บางทีก็คิดนะ ว่าคนที่สามารถมีเซ็กส์กับแฟนตัวเองแค่คนเดียวได้ตลอด 30 - 50 ปีจนวันตาย โดยไม่มีวันเบื่อ และไม่แอบไปเอากับคนอื่นเลยสักครั้งเนี่ย เป็นคนดีมีศีลธรรมสูงและซื่อสัตย์มาก หรือจริงๆแล้ว แค่เป็นคนที่มีความต้องการทางเพศน้อยมากๆเท่านั้นเอง
Last posted
Total of 1000 posts
บางทีก็คิดนะ ว่าคนที่สามารถมีเซ็กส์กับแฟนตัวเองแค่คนเดียวได้ตลอด 30 - 50 ปีจนวันตาย โดยไม่มีวันเบื่อ และไม่แอบไปเอากับคนอื่นเลยสักครั้งเนี่ย เป็นคนดีมีศีลธรรมสูงและซื่อสัตย์มาก หรือจริงๆแล้ว แค่เป็นคนที่มีความต้องการทางเพศน้อยมากๆเท่านั้นเอง
https://www.youtube.com/watch?v=P4YRV9evA6k
นักข่าวญี่ปุ่นจาก Nippon TV และ นสพ.โยมิอุริชิมบุน ไปขอสัมภาษณ์ปูติน เมื่อวันที่ 12 ที่ผ่านมา แต่กลับเจอสุนัขพันธุ์อากิตะที่ปูตินเลี้ยงไว้เห่าใส่รัวๆ (อากิตะเพศเมียชื่อ 'ยูเมะ' ที่รบ.ญี่ปุ่นให้เป็นของขวัญปูตินเมื่อปี 2012)
แถมเห่าแบบเห่าไม่หยุด จนนักข่าวได้แต่ยืนยิ้มตัวสั่น ปูตินบอกว่าสาเหตุเพราะยูเมะต้องคอยระแวงระวังภัยให้ปูติน ชาวเนตญี่ปุ่นเลยถึงกับแซวขำๆ ว่า นี่ขนาดเป็นหมาญี่ปุ่นแท้ๆ ยังถึงกับแปรพักตร์เมื่อได้ไปอยู่กับปูติน (ฮา)
ทั้งนี้หลังจากนั้นไม่กี่วัน ปูตินก็ได้พบกับอาเบะ เพื่อหารือความมั่นคง-ร่วมมือเศรษฐกิจ และจะเคลียร์กันเรื่องข้อพิพาทหมู่เกาะ ซึ่งระหว่างนั้น รบ.ญี่ปุ่นเสนอจะมอบอากิตะตัวผู้ให้ไปเลี้ยงอีกตัว แต่ปูตินได้ปฎิเสธไป เพราะมีแค่ยูเมะก็เพียงพอแล้ว
จริงๆ ข่าวนี้ไม่มีดีเทลอะไร ปูตินแค่โชว์ว่าเขาเลี้ยงหมาที่ญี่ปุ่นให้มาดี สั่งให้นั่งได้ยืนได้ โชว์ป้อนข้าวก็ง่าย น่ารักใช่มั้ยล่ะ
แต่ถ้าเป็นคนคิดมากเรื่องนัยยะทางการเมือง
...เคสนี้ปูตินแม่งแสบเหี้ยๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ในเส้นเรื่องว่าด้วย "การแก้ปัญหาความยากจน" นั้น มีผู้ที่เขียนบทให้ตนเองเป็นอัศวินขี่ม้าขาว และเขียนบทให้คนยากจนเป็นฝ่ายเฝ้ารอรับน้ำใจจากผู้เหนือกว่าเสมอ แต่ในความเป็นจริง กระบวนการ "ช่วยเหลือ" เหล่านี้ ให้ผลดีงามตามที่เราเชื่อว่ามันเป็นหรือเปล่า?
หนังสารคดี "Poverty, Inc. บริษัทนี้มีความจนมาขาย" บอกเล่าเรื่องราว "อุตสาหกรรมทำมาหากินกับความจน" ที่รวบรวมข้อมูล กรณีศึกษา และความคิดเห็นจากบทสัมภาษณ์กว่า 150 ผู้คน และจากการถ่ายทำยาวนานกว่า 4 ปีใน 20 ประเทศ เพื่อนำพาเราไปสำรวจอีกด้านของการบริจาค-การพัฒนา และค้นหาคำตอบว่า มันคือการพัฒนาอันยั่งยืน หรือเรากำลังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบที่ปล่อยให้ "คนจนถูกทิ้งให้ยิ่งจนต่อไป ส่วนคนรวยยิ่งโชว์น้ำใจก็ยิ่งรวยยิ่งเก๋" กันแน่?"
"หนังชำแหละนโยบาย "ช่วยประเทศยากจน" ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ส่งข้าวจำนวนมหาศาลไปยังประเทศเฮติ ซึ่งดูผิวเผินเหมือนแสนดี แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือการล็อบบี้ของเกษตรกรรายใหญ่ในสหรัฐ, นักอนุรักษ์ธรรมชาติที่กระโดดร่วมวงอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ และรัฐบาลท้องถิ่นที่เด้งตัวรับนโยบายพัฒนาด้วยผลประโยชน์ซ่อนเร้น ผลคือชาวนาเฮติต้องถูกข้าวราคาถูกกระหน่ำจนอาชีพปลูกข้าวของตนเองหมดทางทำมาหากิน ถูกรัฐบาลผลักดันให้หลุดจากที่นาแล้วมุ่งหน้าเข้ามาขายมาแรงงานเมือง กลายสภาพจากประชาชนที่เลี้ยงตนเองได้สู่วงจรแห่งความยากจนที่ตนเองไม่ได้สร้าง แล้วลงท้ายก็ถูกประทับตราเป็น "คนจนที่รัฐต้องช่วยเหลือ" หล่นอยู่ในวัฏจักรจนซ้ำซากตลอดไป
นี่คือเรื่องราวที่เราจะได้ดูกันใน "Poverty, Inc. บริษัทนี้มีความจนมาขาย" หนังสารคดีชำแหละ "อุตสาหกรรมค้าความจน" เสาร์ที่ 24 นี้ ตามรายละเอียดในเพจอีเวนท์นี้ค่ะ ....และที่เล่ามานี่ เพิ่ง 15 นาทีแรกของหนังเท่านั้น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>587
นึกถึงอันนี้เลยว่ะ 555555555555555555
[img]http://i.imgur.com/86XV5CW.png[/img]
"ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตอนก่อนพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ 2551 เราเคยเข้าไปร่วมพิจารณากับคณะกรรมการกฤษฎีกา และได้แสดงความเห็นคัดค้านในหลายประเด็น กรรมการท่านนึงถามเราว่า คุณมาจากบริษัทไหน เป็นตัวแทนของใคร เราก็บอกว่าเป็นตัวแทนของคนดูหนังธรรมดานี่แหละ และกฎหมายที่คุณกำลังจะออกมันริดรอนสิทธิของคนดูทั่วไปที่มีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินว่า เราจะดูอะไรหรือไม่ดูอะไร
เขามองว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องมาจากบริษัทเท่านั้น แต่ประชาชนอีกจำนวนมากกลับไม่นับเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
" http://www.independent.co.uk/news/world/middle-east/women-in-lebanon-protest-law-forcing-them-to-marry-their-rapists-a7460371.html
ต่อไปเป็นข่าวต่างประเทศ
มีการชุมนุมประท้วงกฎหมายแห่งศาสนาแห่งสากลโลก ศาสนาแห่งอิสลาม ศาสนาแห่งสันติ
ที่ระบุว่าเมื่อผู้ชายเข้าไปข่มขืนผู้หญิงแล้ว สามารถพ้นความผิดได้ เพียงแค่ชายผู้นั้นแต่งงานกับเหยื่อที่ตนเองข่มขืน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พูดกันอย่างแฟร์ ๆ ไม่เข้าข้างใครนะฮะ....ปฏิกิริยาของรัฐจากการโดนแครก โดนแฮคฯ ที่เกิดขึ้นนี้ มันสะท้อานได้ อย่างน้อยสองสิ่ง
1) เอาเข้าจริง รัฐมีศักยภาพน้อยมาก หรือแทบไม่มีศักยภาพเลยในการรักษาความปลอดภัยระบบ/ข้อมูลของตนเอง เช่นนี้ ประชาชนจะไปหวังอะไรในเรื่องนี้ได้ สงครามไซเบอร์เกิดเมื่อไหร่ ถ้าคนทำเป็น "ผู้ก่อการร้าย" หรือเป็น "ศัตรูจริงๆ" กับประเทศไทย ไฟดับ เน็ทล่ม เครื่องบินตก รถไฟชน คนไทยก็เตรียมตายห่านกันอย่างเดียว (นั่งรอ ให้รัฐบาลไปคุกเข่าขอให้ผู้ก่อการร้ายหยุด นี่ขนาดรัฐบาลทหารนะเนี่ย) กับ
2) ว่ากันจริง ๆ การเจาะระบบ การทำลายข้อมูล ที่เกิดขึ้น (โดยกลุ่มใครก็ตาม รวมทั้งกลุ่มผู้ประท้วงด้วย) เป็นความผิดตามพรบ.คอมฯ นะฮะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผิดในส่วนแรก คือ "ความผิดที่กระทำต่อระบบ และ/หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์" (มาตรา 5 - 13)
แต่รัฐกลับไม่มีปัญญาทำอะไรได้ หรือกระทั่งจะบอกว่า จะ "ติดตามผู้กระทำมาดำเนินคดี" (แทนที่จะออกมาเว้าวอน ขอร้องว่า อย่าทำ หรือทำให้ประเทศชาติเสียหาย แบบนี้)
ซึ่งก่อนหน้านี้ ฝ่ายผู้ร่างกฎหมายแก้ไข ต่างก็ออกมา "โป้ปด" กับประชาชนตลอดว่า กฎหมายฉบับนี้ / ร่างแก้ฉบับนี้ มุ่งเน้นปราบปรามความผิดที่กระทบต่อ "ระบบ/ข้อมูล" ไม่ใช่ ความผิดที่เกี่ยวกับ "การเผยแพร่เนื้อหา" (มาตรา 14 - 15) กฎหมายนี้ไม่กระทบกระเทือน หรือไม่ได้มุ่งปิดกั้นทำลาย "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" ของประชาชนอย่างแน่นอน บลาๆๆ
แต่สิ่งที่สะท้อนออกมา ในข้อ 2 นี้ มันตรงกันข้ามกับที่รัฐพ่นพูด คือ รัฐมีปัญญาป้องกันและทั้งปราบปราม "ความผิดที่กระทำต่อระบบ/ข้อมูล" น้อยมาก แต่กับความผิดที่ว่าด้วยการ "เผยแพร่เนื้อหา" ความผิดที่ "กระทบกับเสรีภาพแสดงความเห็น" นี่ "เน้น" กันจัง "แก้ไขเพิ่มเติม" กันจัง "จับ" ทุกเดือน "ขู่ฟ่อๆ" ทุกวัน
จึงสรุปรวบยอดได้ว่า พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์แบบไทย ๆ มันไม่ได้ ออกมาเพื่อป้องกันและปราบปรามแฮคเกอร์ แครกเกอร์ หรือฟิชช่ง ฟิชชิ่ง อย่างนานาอารยะประเทศเขาหรอกฮะ ..ลึกๆ แล้วมันตั้งใจจะเอามา "ปิดปาก" ประชาชน คนเห็นต่าง วิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ ทั้งหลาย ที่ห้ามแตะต้องเท่านั้นแหละ สถิติคดีที่ออกมาตั้งแต่ใช้พรบ.มา (2550) หลัก ๆ ก็ใช้ฟ้องกันแต่เรื่องพวกนี้ จับหรือดำเนินคดีกับแฮคเกอร์ได้ซักกี่คนกัน (ไปค้นดู) ดังนั้น รัฐควรเลิกตอแหลม เสียที
ปล. Liberal ที่ไหนอย่ามาดราม่า หรือเที่ยวหาว่าเรา ปรักปำกลุ่มแฮคว่ามีความผิด หรือยุยงให้รัฐดำเนินคดีกลุ่มแฮคนะฮะ เรื่องนี้ว่ากันตาม "หลักกฎหมาย" ล้วน ๆ ก็ถ้าคุณชอบนิติรัฐ เมื่อ ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถูกก็ต้องว่าไปตามถูก ฮะ....ส่วนมูลเหตุจูงใจของผู้กระทำเป็นอย่างไร เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย นั่นก็อีกเรื่อง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แล้วมันก็จะบอกว่าที่โดนแฮคเพราะยังไม่มีซิงเกิลเกตเวย์
"ล่าสุดไปลบเว็บสถานีตำรวจพิษณุโลก ทำไปทำไมครับ ใครได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้บ้าง อีกหน่อยคงไปแฮ็กเว็บสำนักงาน อบต. หนองหญ้าปล้องแล้วเอารายชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร เลขบัญชีคนแก่ที่ได้เงินเดือน 700 บาท มาโพสต์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
on the 3rd day of Christmas, my islam gave to me,
Berlin market carnage,
Mass zurich shootings,
And assassination of Tur-key ^^
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตอนนี้ผมเชื่อว่าทุกแอพ จะต้องเตรียมตัวรับมือกับคู่แข่งที่น่ากลัวมากๆ ไม่กี่ตัวหรอก .... นั่นคือ Facebook และ Ali (รวมถึงตัวอื่นๆ ที่เล็กกว่านี้ แต่มี strategic คล้ายๆ กัน)
ได้เปรียบที่ฐานผู้ใช้อยู่แล้ว มีแพลทฟอร์มที่รองรับเรื่องพื้นฐาน (เช่น การจ่ายเงิน โครงสร้างสังคม ความปลอดภัย) คนเชื่อใจอยู่แล้วระดับหนึ่ง มีเงินที่จะลงกับการตลาด .....
และที่สำคัญ ... พวกนี้ไม่ทำของห่วยๆ ออกมาแน่นอน
ถึงเวลาที่พวกเราทุกคนต้องยกมาตรฐานตัวเองอย่างชัดเจนล่ะครับ ไม่งั้นคราวนี้จะเป็นการ mark จุดที่ชัดเจน ถึงการ "เสียเอกราชเชิงอุตสาหกรรม 4.0" เหมือนที่เป็นมาแล้วทุกครั้ง ... ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ลองย้อนกลับไปดูครับ ทุกยุคสมัย ..... ที่เราไปปักหมุดย้อนหลังว่า 1.0, 2.0 อะไรนั่น ... สุดท้ายมันกลายเป็นอะไร มันกลายเป็นว่าเราของๆ เรา นวัตกรรมของเราเองในยุคนั้นมันน้อยลงไปเรื่อยๆ ... เราต้องรับของเค้าเข้ามาเพียงเพื่อทำการตลาดในบ้านเราและขายของเค้าให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ... นี่คือสิ่งที่เราถนัดที่สุด ....ไม่ก็เป็นฐานรับจ้างผลิตเท่านั้น
ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ถ้านวัตกรรมในยุคนั้นๆ ของเราไม่ดีพอ เราก็จะถูกแทนที่ด้วยนวัตกรรมนั้นๆ จากชาติอื่นที่ทำเป็น ทำดี กว่าเรา ... และเราก็ทำแบบเดียวกับทุกยุค นั้นคือทำแบบนักการตลาด ทำแบบนักขาย ซื้อของเค้ามาทำตลาดภายใน ซื้อมาขายไป เน้นโฆษณาและภาพ .. ไม่ก็หาทางเป็นผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวแล้วก็เอามาปล่อยต่อ กินช่วงไป เป็นเสือนอนกินไป
เพียงแต่ความนี้ งวดนี้ โลกมันแบนครับ ... เค้าทำของเค้าเองในประเทศเราบ้านเราได้ตรงๆ ไม่ต้องอะไรมากกับการหา distributor หรือ reseller ในบ้านเราให้มาเป็นเสือนอนกินกับ product เค้า .....
ประวัติศาสตร์มันสอนเราอย่างหนึ่งครับ ว่าเราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากมันเลย
เอ๊ะ ... หรือว่านี่เป็นสิ่งที่เราต้องการอยู่แล้วก็ไม่ทราบ
"โดยทั่วไปคนจะไม่ละเอียดพอที่จะแยกมันออกจากกันไง ความเศร้ากับตลกมันเกิดในเรื่องเดียวกันได้ อยู่ที่เราละเอียดพอไหม ถ้าเราละเอียด เรามองได้ทุกมุมของเรื่อง มุมตลกก็ได้ มุมเศร้าก็ได้ มันมีได้ในเรื่องเดยีวกันนั่นแหละ แต่พอเราขำออกในเรื่องน่าเศร้า คนก็มักหาว่าเราใจหยาบ ทั้งที่จริงๆ เราแยกมันออกจากกันได้ และการตลกที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ทำให้เราเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนที่ตายน้อยลง และส่วนที่เราเสียใจก็ยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน
นี่คือปัญหาที่หลายๆ คนทำไม่ได้ แล้วมาโวยวายคนอื่นว่าไม่มีหัวใจ ทั้งที่จริงๆ มันคือจะใช้หัวใจอย่างละเอียดแค่ไหน
เมือ่ก่อนก็เคยรู้สึกว่าการเอาเรื่องพวกนี้มาทำตลกนี่แม่งเลวร้ายสุดๆ แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ เจอคนที่แบบ เขาขำกับเรื่องพวกนี้ โดยที่จิตใจมันก๋ยังดีงามกับโลกใบนี้เสียยิ่งกว่าคนที่ไม่สามารถขำกะับเรื่องพวกนี้ได้ เราก็เลยเริ่มเข้าใจว่ามันไม่จำเป็นต้องมีการแสดงออกแค่แบบเดียว และการแสดงออกแบบอื่น เช่น ฮา ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้สึกเสียใจ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คุณอย่าคิดอะไรมาก ประเทศนี้ไม่ใช่ของคุณ อยู่ๆไปเถอะ คิดซะว่าเช่าเค้า
ทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขไป สิ้นเดือนรับตังค์ แดกข้าว
อยากไปเที่ยวไหนก็ไป ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อยู่ๆไปเหอะ"
#มิตรสหายธเนศ
วันนี้ผมไปซื้อไมโครเวฟมาครับ
ป้าผมก็จ้างพี่ยาม 20 บาทช่วยยกโมโครเวฟขึ้นมาที่คอนโดชั้น 25 (ตอนแรกผมจะยกขึ้นเอง =.= แต่ป้าบอกให้ 20 บาท เค้าเอาอยู่แล้ว)
พี่ยามพอขึ้นมาก็ขอดูวิวจากชั้น 25 หน่อยบอกว่าไม่เคยขึ้นมาตึกสูงแบบนี้
ผมฟังแล้วอึ้ง ผมไม่เคยเข้าใจประโยคที่ว่า "ต้นทุนชีวิตเราไม่เท่ากัน" มากเท่านี้มาก่อน
ในขนาดที่วันนี้มีคนในตลาดทุนมากมาย ขาดทุนสามพัน หนึ่งหนึง ไม่เสียดาย เงินยี่สิบบาทในตลาดทุนนี้เศษของเศษของเศษเงิน กินข้าวบนดาดฟ้าจนชิน เงิน 20 บาท วิวจากตึก 25 ชั้นก็มีค่าสำหรับคนบาวคน
ถ้าเป็นศัพท์เทคนิคเฉพาะนี่กูไม่ว่า เพราะทุกวงการมีหมด เเต่คำว่า strategic,Mark,Distributor,Reseller เเละProduct นี่คือศัพท์เทคนิคของวงการนี้เเล้วเหรอวะ พอกูเห็นคำที่เเปลเป็นไทยได้ง่ายๆก็สงสัยว่ามันจะใช้ศัพท์อังกฤษทำไม
>>619
คือเข้าใจป่าววะ ว่าในวงมันใช้คำพวกนี้จนชินแล้วพูดคล่องปากกว่านั่งนึกคำแปลไทยอีก ทั้งทักษะทั้งภาษาสำคัญหมดไม่ต้องเถียงกัน แต่เรื่องภาษานี่ใช้ถูกบริบทก็ไม่มีปัญหาใช่ป่ะล่ะ เออ ตอนแรกกูก็เดาว่าพูดให้คนในวงการฟัง ไม่ได้พูดให้คนนอกฟัง จะใช้อังกฤษสลับไทยบางทีน่าจะรู้เรื่องกันเร็วกว่า แต่ถ้าบริบทกลายเป็นว่าพูดให้คนทั่วไปฟัง จะโดนด่าเรื่องใช้คำพวกนี้ก็ไม่แปลก
"ตอนเด็กๆ มีสองเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ว่าครูชาวไทย (บางคน) ก็เป็นแบบที่เขาว่ากันนั่นแหละ
1. ตอนประถม : ระบายสีท้องฟ้าเป็นสีแดง เพราะอยากวาดภาพท้องฟ้าตอนเย็น ครูเรียกไปด่าว่าไม่ได้เอาสีมาใช่ไหม ยืมสีเพื่อนล่ะสิ ถึงได้ไม่มีสีฟ้า
2. ตอนมัธยม : ครูให้แต่ละคนออกไปเขียนหน้ากระดานดำเป็นประโยค never + กริยา (คือจะเป็นอย่างไรก็ได้ จะเป็น have never หรือ never เฉยๆก็ได้) ข้าพเจ้านึกถึงเพลง It never rains in Southern California ขึ้นมา (เป็นเพลงขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดสมัยก่อนโน้นๆๆๆ) เลยออกไปเขียนประโยคนี้ พลางคิดแบบคนหลงตัวเองว่าครูต้องชอบแน่ๆ เพราะเพลงดังมาก และเป็นการล้อโจทย์ครูอีกชั้นด้วยการไม่ตอบตรงๆแต่ไป 'ลอก' สิ่งที่ถูกต้องในทาง grammar ของคนอื่นมา-ผ่านการฟังเพลง (มีอารมณ์ขันจะตาย!) ปรากฏว่าครูเห็นประโยคแล้วทำหน้าปูเลี่ยนๆ แล้วบอกว่า เธอเขียนก็ถูกอยู่นะ แต่ควรพิจารณาความถูกต้องในความเป็นจริงด้วย ฝนมันจะไม่ตกเลยเหรอ มันเป็นไปไม่ด้ายยยย
3. ทั้งสองเหตุการณ์ไม่ได้ตอบอะไรครูเลยแม้แต่คำเดียว แต่เดินกลับมานั่งเงียบๆ ถ้าใช้ศัพท์ปัจจุบัน-คงต้องบอกว่าทำได้แค่ยิ้มอ่อนมองบน ไม่ได้สงสารตัวเอง แต่สงสารเพื่อนๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วงการที่กูอยู่ใครพูดคำแปล=กระแดะ
"โฆษณาเงินติดล้อ สั่งสอนคนจนให้ทำมาหากินนี่ บอกว่าไม่อยากให้ลูกค้ากลับมาหาอีก มันแสดงให้เลยว่า ผกก. โฆษณาแม่งเป็นสลิ่มที่ดูถูกคนจนอย่างมาก แล้วดัดจริตยังจะมาเทศนาสั่งสอนคนจนอีกต่าง นี่มันแสดงให้เลยนะว่า ชนชั้นกลางในสังคมไทยนี่แม่งมีอคติกับคนจนแบบไหน และยังติดสันดานชอบมาสั่งสอนคนอื่นโดยไม่รู้จักสำเนียกตัวเอง
แล้วที่สำคัญคนทำโฆษณานี้ไม่ได้ดูความจริงว่า สังคมไทยมันมีการกดขี่ทางชนชั้น ไม่เคยมีความเท่าเทียมกันในการแข่งขันในเรื่องธุรกิจ และมีการแบ่งแยกคนไม่ให้ชนชั้นล่างเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำได้ ตรงข้ามกับคนรวยกู้เงินเป็นร้อยล้าน เอาทรัพย์สินห่วยๆ ไปค้ำประกัน อาศัยสร้างภาพอวดรวย + เส้นสายนายแบงค์ก็ได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาหมุน ถึงเวลาโดนฟ้องร้องก็ปล่อยให้ยึดทรัพย์สินเน่าๆ แล้วล้มบนฟูกไป ตรงข้ามกับคนจนโดนพวกเจ้าหนี้นอกระบบ และพวกบริษัทเงินกู้ดอกเบี้ยโหด แบบในโฆษณานี่แหละ รีดไถ่จนถูกยึดรถ ยึดบ้าน ใช้หนี้กันหัวโตไปหลายคน และสิ่งเหล่านี้คือความจริงที่ทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้น คนรวยและจนมันยิ่งห่างกันมากขึ้นในขณะที่สังคมอื่นๆ ที่เค้าเจริญแล้วเค้าจะพยายามอุ้มคนจนให้ด้วยสวัสดิการรัฐ และเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้คนเหล่านี้ตั้งตัวได้ แต่ประเทศไทยกลับมีแต่สวัสดิการให้เฉพาะข้าราชการ นายทุน และพวกคนรวย ส่วนคนจนกลับไม่มีอะไรให้ แถมขนาดให้เงินกู้ไปยังมองว่าเป็นการสงเคราะห์ช่วยเหลืออีก ทั้งที่คิดดอกเบี้ยอย่างโหด กดหัวคนจนเพิ่มความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น
โฆษณาชิ้นนี้ ผมเห็นมาเป็นเดือนละ หลายคนอวยคนทำโฆษณากันฉิบหาย แต่ผมไม่อวยหรอก เพราะแค่รู้ชื่อผกก. ก็อยากจะถีบแล้ว แถมเนื้อหาออกมานี่ก็ไม่เห็นน่าอวยตรงไหน ดัดจริตมาทำเป็นสอนคนอื่น ถ้าคนจนมีทางเลือก เค้าก็ไม่กู้บริษัทเงินกู้เหี้ยๆ ที่คิดดอกแพงแบบนี้หรอก แล้วบริษัทพวกนี้มันต้องมาเสียเงินทำโฆษณาด้วยเหรอวะ เพราะถ้ามีดีจริงกู้ง่าย ดอกเบี้ยไม่แพง คนคงไปกู้กันเยอะไม่ต้องมาโฆษณาหรอก เอาจริงๆ บริษัทพวกนี้แม่งก็ไม่ค่อยมีคนอยากจะไปกู้เท่าไรหรือเปล่า เพราะแถมภาพลักษณ์ก็เหี้ย คิดดอกเบี้ยโหดจนขึ้นชื่อ มันต้องต้องมาจ้างสลิ่มปัญญาอ่อน ดูถูกคน เลยต้องทำโฆษณาฟอกตัวเองให้ดูดีตามสันดานสลิ่มที่ชอบสร้างภาพความตัวเองดีทั้งที่จริงตัวเองโคตรเหี้ยทำนาบนหลังคนจนอยู่
ปล. ถ้าทักษิณยังอยู่ และโครงการกองทุนหมู่บ้าน พัฒนากลายเป็นธนาคารชุมชนได้ ไอ้บริษัทปล่อยเงินกู้แบบนี้ในโฆษณานี้ไม่มีวันได้เกิดหรอก เพราะบริษัทพวกนี้แม่งเกิดมาได้ เพราะประเทศไทยแม่งไม่เคยมีแหล่งเงินกู้ให้กับคนในชุมชน มีแต่เฉพาะนายทุนคนรวยมีตังค์เท่านั้น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนจีนสมัยปู่กูเขาสอนว่า ค่อยๆลงทุนเดินทีละก้าว มั่นใจแล้วค่อยวิ่ง ตอนนี้ทำงานใหญ่ไม่ได้เพราะไม่มีทุนก็ อดทนทำงานเล็กๆก่อนให้คนรอบข้างเห็น ถ้าหากมีช่องทางทำงานใหญ่ก็ไม่ต้องไปกู้เขาหรอก ญาติพี่น้องมีเงินเก็บกันทุกคน เราไปขอเขาดีๆเขาก็ให้กันทั้งนั้น
ถ้าหิวไม่มีเงินกินยอมอดดีกว่าไปกู้เขามาแล้วเสียดอกให้คนอื่นแดก
ไอ้พวกไปกู้นอกระบบเพราะเคยไปยืมญาติแต่ไม่เคยใช้หนี้ มาหลายครั้งแล้วจนไปเอาเงินอาบังเป็นแหล่งสุดท้ายก็เป็นไปได้
เขาดันสหกรณ์ให้พวกชาวบ้านไปบริหารกันเอง. จะมาล่มเพราะเอากองเงินไปฝากยูเนี่ยนคลองจั่นนั่นแหล่ะ. มึงเข้าใจยังว่าธัมมี่มันบาปหนาแค่ไหน
เรื่องการเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มึงคาดหวังกับคนจนมากเกินไปแล้ว
ต้องมองความจริงด้วยว่าคนจนมันศักยภาพต่ำ จบ ป.6 มั้ง จบ ม.3 มั้ง
เป็นได้แค่แรงงานพื้นฐาน ถ้าหรูหน่อยก็เป็นยาม
คนพวกนี้ไม่มีความรู้ทางการบริหารธุรกิจมากพอที่จะเอาเงินกู้ไปลงทุนอะไรได้มากมาย
ถ้าให้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสิ่งที่เกิดขึ้นคือคนพวกนี้เอาไปซื้อเหล้ายี่ห้อดีๆกัน
จากเดินที่กินเหล้าขาว
กูว่ามึงหลงทางกับต้องให้คนจนกู้มากไปว่ะที่จริงคือมึงต้องยอมรับก่อนว่าศก.มันหดตัวจนธนาคารมันหาแดกกับการปล่อยกู้ให้กิจการเอาไปลงทุนไม่ได้ มันก็เลยจะมาหาแดกกับคนเล็กคนน้อยระดับลูกจ้างเนี้ยแหล่ะ
เอาเป็นว่า ถ้ามึงจน ไม่มีเงินทุนกูแนะนำให้เป็นลูกจ้างเขาค่อยๆเก็บเงินก่อน แล้วค่อยๆเริ่มกิจการเล็กๆนั่นแหล่ะ พอแล้ว มึงจะใจร้อนรีบกู้รีบเจ้งทำเหี้ยไร จำเอาไว้เลยถ้ามีกิจกรรม กู้,ปล่อยกู้ ฝั่วงนายทุนมันได้เปรียบกว่า มึงอย่าไปโฆษณาต้อนหมูให้คนที่ไม่รู้สีรู้สา เข้่าไปกู้เลย ไปกู้ก็ไม่ใช่เขาใจดีให้เงินมาใช้ฟรี เขาเก็บดอกและเก็บหลักประกันด้วยซึ่งไม่พ้นที่ดินนั่นแหล่ะ คิดว่าสังคมเกษตรกรมันล่มเพราะอะไร การสูญเสียต้นทุนที่เรียกว่าที่ดินนั่นแหล่ะคือเหตุผลหลัก
"ชาวบ้านแอฟริกันคนนึงพูดในหนังเรื่องนี้ว่า คนรวยไม่ต้องมาช่วยเราหรอก ไม่ต้องสอนเรา ไม่ต้องสงสารที่เรายากจน ไม่ต้องคิดว่าเรางอมืองอเท้าเฝ้ารอใครมาสงเคราะห์ เปล่าเลย พวกเราคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเราควรทำยังไงกับชีวิตของเรา พวกเราดิ้นรนอยู่เสมอไม่เคยหยุด เรามีสติปัญญาและมีวิถีที่เราเลือกเอง
ถ้าจะช่วย โปรดช่วยด้วยการอย่าคิดแทนเรา อย่าเบียดบังโอกาสของเรา อย่าแย่งชิงทรัพยากรของเราไป อย่าช่วยแค่ด้วยความหวังดีที่ไร้ความเข้าใจเพราะมันจะยิ่งส่งผลร้าย ปล่อยให้เราได้เข้าถึงสิ่งต่างๆ อย่างเท่าเทียมกับที่ตัวคุณได้เข้าถึง เราต้องการแค่นั้น ในสังคมแบบนั้นเราสร้างชีวิตของเราเองได้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ชาวอาฟฟริกาที่ว่าไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงสร้างชาติอเมริกา กับการล่าอาณานิคม+ค้าทาส
มึงอยู่ด้วยตัวเองได้มาหลายชั่วอายุคนจนกระทั่งมีนิกก้าเผ่านักรบที่แข็งแกร่งกว่าจับมึงไปขายแล้วส่งขึ้นเรือไปทำไร่ฝ้ายที่อเมริกานั่นแหล่ะ
>>639 shut the fuck up you nig-nog
watch this : https://www.youtube.com/watch?v=3LhSjLNyM-s&ab_channel=WarrenYurmind
>>637
บ.ปล่อยกู้มันหวังปล่อยกู้กับคนจนกลุ่มที่ว่ามาง่ายๆ เพราะรู้ว่าปล่อยกู้ไป พวกนี้ก็ไม่คิดจะคืนครบง่ายๆ
ยิ่งมีกับดักจ่ายขั้นต่ำต่อเดือนไว้ขายฝันว่า ใช้คืนแค่เดือนละนิดๆหน่อยก็ได้ไม่เป็นไร ทำให้หลอกแดกกินดอกเบี้ยได้ยาวๆไง
บางเดือนนะ ถ้าจ่ายขั้นต่ำ หักเงินต้นไม่ถึง30% ที่เหลือดอกเบี้ย+ค่าธรรมเนียม ไปทุกเดือนๆ
บ.พวกนี้ก็เลยนอนกินสบายๆทุกเดือน
ขณะที่พวกกองทุนสนับสนุนให้ชาวบ้านทำมาหากิน ต้องใช้เวลาพิจารณาว่าคนกู้จะเอาไปทำกำไรมาใช้คืนได้มั้ย ต้องมีแผนงานประกอบว่าจะเอาไปทำอะไรอีก เลยไม่ปล่อยกู้ง่ายๆ พวกที่ร้อนเงินเลยต้องไปพึ่งพวกบ.ปล่อยกู้พวกนั้นไง
พูดถึงเรื่องทางม้าลาย
วันก่อนน้องเภสัชที่รู้จักกัน บอกว่า คุณแม่ข้ามทางม้าลายพร้อมคนอื่นๆอีกรวมเป็นสามคน รถทุกคันจอดให้ แต่กลับมีจักรยานยนต์แซงมาเฉี่ยวล้มทั้งสามคน แล้วหนีไป
.
นั่นก็รู้สึกแย่แล้ว
.
แต่วันนี้แย่กว่า เพิ่งอ่านเจอว่าโพสต์ของเพื่อน ระบุว่าชาวต่างชาติที่รู้จัก เป็นคนคุณภาพระดับจบ MIT 4 ใบ ทำงานกับบริษัทระดับโลก จบชีวิตเพราะโดนรถเมล์ชนตอนข้ามทางม้าลาย
.
เราไม่หมดหวังกับประเทศนี้ แต่ไม่คาดหวังอะไรอีกต่อไป ไม่คิดว่าจะพัฒนาขึ้นสักเท่าไหร่ ทุกวันนี้อยู่ก็เพราะครอบครัวเท่านั้น
ประเทศไทยเป็นประเทศโลกที่ 1 ตามความหมายเดิมช่วงสงครามเย็น (เดิมใช้แยกว่าเป็นพันธมิตรกับฝ่ายไหน ไม่เกี่ยวกับว่าเจริญหรือไม่เจริญ)
ไม่รู้เด่ะ แต่การโดนพลเมืองประเทศโลกที่1มองมึงเป็นชนชั้นล่าง กูว่ากลับไปอยู่กะลามันดีกว่านิดๆว่ะ
ประเทศไทยน่าอยู่นะมึง อาหารอร่อย กะหรี่ราคาถูก ที่เที่ยวเยอะ อากาศดีไม่หนาวจัดเหมือนยุโรป เสียแค่หน้าร้อนจะร้อนชิบหาย
แต่ต้องมีเงินเยอะๆว่ะ ไม่ก็ต้องรู้จักผู้มีอำนาจ
“ฉันไม่ได้เรียนหนังสือ อายุ 15 ก็เข้าโรงงานเย็บเสื้อโหล ทำสักพักเปลี่ยนมาค้าขาย ขายทุกอย่าง หน้าผลไม้อะไรก็เอามาขาย ขายก๋วยจั๊บ ขายราดหน้า มาขึ้นที่สุดตอนขายกระเพาะปลา เหนื่อย แต่ได้เงินดี ขายตั้งแต่อายุสี่สิบจนถึงเจ็ดสิบ ตอนนั้นฉันล้ม ต้องผ่าตัดสะโพก สุดท้ายก็เลิกขาย ตอนนี้อายุ 75 แล้ว ต้องเกาะลูกกิน”
“ทำมาหลายอาชีพ ชอบอะไรที่สุด”
“ไม่ชอบสักอย่าง มันจำเป็นต้องทำ”
“ป้าเคยมีความฝันบ้างไหม”
"ไม่เคยหรอก คนจนจะไปฝันอะไร ฉันคิดแต่ว่าขายอะไรแล้วได้เงินดี”
"จากรูปการณ์แล้วพอสรุปได้ว่า...
1. สามีและภรรยาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานานแล้ว
2.สามีมีหญิงอื่นมานานแล้ว
3. ขอหย่าภรรยา ภรรยาหลวงไม่ยอมหย่าให้
4. จึงแก้เผ็ดด้วยการให้ผู้หญิงอีกคนใช้นามสกุลเฉยๆซะเลย
5. ผู้หญิงคนใหม่เปิดเผยความสัมพันธ์ออกสื่อโซเชียลมีเดีย หวังเป็นเหตุให้ ภรรยาหลวงฟ้องหย่า
(ตัวประกอบ1: มวลชนชาวโซเชียล เข้าไปช่วยปั่นกระแส)
6. ภรรยาหลวงก็ไม่ยอม ออกจดหมายถึงสื่อ (ตัวประกอบ2: สื่อมวลชน) ยืนยันทะเบียนสมรสยังอยู่จ้า
7. ภรรยาน้อยจัดงานวันเกิดใหญ่โต ถ่ายคลิปโชว์หวานเผยแพร่
(ตัวประกอบ3: บุคคลสำคัญของชาติที่มาร่วมงานวันเกิด ทำหน้าไม่ถูกบ้าง เลียซ้ำเลยบ้าง)
8. ภรรยาหลวงก็คงยืนตามแผนเดิม ให้มันค้างคาไปงั้นแหละ เรื่องอะไรจะยอมได้สินสมรสครึ่งเดียวบวกค่าชดเชย เผื่อสามีมหาเศรษฐีตายก่อนเสียดายแย่
(ตัวประกอบ4: ฝูงชนกรีดร้อง เป็นห่วงสถาบันครอบครัว)
จบข่าว
#ปล่อยไผ่
ติดแฮชแทคผิดรึเปล่า? เปล่าจ้ะ
#เสียดายแอร์ไทม์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ว่าด้วยเรื่อง นายแบบนู้ดบอกชาวบ้านว่า "หนูโดนหลอกถ่าย หนูไม่รู้ว่าโป๊ หนูโดนบังคับ ฮือ ฮือ" ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายรายแล้ว นับได้เป็นสิบๆคน
ขอบอกเลยว่า ไม่มีหรอก เรื่องโดนหลอกน่ะ ยิ่งบังคับนี่ไม่มีเลย ทีมถ่ายนู้ดแต่ละเจ้า ก็มีทีมงานแค่ 2 - 3 คน เป็นกะเทยตัวเล็กๆทั้งนั้น แต่ละคนกลัวตำรวจกันชิบหาย ไม่กล้าหลอกคนมาแก้ผ้าให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางหรอก
มีแต่จะถามนายแบบซ้ำๆ 500 รอบก่อนถ่ายว่า "มึงถ่ายนู้ดได้แน่นะ ไม่มีปัญหาแน่นะ มหาลัยไม่ว่าแน่นะ พ่อแม่มึงไม่ว่าแน่นะ บริษัทมึงไม่ว่าแน่นะ กูกลัว" "อ๋อ ได้พี่ เต็มที่เลยพี่ ไม่มีใครว่าหรอก ขอแค่พี่จ่ายเงินแน่นอนก็พอ"
นี่มันปี 2559 แล้วนะ ไม่ใช่ 2499 แถมแต่ละคนไม่ใช่เด็กประถม จะโดนหลอกอะไรกัน เอาจริงๆนะ พอกะเทยบอกให้ปั่นควยแข็งๆ แล้วเอากางเกงในตาข่ายรูกว้างๆให้ใส่ หรือสั่งให้แก้ผ้าหมด หันควยเข้าหากล้อง ก็น่าจะขอกลับตั้งแต่ตอนนั้นแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าคิดว่ามันไม่ดี ไม่อยากถ่าย?
คนที่บอกชาวบ้านว่า หนูโดนหลอกน่ะ คือพวกที่พอผลงานออกมาแล้ว โดนคนด่า ก็เลยแก้ตัวว่า "หนูโดนหลอก หนูโดนบังคับ หนูเป็นคนใสใส อย่าด่าหนูนะ ไปด่าทีมงานโน่น"
เหมือนกรณี คนแต่งชุดไม่สวยไปออกงาน พอมีคนทักว่าแต่งไม่สวย ก็รีบแก้ตัวว่า "ชั้นไม่ได้แต่งเองนะ เพื่อนชั้นแต่งให้ ถ้าชั้นไม่ยอมแต่งชุดนี้ มันจะโกรธชั้น"
ยาวไปไม่อ่านนี่ไม่ใช่ว่าเป็นคนโง่นะ แต่มึงไม่มีศิลปะในการเขียนให้มันน่าอ่านอะ ยาวเป็นพืดเลย มึงก็อ่านไปคนเดียวเขียนเสร็จก็ตั้งOnly meไป
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Tshering Tobgay 51 ปี นายกฯ ภูฏานให้สัมภาษณ์ The Economist บอกว่า “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” หรือ “gross national happiness” ถูกสร้างภาพให้เหมือน “ศาสนา”
โดยเขาเห็นว่า GNH กลายเป็นเรื่องที่ “เบี่ยงประเด็น” เป็น “distraction” ทำให้ประเทศล้าหลังไม่พัฒนาในหลายด้าน ประชาชนไม่รู้หนังสือ ไม่ได้เข้าเรียน มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนกลุ่มน้อย ว่างงานสูง หนี้สาธารณะมากมาย ฯลฯ
นับแต่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกฯ เขาเน้นการพัฒนาการศึกษา การพัฒนาบริการขั้นพื้นฐาน และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้านการเกษตร
นาย Tshering Tobgay ชนะในการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยครั้งที่สองของประเทศเมื่อปี 2013 เป็นการชนะพรรคของ “[เซ็นเซอร์]” ซึ่งเป็นนายกฯ คนแรกอย่างขาดลอย (ในการเลือกตั้งครั้งแรก พรรคของนาย Tshering Tobgay ได้สส.แค่สองที่นั่งเท่านั้นเอง)
Tshering Tobgay ซึ่งเรียนจบจากสหรัฐฯ บอกว่า “เรากำลังเทศนาเกี่ยวกับ GNH เราส่งคนไปทัวร์ทั่วโลกเพื่อเทศนาเรื่องนี้ แต่มันเรื่องที่เบี่ยงประเด็น (distraction) ทำให้เราไม่ได้ทำงานตรงเป้าเพื่อให้เกิด GNH อย่างแท้จริง” และบอกต่อว่า “มันเป็นเรื่องหลอกลวง (seductive) ที่จะพูดว่า GNH เป็นแม่แบบการพัฒนาทางเลือก ที่สำคัญคือจะทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรที่บ้านตัวเองมากกว่า (ไปเทศนากับประเทศอื่น ๆ ว่ามันดีอย่างไร)”
ตอนหลังได้รับเลือกตั้งใหม่ ๆ เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้แล้วว่า ถ้าวัน ๆ รัฐบาลเอาแต่พูดเรื่อง GNH แต่กลับไม่ทำงานเพื่อให้พัฒนาบริการพื้นฐานกับประชาชนเลย มันเป็นการเบี่ยงประเด็น”
"If the government of the day were to spend a disproportionate amount of time talking about GNH rather than delivering basic services, then it is a distraction,"
เขามองว่ารัฐบาลที่ผ่านมาและ[เซ็นเซอร์]มุ่งโฆษณาแต่เรื่อง GNH โปรโมตไปทั่วโลกเพื่อสร้างภาพ แต่กลับไม่สามารถทำให้เกิดผลจริงจังในบ้านตัวเอง
อย่างเรื่องการรู้หนังสือ จากการบริหารงานของรัฐบาลตั้งแต่สมัย[เซ็นเซอร์] จนถึงรัฐบาลชุดแรกที่เป็น[เซ็นเซอร์] คนภูฏานแค่ครึ่งเดียวที่อ่านออกเขียนได้ เด็กแค่ครึ่งเดียวที่มีโอกาสเรียนถึงมัธยม
ชาวภูฏานส่วนใหญ่ยังคงเป็นชาวไร่ชาวนาแบบพึ่งตนเอง อัตราการว่างงานและการฆ่าตัวตายสูงมาก หนี้สาธารณะบานเบอะ และการคอร์รัปชันก็ระบาดไปทั่วไป
การที่นานาชาติให้ความสนใจกับ GNH ของภูฏาน มันจึงเป็นภาพลวงตา ทำให้ไม่เห็นปัญหาอย่างอื่น ทั้งเรื่องการขาดความโปร่งใส และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการพัฒนาแบบที่ไม่เคยถามความสมัครใจของประชาชน บอกให้ประชาชนเชื่อแต่เรื่อง GNH
#[เซ็นเซอร์]
ลองฟังความเห็นนายกฯ ภูฏานที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่อง GNH เท่าไรดู
https://soundcloud.com/theeconomist/the-world-in-2017-special-instability
และอ่านเพิ่มเติมได้
http://blogs.ft.com/beyond-brics/2014/09/04/gross-national-happiness-a-bad-idea-whose-time-has-gone/
http://www.bbc.com/news/world-asia-23545641 "
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนดูการ์ตูน-เกมออนไลน์ ก็จะโยนให้ ละครหลังข่าวเป็นแพะ
คนดูละครหลังข่าว ก็จะโยนให้ เกมออนไลน์-การ์ตูน เป็นแพะ
.....ต่างกันตรงไหนวะ มันส่งผลต่อความรุนแรงหมดแหละ ถ้าคนแม่ง คิดไม่เป็น ทำตามอย่างที่เคยเห็น
*มีคนทำตามเกมออนไลน์ ทำตามการ์ตูน ทำตามละคร
มันมีหมดแหละ หรือมึงไม่เคย เล่นท่ามวยปล้ำกับเพื่อน ทั้งๆ ที่เขาก็บอกตลอดว่า อย่าทำตาม ๆ
#มิตรฯ
"A: ผมมองโลกในอีกแบบที่ไม่เหมือนพวกคุณอ่ะครับ
B: เป็นมุมมองที่ลุ่มลึก และเห็นว่าทุกองคาพยพในโลกนี้มีความไม่เป็นธรรมเคลือบแฝงอยู่รึเปล่าอ่ะครับ
A: คือตาผมเป็นต้ออ่ะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จะเล่าเรื่องความเหลื่อมล้ำให้ฟัง สมัยมัธยมนี่เป็นคนเรียนเก่งมากระดับท็อปของห้อง ทำการบ้านให้ทั้งห้องลอก รับจ้างทำรายงาน (ฟรีเฉพาะผู้ชายหน้าตาดี) มีเพื่อนชะนีนางหนึ่งวันๆไม่สนใจเรียน แต่งหน้าเขียนคิ้วทั้งวัน เรียกได้ว่ามันสมองอยู่ระดับโง่ ลอกการบ้านกุมันยังลอกผิด เรียนจบเพราะกุเคี่ยวเข็ญ ปัจจุบันมันได้ผัวมหาเศรษฐีฝรั่ง ใส่บิกินี่เที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก ส่วนกุเป็นมนุษย์ออฟฟิศแบกภาระลูก3ผัวหนึ่ง ใช้เงินเดือนชนเดือนหมุนเงินจนหน้ามืด
มันคือความเหลื่อมล้ำกุยืนยัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เหลี่อมล้ำเหี้ยไร เค้าเรียกว่า ""วาสนาหีไม่เท่ากัน"
อย่าเบี่ยงประเด็น"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
#รบเถิดอรชุน Abe Lincoln in Illinois (1)
"ตอนกลางวัน เขาลากคันไถ ทำงานหนัก เล่าเรื่องตลกชวนหัว แต่พอตกกลางคืน เขานั่งอ่าน Hamlet จินตนาการว่าตัวเองเป็นเจ้าชายผู้อมทุกข์ เขาอาจเป็นนักปรัชญา หรือไม่ก็ไอ้มหาซื่อบื่อ"
-- โจชัว สปีด เพื่อนสนิท กล่าวถึงลินคอล์น
ใน Abe Lincoln in Illinois ผู้ชมได้รู้จักกับลินคอล์นตั้งแต่สมัยยังหนุ่มฟ้อ ผอมแห้ง เหน็ดเหนื่อย แต่มุ่งมั่น เขาสวมชุดซอมซ่อแบบช่างไม้ ฝึกฝนวิธีพูดปราศรัย เพื่อเตรียมตัวไปสอบเป็นทนายความ เพื่อนคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า เขาไม่เคยรู้จักใครที่ "เป็นมิตร" แต่ "รังเกียจเพื่อนมนุษย์" เท่าชายหนุ่มมาก่อน
อีกฝ่ายแก้ตัวว่า "ผมชอบมนุษย์เป็นคนๆ นะ แต่พอพวกเขามาอยู่รวมกัน เป็นฝูงชน เป็นมวลหมู่ เป็นกองทัพ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง"
สุดยอดเหตุการณ์แห่งปี 2016 ที่จะติดตราตรึงใจไปอีกนานคือวินาทีที่มอเตอร์ไซค์ขี่ขึ้นมาบนทางเท้าแล้วด่าแผงลอยว่า "วางหลบ ๆ หน่อยสิ วางแบบนี้จะขี่กันยังไง!"
คือใจพี่ได้มาก ใจพี่ได้
#รายงานสลดจากบนพื้นถนน
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
ว่ากันว่า..
ครอบครัวชนเผ่าในปาปัวนิวกินีจะประกอบด้วย
พ่อ
แม่
ลูก
.. และนักมานุษยวิทยา..
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อยากเห็นหนังผี ที่ตัวละครเอกเป็นคนดำ บาทหลวงก็คนดำ แต่ผีเป็นคนขาว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพิ่งรู้ว่าท่านสันต์และคุณผู้หญิงท่านนั่น อายุต่างกัน 40+ ปี
นั่นแปลว่าในวันที่ท่านสันต์จบปริญญาตรี พ่อและแม่ของคุณผู้หญิงท่านนั้นอาจจะยังไม่คบกันเลย
หรือพูดอีกนัย ในวันที่ท่านสันต์เรียนจบม. ปลาย คุณผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ตายจากชาติที่แล้วด้วยซ้ำ
Know your environment
.
.
วันนี้มานั่งอยู่ริมทะเลที่หัวหิน เลยอยากเขียนเรื่องชิลๆหน่อยครับ
.
หลังๆมานี่จากการสังเกตเหตุการณ์รอบๆตัวผม ผมเริ่มเชื่อจริงๆแล้วว่า สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวเรานั้นส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของเรามากกว่าที่เราคิดเยอะเลย
.
จริงอยู่ปัจจัยเรื่องความขยัน บากบั่น อดทน ฯลฯ อันนั้นสำคัญชัวร์อยู่แล้ว
.
แต่เรื่องสภาพแวดล้อมก็สำคัญไม่แพ้กัน
.
ข่าวดีคือ สภาพแวดล้อมนั้นสร้างกันได้ เพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวเรานั้นมีทั้งแบบที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น
.
มาคิดๆดู สิ่งที่มนุษย์คิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมเป็นเรื่องที่แปลก
.
เวลาเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นกับเรา เช่น เวลาเรานัดประชุมแล้วมาสาย เรามีแนวโน้มที่จะโทษสภาพแวดล้อมของกทม.ว่า “ก็กรุงเทพรถมันติดน่ะ” เวลาที่ยอดขายปีนี้ไม่ถึงเป้า เรามักมีแนวโน้มที่จะโทษสภาพแวดล้อมของประเทศหรือของโลกว่า “ก็เศรษฐกิจมันไม่ดีนี่หว่าจะให้ทำไง” ถ้าปีนี้โบนัสน้อย เราอาจจะพาลโทษสภาพแวดล้อมของออฟฟิสได้ว่า “ก็เพื่อนร่วมงานมันห่วยวันๆเอาแต่เล่นการเมือง ดราม่า ช่างนินทา ก็เลยซวยได้โบนัสน้อยกันหมด” ถ้าครอบครัวของเราวันนี้ยังไม่รวยซักดี เราก็อาจจะพาลโทษสภาพแวดล้อมได้ว่า “ไม่น่าเอาคนนี้มาเป็นแฟนเลย รู้งี้เลือกอีกคนสบายไปแล้ว” ฯลฯ
.
เวลาเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นมา สภาพแวดล้อมมักตกเป็นจำเลยเสมอ
.
.
แต่
.
.
ในยามที่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้น เราไม่ค่อยยกผลประโยชน์ให้สภาพแวดล้อมเท่าไร
.
เวลาเรานัดประชุมแล้วไปตรงเวลา เรามีแนวโน้มที่จะคิดว่า “เรานี่มันใช้ได้ เป็นคนตรงต่อเวลาจริงๆ” เวลาที่ปีนี้ยอดขายถล่มทลายทะลุเป้า เรามีแนวโน้มจะคิดว่า “กูเก่งว่ะ นี่คือผลจากความพยายามของกู” “ถ้าปีนี้โบนัสเยอะ เราก็มีแนวโน้มจะคิดอีกว่า “นี่คือผลตอบแทนจากการทุ่มเททำงานหนักของเรา (และของเราคนเดียว)” ถ้าวันนี้ครอบครัวเรารุ่งโรจน์ชัชวาลร่ำรวยขึ้นมาจากเดิมมาก เรามีแนวโน้มจะคิดว่า “เพราะฉันฉลาด ประพฤติตัวดี อดทน เก็บหอมรอมริบ มีวินัยทางการเงิน ครอบครัวเราจึงมีวันนี้”
.
เวลาได้ดี สภาพแวดล้อมมักจะไม่ได้เครดิตไป
.
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมเชื่อว่าสภาพแวดล้อมนั้นเกี่ยวข้องกับเราทั้งเวลาที่เราเจอเรื่องที่ดีและเรื่องไม่ดีครับ ผมเชื่อว่าคนที่ต่อสู้อย่างมากและประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วก็มีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นนั่นเอง คนที่ดูเหมือนจะเหยาะแหยะและไม่ไปไหนซักที บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในสภาะวะแวดล้อมที่แย่ แต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
.
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด เราก็จะมีโอกาสมากที่สุดที่จะประสบความสำเร็จนั่นเองครับ ดังนั้นการพาตัวเองไปสู่สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมจึงสำคัญอย่างยิ่ง
.
Jared Diamond เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง Guns, Germs, and Steel เกี่ยวกับรูปร่างที่แตกต่างกันของทวีปต่างๆของโลก ที่ส่งผลอย่างมากต่อพฤติกรรมและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ผมอ่านครั้งแรกแล้วยอมรับว่ามีความสงสัยพอควรแต่พอลองพิจารณาแล้ว ผมคิดว่าเหตุผลของ Jared นั้นมีน้ำหนักพอควรครับ
.
เรื่องนี้ย้อนหลังกลับไปหลายร้อยปี
.
Jared บอกว่าทวีปแต่ละทวีปนั้นมีรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เช่น ทวีปอเมริกานั้นมีรูปทรงที่ค่อนข้างยาวและผอม (ตั้งแต่อเมริกาเหนือถึงอเมริกาใต้ ไม่ใช่เฉพาะประเทศสหรัฐนะครับ) เช่นเดียวกับทวีปแอฟริกาที่มีรูปทรงอย่างที่ว่าเหมือนกัน หรือเรียกว่ามีลักษณะ เหนือมาใต้
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>668 )
.
ในขณะที่ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง ต่อเนื่องมาเอเชียนั้นไม่เหมือนกัน เพราะเป็นแนวกว้าง แบบแบนๆ สิ่งที่น่าสนใจคือรูปทรงของทวีปนี่เองที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและประวัติศาสตร์ของมนุษย์มาหลายศตวรรษ
.
การที่ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง ต่อเนื่องมาเอเชีย มีลักษณะกว้างและแบน เป็นลักษณะ ตะวันตกมาตะวันออก ทำให้มีละติจูดเดียวกันเป็นแนวยาว ลักษณะของฝนฟ้าอากาศ อุณหภูมิ และฤดู ก็ใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในเอเชียหรือยุโรป มนุษย์ยุคโบราณถ้าอยู่ในเส้นขนานเดียวกัน ลักษณะการปลูกพืชก็ไม่ต่างกันมาก เวลาอพยพย้ายถิ่นฐาน สามารถนำความรู้เรื่องการเพาะปลูกจากที่หนึ่งไปใช้อีกที่หนึ่งได้
.
ในขณะเดียวกันในทวีปอเมริกาและแอฟริกาที่มีลักษณะผอม (เหนือไปใต้) นั้น การเพาะปลูกต่างกันมาก ลองนึกดูก็ได้ว่าพืชที่ปลูกในฟลอริด้าได้นั้น ไม่สามารถปลูกในนิวยอร์คได้แน่ๆ การกระจายตัวในแนวตะวันออกไปตะวันตกก็ทำได้น้อยกว่ามาก เพราะข้อจำกัดของพื้นที่อย่างที่กล่าวไปแล้ว
.
เพราะเหตุนี้เองการเกษตรกรรมจึงเจริญรุ่งเรืองเป็น 2-3 เท่าตัวในยุโรปและเอเชีย เมื่อเทียบกับแอฟริกาและอเมริกา เมื่อผ่านไปหลายศตวรรษการเพิ่มขึ้นของความสามารถในการสะสมอาหาร ก็ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของประชากร ที่มากกว่าเมื่อเทียบกับทวีปอื่น เมื่อรวมปัจจัยต่างๆเข้าด้วยกัน จึงทำให้จักรวรรดิต่างๆในยุโรปและเอเชียเข้มแข็ง จนสามารถสร้างกองทัพไปยึดประเทศต่างๆในอเมริกาและแอฟริกามาเป็นเมืองขึ้นได้มากมาย
.
หากเราถามว่าเกษตรกรในยุโรป ตะวันออกกลางและเอเชียนั้น เก่งกว่า อดทน หรือขยันกว่า เกษตรกรของอเมริกาหรือแอฟริกา ถึง 2-3 เท่าไหม ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็คงต้องบอกว่าไม่ แต่ทำไมผลผลิตถึงต่างกันได้ 2-3 เท่า คำตอบก็คงไม่หนีเรื่องสภาพแวดล้อมละครับ
.
ทีนี้พอเรารู้แล้วว่าสภาพแล้วล้อมสำคัญกับเรามาก เราจะทำยังไงดี
.
อย่างที่ผมบอกไปตอนแรกครับว่า โชคดีที่เราสามารถออกแบบสภาพแวดล้อมของเราได้
.
เรื่องแรกคือ ออกแบบสภาพแวดล้อมที่ดี : ถ้าอยากผอม อย่าเอาขนมเค้กหรือน้ำอัดลมเข้าบ้าน เพราะถ้าคุณมีมันอยู่ในตู้เย็น ไม่ว่าคุณคิดว่าคุณใจแข็งแค่ไหน เดี๋ยวคุณต้องตบะแตกซักวันนึงแน่ๆ
.
ถ้าคุณอยู่แต่กับคนช่างนินทา ชีวิตคุณก็จะกลายเป็นแบบนั้น
.
ถ้าพูดเรื่องสร้างสภาพแวดล้อมเดี๋ยวนี้พูดแต่เรื่อง physical ไม่ได้ ต้องพูดเรื่อง virtual ด้วย เพราะเราอยู่ในโลก virtual เยอะ เราควรใช้ประโยชน์จากมัน
.
ผมยกตัวอย่างเรื่องตัวเองละกัน ตอนนี้ผมพยายามพัฒนาเรื่องการวิ่งให้เร็ว ผมก็จะ follow คนที่ชอบวิ่ง และตั้งค่าเป็น see first พอผมเห็นเพื่อนเราวิ่ง pace เร็ว ผมก็อยากซ้อมให้วิ่ง pace เร็วขึ้น แบบนี้จะทำให้เกิดการพัฒนา ไม่ใช่วิ่งอยู่แค่ไหนก็วิ่งเท่าเดิมทั้งปีทั้งชาติ อันนี้คือการสร้างสภาพแวดล้อมแบบ virtual ขึ้นมาครับ เพราะผมไม่เคยไปวิ่งกับคนเหล่านี้เลย บางคนผมไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ ผมไป follow เขาเฉยๆ
.
ในขณะเดียวกันถ้าช่วงไหนเราติดแต่เรื่องดราม่าอ่านแต่เรื่องดราม่า ชีวิตเราก็จะแวดล้อมไปแต่คนที่ชอบนินทาคนอื่นซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรในชีวิตขึ้นมา
.
เรื่องที่สองคือ สร้างระบบให้เป็น automatic : อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ เช่น ถ้าติด social media อย่างหนัก ก็ควรจะมีพวก social media blocker เพื่อตัดใจจากการเล่นซะ ไม่งั้นชีวิตคุณจะไม่ไปไหนซักที
.
ถ้าคุณรู้ตัวว่าติดมือถือมากๆ ช่วงเช้าก่อนทำงานอาจจะพิจารณาเอามือถือเก็บไว้ในลิ้นชักซักสามชั่วโมงตอนเช้าทุกวัน แล้วคุณจะทึ่งกับ productivity ที่เพิ่มขึ้นของคุณอย่างน่าตกใจ
.
เคยมีคนกล่าวว่าในระยะยาวแล้วคุณจะเป็นค่าเฉลี่ยของคนที่คุณใช้เวลาด้วยมากที่สุด 5 คนรอบตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นนิสัย สุขภาพ ความฝัน หรือแม้แต่เงินในบัญชี ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จริงๆมากครับ เพราะฉะนั้น ดูแลสภาพแวดล้อมของคุณให้ดี
.
ผมขอปิดท้ายบทความนี้ไปด้วย quote ที่ผมชอบที่สุด quote หนึ่งของโลก ที่อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Eleanor Roosevelt เคยกล่าวไว้เกี่ยวกับคนที่อยู่รอบตัวคุณ อย่างเฉียบคมที่สุดไว้ครับ
.
“Great minds discuss ideas; average minds discuss events; small minds discuss people”
โดนฟาดทุกรุ่นกันมาทั้งศตวรรษ แต่เราก็ยังเป็นประเทศด้อยพัฒนา ไหนใครบอกว่าไม้เรียวสร้างชาติ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ความเห็นแก่ตัวไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างที่ตะเองอยากจะใช้ แต่เป็นการไปบอกให้ชาวบ้านชาวช่องเค้าใช้ชีวิตตามที่ตะเองอยากใช้นะจ๊ะ"
"Selfishness is not living as one wishes to live, it is asking others to live as one wishes to live."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>671 https://www.facebook.com/quoteV2/posts/946718575430049
ไอ้สัส ใครแปลวะ..
"จะด่าคนตัวตนตัวเองไม่กล้าจะแสดงตัวตนก็หนึ่งอย่าง
แต่ระบุชื่อคนอื่นเอาซะเต็ม
พอกระแสตีกลับเจ้าตัวมาอธิบายก็ลบกระทู้... ทำไมล่ะครับ กลัว?
อยากเปลี่ยนแปลงแต่ตอนอยู่ต่อหน้าก็ไม่กล้าจะเข้าไปถาม ลับหลังเอามาด่าว่า ตั้งคำถามกับเค้า ?
ถ้ากรณีเด็กผิดคุณอยากให้เค้ายอมรับหรืออกมาขอโทษ/รับโทษใช่มั้ยล่ะ
ทีหลังอย่ามาเรียกร้องความยุติธรรมอะไรเลยครับ มุดหัวอยู่ในรูไปแบบนั้นแหละ
CMU / Gear 35 "
#มิตรสหายเกียร์หนึ่ง
กูอ่านแล้วเจ็บเอง T^T
เมื่อค่ำแวะไปนั่งทานไอศกรีม ร้านๆนึง พนักงานคิดเงินที่เราไปขำระเงินคุยโทรศัพท์กับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแบบเหนื่อยเต็มที แต่เข้าใจได้ว่าโดนบังคับให้โอนเงินไปให้อีกฝ่ายจัดเลี้ยงปีใหม่รวมค่าเลี้ยงดู ราวๆ 8,000 บาท บวกอีก 2,000 ค่าซื้อของกินเลี้ยง เพราะน้องเค้าพูดทวนยอดที่ต้องโอนออกมา
ซึ่งน้องพนักงานบอกว่าเงินออกพรุ่งนี้ วันนี้พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอยู่วันสุดท้าย แล้วมีอีกประโยคคือถ้าแม่จะไปเลี้ยงคนอื่น แต่ลูกทำงานเหนือยแบบนี้ แม่จะมีความสุขมั้ย
เรื่องที่เราเล่าคือ เราจ่ายเงินสด พร้อมยื่นบัตรสมาชิกลด 10% ให้ แต่น้องเค้าคงคิดเรื่องอื่นอยู่ พอใบเสร็จออกมา ก็ไม่มีส่วนลด ซึ่งประมาณไม่กี่บาท แต่ก็เกือบๆร้อย น้องเค้าหันไปหาพี่ที่สวมเนคไท แล้วถามว่า ทำส่วนลดทีหลังยังไงครับพี่
พี่ใส่สูทตอบว่า ต้องชดเอง ถ้าเอ็งลืมรูดส่วนลด
ผมก็สงสารน้องเค้า เลยขอไม่รับเงิน น้องเค้าเลยยกมือไหว้ ส่วนคนสวมเนคไทบอกให้มาเอาไอศกรีมฟรี แต่ก็ปฏิเสธเพราะอิ่มมากแล้ว
ก่อนจะเดินกลับโต๊ะ น้องเดินไปคุยกับคนที่สวมเนคไทเรื่องคุยเรื่องขอเบิกเงินล่วงหน้า แบบได้ยินชัดเลย
เป็นอีกครั้งที่เจอ ลูกที่ทำงานหนัก แล้วต้องส่งค่าเลี้ยงดูทุกเดือน ไม่รู้ว่าน้องเค้ามีรายได้เท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจทั้ง 2 ฝ่ายว่ามีเหตุผลของตัวเองอยู่ เลยไม่อยากให้น้องต้องชดเงินตรงนี้ เลยบอก Happy New Year อีกครั้งตอนออกจากร้าน
"คนจนเท่าที่รู้
---
ครึ่งปีที่ผ่านมามีโอกาสได้ทำสารดคีเรื่อง "บ้านคนจน" ทำให้ได้ลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์ นั่งคุย และเรียนรู้จากพี่ๆ น้าๆ ผู้มีรายได้น้อยอยู่บ้าง การลงพื้นที่ไปทำสารคดีในสถานที่จริง ได้พบเจอผู้คนที่มีปัญหาตัวเป็นๆ ทำให้มองเห็น "ความจริง" ของปัญหาชัดขึ้น เข้าใจมากขึ้น หลายเรื่องก็สร้างความแปลกใจและพลิกมุมที่เคยมองคนจน จากที่เคยมองผู้มีรายได้น้อยจากระยะไกลทำให้เราคิดเองเออเองว่า ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือเขาจนเพราะเขาโง่ โลภ กินเหล้า หรือเปล่า
...
"บ้าน" สำหรับคนจน
---
สารคดีของพวกเรา (วันโอวัน) ได้รับโจทย์มาจาก พอช. ทำให้โฟกัสกันที่เรื่องที่อยู่อาศัยของคนจน แต่เราตั้งใจกันว่าจะไม่ทำแค่เรื่องบ้านเท่านั้น แต่อยากฉายภาพปัญหาของคนจนโดยตั้งคำถามไปไกลกว่านั้นว่า "ปัญหาคนจนไม่มีบ้านนั้นมันสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศนี้อย่างไรบ้าง"
การที่คนจนไม่มีบ้าน ไม่สามารถตอบกันง่ายๆ ได้แค่ว่า เพราะพวกเขาไม่มีเงินแต่ดันอยากได้บ้าน ก็จริงครับ บ้านไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่ถ้าลองได้คุยกับคนยากคนจน การมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นสร้างความรู้สึกที่มั่นคงภายในใจอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนความไม่แน่นอนตลอดเวลา ไม่รู้ว่าบ้านที่คุ้มหัวอยู่นั้นเมื่อไหร่จะโดนไล่รื้อ แล้วต้องย้ายไปที่ไหน การมีบ้านจึงเป็นเหมือนฐานรากของชีวิต ซึ่งถ้าหมดห่วงตรงนี้ไปก็จะได้ใช้เวลาและความคิดไปพัฒนาชีวิตส่วนอื่นๆ ต่อไป
แล้วบ้านที่เขาอยากได้กันก็ได้หรูหราอะไรเลย เป็นบ้านที่มีพื้นที่พออยู่อาศัยโดยไม่ต้องโดนไล่รื้อเท่านั้นเอง บ้านจึงมิใช่ความโลภหรือเครื่องแสดงฐานะ หากคือความจริงอันจำเป็นสำหรับชีวิต
หากมองด้วยสายตาคนชั้นกลางซึ่งมีความมั่นคงเป็นจำนวนเงินในบัญชี หรือรายได้จากเงินเดือนที่เข้าธนาคารทุกเดือน เราอาจมีความมั่นคงในใจ และไม่ได้คิดว่าการมีบ้านเป็นของตัวเองมีความสำคัญ บางครั้งอาจเผลอคิดไปว่า ความอยากมีบ้านเป็นความต้องการที่ฟุ่มเฟือยเกินไป แต่ทัศนะเช่นนี้ไม่สามารถนำมาตัดสินคนยากจนที่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเดือนหน้าจะมีคนจ้างเขาไปทำงานก่อสร้างไหม ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีงานไหม ไม่รู้ว่าข้าวที่ปลูกไว้จะมีราคาเท่าไหร่ ฯลฯ
บ้านของคนจนกับบ้านในความหมายของคนชั้นกลางอาจจะไม่ได้มีความหมายตรงกันเสียทีเดียว จึงไม่ยุติธรรมนักหากจะตัดสิน "ความอยากมีบ้าน" ด้วยไม้บรรทัดเดียว
...
แล้วทำไมพวกเขาไม่อยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกันเล่า
---
คนจนเมืองจำนวนหนึ่งคือแรงงานที่เข้ามาทำงานในเมือง บางคนเป็นเกษตรกร บางคนก็ทำงานรับจ้างที่ต่างจังหวัด แต่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนนี้ งานในเมืองมีมากกว่างานในต่างจังหวัด เมื่อว่างจากการปลูกข้าว คนจำนวนหนึ่งก็เข้ามาทำงานหาเงินในเมือง อยู่นานเข้าก็ปักหลักอยู่ที่นี่
นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่ไปกว่า "ความโลภ" ของคน หากมันสะท้อนให้เห็นความไม่เท่าเทียมกันเชิงระบบ หรือเชิงโครงสร้าง ที่ความเจริญและทรัพยากรทั้งหลายถูกนำมาลงและจัดสรรให้กับเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ในระดับที่แตกต่างมหาศาลจากต่างจังหวัด
เมื่อความเจริญและทรัพยากรทั้งหลายอยู่ที่นี่ ทั้งถนน รถไฟฟ้า สาธารณูปโภคต่างๆ กระจุกอยู่ที่นี่ ธุรกิจการค้าและงานต่างๆ ก็เลยมากระจุกรวมอยู่ที่นี่เช่นกัน
การมาของแรงงานต่างจังหวัดไม่ได้เกิดจากความโลภ หากเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อเงินคือปัจจัยในการดำรงชีพ อยากมีเงินเพื่อมีชีวิตที่ดีก็ต้องเคลื่อนที่เข้าหาแหล่งรายได้ และถ้าจะยุติธรรมก็คงต้องยอมรับนะครับว่า คนจนก็มีโอกาสฝันถึง "ชีวิตที่ดีขึ้น" เช่นกัน มิจำเป็นต้องมีชีวิตแบบพอมีพอกินตามภาพโฆษณาไปจนตาย เขาก็อยากให้ลูกหลานเขามีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนรุ่นเขาเหมือนกัน
ทรัพยากรที่เหลื่อมล้ำจึงนำมาซึ่งปัญหาของความเหลื่อมล้ำในส่วนบุคคล
คนเมืองโชคดีที่ได้เปรียบจากนโยบายพัฒนาเมือง เราไม่ได้รวยกว่าเพราะเราขยันเท่านั้น แต่โดยโครงสร้างทางเศรษฐกิจเรายังได้เปรียบกว่าหลายๆ คนในสังคมเดียวกัน เราเข้าถึงทรัพยากรได้มากกว่า เราอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโอกาส ทั้งการศึกษา การงาน สาธารณสุข กระทั่งอำนาจ
การบอกว่า "คุณดูผมสิ ผมยังทำได้ ทำไมคุณจะทำไม่ได้" จึงอาจไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ เราอาจต้องมองปัญหานี้ให้กว้างและลึกกันขึ้นอีกสักหน่อย ก่อนจะชี้นิ้วสอนใครด้วยความปรารถนาดีแบบเข้าใจผิด
...
