกันเองตรงสุทธิสารยิ่งเด็ด" --- อิสระ พนักงานออฟฟิศย่านสีลม
"ชื่ออะไรนะคะ Noam Chomsky อืม ก็ไม่เคยได้ยินชื่อนะคะ แต่เดี๋ยวต้องจำไปสอนนักเรียนในคลาสว่า คำว่า Chomsky ให้ออกเสียงแบบ Siam Kempinski ไม่ใช่ออกเสียง สกาย อุ้ยย ว่าแต่นี่ชื่อคนจริงๆ เหรอคะ ชื่อเก๋มากๆ เลยยยยย" --- ครูพี่ลูกไก่ คุณครูสอนภาษาอังกฤษ
"คนนี้ตัวพ่อในแวดวงภาษาศาสตร์เลยครับ นอกจากจะได้รับยกย่องในฐานะนักปราชญ์ประจำยุคสมัยแล้ว Noam Chomsky สนใจขบคิดถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์สังคมในแง่มุมต่างๆ เช่น ข้อเสนอเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับระบบทุนนิยม เรื่องการครอบงำของสื่อ แถมยังเคยเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านช่วงสงครามเย็น แม้ว่าตอนนี้อายุอานามแกจะเรียกว่าคุณปู่ได้แล้ว แต่นับเป็นนักวิชาการที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย ที่ผมรู้จักเพราะผมต้องพูดหากิน ก็ต้องมีความรู้รอบด้าน ความรู้แบบนี้เซิร์จอ่านง่ายๆ ครับ เปิดกะลาออกมาก็เจอ" --- โค้ชพี่นวย ไลฟ์โค้ชชื่อดัง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อ.อุบลช่วยด้วย!
มิตรสหายท่านหนึ่ง
เบื่อไอพวกไม่เชื่อ แต่ปากดีจัง ลองศึกษาอะไรให้มันประเทืองสมองมากๆหน่อยนะ ที่เวียดนามกลัวไม่ใช่ทหารไทยทั้งหมด แค่บางกลุ่ม ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เชิญดูมายากลวิทยาศาสตร์ที่ที่รู้แค่หางอึ่งไปก่อนเถอะครับ พวกไม่มีศาสนา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เคยบอกเหมือนกันว่าถ้าใน Ideal Computer เราไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลเลย
ถ้าเรามี Infinity computing power แล้ว ทุกระบบไม่มีอะไรมากไปกว่า Function ที่ Execute บน Event จำนวนมาก แค่นั้น
สิ่งที่เราต้องเก็บมีแค่อย่างเดียวและเป็นความจริงที่สุดคือ "ผู้ใช้ทำอะไรไปบ้าง ตั้งแต่ Beginning of the time"
สมมติอย่างระบบ Taskworld ถามว่าถ้ามีคอมแบบนั้น เราจำเป็นจะต้องเก็บมั้ยว่า Task แต่ละอันหน้าตายังไงถ้าเรามี Ideal machine ผมตอบว่าไม่จำเป็น เพราะเราสามารถเก็บแค่
Action1 : User create task name 'Awesome task' with Id 'task1'
Action2 : User edit title of 'task1' to 'Legendary task'
....
....
....
Action9999000000: User edit title of 'task1' to 'My task'
ถามว่าถ้าเรามี Infinite computing power ถามว่าตอนนี้ 'task1' มี
title ยังไง เราก็รัน Machine นั้นกับ Action1 - Action9999000000 เราก็ตอบได้แล้วว่ามันชื่อ 'My task'
แต่แน่นอนว่าด้วยพลังของคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน มันไปแบบนั้นไม่ได้หรอก มันยังมีพลังไม่พอ กว่าจะรันเสร็จคงล่อไปเป็นเดือน
แต่ผมก็ชอบที่จะพูดแบบนี้กับคนอื่นแม้ว่ามันจะยังไม่ Practical ในปัจจุบัน เพราะอะไร?
เพราะผมอยากให้เราจะตระหนักว่า Ideal ที่ดีที่สุดในการเก็บข้อมูลจริงๆ คือ ไม่ต้องเก็บอะไรเลย เก็บแค่ User เคยทำอะไรกับเราไว้บ้างเท่านั้น อันนี้เราจะรับประกัน Consistency ได้ดีที่สุด แก้ไข Bug ได้ง่ายที่สุด มี Bug ข้อมูลเพี้ยนตรงไหน ก็แก้โค้ด รันกับ Actions ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระบบเกิดตั้งไข่ จบ ไม่ต้องทำ Migration ไม่ต้อง Clean ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น
เวลาเราออกแบบ Database จริงๆ ก็เหมือนเราออกแบบ Cache ตัวนึงนั่นแหละ ที่มาแก้ปัญหาว่าคอมพิวเตอร์ยังไม่มีพลังในการคำนวณมากมายขนาดนั้น เลยต้องเก็บ State ปัจจุบันไว้ เอาของไม่จำเป็นทิ้งออกไป โดยแลกกับความเสี่ยงที่ว่า Data อาจจะไม่ตรง อาจจะไม่สะอาด
ถ้าเราตระหนักสิ่งนี้สิ่งที่เราจะคิดเพิ่มคือ
1. เราจะนึกถึง Cache invalidation เมื่อไหร่ที่เราจะบอกว่าฐานข้อมูลผิด
2. เราเข้าใจว่าจริงๆ เราออกแบบฐานข้อมูลมาเพื่อเอาประสิทธิภาพบางอย่าง บนข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง
อย่างนึงที่พอตกผลึกสิ่งนี้ วิธีคิดนึงที่เปลี่ยนคือถ้าฐานข้อมูลหรือระบบมันเกิด Dirty data บ่อยๆ ระหว่างพัฒนา สิ่งที่ผมมักจะทำ เปลี่ยนจากการที่พยายามทำ Data validation โหดๆ ลด Duplication มากๆ เปลี่ยนวิธีคิดกลายเป็นหันมาเก็บ Action log มากขึ้น จะได้คำนวณใหม่ได้ ซึ่งก็ช่วยให้เห็นภาพรวมได้ดีขึ้นเยอะ
อันนี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆ อันนึง ที่มันจะเริ่มคิดได้ถ้าเราไม่ยึดติดว่าฐานข้อมูลเป็น Source of truth แต่มองมันเป็นแค่ Cache ตัวนึงเฉยๆ (จริงๆ มีอีกเยอะ แต่นึกออกไม่หมด)
เพิ่มให้อีกนิด
"เก็บแค่ User เคยทำอะไรกับเราไว้บ้างเท่านั้น อันนี้เราจะรับประกัน Consistency ได้ดีที่สุด แก้ไข Bug ได้ง่ายที่สุด มี Bug ข้อมูลเพี้ยนตรงไหน ก็แก้โค้ด รันกับ Actions ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระบบเกิดตั้งไข่ จบ ไม่ต้องทำ Migration ไม่ต้อง Clean ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น"
นี่คือสิ่งที่ NoSQL พยายามทำกันเมื่อช่วงที่ยังบูมหลายปีก่อน พบว่าการไม่มี schema และ migration บนฝั่งฐานข้อมูล คือการผลัก schema และ migration ไปที่ฝั่งโค้ดแทน ซึ่งนั่นทำให้ข้อมูลขาด consistency หาบั๊กได้ยากขึ้น (เพราะข้อมูลไม่ consistent) และโค้ดจำเป็นแยก case การจัดการตามแต่ละเวอร์ชั่นของข้อมูล
RDBMS มันไม่ได้ออกแบบมาจาก limitation ในการเก็บข้อมูล แต่มันคือ best practices ที่ทำให้ข้อมูลเป็น ACID ต่างหากล่ะ
ระบบของประเทศผลิตประชากรคุณภาพต่ำออกมา >เลือกวิธีจัดการด้วยการฆ่าทิ้งให้แม่งหมด >คนสรรเสริญ"ยอดเยี่ยมไปเลยเด็ดขาดดี"
ปล. คนที่สรรเสริญเป็นคนเดียวกับที่ประนามการกระทืบเนติวิทย์ว่าป่าเถื่อน
สค. 2560 ต้นไม้ใหญ่ริมลำธารสองต้นที่ดอยสุเทพยืนต้นตายไปแล้ว สาเหตุการเสียชีวิตคือ "จมน้ำตาย" จากการสร้างฝายที่ยกระดับน้ำสูงขึ้นจนไปท่วมรากต้นไม้ทั้งสอง แล้วที่บอกว่าระบบนิเวศริมน้ำจะดีขึ้นคือตรงไหน?
ลองดูสภาพป่าสองฝั่ง ดูเขียวสมบูรณ์ดีใช่ไหมครับ? ต้นไม้ใหญ่ๆทั้งนั้นแล้วที่บอกว่าสร้างฝายเพื่อการฟื้นฟูป่า ป่าตรงนี้ ในเขตอุทยานแห่งชาติ ไม่สมบูรณ์หรือ? ต้องการการฟื้นฟูหรือ? ถ้าเรายอมรับว่านี่คือป่าที่สมบูรณ์ดีอยู่แล้วฝายตรงนี้มีประโยชน์อะไรกัน? กักน้ำก็กักไม่ได้หรอก เพราะแน่นอนว่าตะกอนทรายถมเต็มไปแล้ว ตะกอนที่ควรจะไหลลงสู่แหล่งน้ำเบื้องล่าง ส่งยาวต่อไปลงอ่าวไทยเพื่อสร้างแผ่นดินนู้นเลย หน้าที่ของลำธารตรงนี้ คือเป็นระบบนิเวศลำธารที่สมบูรณ์ให้สัตว์ที่มีวิวัฒนาการมาเฉพาะเพื่ออาศัยอยู่ในลำธารได้ใช้ชีวิต
เลิกสร้างฝายที่ก่อให้เกิดปัญหาแบบนี้กันเถอะ ใช้ใจตอนคิดหน่ะได้ แต่ตอนลงมือทำมันต้องใช้วิทยาศาสตร์นะ มันต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะให้ได้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร แล้วมันจะส่งผลกระทบอย่างไร คิดเยอะๆ ใช้พลังที่ดีของเราให้ถูกที่ถูกทางเพื่อให้มันส่งผลที่ดีจริงๆ
#WeCanBeBiodiversityHeroes
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
" https://pantip.com/topic/36776315
สำหรับเรา การกินบ่งบอกถึงการบ่มเพาะทางสังคมมาก มันบอกได้เลยว่าพื้นเพครอบครัวของเขาและสภาพแวดล้อมของเขาผ่านการ refined มาแค่ไหน อย่างกรณีนี้การสั่งอาหารแสดงให้เห็นทั้งเรื่องของการบ่มเพาะทางสังคมและการคิดถึงคนอื่นด้วยนะ ถ้ากินคนเดียวอยากสั่งอะไรก็สั่ง ถ้ากินอาหารจานเดียวอยากสั่งอะไรก็สั่ง แต่การสั่งกับข้าวที่แชร์กันมันคือศิลปะในการกินอาหาร ความเข้ากัน และการนึกถึงคนที่อยู่ร่วมโต๊ะด้วย
คนที่ไม่มีรสนิยมทางการกินที่ตรงกับเรา หรือผู้ชายที่แยกคุณภาพวัตถุดิบไม่ออก หรือบอกว่าป็อปคอร์นกาเร็ตก็ไม่ต่างกับป็อปคอร์นงานวัด มีเงินอย่างเดียวไม่พอต้องXXXด้วย เรากาหัวทิ้งเลย การกินเป็นรสนิยมที่ถูกบ่มมาจนติดตัวไปแล้ว จะเปลี่ยนก็ยาก แต่ในขณะเดียวกันมันเป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน ดังนั้นหากเรื่องนี้ไม่ตรงกันเลย อยู่กันไปมีแต่ปัญหา แต่บางคนกลับมองไม่ออก
#เรื่องกินเรื่องใหญ่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เราไม่มีทางรู้เลยว่า คำล้อเลียนที่คนๆนี้โดนมันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในชีวิตเค้า
คุณอาจจะล้อเค้าครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้เขาอาจโดนมาแล้ว 99 ครั้ง
ซึ่งฟางเส้นสุดท้าย มันอาจจะจบ ครั้งที่ 100 ที่คุณพูดพอดี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หี เป็นสิ่งต่ำหรอครับ ทำไมเวลาคนเอาคำว่าหี ไปใส่ในสิ่งไหน ถึงมีคนพอใจ คำว่าหีที่หลายๆคนไม่ชอบเนี่ย ถ้าไม่มีมัน คุณก็ไม่ได้เกิดมาไม่ชอบมันแบบนี้หรอกนะ สมัยก่อนเค้าบูชาหี บูชาควยกันทั้งนั้นแหละ ที่เห็นชัดๆก็ปลัดขิกนั่นไง มีตามวัดให้คนกราบไหว้บูชาด้วย แต่โยนี นี่ไม่ค่อยเห็นแล้ว ไม่รู้ประเทศอื่นยังมีสิ่งเทียมหีบูชากันอยู่ไหม แต่สมัยก่อนมีนะ ไม่รู้เริ่มหายไปเพราะวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่รึเปล่า ปลัดขิก เลยครองส่วนแบ่งการตลาดแทบจะผูกขาดมาตลอดเลย จริงๆใครหัวการค้าหน่อย เอามาแข่งได้นะ มันมีสตอรี่ให้ขายได้ ตั้งลัทธิกราบหี แข่งกับลัทธิกราบปลัดขิกไปเลย ผมเชื่อว่ามีคนนับถือหีเยอะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ให้กูกราบหี สู้กูเอาเศษผ้าถุงแม่มาใส่กรอบแขวนคอดีกว่า
มิตรสหายท่านหนึ่ง
หลายคนอาจไม่รู้
- ไทย เคยมี GDP ต่อหัว สูงกว่ามาเลเซีย ส่วนในวันนั้นสิงคโปร์ยังไม่ถือกำเนิดเป็นประเทศ
- ไทย เคยได้รับการจัดเป็น "เสือ" แห่งเอเชีย ทั่วโลกมองว่าเราสามารถจะเป็นเกาหลีใต้รายต่อไปได้
- ระบบการศึกษาไทยที่เราคิดว่าห่วยๆนั้น ในอดีต มีเด็กชาวมาเลเซียคนหนึ่งเคยเข้ามาร่ำเรียนในไทย จากนั้นกลับไปบ้านเกิด แล้วต่อมาก็กลายเป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย
- การบินไทย คือหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Star Alliance
- โครงการ OTOP ทำให้คนทั้งประเทศรู้จักคำว่า "การสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ" จัดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในทุกระดับไม่เฉพาะแต่กับคนชั้นกลางในเมือง
- ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจ หน้าที่ และ KPI วัดผลประจำปีอย่างชัดเจน น้ำท่วมเพียงวันเดียวผู้ว่าฯก็อาจต้องเด้งได้
- ระบบราชการไทย เคยทำงานประสานงานกันได้จริง มีประชาชนเป็นศูนย์กลางจริง รู้จักคำว่า one-stop service และคำว่า "บูรณาการณ์" (integrated) เคยเป็นคำฮิตของราชการอยู่ช่วงใหญ่ๆ
- ไทยเคยมีโครงการ หนึ่งอำเภอ หนึ่งทุน ส่งเด็กเก่งๆจากทุกอำเภอไปเรียนสูงๆ เฉพาะปีแรก เราส่งเด็กไปเรียนเมืองนอก 739 คน เรียนในประเทศอีก 182 คน
จบ
มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>901
- หลังซีเกมส์ เจ้าภาพมาเลเซียก็ได้โชว์ศักยภาพความล้าหลังยิ่งกว่าไทยตอกย้ำเข้าไปอีก
- ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครอยากเป็นเสือ เดี๋ยวโดนกำแพงภาษีเพิ่ม
- ก็ยังเหมือนปัจจุบัน ควายเซ็นตอร์ก็พิสูจน์มาแล้ว โรงเรียนดีๆก็ยังกระจุกอยู่ที่เดิม เอาจริงๆก็มีต่างชาติมาเรียนที่ไทยอยู่เรื่อยๆแลกเปลี่ยนไปมา
- OTOP ทำให้รู้ว่า เจ๊งไม่เจียมตัวเป็นเช่นไร ดั่งที่เสร่อไปตั้งร้านที่ไทม์แสควร์จนมันปิด หรือพบเห็นอาคารขาย OTOP ร้างตามต่างจังหวัดได้ทั่วไป
- ก็ได้แค่นั้นแหละ
- เรียนเมืองนอกเสร็จ สมองไหลไปอยู่นอกบานเบอะ แม้กระทั่งอดีตนายกที่มิตรสหายฯอวย
จบ
#มิตรสหายหนีคดีไปต่างประเทศ
ลิเบอรัลบ้านเราก็แปลกดี ไม่ชอบพึ่งกฎหมาย แต่ชอบแสดงสัญลักษณ์ เอาเรื่องความผิดทางอาญาอย่างข่มขืนไปร้องเรียนมหาลัยแทนที่จะแจ้งตำรวจ คือเจตนาไม่ได้อยากให้คนกระทำผิดรับโทษตามกฎหมายแต่อยาก shame คนกระทำผิดเฉยๆ กับแสดงว่าชั้นสตรอง ชั้นลุกขึ้นมาต่อสู้ ต่างอะไรจากศาลเตี้ยอะครับๆๆ
มิตรฯ
สมัยก่อนปี 40 มีการยกย่องให้ไทยเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียเพราะ GDP โตปีละ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์
เหมือนจีนช่วงก่อนหน้านี้ เป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในโลก สมัยนั้นเสือมี 4 ตัวคือ ฮ่องกง
สิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ โดยเริ่มบูมตอนน้าชาติเป็นนายกฯ
จากนั้นก็น้าชวน ตามด้วยน้าเติ้ง สมัยน้าเติ้งเริ่มมีสำนักเศรษฐกิจต่างประเทศเตือนไทยให้ระวังตัว
แล้ว จนเปลี่ยนรัฐบาลเป็นบิ๊กจิ๋ว เศรษฐกิจที่โตมาเป็นสิบปีก็หัวทิ่ม เมื่อจอร์จ โซรอส กับ
กองทุนเฮดจ์ฟันด์เข้าโจมตีค่าเงินบาท และโดยความเป็นจริงโดนไปหลายประเทศ
แบงก์ชาติดันทุ่มสู้จนหมดหน้าตัก ทำให้ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของไทยที่อยู่ในระดับ
สูง 40,000 กว่าล้านดอลล่าร์ ลดเหลือแค่ 800 ล้าน สู้ต่อไม่ไหวก็ประกาศลอยตัวค่าเงิน
ค่าเงินบาทต่อดอลล่าร์จากระดับ 25-28 บาทรูดลงไปเรื่อยๆจนถึง 58 บาท
ไม่แค่ไทยเท่านั้นที่แย่ ไทยลากเอา เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียลงไปด้วย ที่รอด
คือมาเลย์เพราะ มหาเธร์ประกาศตรึงค่าเงินคงที่ ทั้งๆที่นักเศรษฐศาตร์ฝรั่งคัดค้าน แต่แกยืนยัน
สุดท้ายก็ทำให้เห็นว่าทฤษฎีแกใช้ได้ผล แกออกมาด่าพวกฝรั่งและโซรอสว่าเป็นยิวชั่ว
ฉกฉวยโอกาส จนทำให้ความมั่งคั่งที่สั่งสมมาหลายสิบปีของเอเชียต้องหายวับไปกับตา
ช่วงนั้นน้ำมันขึ้นราคา ดอกเบี้ยสูงลิ่ว คนผ่อนบ้านผ่อนรถกระอักเลือก แถมไม่รู้จะไปผ่อนกับใคร พวก
ผ่อนเสร็จแล้วก็ไม่รู้จะไปรับโอนจากใคร เพราะไฟแนนซ์เจ๊งระนาวรูด แต่ต้องชมว่าคนไทย
ปรับตัวเก่งและสติดีเยี่ยมมาก มีแค่การประท้วงไล่บิ๊กจิ๋วที่สีลมจนบิ๊กจิ๋วลาออก แต่ไม่มีเหตุการณ์
วุ่นวายเหมือนที่อินโด จากนั้นน้าชวนก็กลับมาบริหารประเทศอีกรอบ ตรงนี้ยังต้องชมสหพัฒน์
บริษัทผลิตสินค้าอุปโภครายใหญ่ เพราะบริษัทออกมาประกาศตูมเลยว่าจะไม่มีการ
ขึ้นราคาสินค้าทุกชนิด ขอประชาชนอย่าตกอกตกใจ ตรงนี้สำคัญเพราะบริษัทผลิตสินค้า
ต่างชาติเจอมุกนี้เข้าไปก็ไม่กล้าขึ้นราคาสินค้า
ต่างกับอินโด สินค้าราคาพุ่งพรวดๆๆ จนคนออกมาประท้วงตามท้องถนนแล้วก็ปล้นสะดมภ์ร้านค้า