[มีต่อ]
[ต่อจากเม้นบน]
ความเหลื่อมล้ำสารพัดมิติ
---
ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้จึงผลิตซ้ำความเหลื่อมล้ำมากขึ้นเเรื่อยๆ คนที่ได้เปรียบก็ได้เปรียบมากขึ้น คนที่เสียเปรียบก็เสียเปรียบมากขึ้น
คนรวยก็มีโอกาสให้แป๊ะเจี๊ยะแพงๆ ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนดีๆ ขณะที่คนจนก็แทบจะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าให้ลูกไปโรงเรียน ไม่ต้องนับว่าโรงเรียนแถวบ้านของพวกเขานั้น บางโรงเรียนอาจไม่มีครูในบางวิชาด้วยซ้ำไป ลองคิดดูว่า เด็กๆ เหล่านี้จะโตขึ้นมามีโอกาสได้เท่ากับคนที่ได้เรียนโรงเรียนดีๆ หรือไม่
การงาน การศึกษา การพัฒนา ความมั่นคงในชีวิต เหล่านี้คืออุปกรณ์ถ่างความเหลื่อมล้ำให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ต่อให้ขยันเท่ากัน แต่เมื่อมีต้นทุนทางสังคมไม่เท่ากัน มีโอกาสไม่เท่ากัน ก็ย่อมมีผลลัพธ์ในชีวิตที่แตกต่างกันอย่างมาก
บางคนจึงต้องหาทางออกในบางช่วงด้วยการเป็นหนี้ เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างของชีวิต หรือเพื่อลงทุนให้กับความฝันบางอย่างที่พวกเขามีสิทธิ์ฝัน มิใช่ความโลภหรือโง่
ตัวอย่างเรื่องบ้านมั่นคง ชาวบ้านซึ่งมีรายได้น้อยมากกู้ยืมเงินเพื่อสร้างบ้าน และต้องมีวินัยในการผ่อนบ้าน บางคนอาจจะเดือนละ 20 บาท บางคนเดือนละ 100 บาท แต่พวกเขามีระบบจัดการการเงินในชุมชน ค่อยๆ สร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในชุมชน
แบบบ้านของพวกเขาเรียบง่าย นอกจากนั้นยังใช้แรงงานในชุมชนก่อสร้างบ้านกันขึ้นมาเอง ใครเป็นช่างก็มาช่วยกันสร้าง รับค่าแรงกันไปตามสมควร
"หนี้" ที่ได้รับการจัดการที่ดีจึงเป็นวิธีหนึ่งในการก่อร่างสร้างตัว
...
ภาพลักษณ์ที่ประทับให้ "คนจน"
---
เราไม่ควรมองคนจนด้วย "แม่แบบ" หรือ stereotype แบบเหมารวม คนจนมีสติปัญญา มีความสามารถ และมีระบบจัดการที่ดีมีอยู่มากมาย พวกเขาหาความรู้ พัฒนาตัวเอง พัฒนาชุมชน กระทั่งต่อรองทำงานร่วมกับรัฐ มีความเคลื่อนไหวในแนวทางที่ดีและมีความหวังเกิดขึ้นมากมาย
จนไม่ได้โง่ ไม่ได้โลภ เสมอไป
คนจนก็มีสิทธิ์ฝันถึงชีวิตที่ดีได้เช่นกัน
การจะวิพากษ์สิ่งใด หากจะยุติธรรม เราอาจต้องถอดหมวกที่ตัวเองสวมอยู่เสียก่อน เพราะเรามักติดสินโลกตามไม้บรรทัดของชีวิตของเราเสมอ เราต้องเข้าใจคนที่เราจะวิพากษ์เสียก่อนจึงจะแฟร์ ต้องลองสวมรองเท้าของเขาดูก่อนไหม มากไปกว่านั้น เมื่อมองหนึ่งหน่วยในสังคม เราอาจต้องลองมองว่า หนึ่งหน่วยนั้นถูกทำให้เกิดขึ้นได้จากโครงสร้างสังคมแบบไหน เราไม่สามารถวิพากษ์ในลักษณะของปัจเจกบุคคลได้เสียทีเดียว
คนจน มิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเขาขี้เกียจ หรือเอาแต่กินเหล้า หากเกิดขึ้นจากสภาพโครงสร้างที่บิดเบี้ยวและเป็นปัญหา ซึ่งมีเราเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างอันเหลื่อมล้ำนั้น เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาจนด้วยเช่นกัน
ในฐานะเพื่อนร่วมสังคม หากตระหนักถึงความทุกข์และปัญหาของพวกเขา เราอาจต้องรอบคอบสักนิดก่อนคิดแนะนำใคร มิฉะนั้นคำแนะนำอันหวังดีอาจกลับกลายเป็นหอกดาบที่ทิ่มแทงให้ผู้เสียเปรียบต้องเจ็บช้ำและถูกตีตราด้วยภาพเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพียงต้องการหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาของเพื่อนร่วมสังคมของเรา และอยากชวนกันคิดว่า หากเราไม่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างผิวเผินเพียงแค่อย่าโลภ อย่าโง่ อย่าขี้เกียจ เราจะสามารถช่วยกันแก้ปัญหาในเชิงระบบอย่างยั่งยืนให้เพื่อนร่วมสังคมได้อย่างไร
ด้วยความปรารถนาดีครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เอาเป็นว่ากูสมมุติให้มึงเป็นกราดิเอเตอร์ กูให้สิทธิ์ึมึงถืออาวุธหนึ่งอย่างเกราะบางส่วน แล้วกูส่งมึงไปสู้กับนักสู้ฝีมือดีชนะมาแล้วร้อยแมทซ์ ใส่อาวุธเกราะเท่าๆมึง คนดูทั้งสนามไม่มีคนบอกว่ามึงโดนเอาเปรียบหรอก
สิทธ์ ของคน-รวยจน เท่ากัน ตรงที่มึงมีอาวุธ,เกราะเท่ากัน สู้ในกติกาเดียวกัน
ส่วนประสบการณ์ ,ครูฝึก, ต้นทุน ไม่เท่ากัน= เขาเรียกวาสนา
สังคมทุนนิยมไม่มีแต้มต่อให้คนจน ถ้ามึงอยากจะเลื่อนระดับฐานะตัวเองมึงต้องพยายามมากกว่า,ใช้วิธีที่ฉลาดกว่าคนที่เขามีต้นทุน,วาสนามากกว่ามึง
>>678 เมิงเปรียบเทียบอารายย ไอ้ตัวอย่างที่เหมือนเอาเด็กประถมไปแข่งเลขกับเด็ก ม.ปลาย เนี่ยนะไม่เอาเปรียบ
ถ้าเมิงจะบอกว่าคนจน คนรวยเท่ากัน เมิงต้องให้เขาใส่ชุดเกราะแบบเดียวกัน ได้เรียนต่อสู้แบบเดียวกัน สู้ในสภาพเดียวกันว่ะ ถึงจะเรียกว่าสิทธิเท่ากันของแท้
ประสบการณ์=เรื่องเฉพาะบุคคล ครูฝึก,ต้นทุน ไม่เท่ากัน= ความเหลื่อมล้ำ
เมิงถูกที่บอกว่าทุนนิยมไม่มีแต้มต่อให้คนจน ถ้าอยากจะเลื่อนระดับฐานะตัวเองมึงต้องพยายามมากกว่า,ใช้วิธีที่ฉลาดกว่าคนที่เขามีต้นทุน คำพูดง่ายๆแต่ทำยาก กุเห็นชนชั้นกลางคิดแบบนี้หลายพันหลายหมื่นแต่ก็มีแค่น้อยนิดจริงๆที่จะตะกายไปถึงชั้นที่สูงกว่า
แค่ท่านผู้มีวาสนาทั้งหลายไม่ดูถูกและเข้าใจจริงๆว่าทำไมคนจนถึงแบบนี้ก่อนจะมาวิจารณ์ก็พอแล้ว
>>678 สิทธิ์เท่ากันยังงัยวะ แค่ รร ในเมืองกับ ตจว ก็ต่างกันล่ะ
ทุนนิยมมันเหี้ยเพราะ กฏหมายมันไม่เข้มแข็ง รัฐไม่มีปัญญาจัดการกระจายรายได้ต่างหาก
เอาจริงครอบครัวญาติกู หลายคนจน จนกูอยากให้มีนโยบายเรียน ปริญญาตรีฟรีกับ ครอบครัวทีมีประวัติว่ายากจน (อาจจะดูจากเกษตรกร ธกส)
เพราะปริญญาตรีจะทำให้พวกเขา ค่อยๆหลุดจากวิถีชีวิตเกษตรกร มาเป็นแรงงานชนชั้นกลาง จากรุ่นสู่รุ่น ค่อยๆ พัฒนา
เด็กจนในที่นี้หมายถึงเด็กที่มีความประพฤติดี
ถ้าจนแล้วยังเหี้ย ติดเหล้า เล่นการพนัน ปล่อยตายไป ตามกระบวนการคัดสรรตามธรรมชาติ
เด็กหัวโปกร้านเกมที่แหกปากเอะอะโวยวายทำเหมือนเก่ง แต่พูดไทยรัว ๆ ในเซิฟอินเตอร์ แถมไม่รู้ความหมายของ Scheiße, cyka blyat, bobo, putang ina mo นี่มะเร็งวงการเกมเมอร์สัส ๆ เลยนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คุณเคยได้ยินคำว่า "ฟองสบู่" ไหม?
มันหมายถึงปรากฎการณ์ที่สบู่เกิดเป็นฟองแล้วขยายใหญ่เรื่อยๆจนแตกในที่สุด มันเป็นคำอธิบายปรากฎการณ์ทางการเงินที่ราคาสินทรัพย์พุ่งไปเรื่อยๆจนระเบิดในที่สุด
คุณอ่านถึงตรงนี้คุณอาจจะรู้สึกว่านักลงทุนทำไมโง่จังวะ... ซื้อสินทรัพย์ที่ราคาแพงชิบหายลงไปได้ยังไง
แท้จริงแล้ว ฟองสบู่ไม่ได้เกิดจาดความโง่ แต่เกิดจากความมีเหตุผล ฟองสบู่ที่รุนแรงจะเกิดจาก sound promise (คำสันนิษฐานที่สมเหตุสมผล) เสมอ ไม่ได้เกิดจาก false promise (คำสันนิษฐานที่ผิดแน่นอน)
1.รถยนต์จะเปลี่ยนโลก ประชากรในโลกจะเพิ่มขึ้น คนทุกคนจะต้องมีรถยนต์
2.ไอทีจะเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
3.บ้านคือความต้องการจริง คนไม่มีทางทิ้งบ้าน ตราสารที่ผูกบ้านนับพันหลังเข้าไว้ด้วยกันไม่เสี่ยง
4.ดอลลาร์พิมพ์ขึ้นมาไม่จำกัด โลกเต็มไปด้วยเงินกระดาษ ทองเป็นสินทรัพย์ที่มีจำกัด ราคาจะมีแต่ขึ้น
5.เศรษฐกิจจีนเติบโตมหาศาล หลังจากเปิดตลาดเงินทุนจะไหลเข้าอีกมาก
ทั้ง 5 ข้อเป็นข้อสมมุติฐานที่สมเหตุสมผลทั้งนั้น แต่นักลงทุนที่ซื้อสินทรัพย์บน premise เหล่านี้ล้มละลาย... 1921 ฟองสบู่รถยนต์, 2001 ฟองสบู่ดอทคอม, 2008 ฟองสบูอสังหา, 2013 ฟองสูบทองคำ, 2016 ฟองสบู่ตลาดหุ้นจีน
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ยิ่งคนเชื่อเท่าไรว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ฟองสบู่ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้นและสุดท้ายจะมีคนเสียหายหนักเสมอ ดังนั้นจะซื้อสินทรัพย์ต้องระมัดระวังให้ได้ ให้ระแวงสิ่งที่เชื่อโดนทั่วกัน มองหาโอกาสในสิ่งที่คนไม่รู้ อะไรที่เค้าบอกว่า "น่าจะ" "ประมาณ" "มีโอกาส" ผมถือว่าไม่จริงไว้ก่อนทั้งนั้น
บางคนแม่งพูดยังกะวันปีใหม่เป็นวันมหัศจรรย์ที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยน ถ้าชีวิตมึงมันเหี้ยในวันที่31 วันที่1มันก็ยังเหี้ยเหมือนเดิมแหละ อิควาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หลายคน nonsense of humor มีแต่ sense of anger จนทำให้ทุกวันนี้จึงมีเพจประเภทล่าแม่มด เสียบประจนกัน hate speech ข่มขู่คุกคาม เหมือนได้เป็นที่ระบายความเกรี้ยวกราดหยาบช้าในใจสันดานด้านมืดออกมา และใช้ข้ออ้างในการทำชั่วล่าคนชั่วกว่า แต่สังคมก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เพิ่มเติมคือสร้างค่านิยมการล่า การหมายหัวในโลกโซเชี่ยว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รถตู้กับกระบะชนกันวินาศสันตะโร ตายเกลื่อนกล่น เสียหายป่นปี้ เป็นข่าวใน นสพ.ภาษาอังกฤษ ที่มาเลเซียด้วย
ไม่ขอโทษตัวบุคคลนะครับ มันเป็นที่ระบบของประเทศไทยมังครับ
อาตมาไปพำนักอยู่สวีเดนมาเกือนสองปี
เห็นระบบวินัยจราจรของเขาแล้วทึ่ง อัศจรรย์ใจ จะเล่าเฉพาะที่ไปเห็นมากับตาแล้วกันครับ เพราะอาตมาเดินทางไปกับเขาหลายเที่ยว ตั้งแต่เริ่มเดินทางจนกลับเอารถมาจอดที่เดิม
กรณี : คนขับรถบรรทุกรถพ่วง
♡ ก่อนสตาร์ตรถ เขาเดินไปเช็คความแน่นของน็อตที่ล้อทุกตัว
♡ ที่คอพวงมาลัยรถจะมีที่เป่าแอลกอฮอลห้อยอยู่ ถ้าเป่าแล้วค่าเกินมาตฐาน จะสตาร์ทรถไม่ติด
♡ ต้องเสียบใบขับขี่อิเล็กทอร์นิคเข้าเครื่องบันทึกที่ติดตั้งอยู่ในรถ
♡ ใส่แผ่นบันทึกข้อมูลการขับขี่ลงในเครื่องที่ติดมากับรถ
♡ ขับรถมาได้ 4 ชม. ต้องจอดพัก อย่างน้อย 45 นาที ไม่จอดโดนเตือนแน่นอน เพราะแผ่นบันทึกข้อมูลการขับไว้หมด
♡ มีกล้องตรวจจับความเร็วข้างถนนเป็นระยะ
♡ บริษัทต้องส่งแผ่นบันทึกการขับขี่ของผู้ขับให้กับทางการตามกำหนด เกินเวลาจ่ายค่าปรับสูงมาก
♡ หากผู้ขับได้รับใบแจ้งค่าปรับฐานขับรถเร็วเกินกำหนดที่ส่งมาทางไปรษณีย์มากเกินไป ใบขับขี่ปลิว ถูกยึด ถูกบังคับให้ไป เรียนใหม่ สอบใหม่
♡ ปีนึงมีอบรมวิชาชีพอย่างน้อย 2 ครั้ง ต้องไป
♡ ทุกๆ อาชีพ ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ถึงจะทำงานได้ แม้แต่ คนงานช่างไม้ กรรมกรบนถนน พนักงานทำความสะอาด ก็ตาม
คร่าวๆ ประมาณนี้น่ะครับ.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากรู้จริงๆ เลย เรามีมาตรการอะไรกับเรื่องรถตู้ มากกว่าปล่อยให้มันผ่านไปบ้างไหม .....
กรมการขนส่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ตอนนั้นเห็นฮึ่มๆ กับ Uber เรื่อง "ความปลอดภัย" กับ "มาตรฐานแท็กซี่" ฯลฯ อะไรแบบนี้ มีความคิดยังไงบ้างกับเรื่องนี้ ....
หลายคนที่โชคดีมีรถขับ อย่าคิดว่าตัวเองปลอดภัย เพราะยังต้องขับรถบนถนนเดียวกันอยู่ดี ...
"ถ้ามีโอกาส 1% ที่จะเกิดขึ้น ขอให้คิดไว้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา กับคนที่เรารักที่สุด"
รถไฟ ที่เป็นทางที่น่าจะปลอดภัยที่สุด ประสิทธิภาพดีที่สุด ก็อย่างที่เห็น .... การเมือง ผลประโยชน์ เป็นที่ตั้งกันทั้งนั้น ตั้งแต่นักการเมือง การรถไฟแห่งประเทศไทย คนรถไฟ จนถึงคนที่เอาความรักความเกลียดชังต่อนักการเมืองบางคนบางกลุ่มอยู่เหนือประโยชน์สาธารณะ เอาประโยชน์ส่วนตัวอยู่เหนือประโยชน์สาธารณะ (เคยมีคนเถียงกับผมแทบตาย เขาว่าเขาไม่มีโอกาสได้ขึ้น พ่อแม่เขาก็คงไม่ได้ขึ้น แล้วจะเอาภาษีเขาไปทำได้ไง จบด้วย "ใจเขาใจเราครับพี่/อาจารย์" -- เออ กูก็ไม่ได้ขึ้น แต่มึงแค่เห็นแก่ตัว) .....
ตัวเลขบนถนนมันสูง ก็รู้กันอยู่ .... แต่ทำไมแก้ปัญหาให้มันยั่งยืนไม่ได้ มากกว่าจัดโครงการรณรงค์เบิกงบค่ากาแฟกันไปเรื่อยๆ
ต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่นะ .....
เมื่อวานบอกตามตรง ผมก็ใจไม่ดีหรอก เจอพ่อแม่ตอนบ่ายๆ ที่คอนโดน้องสาวในกรุงเทพ แล้วแยกย้ายกันกลับ ตอนทุ่มกว่าๆ น้องคนเล็กโทรมาบอกว่าติดต่อพ่อแม่ไม่ได้ โทรไปไม่มีใครรับ (โทรติดนะ มีสัญญาน) ... ดีที่ find my friends มันติดตามได้ว่าอยู่ที่ไหน เห็นว่ายังเคลื่อนที่ใกล้บ้านขึ้นเรื่อยๆ ก็โอเค แม่คงหลับ พ่อคงตั้งใจขับรถ .... พอแม่ตอบไลน์กลับมา พ่อโพสท์เฟสบุ๊คว่าถึงบ้าน นี่รู้สึกโล่งใจมาก ....
ผมไม่อยากขับรถเลยจริงๆ ยิ่งวันเทศกาลยิ่งไม่อยาก ... เวลาญาติพี่น้องหรือภรรยาบอกให้ไปเจอกันในวันเทศกาล ผมกลัวทุกที .... เพราะพื้นฐานความคิดผม คือ "ถ้ามันมีโอกาส 1% ที่จะเกิดขึ้น มันจะเกิดกับเรา กับคนที่เรารักที่สุด" .....
สิ่งที่ทำให้ผมอุ่นใจและสบายใจที่สุดหลังวันหยุดยาว คือการที่เห็นน้องๆ ทุกคนในทีมงาน กลับมานั่งทำงานกันได้ ไม่มีใครมีข่าวร้าย ไม่มีญาติคนไหนแจ้งข่าวร้าย ...
ไม่ใช่แค่รถตู้หรอกนะ ........... ผมกำลังพูดถึงถนน รถยนต์ กำลังพูดถึงรถบัส กำลังพูดถึงแพรวา กำลังพูดถึงรถที่ลอยมาชนน้องหมอก้อง (น้องใน Startup ที่ทำ VetSide และ iTaam) กำลังพูดถึง ฯลฯ ที่เราเจอได้บนถนน .... เพียงแต่ครั้งนี้ เรื่องมันเกิดขึ้นกับรถตู้ เท่านั้นเอง ... และอันที่จริงผมก็เพิ่งทราบว่า รถตู้รอบนี้ก็มีคนใกล้ตัวของเพื่อนสนิทผม (สนิทขนาดที่เล่นดนตรีให้งานพูดทอล์คโชว์ และงานแต่งงานผม) เสียชีวิตด้วย
ผมไม่ต้องการหาคนผิดมารับผิดกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว มาจ่ายเงิน มาติดคุก มาตายตามกัน ... เพราะมันจะไม่จบแค่นั้น มันจะเกิดขึ้นอีก .... มันอาจจะดูสะใจหรือสาสม แต่มันก็แค่ผ่านๆ ไป ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย ไม่ได้รับผิดชอบจริงจังเลย
ความรับผิดชอบที่ดีที่สุด คือไม่ให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่ด้วยความระมัดระวังหรือความร่วมมือแต่เพียงเท่านั้น แต่ต้องยอมรับกันว่าถนนบ้านเรามันแน่นเกินไป และการขนส่งมวลชนมันแย่เกินไปมาก .... และต้องทำด้วยการสร้างทางเลือกที่ปลอดภัยจริง ลดความเสี่ยงในสถานการณ์ไม่ปลอดภัยให้มากที่สุด ... (พูดง่ายๆ ทุกคนรู้ ว่าถนนอันตราย แต่มันมีทางเลือกอื่น ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ไหม นอกจากถนน)
และครั้งหน้า มันอาจจะเป็นเรา
"หาคนผิดไปก็เท่านั้น ตราบใดที่เรายังไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง"
"เมื่อไหร่จะรับผิดชอบ?"
"ใครที่เป็นสลิ่ม เคยออกไปเป่านกหวีด หรือสนับสนุน กปปส. แล้วมีญาติได้ตายห่าข้างถนนช่วงเทศกาล กูขอสมน้ำหน้านะครับ
เข้าใจยังครับว่าถ้ามีรถไฟความเร็วสูงหรืออย่างน้อยก่ได้ระบบรางคู่ เราจะไม่รถติดเหี้ยๆแบบนี้ในเทศกาล มึงลองนึกภาพกรุงเทพฯ ที่ไม่มีรถไฟฟ้านั่นแหละครับ
รถไฟความเร็วสูงมันคือระบบขนส่งที่สำหรับรองรับคนจำนวนมากที่เดินทางไปต่างจังหวัดได้ปลอดภัย
พอไม่มีอะไรรองรับ พวกมึงก่ต้องมาเบียดมาแย่งกันใช้ถนน ใช้บริการขนส่งของเอกชนที่แข่งกันทำรอบในประเทศที่ไม่ได้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพพนักงานห่าอะไรเลยแบบนี้ มันก่ต้องเร่งกัน เพิ่มรอบ ทำรอบ ในช่วงคนที่ใช้บริการเยอะ มันจะเอาพนักงานที่ไหนมาทำแทนได้เหมือนการเสริฟอาหาร มันไม่ใช่อะ
อยากจะเอาเลือดพวกมึงมาราดรางถวายเจ้าแม่กาลีในพิธีเปิด"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในโลกนี้..ไม่มีความล้มเหลวที่ถาวรหรอกครับ
เพราะถ้าลุกขึ้นมาทำใหม่ เดี๋ยวมันก็จะสำเร็จได้
มีแต่ความล้มเลิกต่างหากที่จะถาวร..
ผมเชื่อว่ามันมีวันของเรา สำหรับทุกคนที่ไม่ทิ้งความพยายาม !!
คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม
#มือใหม่เข้าใจหุ้น
---------------------------------------------
คอร์ส "มือใหม่เข้าใจหุ้น by ภาววิทย์"
วันเสาร์ - อาทิตย์ที่ 14-15 ม.ค. นี้ !!
วิทยากร ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
ดูรายละเอียด..ได้ที่ https://goo.gl/nf9m5B
#สัมมนาstock2morrow
"the greatest argument against democracy is a five-minute conversation with the average voter". -Churchill
"คืนปีใหม่เพื่อนสาววัยสามสิบกลางๆ ที่แอบชอบผู้ชายคนนึงที่เชียงใหม่ถามผมว่า เธอจะบอกผู้ชายคนนั้นไปดีมั้ยว่าชอบ ผมตอบเธอไปว่า บอกสิ ทำไมจะไม่ล่ะ
.....
มีช่วงสั้นๆ ที่ผมเคยทำงานออฟฟิศ แล้วในออฟฟิศนั้นก็มีพี่ผู้ชายคนนึงที่แอบชอบผู้หญิงคนนึงที่อยู่คนละแผนก
พี่ผู้ชายหน้าตาดี รสนิยมการแต่งตัวดี ดูเปนคนซื่อๆ เและสุภาพ ขนาดให้ควยคนอื่นยังพูดว่า "ควยนะครับ" เลย
ส่วนพี่ผู้หญิงก็สวยเรียบๆ
มีหลายสิ่งที่ผู้ชายคนนี้แอบทำให้เธอแบบว่าน่ารักโคตรๆ เช่น เอาดอกไม้ไปวางที่โต๊ะ หรือแอบไปส่งเธอตอนเธอกลับบ้าน แต่มันตลกตรงที่ไปส่งแบบที่ผู้หญิงเขาไม่รู้ว่าไปส่งอ่ะ คือ ผู้หญิงกลับ BTS เขาก็ไปยืนข้างๆ เธอ ทำทีว่ากลับทางเดียวกัน แต่จริงๆ เขามาส่งเธอ เมื่อเธอลงแล้ว เขาก็นั่งย้อนกลับบ้านตัวเอง ผมยังจำโมเมนต์ที่เขาเล่าว่า เขาชอบตอนแสงแดดสุดท้ายมันโลมไล้เส้นผมเธอได้เลย เขาบอกว่าตอนนั้นเธอสวยมาก
ผมมาคิดๆ ดู ถ้าเขาไม่หล่อไม่รวยแต่งตัวไม่ดี เขาอาจถูกมองว่าเปน "เด่นชัย" ในแฟนเดย์ พอลุคมันดูดีมันเลยไม่ดูโรคจิตหรือคุกคาม
เขาทำให้เธอแบบนี้เกือบปี แต่ไม่ยอมบอกความในใจซ่ะที แล้วอยู่ๆวันนึงผู้หญิงก็มีคนมาจีบ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้เสียหายอะไร ดูเปนคนดีคนนึงเธอก็เลยตกลงคบกัน พอคบกันไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าความสัมพันธ์มันก็ดีขึนเรื่อยๆ ที่สุดเขาและเธอเลยตกลงแต่งงานกัน
จบเกมส์!
มันจบไปแล้วสำหรับคนที่แอบชอบ...
แต่เรื่องมันมาพีคตอนงานเลี้ยงบริษัท บังเอิญว่าพี่ผู้ชายได้นั่งโต๊ะกับผู้หญิงคนนี้ แล้วผมก็อยู่ในโต๊ะนั้นด้วย อาจจะเปนเพราะเมามากหรือมันไม่มีอะไรต้องปกปิดอีกแล้วเพราะเกมส์มันโอเวอร์ไปแล้ว พี่ผู้ชายเลยสารภาพความในใจออกไป
เขาบอกว่าเขาเคยชอบเธอ ชอบมาก ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ เขาเล่าถึงสิ่งที่แอบทำให้เธอ คือมันมีหลายอย่างที่ผมไม่รู้แล้วมันน่ารักมาก ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะโรแมนติกได้ขนาดนี้
เล่าๆ อยู่ นาทีนั้นผู้หญิงก็ร้องไห้ออกมา เธอร้องไห้อย่างหนักก่อนจะบอกว่าเธอก็แอบชอบเขาเหมือนกัน
แต่ไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะพูดมันออกมา...
เปล่าประโยชน์ ทุกอย่างมันจบไปแล้ว
ทุกคนในโต๊ะนั้นได้แต่นิ่งอึ้งและเศร้า
......
ผมบอกเพื่อนผู้แอบชอบผู้ชายที่เชียงใหม่ไปว่า
บอกเลย
ถ้าบอก คำตอบจะมีสองทางคือ "ได้" กับ "ไม่ได้"
แต่ถ้าไม่บอก คำตอบจะมีทางเดียว คือ ไม่ได้
ความกลัวไม่ช่วยอะไรนอกจากผลักไสสิ่งดีๆ ไปจากชีวิตมึง อย่าลืมว่าบางอย่างมีเวลาของมัน คนบางคนจะผ่านเข้ามาในชีวิตเราแค่ครั้งเดียว แล้วจะไม่มีทางเลี้ยวกลับเข้ามาอีกเลย
กุเชื่อว่า ความรู้สึกของมึงที่มีต่อเขา จะยังไงมันก็งดงาม ขึ้นเชื่อความรัก สำหรับกูมันโคตรงดงาม
ถ้าคิดถึงก็บอกคิดถึง
"คิด" เปนสิทธิของมึง
ส่วน "ถึง" เปนสิทธิของเขา
หน้าที่มึงคือคิด ส่วนจะถึงไม่ถึงมันเรื่องของเขา มึงแค่ทำหน้าที่ของมึง ส่วนนอกนั้นเราไม่สามารถคอนโทรลได้ บอกแล้วก็ยอมรับผลของมัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สิ่งที่คนลืมกันคือผู้ใช้รถไฟความเร็วสูงมันไม่ได้มีแต่คนนะเว้ย เช่นการขนส่งของสดส่งทางเครื่องบิน มันเสียความสดไปพอสมควร เพราะติดกระบวนการของสนามบินเอยอะไรเอย
innovationman cartoon animation เปิดศึก ชุดใหญ่ ของ ไตร ธาตุทรานซิชัน วานาเดียม มนุษย์ภิวัตกรรมสายมาร ซอฟท์แวร์ดิจิตอล ระบบขับเคลื่อนในร่างกาย ด้วย DC มอเตอร์ ทั้ง สเตปปิ้งมอเตอร์ (Stepping Motor)และ เซอร์โวมอเตอร์ (Servo motor) "อย่างแกนะเล่อ"จะมาสู้กับฉัน มนุษย์ภิวัตกรรมเหล็กเป็น ผสมวานาเดียม เหล็กแหนบหรือเหล็กสปริงที่มีค่า K นั่นลือ --- ไอ้อาวุธ พลองทอร์ชั่นบาร์ ของแก น่าจะเอาไปใช้ในรถยนต์รุ่นเก่าๆ ดีกว่าละมั้ง แกคิดว่าตัวเองเป็น ซุน หงอคง ในเรื่อง ไซอิ๋ว หรือไง จะเอา พรองทอร์ชั่นบาร์ มาสู้อะไรกับฉันได้ 555" อินโนเวชั่นแมน อย่าดูถูก ข้าไปหน่อยเลย แกก็มีแค่ สเกตบอร์ดติดเครื่องยนต์ แก ฤ จะกระโดดหนี อาวุธทุกครั้งทุกคาได้ เพราะสเกตบอร์ดติดเครื่องยนต์ต้องมี โช๊คอัพและ คอยส์สปริง เหมือนกับ ขา ของฉัน อย่าลืมชิว่า เป้าหมายใช้ในกระโดด เพื่อการหลบหลีก อาวุธของฝั่งตรงข้ามได้ แล้วแกกับข้าใครคือสุดยอด มาต่อสู้กัน อ้อสิ ร่างกายของแกก็ยังไม่ สมบูรณ์เลย มนุษย์ภิวัตกรรม อะไร มีร่างกายทั้ง 2 ซอฟท์แวร์ ทั้งซอฟท์แวร์อนาล็อกที่มนุษย์บนดาวโลกใช้ในการสื่อสาร และซอฟท์แวร์ดิจิตอล 0 1 อินโนเวชั่นแมน มนุษย์ภิวัตกรรม ที่สื่อสารผ่านซอฟท์แวร์ดิจิตอล พวกเขา เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคมารกันหมดแล้ว และสุดที่รักของแก อินโนเวทีฟเลดี้ ที่สื่อสารกับแกได้ ก็เพราะซอฟท์แวร์ดิจตอล เพียงแต่ทำเป็นดี อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายท่านซัน เท่านั้นเอง เข้ามาเป็นสมาชิกกับพวกข้าสิ อินโนเวชั่นแมน มนุษย์ภิวัตกรรม มันมีแค่ซอฟท์แวร์ตัวใดตัวหนึ่งในร่างกาย แล้วแกจะควบคุมทั้ง 2 ซอฟท์แวร์ในร่างกายของแก ให้สมดุล กันได้อย่างไร 555
แกก็มีซอฟท์แวร์ดิจิตอล เหมือนกัน กับตัวข้า อยู่ครึ่งหนึ่งของร่างกายแก แก่จะมัวทำสิ่งที่แกเรียกว่า พิทักษ์ โลก อยู่ทำไม INNOVATIONMAN Cartoon Animation อินโนเวชั่นแมน การ์ตูนแอนิเมชั่น & มวยไทยแมน MUAYTHAIMAN ™ War SoftwareDigital ™ ซอฟท์แวร์ดิจิตอล ™ VS ซอฟท์แวร์อนาล็อก ™ SoftwareAnalog ™
#มิตรสหายอินโนเวชั่นแมนท่านหนึ่ง
"เพิ่งจะรู้ว่าที่พูดๆกันว่า "อวัยวะครบ 32" จริงๆแล้วไม่ใช่หลักการแพทย์ แต่เป็นหลักพุทธศาสนา WTF! นี่กรูไปโง่มุดหัวอยู่ไหนมา ทำไมโดนหลอกอีกแล้ว โอ๊ย โมโห
เรื่องมีอยู่ว่า ทางการแพทย์เพิ่งจัดให้ mesentery เป็นอวัยวะชิ้นใหม่ของร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่ยึดลำไส้กับผนังช่องท้อง เราก็เลยคุยกับน้องว่ามานับกันดีกว่าว่าอวัยวะ 32 อย่างที่มีอยู่เดิมอะมีอะไรบ้าง ---- นับไปไล่มามันเกิน 32 ว่ะ เอาแค่ตรง "คอ" เราจะนับว่าคอคือ 1 อวัยวะ หรือจะนับของในนั้นด้วย ซึ่งมีมากกว่า 1 แน่นอน ทั้งหลอดอาหาร หลอดลม เส้นเสียง กล่องเสียง คอหอย ลูกกระเดือก ทอนซิล ฯลฯ จริงๆคิดอยู่แล้วว่าของในร่างกายต้องเกิน 32 แน่ๆ แต่ก็คิดว่าการแพทย์คงมีการจัดกลุ่มแล้วนับได้ 32 มั้ง
งั้นเสิร์ชเน็ตเลยละกัน "อวัยวะ 32/ 32 human organs/ body parts"
...อ่าว แปลกๆ ทำไมมันรวมเอาเหงื่อ ฉี่ น้ำเมือก อะไรด้วยวะ สักพักเห็นคำว่า "การทำสมาธิ" หืมมม สรุปคือไอ่ 32 ที่ว่าเนี่ย คือการที่ร่างกายเกิดมาแล้วสามารถทำ function ได้ 32 อย่าง ซึ่งร่างกายของคนทั่วไปที่ไม่พิการสามารถทำได้ เช่น มองเห็น ได้กลิ่น คิด ไปจนถึง เหงื่อออก ฉี่ ตด อึ -----
32 ไม่ใช่จำนวนของอวัยวะ แต่เป็นอาการของร่างกาย ที่ศาสนาพุทธบอกให้คนพิจารณาเวลาทำสมาธิ แล้วจะได้ปลง ---- แสสสสสส ไม่ควรเอามาทำให้คนสับสนป่าววะ พูดไม่แยกแยะ อะไรศาสนาอะไรวิทยาศาสตร์
แท้จริงแล้วอวัยวะมนุษย์มี "ประมาณ" 78 อย่าง (จากเว็บ humanorgans.org) แบ่งเป็น 12 ระบบ โดยมีอวัยวะสำคัญอย่างมาก 5 อย่างคือ หัวใจ สมอง ตับ ปอด ไต (แต่ถ้ารวม mesentery เข้าไปด้วยก็คง 79 แล้วมั้ง) โอย โหลด Gray's Anatomy มาอ่านด่วน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พูดถึงประสบการณ์รถตู้บ้าง ตอนทำงานกสิกรไทยต้องวิ่งทางด่วนข้ามสะพานพระรามเก้าไปออกดาวคะนอง จะเจอบ่อยมากโดยเฉพาะรถตู้สายใต้ แม่งขับยังกะจรวด ปาดไปปาดมา รถหน้าก็สั้นถังแก๊สก็ดันอยู่ข้างหน้าชนไปทีตายห่ากันหมด
ทีนี้มันมีคันนึงขับส่าย ปาดไปมา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะวิ่งไปกุยบุรี ประจวบฯ รู้สึกไม่ไหวและ ขับจี้มันไปเพราะเห็นสติกเกอร์ว่าถ้าขับรถไม่สุภาพกรุณาแจ้งเบอร์นี้ เราก็พยายามจี้ไปดูเบอร์
พอเห็นเบอร์เราก็โทรไป "สวัสดีครับ ขอแจ้งเหตุนิดนึงรถตู้ทะเบียน xxxนี้ขับรถสุภาพครับอันตราย กรุณาช่วยตักเตือนด้วยนะครับ" ปลายสายพูดมา "เออ กูขับเองมีอะไรรึป่าว คนกำลังรีบแค่นี้นะ ไม่ต้องโทรมาอีก"
ครับ #แบบนี้ก็ได้หรอ"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Difference between a slut and a bitch. A slut will sleep with anyone A bitch will sleep with anyone but me"
"ถ้าคิดว่ารถไฟความเร็วสูงเขาเล็งอัตราค่าโดยสารสำหรับชั้นต่ำสุดไว้ที่กิโลเมตรละสองบาท
กรณีไปจันทบุรีนี่ระยะทางประมาณ 240 กม. ค่าโดยสารก็จะประมาณ 500 บาท
(เข้าใจว่าจริงๆ แล้วอัตราค่าโดยสารต่อกิโลเมตรของแต่ละชั้นก็ไม่เท่ากัน และมีการบวกค่าโดยสารอัตราคงที่ของแต่ละชั้นด้วย ชั้นต่ำสุดนี่คือบวกไปอีก 100 บาทจากไอ้ส่วนที่เป็น 2 บาทคูณระยะทาง ชั้นสูงกว่านี้ก็บวกมากกว่านี้)
ส่วนถ้ารถทัวร์หรือรถตู้ไปจันทบุรี ค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาท
คำถามที่น่าสนใจและจะเกี่ยวข้องกับข้อสันนิษฐานที่ว่า ถ้ามีรถไฟความเร็วสูงแล้วอุบัติเหตุจะลดลงเนื่องจากการใช้บริการรถตู้ไปต่างจังหวัดลดลงจริงหรือไม่ก็คือ คนต่างจังหวัดที่มาทำงาน กทม. มีรายได้เท่าไหร่ และมีกี่คนที่สามารถขยับจากรถตู้หรือรถทัวร์ไปสู่รถไฟความเร็วสูงซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่า"
"ถ้าตอนนี้มีรถไฟความเร็วสูง มันก็คงยังมีคนไฟคลอกตายในรถตู้ใช่ไหม เพียงแต่อาจจะไม่มีนักศึกษาแพทย์หรือดอกเตอร์โดนไฟคลอกตายในรถตู้"
"ถ้าไล่กันจริงๆ นี่ ไอ้เรื่องรถตู้ชนไฟคลอกตาย มันคงไปเริ่มที่การกระจายความเจริญออกจากศูนย์กลางไม่เพียงพอนั่นแหละ"
"นี่นั่งรถเมล์ขับเหี้ยอยู่เป็นประจำ และส่วนใหญ่ก็คือรถร่วมฯ ซึ่งก็จะนั่งนึกด่าแม่คนขับไปพร้อมๆ กับรันทดใจ ว่าปัญหามันคือการที่ส่วนใหญ่แล้วรถร่วมฯ มันไม่มีเงินเดือน รายได้มันก็มาจากค่าตั๋วนี่แหละ ผลมันเลยออกมาว่า ก็ต้องขับกันแบบที่เห็น เหยียบขยี้บี้คันเร่งกันไป
เพราะงั้น ถ้าจะแก้ปัญหารถเมล์ขับเหี้ย มันก็ต้องทำให้ความจำเป็นต้องวิ่งให้ได้มากๆ เที่ยวมันลดลงนั่นแหละ ด้านหนึ่งก็เรื่องรายได้ของคนขับ อีกด้านก็การจัดการกับระบบขนส่งมวลชนให้ทั่วถึงและมีทางเลือกมากขึ้น
ทีนี้ ปัจจุบัน แม่งยังไม่จัดการเรื่องรายได้คนขับ แต่มันมีทางเลือกอื่นในการเดินทางอยู่ ซึ่งมีอะไรบ้างล่ะ แท็กซี่ รถไฟฟ้า รถตู้
แท็กซี่กับรถไฟฟ้านี่แม่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ว่าลำพังแค่มีทางเลือกเพิ่มขึ้น ไม่ได้แปลว่ามันจะย้ายคนออกไปจากความเสี่ยงอย่างรถเมล์ขับเหี้ยได้ เพราะนอกจากความไม่ทั่วถึงแล้วมันก็มีกำแพงค่าโดยสารอยู่ ซึ่งต่อให้รถไฟฟ้ามันไปทุกซอกทุกมุม นี่ก็ยังนึกไม่ออกว่ากำแพงค่าโดยสารมันจะเตี้ยลง นี่ขนาดกูพอมีแดกอยู่บ้าง นั่งรถไฟฟ้าสุดสายไปกลับทีก็สะเทือนใจเหมือนกัน ส่วนรถตู้นี่เห็นๆ กันอยู่อะนะ จะวิ่งไปไหนก็เหอะ เร็วขึ้นแต่ก็เสี่ยงขึ้น แม่งกลายเป็นตัวเลือกที่แบบเสี่ยงก็ต้องยอม เพราะราคาถูกกว่าและทั่วถึงกว่าตัวเลือกอื่น
ผมไม่เถียงอยู่แล้วล่ะว่า ถ้ามีตัวเลือก ความเสี่ยงก็จะลดลง ก็บอกอยู่ว่ากูนั่งรถเมล์ขับเหี้ยตลอดและรู้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่คำถามคือ พอมีตัวเลือกแล้วความเสี่ยงมันลดลงได้ขนาดไหน มีคนซื้อหลักประกันนั่นได้ขนาดไหน มีกี่คนที่ย้ายตัวเองออกจากความเสี่ยงเดิมๆ ไปสู่ทางเลือกใหม่ๆ ได้อย่างสบาย มีกี่คนที่ย้ายไม่ได้และยังคงต้องติดอยู่ในความเสี่ยงนั้นเพราะรายได้ไม่เพียงพอ
คือ ผมกำลังพูดถึงการขีดเส้นต่ำสุด ที่จะทำให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีไง เส้นต่ำสุดที่ทำให้ทุกคนในสังคมมีชีวิตที่ปลอดภัย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่พอมีทางเลือกปุ๊บแล้วความเสี่ยงหายไปได้ทันที หรือต่อให้ทางเลือกนั่นช่วยลดความเสี่ยงได้ มันลดได้แค่ไหน มันมีกี่คนที่เข้าถึงการลดความเสี่ยงนั่น"
"แค่เดินออกจากบ้านไปเจอกระเบื้องน้ำปรี๊ดนี่ก็รู้ละว่าชีวิตเราแม่งราคาถูกขนาดไหน"
"ยาวไปก็ไม่อ่าน สั้นไปก็เข้าใจผิด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>703 คือ กู มึง มึง มึง อีกหลายคนที่มีปัญญาจ่ายเนี่ย มันก็จะไปลดจำนวนรถบนท้องถนนช่วงเทศกาล
พอรถน้อยลง ถนนโล่งก็ไม่ต้องขับแบบเร่งรีบ - ลดการทำรอบ (แต่ถ้าประมาทก็เหี้ยอยู่ดี)
ในด้านของความทั่วถึง กูว่าประเด็นนี้ของรถไฟความเร็วสูง ไม่ต่างจากเครื่องบิน
เรื่องราคาก็มึงก็ยกเหี้ยเกินไป รถทัวปัจจุบันน่าจะเกิน 200 แล้วมั้ง แล้วยิ่งระยะทางไกล ความคุ้มของรถไฟก็ยิ่งมากขึ้น
นี่ยังไม่รวมประเด็นเอามาขนของ ลดจำนวนรถขนของบนท้องถนนได้อีกนะ
โห..อันนี้น่ากลัวกว่าอัลฟ่าโกะอีก "AI ตัวใหม่ เอาชนะนักบินรบชั้นครูู ได้แล้ว" สกายเน็ตกำลังจะมาจริงๆ แล้ว !!