เกิดความวุ่นวายไปทั่วประเทศ ผู้หญิงคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่ารู้สึกกลัวมาก
ที่นี่ไม่เหมือนกรุงเทพฯหรือโซล ที่นี่ทุกคนต่างเอาตัวรอด
อีกประเทศที่ต้องชมคือ จีน เพราะแสดงความเป็นพี่ใหญ่ในเอเชีย โดยประกาศว่าจะไม่มีการ
ลดค่าเงินหยวน เพราะจะเป็นการซ้ำเติมประเทศในเอเชียด้วยกัน ต่างกับอเมริกาและยุโรปที่
รีบเข้ามารุมทึ้งช็อปของถูกๆในเอเชีย นี่คือเหตุผลที่คนไทยซึ่งอยู่ทันเหตุการณ์ในสมัยนั้น
ต่างสมน้ำหน้าสหรัฐเมื่อเจอแฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส และยุโรป ประสบปัญหา
ตอนนั้นประเทศที่เจอปัญหาต้องไปกู้เงินไอเอ็มเอฟ ซึ่งมีข้อแม้หยุมหยิม แถมให้ตัดสินทรัพย์
ออกขายในราคาถูก ซึ่งคนซื้อก็ไม่ใช่ใคร พวกฝรั่งนั่นแหละ และนี่คือเหตุผลที่จีน ต้องการ
ก่อตั้งธนาคารระหว่างประเทศแห่งใหม่ขึ้นมาคานไอเอ็มเอฟ
เกาหลีใต้เป็นประเทศแรกที่ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมด ตามด้วยไทย ฟิลิปปินส์ กับอินโด ติดบ่วง
อยู่อีกหลายปี ชี้ให้เห็นง่ายๆคือ ปกติ 1 บาทไทยจะเท่ากับ 1 เปโซ แต่เมื่อไทยฟื้นตัว
เงินบาทต่อดอลล่าร์ขยับมาที่ 32 บาท เปโซยังอยู่ที่ระดับ 50 เปโซต่อดอลล่าร์อยู่เลย
ฟิลิปปินส์กับอินโด เพิ่งจะมาฟื้นก็ช่วงไม่กี่ปีนี้เอง นี่คือเหตุผลที่ระดับการเติบโตของทั้งสอง
ประเทศอยู่ในระดับสูง และมีคนชอบเอามาเทียบกับไทย โดยเอาแต่ growth rate มาพูด
โดยไม่ได้ดูฐาน gdp เดิม
ตอนนี้จะเห็นว่าไทยถึงมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศศูงระดับเกือบ 200,000 ล้านดอล
สูงที่สุดติด top 15 ของโลก เหตุผลหนึ่งคือป้องกันความเสี่ยงเหมือนปี 40 นั่นเอง
ช่วงนั้นฮ่องกงมีเงินสำรอง 80000 กว่าล้าน กองทุนโจรก็เข้าโจมตี แต่ไม่สำเร็จเพราะ
ทุนสำรองฮ่องกงเยอะเกินกว่ามันจะสู้ไหว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>904 จริงๆฟองสบู่มันก็ลอยตั้งแต่ยุคน้าชาติชาย แต่ลอยแบบเอื่อยๆ เงินบาทแข็งระดับ 25 บาทต่อดอลลาห์/100เยน แล้วมาซวยแตกตอนบิ้กจิ๋ว ที่ตลกไม่ออกนิดหน่อยก็มีนักธุรกิจไทยก่อนจะเป็นนักการเมืองรู้แต่ก็รวมหัวเอาด้วย
ช่วงยุคเงินบาทอ่อนสุดที่เกือบๆ 60บาทต่อดอล แต่ก็แลกกับค้าขายส่งออกถล่มทลายเก็บเงินคลังสำรองให้รัฐบาลชุดถัดไปเอาไปถลุงเล่น....(จนแบ้งค์ชาติต้องออกมาบ่น)
ราคาน้ำมันขึ้นตามอัตราแลกเปลี่ยนแต่ก็แกว่งแถวๆ 11-14 บาทต่อลิตร
มาขึ้นแบบกระฉูดก็อีตอนแปรรูปปตทไปแล้ว (แถมมีอ้างขึ้นเพราะอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งที่เงินบาทแข็งกว่าสมัยชวน2)
http://oilthai.blogspot.com/2015/03/2542-2545.html
#มิตรสหายราชดำนา
มึงอย่าพูดอะไรที่มันซับซ้อนขนาดนั้น คนเราต้องการแค่ สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สะดวก เหมาะกับการดำรงชีวิตระดับหนึ่งแค่นั้นเอง
ซึ่งประเทศที่ดี ควรเป็นเจ้าภาพทำสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี ต่อมาก็กฏหมายเข้มแข็ง การศึกษาดี การพยายามดี
แต่มึงดูทุกวันนี้ ระบบยุติธรรมล้มเหลว,กฏหมายล้มเหลว,ตำรวจล้มเหลว, ระบายน้ำล้มเหลว,การศึกษาล้มเหลว ถ้าต่อไปแม่งเหี้ยแบบ คนปล้นชิง แล้วไม่มีคนสนใจจะจับ, ถนน,ระบบไฟฟ้า,ประปา เสียไม่มีใครคิดจะซ่อม กูว่าเราจะจบของจริงละ คนมีปัญหามันไปตายดาบหน้าต่างประเทศแน่นอน
วันนี้จะเอาเม้นไหนไปฟ้องแอดมินดีนะ?
คาซาม่าท่านหนึ่ง
"A : "ผมเชื่อว่าเกย์ไม่ควรมีสิทธิ์ ผู้ชายควรอยู่เหนือผู้หญิง รัฐต้องเคารพหลักศาสนาของผม และสนับสนุนโทษประหาร
คนหัวก้าวหน้า : "เอ๊ะคุณเป็นพวกรีพับลิกันหรอเนี่ย ความคิดล้าหลังจริงๆ"
A : "ป่าว ผมเป็นมุสลิมครับ"
คนหัวก้าวหน้า : "ขอโทษครับ ขอโทษครับ""
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วันนี้เจอเรื่องไม่ PC เหี้ยๆ แต่สารภาพว่ากูตลกมากๆ ขำบนความรู้สึกผิด แม่งอย่างกะหนังน้าค่อม T T คือมีแม่ค้าแถววังหลัง ศิริราช เดินมาจากไหนไม่รู้ เป็นคนพื้นที่ เดินเข้ามาทักชายขอทาน ที่พิการขา แบบขาเบี้ยวขาบิด นั่งอยู่ที่พื้น ข้างๆ ฟุตบาท ห่างกูไป 3-4 เมตร ซึ่งกูยืนซื้อชาเย็นอยู่ ทั้งสองคนคงรู้จักกันแหละ แม่ค้าพูดกับขอทาน ด้วยเสียงดังสไตล์แม่ค้าว่า "วันนี้มึงทำไรมั้งเนี่ย ! นั่งทั้งวันเลยยย เก่งแต่กับฟุตบาทอะมึงอะ แน่จริงลุกมาต่อยกะกูดิ !" แล้วขอทานก็หัวเราะแบบไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ เลยได้พบว่า นอกจากพิการแขนขาแล้ว เขายังพูดไม่ได้ด้วย เหมือนคนพูดไม่ชัด กูทำตัวไม่ถูก แต่ก็ดูเขาสองคนก็ดูสนิทกันดีนะ ฮืออออ T T"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Who wins when antifa Commies fight white supremacist Nazis?
Society.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประเทศจะล้มหรือเปล่า ต้องดูพื้นฐานประชากรด้วยตอนนั้นเงินคงคลังเราหมด แต่คนทำงาน มีโรงงานผลิตของส่งออกเอาเงินนอกได้เว้ย
กรีซแม่งล้มไม่ลุกเพราะคนแม่งเกษียณก่อนวัยแล้วออกมาประท้วงเรียกร้องเอาสวัสดิการเกินตัว
คนว่างงานออกมาแจกตีนฟรีให้คนต่างชาติแล้ว จะหวังเงินท่องเที่ยวก็ไม่ได้ เพราะไม่ปลอดภัย
ส่วนอเมริกา ทำท่าไม่ดี แต่ถ้าจะเอาอาวุธดีสุด,ยาดีสุด,เครื่องบินดีสุด ก็ต้องซื้อUS แฟรนไชส์ก็เยอะ,บันเทิงเพลงหนังเพียบ, ไอโฟน,รถยนต์ซอร์พแวร์ ถ้าคนอเมริกายังเต็มใจทำงาน มันไม่ล่มง่ายๆหรอกเพราะทำสินค้าออกมาก็มีคนซื้อ
ปากบอกรักประชาธิปไตย ทุกคนต้องมีเสรีภาพในการแสดงออก
แต่แค่รีวิวซอสพริก เสือกดิ้นกันชิบหาย
#มิตรมหายดราม่าท่านหนึ่ง
"เชื่อ" แล้วอยู่เฉยๆได้มั้ย?
คือพวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้คนไม่เชื่อต้องอยู่เฉยๆ แล้วพวกมึงเชื่อแล้วอยู่เฉยๆกันได้มั้ย?
ไม่ต้องเอาความเชื่อมาออกเป็นกฏหมาย
ไม่ต้องเอาความเชื่อไปยัดเยียดในการศึกษา
ไม่ต้องเอาภาษีกูไปทำนุบำรุงศาสนา ได้มั้ย์
ฯลฯ
ฝากไว้ให้คริส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันซื้อตั๋วSwap แลกเงินก่อนแบบตั๋วฟิกราคาไว้ว่า 1ดอล:25บาท
แล้วไปซื้อตลาดฟิวเจอร์ ไว้เยอะมากๆ มันรวมหัวกันถ้าโซรอสบอกว่า เงินบาทต้องอ่อนค่ากว่านี้ ทุกคนมันก็เชื่อกันหมด มันก็แห่ไปซื้อตั๋วฟิวเจอร์ที่ว่า แทงข้าง เงินบาทอ่อน กันหลายพันล้านดอลล่าห์
ตอนนั้นมีคนบอกว่าที่ล้มเพราะคลังไทยมันเอาเงินสำรอง ไปซื้อตั๋วแทงว่าเงินบาทแข็ง จะให้มันสมดุลกับที่ มีตั๋วเงินบาทอ่อนไง
พูดแบบชาวบ้านเลยสมมุติตลาดแลกเงินสิงค์โปร์ตอนนั้น มีคนเล่นใหญ่คือแกงส์โซรอส อยู่ดีดีมาวางเงินเดิมพันแทงเงินบาทอ่อนเป็นพันเท่าของคนเล่นปกติ ทุกคนเห็นกระดานแล้วตกใจหมดว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ แต่คนคุมทางไทยเสือกขนเงินตัวเองไปแทงตรงข้ามกับฝั่ง โซรอส
ตอนนั้นมีคนแนะว่าให้คลังไทยหยุดพิมพ์บาท แล้วรอให้สัญญาฝั่งโซรอสมันหมดอายุไปเลย ไอ้ตั๋วที่ว่า มันต้องเอาเงินบาท 25บาทไปแลกเป็นดอลไง ถ้าไม่มีบาทในตลาด ไอ้ห่าพวกนี้ก็ต้องไปซื้อคนที่ยอมแลกแบบ 25บาท:1ดอล มาทำตามสัญญา ไม่งั้นก็ต้องปล่อยตั๋วฟรีไปเสียค่าธรรมเนียมฟรี แต่บิ้กจิ๋วเสือกสั่งไปอีกแบบ สู้ไม่ได้เงินหมด แล้วค่อยไปลอยตัวค่าเงิน
สรุปนะ โซรอสมันเจ้าเล่ห์ เป็นฝูงไฮยีน่าใน ระดับโลก ไทยเดิมๆ ใช้ระบบให้คลังไปแทรงแซงทำให้25บาท:1ดอล แต่ตลาดโลกค่าเงินมันจะขึ้นลงเป็นปกติอยู่แล้ว
ใครด่าไทยเจ๊งเพราะโซรอส โซรอสมันมีสิทธ์ด่ากลับนะว่าช่วยไม่ได้มึงอยากโง่เอง
ไทยผิดตรงที่คิดว่าทำแบบเดิมๆจะรอดวิกฤติได้ เพราะจริงๆแล้วกฏเป็นของตาย คนเป็นของเป็น เวลามีวิกฤติ ต้องให้คนรู้จริงทำงาน ไม่ใช่ให้คนรู้ไม่จริงแต่เสือกมาสั่งแบบบิ้กจิ๋ว
เรื่องคนมีอำนาจเสือกมาสั่งก็มีให้เห็นแบบ
น้ำท่วมปี50 คนด่าบรรหาร บอกให้กักน้ำไว้ให้คนสุพรรณเกี่ยวข้าวก่อน
ยิ่งลักษณ์จำนำข้าว 15,000 นักวิชาการห้ามกันหมด แต่จะดันทุรังทำให้ได้
บ้านเราแม่งแย่เรื่องนี้ คือไม่ปล่อยให้คนเก่งทำงาน แต่คนมีอำนาจเสือกทุกเรื่อง ทำได้ดี เอาหน้า ทำเสียแม่งหาแพะมารับแทน
กองทัพปลดแอกประชาชนไทยเกรียงไกรเกริกฟ้าาาาาา
ตอนเงินบาทอ่อน นี่พวกที่ได้เน้นๆคือผู้ผลิตสินค้าส่งออกนะ แม่งเงียบกริบเลย
แบบของเดิมทุน 20บาท ส่งออกขาย 1 ดอล กำไร 5บาทต่อชิ้น
พอเงินบาทอ่อน ทุน 20บาท ขายหนึ่งดอลได้ 50บาท กำไร 30บาทต่อชิ้น
ก็อย่างว่าว่ะ พวกคนโง่ๆมันก็เชื่อคำพูดปลุกปั่นจากนักการเมืองเหี้ย ต้อนฝูงควายไปมาเท่านั้น
ประเทศชาติมันอยู่รอดเพราะ คนมีคุณภาพทำงานเข้มแข็ง ต่อให้ล้มไม่มีเงิน ถ้ายังทำงานได้ก็ไม่ตายง่ายๆหรอก
"ตอนเรียนมหาลัย เพื่อนเพลย์บอยเคยบอกว่า ถ้าผู้หญิงยอมขึ้นรถมากับเรา ถือว่ายอม ทุกวันนี้ผมถึงได้มาขับรถเมล์เนี่ยแหละ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มีข้อมูลจาก Chief Data and Transformation Officer ของ DBS มาแชร์ให้ฟังน่าสนใจดีครับ จากที่เค้าเปลี่ยนแปลงในองค์กรทีมีคนถึง 22,000 คนในองค์กรให้เป็น Data-Driven Organization
- เริ่มต้นเล่าเรื่องที่ว่า 22,000 person start-up อันนี้น่าสนใจ ที่มอง culture ตัวเองให้เป็น Start up ไม่ใช่ Large Corporation
- Framework ในอันดับขั้นแรกคือ Eliminate the waste โดยการจัดการเรื่อง Process ต่างๆ ที่เคยเป็นแบบ Damn Bloody Slow คือ process ภายในช้ามาก ที่จะต้องการจัดการส่วนนี้ก่อน โดยที่จะสามารถวัดผลออกมาได้ ตัวเลขที่ผลของการเปลี่ยนแปลง คือ 250 Million Customer Hours Saved
- ขั้นที่สองคือ Design from the customer back เข้าใจ Customer Journey และจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยที่ปรับ design ทุกอย่างจาก Pain Points
- ขึ้นที่สามคือ Be Data Driven วัด data ทุกจุด สร้างองค์กรที่มี culture แบบทุกอย่างโดยการ Data โดยมีการ Predict the future, Make decision โดยการทำการทดลองจาก Hypothesis ต่างๆ ที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว ที่น่าสนใจคือ Data on the cloud ซึ่งจะทำให้การ process ข้อมูลและการนำข้อมูลไปใช้ไปต่อยอดได้ดีกว่าเดิม เป็นเพราะว่าการทำงานบน cloud จะจัดการเรื่อง limitation ไปได้มหาศาลไม่ว่าจำนวนของข้อมูล ความเร็วของข้อมูล application ต่างๆ นานาๆ
- ขึ้นที่สี่คือ Create a culture of innovation มีโปรแกรมสำหรับการสร้าง innovation ใหม่ๆ ขึ้นมาโดยสามารถ experiment ของ innovation ใหม่ๆ โดยไม่กลัวเรื่องการ Fail มี DBS Megathon มี DBS IdeaVault มี Joyspace
- ขึ้นที่ห้าคือ Codify the culture ที่พยายามสร้างองค์การให้เป็นแบบ Google, Amazon, Netflix, Apple, Facebook ที่ใช้เวลาในการเข้าใจลูกค้า ตั้งทีมเพื่อแก้ไขปัญหาและออก product service ที่ตอบโจทย์ปัญหา ใช้ข้อมูลในการแก้ไขปัญหา
สรุปสิ่งสำคัญของการ transformation อยู่ที่ Culture ไม่ใช่เริ่มที่ Technology นะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนอังกฤษเลิกใช้คำว่า Thank you
คนไทยเราถูกสอนมาว่า Thank you คือคำขอบคุณที่สุภาพในภาษาอังกฤษ สามารถใช้อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ หรือถ้าพูดขอบคุณอย่างเป็นกันเองแบบสั้นๆ คำว่า thanks ก็ใช้ได้
ตอนนี้ถ้าปิดตำรา แล้วหอบกระเป๋าไปเที่ยวอังกฤษสักหนึ่งอาทิตย์ จะรู้ว่าคนที่นี่พูดคำว่า Thank you กันน้อยลง สาเหตุน่ะหรือ ก็เพราะ มันมีคำอื่นเข้ามาแซง เบียด Thank you ให้ตกอันดับนิยม
ประสบการณ์ที่โดนมากับตัวเองก็มี เช่น
เก็บของตกได้วิ่งไปคืนเจ้าของ เธอตอบกลับว่า cheers
เปิดประตูลิฟท์รอให้คนแปลกหน้า เธอพยักหน้าแล้วบอก Ta
ซื้อไอสครีมให้เพื่อนลูกสาว เธอกล่าวขอบคุณด้วยคำว่า awesome
อาสาขับรถไปส่งเพื่อนลูก ลูกเพื่อนยิ้มแล้วตอบสั้นๆว่า Fab
"อะไรกันน่ะ ทำไมไม่มีใครพูด แท้งกิ้วกันแล้ว" พวกชอบอ้างตำราอย่างเราได้แต่เหนื่อยใจ ยุคสมัยเปลี่ยน การใช้ภาษามันก็เปลี่ยนไปด้วย
จากบทความน.สพ.Telegraph ลงผลสุ่มสำรวจของบริษัท online gift store จากจำนวนสามพันคนแล้วสรุปออกมาว่า
1 คนอังกฤษ 40 % เห็นว่า thank you มันฟังดูเป็นทางการเกินไป เลยเลี่ยงไปใช้คำอื่น และ คำว่า Cheers คือคำที่ถูกใช้มากที่สุดแทนคำว่า thank you
2 2ใน 3 ของผู้ถูกสำรวจเชื่อว่า คนอังกฤษเป็นคนหยาบไม่สุภาพและเห็นว่า คนอังกฤษควรจะแสดงความอ่อนน้อม มากกว่านี้เมื่อมีคนทำอะไรให้ (ข้อนี้ไม่เถียง คนไทยอ่อนน้อมน่ารักกว่ามากนัก)
3 20 ลำดับความนิยมของการพูดขอบคุณมีดังนี้ ส่วนไอ้คำว่าแท้งกิ้วน่ะ กลายเป็นเชยสุดอยู่ที่อันดับยี่สิบพอดี
1. Cheers
2. Ta
3. That's great
4. Cool
5. OK
6. Brilliant
7. Lovely
8. Nice one
9. Much appreciated
10. You star
11. All right
12. Fab
13. Awesome
14. Wicked
15. Merci
16. Danke
17. Gracias
18. Super
19. Ace
20. Thank you
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เออกูพึ่งรู้ว่า cool มันใช้ขอบคุณได้
ตอนนั้นกูส่งสติกเกอร์ไป เสือกตอบมาว่าcool กูก็สงสัย เจ๋งเหี้ยไรว่ะ
http://imgur.com/zB5T3k5
Hua van Cuong : มาดูความจริงและยอมรับความจริงกันดีกว่า พวกเราแพ้เสียท่าให้กับโค้ชที่ท้องใกล้คลอด
#มิตรสหายแฟนบอลเวียดนาม
"ช่วงเพื่อนเล่าให้ฟัง
เพื่อนเล่าว่าในองค์กรของเพื่อน กรรมการบริหารมักจะแทรกแซงหรือมีคำสั่งบ้าๆบอๆผ่านทางผู้อำนวยการ ซึ่งบางครั้งคำสั่งนั้นไม่เกี่ยวกับภารกิจขององค์กรเลย ข้างผู้อำนวยการก็รับมา กรรมมาตกหนักอยู่ที่คนทำงาน ที่ต้องทำงานมากขึ้น จากที่เคยหนักอยู่แล้ว
มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก มันไม่ใช่แค่งานที่เพิ่ม จากคำสั่งบ้าๆ เป็นรายครั้งหรอก สิ่งนี้มันสะท้อนความไม่รู้บทบาทของ “กรรมการบริหาร” ไม่รู้ว่าหน้าที่ตัวเองคือต้องศึกษาพันธกิจขององค์กรนั้นให้เข้าใจถ่องแท้ เข้าร่วม ติดตาม กำกับและ ซัพพอร์ตเขา ช่วยกันทำให้องค์กรมันก้าวหน้าขึ้น ไม่ใช่ควบคุม ฉุดรั้ง พาถอยหลัง หรือยัดเยียดความสนใจของตัวเอง หรือที่เลวววที่สุดคือการยัดเยียดงานของตัวเอง เข้ามาในองค์กรนั้นๆ อย่างน่ารังเกียจ
แต่ไปว่าเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ใครก็อยากมีมือมีตีนไว้รับใช้ ใช่มัย? คนที่ไป “รับใช้”มาก็คือผู้บริหารองค์กร ซึ่งอาจจะคิดถึงการดำรงอยู่ของตัวเองมากกว่าองค์กรหรือลูกน้อง
เสียหายกันไปเท่าไหร่แล้วกับคนแบบนี้ เตือนกันไว้เลยสำหรับเพื่อนๆที่มี potential ทีจะไปถึงตำแหน่งสูงๆแบบนั้น อย่า ทำ อย่าเดินซ้ำรอยสิ่งที่ผู้ใหญ่รุ่นนี้ทำ เพราะคุณจะกลายเป็นตาแก่ ยายแก่ ที่บ้าอำนาจ ไร้เหตุผล และน่ารังเกียจในสายตาคนทำงานในที่สุด
ที่พูดนี่ก็ไม่รู้ว่าสักวันจะตกอยู่ในข่ายมือตีนของคนอื่นในวันไหนเหมือนกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"น้ำในหอยไม่เท่ากัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เคยคิดว่าเป็นเอทิสแล้วไม่ต้องเชื่อศาสนา ทำตามกฏหมายก็พอ แต่ประเทศนี้ทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป กฏหมายไม่มีค่าอะไรถ้าคุณมีอำนาจมากพอ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากรู้เป็นเอทิสจริง หรือดีแต่ปาก
ให้ลองตบหัวดู
"นึกขึ้นได้อันนึง ว่าทำไม บรรดานายทหาร ตำรวจ และข้าราชการระดับสูง ไม่รู้สึกว่าตัวเองคอร์รัปชันอะไร
สมมติถ้าเป็นคนประเภทนักการเมือง นักธุรกิจ นายทุน เวลาพวกนี้มีเรื่องต้องใช้เส้นสาย เพื่อให้ได้อำนาจหรือเปิดทางพิเศษให้อะไรสักอย่าง มักต้องจ่ายเงิน หรือมีผลตอบแทนอะไรมาแลก
แต่ถ้าเป็นนายทหาร ตำรวจ และข้าราชการระดับสูง มักจะใช้วิธี ขอความช่วยเหลือ ผมขอนะ แล้วทีพอขออีกฝั่งนึงให้ หรือช่วยเหลือ ก็คล้ายๆ แบบมีน้ำใจให้กันไม่ได้ผิดอะไรไรงี้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"รัฐสวัสดิการศิลปินแห่งชาติ
- เงินเดือน 20,000 บาทต่อเดือน
- ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาทต่อปี
- เงินช่วยเหลือประสบสาธารณภัยเท่าที่เสียหายจริง ไม่เกิน 50,000 บาทต่อครั้ง
- ค่าของเยี่ยมผู้ป่วย (เฉพาะผู้ป่วยที่เป็นศิลปินแห่งชาติ) หรือในโอกาสสำคัญเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 3,000 บาทต่อครั้ง
- ค่าทำศพ 20,000 บาท
- ค่าเครื่องเคารพศพตามประเพณีเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 3,000 บาท
- เงินพิมพ์หนังสือเผยแพร่ผลงานเมื่อเสียชีวิตเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 150,000 บาท"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กฎหมายหมิ่นศาสนา เป็นกฎหมายที่ปัญญาอ่อนที่สุด ทำไมรึ?