เจ้า AI (artificial intelligence) ตัวนี้ชื่อว่า อัลฟ่า (อีกและ) สามารถเอาชนะผู้พัน จีน ลี Gene Lee ซึ่งเป็นอดีตนักบินรบของกองทัพอากาศสหรัฐและเป็นครูฝึกบินรบที่มีประสบการณ์สูงมาก ได้ในการสู้กันบนซิมมูเลชั่น (ดูวิดีโอประกอบ https://youtu.be/6V3gX-vDUUM ) อย่างน่าทึ่งมาก
เจ้าอัลฟ่านี่ ใช้วิธีการเขียน fuzzy logic algorithms แบบที่เรียกว่า“Genetic Fuzzy Tree” (GFT) system และถูกออกแบบมาให้ใช้บังคับพวกยานบินไร้คนขับที่ต่อสู้ทางอากาศได้ ซึ่งจะต้องคิดคำนวณข้อมูลสารพัดอย่างในการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที ขณะบินรบบนฟากฟ้าด้วยความเร็วสูงมาก .. แต่ที่น่าทึ่งคือ มันไม่ได้รันบนซุเปอร์คอมพิวเตอร์อะไร มันใช้แค่คอมพ์พีซีธรรมดาๆ ตามบ้าน ตัวละไม่กี่หมื่นนี่แหล่ะ
ปรกติแล้ว AI ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการโปรแกรมแบบ numeric-based control แต่เจ้าอัลฟ่านี้ ใช้แบบ language based ซึ่งพบว่ามีประสิทธิมากกว่า ยืดหยุ่นกว่า ไม่ต้องคำนวณละเอียดซับซ้อนอะไรเท่ากับของเดิมๆ
ผลที่ได้ ทำให้ผู้พันลี ไม่สามารถยิงอัลฟ่าให้ตกได้เลย แถมยังเคยโดนยิงเองด้วยทุกๆ ครั้งถ้าการรบเริ่มยืดเยื้อ (แถมมันยังเคยชนะนักบินคนอื่นๆ ได้ ทั้งๆ ที่ยอมอ่อนข้อให้ ด้วยซ้ำ) ทำให้ผู้พันประหลาดใจมาก เพราะ AI ตัวอื่นๆ ที่ผ่านมานั้นแพ้นักบินรบได้ง่ายๆ ถ้าเราทำการรบตามรูปแบบปรกติ ไม่ลองเล่นอะไรแปลกๆ ... แต่เจ้าอัลฟ่านั้น มันดักทางเราได้หมด ไม่ว่าจะรูปแบบการบินหรือการยิงมิสไซล์ เหมือนมันรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องทำอย่างไงถึงจะชนะเราได้
ผู้พันลี บ่นทิ้งท้ายว่า เมื่อรบกับเจ้าอัลฟ่าเสร็จ เค้ากลับบ้านไปแบบหมดแรง และสมองล้าไปเลยทีเดียว
แล้วในอนาคต ใครมันจะรบทางอากาศสู้กับอเมริกาได้เนี่ย หึๆๆๆ
ดูรายละเอียดได้ที่ http://magazine.uc.edu/editors_picks/recent_features/alpha.html
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>705 https://www.reddit.com/r/CredibleDefense/comments/4q8h8z/paper_on_ai_in_air_combat_genetic_fuzzy_based/
สรุปเป็นแค่ PR ตอแหลของบริษัท หาคนลงทุนเท่านั้น
ขนาด VF ใน macross ยังต้องใช้นักบินเลยโด่
พิมพ์ตก
ไอ้พวกจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ต้องไปนั่งอะไรต่ออยู่ดี
รถไฟความเร็วสูง เดินทางข้ามภาค (เช่นกรุงเทพไปเชียงใหม่)
รถไฟรางคู่ เดินทางข้ามจังหวัด (เช่นเชียงใหม่ขึ้นไปเชียงราย)
รถไฟท้องถิ่น เดินทางข้ามอำเภอ (เช่นเชียงรายไปแม่จัน)
มันต้องแยกประเภทการใช้งานหน่อย ไม่ใช่ว่าต้องเอารถไฟความเร็วสูงทุกอำเภอ
แล้วก็จะตามมาด้วยความเห็นประเภทนั่งเครื่องบิน Low Cost ก็ได้ ถูกกว่า เวลาพอๆ กัน
มันไม่เหมือนกันโว้ยยย เครื่องบิน กว่าจะเช็คอิน กว่าจะตรวจโลหะ กว่าจะโหลดกระเป๋า กว่าจะขึ้นบิน
กับรถไฟแค่ซื้อตั๋วกับลากกระเป๋าไปขึ้น มันต้องดูพวกนี้ด้วย ไม่ใช่ดูแค่เวลาเดินทางอย่างเดียว
คนขับรถเมล์ได้เงินจากตั๋ว ไม่มีเงินเดือน =เหยียบพ่อตาย ซิ่งทะลุโค้ง
คนขับรถเมล์ได้เงินเดือน = วิ่งชิลๆ รับบ้างไม่รับบ้างตามใจกู
FeelsBadMan
เงินเดือนไม่พอ ลาออกไปยังอย่างอื่นน่าจะดีกว่า
"พวกก่ออาชญากรรมแบบดิบๆ ประเภทปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ หลายครั้งเกิดจากการถูกบีบคั้นทางสังคมและเศรษฐกิจ ปากท้อง การไม่มีกินนะครับ ขณะที่พวกก่ออาชญากรรมแบบ white collar crimes เนี่ยมีเงิน มีงาน มีความรู้ความสามารถ แต่เลือกที่จะเอาความสามารถมาปล้นคนอื่น (แถมปล้นทีได้เยอะกว่าแบบแรกด้วย) แต่เรามักจะโกรธแค้นอาชญากรแบบแรกมากกว่าแบบหลัง เพราะเรารู้สึกว่าเราถูกคุกคามทางกายภาพมากกว่า ทั้งที่ว่ากันจริงๆ ผมว่าแบบหลังเหี้ยกว่าเยอะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีคนถามมาน่าสนใจมาก "ทำไมน้องบอสไม่ค่อยไปเที่ยวบ้าง ไม่ค่อยเห็นน้องบอสเที่ยวเลยค่ะ งานเยอะเหรอ หรือไม่ชอบเที่ยว"
ไม่ได้แปลว่างานเยอะจะปลีกเวลาไปเที่ยวไม่ได้ จริงๆแล้วผม manage ได้หมดแหละถ้าอยากจะเที่ยว หรืออยากจะพัก
จริงอยู่ในข้อที่ว่าเป็นคนประเภท workaholic ชอบทำงาน มันเหมือนผมติดเกม การทำธุรกิจ ได้เงินเรื่อยๆ มีความท้าทายเรื่อยๆ มีตัวเลข (เงิน) เพิ่มขึ้น แน่นอนนะว่าผมสนุกกับมันมาก ทุกวันนี้ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์
แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าไม่ชอบเที่ยว
แต่ลองนึกดูนะ ผมนอนที่บ้าน หมอนเป็นขนห่านอย่างดีที่นุ่มนิ่มนอนสบาย เตียงนอนเป็นสปริงที่ไม่แข็งไม่อ่อนจนเกินไป ทำให้นอนแล้วไม่ปวดหลัง
ชีทที่ปูรองที่นอนก็ทำให้การนอนสบายขึ้น ผ้าปูที่นอนเป็นผ้าพรีเมี่ยมไหม 300 เส้น (หรือเท่าไหร่นี่แหละจำไม่ได้รู้แต่เป็นเกรดทอป) นอนนุ่มลื่น ถ้าอากาศร้อนมันก็เย็น ถ้าอากาศเย็นมันก็อุ่น
อาบน้ำฝักบัวชาวเวอร์จะเอาแบบเทลงใส่หัว หรือจะเป็นฝักบัวธรรมดา เครื่องทำน้ำอุ่นปรับองศาตั้งแต่อุ่นเล็กน้อยไปยันร้อนมีควัน เครื่องใช้ในบ้านอะไรต่างๆมันก็ช่างสะดวกสบาย ทีวีจอ 49" ดูคนเดียวก็นับว่าใหญ่โตเป็นบ้า
คือพอเวลาเราไปเที่ยว แล้วก็ต้องเจอกับการเที่ยวที่ไม่ได้อย่างใจ ต่อให้นอนโรงแรมหรูหราระดับ 5 ดาว (ปกติไปเที่ยวก็นอนแต่ระดับนี้) ก็ไม่ค่อยเจอที่ไหนถูกใจเท่าไหร่นัก
ยังไม่รวมถึงการเสียอารมณ์ถ้าเพื่อนร่วมทริป (หรือเมีย) มีอาการแปลกๆระหว่างเที่ยว ซึ่งก็ทำให้เสียอารมณ์ท่องเที่ยวไปมาก โดยเฉพาะการ "กินยาก" ไอนั่นไม่กิน ไอ้นี่กินไม่ได้ สุดท้ายก็เลือกที่จะไปเที่ยวคนเดียว
ข้อนี้ไม่ได้แปลว่าการท่องเที่ยวไม่ดี หรืออะไร ต่อให้ที่พักคืนละ 1,000 นิดๆ เรต 3 ดาว ผมก็นอนได้ ไม่ได้กระแดะว่าจะต้องนอนหรูเที่ยวหรูอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ก็นั่นแหละ พอมันวกมาในเรื่องความสุขแล้ว ไม่มีที่ไหนสู้บ้านได้อยู่ดี ถ้าเราจะต้องไปทนการเที่ยว แบบการเที่ยวเทศกาล รถติดหนัก คนแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว แย่งกันขี้เยี่ยว ด้วยแล้วหละก็ อยู่บ้านนี่แหละ สุขที่สุดแล้ว
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ชอบเที่ยว อยู่ที่วาระ และโอกาสมากกว่า ความสำคัญของการเที่ยวแต่ละคนก็แตกต่างกัน บางคนการเที่ยวเป็นแค่การไปถ่ายรูป บางคนเป็นแค่ "การนับแต้ม" ว่าเคยไปมาแล้วกี่ที่
ส่วนผมการเที่ยว ไม่มีนิยามที่ชัดเจน (โดยมากวัตถุประสงค์มีแค่ชอปปิ้ง) แล้วก็แค่ว่างๆ อยากหาเรื่องใช้ตังก็แค่นั้น
แต่ถึงยังไง ก็ไม่ใช่คนชอบเที่ยวอยู่ดี
แหม อยู่บ้านกรูด มีบ้านอยู่ริมทะเล มันก็เหมือนชีวิตท่องเที่ยวอยู่แล้วทุกวัน จริงปะ :)
A: ผมว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ อ่ะครับ
B: เอ๊ะยังไงครับ คุณลองขยายความหน่อยสิครับ
A: คือตอนรถตู้ประสบอุบัติเหตุหน้าฟีดผมก็มีแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมความปลอดภัยบนท้องถนน พอมีข่าวคนฆ่ากัน หน้าฟีดผมก็มีแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญวิทยา และด้านกระบวนการยุติธรรม มาวันนี้น้ำท่วมหน้าฟีดผมก็เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ อุทกศาสตร์ และการระบายน้ำเต็มไปหมดอ่ะครับ
ได้อ่านจากเพจ ANTI SOTUS เรื่องคณะบัญชีของจุฬาฯมีการบังคับชุดที่แยกชั้นปีอย่างไม่เท่าเทียม
มีคอมเม้นจากนิสิตจุฬาฯจำนวนมากเข้ามาดาหน้าลุยใส่คนตั้งคำถามกันอย่างพร้อมเพรียง
ข้ออ้างมีตั้งแต่
แยกเพื่อได้รู้ว่าคนไหนคือน้อง จะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ถูก เพราะถ้าไม่รู้ก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย
ไปจนถึงคอมเม้นไร้ค่าสั้นๆว่า "เสือก"
ข้อที่ว่าเสือกนี่ข้ามไปเถอะ ไร้น้ำยาแบบนี้คงไม่ต้องโพสต์เองหรอก
แต่ข้อที่พยายามอธิบายการบังคับและแบ่งแยกในการปกครองในนามแห่งการช่วยเหลือ นี่ขอกล่าวถึงสักหน่อย
ผมอาจจะผิดก็ได้ครับ แต่ที่มธ.เราช่วยเหลือกันไม่เคยคำนึงถึงอายุ คนอายุน้อยกว่าจะเข้าไปแนะนำคนที่อายุมากกว่าก็ย่อมได้ ไม่ใช่แค่รุ่นน้องที่ควรได้รับการช่วยเหลือ แต่ทุกคนควรได้รับการช่วยเหลือ
ยามผมเดือดร้อน คนที่โผล่หน้ามาจริงๆคือ อาจารย์ ผู้ให้คำปรึกษา เพื่อนที่ยอดเยี่ยมรอบตัว และคนอายุน้อยกว่าที่นิสิตจุฬาฯเรียก "รุ่นน้อง" ส่วนรุ่นพี่โซตัสทั้งหลายไม่เคยโผล่มาให้เห็น ซึ่งผมไม่มีปัญหาหรอกครับหากเขาจะไม่มา ผมแค่กำลังจะบอกว่า การจะบอกว่าใครควรได้รับการช่วยเหลือมันไม่ควรแบ่งชั้นปี และการที่ใครจะช่วยใครมันก็ไม่ควรมีชั้นปีอีกเช่นกัน
ถ้าคิดอีกนัยยะหนึ่ง การปฏิบัติกับ "รุ่นน้อง" เช่นนี้ก็คือการดูถูกความสามารถของพวกเขาเช่นกัน เป็นการมองราวกับว่าคนชั้นปีต่ำกว่าจะช่วยเหลือและรับผิดชอบตนเองไม่ดีเท่ากับไอ้พวกที่ปีสูงกว่า ทั้งที่ไม่จริงเลย ที่ผ่านมาคนอายุหรือชั้นปีต่ำกว่าผม ที่ผมรู้จักมา พวกเขาแทบทั้งหมดรับผิดชอบอะไรๆได้ดีกว่าผมมากมาย.. แต่ที่ บัญชี จุฬาฯ อาจจะไม่ใช่ก็ได้มั้งครับ ไม่งั้นกฎก็คงไม่ทำออกมาแบบนี้หรอกเนอะ
หรืออันที่จริง ก็แค่การพยายามกลบเกลื่อนการกดทับที่เกิดขึ้นในนามแห่งการช่วยเหลือและความเมตตา "ต่อผู้ที่ด้อยกว่า" อย่าง "รุ่นน้อง" กันแน่?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ค้นข้อมูลหนังไทย เจอภาพนี้จากจันดารา เลยนึกขึ้นได้ว่า ในชีวิตนี้ กูเคยเจอ "เกย์เศรษฐี" ที่มีชีวิตแบบภาพนี้ อยู่ 4 คน คือมีคฤหาสต์หลังใหญ่ ในนั้นมี "เด็กรับใช้หนุ่มๆหล่อๆ" อยู่เป็นสิบ ซึ่งเจ้าของบ้านสามารถเอาใครก็ได้ แบบคุณหลวงในจันดาราเลย
สมมุติว่า พึ่งกลับจากประชุมที่บริษัท เครียดๆ ก็ดึงตัวเด็กรับใช้คนใดคนหนึ่งมาปล้ำตรงนั้นได้เลย จะลากเข้าห้อง หรือจับยกซดกลางห้องรับแขกได้เลย แถมทุกปีจะมีการหมุนเวียน เปลี่ยนตัวเด็กรับใช้ใหม่เรื่อยๆ เหมือนหมดวาระ
เอาจริงๆ จะเรียกเด็กรับใช้ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะวันๆแทบไม่ค่อยได้ทำงานบ้านอะไรเยอะ ส่วนใหญ่เอาเวลาไปนั่งดูทีวี ออกกำลังกาย เล่นเกม บางวันก็ไม่อยู่ เพราะไปเรียนมหาลัย
นี่พูดเลยว่า เกย์หลายคนฝันอยากมีชีวิตแบบนี้ แต่ทำไม่ได้ เพราะต้องรวยมากๆ
กูคุ้นว่าเกย์แบบที่มึงว่ามีอยู่คนนึงที่ออกทีวีว่ะ ไอ้นี่ไม่แก่นะ เจ้าของร้านเพชรที่ทำ จับปิ้งเพชร, ปลัดขิกฝังเพชรอ่ะ แม่งเลี้ยงเด็กนายแบบ,ดาราไว้หลายคนเลย แต่พอเริ่มดังมันจะไม่ยอมให้อยู่บ้าน ต้องแอบๆไปแดกกันข้างนอก ส่วนวงในมันจะรู้กันว่า ใครออกจากบ้านนี้แล้วไปดัง เป็นอีแอบทั้งนั้น
เรื่องของความรัก
ถ้าเขาไม่รักต่อให้ประชด ต่อให้ดิ้นตายต่อหน้าแล้วไง
เขาไม่สนใจหรอก จะรำคาญเสียมากกว่า
บางคนไปชอบผู้หญิง พอผู้หญิงปฏิเสธไม่รักก็บอก เพราะเราไม่หล่อ ใช่มั้ย เพราะเราอ้วน เราบลาๆๆๆ คาดคั้นไป เขาก็ไม่บอกร๊อก
เอางี้นะ คุณยังชอบผู้หญิงสวยเลยใช่มั้ย
ยังเข้าไปจีบคนน่ารัก คนสวยเลยใช่มั้ย
ผู้หญิงเขาก็เช่นกัน แทนที่คุณจะไล่ตามเขาแบบนั้น ใช้เวลาเป็นปีๆๆๆๆๆๆๆ เพื่อให้เขาสนใจ
แล้วมาประชด อย่างนู้นอย่างนี้ ทำไมไม่รักคนที่จิตใจ มันไม่ใช่
อะกลับกัน สมมุติมีสาว130โล มาตามชอบคุณ
คุณชอบเขาลงมั้ย
ทำไมไม่เปลี่ยนที่ตัวเอง มา "รักตัวเอง"
อ้วนไปก็ลด
ใช่มันยาก แต่ต้องทำถ้าคุณอยากจะมีความรัก มีคู่
แต่ถ้าคุณจะเต็มที่กับการกิน คุณก้อต้องเลิกคิดเรื่องคู่ไปซะ
แล้วคุณก้อไปมีความสุขกับการกินแบบนั้นไป
แต่ถ้าคุณอยากได้คู่
อยากได้ มันก้อต้องอดทน
ใช่รูปร่างหน้าตามันแค่การเริ่มต้น
ไม่ต้องถึงกับเพอร์เฟค
แค่เดินด้วยเขาไม่อาย รับได้ ก็ดีมากแล้ว
เมื่อผอมหน้ามันจะดูเรียวลง หน้ามันจะออกมาดีเอง
โกนหนวดโกนเครา ทาครีม แต่งตัวให้มันดี
ถ้าทำแล้ว ถึงไม่หล่อแบบติ๊ก เจษฏาภรณ์ ถึงหน้าตากลางๆ
แต่คนที่เขาจีบน่ะ แค่หุ่นไม่เผละ เขาก้อโอเคกับคุณขึ้นเยอะแล้ว
ระหว่างคุณวิ่งไล่ตาม และ เขาวิ่งหนี เหนื่อยปล่าวๆ เครียดอีก
ไม่ต้อง เขาเข้าหาคุณ คุณเข้าหาเขาหรอก นานที่จะเจอที
แค่เขายืนเฉยๆ แล้วคุณเข้าหาโดยเขาไม่วิ่งหนี นี่ก็เจ๋งแล้ว
ก่อนรักคนอื่น รักตัวเองรึยัง
สิทธิของคุณหรือ ?
อ้าง "สิทธิ" แสดงว่าไม่บาปหรอ?
การตักเตือน เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคุณหรอ?
ทำไมไม่ใส่ผ้าคลุม? "สิทธิของฉัน"
ทำไมไม่ละหมาด ? "สิทธิของฉัน"
ทำไมไม่ปอซอ? "สิทธิของฉัน"
ทำไมสูบบุหรี่? " สิทธิของฉัน"
ทำไมไม่อ่านอัลกุรอานเลย? "สิทธิของฉัน"
ทำไมพูดจาแบบนั้น? "สิทธิของฉัน"
ทำไมไปนินทาเขาแบบนั้น? "สิทธิของฉัน"
ทำไมไม่ไปมัสยิดเลย ? "สิทธิของฉัน"
ทำไมใส่เสื้อแบบนี้ "สิทธิของฉัน"
ทำไมใส่กางเกงแบบนี้ "สิทธิของฉัน"
หยุดคำตอบที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้
"สิทธิของฉัน" ใช้ได้สำหรับกฎของมนุษย์
ตราบใดที่ไม่ผิดกฎมนุษย์ คุณก็สามารถอ้างได้
อยากให้เป็นมุสลิม ด้วยการปฏิบัติตามคำสอน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หยาบไปมั้ยพวกมึง เห็นแล้วทุเรศ เข้ามาแล้วเสียอารมณ์ ปกติพูดกันแบบนี้หรอในชีวิตจริง ห ค เนี่ย
#โม่งสหายท่านหนึ่ง
ถามหามารยาท และความสุภาพในโม่ง OMG
#โม่งสหายอีกท่าน
"พวกเราต้องช่วยกันดูแลโลกนะคะ เริ่มที่ตัวมึงเองได้ค่ะ เวลาไปเที่ยวทะเล มึงก็อย่าไปเยี่ยวลงน้ำละคะ ทะเลแม่งอุ่นหมดพอดี.."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เราจะเห็นอย่างหนึ่งว่ากระแสขวาประชานิยมในยุโรปและสหรัฐฯ เขาไม่ได้ทิ้งชนชั้นล่าง และพยายามจะเชื่อมต่อกับชนชั้นล่างในอีกมิติหนึ่ง แต่ขวาของไทยอาจจะรังเกียจชนชั้นล่าง ถ้าเราจะบอกว่าขวาประชานิยมที่มีลักษณะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ผมคิดว่ามีส่วน แต่ผมคิดว่ามันซับซ้อนกว่ากระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ในไทย เพราะในการต่อต้านของเขา เขามีข้อเสนอแนะลงไปทำงานกับชนชั้นล่าง ผมในฐานะอดีตผู้นำนักศึกษาที่สู้กับปีกขวามาตั้งแต่ปี 2516-2519 ผมคิดว่าผมเข้าใจว่าทำไมขวาไทยสุดโต่งในปี 2519 แต่ในช่วงหลังที่เป็นโลกาภิวัตน์ ผมคิดว่าขวาไทยสุดโต่งแบบไร้สาระ เพราะไม่เห็นว่าความสุดโต่งของขวาไทยอะไรคือคำตอบ และอะไรคือแกนกลางของอุดมการณ์ขวาไทยในปัจจุบัน ข้อเสนอพื้นๆ ของผมคือ ขวาไทยต้องปรับตัวนะครับ ขวาประชานิยมประเทศอื่นไม่ได้มีอำนาจด้วยการยึดอำนาจ แต่มาด้วยการเลือกตั้ง ขวาไทยต้องเรียนรู้ที่จะมีอำนาจด้วยการเลือกตั้ง ไม่ใช่อาศัยระบอบอำนาจนิยม มิเช่นนั้นคุณก็จะเป็นขวาที่โลกไม่ยอมรับ เป็นขวาที่ยืนไม่ได้ในเวทีโลก และอย่าเชื่อง่ายๆ ว่าขวาแบบเสนานิยมบวกทุนนิยมจะเป็นเครื่องมือที่ค้ำประกันอนาคตของรัฐไทย เพราะขวาชุดนี้ล้มเหลวมานานแล้วในลาตินอเมริกา ไม่มีโอกาสฟื้น เพราะปัจจุบันขวาในลาตินอเมริกามาด้วยการเลือกตั้ง ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นเพียงรถไฟตู้โบกี้ตู้สุดท้ายนะครับ แต่จะเป็นตู้โบกี้ที่เขาปลดทิ้งไว้อยู่บนรางแล้วไม่มีรถไฟขบวนไหนมาเกี่ยวเราไป"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จริงๆ แล้วพี่น้องชาวใต้เขาอธิษฐานขอน้ำท่อม แต่พระเจ้าฟังผิด เลยให้น้ำท่วมมาแทน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
น้ำท่วมจนสายเคเบิ้ลขาดแถวบางสะพานส่งผลให้เนต ToT ล่มเป็นวงการ
พลเมืองต่อต้าน Single Gateway ไม่รู้หีรู้แตดอะไรก็รีบมาเคลมว่าเนตล่มฝีมือพวกกูเอง
ในแต่ละสถานการณ์ มักมีคนที่พร้อมจะหน้าด้าน ฉกฉวยโอกาสนั้นมาเป็นของตน
แม้จะเป็นในยามที่คนอื่นเขาเดือดร้อน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
#วงกว้าง
คนชอบถามว่าต้องรวยแค่ไหนถึงจะพอ
ผมให้เกณฑ์ง่ายๆ อยู่เมืองไทย
ต้องมีเงินพอเข้า รพ.เอกชน
และจ่ายค่าทนายฝีมือดีได้
ชีวิตจะปลอดภัยพอควร
ky กูไม่รู้จะถามที่ไหน ติเตียน นี่หมายถึงอะไร มีที่มาจากไหนวะ
ดูทีวีก็เจอซับแปลผิด ทั้งที่เป็นช่องมีชื่อแท้ๆ สะกดผิดว่าแย่แล้วนะ เจอผิดความหมายเข้าไป กูจะบ้า เข้าเน็ตดูเมะเจอซับไทยอากู๋กูเกิ้ลอีก นี่สะกดผิดยิ่งกว่า แปลผิดยิ่งกว่า กูถึงหนีไปดูซับอิ้งไงวะ อย่างตอนนี้กำลังจ้องคำว่า "Buelay" อยู่ หมายถึงบลูเรย์? Blueray สะกดแบบนี้โว้ย!!
คำขวัญวันเด็กปีนี้ "โจรปล้นอย่าสู้ รถตู้อย่าขึ้น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้าคุณๆได้ดูพวกซีรี่ย์ฝรั่ง แบบสอบสวนๆ อย่าง csi จะเห็นว่าวิธีการจับคนผิดเข้าคุกนั้นเค้าจะใช้การที่ จนท.หาหลักฐานมาเป็นพยานมัดตัวผู้กระทำผิดให้เถียงไม่ออก แล้วจึงจับฟ้องศาลเข้าคุก
ส่วนของไทยจะใช้วิธีตรงกันข้ามคือ ใช้การกล่าวหา หรือ เชื่อได้ว่า คนนี้กระทำผิด ในขณะที่หลักฐานไม่แน่นหนาก็ฟ้องได้ แล้วให้จำเลย ไปวิ่งหาพยานมาแก้ต่างให้ตัวเอง
ปัญหาก็คือ ถ้าจำเลยหาพยานไม่ได้ ก็เท่ากับรับผิดไปเข้าคุกเสีย
ไอ้คำที่บอกว่า ยกประโยชน์ให้จำเลยน่ะ มีน้อย ส่วนใหญ่จะยัดเข้าคุกไปก่อน แล้วค่อยมารื้อฟื้นคดีทีหลังแบบนี้แหละ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>740 Bluray สะกดแบบนี้ครับ
https://en.wikipedia.org/wiki/Blu-ray
มิตรสหายหน้าแตกท่านหนึ่ง
++++ "คนขับรถบรรทุก...กับ “กล่อง” ใบที่เปลี่ยนโลก" ++++
เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนขับรถสิบล้อครับ
แต่เป็นคนขับรถสิบล้อในประเทศ สหรัฐ อเมริกา ที่ชื่อว่า “มัลคอม แมคเคลน” Malcom McLean
มัลคอม แมคเคลน เกิดในปี 1914 ที่ นอร์ธ คาโรไลน่า
พ่อแม่ของมัลคอมเป็นชาวนา
ประกอบกับช่วงที่เขาเติบโตขึ้นมานั้นเป็นช่วง Great Depression
นั่นทำให้เขาไม่สามารถเรียนจบมัธยมปลายได้
เพราะต้องออกมาทำงานเป็นเด็กปั้มหาเลี้ยงชีพซะก่อน
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขายอมจำนนต่อชะตาชีวิตที่โหดร้ายแต่อย่างใด
เพราะเมื่อ มัลคอม ทำงานที่ปั้มน้ำมันนั้นไปได้ซักพัก
เขาก็พบว่า
เจ้าของปั้มน้ำมันที่เขาทำงานอยู่นั้น
จ้างรถขนน้ำมันจากท่าเรือมาที่ปั๊มด้วยค่าจ้างอาทิตย์ละ 150 บาท
ซึ่งมันเป็นค่าจ้างที่มากกว่าที่เขาได้รับอยู่มาก
มัลคอมเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ
และก้มหน้าทำงานของเขาต่อไป
จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1934
เมื่อเขาเก็บเงินจากการทำงาน
และรวบรวมเงินลงทุนจากพี่น้องของเขาได้มากพอ
มัลคอมในวัย 20 ปีก็เดินเข้าไปบอกกับเจ้าของปั๊มว่า
เขาอยากรับหน้าที่ส่งน้ำมันให้เจ้าของปั้มเอง
“ให้ผมทำเถอะ”!!!