1. คนเรามีสิทธิจะไม่เชื่ออะไรเลยซักศาสนา Atheists หรือ คนไม่นับถือศาสนา ก็เชื่อเหมือนๆกับคนพุทธ ว่าเยซูคือคนธรรมดา ไม่ใช่ลูกพระเจ้า ถูกไหม?
2. ถ้าท่านจะอ้างว่า ถึงแม้จะไม่นับถือก็ไม่ควรต้องหมิ่น .. เดี๋ยวก่อน .. แต่ละศาสนาก็หมิ่นกันเองอยู่แล้วนะ ยกตัวอย่าง ศาสนาที่นับถือยาโฮวาห์ (ยิว คริสต์ อิสลาม) หมิ่นผู้นับถือศาสนาอื่น เช่นอิสลามเรียกพวกศาสนาอื่นว่า กาเฟร หมิ่นว่าต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่ในขุมนรกทรมารตลอดไปไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกัน จากคำพิพากษาฎีกา การหมิ่นผู้อื่นว่าต้องตกนรก ยังถือเป็นการหมิ่นประมาทอีกกระทงหนึ่งด้วยนะครับ ศาสนาพุทธเอง ก็หมิ่นคนศาสนาอื่นว่าเป็นพวกเดียรถีย์ ยังมีพระพุทธเจ้ายังหมิ่นพราหมณ์ทั้งหลายว่าโง่เหมือนคนตาบอด (คลำช้าง)
ถ้าจะเอากฎหมายหมิ่นศาสนาเป็นที่ตั้ง คำสอนของแทบทุกศาสนาล้วนแต่มีข้อที่ดูถูกและหมิ่นศาสนาอื่นๆ ซึ่งผิดกฎหมายหมิ่นศาสนาเองก่อนแล้วครับ ตลกดีไหม?
ไทยแลนด์ 4.0
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูว่าบ้านเราสมควรมีกระทรวงเวทไม่ก็กระทรวงไสยสักทีว่ะ อเวนเจอร์เต็มประเทศเลย ล่าสุดก็รับบัฟจากการเอาตีนลูบหน้า แต่กูชอบแบบเมื่อก่อนมากกว่าอย่าง 123 เพอซิอุสเบลสซิ่ง กับสุดยอดมวลสารจักรวาลมาเวลของป้าอุบลช่วยด้วย
คนที่ชอบซื้อของทางเน็ต สมควรอ่านให้ดีดี.....
มีคนเขียนโพสนี้มาให้ทุกท่านครับ
วันนี้ขอดราม่าเล็กๆ แต่มีสาระ
ผมไม่ค่อยมีเวลา ชอบนั่งซื้อของทางเน็ต เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ในไทยยังไม่มีการขายของทางเน็ต ได้แต่ซื้อใน eBay มาสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ไทยเรามีการขายของทางเน็ตกันเพียบ ผมก็ซื้อตามปกติ และไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย จนกระทั่งได้ไปซื้อของจากค่ายดังของเยอรมัน บริษัท ล. โฆษณาในทีวีน่าเชื่อถือ
ในครั้งสุดท้ายที่ซื้อ ปรากฏว่าสั่งของ ๒ ชิ้น ๆ ละ ๙๐๐ บาท พอมาส่งเราก็จ่ายเงินไป ๑,๘๐๐ บาท เปิดกล่องดูมีของแค่ชิ้นเดียว แถมใบส่งของเป็นคนอื่น แต่ของอย่างเดียวกัน ผมก็ถ่ายรูปของในกล่อง พร้อม Delivery Note ส่งให้ดู เจ้าหน้าที่รับปากว่าจะติดต่อในทันที....เงียบหายไปสามวัน มีคนจากบริษัทอะไรไม่รู้โทรมาสอบถาม ผมก็เล่าเรื่องแล้วก็...เงียบ
หายไปอีก ๑๐ วัน ก็มีเจ้าหน้าที่ บริษัท ล. โทรมาแล้วก็...เงียบ
หายไปอีก ๕ วัน ก็มีเจ้าหน้าที่โทรมาอีก ผมเลยบอกว่า "ผมเป็นผู้บริโภคที่ดี จ่ายเงินก่อนเห็นสินค้า (ตามกฎของคุณ) ได้เงินผมไปแล้วสินค้าได้ไม่ครบ เพราะคุณส่งผิด เวลาผ่านเป็นเดือนยังไม่เรียบร้อย แค่ส่งของให้ผมอีกชิ้นมันยากหรือครับ ความผิดของคุณทำไมผมต้องมารับกรรมนั้นด้วย ผมให้เวลา ๗ วัน เกินจากนั้นไปเจอกันในศาล" เจ้าหน้าที่ก็วางสายไปอย่างไม่พอใจ เพราะได้ยินเสียงแข็ง ๆ ของผมที่เริ่มมีอารมณ์
เย็นวันที่ ๗ ผมก็นั่งพิมพ์ภาพที่ถ่ายส่งให้ดูตอนเปิดกล่อง หลักฐานอย่างอื่นไม่มีอะไรเลย
เช้าวันรุ่งขึ้นเดินไปศาลแขวงในเขตที่ผมนั่งสั่งซื้อหน้าคอมทางอินเตอร์เน็ต พูดยากจัง 555 ศาลที่มีเขตอำนาจเหนือบ้านผมนั่นเอง เพื่อให้เจ้าพนักงานศาลช่วยจัดการให้
เริ่มเข้าสาระครับ
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคบัญญัติให้ต้องมีเจ้าพนักงานศาล ทำหน้าที่ร่างฟ้องให้ผู้บริโภคเรียกกันว่า "เจ้าพนักงานคดี" ช่วยค้นหาหลักฐานทางทะเบียนของจำเลยให้ กรณีนี้คือหนังสือรับรองบริษัท ศาลจะนัดเร็วครับ ประมาณ ๓๐ วันได้เจอกัน ไม่เสียค่าธรรมเนียม ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เพราะกฎหมายนี้สร้างเพื่อคุ้มครองใครครับ....แน่นอน ผู้บริโภค
เจ้าพนักงานศาลร่างคำฟ้องให้ผมเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ต้องมีทนายความ ให้ผมลงชื่อในเอกสารหลายอย่าง แล้วพาไปยื่นที่เคาเตอร์รับฟ้อง ได้วันนัดเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
หลังจากได้รับคำฟ้องผมแล้ว บริษัท ล. โทรหาบอกจะคืนเงิน ๙๐๐ บาท ผมบอกว่าตอนนี้จะตกลงอะไรให้ไปคุยกันในศาล เลยได้ส่งอีเมล์ให้ผม บอกว่าได้รับของที่ผมส่งคืนแล้ว ๒ ชิ้น ผมก็เริ่มฉุนเล็กน้อย จะเอามาเป็นทริกในคดีหรือเปล่าว่าผมคืนของเอง ไว้เจอกัน ส่งสองสามครั้ง แถมส่งข้อความมือถืออีกต่างหาก ทีอย่างนี้ดำเนินการรวดเร็วฉับไวในทันที
ในวันศาลนัด ทางบริษัท ล. เตรียมทนายความที่จ้างจากนอกบริษัท ล. นิติกรของบริษัท และผู้จัดการ เตรียมเอกสารมาปึกใหญ่ ศาลถามว่าคุณไม่ส่งของใช่ไหม เขาก็ขอไกล่เกลี่ย
ในห้องไกล่เกลี่ย ผู้จัดการก็ขอโทษ ทนายเริ่มรู้ว่าผมเดินไปตรงไหน ทนายความในและนอกห้องพิจารณาก็ทักทายยกมือไหว้ เรียกท่าน หน้าบัลลังก์ก็รู้จัก พอรู้สถานะเราการพูดคุยก็ง่ายขึ้นเยอะ ทนายความไม่โย้เย้เรื่องมากตามสไตล์ ในที่สุดก็ยอมตามฟ้องทุกประการ จ่ายเงินคืนให้ผม ๙๐๐ บาท พร้อมค่าเสียเวลาค่าโมโหอีก ๒๐,๐๐๐ บาท หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ๑๕ วัน แถมคูปองลดราคามาอีก ๑,๐๐๐ บาท ผมก็เอาเงินที่ได้ไปทำบุญ
อยากให้รู้ว่า.....
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคนั้น บัญญัติไว้สำหรับผู้บริโภค ไม่ต้องมีทนายความ ไม่ต้องหาหลักฐานของฝ่ายผู้ประกอบธุรกิจ มีเจ้าพนักงานศาลร่างคำฟ้องให้เรียบร้อย แถมหากต้องสืบพยาน ศาลถามให้ ไม่ต้องรู้อะไรมากครับ แค่รู้ว่าเราเสียหาย เสียเปรียบอย่างไร คุ้มครองไม่ว่าเรื่องการซื้อขาย การให้บริการ สินค้าไม่ดี ไม่มีคุณภาพ ส่งของไม่ครบ สินค้ามีปัญหากับเนื้อตัวร่างกาย เรียกว่าได้หมด แถมหน้าที่นำสืบตามที่เราฟ้องตกกับฝ่ายผู้ประกอบธุรกิจ ที่สำคัญไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม และค่าส่งหมายเลย สรุปง่าย ๆ ไม่เสียสักบาทแล้วกัน คนไทยยังรู้เรื่องนี้น้อย แถมยังยอมเสียเปรียบอย่างไม่น่าเชื่ออีกจำนวนมาก หากเราโดนกระทำและเสียหาย การนิ่งเฉย คือการทำลายระบบ เพราะเราไม่ต่อต้านผู้ไม่สุจริต กลับสนับสนุนให้เขาเหิมเกริมกล้าปฏิบัติแย่ๆ กับลูกค้าอีกนับจำนวนไม่ถ้วน
การกระทำของผมในครั้งนี้ ไม่ได้ทำเพื่อเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท แต่ทำให้เขาไม่กล้าไปปฏิบัติแย่ ๆ กับประชาชนอีกจำนวนมาก นั่นคือสิ่งที่ผมชนะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำไมมนุษย์เราถึงปรึกษาปัญหาครอบครัวกับคนที่ไม่เคยมีลูก ปรึกษาปัญหาความรักกับคนที่ไม่เคยมีแฟน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จากผลการแข่งขันฟุตบอลชายซีเกมส์ เวียดนามแพ้ไทย 0-3
แต่ไม่เพียงแต่ฟุตบอล ในด้านธุรกิจเราก็โดนไทยยิงประตูนำไปถึง 3 ลูก
* ลูกที่ 1 - ขนาดเงินทุน
บริษัทกว่า 98% ของเวียดนามเป็นบริษัทขนาดเล็ก และมีบริษัทไม่กี่แห่งที่มีระดับสากล
ส่วนบริษัทของคนไทยพัฒนามาอย่างยาวนาน มีบริษัทขนาดใหญ่ๆไม่แพ้ญี่ปุ่น อเมริกา หรือ ยุโรป
ตัวอย่างในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม 2 บริษัทยักษ์ใหญ่เวียดนาม Vinamilk มีกำไรในปีที่แล้ว 411ล้านดอลล่าห์
Sabeco มีกำไร 196 ล้านดอลล่า แต่ถึงแม้รวมทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน ก็ยังไม่เท่า ThaiBev ของไทยที่มีผลกำไรรวม 756 ล้านดอลล่าห์
โดยในปัจจุบัน ThaiBev ถือหุ้น Vinamilk 10% ผ่านทาง F&N
ลองหันไปมองอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ บริษัท Vicem ของเวียดนามมีรายได้ปีที่แล้ว 1.2 พันล้านดอลล่า
ขณะที่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย SCG มีรายได้อยู่ที่ 12.7 พันล้านดอลล่า ต่างกัน 10 เท่า
ตัวอย่างนึงของความแตกต่างคือ บริษัทไทยพัฒนามาอย่างยาวนาน อย่างเช่น SCG มีอายุถึง 100 ปีแล้ว ขยายธุรกิจไปทั่วอาเซียนรวมทั้งเวียดนาม
* ลูกที่ 2 - กลยุทธ์และการควบรวม
ตัวอย่างเช่น ThaiBev ที่มีธุรกิจครบวงจร มี Berli Jucket ผลิตขวดและกระป๋อง, TTC Land ทำอสังหาริมทรัพย์
และยังเป็นเจ้าของไฮเปอร์มาร์เก็ต และกลยุทธ์ของคนไทยที่ต้องพูดถึงคือการ M&A
ในบรรดาการ M&A ที่ฮือฮาทั้งหลายในประเทศเวียดนาม มักเกี่ยวข้องกับบริษัทของคนไทย
เช่น SCG ซื้อ Prime แบรนด์อิฐของเวียดนาม และ Tien Phong ผู้ผลิตพลาสสติก
และที่คนไทยสนใจเป็นพิเศษคือค้าปลีก ทั้ง ThaiBev, CP และ Central ต่างดาหน้าเข้ามาลุยธุรกิจนี้ในเวียดนาม
BJC ที่เป็นบริษัทในเครือ ThaiBev เข้าได้ซื้อกิจการ Family mart แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น B's mart
ขณะที่ Thaibev เข้าถือหุ้น Sabeco และ Vinamilk
ส่วนเชนร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง Nguyen Kim ก็ถูก Central เข้าซื้อหุ้นไปถึง 49%
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มธุรกิจของไทย เข้าทำประตูได้สวยมาก
* ลูกที่ 3 - แบรนด์ไทย
แตกต่างจากฟุตบอลที่เรามักจะเชียร์ทีมเวียดนาม แต่พอเป็นเรื่องสินค้าแล้วเราต่างชื่นชอบสินค้าไทย
มันเป็นความเชื่อถือที่มีมานานแล้วกับค่านิยมรถมอเตอร์ไซต์ไทยและเครื่องใช้ไฟฟ้าไทย ตั้งแต่ยุค 90's
คนเวียดนามไม่ชอบสินค้าเวียดนาม และไม่ชอบมากๆถ้าเป็นสินค้าจีน
#มิตรรักสาวเวียดนาม #ไหนไอ้ตัวไหนบอกว่าเวียดนามจะแซงไทย
"ที่ใช้มาตรา 44 ในประเทศนี้ ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้หมด ส่วนกฎหมาย อนุญาโตตุลาการ กฎหมายระหว่างประเทศ ก็ต้องสู้คดีกันไป แต่เมื่อผมใช้มาตรา 44 ผมไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะคุ้มครองผม"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
มาเลเซียเตรียมโดน ม44 ไอ้สัา
เปรียบมาเลเซียและไทยแลนด์ในสายตาสาวญี่ปุ่น กูเขิล
https://pantip.com/topic/36551745
“ดูคนที่เขาลำบากกว่าสิ”
.
อีกหนึ่งในหลักคิดแห่งการให้กำลังใจยอดนิยมของบ้านเรา แต่ถ้าคิดดีๆ มันเป็นการให้กำลังใจแบบแง่ลบ สมการลบเจอลบเป็นบวกมั้ง คือมองความหายนะของคนอื่นแล้วบอกว่าเออ เรานี่โชคดีแค่ไหน ยิ่งสำหรับคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยไม่ได้แค่รู้สึกแย่ประเดี๋ยวประด๋าว การใส่พลังลบเข้าไปเลยอาจจะไม่ได้ออกมาเป็นบวกก็ได้ ดังนั้นความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การชี้ให้เห็นว่ายังมีคนอื่นแย่กว่าเรา หรือเรามีสิ่งดีๆ มากแค่ไหน แต่อยู่ที่การบอกว่าเธอไม่ได้อยู่เดียวดายในโลกนี้นะ ยังมีคนอื่นๆ เคียงข้างอยู่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
I like Titanic. My favorite character was the iceberg
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เบื่อวัฒนธรรมเหยียดสีผิว ผิวสีเข้มไม่ดีตรงไหน เซ็กซี่ดีจะตาย ผิวขาวสิซีดหยั่งกะศพ"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องเล่าของผู้ป่วยโรคหลงผิด (delusional disorder)
วันก่อนที่ มูลนิธิกระจกเงา
มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาขอความช่วยเหลือ
ให้เราช่วยเขาจากเหตุการณ์ที่กำลังถูกปองร้าย
.
เขาเล่าให้เราฟังว่าตัวเขากำลังโดนคลื่นสัญญาณ V2K
ทำลายสมอง เนื่องจากเขาไปรับรู้ความลับของญาติ
ว่าโดนกักขังอยู่ในสถานที่แห่งนึง คลื่นดังกล่าวจะถูกส่งมา
ยังสัญญาณ wifi และชื่อตามบัตรประชาชน
เขาจึงดิ้นรนติดต่อหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
หลากหลายหน่วยงานเพื่อช่วยดำเนินการ จับผู้ร้าย
.
หากมองจากภายนอกจะเห็นว่าเขาปกติทุกอย่าง
ไม่มีอาการอาละวาดโวยวาย ตอบสนองการสนทนา
และใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่ถ้าพิจารณาไปถึงสิ่งที่เขาพูด
จะเห็นได้ว่า เขามี"อาการหลงผิด" (delusion)
ปักใจเชื่อในความคิดที่ไม่เป็นความจริง
ลักษณะอาการหลงผิดของเขาจัดอยู่ในประเภท
Pdrsecutory type หลงผิดคิดว่าตนและบุคคลใกล้ชิด
ถูกปองร้าย ถูกติดตาม ถูกหมายเอาชีวิต
ซึ่งนี่คืออาการของ "โรคหลงผิด" (delusional disorder)
เป็นโรคชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่ม โรคจิต (psychotic disorder)
.
สิ่งที่เขาต้องเผชิญจากหลากหลายหน่วยงาน
ที่เข้าไปปรึกษาขอความช่วยเหลือเรื่องการสืบและจับกุมผู้ร้าย
มองสิ่งที่เขาทำว่า “มันก็แค่คนบ้า” รับแจ้งแล้วไล่มันไป
ให้ไกลจากตรงนี้ บางสถานที่โทรหาคนในครอบครัว
แล้วแจ้งว่าน้องชายของคุณเป็นบ้า เพ้อเจ้อ
หัวเราะซ้ำกับความเชื่อหลงผิดของผู้ป่วย
ต่อหน้าเขาและครอบครัว
.
ครอบครัวเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังพร้อมน้ำตาและเสียงสั่นเครือ
ทั้งหมดต้องแบกรับความเจ็บปวดกับเสียงหัวเราะ
หลายต่อหลายครั้ง จนมีความคิดต่อต้าน รับไม่ได้
ว่าเขากำลังป่วยทางจิตเวช ด้วยกลัวว่าหากพาไปรักษา
คนในสังคมจะยิ่งมองเขาเป็น “คนบ้า”
.
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยถูกเมินเฉยต่อการรักษา
จริงอยู่ที่อาการของเขาไม่ได้กระทบกับการใช้ชีวิตมากนัก
เขายังคงทำงานบ้านได้ ดูแลแม่ได้ ไปทำงานได้
แต่ใช่ว่าจะทำมันได้ดีอย่างที่ควรเป็น
เขาทำทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง ในสมองมีความคิด
จินตนาการอันแสนเลวร้าย มันตามหลอกหลอน
เขาไปทุกที่ทุกเวลา เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม
เพราะพฤติกรรมที่เขาแสดงออก หลายครั้งที่อาการของเขา
หนักจนทำให้ต้องเสียงานเสียการ โดนไล่ออก
และกลับมาจมดิ่งในจินตนาการของตัวเอง
.
แน่นอนว่า คนรอบข้างคือสิ่งสำคัญที่จะรับรู้ เข้าใจ
และทำให้เขายอมรับในสิ่งที่เขาเป็น เพื่อนำไปสู่
การยอมรับรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
คือทัศนคติของคนในสังคม ที่จะมองเรื่องเหล่านี้
เป็นแค่พฤติกรรมของคนบ้า เป็นแค่ความตลกขบขัน
หรือจะมองเรื่องเหล่านี้เป็นความป่วย
เป็นเรื่องที่คนในสังคมต้องดูแล
.
พฤติกรรมของผู้ป่วยจิตเวชไม่ใช่เรื่องตลก
เขาไม่ได้อยากทำสิ่งนั้น เพียงแต่อาการป่วยมันบังคับ
ให้เขาแสดงออกมา ซึ่งนี้คือ “ความป่วย”
ความป่วยคือสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดันฯ
.