ไม่ว่าจะด้วยผลงานที่ผ่านมาของเขา...ความใจดีของเจ้าของปั้ม...หรือ เจ้าของปั๊มไม่ชอบขี้หน้าคนส่งน้ำมันเจ้าเก่าอยู่แล้ว
เจ้าของปั๊มก็ตกลงยกหน้าที่นี้ให้ มัลคอม
เขาจึงใช้เงิน 3,600 บาทที่เขารวบรวมได้
ซื้อรถบรรทุกมือสองพุๆคันนึงมาซ่อม
และเริ่มกิจการของตัวเอง
ปรากฏว่าเมื่อผ่านไปหนึ่งปี
มัลคอม กลายเป็นเจ้าของรถบรรทุก 2 คัน
และมีลูกจ้าง
แต่
เขาก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
มัลคอมยังพยายามพัฒนาสิ่งที่เขาทำอยู่...ให้ดีขึ้นไปอีก
เขาเป็นคนแรกที่เริ่มคิดว่าจะวางแผนยังไงให้รถบรรทุกทุกคันทำเงินได้มากที่สุด
เป็นคนแรกที่ออกแบบเส้นทางขนส่งให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อลดความสิ้นเปลืองให้มากที่สุด
และด้วยคุณสมบัติเหล่านี้
ทำให้เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นนั้น
เขามีรถบรรทุกถึง 172 คัน
และเมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษที่ 1950
เขาเป็นเจ้าของรถบรรทุกมากกว่า 1700 คัน
เป็น “บริษัทรถบรรทุกที่ใหญ่ที่สุดหนึ่งในสาม”
ของอเมริกาในขณะนั้น
จากเด็กปั๊ม ที่เรียนไม่จบ ม.6
มัลคอม..เดินมาไกลมาก!!
แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดเส้นทางของเขาอยู่แค่การเป็น “เจ๊เกียว”
มีบางอย่างที่เขาอยากพัฒนาให้ดีขึ้น
เขายังกระหายที่จะก้าวต่อไปอีก
และก็เป็นก้าวต่อไปของมัลคอมนี่แหล่ะ
ที่เปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล
จริงๆแล้ว...ก้าวสำคัญก้าวนี้ของมัลคอมเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบๆ และ หงุดหงิดตั้งแต่ปี 1937
4 ปีหลังจากที่เขาซื้อรถบรรทุกมือสองคันแรก
เช้าวันหนึ่งในปี 1937
มัลคอมในวัย 23 ปี ซึ่งยังขับรถบรรทุกด้วยตัวเองอยู่
ขับรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยสินค้าเข้าไปยังท่าเรือที่นิวยอร์ก
ตั้งแต่เช้า...จรดเย็น
เขานั่งอยู่ในรถบรรทุก
รอให้พนักงานท่าเรือ (longshoreman) ในขณะนั้น
ค่อยๆหยิบสินค้าทีละชิ้นลงจากรถ
เพื่อจะค่อยๆเอาไปเก็บในโกดัง
ก่อนที่จะหยิบสินค้าทีละชิ้นจากโกดัง
ขึ้นไปเรียงบนเรือลำที่ต้องการ
ซึ่งนั่นคือวิธีการโหลดสินค้าของท่าเรือในขณะนั้น
ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้กันมาเป็นพันปีก่อนหน้านี้
!!!
อ่านถึงตรงนี้คงพอเดาได้ไม่ยากใช้มั้ยครับว่า
คนที่ชอบทำอะไรให้มีประสิทธิภาพที่สุดอย่างมัลคอม
คนที่พยายามหาเส้นทางที่สั้นที่สุด
เพื่อใช้เวลาให้น้อยที่สุด
เพื่อให้รถทุกคันหาเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
คงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่...กับวิธีโหลดของแบบนั้น
มันก็เป็นอย่างที่คุณเดาได้นั่นแหล่ะ
จริงๆแล้ว มัลคอมไม่ใช่แค่ไม่พอใจ
แต่ เขาหงุดหงิด และโกรธมาก กับสิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นไปได้อย่างไรที่การขนส่งสินค้าจาก นิวยอร์ก ไป ลอนดอน
ใช้เวลาที่ท่าเรือทั้งสอง พอๆกับ เวลาที่เรือแล่นข้ามมหาสมุทร
เป็นไปได้อย่างไรที่ 50% ของค่าใช้จ่ายในการขนส่งทั้งหมด
ถูกใช้ไปกับการยกของขึ้น และ ลงจาก รถ และ เรือ
มันถูกต้องแล้วเหรอที่เสียต้องเวลาขนของนานขนาดนี้
ทำให้ทั้งเรือ และ รถบรรทุก ต้องจอดนิ่งอยู่ที่ท่าเรือเป็นเวลานานมากๆ
ทั้งที่ทั้ง เรือ และ รถ จะทำเงินได้ก็ต่อเมื่อมันวิ่งเท่านั้น
“ทำไมไม่ทำมันให้ดีกว่านี้"
"มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้"
"มันเป็นเรื่องที่ต้องซีเรียสใช่ป่ะ”
!?!?!?!
นั่นเป็นสิ่งที่มัลคอมบอกกับตัวเองตอนนั้น
แต่ในวัย 23 ปีกับการเป็นเจ้าของบริษัทรถบรรทุกเล็กๆ
ทำให้เขาต้องดึงสติไว้นิดส์นึงก่อน
เขายังไม่มีพาวเวอร์มากพอที่จะเปลี่ยนสิ่งที่มีมาเป็นพันปีได้
และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องเก็บบางเรื่องไว้ในใจ
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>744 )
จนกระทั่งในปี 1955
วันที่ มัลคอมในวัย 41 ปี
คิดว่าเขามีพาวเวอร์มากพอที่จะเปลี่ยนอะไรบางอย่าง
เขาตัดสินใจขาย McLean Trucking Co.
บริษัทรถบรรทุกที่ใหญ่ 1 ใน 3 ของอเมริกาที่เขาสร้างมากับมือ จนได้เงินมาประมาณ 750 ล้านบาท
มัลคอมจึงนำเงินที่ได้ ไปซื้อเรือ และ ท่าเรือ
(Pan-Atlantic Steamship Company และ Gulf Florida Terminal Company)
และเริ่มทำสิ่งที่เค้าเก็บไว้ในใจมานาน
ถึง มัลคอม จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาตลอด
ทว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำในตอนนั้นไม่ง่ายเอาซะเลย
จริงๆแล้วมันโคตรยากเลยด้วยซ้ำ
เขาเริ่มต้นด้วยการพยายามเอารถบรรทุกทั้งคันขึ้นเรือ
แล้วล็อครถไว้
ก่อนเปลี่ยนมาโหลดรถบรรทุกทั้งคัน
แล้วเอาหัวรถบรรทุกออก
แต่การส่งส่วนรถพ่วงไปกับเรือ
ทำให้อดนำมาใช้ประโยชน์ ไม่น่าจะใช่วิธีที่ดีนัก
จนมาลงตัวที่การสร้างกล่องขึ้นมาใส่ของ
แล้วยกทั้งกล่องขึ้นไปบนเรือซะเลย
ยูเรก้า!!!
นั่นน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
แต่ความจริงก็คือ
ไอเดียในการใช้กล่องขนสินค้านั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
เพราะในปี 1929 บริษัทเอกชนเจ้าหนึ่ง
เคยมีการพยายามขนส่งรถกล่อง (boxcar) จากสหรัฐไปยังคิวบา
ในช่วงทศวรรษที่ 1940 กองทัพของสหรัฐ ก็เคยพยายามจะใช้กล่องขนส่งของจาก สหรัฐ ไปยัง แคนาดา
ปรากฏว่า วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าวิธีที่ใช้กันมาเป็นพันปีถึง 10 เปอร์เซ็นต์
และจะแพงมากกว่าถึง 70 เปอร์เซ็นต์
หากคำนวณค่าส่งกล่องเปล่ากลับมายังท่าเรือที่สหรัฐด้วย
เป็นไปได้อย่างไร
!?!?!?
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ
กล่องมันยังไม่มีมาตรฐานเดียวกัน
ทำให้ยาก วุ่นวาย และใช้ค่าใช้จ่ายมากในการขนส่ง
รวมถึงเรือลำหนึ่งยังไม่สามารถขนกล่องได้เยอะพอ
ซึ่งหากวิธีนี้ไม่ได้รับการใช้กันอย่างแพร่หลายมากพอ
จะทำให้ต้นทุนสูงอยู่มาก
(economic of scales)
ฉะนั้นทางที่จะทำให้ไอเดียการใช้ "กล่อง" ขนส่งสินค้าของมัลคอมเป็นจริงได้ก็คือ
ต้องให้ท่าเรือ บริษัทเดินเรือ และ ระบบขนส่งทั้งหมดเห็นด้วย
และร่วมแจมกับไอเดียของเขา
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด
เพราะหมายความว่าเขาไม่ได้กำลังเปลี่ยนแค่วิธีการขนส่ง
จากทีละชิ้น เป็นทีละกล่อง
แต่
เขากำลังเปลี่ยนนิยาม
และมุมของธุรกิจการขนส่งใหม่หมด
จากที่ธุรกิจต่างๆเคยแยกกันอย่างชัดเจน
เป็น ธุรกิจ รถบรรทุก รถไฟ ท่าเรือ เดินเรือ
ต่างคนต่างทำ...ไม่เคยสนใจ...ไม่เคยยุ่งกัน
มัลคอมต้องการให้ธุรกิจเหล่านี้มาใช้มาตรฐานเดียวกันหมด
มาตรฐานกล่องของเขา
ทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมีแรงต้าน
การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆอย่างนี้ก็เช่นกัน
ซึ่ง
แรงต้านที่รุนแรงที่สุดก็มาจากกลุ่มธุรกิจที่มีมานานที่สุด
"ธุรกิจขนส่งทางทะเล"
ต้องอธิบายก่อนครับว่า
เจ้าของกิจการขนส่งทางทะเลส่วนใหญ่ในขณะนั้นทั้งในยุโรป และสหรัฐ
แทบทั้งหมดจะเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบเชื้อสายมาจากกัปตันเรือ
ไม่ก็ขุนนางในสมัยล่าอณานิคม
พวกเขามีประวัติศาสตร์ และ ความภาคภูมิใจที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน
ซึ่งวิธีการที่ มัลคอม เห็นว่าไม่ได้เรื่อง
และพยายามจะเปลี่ยนนี่แหล่ะ
เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่มายาวนาน
ทำให้พวกเขามีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตอยู่บนตึกระฟ้าในมหานครนิวยอร์ค
เปิดโอกาสให้พวกเขานอนตื่นสายๆ
ก่อนที่จะมานั่งกินบรันช์ และสูบซิการ์ใน ยอร์ช คลับได้
ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกเลย
ที่สมาชิกสมาคมเดินเรือนานาชาติที่ประเทศฮอลแลนด์
จะหัวเราะเยาะ มัลคอม ซึ่งหน้าๆ
ตอนที่เขาข้ามน้ำข้ามทะเลเอาไอเดียไปขาย
หรือแม้แต่
เจ้าของท่าเรือ และ ธุรกิจเดินในสหรัฐ
ก็ยังมองเขาเป็นตัวตลก
ไม่แปลก...
เมื่อโลกทั้งใบเคยหมุนรอบตัวคนกลุ่มนี้มาตลอด
มันคงไม่ยากเกินที่จะเข้าใจว่า...
ไอ้เด็กเมื่อวานซืนจากธุรกิจใหม่อย่างรถบรรทุก
จะมายุ่มย่ามในเรื่องการขนส่งทางทะเล
ที่พวกเขาควบคุมมาอย่างยาวนานได้อย่างไร
ถึงแม้ "การขนส่งทางทะเล" ที่เป็น "หัวใจ" ของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะไม่เป็นใจให้ มัลคอม
เขาก็ไม่ถอดใจ...!!!
ในเมื่อไม้แก่มันดัดยากนัก
บางทีหาไม้อ่อนหน่อยน่าจะโน้มง่ายกว่า
นั่นทำให้ มัลคอม ไปจับมือกับ พวกธุรกิจรถไฟ และ รางรถไฟ
ธุรกิจที่เขามีสัมพันธ์อันดีมาตลอดตั้งแต่เขายังทำบริษัทรถบรรทุก
เพราะเกิดขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
ซึ่งในที่สุด “มัลคอม” ก็สามารถดึง
CB&Q Railroad C&EI Railroad และ SP Railroad
มาร่วมมือกับเขาได้
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>745 )
และเมื่อถึงตรงนี้
มันก็มากพอที่จะโน้มน้าวธนาคารต่างๆ
ให้ปล่อยเงินกู้กับเขาเป็นเงิน 15,000 ล้านบาท
ในเดือนมกราคม 1956
มัลคอมนำเงินก้อนมโหฬารนี้ไปซื้อเรือขนน้ำมันของกองทัพสหรัฐที่ใช้ในสงครามโลกครั้ง 2
เพื่อที่จะมาดัดแปลงเป็นเรือขนสินค้าที่ใหญ่ขึ้น
เขายังปรับปรุงท่าเรือ...ปรับปรุงเครน...รางรถไฟ
และ แน่นอน “กล่อง”
สิ่งที่เป็นพระเอกของเขา
ในที่สุด....
ในวันที่ 26 เมษายน 1956
มัลคอม แมคเคลน ก็ยืนอยู่ที่ท่าเรือในนิวเจอร์ซี
เพื่อมองดูกล่องใส่สินค้าขนาด 35 ฟุต จำนวน 58 ใบ
กล่องที่เขาตั้งชื่อว่า SS Ideal-X
เขามองดูกล่องเหล่านั้น
ค่อยๆถูกทยอยขนขึ้นเรือบรรทุกสินค้า
ที่เขาดัดแปลงมาจากเรือบรรทุกน้ำมันในสงครางโลก
ทันทีที่ SS Ideal-X ถูกขนขึ้นเรือจนหมด
มัลคอม ก็ผละจากท่าเรือที่นิวเจอร์ซี
รีบขึ้นเครื่องบินไปยัง ฮุสตัน
เพื่อไปดักรอ อดัม แอนด์ อีฟ แห่งตู้คอนเทนเนอร์
หรือ SS Ideal-X ทั้ง 58 กล่องของเขา อยู่ที่นั่น
และในวินาทีที่ชายชื่อ มัลคอม แมคเคลน
เริ่มมองเห็นตู้คอนเทนเนอร์รุ่นแรกของเขา
ค่อยๆขยับใกล้ Port of Huston เข้ามาเรื่อยๆ
ผู้ชายที่เข้มแข็งสุดๆอย่างเขา
ก็ร้องไห้ออกมา
เขาไม่ได้ร้องไห้เพราะเขาสามารถเอาชนะคำปรามาสของคนบางกลุ่มได้
แต่เขาร้องไห้เพราะในวินาทีที่เห็นกล่องเหล่านั้นมาถึง
เขารู้ทันทีว่า....
เขากำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้...ไปตลอดกาล
SS Ideal-X ของมัลคอมสามารถลดเวลาโหลดจาก 3 วัน เหลือ เพียง 8 ชม. ได้
และ
สามารถลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าจาก 5.86 เหรียญ/ตัน
ให้เหลือเพียงแค่ 16 เซนต์/ตัน
หรือถูกลง 39 เท่า!!!
ซึ่งหลังจากวันที่ 26 เมษายน 1956
การขนส่งสินค้าบนโลกใบนี้ก็เปลี่ยนไปตลอดกาลจริงๆ
หลังจากผมศึกษาประวัติของ "มัลคอม แมคเคลน" จบ
ผมก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า....
อะไรคือแรงผลักดันให้คนที่มีเงินสด "750 ล้านบาท" อยู่ในมือ
เดิมพันเงินทั้งหมดกับสิ่งที่เค้าเชื่อ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาเดินต่อ
ในยามที่โลกทั้งใบเหมือนจะยืนอยู่ตรงข้ามเขา
จริงๆลองคิดดูแล้ว
คนที่เปลี่ยนโลกใบนี้ได้...
มักจะมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายๆกันอยู่นะครับ
พวกเขาจะไม่ยอมหยุด
จนกว่าจะทำสิ่งที่พวกเขาเชื่อ...ให้เป็นจริงได้
"โธมัส อัลวา เอดิสัน" ที่ไม่ยอมหยุด
แม้ล้มเหลวกว่า 1000 ครั้ง
จนเปลี่ยนโลกสำเร็จ ด้วยหลอดไฟของเขา
"พี่น้องตระกูลไรท์" ที่ร่วงแล้ว...ร่วงอีก
จนเปลี่ยนโลกได้สำเร็จ
ด้วยเครื่องบินของพวกเขา
"มัลคอม แมคเคลน" ก็ทำอย่างเดียวกัน
กับ "ตู้คอนเทอนเนอร์"
ในงานศพของ แมคเคลน
เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2001 นั้น
"นอร์เมน มิเนต้า"
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของสหรัฐ
กล่าวคำไว้อาลัยถึงคนขับรถบรรทุกจากนอร์ธ คาร์โลไลน่า คนนี้ว่า
“พวกเราทุกคนล้วนเป็นหนี้ มัลคอล แมคเคลน และ วิชั่น ของเขา"
"ในการปฏิวัติโฉมหน้าของอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเล ไปตลอดกาล”
ก็น่าจะจริงนะครับ
เพราะมือถือ หรือ คอมพิวเตอร์ ที่คุณใช้อ่านเรื่องของแกอยู่นี้
ก็ล้วนผ่านตู้คอนเทนเนอร์ มาแล้วทั้งนั้น
แต่ถ้าคุณบังเอิญนั่งอ่านอยู่ในร้านกาแฟ
ที่เสือกสร้างจากตู้คอนเทนเนอร์ด้วยล่ะก็
คุณติดหนี้ คนขับรถบรรทุก...ที่ชื่อ "มัลคอล แมคเคลน"
กับ “กล่อง” ใบที่เปลี่ยนโลก....ที่ชื่อ "SS Ideal-X"
อยู่เต็มๆ เลยนะคุณ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>744
ทำไมต้องพิมพ์บรรทัดละประโยควะ
ทำไมไม่พิมพ์ให้อยู่ในparagraph
Paragraphนี่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับการพิมพ์/เขียนเยอะๆเลยนะ
เเล้วอันนี้ก็มีข้อมูลเยอะอยู่
ใช้paragraphน่าจะดีกว่า
หรือเพราะรู้ว่าคนไทยยาวไปไม่อ่าน
เลยพิมพ์บรรทัดละประโยคเพื่อหลอกคนไทยให้อ่าน
พวกที่กับพารากราฟยาวๆยังอ่านไม่ได้
จะไปinspiredอะไรกับเรื่องพวกนี้ได้
อย่างมากก็inspiredเเล้วก็ใช้ชีวิตง่อยๆต่อไป
สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเฟล ในปีที่แล้ว คือ อยากสร้างความประทับใจให้เพื่อนสนิท โดยการพาดารามามีเซ็กส์กับเพื่อน หลังจากเอากันเสร็จ เพื่อนไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นดารา...
ปุกาดๆ รับสมัคร CEO ของ Pay Solutions บริษัท Fintech ด้าน Payment Service Provider แห่งแรกของไทย ตั้งแต่ปี 2003 (ในนาม Thaiepay.com) อยู่ในกลุ่ม efrastructure group ลุยด้าน E-Payment ธุรกิจมี Tracktion เต็มเปี่ยม
สเป็กนะ
- อายุ 28-38
- พูดภาษาอังกฤษได้
- มี Passion เต็มเปี่ยม (แสดงให้เห็นหน่อย อย่าเอาแต่พูด)
- อึด ทน ทำงานได้ตลอดเวลา (อยากได้คนทำงานหนัก ทำงานเองได้ ไม่ต้องไปกระตุ้น โตๆ กันแล้ว)
- ไม่ขอคนมีครอบครัวมีผัวหรือเมียแล้ว (ผมขอคนลุยจริงๆ)
- อยู่ในวงการ E-Commerce or E-Payment จะดีมาก
- มี Background Tech และ Business จะเริ่ดสุดๆ
** ย้ำๆ อย่าๆ ตอบมา Post นี้ว่าสนใจ อ่านให้ถึ่ถ้วนว่าคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้จริงๆ อย่ามาเข้าข้างตัวเองว่าใช่ แต่จริงๆ ไม่ใช่ หากไม่ใช่อย่าเสียเวลา หากใช่และสนใจจริงๆ ให้ส่ง Profile มาทาง Facebook message มาครับ
ทำ startup เป็น -> ไม่ได้แปลว่า ทำธุรกิจเป็น
เขียนโปรแกรมเก่ง -> ไม่ได้แปลว่า จะเปลี่ยนแปลงโลกได้
Pitch เก่ง -> ไม่ได้แปลว่า นักลงทุนจะให้เงินทุน
ทำ Product ดี -> ไม่ได้แปลว่า ลูกค้าจะใช้
มี user เยอะ -> ไม่ได้แปลว่า เค้าจะจ่ายเงินให้ และไม่ได้แปลว่าเราจะเอา user กลุ่มนี้ ไปหาเงินได้ เสมอไป
มีความเชื่อและความเข้าใจอะไรผิดๆอยู่อีกมากมาย ที่มันเป็น mindset ฝังหัว
เป็นปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางให้ธุรกิจ ไม่เติบโต และทำให้ตัวเองไม่พัฒนาไปไกล
"ทำ startup เป็น" กับ "ทำธุรกิจเป็น" นี่มันคนละเรื่องจริงๆ
เครดิตจาก ไลน์คุณรังสิมันต์
คือประเทศอัตโนมัติทุกสิ่งอย่างอย่างญี่ปุ่นมันบรรลัยเมื่อไร
เมื่อความอัตโนมัติมันไม่ทำงานไง!
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อกูไปขี้ในห้องน้ำไฮเทค มีที่ล้างตูด ระบบฟลัชแบบเซนเซอร์ ให้มือแตะแล้วน้ำไหล อ่า มือสะอาด สะดวกสบาย
.....
ไม่ไหล
เอาใหม่
......
ไม่ไหล
อ่านป้ายซิ
อ๋อ ให้ใช้เซนเซออีกอัน อ่ะลอง
........
ไม่ไหล
ลองใหม่
.......
ไม่ไหล
อ่าว เขาบอกให้เอามือกดแรง ๆ (เซ็นเซอร์เหี้ยไรล่ะ) อ่ะกด กูกดสุดตัว
.......
ไม่ไหล
คือยืนมองขี้สลับกับยืนหาทางกดส้วมอยู่เกือบสิบนาที มีคนมาดึง ๆ ประตูเหมือนจะเข้าต่อ ส่วนกูเหงื่อแตกเหมือนเพิ่งฆ่าคนมา (ห้องน้ำที่นี่ไม่มีฝาด้วย คือถ้าเดินลอยหน้าลอยตาสวนออกไป ก็รู้เลยว่ากูทิ้งศพไว้)
สุดท้ายทำอยู่นานสองนาน ตัดสินใจทำสิ่งที่จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองตลอดชีวิต
กดปุ่มขอความช่วยเหลือ!
คือทีแรกกูน่ะเข้าใจว่ามันคือปุ่มแบบกดแล้วมันจะมีสัญญาณ ติ๊งต่อง เรียกพนักงาน แบบบนเครื่องบินน่ะ
แต่เปล่า! มันคือเสียงสัญญาณแบบไฟไหม้ ร้านทั้งร้านเงียบลงเห็นได้ชัด ส่วนกูเหงื่อแตกกว่าเดิม ณ วินาทีนั้นหัวสมองกูแฟลชแบ็คเรื่องเล่าพี่บ่อเติงในเดี่ยว 7 ทันที ที่แกไปกดปุ่มฉุกเฉิน ขำขี้แตก ตอนนี้กูเข้าใจพี่แล้ว ยกโทษให้ผมด้วย ปุ่มเหี้ยนี่ไม่มีปุ่มหยุดด้วย ผมโคตรเข้าใจ
พนักงานวิ่งมาถามว่าไดโจบู๋เด๊สก๊ะ กูแง้มออกไปดู อีเหี้ย อย่างน่ารัก กูจะไม่ยอมให้เธอเข้ามาดูหลักฐานกูเด็ดขาดดดดดด
พนักงานบอกให้ทำเหมือนที่กูทำไปแล้วทั้งนั้น อ่ะไม่เป็นไร ลองใหม่
ยืดติดอยู่กับขี้อีกเกือบสิบนาที ก็ยังไม่ไหล ณ จุดนั้นกูคิดถึงขันตักน้ำบ้านเรามาก กดไม่ไปก็ราด ง่ายตายห่า โว้ย ส้วมเวรนี่ก็ไม่มีระแบบแมนน่วลให้ใช้เลย
พนักงานคนเดิมกลับมาเคาะประตู เห็นว่าเรายังกดน้ำไม่ได้ มันคือความล้มเหลวของไกจินคนหนึ่งในดินแดนแห่งนี้แท้ ๆ พนักงานบอกว่างั้นออกมาเถอะค่ะ ทางร้านให้อภัยแล้ว เอ้ย เดี๋ยวจัดการให้ เป็นบ่อยแล้ว แต่วันนี้สงสัยพังจริง
ฮือ กูนี่อยากหนีลงส้วมมาก ๆ นอกจากจะต้องออกไปโชว์ตัวว่า กูนี่แหละกดปุ่มขอความช่วยเหลือ ว่ะฮะฮ่า ยังต้องทิ้งมรดกให้พนักงานสุดน่ารักรับผิดชอบอีก
แต่วินาทีนั้นกูขอออกจากห้องน้ำก่อน คือหิวแล้ว ไม่งั้นกูได้กินขี้ตัวเองแน่ ๆ
สุดท้ายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1.ไม่ต้องไปเชิดชูความไฮเทคมาก บางอย่างเรายังต้องการความแมนน่วลไว้ในกรณีฉุกเฉิน ช่วงนี้ยิ่งรำคาญโพสแซะระบบแมนน่วล ๆ ทั้งหลาย เลยอยากเล่าเป็นอุทาหรณ์ ถถถถถถถถถ
2.อย่าไปกดปุ่มฉุกเฉินในห้องน้ำ ถ้ากดมึงต้องทำตัวให้โง่และเนียนที่สุด จำไว้ ขอร้องเลย ไม่อยากให้มีตราบาปกลับบ้าน กูลองแล้ว
จีนเจริญกว่าไทยมากครับ การช่วยตัวเองของเพศชาย คนไทยเรียกว่าชักว่าว แต่คนจีนใช้คำว่า ต่าเฟยจี ที่แปลว่าโบกเครื่องบิน
ว่าวกับเครื่องบิน ก็แสดงถึงความเจริญทางเทคโนโลยีที่ต่างกันแล้วครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จบแล้วสำหรับการสัมภาษณ์งานกับ Facebook ยาวนานกว่า 2 เดือน เป็นการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อย แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก
9 Nov 16
ได้รับการติดต่อจาก Facebook Singapore ครั้งแรกกับตำแหน่ง Solutions Engineer
16 Nov 16
สัมภาษณ์รอบที่ 1 กับ Recruiter
คำถามเกี่ยวกับ background และความรู้ด้านเขียนโปรแกรมทั่วไป
18 Nov 16
สัมภาษณ์รอบที่ 2 กับ Recruiter
เขียนโปรแกรมแก้โจทย์อัลกอริทึม
2 Dec 16
สัมภาษณ์รอบที่ 3 กับ Engineer
เขียนโปรแกรมแก้โจทย์อัลกอริทึม 2 ข้อ
14 Dec 16
สัมภาษณ์รอบที่ 4 กับ Engineer
คำถาม OS + Networking
คำถาม System Design
คำถาม Business
เขียนโปรแกรมแก้โจทย์อัลกอริทึม
22 Dec 16
สัมภาษณ์รอบที่ 5 กับ Business Head
คำถามด้านสถานการณ์ทางธุรกิจต่างๆ
22 Dec 16 (วันเดียวกับรอบที่ 5)
สัมภาษณ์รอบที่ 6 กับ Engineering Manager
ได้รับโจทย์ให้เขียนแอพหลังรู้ผลผ่านรอบที่ 4 ในเวลา 1 สัปดาห์ แล้วนำไปเดโม อธิบายโค้ดส่วนต่างๆ และให้เขียนเพิ่มฟีเจอร์สดๆ 1 ฟีเจอร์
วันนี้ 13 Jan 16
ประกาศผล
Recruiter แจ้งว่าเราเป็น The strongest candidate ในตำแหน่งนี้ตั้งแต่เค้าทำงานที่ Facebook มา 7 ปี และเป็นคนแรกที่ทำได้ระดับ Excellent ได้ทุกการสัมภาษณ์และทุกคำถามที่ได้รับ เป็นสิ่งที่ภูมิใจในความพยายามของตัวเองมาก
และในที่สุดตอนนี้ได้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมทีม Solutions Engineer @ Facebook Singapore แล้วครับ
ว่ากันว่าคนฉลาดให้ดูเวลาตอบ คนเก่งให้ดูเวลาถาม
เจ้านายที่เก่ง เวลาตั้งคำถามจะต้องมีการวิเคราะห์กรอบของการถามไว้แล้วตั้งคำถามที่ตรงประเด็นในข้อสงสัยที่ตั้งขึ้น และถ้าเป็นเจ้านายที่ทั้งเก่งและฉลาดเขาจะเจาะจงถามถึงแนวทางและตั้งคำถามที่แทบจะเป็นปลายปิดให้ผู้ตอบเลยเพราะเขาได้คิดหาแนวทางการแก้ไขปัญหานั้นออกอยู่แล้สและขอความเห็นคุณเพราะสนับสนุนการตัดสินใจหรือหาทางออกเพิ่มเติม
ส่วนเจ้านายโง่ๆนั้นจะตั้งคำถามแบบไร้ทิศทางปราศจากการวิเคราะห์ รอชาวบ้านเขาช่วยอย่างเดียว เช่น เจอปัญหานี้จะทำไงดีอะ ทำอะไรกับมันได้บ้าง รู้ทางออกไหม ทั้งที่บริบทของคนเป็นนายคือการลีด
#หมายสะหิดท่านหนึ่ง
แดกเอ๋ย แดกฟรีต้องมีหน้าที่10อย่างด้วยกัน
1แดกเรื้อนอย่างกับหมา
2แดกหรูหราตามงานหมั้น
3เนียนแดกกับครูอาจารย์
4แดกฟรีบางครั้งต้องสุภาพอ่อนหวาน
5แย่งแมวแดกปลาทู
6ชิงแดกหมูเพื่อนในจาน
7ต้องศึกษาเส้นทางถ้าพนักงานว่างให้ออกหลังร้าน
8วัดนี่ตัวประหยัด
9ดราม่าจัดตลอดกาล น้ำใจคนไทยแหลกลาญ น้ำตาหนึ่งจานแลกข้าวได้ทุกเวลา
10แดกฟรีก็มีประโยชน์ ถ้าไม่โดนลงโทษ กฏที่ห้ามต้องรักษา
หากเราทำได้ทุกเวลา มันจะช่วยนำพาให้เราเจริญ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"In politics stupidity is not a handicap." - Napoleon Bonaparte
สำนวนเด็ดเดือนนี้ "ฆ่าได้หยามไม่ได้"
ไปหยามเขากระเจี้ยวเล็ก เลยโดนอุ้มฆ่า จบข่าว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง #กูไม่เล็กนะครับ
เธอทำถูกแล้วค่ะ คนรวยที่ให้ความรักได้ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว ... คนเรามีสิทธิ์เลือกค่ะ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์รักแท้ด้วยการรักคนจนหรอกค่ะ ยิ่งมองไปในอนาคตอีก ผู้ชายที่รายได้น้อยควรพิจารณาตัวเองได้แล้วว่าจะพัฒนาความสามารถและรายได้ของตัวเองยังไง คนที่เรารักจะได้เลือกเรา เงินคือปัจจัยสำคัญพอๆกันกับความเข้าใจค่ะ ถ้าเธอเจอคนดีมีตังด้วย จะรั้งเธอไว้ให้ลำบากทำไม
ม.ต้นได้เงินไป รร วันละ 50 บาท
ม.ปลายได้เงินไป รร วันละ 80 บาท
มหาลัยได้เป็นรายเดือน 3,600 บาท
ตอนนี้หาเงินเองพยายามใช้วันละ 100 - 200 บาท
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ช่วงนี้มีความสงสัยขึ้นมาว่าคนที่อยู่กับภาษา Static type ตลอดชีวิต เขาจะรู้มั้ยนะว่ามันมีค่าใช้จ่ายมี Trade-off ที่ต้องแลกมาเพื่อให้มี Type safety หรือว่าเขาจ่ายจนชินแล้วจนมองไม่เห็นกันแน่นะ
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ชอบโจมตี Dynamic type ด้วยหรือเปล่านะ คือเขาเห็นว่ามันไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ก็เลยสงสัยว่าโปรแกรมเมอร์ Dynamic type ทำไมถึงไม่ทำโค้ดให้ปลอดภัย Type safe กัน ทำไมไปใช้ภาษาที่ไม่มีความปลอดภัยทางด้าน Type กันแบบนั้น (เพราะเขาไม่เห็นว่าจริงๆ มันมีค่าใช้จ่ายบางอย่าง ที่คนทำ Static type language ต้องจ่ายอยู่)
คือเราว่าบางที Developer ต้องลองภาษา Dynamic แบบเต็มตัวซักทีอ่ะ แล้วเห็นว่าท่าแก้โค้ด ท่าขยับตัว ที่เดิมทีมันทำไม่ได้บน Static Language มันทำได้ง่ายขึ้นบน Dynamic language แล้วมี Use case บ่อยแค่ไหนบ้าง มันถึงจะเห็นชัดว่า "เห้ย ที่ผ่านมา เราจ่ายอะไรไปบ้างนะเพื่อให้ได้ Type safety"
แล้วหลังจากนั้นจะชอบแบบไหนก็ไม่ว่ากัน มันก็แล้วแต่คนนะ และจริงๆ แม้แต่ตัวเอง ก็ยังคิดอยู่ว่างานหลายแบบ ก็จะยังชอบภาษาที่มี Static type มากกว่า (ถึงแม้หลักๆ ตอนนี้จะเขียนแต่ Javascript ก็เหอะ)
แต่คือ อยากให้เห็นก่อนว่าเราจ่ายอะไรไปบ้าง ท่าอะไรบ้างที่เรายอม "ไม่ทำ" เรายอมจ่าย เพื่อให้เกิด Type safety ขึ้นมา
ซึ่งมันจะมองไม่เห็นจริงๆ นะถ้าไม่เคยทำ Dynamic type จริงๆ จังๆ ซักครั้ง
"#เครื่องบินตก
ไทย: ทหารยอมตายเพื่อประชาชน
อเมริกา: รัสเซียแฮกแน่ๆ
มาเลย์: สัส พวกแบ่งแยกดินแดนยูเครน
ญี่ปุ่น: จิตวิญญาณบูชิโด!
อาหรับ: เหี้ย พวกไอ้กันโดรนสไตร์คอีกละ
เกาหลีใต้: ฝีมือเกาหลีเหนือแน่ๆ
นักนิยม PC: ต้องลองดูข้อความที่เหลือในกล่องแอฟริกันอเมริกันก่อน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จริงๆ ปัญหาเคสนี้มันไม่ใช่แค่ระบบยุติธรรมของรัฐนะ ครูเองโดนชุมชนยำไปก็เยอะตั้งแต่เป็นแค่ผู้ต้องหา สุดท้ายชุมชนก็ไม่ต้องรับผิดอะไรเช่นกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในประเทศญี่ปุ่น เด็ก ๆ ไม่มีโอกาสจับอาวุธสงครามทั้งสิ้น แค่โอกาสที่จะดูของจริงก็กล่าวได้ว่าไม่มีเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ก็แทบจะไม่มีโอกสแบบนี้ อาวุธที่เราอาจจะสามารถจับได้ก็คือปืนเพื่อล่าสตัว์เท่านั้น ซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตจารัฐด้วย ผู้ที่สามารถจับอาวุธสงครมได้ก็แค่เฉพาะเจ้าหน้าที่ของกองกำลังป้องกันตัว (Self Defense Force) ที่ได้ผ่านการฝีกมาเท่านั้น ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถูกห้ามโชว์อาวุธปืนสั้นที่พกพาตลอด โดยมีมีระบบการรายงานการปล่อยกระสุนทุกกระสุน และการปล่อยกระสุนที่ไม่เหมาะสมจะได้รับบทลงโทษ สิ่งเหล่านี้ทำให้สังคมห่างไกลจากภัยอาวุธปืน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำลายความเคารพที่มีต่อเจ้าหน้าที่ในกองกำลังและตำรวจ และศักดิ์ศรีของเจ้าหน้าที่เหล่านีั้ด้วย
#เป็นความเห็นส่วนตัวของคนต่างประเทศ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อ้าว งั้นแสดงว่านี่เป็นญี่ปุุ่นปลอมสิครับ สมกับเป็นเมืองจีนจริงๆ https://pantip.com/topic/36012271
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
>>766 อยู่ถึง พ.ศ. 2600ต้นๆมั้ยหล่ะ? ช่วงนั้นสนธิสัญญาที่ยุ่นต้องจ่ายค่าเสียหายทางสงครามจะหมดอายุสัญญาพอดี ประเทศจะตั้งกองกำลังทหารเองได้อีกครั้ง ก็คอยดูเอา แต่ปืนจู่โจมของกองกำลังป้องกันยุ่นนี่ทันสมัยไม่ใช่น้อยๆนะ แถมออกแบบผลิตเองด้วย ไม่ขายสิทธิบัตรให้ใครผลิตไปขายเองเลย
"เมื่อกี้ขับรถอยู่ในซอยแถวราม เห็นรถที่สวนมาแต่ไกลไม่มีคนขับ เหยด! นี่มันรถอัตโนมัติ ตื่นเต้นมากๆ เลยครับ พอรถเข้ามาใกล้ สัส คนดำใส่ชุดดำขับรถ เบาะแม่งสีดำด้วย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องญี่ปุ่นไม่มีกองทัพนี่เป็นเพราะมาจากการระบุในรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ตอนแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่หรอ ถ้าจะตั้ง ก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญกันใหม่
Over the next 20 years, 500 people will hand over $2.1 trillion to their heirs – a sum larger than the GDP of India, a country of 1.3 billion people
The incomes of the poorest 10% of people increased by less than $3 a year between 1988 and 2011, while the incomes of the richest 1% increased 182 times as much.
one in nine people still go to bed hungry. Had growth been pro- poor between 1990 and 2010, 700 million more people, most of them women, would not be living in poverty today.
three-quarters of extreme poverty could in fact be eliminated now using existing resources, by increasing taxation and cutting down on military and other regressive spending.
over the last 25 years, the top 1% have gained more income than the bottom 50% put together.