" ถ้าเราไม่ควรหัวเราะเยาะผู้ป่วยมะเร็งฉันใด
เราก็ไม่ควรหัวเราะเยาะผู้ป่วยจิตเวชฉันนั้น "
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เรื่องเเบบนี้มันเป็นอจิณไตย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าพวกนักวิทยาศาสตร์คิดกันแค่ว่า บนท้องฟ้าจะมีอะไรไม่ต้องไปคิด จะรู้ไปทำไม ทุกวันนี้จะมีเครื่องบินปะวะ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
จับผีมาให้กูซักตัว กูเชื่อหลังจากนั้นก็ไม่ช้าไปหรอก
รับ Project Manager งานเกี่ยวกับ IT และ Web Development เพราะขี้เกียจทำเอง
เงื่อนไขพิจารณาพิเศษแบ่งเป็น 3 อย่าง
1. [สาย IT Manager] ถ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับ Development Cycle, IT Solution แปลกๆ, Scrum และ Agile และใช้ Jira เป็นจะพิจารณาเป็นพิเศษ
2. [สาย Dev] มีความรู้เรื่อง Development รู้จักอ่านเขียน HTML5, CSS, JS, Angular, jQuery, PHP, Laravel , RoR5 หรืออะไรเทือกๆนี้จะดี (ไม่นับ Wordpress เว็บสำเร็จรูปและ Hi5)
3. [สาย Agency] มีประสบการณ์กับการเจอลูกค้ากดดัน แล้วบังคับให้ทำให้ได้ แล้วเราก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำแม่งไม่จ่ายตัง แล้วงานกูเริ่มไปแล้ว..แต่ PO ยังไม่ออก ส่งมาได้เลย
ไม่รู้จักเหี้ยไรเลยก็สมัครได้ มาเถอะ...
หน้าที่หลักๆ
1. รับ requirement จาก ลค. และเขียนเป็น story สำหรับ QA แตก task, assign งาน และ manage story points ของทีมได้
2. มี Mental Stability สูงและยัน ลค. เวลาโยนงานไฟไหม้มาได้
3. Support Developer Team นิดหน่อยเป็น Admin ระบบนิดนึง
4. ตามจิก Developers ให้ทำงานให้เส็ดทำ Agile Report, Daily project update ส่วน standup meeting โทรเอาเพราะออฟฟิสเข้างานแค่ 3 วัน (4 วันสำหรับ PM อีกวัน free day เพราะกูขี้เกียด)
5. มีกึ๋นยิงคำถาม ลค. ได้ตรงจุด สามารถนำข้อมูลที่ได้กลับมาบรีฟทีม Dev ให้ทำงานต่อได้
6. ทำงานดึกได้ในบางวันที่มี Major Update
7. สามารถ control ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนได้ดี
8. ได้ภาษาอังกฤษ พูด อ่าน เขียน ได้ดีแต่ไม่ต้องดีขั้น Oxford
9. *ขอเพิ่ม* สามารถ Manage Outsource ได้ดี ตามได้ จิกได้ ไปตามถึงบ้านก็ได้เพราะ freelance เหี้ยๆเดี๋ยวนี้มันเยอะจะเบี้ยวเมื่อไรก็ไม่รู้
BONUS: แดกเหล้าเป็นเพื่อนได้ ขับรถเป็นยิ่งดี
รายละเอียดเพิ่มเติม
- หน้าที่ดูแลไม่เกิน 3 project
- เป็นออฟฟิสไม่ใหญ่อยู่กันโง่ๆ 5-6 คนทำ Project ก๊อกๆแก๊กๆ
- เงินเดือนตั้งไว้ 40-50K
ปล. ไม่มีเว็บไซต์บริษัทให้ดูกูไม่มีเวลาทำ
ปล2. ไม่เพิ่มเงินเดือน มีงบเท่านี้
เจริญพร
ฉีก รธน อีกที กูโกรธจริงๆด้วย
มิตรสหายที่กำลังเรียนเนติท่านหนึ่ง
"รถไฟฟ้าราคาแพงคือการปล้นคนกรุงเทพ แต่คนกรุงเทพจะโทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง ที่ไปเห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหาร
..................
หลายคนคงรับรู้ว่าข่าวที่รถไฟฟ้าจะขึ้นราคาอีกครั้งหลังจากขึ้นมาแล้ว และยังจะขึ้นต่อไป
แต่ถ้าจะดูการเริ่มต้นโครงการรถไฟฟ้าที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั้น ก็จะพบว่านี่คือการปล้นครั้งยิ่งใหญ่ และจะปล้นต่อไปในอนาคต
ในหนังสือ 2530-2551 จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis : รวบรวม 436 ประเด็นข่าวเศรษฐกิจในรอบ 21 ปี (2553) โดย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจได้บันทึก ในหน้า 77 ไว้ว่า
..................
โครงการรถไฟฟ้าธนายง
กรุงเทพมหานคร [ช่วงคาบเกี่ยวระหว่างผู้ว่ากทม.จากพรรคพลังธรรมคือ พลตรี จำลอง ศรีเมือง กับ ร้อยเอก กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา] ได้ลงนาม กับ บริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (บีทีเอสซี) บริษัทในกลุ่มธนายง ทำรถไฟลอยฟ้า เมื่อ 9 เมษายน 2535 อายุสัมปทาน 30 ปีภายใต้เงื่อนไขว่า รัฐจะไม่อุดหนุนใดๆ เพียงแต่ให้กทม.รับจัดหาที่ดินให้และไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์จากรายได้ตลอดระยะเวลาสัมปทาน เพื่อไม่ให้ค่าโดยสารมีราคาสูงโดยรัฐบาลได้ให้การส่งเสริมลงทุนยกเว้นภาษีเงินได้จำนวน 8 ปี
เส้นทางมี 2 สายคือ สายสุขุมวิท เริ่มจากสุขุมวิท 77 อ่อนนุช ถึงหมอชิต ระยะทาง 16.4 กิโลเมตร และ สายสีลม เริ่มต้นเชิงสะพานสาทรฝั่งกรุงเทพ ถึงสนามกีฬาแห่งชาติ ระยะทาง 6.4 กิโลเมตร โดยขณะนั้นกำหนดอัตราค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย
...................
หลังจากนั้นอีก 7 ปี 5 ธันวาคม 2542 เปิดให้บริการ รถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท (สถานีหมอชิต-สถานีอ่อนนุช) และ รถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม (สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สถานีสะพานตากสิน) จากความจำของผมคิดว่าค่าโดยสารน่าจะมากกว่า 15 บาทตลอดสายแน่นอน ซึ่งเป็นไปได้ว่าระหว่างนั้นมีการแก้สัญญา
แต่ที่จะได้แน่ ๆ คือมีการขึ้นราคารถไฟฟ้ามาตลอดจนถึงปัจจุบัน
เรื่องราคารถไฟฟ้าแพงนั้นอยู่ในใจคนกรุงเทพมานาน ในการเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ 2548 พรรคไทยรักไทยได้นำเสนอนโยบาย รถไฟฟ้า 10 สาย ราคา 15 บาทตลอดเส้นทาง
ปรากฏว่าคนกรุงเทพได้เลือกพรรคไทยรักไทยแบบถล่มทลายด้วยคะแนนเสียง 32 ที่นั่งจาก 37 ที่นั่งโดยแบ่งให้พรรคประชาธิปัตย์เพียง 4 ที่นั่งเท่านั้น
https://th.wikipedia.org/…/การ�%B…
นับว่าเป็นการพ่ายแพ้ที่สุดของพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพหลังจากเคยได้ 1 เสียงในการเลือกตั้ง 2522
แต่อย่างที่ทราบว่าแม้พรรคไทยรักไทยจะชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้นแต่ก็ปกครองไม่ได้ จากการเปิดประเด็นเรื่องถวายคืนพระราชอำนาจของสนธิ ลิ้มทองกุล และการทิ้งไพ่โง่ขายหุ้นชินคอร์ปของทักษิณ จนต้องยุบสภาในปี 2549
ที่น่าสนใจคือ หลังจากนั้น 1 ปี พรรคประชาธิปัตย์ก็มาเล่นเกมหาเสียงกับรถไฟฟ้ากับพรรคไทยรักไทยด้วย
"ทรท."หยัน"ปชป."โวรถไฟฟ้า 10 เส้นทางของพรรคเหนือกว่าทุกด้าน
http://www2.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx…
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือการที่พรรคไทยรักไทยยังยืนยันตัวเลข 15 บาทตลอดสายและทุกเส้นทางเหมือนเดิม โดยมีตัวเลขยืนยันว่าทำได้
>>971
รายละเอียดของโครงการ พรรคไทยรักไทย ขอยืนยันว่า มีข้อมูลศึกษาโครงการที่ชัดเจนทำได้จริง แม้จะมีการจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย ทุกเส้นทางในราคาเที่ยวละ 15 บาท โดยจากราคาดังกล่าว ประชาชนที่เดินทางไปกลับ จะเสียค่าโดยสาร 30 บาทต่อวัน และเมื่อก่อสร้างเสร็จจะมีประชาชนใช้บริการไม่ต่ำกว่าวันละ 3.5 ล้านคน ทำให้รถไฟฟ้ามีรายได้ตอบแทนวันละ 90 ล้านบาท หรือปีละ 33,000 ล้านบาท ขณะที่ด้านรายจ่าย เมื่อศึกษาจากต้นทุน จากการเดินรถ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล จะทำให้มีต้นทุนเดินรถไฟฟ้า 10 สายทางปีละ 15,000 ล้านบาท จึงเห็นว่า ราคา 15 บาทตลอดสายเป็นราคาที่ทำจริงได้
ส่วนการบริหารจัดการลงทุน และเดินรถนั้น ทรท. ใช้วิธีให้ภาครัฐเป็นผู้ลงทุน และให้เอกชนเข้ามาบริหารการเดินรถ ทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการต่ำ ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าของ ปชป. จะให้ภาครัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและให้เอกชนสัมปทานเดินรถ พร้อมจ่ายค่าเช่าอุโมงค์ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้มีต้นทุนสูง ทำให้ต้องเก็บค่าโดยสารไม่น้อยกว่า 60-70 บาทต่อเที่ยว
ส่วนข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบ ระหว่างรถไฟฟ้า 10 สายทาง ของ ทรท. และ 7 สายทางของพรรค ปชป. เห็นได้ชัดเจนว่า ในเรื่องการครอบคลุมรถไฟฟ้า 10 สายทางจะครอบคลุมพื้นที่มีระยะทาง 333 กิโลเมตร งบประมาณ 570,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าของพรรค ปชป. มีระยะทาง 139 กิโลเมตร งบประมาณ 265,150 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับเงินลงทุน คำนวณตามระยะทาง การก่อสร้างรถไฟฟ้าของ ทรท. จะมีต้นทุนต่อกิโลเมตร เท่ากับ 1,727 ล้านบาท แต่ของ ปชป.จะมีต้นทุน 1,908 ล้านบาท ขณะเดียวกันตัวเลขมูลค่าของการลงทุน โครงการรถไฟฟ้าของ ปชป. ก็สูงกว่าความเป็นจริง เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงมักกะสัน-สุวรรณภูมิ ที่ ปชป.บอกว่าจะทำ และมีต้นทุนถึง 56,000 ล้านบาท แต่โครงการดังกล่าวรัฐบาลได้ทำการประมูลและเริ่มก่อสร้างไปแล้ว ในวงเงินเพียง 26,000 ล้านบาท และจะก่อสร้างเสร็จใช้งานได้ปลายปีหน้า