Big businesses did well in 2015/16: profits are high and the world‟s 10 biggest corporations together have revenue greater than that of the government revenue of 180 countries combined.
In the 1980s, cocoa farmers received 18% of the value of a chocolate bar – today they get just 6%.
The International Labour Organization estimates that 21 million people are forced labourers, generating an estimated $150bn in profits each year.
The world‟s largest garment companies have all been linked to cotton-spinning mills in India, which routinely use the forced labour of girls.
Apple allegedly paid 0.005% of tax on its European profits in 2014.
Kenya is losing $1.1bn every year in tax exemptions for corporations, nearly twice its budget for health – this in a country where women have a 1 in 40 chance of dying childbirth.
In the UK, 10% of profits were returned to shareholders in 1970; this figure is now 70%.
Thirty years ago, pension funds owned 30% of shares in the UK; now they own only 3%.
The world‟s third richest man, Carlos Slim, controls approximately 70% of all mobile phone services and 65% of fixed lines in Mexico, costing 2% of GDP.
The 1,810 billionaires on the 2016 Forbes list, 89% of whom are men, own $6.5 trillion – as much wealth as the bottom 70% of humanity.
one-third of the world‟s billionaire wealth is derived from inherited wealth, while 43% can be linked to cronyism.
the wealth held by the super- rich since 2009 has increased by an average of 11% per year. If billionaires continue to secure these returns, we could see the world‟s first trillionaire in 25 years.
The fortune of Bill Gates has risen 50% or $25bn since he left Microsoft in 2006, despite his commendable efforts to give much of it away.
Countries compete to attract the super-rich, selling their sovereignty. For an investment of at least £2m, you can buy the right to live, work and buy property in the UK and benefit from generous tax breaks. In Malta, a major tax haven, you can buy full citizenship for $650,000.
$7.6 trillion of wealth is hidden offshore.
Africa alone loses $14bn in tax revenues due to the super-rich using tax havens – Oxfam has calculated this would be enough to pay for the healthcare that could save the lives of four million children and to employ enough teachers to get every African child into school.
In the US, the top rate of income tax was 70% as recently as 1980; it is now 40%.43 In the developing world, taxation on the rich is lower still: Oxfam‟s research shows that the average top rate is 30% on incomes, and the majority is never collected.
ชื่อกองกำลังป้องกันตัวเอง แต่สภาพมันก็คือกองทัพดีๆนี่เอง แค่ออกไปนอกประเทศไม่ได้แค่นั้น
"จากการทำงาน 20 กว่าปี เราเห็นว่า คนชอบไปบริจาคสิ่งของที่สถานสงเคราะห์ ทั้งที่จริงแล้วเด็กไม่ได้ต้องการวัตถุ แต่พวกเขาต้องการความรู้สึกภาคภูมิใจ และถูกรัก แต่คนกลับเอาของไปให้ หนำซ้ำไปแล้วก็อยากจะแจกให้ถึงมือ ถ่ายรูป ฯลฯ หรือหากไปเลี้ยงข้าวก็ไปบังคับว่า เด็กต้องกินข้าวให้หมด เด็กเองก็จะถูกสั่งว่า ต้องกินให้หมด แม้อิ่มแค่ไหนก็ต้องกินเพราะเดี๋ยวแขกเสียใจ ด้วยระบบการทำงานแบบนี้ เจ้าหน้าที่หลายคนก็ไม่กล้าปฏิเสธแขก เพราะกลัวแขกเสียใจและรู้สึกไม่ดี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนเราบางทีก็แปลก คิดเสมอว่าประเทศอื่นจะดีกว่าตลอด
อย่างคนสหรัฐอยากไปอยู่ไทย คนไทยอยากไปอยู่ญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นอยากไปอยู่แคนาดา คนแคนาดาอยากไปอยู่สหรัฐ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เราไปทริปจีนที่ผ่านมาส่วนที่ตรึงตาตรึงใจที่สุดในทริปไม่ใช่เรื่องจีนนี่มันจีนจริง ๆ หรือภาพสาวเกะจีนแดนซ์เปลื้องผ้า (หรือเรื่องเล่าว่าราคาสาวที่นี่แปรผันตรงตามความสูง งี้คนชอบตัวเล็กก็ได้เปรียบดิ 555+)
แต่เป็นเรื่องตอนผู้ใหญ่จิบไวน์คุยกันก่อนกลับ
คือในทริปนี้ไปนอกจากประธานและพกองค์กรบริหารยะลาแล้วก็มีตัวเป้ง ๆ ไปด้วยอย่างท่านวันนอร์ (วันมูหะมัดนอร์ มะทา เราถึงกับต้องไปกูเกิ้ลหาชื่อเต็ม)
ก็คุยกันเรื่องการเลี้ยงดูทหารการปั้นทหารโน่นนี่นั่น ทหารคนไหนอยู่ในกระเป๋าใคร สายเจ้าคนไหนซึ่งเราบอกตรง ๆ ว่า กูไม่ทันสัส! ชื่อว่อนไปมาเยอะมาก!
แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าตกลกประเทศกูอยู่ในมือใครฟระ คือมันอีลีทพวกนี้แหละ แต่สูดท้ายใครใหญ่สุด แม่งเลี้ยงกันไปเลี้ยงกันมาจนเราไม่ทัน เข้าไม่ถึง
และเพราะมาดูเทคโนโลยี ก็เลยมีการคุยเทคโนโลยีทั้งที่เกี่ยวกับโปรเจคและที่ไม่เกี่ยว ซึ่งความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์บั่บ....
เอาเป็นว่าเขาเชื่อในการ Dowsing ในการหาน้ำบาดาล รวมถึงมีการเคลมว่าน้ำทุกแหล่งในประเทศไทยจะสะบัดตามแรงหมุนของโลกและสนามแม่เหล็กโลกจนทำให้เกิดตาน้ำใต้ดินในมุม 23.5° ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของแหล่งน้ำเสมอ
และเขาเชื่อสุดใจว่า GT200 แม่งใช้ได้ครับ
เอิ่มอ่า...
มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>778 ลองอ่านแล้วเหมือนในเม้นจะมีคนบอกว่า dynamic type มัน flexible กว่า เวลาต้องแก้มันคล่องตัว
จากประสบการณ์ส่วนตัวกูนี่คือที่สุดแห่งความจัญไรของมันเลยนะ เวลา structure หรือ type ของ object เปลี่ยนทีนี่นั่งแก้กันหน้ามืด
บางทีแก้ไม่ครบหรือแก้ผิดกว่าจะรู้ก็ต้องรอ runtime เวลา test ก็นั่งวิตกจริตอีกว่าครบทุกจุดแล้วรึยัง หลุดอะไรไปมั้ย
เทียบกับ static type ที่บังคับด้วย syntax ถ้าเขียนผิด compiler ก็บอกเลย ถ้าตอน set field ต่างๆไม่เมาใส่ผิด(ซึ่งก็เกิดไม่บ่อย)ก็ไม่ค่อยมีปัญหา
"คนที่อ้างว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงจะต้องอยากติดคุกครับ ก็เลยร่วมมือกับครูเพื่อใส่ร้ายตำรวจ เสร็จแล้วครูก็จะขึ้นเป็น ผบตร.แทน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"นอกจากเรื่องนี้ยังมีความระยำที่เหนือกว่าอีกนะครับ คือทุกวันนี้บีทีเอสยังสร้างลิฟท์สำหรับผู้พิการไม่เสร็จเลย ทั้งที่ผ่านมา 2 ปีแล้วหลังศาลปกครองมีคำสั่งให้สร้าง อ่านแล้วผมก็รู้สึกว่าถ้าศาลสั่งให้ตัดขาผู้บริหารบีทีเอสทั้งหมด แล้วให้นั่งรถเข็นซะเอง อาจจะสร้างเสร็จเร็วกว่านี้นะครับ
นอกจากนี้ผมยังติดใจว่าทำไมศาลไม่มีการปรับบีทีเอสแม้แต่บาทเดียวเลย นี่มันคือ "ละเมิดอำนาจศาล" ชัดๆเลยนะ ถ้าเป็นเมืองนอกผมมั่นใจว่าโดนปรับเป็นล้านต่อวันแน่ๆ ในเมื่อบีทีเอสไม่ต้องถูกลงโทษแล้วมันจะมี incentive อะไรในการทำตามคำสั่งศาลหรอครับ? งง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Type มันไม่ได้มีแค่ Static กับ Dynamic มันมี
Static type ที่เป็น Weak typing (C) กับ Strong typing (Haskell)
Dynamic type ที่เป็น Weak typing (PHP) กับ Strong typing (Python)
"ประเด็นเรื่องหอนาฬิกา
เราได้ตัดต่อตัวเองขึ้น(ใส่ชุดครุยถูกระเบียบทุกอย่าง)ไปนั่งบนวงเวียนหอนาฬิกา จากนั้นก็มีผู้ใหญ่ในคณะโทรเข้ามาติเตือนขอให้ลบภาพนี้ เราก็แปลกใจ แค่หอนาฬิกาเนี้ยนะ เราจึงถามเหตุผล ผู้ใหญ่ท่านนั้นบอกว่า หอนาฬิกาอยู่คู่กับมช.มานานกว่า50ปี เป็นที่ๆทุกคนผ่าน เราจะไปอยู่บนหัวเขามันไม่ถูกต้อง สำหรับเราแล้วเหตุผลเท่านี้มันยังไม่พอ เราตอบเขาไปว่าผมคงลบภาพนี้ให้ไม่ได้ เขาก็บอกว่าถ้าไม่เชื่อถือกันแล้ว ก็ถือว่าวันนี้เราไม่ได้คุยกัน จากนั้นอีกประมาณ40นาทีก็มีผู้ใหญ่ในคณะอีกท่านโทรเข้ามา เราขอเหตุผลที่มากกว่านั้น เหตุผลที่เขาให้มาก็ไม่ได้ต่างจากผู้ใหญ่ท่านแรกมากนัก เราก็ตอบเหมือนเดิมคงลบให้ไม่ได้ครับ เราถามเขาไปว่าละบัณฑิตคนอื่นล่ะที่แต่งกายผิดระเบียบมีวิธีการจัดการยังไงหรือว่าเห็นผมเป็นคนที่รู้จักกันจึงมาต่อว่าแบบนี้ เขาก็บอกจัดการอยู่แล้วจัดการทุกคน(เราขอโทษเพื่อนๆด้วยที่พาดพิงถึง) เขาบอกเราว่าถ้ายังไม่ยอมลบจะส่งเรื่องให้คณะบดี ละให้คณะบดีโทรมา จากนั้นอีกประมาณ30นาทีก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาหาเรา เราไม่ได้รับสายเพราะเราไม่รู้ตัวและกำลังขับรถอยู่ เราไม่ได้โทรกลับด้วย เรารู้สึกว่าเรื่องนี้มันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่ เราจึงตัดสินใจ ปิดการมองเห็นรูปหอนาฬิกา ให้มีแต่เราคนเดียวที่เห็น และเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ใหม่ ที่มีคำบรรยายว่า ถ้ามัวแต่อยู่กับสิ่งเดิมๆ ก็ไม่มีทางได้เจอสิ่งใหม่ และมีคำพูดบนภาพว่า ตัวอย่างที่ดีมันก็มี บัณฑิตแบบพี่ อย่าไปเป็น และมีอีก2-3รูปที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ผมไม่พอใจที่สุดในเรื่องนี้คือ ผู้ใหญ่ทั้งสองที่โทรเข้ามา พูดทำนองว่า เห็นว่าพ่อเราป่วยก็เลยมาคุยกับเรา ไม่งั้นก็โทรหาพ่อไปแล้ว
เราไม่เข้าใจเลยว่าพ่อเราเกี่ยวอะไร แต่เราก็ไม่ได้ห้ามให้เขาโทร เรารู้ว่าพ่อเรารู้จักเราดีพอ เพราะมีเรื่องอะไรเราก็คุยกันด้วยเหตุผล อีกเรื่องหนึ่งคือการแต่งกายผิดระเบียบ เราคิดว่าที่มีคนแต่งผิดกัน เพราะทุกๆปีเขาก็แต่งกับแบบนี้มันก็สวยดี และไม่มีใครมาบอกว่าแต่งกายแบบนี้มันผิด มหา'ลัยรอให้มีคนแต่งกายผิดละค่อยตำหนิ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ที่ถูกติไม่พอใจและทำให้เกิดการต่อต้านเนื่องจากไม่เคยแจ้งล่วงหน้า หากแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นเราคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะยอมรับได้และไม่แต่งกายผิดแบบที่ผ่านมา
เราเชื่อว่าทุกคนก็มีมช.ในมุมที่ตัวเองรัก มุมที่ตัวเองอยากถ่ายเก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยผ่านอะไรมาบ้างในสถานที่แห่งนี้ เราก็เป็นคนหนึ่ง เราคิดอยากจะไปนั่งบนหอนาฬิกามานานละ แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ มันอันตราย เราก็เลยตัดต่อภาพเพื่อให้สิ่งที่เราคิดฝันไว้เป็นจริง ละไม่คิดเลยว่าจะมีประเด็น เราคิดว่าวงเวียนหอนาฬิกาเป็นสิ่งปลูกสร้าง เหมือนตึก อาคาร และเป็นสิ่งที่ใครเห็นก็รู้เลยว่าที่นี่คือมช. เราก็เลือกที่นี่ (ภาพหอนาฬิกาที่เรานำมาใช้ตัดต่อก็เป็นภาพที่เราถ่ายเอง) หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด เราอยากรู้ว่าทุกคนคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้บ้าง?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ใครที่มาพูดกับคุณว่า "ไม่เลือกงานไม่ยากจน" ขอให้รู้ว่ามันไม่ใช่คำพูดที่หวังดีกับเรา โดยคนที่พูดอาจจะตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจ เพราะไม่คิดถึงหรือไม่รู้ความน่ากลัวของคำพูดนี้ก็ได้
ค้ามนุษย์มั้ย? ค้ายามั้ย? หรือทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้เงิน? โอเคนั่นอาจจะ extreme ไปหน่อย แต่มันมีงานที่ยิ่งทำยิ่งติดลบ งานที่ไม่มีอนาคต งานที่โดนเอาเปรียบ งานที่ทำแล้วได้ไม่คุ้มเสีย
มันคือ Fallacy เป็นประโยคที่ฟังดูสวยหล่อ แต่เป็นคำคมกลวง ๆ ที่เอาไว้ปลอบใจ กล่อมคนด้วยคำหวาน ฟังดูดี แต่เป็นพิษร้ายหลอกลวงที่อาจถึงตาย
ความจนมันน่ากลัว แต่ชีวิตทุกคนมีทางเลือก ความจนไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เราต้องทำทุกอย่างแม้แต่การไปเบียดเบียนคนอื่น หรือทำลายตัวเองต้องลดค่าตัวเองเพื่อเงิน หรือทนรับสภาพในความไม่ยุติธรรม
คนทุกคนล้วนเลือก คนทุกคนมีทางเลือก แม้จะเหมือนไม่มีทางเลือกก็ยังเหลือทางเลือกว่าเราจะสู้จะปล่อยไปหรือจะยอมแพ้ เพราะเราเป็นคน เราจึงไม่ควรปล่อยให้คำพูดนี้มาทำให้เราตัดช่องน้อยแต่พอตัว หรือปล่อยให้คนอื่นมาเอาเปรียบเรา
เราเลือกงาน แม้ว่าเราจะต้องลำบากกว่า ได้เงินน้อยกว่า แต่เราเลือกเพราะว่าเราทำแล้วสบายใจ นี่คือทางเลือกของเรา และคุณมีทางเลือกของคุณ แต่อย่าให้คนมาบอกว่าคุณอย่าเลือกงานราวกับคุณไม่ควรเลือกหรือไม่มีทางเลือก เพราะทุกคนล้วนเลือก และเมื่อคุณเลือกคุณต้องยอมรับผลของการเลือกขอตัวเองให้ได้ แค่นั้นเอง
เพื่อนเราพูดว่า คนที่ไม่จนคือคนที่เลือกงานที่ทำแล้วไม่ขาดทุน ซึ่งเราเห็นด้วย
ทุนในที่นี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน รวมถึงโอกาส ความก้าวหน้าด้วย งานนี้เงินน้อย แต่ได้คอนเนคชั่นเยอะ โนว์ฮาวแยะ ต่อยอดได้มากเพื่ออนาคต นั้นไม่ขาดทุน แต่งานนี้เงินเหมือนจะเยอะ แต่บ่อนทำลายสุขภาพ ค่าใช้จ่ายแฝงเยอะ ควาเสี่ยงสูง สุดท้ายเงินที่ได้อาจไม่พอรักษาตัวเองกลับกลายต้องเป็นหนี้แทน นี่คือขาดทุน
เลือกให้ดี เลือกทำให้ที่สุดแล้วเราจะไม่ขาดทุน
"#ช่วงรักออกแบบไม่ได้ นั่งกินข้าวหน้าร.ร.หญิงแห่งนึง เด็กนร.หญิงโต๊ะข้างๆคุยกัน
"กูว่าหลวงพี่ที่สอนพระพุทธฯชอบกูแน่" นรหญิงคนนึงเปิดประเด็น
"มึงรู้ได้ไง? คิดอะไรแบบนี้บาปนะมึง" เพื่อนในวงพูด
"ตอนเลิกคาบเขามาขอไลน์กูว่ะ บอกว่าเผื่อเอาไว้สนทนาธรรมกัน เขาขอพวกมึงปะ?"ต้นเสียงตอบ
เพื่อนในวง "ก็ป่าวนะ แล้วมึงยังไงให้ไปปะ"
สาวเจ้าเสน่ห์ตอบ "ก็ให้ไปอ่ะมึง กูว่าท่านก็ดูเป็นคนดีนะ"
"ว้ายยยยย"เพื่อนทั้งโต๊ะร้องพร้อมกัน
รู้สึกดีใจกับน้องอาจจะได้คนดีที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่กินข้าวเย็น ไม่เจ้าชู้(อันนี้ไม่แน่) ไปไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้และที่สำคัญมีรายได้ดีมั่นคงด้วย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>788 เคยสนทนากับอีนี่ในเพจพวกแนวๆสังคมการเมืองครั้งนึง บอกตามตรงว่ามันเป็นพวกร่านแบบextremeสุดๆ มันจะยิงคำถามโง่ๆมาตลอดละชอบไล่บี้ให้คนที่คุยด้วยจนเค้ารำคาญ ละแม่งพอหาเหตุผลที่ตรงใจมันไม่ได้มันก็จะhate speech. เปิดประเด็นใส่คนนั้นเลย เมื่อสามปีก่อนจำได้ว่าเคยเจอมันในกลุ่มๆนึง มันแนวคิดออกจะanarchyมากๆ คือ แม่งจะคุยเข้าเรื่องเบื้องสูงในเชิงหมิ่นตลอด บางทีแม่งก็ยัดเยียดให้คนนั้นคนนี้ทำตามที่มันบอก เออ ออกตัวก่อนนะว่ากูไม่ใช่พวกสลิ่มหรือสวะวุธ กูก็ลิบร่านนิดๆนะแต่ไม่หนักเท่ามัน ไม่งั้นคงเห็นกูเป็นอีกคนที่จะปีนขึ้นไปหอนาฬิกาจริงๆบนนั้นแบบไม่ตัดต่อแล้วเป็นดร่ามาออฟโซเชี่ยลอีกคน
...ตำรวจจับฆาตกรนอนคุกคืนเดียวก็ให้ประกันตัว!!
หลังจากนั้นฆาตกรก็ลอยนวลโพสต์เฟสบุคกินเที่ยวไปทั่ว แถมมีเพื่อนๆในเฟสบุคคอมเมนท์์ให้กำลังใจ
ประเทศอะไรเนี่ยน่าสะพรึงมากๆ!!
เมื่อปีที่แล้ว มีพุทโธเลี่ยนคนนึงมาคุยกับผม แล้วพยายามจะแสดงธรรมให้ผมกลับใจ และโดนผมโต้ด้วยเรื่องราวในตำราศาสนาของเค้าเอง ซึ่งแน่นอน เค้าไม่รู้
เค้าถามผมว่า จะรู้ไดไงว่าผมไม่มั่ว ผมตอบกลับไปว่า ไอ้ 45เล่มในตู้ของพุทธน่ะ ผมอ่านจบมาแล้ว เค้าก็บอกไม่เชื่อ ผมเลยเล่าชาดก3เรื่อง คือพญากระต่าย (อันนี้ไปซ้ำกับอีสปด้วยนะ) พญาเต่า และพญาอินทรี ให้เค้าไปค้น (เค้าต้นในใหนไม่รู้) เค้ากลับมาคุยกับผม ยอมรับว่า ผมรู้เรื่องในตำราสามตระกร้าจริง ๆ เค้าเลยถามผมว่า ถ้ารู้ขนาดนั้น ทำใมไม่ศรัทธาในศาสนาพุทธ ผมเลยถามกลับว่า คุณเคยอ่านใหม เค้าตอบ ไม่เคย ผมถามว่า แล้วเคยศึกษาศาสนาพุทธใหม เค้าบอก แค่เคตยเรียนในโรงเรียน ผมเลยบอก เออนั่นแหละ เค้าก็งง ๆ คือคงไม่เข้าใจคำตอบผมจริง ๆ
ผ่านมาปีกว่า ผมคิดว่าผมอธิบายแล้วกัน คือ พวกที่ศรัทธาในาสนาตัวเองแบบฝังหัวน่ะ ไม่มีใครศึกษาศาสนาตัวเองสักคน ได้แต่ฟังตามกันมา หรือเขาเล่าว่า แล้วก็ปราบปลื่นศาสนากุดีที่สุดในโลก แต่ไม่เคยรู้ว่า ศาสนาตัวเองจริง ๆ เป็นยังไง
แต่ผมเคยคุยกับเหม่งแล้วถูกคอนะ(ตอนนี้หายไปแล้ว) เค้าบอกว่าเค้าอ่าน45เล่มเหมือนกัน อ่านยังไงก็นิทาน มีแต่เรื่องไร้สาระ เรื่องโกหก ผมเลยถามไปว่า ถ้ารู้แบบนั้น ทำใมยังบวชอยู่ เค้าบอกว่า เงินมันดี แหม่ พูดซะตรงเชียว 55555
พูดง่าย ๆ ว่าศาสนาน่ะ มันไม่ได้ดีเด่อะไรหลอก ถ้าศึกษาลึก ๆ แล้วมันก็เน่าเฟะหมดนั่นแหละ นี่คือสาเหตุที่ผมไปขออ่าน45เล่มในตู้แล้วเหม่งแม่งไม่ยอมให้อ่านสักวัด (ตื้อจนได้อ่าน โคตรเหนื่อยเลยขอบอก)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมว่าสงครามของคนกับ AI มันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ตัดภาพไปอีกทีคนอาจจะนั่งกราบมันอยู่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“พวกนักวิชาการซ้ายสมัยก่อนมันไปจัดตั้งกรรมกรในโรงงาน ส่วนเดี๋ยวนี้มันไม่ได้สนใจแรงงานแล้ว มันสนใจอะไรของมันก็ไม่รู้ กะทงกะเทย หีแตดอะไรไปทั่ว
ท่านก็ลองดูเวลาพวก so-called ฝ่ายซ้ายเดี๋ยวนี้คุยกันเรื่องอะไร มันไม่พูดเรื่องแรงงานหรอกท่าน มันพูดเรื่อง racial เรื่อง gender
นักวิชาการฝ่ายซ้ายของจริงต้องประธานเหมา”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“เย็ดแม่ ถกกันเรื่อง racist เรื่อง gender แต่คนกำลังตกงาน ไม่มีแดก ใครจะมาฟัง
มึงนึกภาพมึงไปบอกชาวนาตอนนี้ว่า เห้ย พักเรื่องข้าวเกวียนละเท่าไรไว้ก่อน มึงต้องยอมรับกันว่าตุ๊ดสมควรได้เข้าห้องน้ำหญิงนะ”
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
>>799 ญี่ปุ่นก็เอามาจากเรื่องกระต่ายโดดเข้ากองไฟเลยได้เข้าเฝ้าพระอินทร์นั่นแหละ
อีสปนี้จะอ้างต้องเช็กดีๆด้วยบางเรื่องแม่งโมเมจากที่อื่นแล้วบอกของอีสป.....พอๆกับ การ์ตูนดิสนี่ย์มีกูรู้มาโมเมมาจากพี่น้องกริมทั้งที่บางเรื่องเป็นเรื่องของฮาน คริสเตียน แอนเดอสันแต่ง
ถ้าคุณฝักใฝ่เผด็จการ แล้วชอบโซตัส เราไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณบอกว่ารักประชาธิปไตย แต่ชอบระบบโซตัส คุณแม่งโคตรย้อนแย้ง
#มิตรสหารท่านหนึ่ง
"The easiest place to get pussy is at liberal protest. I was at this protest and yell fuck Trump once in two hours. Then i ended up in this hipster studio place with a girl with skrillex hair style. She ask me what i think about women's right so i answer that it's better than women wrong. We laughed and had anal afterward."
-มิตรสหายอเมริกันท่านหนึ่ง
"เพ้อเจ้อ" มาจาก คำภาษาอังกฤษ "Perjure" ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คุณต้องเข้าใจวิธีการทำงานของอัตตา ในสังคมของปุถุชน ความไม่เข้าใจผู้อื่นหรือไม่อยากเข้าใจผู้อื่น มันช่วยผลิตอาหารป้อนอัตตา เพราะมันเปิดโอกาสให้เราได้ด่าทอคนตามใจชอบ เพราะฉะนั้นเมื่อสังคมมีจริตในความคิดเชิงลบ มีจริตในเรื่องที่จะด่าทอ การด่าผู้อื่นเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งจึงเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นอาหารป้อนอัตตา ซึ่งก็เหมือนอาหารทางกาย คือ ต้องกินเป็นประจำ ตราบใดที่คนเรายังไม่หลุดพ้นจากวงวัฎแบบนั้น มันก็จำเป็นต้องหาคนชั่วมาให้ตนเองประณาม เมือประณามเสร็จแล้วก็รู้สึกดี หนึ่ง รู้สึกว่าตนเองสูงส่ง สอง รู้สึกว่าตนเองไม่ต้องแก้ไขตัวเองเพราะมีคนชั่วกว่าตนเองเยอะแยะ อันนี้เป็นจริตของมนุษย์จำนวนมาก
จากประสบการณ์ที่ตามแดกคนต้ม homebrew มาหลายปี ผมมั่นใจอย่างนึงว่า คนต้มเบียร์บ้านเราอยากเสียภาษีให้รัฐมาก ถามจริงๆเหอะ ใครแม่งอยากจะเอาตัวเองไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง ประเทศนี้แม่งก็บ้า พยายามเขียนกฏหมายให้คนต้มเบียร์มีความผิดร้ายแรงเหมือนทำยาบ้า
คนพวกนี้ไม่ได้เป็นโจร หรือเป็นอาชญากร อย่างที่รัฐพยายามทำให้คิดว่าเป็นเช่นนั้น บางคนเป็นวิศวกร บางคนเป็นอาจารย์ เป็นนักธุรกิจ เงินเดือนหลายแสน จะเอาตัวเองมาเสี่ยงคุกทำควยอะไร ทำเบียร์แม่งไม่ได้ช่วยให้รวยด้วย แต่ทำเพราะอยากเห็นของดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เบียร์ลาเกอร์เลวๆอยู่ในตลาด ทำเพราะอยากแดกของดี สิทธิในการเสพของดีเป็นของมนุษย์ทุกคน แต่ประเทศนี้เขาไม่ให้มึงแดกเหล้าเบียร์ดีๆกัน
กฏหมายประเทศนี้ อนุญาตให้ทำเบียร์แบบที่ถูกกฏหมายได้แค่ 2 แบบเท่านั้น
1. แบบแรกคืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ต้องผลิตหลายล้านลิตรต่อปี ต้องมีเงินพันล้านสร้างโรงงานขนาดใหญ่
2. ต้องมีเงินขั้นต่ำ 10 ล้านบาท เพื่อไปขอจดทะเบียนทำ brewpub ซึ่งต้องผลิตขั้นต่ำ หนึ่งแสนลิตรต่อปี บรรจุขวดไม่ได้อีก
ถ้าท่านพินืจพิจารณาเงื่อนไขข้างบน จะเข้าใจว่าบ้านเราไม่มีพื้นที่ให้ผู้ผลิตรายย่อย ขณะที่นานาประเทศ กำหนดขั้นต่ำเพียงสองหมื่นลิตร ก็สามารถประกอบธุรกิจ สร้างเบียร์ดีๆมาเป็นตัวเลือกในราคาสมเหตุสมผล ให้กับผู้บริโภคที่ต้องการเสพสุนทรียะในชีวิต
แต่ประเทศเราไม่มีพื้นที่ให้คนที่อยากสร้างสรรค์ อยากสร้างตัวเลือกใหม่ๆ
ชีวิตที่ไม่มีทางเลือก เสพได้แต่ของที่เขาอยากให้เสพ มิใช่ชีวิตที่งดงาม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำไมรู้สึกที่คราฟเบียร์ผิดกฏหมายเพราะมีบริษัทล็อบบี้อยู่เบื้องหลังวะ
"Pasta Carbonara ของจริงต้องไม่ใส่นม ไม่ใส่ครีม ความมันมาจากชีส Pecorino ล้วนๆ ส่วน Becon นั้นเค้าก็ไม่ได้ใช่ท้องหมูเหมือนทั่วไป แต่ต้องเป็น Guanciale ซึ่งเป็นส่วนแก้มหมู"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ปล่อยให้ทำกันเองได้สบายๆ เม็ดเงิน(ใคร)ก็หายดิวะ ไม่ได้หรอก
"เห็นข้อมูลเรื่องกฏหมายการทำเบียร์ที่โพสข้างล่างเขียนไป ขอถือวิสาสะเขียนอธิบายคร่าวๆนะครับ จะได้ไม่เข้าใจผิดกัน
ประเทศไทยอนุญาตให้ทำเบียร์ได้ถูกกฏหมายได้แค่ 2 แบบ
แบบแรกคือ ทำ brewpub นึกภาพไม่ออกให้นึกถึงโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงเข้าไว้ครับ นั่นล่ะ brewpub ประเภทนี้ประเทศเรากำหนดให้มีกำลังการผลิตขั้นต่ำ 1 แสนลิตรต่อปี แต่ไม่เกิน 1 ล้านลิตรต่อปี รายละเอียดปลีกย่อยยั้วเยี้ยขอข้ามไป ไอ้ประเภทว่าห้ามบรรจุขวด ห้ามใส่โถใส่ถังเอาไปจำหน่ายนอกร้าน ก็บังคับใช้กับบริวผับบ้านเรา อยากดื่ม ดื่มได้แค่ในร้าน
แบบที่สองคือ โรงเบียร์ขนาดใหญ่ ต้องมีกำลังการผลิตอย่างน้อย 10 ล้านลิตรต่อปี จำนวนมหาศาลขนาดนี้ นึกถึงพวกสิงห์ช้างไปเลย
ดังนั้นบ้านเราจึงไม่มีที่ว่างให้ microbrewery ขนาดเล็กครับ บางประเทศกำหนดแค่ 2 หมื่นลิตรต่อปีก็ทำได้แล้ว แต่ประเทศเรา 10 ล้านลิตรครับ อ้วกแตกกันไป อยากต้มเบียร์เป็นบริวผับยังต้องทำ 1 แสนลิตรขั้นต่ำ มหาศาลมากๆครับ
ส่วนคราฟต์เบียร์ไทยที่ทุกท่านดื่มกันทุกวันนี้ ร้อยละ 80 % คือของผิดกฏหมายครับ เพราะการทำ homebrew เป็นสิ่งผิดกฏหมายในประเทศนี้ ถ้าต้มเฉยๆ โดนปรับ ต้มแล้วขายปรับหนักกว่า คราฟต์เบียร์ไทยที่ทุกท่านดื่มทุกวันนี้ ตัวไหนไม่มีสแตมป์แปะ มันคือของเถื่อนครับ
ไอ้อีก 20 % ที่เหลือคือคนทำคราฟต์เบียร์ไทยที่ต้องถ่อไปต้มเบียร์ที่ต่างประเทศครับ แล้วค่อยนำเข้ามาขายอย่างถูกกฏหมาย ติดสแตมป์ ทำเรื่องนำเข้า เสียภาษีมหาโหด พวก sandport / happy new beer / มหานคร / stone head พวกนี้คืออดีตของเถื่อนที่ไปทำแบบถูกกฏหมายแล้ว
ส่วน fullmoon ที่ทำชาละวันกับชาตรีนั้น เป็นบริวผับที่ภูเก็ต แต่เขาก็ไปต้มที่ต่างประเทศเช่นกัน แล้วนำเข้าไอ้ชาละวันกับชาตรีเข้ามาขายนี่ล่ะ ไม่ได้แปลว่าเขาเอาเบียร์ในบริวผับของเขามาบรรจุขวดนะครับ บริวผับกับตัวที่ต้มนอกเป็นคนละส่วนกัน
ส่วนร้านขายคราฟต์เบียร์ไทยที่เราๆ รู้จักกัน ที่ฮิตๆ กัน ผิดกฏหมายหมดครับ ทั้ง let the boy die นี่ก็ผิดกฏหมาย โดนจับโดนบุกร้านกันมาหลายรอบแล้ว ร้านชิตเบียร์ก็ผิดกฏหมาย โดนจับมาหลายรอบแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่พวกเราดื่ม เป็นเรื่องชั่วช้านะครับ เราอยู่ในสนามที่ไม่แฟร์ กฏกติกาเอื้อแต่รายใหญ่ บีบให้รายเล็กๆต้องดิ้นรนหาวิธี หาทางออก เพื่อให้เราได้ดื่มเบียร์ทางเลือกกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จนเองแล้วโวยวายอยากดื่มเบียร์ชิค ๆ ตายแล้วไปเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีเถอะเหล่าเด็กนิติขี้เมา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้ากูรู้ว่ามึงต้ม กลั่นเบียร์เอง ไม่ได้ตรวจมาตรฐาน ให้กูแดกฟรีกูยังไม่กล้าเลยสัด พิษมันสะสมนะเว้ย
“อยากได้คนรับส่งให้หาผัวเป็นแท็กซี่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้ากินเด็กแล้วเป็นอมตะ แล้วทำไมมูฮัมหมัดถึงตาย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Doc Preview :
Blood, Sweat, and Beer เป็นหนังสารคดีที่เล่าถึงการเติบโตอย่างพรวดพราดของธุรกิจคราฟต์เบียร์ในอเมริกา โดยโฟกัสไปที่การเดินทางอันยากลำบากของสองสตาร์ตอัพรายเล็กๆ หนึ่งคือแก๊งเพื่อนสามหนุ่มอายุ 20 ต้นๆ ที่พยายามจะตั้งโรงทำเบียร์ขนาดเล็กของตัวเองขึ้นในเมืองแบรดด็อคอันสุดจะซอมซ่อ ด้วยความหวังว่าโรงเบียร์ของตนจะช่วยฟื้นชีวิตให้อดีตเมืองอุตสาหกรรมแห่งนี้ได้ กับอีกหนึ่งหนุ่มใหญ่เจ้าของบริวเวอรี่และร้านอาหาร/ร้านเบียร์ริมทะเลที่กำลังเผชิญวิกฤตจากการถูกแบรนด์ใหญ่ไล่ฟ้องซึ่งอาจลงเอยด้วยการที่เขาต้องปิดกิจการและหมดตัวได้
หนังถ่ายทำไม่ดีมากนัก แต่ก็ทำให้เราได้เห็นชัดถึงการถ่ายดิ้นรนของคนรักคราฟต์เบียร์และผู้ประกอบการรายย่อยที่กว่าจะได้ทำสิ่งที่ตนเองรักนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากเย็ดแต้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่น กองอวยเยอะเสมอ ห้ามทวนน้ำเด็ดขาด แม้จะเรื่องจริงก็ตาม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ระบอบประชาธิปไตยจากปลายกระบอกปืน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นพวกหัวก้าวหน้าออกความเห็นทางการเมืองแนว ๆ เสรีชน ดาร์ค ๆ รื้อสร้างสังคมมาก ๆ แต่ส่วนใหญ่ตัดภาพไปบางคนยังเกาะพ่อแม่ภรรยากิน การงานไม่มีทำ บางคนไม่ยอมเรียนบอกว่าการเรียนอยู่ในกรอบอีกก็ว่ากันไป
ส่วนพวกอนุรักษ์นิยมคร่ำครึ ๆ เป็นวิศวะกรบ้าง เป็นโปรแกรมเมอร์บ้าง เป็นนายธนาคารบ้าง ขี่บิ๊กไบค์ ขับซูเปอร์คาร์ ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อย ๆ เก็บเงินสร้างบ้านมีครอบครัวมีลูก จ่ายภาษีเพื่อนำเงินไปพัฒนาประเทศ ประสบความสำเร็จในชีวิตตามวิถีของพวกอนุรักษ์นิยม
น้อง ๆ อย่าให้ภาพมายาเหล่านี้หลอกตานะครับ การเป็นเสรีชนต้องเป็นที่ใจ ต้องมีความ 'ศรัทธาอย่างแรงกล้า' ที่จะต่อยอดและสืบสานแนวคิดเสรีชนรุ่นเก่า ๆ ที่ล้มหายตายจากไป ไม่ว่าจะเกาะพ่อแม่หรือภรรยารับประทาน มันก็เรื่องของเสรีชนแบบเราอ่ะครับ
#คุณค่าของเสรีชนดาร์คๆอยู่ที่แนวคิดแม้ว่าชีวิตจริงพวกเขาจะเป็นภาระต่อสังคมแค่ไหนก็ตาม
#มิตรสหายด้วนท่านหนึ่ง
"...รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาโดนจับฐานขโมยภาพเขียนของโรงแรมญี่ปุ่นไป 3 ภาพ
ก็เรียกได้ว่าตำแหน่งมันค้ำคอ แกคงรู้ดีว่าการถ่ายภาพไปมันเป็นการ "ผลิตซ้ำ" ซึ่งมันละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา แกเลยขโมยรูปจริงๆ ไปเลยจะได้ไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
SHUT IT DOWN
░░░░░░░░░░░░░░▄▄▀▀██▀▄▄▒
░░░░░░░░░░░░▄▀░▄▀▀░░░▒▒▀▀▄
░░░░░░░░░░░▐░▄▀░░░░░░░░░░░█
░░░░░░░░░░░▌▌▒▒▒▒░░░░░░░░░░█
░░░░░░▄▄▄░▐▒▒▒▒▒▒░░▒▄▄▄▄░▄░░▌
░░░░▄▀░▄░▐▐▒▒▒▒▒░░░▀░░░░▀░▄▀▐
░░░█░▌░░▌░▐▐▀▄▒▒░░░▒▌██▐░░▌▄▐
░░▐░▐░░░▐░▌▐▐░▒░░░░░░▀▀░░░░░▀▌
░░▌░▌░░░░▌▐▄▀░▒▒▒░░░░░░░▄▀▄░░▐
░▐▐░▌░░░░▐▐░▌▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒█▄▄▄░░░▌
░▌░░▌▌░░░░▌░▐▒▒▒▒▒▒▄▄▄▄▄▄▄▄▀▄▄▀
░▐░░▌▌░░░░▐░░▌▒▒▒▒▒▄▀█▄▄▄▄▀
░▌▌░▌▌░░░░░▌░▐▒▒▒▒▒▒▀▄▀▀▀▄
▐░░░▐▐░░░░░▐▐░▌▒▒▒▒▒▒▒▀▀░▄▀█
▌▌░░░▌▌░░░░░█▐░▌▒▒▒▒▒▒▒▄▀░▄▐▄▄
▌░░░░▐▐░░░░░░▀░▐▒▒▒▒▒▄▀░░░▀▀▄▀▌
░░░░░░▌░░░░░▄▀█▄█▄▀▀░▀▄░░░░▀░▀▐
░░░░░░▐░░░░░░░▌░░░░░░▐▐░▀▄▀▄▀▄▀
░░░░░░░█░░░░░▐░░░▌░░░█▀▀▄▀▄▀▄▀
░░░░░░░░▀▄░░▄▄▄▀▐▄▄▀▀
░░░░░░░░░░▀▄▄▄▄▄▀
ศาสนาใดๆก็ตามในโลกมันก็เผยแพร่ด้วยการบลัฟศาสนาที่มีอยู่ก่อนหน้าศาสนาตัวเองอยู่แล้วนี่ครับ
ทำไมศาสนา #น้องง จะไม่มีสิทธิทำเช่นนั้น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Guide to Thai Media 101
คนธรรมดาโดนจับข้อหาลักทรัพย์: ตัดสินเรียบร้อยว่าผิด เรียกชื่อผู้ต้องหาว่าไอ้โน้น ไอ้นี่ ลงรูปกับที่อยู่ยันทะเบียนบ้าน อาจจะแห่ไปทำข่าวกันเพื่อเก็บภาพจังหวะผู้ต้องหาโดนตบหัวระหว่างทำแผนด้วย
รองอธิบดีโดนจับข้อหาลักทรัพย์: ปิดชื่อ เซนเซอร์รูป หาข้ออ้างมาช่วยแก้ต่างว่าป่วยเป็นโรคโน้นโรคนี้ และยึดมั่นหลักการไม่สรุปจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าผิดจริงขึ้นมาทันที (ส่วนนึงเป็นเพราะผู้ใหญ่ในกระทรวงขอมาเนี่ยแหละ)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คือตอนนี้ขนาดผิดกฎหมายแม่งยังมีคนต้มเหล้าเถื่อนขายจนตายห่าออกมาเรื่อย ๆ ถ้าเกิดแม่งถูกกฎหมายขึ้นมาไม่ฉิบหายไปใหญ่เหรอวะ
"ไอ้บทความคนรวยคนจนที่ลงในโมเมนตัมแล้วคนด่ากันเยอะๆ นี่ล่าสุดลบตัว text ไปแล้วนะครับ เหลือแต่ที่เป็นพอดเคส ครับ สื่อคุณภาพของคนรุ่นใหม่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เปิดวาร์ปให้นะคะ
บทความปัจจุบัน (ที่โดนลบ text ไปแล้ว)
http://themomentum.co/the-money-coach-ep0015
ออริจินอลที่กูเกิลเก็บไว้
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:http://themomentum.co/the-money-coach-ep0015
อันนี้แถมค่ะ จะจงใจหรือเปล่าไม่รู้นะ ของ matter (edit: เอามาแปะเพิ่มไว้ จะได้เห็นความแตกต่างว่าแต่ละสำนักข่าวก็มองประเด็นคนรวย-คนจนไม่เหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าชิ้นนี้ก็อยู่ในกลุ่มที่ถูกวิจารณ์ด้วยนะ)
http://thematter.co/byte/the-brain-of-poverty/15801"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
การตีเนียนให้โอวาทเรื่องคนรวยแม่งฉลาด
เล็งการณ์ไกลห่าเหวอะไรเนี่ยโคตรน่าเบื่อ มันมีอีกด้าน
ของความรวยที่แม่งแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่กล้าพูด
ถึงเสียด้วยซ้ำ เช่นทำไมเจ้าสัว เอ้ยคนรวยถึงรวยเอาๆๆ
ไม่ต้องประมูลก็ได้สัมปทาน ขายของก็ไม่ต้องกลัวคู่แข่ง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เพราะคิดตื้นๆแบบนี้ไง วันนี้คุณไม่เดือดร้อนดีใจด้วย วันไหนเดือดร้อนแล้วพูดไม่ได้ อย่าเสียใจนะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
" เรื่องรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยไปขโมยภาพในโรงแรมที่ประเทศญี่ปุ่นมันเป็นแบบนี้
แกเคยเป็นนักเรียนเก่าญี่ปุ่นสมัยเรียน สามวันก่อนได้เดินทางไปราชการของกรมที่ญี่ปุ่น ก็เข้าพักยังโรงแรมแห่งนั้น
คืนสุดท้ายก่อนกลับไทย หลังออกไปช็อปปิ้งทิ้งทวน แกก็หอบหิ้วของฝากคนทางบ้านกลับมาเต็มไม้เต็มมือ ระหว่างนั้นก็หันไปเห็นภาพที่ติดอยู่ที่ผนังโรงแรมซึ่งสวยมากอยู่หลังพนักงานต้อนรับที่ยืนโค้งแกอยู่ แกเลยชมกับพนักงานเป็นภาษาญี่ปุ่นไปว่า
この写真はとても美しいです.