……………
แต่อย่างที่ทราบ เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เสียก่อน การเลือกตั้งก็ไม่มี ทุกอย่างกลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
แน่นอนว่าคนที่ยิ้มคือ คีรี กาญจนพาสน์ ประธานบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นั่นเอง
ประเด็นรถไฟฟ้าราคาถูกกลับมาอีกครั้งในการเลือกตั้ง 2554 เมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
ยิ่งลักษณ์ ชูนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย
https://www.youtube.com/watch?v=nmeAAquY3cw
หลังจากเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ก็มีการส่งมอบนโยบายสำคัญ ๆ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ประกันราคาข้าว รวมทั้งโครงการปฏิรูปเส้นทางคมนาคมครั้งใหญ่ รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าด้วย
ระหว่างนั้น วันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) จากพรรคประชาธิปัตย์ และทีมผู้บริหาร กทม.ได้ร่วมงานพิธีลงนามสัญญาจ้างระหว่าง บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด วิสาหกิจของ กทม. กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสสายปัจจุบัน เพื่อว่าจ้างบริษัทบีทีเอสซีเดินรถไฟฟ้าในโครงข่ายของ กทม. เป็นระยะเวลา 30 ปี
รถไฟฟ้า BTS กินรวบ 30 ปี 1.87 แสนล้าน กทม.ทิ้งทวนอุ้มกรุงเทพธนาคมฟันรายได้ 2 พันล้าน
https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1336625870
ว่ากันว่ามีเงินหล่นมหาศาลเพื่อทำให้ ดีลนี้สำเร็จ
คนที่รับทรัพย์เฉพาะหน้าคือพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนระยะยาวคือ คีรี กาญจนพาสน์ ประธานบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นั่นเอง
สิ่งที่ต้องบันทึกไว้ก็คือ ดร.อาณัติ อาภาภิรม เป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอส)
และเป็นคนเดียวกับ ดร. อาณัติ อาภาภิรม กรรมการสถาบันสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
ดังนั้นเราอาจจะไม่แปลกใจที่ไม่เห็นบทบาทของ ทีดีอาร์ไอ จะมาพูดถึงสัญญาอัปยศครั้งนี้ มากเท่ากับดีลอื่น ๆ
และไม่ต้องแปลกใจว่า นโยบายรถไฟฟ้าราคาถูก จะมีเสียงคัดค้านจากพรรคประชาธิปัตย์อีกในฐานะคนทำดีลร่วมกับธนายง
ปชป.อัดรัฐบาลทำรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายไม่ได้ อ้างรฟม.แจงหากเอาจริงต้องแบกภาระปีละหมื่นล้าน
http://www.posttoday.com/politic/223745
สี่งที่เรียบเรียงมาก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า การที่ค่าบริการรถไฟฟ้าแพงนั้นมันเป็นการร่วมมือกันของนายทุนและนักการเมืองบางส่วน ในการปล้นคนกรุงเทพ
ขณะเดียวกัน การเมืองก็จะมาแก้ปัญหาโดยการนำเสนอนโยบายให้ประชาชนเลือก แต่ก็โดนขัดขวางโดยการรัฐประหารทั้ง 2 ครา
ใครคิดว่ารัฐประหารไม่เกี่ยวกับเรื่องปากท้องก็ลองคิดดูใหม่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>971 ฝากถามมิตรสหายมึงหน่อย
>>972 จะมีประชาชนใช้บริการไม่ต่ำกว่าวันละ 3.5 ล้านคน
ตอนนั้นใครยังเชื่อ คงมีเขางอกอ่ะครับ
https://imgur.com/FzVcp2S
ถ้า 10 สายเสร็จคงถึง 3m แต่แค่สีน้ำเงินยังไงก็ไม่ถึงวะ
ถ้ายืนราคาที่ 15-20 ต่อเที่ยวจริงกุว่าถึงนะ
ตอนนี้ราคารถไฟฟ้ามันสูงกว่ารถเมล์ที่ราคา 6.5 - 20 ต่อเที่ยวมากเกินไปในระยะทางใกล้เคียงกัน
ไม่ใช่ว่าคนกรุงเทพฯ ใช้รถสาธารณะน้อย แต่ราคามันแพงเกินไปสำหรับคนรายได้น้อยมากกว่า
"กรณีล็อคคอนิสิตและทีมเนติวิทย์ถูกปลดจากตำแหน่งทำให้นึกถึงคดีที่ตนเคยทำไว้สมัยเรียนนิเทศฯ จุฬาฯ (แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เหมือนเด็กรุ่นนี้)
สมัยเรียนอยู่ปี 4 ข้าพเจ้าและเพื่อนขอเข้าไปทำสารคดีเกี่ยวกับตึกใบหยก ซึ่งในเวลานั้นมีรุ่นพี่คณะคนหนึ่งเป็นผู้ดูแล หลังจากไปเยือนตึกใบหยกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับแจ้งว่ารุ่นพี่ท่านนั้นขับรถมายื่นจดหมายร้องเรียนที่ข้าพเจ้าและเพื่อนมีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมในเรื่องการแต่งกาย (ใส่กางเกงยีน) และกิริยามารยาท (เพื่อนที่เป็นแฟนจับมือกัน) ซึ่งเป็นเหตุให้คณะและมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติต้องด่างพร้อย
รองฯ ด้านกิจการนิสิตเห็นว่า ถ้าไม่อยากให้เรื่องบานปลายจนไปถึงระดับพักการเรียน ข้าพเจ้าและเพื่อนควรจะต้องไปขอขมารุ่นพี่ท่านนั้นและยอมรับผิด ถ้าเป็นแบบนี้พวกข้าพเจ้าก็จะถูกตัดคะแนนความประพฤติ (ใช่แล้ว มหาลัยมีคะแนนความประพฤติ!!!) ในระดับที่ยังไม่ถูกพักการเรียน (แต่อย่าทำอะไรผิดเพิ่มเติมอีก) พวกข้าพเจ้าจึงต้องแบกสังขารไปกราบขอขมารุ่นพี่ท่านนั้นที่ตึกใบหยกเพื่อให้เรื่องจบ (ทุกวันนี้เวลาเจอรุ่นพี่ท่านนี้ตามงานของคณะฯ ก็ต้องห้ามปรามกันมิให้เกิดประทุษวาจาใส่รุ่นพี่ท่านนี้)
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อาจารย์ประจำภาควิชาท่านหนึ่งรู้สึกอับอายมาก และเอามาประชดประชันข้าพเจ้าในห้องเรียน ข้าพเจ้าได้แต่ทำหน้าเฉยเมย (จะให้ข้าพเจ้ายิ้มรับอีกหรือ) ซึ่งกลับกระตุ้นต่อมโทสะของอาจารย์ผู้นั้น อันเป็นเหตุให้ท่านใช้อำนาจสั่งให้ข้าพเจ้าออกไปจากห้องเรียน ไหนๆ ก็ทำตัวเป็นเด็กดีเพื่อชื่อเสียงของหมาลัย (จริงๆ ก็แค่ไม่อยากโดนพักการเรียนด้วยเรื่องงี่เง่า) ข้าพเจ้าเลยเชื่อฟัง เดินออกมาแต่โดยดี
หลังเดินออกจากห้องได้ไม่กี่ก้าว อาจารย์ท่านนั้นวิ่งตามมาด้วยความโกรธา กระชากคอเสื้อข้าพเจ้า พร้อมย้ำถามว่า "คุณจะเอายังไงกับผม คุณจะเอายังไงกับผม" ณ เวลานั้น บอกตรงๆ ว่าอยากบริหารร่างกายและใช้ประทุษวาจามาก แต่ความวัวไม่ทันหาย จะปล่อยให้ความควายเข้ามาแทรก ก็คงเรียนไม่จบเป็นแน่แท้ จึงได้แต่ปัดมือพร้อมไหว้อาจารย์ท่านนั้นหนึ่งที ก่อนเดินจากไป
ทุกวันนี้มองย้อนกลับไป ก็รู้สึกขำขันกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางส่วนตนก็ทำไม่ถูก แต่ก็ไม่ชอบใจกับความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียมขนาดนี้
การเรียนจุฬาฯ นั้น บางส่วนเราย่อมต้องแบกรับความเป็นมหาลัยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ แต่นั่นไม่น่าจะบดบังเป้าหมายสำคัญของมหาลัยในการเป็นพื้นที่อุดมคติให้กับการเติบโตทางปัญญาและสร้างตัวตนของนิสิตนักศึกษาได้ คุณอาจท้าทายให้เขาคิดรอบด้านได้ แต่ไม่ได้กดทับความคิดเชิงวิพากษ์และการกระทำของเขา ไม่ได้ยัดเยียดรูปแบบตายตัวของการเป็นนิสิตนักศึกษาที่ดีตามอุดมคติของจุฬาฯ ผ่านอำนาจเชิงสถาบัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากจะเอาชื่อผู้กำกับ Deathnote ของ Netflix เขียนลงไปให้มันตายคนแรกนั่นแหละ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>990 เมื่อก่อนกูคิดอยู่แต่ว่าเสียใจมากๆที่สอบไม่ติด ฬ หรือ มหิดล แต่พอมาหวนคิดอีกทีกูว่าไม่เสียดายแล้ว ตอนนี้คิดอย่างเดียวละว่าเก็บเงินเรียนต่อ ตปท ไปเอาวุฒิ ป.ตรี ในประเทศโลกที่1ยังไงดีกว่า รู้สึกเลยว่าเรียนมหาลัยเปิดในไทยครูมันยังไม่ทำอะไรแบบนี้กับเด็กในมหาลัยแม้แต่เรื่องการแต่งกาย
>>994 kek ไปดูรายชื่อบอร์ดบริหารแล้วค่อยพูดเถอะ
https://www.bloomberg.com/research/stocks/private/people.asp?privcapId=312932093
>>996 อ่านเองก่อนอวดฉลาดดีกว่า โฆษนากับความเป็นจริงมันคนละเรื่องนะ หัดหาข้อมูลซะบ้าง
Google รับคนตามความสามารถโดยไม่สนาถาบัน True แต่คนมีความสามารถก็เรียนสูงตามความสามารถด้วย
http://www.businessinsider.com/schools-with-the-most-alumni-at-google-2015-10
ถ้ามึงเถียงกันในสายงานไอทีกูขอแย้งแย่างนึงนะว่าบริษัทสายงานไอทีตรงๆส่วนมากแม่งกรองคนจากข้อสอบกับสัมภาษณ์หลักๆเลยนะไอที่กรองๆจากชื่อสถาบันนี่กูว่าต้องประเภทบริษัทเปิดบังหน้าไม่ก็ปลายแถวหว่ะ ยิ่งในไทยนี่สายงานไอทีขาดแคลนชิบหาย จะใช้ระบบอุปถัมภ์คัดคนเข้าทำงานนี่จะกล้าเสี่ยงจ้างมาทำให้ภาพลักษณ์องค์กรฝ่ายไอทีบรรลัยแแบเสี่ยงดวงขนาดนั้นเชียว
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.