(โคะโน ฉะชิน วะ โทเทโม อุซึคุชีเดส)
ซึ่งแปลว่า "รูปภาพนี้สวยมากเลยนะ"
พนักงานโรงแรมจึงโค้งรับแกอีกรอบพร้อมกับตอบว่า
"ให้"
แกจึงรีบเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง แล้ววกกลับมาแกะภาพนั้นเอาไปแพ็คใส่กระเป๋าเตรียมกลับไทยนั่นแหละ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไปกินสเวนเซ่น มันมีป้ายอธิบายที่มาของไอติม Earthquake ว่ามาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ที่ซานฟรานซิสโกปี 1902 โห เป็นสมัยนี้ละตั้งชื่อแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ โดนด่าว่าไม่ PC ไม่ sensitive แน่นอน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าคุณใช้ไก่ต้มมาไหว้บรรพบุรุษ บรรพบุรุษจะมีกินแค่ตรุษจีน กับสาร์ทจีน แต่ถ้าคุณสอนบรรพบุรุษล่าไก่ บรรพบุรุษคุณจะมีไก่กินตลอดทั้งปีล"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ขอชี้แจงหน่อยว่า ที่แจ้งว่าติดธุระส่วนตัว คือติดธุระส่วนตัวจริงๆ ไม่ได้หนีไปนั่งกดเกม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อยากรู้ คนดำเชื้อสายจีน เขาใช้ ไก่ต้มหรือไก่ทอด ไหว้บรรพบุรุษครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"สถานทูตไทยในกรุงโตเกียวเผยเรื่องจริงสาวไทยขโมยของในสวนสนุก แต่โดนจับได้ เจ้าตัวเผยนึกว่าแค่โดนปรับ แต่กลับโดนดำเนินคดีแบบจัดเต็ม คุมขังยาว 2 เดือนยังไม่ได้กลับประเทศไทย เผยเป็นอุทาหรณ์เตือนคนไทยมือไวที่คิดจะไปเที่ยวญี่ปุ่น
“เมื่อหลายเดือนก่อน สถานทูตฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมนักท่องเที่ยวไทยที่ถูกจับกุมในข้อหาลักทรัพย์ ที่สวนสนุกชื่อดังของญี่ปุ่น โดยเธอเล่าว่าความคิดเพียงชั่ววูบ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็น จึงแอบหยิบของราคาไม่กี่พันบาทออกมาโดยไม่ได้จ่ายเงิน แต่เมื่อเดินออกจากร้านพนักงานของร้านเดินตามมาถามถึงของที่เธอขโมย จึงได้แต่พยักหน้ายอมรับและส่งมอบสิ่งของนั้นคืน โดยในใจคิดว่าแค่คืนของและอาจจะแค่เสียค่าปรับซึ่งเธอยินดีจ่ายเพราะการกระทำเมื่อสักครู่ แต่ในที่สุดเธอก็ถูกเชิญไปที่โรงพักและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
“ทั้งนี้ สถานทูตฯไม่สามารถที่จะเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงระบบยุติธรรมหรือกฎหมายของญี่ปุ่นได้ กล่าวคือ คนไทยทุกคนเมื่อเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น หากกระทำความผิดจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น” สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงโตเกียวระบุ..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตอนได้ยินคำว่า เฮ้าเลี่ยน ตอนแรก นึกว่าเป็นแบบพวก Keynesian Marxist Freudian
แบบเป็นแนวคิดของสำนักนักปราชญ์ชื่อเฮ้าส์
ไอ้สัส คำเจ๊ก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ความฝันของฉันเมื่อตอนอายุ 20 คือ ได้แฟนหนุ่มหน้าตากลางๆ ไม่ต้องหล่อมาก ได้ทั้งรุกและรับ ทำงานในวงการบันเทิง แต่งงานกันในโรงแรม มีเพื่อนๆในวงการร่วมงานแต่ง เปิดบริษัทโปรดักชั่นเฮ้าด้วยกัน รับงานมาทำด้วยกัน ผลัดกันเป็นโปรดิว ผลัดกันเป็นผู้กำกับ สร้างหนังเกย์ใสๆโปรดักชั่นดีๆออกมา แล้วควงกันไปออกทีวีด้วยกัน สร้างบ้านสวยๆอยู่ด้วยกัน วันหยุดไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปชายหาดส่วนตัวของเพื่อนสักคน เย็ดกันริมหาด ปลายปีไปเมืิองนอก เย็ดกันริมหน้าต่างในห้องโรงแรมหรู ที่มองเห็นวิวสวยๆ บางวันก็นึกสนุก จัดปาร์ตี้สวิงกิ้ง เซ็กส์หมู่เพื่อเป็นสีสันในชีวิตคู่ บางอารมณ์ก็เล่น BDSM กัน และอยู่ด้วยกันจนแก่ตาย
ซึ่งนั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้แล้ว มันจบแล้ว เป็นสิ่งที่ทำไม่สำเร็จ เพราะการที่จะทำแบบนั้นได้ กูต้องหาแฟนให้สำเร็จก่อนอายุ 25 แต่ปัจจุบันอายุมันเลยมาไกลมากแล้ว กูเข้าสู่วัยหมดสิทธิหาคู่ ต้องแก่ตายอย่างโดดเดี่ยว หนทางเดียวคือ กูต้องฆ่าตัวตายแล้วเกิดใหม่ เพราะเส้นทางชีวิตผิดพลาดไปจากที่หวังหมดเลย
"ที่จริง อเมริกาเป็นประเทศที่มี standard เรื่องสิทธิมนุษยชนแย่มากๆอยู่แล้วนะ
คือมากมาตั้งแต่สมัยโอบาม่า สมัยบุช อะไรแบบนี้อยู่แล้ว(แย่มานานแล้ว และไม่มีการแก้ไขเท่าไหร่) ทั้งเรื่องสิทธิของผู้ต้องขังเอย สิทธิทางศาลของคนปกติเอย หรือแม้กระทั่งการทำงานของศาลสิทธิมนุษยชนแห่งทวีปอเมริกานี่ก็ไม่ได้มีศักยภาพอะไรเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเรื่องลงนามในสนธิสัญญาหลักๆในโลกเกี่ยวกับสนิทธิมนุษยชนนี่ก็แย่รั้งท้ายเค้ามาแต่ไหนแต่ไร ( https://www.hrw.org/news/2009/07/24/united-states-ratification-international-human-rights-treaties )
จำได้ว่าตอนมาเรียน international human rights ใหม่ๆ นี่ตบอก คุณพระ ไม่คิดไม่ฝัน เพราะเราดูหนังเยอะ ใฝ่ฝันถึงลินคอล์นไรงี้ แล้วมาเจอเคสแบบสั่งประหารชีวิตเด็กอายุไม่เกิน18 หรือสั่งขังเด็กต่ำกว่า16ปีรวมกับผู้ใหญ่ในคุกปกติ(อันนี้ปัจจุบันจากสถิติเหมือนยังทำอยู่)
คือไรอะแกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
คือไม่ได้จะบอกว่าทรัมป์ไม่เหี้ยนะ ทำแต่ละอย่างนี่ อย่างเรื่องโลกร้อนนี่น่าตบหัวเหม่งมากๆ แต่คือเวลาเห็นภาพความภาคภูมิใจว่า อเมริกาอิสฟรีด้อม มันรู้สึกไม่ใช่อะค่ะ
ภาพมันออกมาเหมือนอเมริกาเดิมก่อนทรัมป์นี่มันดีมาก มันคือเมืองสวรรค์ของอิสรภาพที่เคารพสิทธิทุกคน
แต่แบบ มันไม่ได้ดี ไม่ได้รับรองหลักประกันเสรีภาพอะไรมากมายเลย เรียกได้ว่าการประชาสัมพันธ์ผ่านหนังฮอลลีวู๊ดไรงี้นำโด่งมาก ของจริงคือบาย นอกจากไม่ได้ดีดังฝันละยังแย่จนน่าแปลกใจ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
I don't know the meaning of "ignorant".
But I don't care, I'm happy anyways.
เคยมั้ยที่อยู่ในเหตุการณ์ แท็กซี่ ชนกับ เบนซ์S500
เบนซ์ไม่มีใบขับขี่ แต่รู้จักตำรวจใหญ่ เปลี่ยนจากตัวเองผิดเป็นแท็กซี่ผิดได้ ด้วยการเอาเอกสารจะไปให้แท็กซี่เซ็นรับผิด
ตอนที่ชนมีมอเตอร์ไซต์ตามหลังมาชนซ้ำนอนขาหักยังไม่ได้สติ
เบนซ์มีพยานปลอมขึ้นมาหลายคน
รับปากพี่แท็กซี่ว่า พรุ่งนี้ตอนค่ำจะไปช่วย เพราะเป็นพยานคนเดียว ส่วนตัวแนะนำให้เค้าอัดเสียงเอาไว้ แรกๆแท็กซี่ไม่กล้าทำ เลยบอกให้ google ค้นคำว่า ประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ว่าเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แล้วค่อยไปใช้ตอนชั้นสอบสวนว่าโดนข่มขู่ให้เซ็นรับผิด
ถ้าไม่จบที่ สน ที่เกิดเหตุจะพาไปให้ทาง บชน.กลาง รับเรื่องให้
เมื่อกี้นอนรอหมอเข้ามาตรวจพวกปอด เห็นพี่เค้าส่งภาพคู่กรณี ขับแลมโบสีแดงสดมาเจอกันที่สน. มีผู้กำกับ สน.ที่เกิดเหตุเดินออกมารับ มีทนายมากับพ่อ นั่งอัลพารด์มามีคนขับรถมาด้วย กับ คนใส่สูทแว่นดำ 2 คน เลยตอบไปว่าอย่าไปกลัว เดี๋ยวมีวิธีช่วย ตอนนี้หาอะไรอัดเสียงไว้ก่อน
#ลูกค้าแท็กซี่
"ตีมงานเป็นบิวตี้แอนด์เดอะแบล็ครึวะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คำถาม : ผู้นำระดับโลกที่คุณชื่นชอบคือใคร
ตอบ : โอบาม่า ค่ะ เพราะเขาทำให้เรารู้ว่าคนดำสามารถเข้าทำเนียบขาวได้ในฐานะอื่น นอกจากหัวขโมย...
--คำถามเวทีประกวดสาวสวนแตง(โม) จากรัฐเท็กซัส"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปกติมันจะมีคนสวย เก่ง ฉลาด มีความรู้ทางการเมืองระหว่างประเทศ มีความเป็นเฟมินิสต์ มีความราดิคัลนิดๆ มีความคิดคริติคัล ฯลฯ ไปประกวดนางงามกันเหรอฮะ อันนี้ไม่รู้จริงๆ ไม่ค่อยได้ติดตามวงการอ่ะ ทุกวันนี้มันไปแนวนั้นกันรึ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของสก๊อยกับเด็กแว๊นเลยจริงๆ บางคนได้มีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศแท้ๆ
แต่กลับทิ้งโอกาสนั้นไป ไปโดดเรียนมากๆ แอบขึ้นรถไฟใต้ดินแล้วไม่จ่ายตังค์ จนกระทั่งโดนไล่ออกนอกประเทศ
พอถามก็โดนตอบกลับมาว่า ชีวิตเราไม่เคยลำบากอยู่แล้ว อา แบบนี้เองสินะ...ชุดความคิดแบบซิมเปิล"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อัพเดทสถานการณ์ ของพี่แท็กซี่ กท.1376 (ป้ายปัจจุบัน ป้ายคันที่ชนกันยังอยู่สน.)
ทางเบนซ์เบ่งมา เลยต้องโทรรบกวนพี่ตำรวจคนนึงมาช่วย
ทางนั้นเอาพยานที่ไหนมาไม่รู้ เลยต้องรบกวนน้องที่ดูพื้นที่บิ๊กซี ราชดำริห์ (สนิทมากตอนสร้างออฟฟิศใหม่ของ CDiscount) โทรไปขอภาพกล้องวงจรปิดของห้าง ตอนแรกคิดว่าต้องลำบากหาหมายศาลมาแล้ว (ซึ่งยังไม่ได้ไฟล์) มี ผู้กำกับกับ สารวัตร ฟังอยู่ เพราะผมโทรไปเปิด speaker ปลายสายรับปากว่าจะหาให้
เรียกประกันของพี่แท็กซี่ (อาค์เนย์ประกันภัย) เปิดเทปที่พี่แท็กซี่อัดไว้ ให้ประกันฟังพร้อมกับผู้กำกับฯ ว่าคู่กรณีมาหาที่เตียง รพ. มาขู่แท็กซี่ว่าจะให้ยอมรับผิดจะได้มีโทษน้อยๆ ผมเลยขอให้ประกันช่วย เพราะมูลค่าหลายล้านถ้าแท็กซี่ต้องรับผิด ประกันก็ต้องจ่ายเยอะนะ (ตอนนี้ประกันกลับไปทำการบ้านมาสู้อยู่)
ผู้กำกับฯ เค้าหลังจากได้คุยกับทาง หน้าห้อง ของท่าน อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ก็เปลี่ยนท่าทีมาช่วยฝั่งแท็กซี่แล้ว (ขอบคุณท่าน อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว มากๆ)
พรุ่งนี้นัดกัน 20:30 น. (น่าจะเดา สน. ได้)
"ในที่สุดงานเสวนาเรื่องเบียร์ในประเทศนี้ ถูกจัดให้อยู่ในไฟลั่มเดียวกับงานเสวนาการเมืองล่ะครับ
เพราะโดนสั่งให้ยกเลิกจัดงานเรียบร้อย
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการพูดเรื่องเบียร์มันไปกระทบความมั่นคงของใคร
เฮ้อ ประเทศเหี้ย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กท.1376
จบที่ขั้นตอนไกล่เกลี่ย (หลังจากได้ภาพวีดีโอ+บวกนายตำรวจโทรมาถามเอง)
ผู้กำกับฯ สน.ท้องที่บอก เจ้าของเบนซ์ว่า
"คุณป็อก เคสนี้ไม่ง่าย" ผมว่ายอมรับผิดตามจริง แล้วเจรจากับคนขับมอเตอร์ไซต์เรื่องค่ารักษาที่อยู่นอกเหนือประกันฯเลยดีกว่า
ตอนนี้คุณป็อกยอมเซ็นรับผิดแล้ว
ผมฝากให้ทาง ผู้กำกับฯ ช่วยให้คำตอบเรื่องแจ้งความเท็จอยู่ ถ้าไม่อยากเพิ่มอีกคดี ก็ให้เค้าขอโทษแท็กซี่สักคำก็ได้
พ่อคุณป็อกเลยยกมือไหว้ขอโทษแท็กซี่แทนลูกชายตัวเอง
#จบ
‘น้ำปลา’ มาอยู่ญี่ปุ่นกลายเป็น ‘ไวน์’
คุณโมโรอิ ฮิเดกิ ผู้ไปร่ำเรียนวิชาทำน้ำปลาที่ประเทศไทย แล้วนำกลับมาศึกษาต่อที่เมืองโอกะเล่าว่า
"น้ำปลาจริงๆแล้วมีความลึกซึ้ง ซับซ้อนเหมือนกันไวน์ รสชาติของน้ำปลาจะต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดปลา ระยะเวลาหมัก อุณหภูมิ และชนิดของถังที่หมัก ส่วนวิธีทำหลักก็เหมือนกัน"
เวลาเห็นเขาอธิบายสิ่งที่เห็น คือ พลังในความรักของเขากับสิ่งที่ทำ เขาทำทุกอย่างด้วยความพิถีพิถัน ตั้งใจ ใส่ใจในทุกรายละเอียด
"น้ำปลาของผมกลิ่นจะไม่ฉุนมากนัก เพราะจะได้ใช้ได้กับอาหารหลายๆอย่าง ใช้กับคนได้หลายๆกลุ่ม ผมพยายามดึงเอารสชาติอร่อยของปลาออกมาให้มากที่สุด โดยพยายามลดกลิ่นที่รุนแรงออกไป แล้วก็พยายามทำให้น้ำปลามีรสชาติหลากหลาย"
เขาเอาโบรชัวร์ผลิตภัณฑ์ และชนิดอาหารพร้อมสูตรออกมา มิ้นท์นั่งเปิดดูด้วยความไม่เชื่อ น้ำปลาบ้านเราที่กินกันทุกวัน กินกันแบบไม่สนใจอะไร คนญี่ปุ่นเพิ่มมูลค่าให้มันได้เพราะความใส่ใจ พิถีพิถัน และการเล่าเรื่อง
น้ำปลาที่นี่มีทั้งขวดที่หมัก 10 ปี ขวดละพันกว่าบาท มีแบบ 5 ปี 3 ปีและแบบสเปรย์เพื่อฉีดใส่อาหารให้มันกระจายรสชาติถ้วนทั่ว ยังมีมันฝรั่งรสน้ำปลาด้วย โดยตอนนี้ผลิตภัณฑ์น้ำปลาของคุณโมโรอิได้กลายเป็นของฝากประจำเมืองไปแล้ว
"น้ำปลาเป็นวัฒนธรรมที่ส่งต่อกันมายาวนาน ผมก็อยากทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ พลิกแพลง ปรับปรุง เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด เพื่อจะได้ดึงรสชาติความเป็นที่สุดของอาหารแต่ละชนิดออกมา"
ขอโค้งคำนับชาวญี่ปุ่นจากใจ การทำให้เรื่องราวของน้ำปลากลายเป็นบทสนทนาที่น่าสนใจหลายชั่วโมงได้ ไม่ธรรมดา
มิ้นท์ว่าสุดท้ายไม่ว่าอะไรเมื่อใส่ความรัก เติมความใส่ใจ และความตั้งใจลงไป รู้ให้ลึกรู้ให้จริง สิ่งที่เคยธรรมดาก็กลายเป็นความพิเศษ สิ่งที่เป็นความทั่วไปก็กลายเป็นความเป็นหนึ่งเดียวได้ ดูอย่างน้ำปลาสิ
ขอบคุณความที่สุดของน้ำปลาญี่ปุ่น
มาเยี่ยมชม ซื้อหากันได้นะคะ อร่อยมาก ได้กลับบ้านมาขวดนึง ฉีดทุกอย่าง ^^
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ญี่ปุ่นมันเป็นเเบบนี้ตั้งนานเเล้วนิ โชยุเเม่งมีเป็นร้อยสูตร น้ำส้มสายชูมีเป็นพัน
บ้านเรายังเอา ชาเขียว,วาซาบิมาใส่เกือบทุกอย่างขายมาแล้ว ผ้าอนามัยชาเขียวยังมีเลย กูกะว่าจะลองทำผ้าอนามัยแบบสอดรสวาซาบิ ไปวางขายบ้าง
"คือกูนึกไม่ออกว่าสังคมไหนในโลกที่แม่งมีเสรีภาพพร้อมๆ กับความปลอดภัยบ้างนอกจากประเทศคนน้อยๆ รายได้เยอะๆ กระจุกนึงทางตอนเหนือของโลกตะวันตก
นอกจากนั้นนี่ แม่งเสรีภาพเยอะ ความปลอดภัยต่ำ ไม่ก็ความปลอดภัยสูง เสรีภาพต่ำ (ในแง่ใดแง่หนึ่ง) ทั้งนั้น
คือคีย์ของการมีเสรีภาพพร้อมความปลอดภัยคือมึงต้องทำให้สังคมมัน Secure ด้านรายได้พอสมควร พวกอาชญากรรมทางเศรษฐกิจจะหาย อาชญากรรมแม่งจะเป็นเรื่องของ "พวกมีอาการทางจิต" เป็นหลัก ซึ่งรวมๆ จะทำให้น้อยลงมาก (แต่มีทีก็จะวิปริตเหี้ยๆ แบบในเคสญี่ปุ่น)
ปัญหาคือ เราทำให้ทั้งโลกเป็นแบบนี้ไม่ได้โว้ยถ้าไม่มีการเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจระดับรากฐาน
ผมเลยรำคาญมากเวลาเอาไทยไปเทียบกับประเทศห่าพวกนั้น เพราะมันได้เปรียบในเชิงโครงสร้างมากๆ และมันก็ "ขูดรีดทางอ้อม" ทั้งนั้นมันถึงมั่งคั่งแบบนั้นได้ (พูดในแง่ทีว่าเศรษฐกิจมันเป็น Zero Sum Game การทีมึงรวยได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มึงก็ทำให้คนอื่นจนลงอยู่ ไม่ว่ามึงจะรู้หรือไม่ว่ากระบวนการมันเป็นอย่างไร)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูขอแบบไม่ต้องรวยมากแต่มีสตอคเด็กสาวให้ได้เย็ดไม่ซ้ำหน้าและไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกจับผิดกฏหมายได้ไหมวะ
กูได้ข้อสรุปคือถ้ากูกล้าเสี่ยงๆหน่อยไปทำอาบอบนวดแบบเสี่ยชูวิทย์ก็น่าจะพอแล้วว่ะ แต่พอดีไอดอลกูตอนนี้พลาดติดคุกไปซะแล้ว
แค่มีมุสซี่เข้าประเทศไปมึงก็ไม่เหลือความปลอดภัยแล้ว
น่าเสียดายที่คนไทยถูกวาทกรรมทำเหล้าให้กลายเป็นปิศาจหลอกหลอนบังตาแล้วปล่อยให้เกิดสัมปทานผูกขาดการผลิตเหล้าเบียร์ไว้ที่ผู้ผลิตรายใหญ่ผูกขาดมาหลายทศวรรษ กระทั่งผู้ผลิตเบียร์รายหนึ่งกลายเป็นเจ้าที่ดินอันดับหนึ่งของประเทศ เราก็ยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร และเฝ้าก่นด่าเหล้าให้กลายเป็นปิศาจอยู่วันยังค่ำ
ปิศาจที่แท้จริงคือคนที่เอาศีลธรรมมาอุดปากเราไว้มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งไปหนุนส่งอุ้มชูยกย่องผู้ผูกขาดการค้าเหล้าจนร่ำรวยแล้วคนคนนั้นก็กลายมาเป็นคนมีหน้ามีตามีเกียรติในสังคม
นี่คือความปากว่าตาขยิบของสังคมไทย
คนจนกินเหล้านี่ไปด่าไปประณามเขาอยู่นั่น แต่พอเจ้าสัวขายเหล้าเดินผ่านปุ๊บ รีบเอามือกุมหำก้มหัว ก้มแล้วก้มอีก
นี่คงเป็นผลของสังคมคนที่ถูกกล่อมให้โง่ซ้ำซากภายใต้การปกครองของคน “ดี” เราจึงอยู่ประเทศแบบนี้ ที่ต้องกินคราฟต์เบียร์นำเข้า กินไวน์ราคาถูกแต่จ่ายแพงเพราะกำแพงภาษี
แต่คน “ดี” และมีอำนาจกินไวน์ฟรีที่มีคนเอามากำนัลและโดยมากหนีภาษี
ส่วนคนจนกินเหล้าขาว เหล้าโรงคุณต่ำทำจากกากน้ำตาลกิโลละสองบาทแล้วเป็นมะเร็งในตับตาย
ส่วนวัยรุ่นไทยก็กินเหล้ากันสะเปะสะปะไร้รสนิยมเพราะสังคมไม่มีการศึกษาเรื่อง drinking literacy / สังคมที่ขาด literacy ก็เสี่ยงที่พลเมืองจะดื่มอย่างขาดสติจนกลายเป็นป่วยติดเหล้าไปอย่างเปล่าดาย วนลูปไปที่ทำให้คนดีหาทางปิดกั้นการขายและผลิตเหล้าเสรี วนที่การผูกขาด วนไปที่การคงไว้ซึ่งภาษีบาปด้วยการอ้างตัวเองคนติดเหล้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อคงโครงการทำงานที่ต้องใช้ภาษีบาปต่อไป
วนเป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ตราบที่คนไทยยังโง่อยู่ เราก็จะถูกคนดีหลอกอยู่อย่างนี้ไม่มีที่จุดจบ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฝันว่าอยากจะจัดระเบียบสังคม แต่ห้องกูยังรกอยู่
#มิตรสหายดูดบ้องท่านหนึ่ง
เห็นมีแต่บอกเหยียดคนจนๆ แต่จริงๆเราว่าในไทยนี่คนจนอภิสิทธิ์ชนมากเลยนะ
ทำนู่นทำนี่ผิดก็อ้างจน พวกชนชั้นกลางค่อนไปทางต่ำนี่สิถูกบี้ของจริง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"นั่นล่ะครับ ผมถึงไม่มีปัญหาเวลาคนไทยจะกินซูชิจิ้มโชยุชุ่มๆท่วมๆ วาซาบิเคลือบข้าว เบียร์ใส่น้ำแข็ง ฯลฯ
เพราะอาหารการกินมันก็ปรับไปตามลิ้นคน ไปตามภูมิภาคของมัน
เพราะถ้าใช้มาตรฐานเดียวกันต้องบอกว่าไอ้พวกโจรแคระนี่แม่งบ้า คนไทยเขาไม่แดกผักชีกันแบบนี้ ต่ำชั้นจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>871 มาแค่นี้แม่งงง ทีหลังเอารูปมาด้วยสิโว้ย http://imgur.com/zJMJWAp
ไมรุ้จะเม้นไร เอาเมนูอาหาร หมูกอร์ดองเบลอ (Pork Cordon Bleu) ไปละกัน
ส่วนผสม หมูทอดกอร์ดองเบลอ
• หมูสันนอก หั่นเป็นชิ้น น้ำหนักชิ้นละ100-120 กรัม จำนวน 2 ชิ้น
• เกลือป่น และพริกไทยป่น
• ไข่ไก่ 1 ฟอง (ตีจนเข้ากัน)
• แป้งสาลีอเนกประสงค์
• เกล็ดขนมปัง
• แฮม 1 แผ่น
• เชดด้าชีส
• น้ำมันสำหรับทอด
• ไม้จิ้มฟัน
วิธีทำ
• 1. นำหมูสันนอกหั่นตามขวางแบบสเต็ก หนา 1.5-2 ซม. (จะใช้ค้อนทุบสเต็กทุบเพิ่มความนุ่ม และขนาดของชิ้นให้ใหญ่ ๆ ขึ้นก็ได้นะคะ แต่ถ้าไม่ทุบก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะหมูสันนอกไม่แข็งอยู่แล้ว)
• 2. นำสันนอกสเต็กที่หั่นแล้ว ใช้มีดคม ๆ แล่แผ่ออกเป็นปีกผีเสื้อ สำหรับใส่ชีสและแฮม จากนั้นนำชีสและแฮมหั่นตามขนาดของชิ้นหมู วางใส่ลงไปตรงกลางบริเวณที่เราแล่ออก และปิดทับ โดยใช้ไม้จิ้มฟันกลัดหัวท้ายและตรงกลางเพื่อไม่ให้ชีสเยิ้มออกมาขณะทอด
• 3. โรยเกลือป่น และพริกไทยป่น เล็กน้อยทั้งสองด้าน
• 4. นำไปคลุกแป้งสาลีให้ทั่วบาง ๆ รอบชิ้นหมู แล้วนำไปชุบไข่ ตามด้วยชุบเกล็ดขนมปังทั้งสองด้าน
• 5. ทอดในน้ำมันร้อนไฟปานกลาง จนสุกเหลืองน่ารับประทาน ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมันในแนวตั้ง (ทิ้งไว้สัก 2-3 นาที ให้ชีสเซตตัว เวลาหั่นชีสจะได้ไม่เยิ้มออกมาเลอะไม่สวย แต่ถ้าใครชอบชีสที่กำลังละลายเยิ้ม ๆ ก็หั่นเสิร์ฟได้เลยครับ อิอิ)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกกันก่อนว่า พอเราเกิดมาอยู่ในโลกนี้เสียแล้ว ก็ไม่มีใครหรอกนะครับที่จะอยู่ในภาวะ unconstrained กันแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ ก็โธ่! ตาเราก็มองเห็นแสงได้แค่ช่วงคลื่นหนึ่ง หูก็รับเสียงได้แค่อีกช่วงคลื่นหนึ่งเท่านั้น แถมเรายังอยู่ในโลกกลมเหมือนผลส้มที่มีขนาดจำกัดด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘ธรรมชาติ’ เป็นตัว ‘จำกัด’ เราเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้เรามี limit บางอย่างในการรับรู้โลก หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้นะครับ ว่าโลกและธรรมชาตินั้น มันกำลัง ‘กดข่ม’ (oppress) เราอยู่ตลอดเวลา
แต่คำถามก็คือ-แล้วเรารู้สึกถึงการกดข่มนั้นหรือเปล่า
แน่นอน-คำตอบคือไม่, เราย่อมไม่รู้สึกว่าถูกความกดอากาศกดใส่เนื้อตัวผิวหนัง และแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำไปว่าเรา ‘ถูกขัง’ อยู่บนดาวเคราะห์ชื่อโลกที่ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรนักหนาเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์อื่นๆ เพราะเรา ‘ถูกสร้าง’ ขึ้นมาจากระบบนี้ เราจึงคุ้นชินกับมันจนไม่รู้สึกว่าตัวเองถูก constrain
ซึ่งที่จริงก็คล้ายๆ คนที่เกิดมาพร้อมขนบธรรมเนียมประเพณีและโครงสร้างสังคมบางอย่างเหมือนกันนะครับ คือต่อให้ถูกขังอยู่ในนั้นก็ไม่รู้ตัวหรอก!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ยิ่งมีภาพข่าวคนแก่ๆที่ไม่มีลูกคอยหาเงินให้ใช้ แล้วต้องอดอยากบ่อยๆ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศนี้ประชาชนรายได้ต่ำมาก คือ ถ้าคนแก่คนไหนซวย ลูกดันตายหมด หรือลูกก็ยากจน ตัวเองก็จะพลอยไม่มีเงินใช้ยามแก่ไปด้วย
ซึ่งก็ต่างจากประเทศโลกที่หนึ่ง พอลูกโต ก็ปล่อยลูกไปได้เลย ไม่ต้องลำบากมาหาเงินมาให้ เพราะพ่อแม่มีเงินของตัวเองใช้จ่ายสบายๆอยู่แล้ว
เพราะอย่างนี้ไง ประเทศนี้ถึงยังมีพ่อแม่ที่ไม่อยากให้ลูกเป็นเกย์ เพราะกลัวว่าพอลูกแก่แล้ว ลูกจะไม่มีทายาทมาคอยหาเงินให้ใช้
แต่กูมองในมุมกลับกันว่า บางที เพราะมีลูกนั่นแหละ เลยทำให้พ่อแม่ไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ยามแก่ ดังนั้น การไม่มีลูก จึงน่าจะทำให้มีเงินเหลือเก็บมากพอที่จะใช้อย่างสบายๆในยามชรามากกว่า
>>876 ก็พวกจนจริงๆมันมีความรู้ซะที่ไหนหล่ะ บางตัวจบไม่ถึง ม.ต้น ซะด้วยซ้ำ. เวลาเงี่ยนหีจับแล้วรู้ว่าตัวเมียออกลูกได้ก็เย็ดทั้งนั้นแหละ มันไม่คิดหน้าคิดหลังหรอก มันคิดซะแต่ว่าเย็ดๆไปเถอะ มีลูกหรือไม่มีค่อยว่ากันอีกที ทุกวันนี้เลยมีเด็กที่จะโตมาเป็นขยะของประเทศอีกเพียบเลยไง ตอนจะรับพวกโรฮิงยามาหากินในประเทศถึงได้ปฏิเสธไปก็ไม่แปลก เพราะคนในประเทศส่วนมากมีแต่สถุนๆ เดี๋ยวเจอพวกสถุนกว่ามาหาแดกพร้อมกับเปล่งวาจา อัลเลาะ์ ควยหัก รัวๆละจะเฮงซวยกว่านี้
"ประเทศไทยมีประชากรเกือบ 70 ล้านคน แต่มีเบียร์อยู่แค่สองยี่ห้อ และเป็นสองยี่ห้อที่รสชาติคล้ายกัน เรากำลังขาดความร่ำรวยทางรสชาติ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ชายเหนือชายคือยอดชาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ป็นเจ้าของอู่รถเล็กๆเริ่มจากมีมอไซ ราคา 72000 ไม่มีใครรู้จัก แข่งรถก็ได้รองบ็วย อยู่ดีๆ ก็มีเงิน มีมอไซคันเป็นล้านๆ 4-5 คัน(ไม่รวมของแต่ง) มีลัมโบ ไม่นานมีเมียเป็นดารา....
ป.ล จากที่ฟังเมื่อวาน เบนซ์ยังไม่พ้น เป็นผู้ต้องสงสัยนะครัช แต่มาให้ปากคำกับยื่นหลักฐาน(ตำรวจบอก อาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ใช่ อยู่) ยังต้องมาให้ปากคำอีกอาทิตย์หน้า หลังจากตำรวจพิจารณาหลักฐาน อาจจะโดนแจ้งข้อหา หรือไม่แจ้ง ก็เป็นไปได้ทั้ง 2 อย่างนะครัช
"ณ ตลาด
แม่ค้าขายผักตะโกน "ดูเลยค่า เลือกเลยค่่า" กูยืนเลือกพริกอยู่ อีนี่หันมาบอก "ไม่ต้องเลือกมากหรอก ดูกี่ถุงก็เหมือนกันหมด" อ้าว อีเหี้ย สรุปกูเลือกได้ไม่ได้คะ เอาดีๆ กูจะได้ทำตัวให้ถูก
#เอาใจยากเอาตีนแทนมั้ย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"บ่นเหี้ยอะไรของพวกมึงกัน..."
#มิตรสหายของมิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"วันนี้ครับ หลานสาวผมถามว่า hashtag บนแป้นโทรศัพท์มีไว้ทำอะไร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำไมคนเราสามารถยกตัวเองเป็นกูรู สอนในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้โดยไม่รู้สึกอะไรได้?
เดี๋ยวนี้เห็นคนแบบนี้เต็มไปหมด เห็นทีไรหงุดหงิดทุกที Newsfeed จะกลายเป็นเครื่องมือฝึกจิตไปล่ะ
บางคนพูดในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ หรือรู้ผิวๆจากการอ่านบล็อกมาพูดยังกับตัวเองเป็นกูรู พอมีโอกาสให้ได้เรียนรู้จริงๆ ก็ไม่เรียนรู้
บางคนไปอ่านหนังสือธุรกิจมา แล้วทึกทักเอาเองว่าตัวเองเก่ง ทั้งๆที่ธุรกิจตัวเองกำลังแย่
บางคนไปฟังไปอ่านมา แล้วบังคับให้คนอื่นทำ แต่ตัวเองไม่ทำเพราะคิดว่าตัวเองดีแล้ว
บางคนสอนเรื่องการทำสตาร์ทอัพ แต่ตัวเองไม่เคยทำสตาร์ทอัพ ทำยังไงให้ประสบความสำเร็จ อ่าวไหงรวยจากสัมมนา
บางคนชีวิตพังๆ แต่ไปสอนคนอื่นให้ประสบความเร็จในเรื่องต่างๆ ทั้งๆที่ตัวเองทำได้เพียงอย่างเดียวคือ สอน แต่ไม่สามารถเอาสิ่งที่สอนไปสร้างความสำเร็จในมุมอื่นในชีวิตของตัวเองได้
บางคนพูดถึงเรื่องบริหารอย่างเทพ พูดถึงการใส่ใจคน แต่ปฏิบัติกับคนจริงอย่างแย่
บางคนจะสอนทำธุรกิจ Online Marketing ตี NPV ได้เป็นสิบๆล้าน แต่ตัวเองไม่เคยขึ้น Facebook Ads ซื้อ Adword แม้แต่คร้ังเดียว เอาตัวเองไหนมาทำ Projection? เอาเวลาไปฝึกทำดีกว่าไหม
บางคนสอนเขียน BMC ตัวจริงไม่เคยใช้ก็มี
ถ้าภาพมันต่างจาก ของมากๆ แทนที่จะมีพลังงานไปเพิ่มมูลค่าของ ก็ต้องเอามารักษาภาพ
ทำไมคนเราสามารถสอนในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้โดยไม่รู้สึกอะไรได้?
ที่หงุดหงิดเพราะมันสร้างมุมมองผิดๆให้สังคม เฮ่วว์
"ไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วค่ะ แต่พัฒนาได้แค่นี้ มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว" ##มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วิทยาศาสตร์มันมีแนวต้องห้ามอยู่ด้วยครับ เช่นสิ่งที่เกี่ยวพันกับพวก PC ที่พวกนีโอนาซีเอามาอ้าง เช่นการที่ต่างชาติพันธุ์กันนับเป็นคนละซับสปีชี่ถ้าวัดคนอย่างสัตว์ประเภทอื่นๆ การวิจัยเรื่องการรักษาคนที่เป็นเภทที่สามด้วยการใช้ฮอร์โมนหรือช็อคไฟฟ้า เพราะมองว่าการที่ชอบไปทางไหนนั้นเป็นเรื่องของโครงสร้างสมองและฮอร์โมนในร่างกาย
ผมมองว่าวิทยาศาสตร์มันเป็นการเมืองมาตลอดนั่นล่ะครับ ต้องรับใช้ผลประโยชน์บางประการถึงจะได้รับทุนสนับสนุน ที่เหลือก้เพียงแต่ว่าใครจะเอาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ของฝ่ายตนมาสนับสนุนแนวความคิดทางการเมืองของตนเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
incest is wincest ( ͡° ͜ʖ ͡°)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การฝึกให้คนคิดนี่ยากมาก โดยเฉพาะพวกที่สมองถูกทำลายให้กลายเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร หรือดีหน่อยก็เป็น database กับเป็น cache ไปหมดแล้ว .... พูดง่ายๆ ว่าไม่มีหน่วยประมวลผลหลงเหลืออยู่ ทำได้แค่ query ข้อมูลที่เคยถูกยัดลงไปแล้วมาตอบเท่านั้น .... ข้อมูลหลายอย่างไม่มี persistent ใน db ก็กลายเป็น cache อย่างเดียว ...
แปลว่าถามมาตอนนี้สอนไปตอนนี้ก็ตอบตามได้ตอนนี้ แต่เวลาผ่านไปแป๊บนึง cache ก็หายไป แถม construct กลับมาไม่ได้ ... ถึงข้อมูลพื้นฐานจะถูกเก็บอยู่ .... ก็เพราะมันไม่มีหน่วยประมวลผล ไม่มีการประมวลผล ....
เอวังด้วยประการฉะนี้ ....
ป.ล. การศึกษาเราประสบความสำเร็จสูงมาก ในการผลิต db + cache .... แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั้น ... no cpu, no application, no computation ...
กูไม่ปฏิเสธนะว่าการศึกษาไทยมันไม่ได้ดีหรอก แต่ก็เห็นคนบ่นเรื่องเด็กไทยคิดเองไม่เป็นเหมือนๆกันเต็มไปหมดเหมือนกัน
บางทีกูก็แอบคิดนะว่าพวกที่พูดแบบนี้มันก็ไม่ได้คิดเองหรอก มันก็ฟังคำพูดคนอื่นเค้ามาพูดต่อนั่นแหละ
ตัวมันเองก็ผลผลิตของการศึกษาอันเฮงซวยของไทยเหมือนกัน รวมทั้งกูเองก็ด้วย
#กูเองไม่ต้องมิตรสหายที่ไหน
"มิตรสหายท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งไปร่ำเรียนต่อที่เกาะบริเตนใหญ่ภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจครั้งที่แล้วของโลกตะวันตก (พีคตอนปี 2008-2009)
เพื่อนผมได้ไปเจอคน Homeless เขาถามเพื่อนผมว่า "ผมไม่ได้ Racist นะ แต่ทำไมคนต่างชาติอย่างพวกคุณแม่งถึงได้ทั้งทุนการศึกษา ได้ทั้งเรียนภาษาด้วยเงินของรัฐบาลเรา ในขณะที่พลเมืองอย่างผมต้องมานอนไม่มีแดกอยู่ข้างถนนวะ" (แปลโดยผมเอง)
ผมว่าเซนส์ห่าอะไรพวกนี้แม่งสำคัญสัสๆ เกี่ยวกับการอธิบายว่าทำไมฝ่ายขวาแม่งขึ้นสัสๆ ในโลกตะวันตกหลังวิกฤติเศรษฐกิจ
ซึ่งผมว่าคนในประเทศโสกังๆ อย่างเราแม่งคงเข้าใจยากเหี้ยๆ ถึงภาวะที่รัฐแม่งตัดสวัสดิการพลเมืองที่เคยมีสารพัด (อีกยี่สิบปีเราก็คงไม่มี) แต่ยังรับผู้อพยพ ยัง "เลี้ยง" ผู้อพยพในบางแง่ (เราก็คงจะไม่มีอะไรระดับนี้เหมือนกัน)
ความรู้สึกถูกทอดทิ้งโดยรัฐแม่งเป็นพลังทางการเมืองที่โหดจริงๆ ระดับที่การสัญญาบ้าๆ บอๆ ว่า "คุณจะไม่โดนทอดทิ้งอีก" แม่งอาจทำให้ชนะเลือกตั้งได้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คงยากมาก ที่จะให้คนบ้านเราจะแยกออกระหว่าง "คิดเลขเก่ง" "คำนวนเลขเก่ง" กับ "เก่งคณิตศาสตร์"
ในเมื่อ "การศึกษาคณิตศาสตร์" ของบ้านเราเน้นแต่การคำนวนให้ได้ผลลัพธ์อย่างเดียว วัดความเก่งที่การคำนวนได้เร็วเป็นส่วนมาก ฯลฯ ใครจำสูตรได้ใช้สูตรเก่ง คำนวนแม่น ก็เป็นคนเก่ง
เราก็มักจะคิดว่า "คนคิดเลขเก่ง นั้นเป็นคนเก่งคณิตศาสตร์" เป็นธรรมดา
คือผมไม่เถียงหรอก ว่ามันหนีการคำนวนไม่พ้น และมันเป็นพื้นฐานสำคัญส่วนหนึ่งอ่ะนะ แต่การคำนวนก็ไม่ใช่คณิตศาสตร์อยู่ดี ......
เหมือนร้องเพลงกับแต่งเพลงอ่ะ คนละอย่างคนละเรื่องกัน คิดเลขคำนวนเลขเหมือนร้องเพลง มันใช้สกิลอย่างหนึ่ง หลายคนร้องเพลงเก่งแต่แต่งเพลงไม่เป็นเลย หลายคนก็ตรงข้าม เพราะการแต่งเพลงมันเป็นการเล่าเรื่อง การ capture เรื่องราวและสื่อสารมันออกมาด้วยสัญลักษณ์ทางดนตรี (อาจจะมีภาษาคนปน แต่ก็ไม่ใช่ทุกเพลงมีเนื้อร้องนะ เพลงที่ถูกแต่งมาเพื่อบรรเลงมีเยอะแยะ) ... และเอาจริงๆ นักแต่งเพลงหลายคนนี่ก็ร้องเพลงที่ตัวเองแต่งเองไม่เพราะเท่านักร้องหรอกนะ
ทำไมเพลงบางเพลงถึงถูกใจคนบางคนยิ่งนัก? ทำไมบางทีเพลงอกหักถึงโดนใจคนส่วนมาก ราวกับรู้จักกันมานานกับคนแต่ง? เพราะนักแต่งเพลงเห็น "pattern" ที่เกิดขึ้น และสื่อสารมันออกมาด้วย abstraction/model ที่ precise มาก ....
ถ้าเทียบแบบนี้
ร้องเพลงเหมือนคิดเลข
แต่งเพลงเหมือนคณิตศาสตร์
อันหนึ่งเป็นความสามารถในการ perform ตามสิ่งที่อีกอย่างหนึ่ง/คนหนึ่งแต่งขึ้นมา จากความเข้าใจโลกและโมเดลของโลกตามที่เขาเห็นและอยาก capture/abstract มันออกมา
อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้อยาก และไม่เคยคิดที่จะ devalue คนร้องเพลงหรือคนคิดเลขเก่ง .... ผมเพียงแต่อยากให้ value ที่แท้จริง กับนักแต่งเพลง และนักคณิตศาสตร์
"โตขึ้นแล้วอยากเป็นเครื่องคิดเลข"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"บทเรียนของคนที่อยากอิงอาศัยกลุ่มอื่นเพื่อถึงเป้าหมายตัวเอง หรือคิดว่าตัวเองจะหลอกใช้เขาได้ก็จะเหมือนฝ่ายซ้ายในการโค่นล้มชาร์ของอิหร่าน สุดท้ายได้ระบอบเผด็จการอิสลามที่จับพวกซ้ายไปยิงเป้าหมด ความเจริญวัฒนาที่มีในระบอบชาร์ก็หายไปด้วย สมัยชาร์หนังสือพิมพ์ลงข่าว "ก้าวสำคัญของสิทธิสตรี นักวิจัยนิวเคลียร์เกินครึ่งเป็นสตรี" สมัยนี้ลงข่าวเฆี่ยนผู้หญิงไม่ใส่ฮิญาบแทน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รีวิวมาม่าคาโบนาร่าชีสตัวใหม่ที่เค้าฮิตแดกกัน ไร้รสชาติไปสำหรับกู นอกจากรสเค็มผงชูรสกับเกลือกับไม่มีรสอื่นอีกเลย กุกินแบบแห้งใส่ผงตามที่เค้าแนะนำมาในทวิตฟีลลิ่งเหนียวๆหน่อย ก็ยังไม่สัมผัสได้ถึงความอร่อยที่เค้าร่ำลือกัน แต่ก็ไม่เหี้ยถึงขนาดแดกอ้วกเหมือนที่มีคนเคยรีวิว สรุปเอาตังไปแดกออเรียนทัลกุว่าดีกว่า
"เงินคงคลังมีปัญหา ใส่ชุดนักศึกษามาหาพี่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"นักศึกษาวิชาทหาร?"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
ข่าวรัฐถังแตก ข่าวรัฐยกเลิกการสนับสนุนหนังสือเรียนเด็ก ข่าวรัฐเตรียมยกเลิกบัตรทอง ฯลฯ ....
นี่ผมชักสงสัย ว่าผมอยู่ในประเทศเดียวกับประเทศที่มีข่าวว่ารัฐอนุมัติงบให้กองทัพต่างๆ อย่างอู้ฟู่ ถึงกับที่สื่อบางสื่อลงว่าเป็นยุคทองของบางกองทัพ ... อยู่ในประเทศเดียวกับที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (ที่หน้าที่หลักควรเป็นช่วยหาเงินเข้ารัฐ) โพสท์โบนัสพนักงานอย่างอู้ฟู่ (แต่ไม่บอกว่าเงินคืนคลังเท่าไหร่) ..... อยู่ประเทศเดียวกับที่พอจะรู้ว่ารัฐมีการแบ่งงบก้อนใหญ่ๆ ให้กับกลุ่มคณะทำงานนั้นนี้ภายใต้ชื่อต่างๆ รวมถึงการให้งบก้อนใหญ่ๆ กับหน่วยงานตั้งใหม่หรือกำลังจะตั้งใหม่ทั้งหลาย .... อยู่ในประเทศเดียวกับที่ประกาศจะละลาย เอ๊ย สนับสนุนเงินก้อนโตให้กับอุตสาหกรรมบางอย่าง (ที่รัฐเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่) ... หรือเปล่า
มันเป็นประเทศเดียวกันได้ยังไงวะ ..... คิดเหลี่ยมไหนก็ไม่เมคเซนส์ทั้งนั้น
ก็คงไม่มีอะไรหรอก นอกจากรวมหัวกันปล้นประเทศชาติ ..... ถ้ามันยังพอจะมีอะไรเหลือให้ปล้น ... พอหมดของให้ปล้น ก็เตรียมขายบางส่วนล่ะมั้ง ...
พลีชาติเพื่อชีพ แถมไม่ใช่เพื่อชีพทุกคนนะ ชีพคนกลุ่มที่ร่วมกันปล้นเท่านั้น
หาทุ่งลาเวนเดอร์วิ่งเล่นแป๊บ ....
"แอบเม้าท์หลังจากคำสั่งมุสลิมแบน
คือโดยปกติพวกผู้ลี้ภัยจากประเทศมุสลิมที่มาอยู่ที่อเมริกามักจะมีบุคลิกที่แปลกๆ เช่นชอบแซงแถว ชอบมีปัญหากับการบริการโรงแรม ชอบให้คนยกของหิ้วของเยอะๆ แล้วไม่ให้เงิน ชอบดูถูกคนที่ทำงานบริการด้วย ชอบต่อราคา ชอบขูดราคา เคี่ยว กินอาหารนี่นอกจากไม่ให้ทิปแล้วยังสกปรก...
คือคนดีๆ ก็มีมั้ง แต่ส่วนใหญ่มักจะแบบนี้ คือเค้าคงอยู่ในโหมดเอาตัวรอดมากๆ แล้วในสังคมของเค้าคนรวยก็คงรวยมากคนจนคงจนมาก... เอาเป็นว่า เป็นที่เบื่อหน่ายในสังคมอเมริกันมากเรื่องความเห็นแก่ตัว...
หลังจากมีคำสั่งมุสลิมแบนค่ะ... ดิฉันรู้สึกว่า ชาวลี้ภัยมีมารยาทขึ้น แม่งด่าเวลาลูกร้องกลางห้าง ต่อแถวรอจ่ายเงินซื้อของแบบเรียบร้อยเป็นระเบียบ ยิ้มแย้มเป็นมิตรผิดกับเมื่อก่อน... จริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ลุงเป็นเก๊าหรือเปล่า
น้องมันเป็นห่วง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตามที่สัญญาไว้เมื่อวานครับ
เรื่อง "คลังถังแตก" ที่มีการจุดกระแส
โดยเริ่มจากนักวิชาการเศรษฐศาสตร์
ที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่ง
สนับสนุนพวกกลุ่มประชาธิปไตยใหม่
ก่อนที่สื่อ+เพจ(แอบแฝง)ทางการเมือง
หลายสำนักจะหยิบเรื่องนี้มาตีประเด็นกัน
จนเป็นที่อึกกระทึกครึกโครม สร้างความตกใจ
ให้แก่ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องว่าตกเป็นเหยื่อ
ของการพูดความจริงเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น...
โพสท์นี้ผมขอหยิบมาเล่าให้ฟังเข้าใจง่ายๆ ดังนี้
-----------------------
1. #เงินคงคลัง ไม่ใช่เงินเก็บเหมือนเงินฝาก
เงินฝากที่แสดงความมั่นคงของประเทศ ก็คือ
#ทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งไทยมีเงินส่วนนี้
6.2 ล้านล้านบาท หรือ (1.7 แสนล้านเหรียญ)
ถือเป็นอันดับ 13 ของโลก (ข้อมูลต้นปี 2016)
https://th.wikipedia.org/…/ราย�%B…
บางคนนึกว่าเงินคงคลังคือเงินสำรองประเทศ
แล้วพอได้ยินกระแสข่าวลือ ก็กลัวว่าเงินหายไป
ประเทศจะไม่มั่นคง ประเทศจะล้มละลาย บลาๆ
ก็ขอให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่ดังเช่นที่เข้าใจผิดกันไป
แล้วเงินคงคลังคืออะไร?
2. เงินคงคลัง เปรียบได้เหมือนเงินในกระเป๋า
หรือบัญชีที่ใช้จ่ายในบ้าน ที่มีรอบการเก็บ-จ่าย
เหมือนหัวหน้าครอบครัวเปิดร้านขายของขึ้นมา
โดยต้องการให้เงินส่วนหนึ่งเอาไปใช้จ่ายในบ้าน
เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างลูกจ้าง และอื่นอีกมามาย
ทุกสิ้นเดือนก็จะต้องมีการจ่ายเงินออกไปตามปกติ
ในขณะเดียวกัน พอต้นเดือนก็จะมีรายได้เข้ามา
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นระลอกๆ เรื่อยๆ
*** ขอให้ดูรูปประกอบทีแนบมา
- รูปดังกล่าวเป็นกราฟแสดงจำนวนเงินคงคลัง
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 มาจนถึงกลางปี พ.ศ.2558
จะเห็นได้ว่าเงินคงคลังจะเพิ่มขึ้นและลดลงเป็น
"วัฎจักร" โดยที่เดือนมีนาคมเป็นเดือนจ่ายภาษี
ช่วงปลายปีเงินคงคลังจึงมีสถานะที่ต่ำลงชัดเจน
หลังจากนั้นพอครบรอบการเก็บภาษี เงินก็เพิ่มขึ้น
#ขึ้นแล้วก็ลงตามลูป เป็นเช่นนี้โดยตลอดนะครับ
-----------------------
3. ประเด็นอยู่ตรงที่ มีนักวิชาการเศรษฐศาสตร์
ซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองบางคน หยิบเรื่องนี้
มาพูดและทำให้เป็นกระแส โดยพูดความจริง
แค่ว่า "นี่ไงเงินคงคลังเหลือแค่ 7.5 หมื่นล้าน"
(รวมถึงออกแนวประชดประชันอีกจำนวนหนึ่ง)
จากนั้นก็ให้พวกสาวกทางการเมืองของฝ่ายตน
ที่ไม่ได้รู้ข้อเท็จจริง หยิบไปโพนทะนานและ
#สร้างวาทกรรมในโลกออนไลน์ ประเภทว่า
- รัฐถังแตก ไม่มีปัญญาหาเงิน
- รัฐบาลคอรัปชั่น ใช้เงินจนเงินหมดคลัง
- ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีเงินมากกว่านี้ ฯลฯ
- รัฐบาลทหารใช้เงินที่รัฐบาลเลือกตั้งหามาจนหมด
และอื่นๆ อีกมากมายตามที่จะสรรหาคำพูดมาได้...
*** ซึ่งทั้งหมดนี้ พวกเค้าคงไ่มรู้ว่า...
เค้าถูกนักวิชาการพวกเดียวกัน "หลอก" แล้ว
เพราะดังที่ได้อธิบายไปแล้วว่าเงินคงคลังนั้น
มันก็จะน้อยลงตามช่วงของปีงบประมาณอยู่แล้ว
และหลังจากการเก็บภาษีเดือนมีนาคมของทุกปี
มันก็จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนที่จะลดลงอีกเช่นกัน
ถ้าไม่อยากให้เงินคงคลังน้อยลงตามยอดการจ่าย
ก็แค่กู้เงินเข้ามาเติม ก็จะมีตัวเลขเงินคงคลังแล้ว
แต่นั่นไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลย นอกจากเพียง
ปั่นตัวเลขให้ได้หน้าเท่านั้น เพราะปกติเงินก้อนนี้
มันก็ต้องขึ้นและลงตามยอดการจ่ายบิลทุกปีอยู่แล้ว
-----------------------
2
*** สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ปี พ.ศ.2555 ก็มีช่วงที่
เงินคงคลังเหลืออยู่แค่ 7.5 หมื่นล้านเช่นเดียวกัน
http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx…
ยังดีที่เวปไซด์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ย้อนหลังไปดูได้ถึงแค่ปี พ.ศ. 2552 ไม่เช่นนั้นแล้ว
ผมจะเอาตัวเลขสมัยรัฐบาลทักษิณมาให้ดูกันด้วย
เพราะสมัยรัฐบาลทักษิณปี พ.ศ. 2548 นั้น
ก็ยังใช้จ่ายจนเงินคงคลังลดเหลือเพียงแค่
3.6 หมื่นล้าน ตอนนั้นใช้เงินไปเดือนเดียว
6.7 หมื่นล้าน จนธนาคารแห่งประเทศไทย
ต้องออกมาเตือนรัฐบาลทักษิณว่าให้ระวัง
ตอนนั้นก็ไม่เห็นมีใครออกมาเย้วๆ เหมือนกัน...
(ตอนนั้นน่ะวิกฤตของจริงนะครับ ไม่ใช่กระแส)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx…
ก็ไม่รู้ว่าพวกนักเคลื่อนไหวทางการเมือง
หรือพวกเพจดังที่มีวาระแฝงทางการเมือง
ที่เอาเรื่องเหล่านี้ไปประโคมกัน เค้าจะรู้ไหมว่า
#เค้าโดนนักวิชาการพวกเดียวกันหลอกเสียแล้ว
(การเอายอดเงินในบัญชีช่วงปลายปีที่เพิ่งจ่ายบิล
มาเปรียบเทียบกับยอดเงินต้นปีที่เพิ่งเก็บจากลูกค้า
คือ #ตรรกะวิบัติ ของแท้ เพราะเทียบไม่ตรงช่วงเวลา)
-----------------------
*** คือการจะวิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้เงินไม่เหมาะสม
ไม่นำไปพัฒนาในส่วนที่ควร หรืออะไรก็แล้วแต่
ถือว่าเป็นความเห็นที่เป็นเสรีภาพที่กระทำได้
(ผมเองก็ไม่ใช่ว่าพอใจกับรัฐบาลนี้ในทุกเรื่อง)
แต่การจะวิพากษ์วิจารณ์นั้น ต้องอยู่บนพื้นฐาน
ของหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีอย่างครบถ้วนครับ
ไม่ใช่การ #เลือกความจริงมาพูดส่วนเดียว เพื่อ
ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด จนนำไปสู่การ
ใส่ร้ายป้ายสีและปลุกระดมทางการเมืองดังที่เห็น!!!
สำหรับเนื้อหาอื่นๆ เพิ่มเติมนั้นขอให้อ่านได้
จากโพสท์ของนักเศรษศาสตร์ตัวจริงเสียงจริง
(ที่ไม่มีวาระแฝงทางการเมือง แต่อธิบายตามหลักวิชา)
- เช่น โพสท์ของ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
https://www.facebook.com/lpipat/posts/10154768187765700?pnref=story
- โพสท์ของคุณ บรรยง พงษ์พานิช
https://www.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/643601272509842?pnref=story
- โพสท์ของคุณ กรณ์ จาติกวณิช
(ที่ให้สัมภาษณ์ในบทความอันหนึ่ง คู่กับ
นักวิชาการที่มีวาระแฝงทางการเมืองคนนั้น)
https://www.facebook.com/KornChatikavanijDP/posts/10155001013804740
- โพสท์ของ อ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
https://www.facebook.com/Arnond.s/posts/10155094838057728
ข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม:
http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=762281
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1486531485
http://www.matichon.co.th/news/454516
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
""Digital Transformation ในเรื่อง Education" ไม่ใช่การลงทะเบียนเรียนได้ผ่านคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่การดูเกรดได้ผ่านคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่การที่มหาลัยมีระบบ Managing Information System ไม่ใช่การที่มหาลัยมี CIO และระบบ Business Intelligence สำหรับการดูข้อมูลว่ารายได้มหาลัยมาจากไหน นักศึกษามาจากไหนบ้าง แม้กระทั่ง Modern BI ทั้งหลายที่จะต้อง Drill Down, ดู Funnel ต่างๆ ได้
นั่นมันคือ "Education Management" ครับ อย่าสับสนกับ "Education"
ปัญหาหลายอย่างของการศึกษา เกิดจากการ "ล้ำเส้น" กันระหว่าง "การบริหารการศึกษา" "การบริหารสถาบันการศึกษา" "การจัดการเรียนการสอน" .... ซึ่งเป็นเรื่อง "Management" กับเรื่อง "การศึกษา" ซึ่งเป็นเรื่อง "Education"
ผมเห็นด้วยกับ lecture หนึ่งที่ Professor Americ Avevedo สอนที่ Berkeley เมื่อนานมาแล้ว ว่า Education เป็นเรื่องของ Dialog ... จากรากศัพท์ลาติน ที่แปลว่า "to draw out" ไม่ใช่ "to put it"
ดังนั้นมันเป็นเรื่องของการสนทนา การแลกเปลี่ยน การเอาสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้ ออกมาคุยกัน มาหักล้างและส่งเสริมกันด้วยเหตุและผล (ไม่ใช่ด้วยอัตตา ด้วยสถานะ ด้วยอย่างอื่น) มากกว่าเป็นการ "ยัดความคิดของตัวเองลงไปให้คนอื่น" แต่เพียงอย่างเดียว (นั่นแปลว่า รวมการสอนแบบท่องจำโดยห้ามคิดทุกชนิด)
ถ้าจะ Digital Transform เรื่องนี้จริงๆ ต้องดูว่า "ด้วย Digital Technology เราทำให้เกิด Good Dialog อะไรได้บ้าง" และบ่อยครั้งจะเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างคู่สนทนา ... มากกว่า "เรามีระบบที่ให้เด็ก download presentation ได้นะ" หรือระบบอื่นๆ
ยิ่ง Education Management ล้ำเส้น Education มากเท่าไหร่ ... ความเป็น Education ก็ยิ่งหายไปเรื่อยๆ ....
เช่นเดียวกับทุกวันนี้ ที่เรา "ปฏิรูปการศึกษา" ด้วยการให้ความสำคัญกับ "ระบบบริหารการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ" (และทำลายการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ)
ผมเชื่อว่า Digital Transformation ในเรื่อง Education จะเกิดขึ้นภายนอกสถาบันการศึกษา เพราะมันไม่มีอุปสรรคสำคัญคือ "การบริหารการศึกษา" มาล้ำเส้น (จริงๆ ทุกวันนี้มันก็เป็นแบบนั้นเยอะ คนเรียนนอกระบบเยอะ แม้แต่กระทั่งการคุยกันใน FB ยังได้ความรู้เยอะแยะ) ... และนั่นแหละ คือสาเหตุสำคัญ ที่สถาบันการศึกษาจะโดน disrupt ... เพราะคุณไม่ทำหน้าที่ของคุณ และไม่ยอม transform อย่างเหมาะสม (เน้นที่ core value ไม่ใช่ management) ... ไม่เอื้อให้เกิด good dialogs ... ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยียุคไหน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ทั้งลุงวิศวะและเด็กนี่ก็ขับรถแบบใจร้อนกันไป แค่ปาดหน้ากันทำไมต้องมีอารมณ์ น้ำใจดีๆแทบจะหายไปจากสังคมไทย วันนั้นผมขับมอไซค์ปาดรถยนต์เขายังเป็นห่วงเป็นใย ตะโกนด้วยความเป็นห่วง "มึงอ่ะระวังตัวไว้" พอติดไฟแดงยังขับมาเทียบ ก็ยังกลัวว่าเราจะไม่ปลอดภัยยังบอกว่า "น้องขับรถแบบนี้ระวังตีนให้ดีๆ"อีก นี้ล่ะความความงดงามบนท้องถนน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เช้านี้อ่านไปเจอวิวาทะระหว่างนิสิตกับอาจารย์ในประเด็นแหลมคมทางสังคม ... นิสิตตั้งคำถามที่ท้าทายและแสดงความเห็นที่เป็นสากลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหลายมิติทำให้อาจารย์ท่านหนึ่งถึงกับใช้วิธีโพสท์เหน็บแนมและปิดท้ายด้วยการขู่ออกนอกประเด็นว่า "วันนึงข้างหน้าถ้าคุณจะต้องไปเรียนต่อก็ต้องพวกผมนี่แหละที่เซ็นต์เอกสารให้"
.
น้องนิสิตมาเจอโพสท์ดังกล่าวเลยเอามาให้ดูแล้วตั้งคำถามกลับไปเบา ๆ ว่า "จุฬาจะอยู่ตรงไหนใน 100 ปีข้างหน้า" พร้อมแท็ก #ChurassicPark
.
เราชอบสอนกันว่าอย่าเถียงครูบาอาจารย์ ซึ่งไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดสังคมที่มีภูมิปัญญาและรู้จักเส้นแบ่งในการถกเถียงเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ ... ครูของเราเลยเป็นคนแบบนี้
.
จริง ๆ แล้วเรามีนิสิตที่พยายามเถียงครูด้วยเจตนาที่จะให้ได้ข้อเท็จจริงอยู่ไม่น้อยในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ชะตากรรมของพวกเขาก็ไม่ค่อยต่างกันมากนัก ... จากนี้ต่อไปเราต้องสอนครูว่า "ถ้าจะเถียงกับนิสิต ต้องรู้จริงและหาข้อมูลมาประกอบเสมอ ... ถ้าแพ้ก็ต้องยอมรับว่าเด็กมันเก่ง ไม่ใช่ไปหาทางทุบมันด้วยทางอื่น เพราะเด็กจะรู้และเอาไปบอกคนอื่นว่าคุณชอบใช้วิธีที่ไม่แฟร์"
สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า ที่เมืองชิซึโอกะ ครอบครัวมุสลิมบางคนกำลังมีความขัดแย้งกับโรงเรียนเรื่องอาหารกลางวัน
ผู้หญิงคนหนึ่งพูดในที่ประชุมว่า
"โปรดเข้าใจศาสนาของเราด้วย"
แต่คนญี่ปุ่นบางคนก็รู้สึกตำหนิกับเรื่องนี้
ผมไม่มีอคติกับชาวมุสลิมนะครับ ผมคิดว่าพวกเขาเป็นผู้เลื่อมใสในศาสนาที่ดี
แต่ที่โรงเรียน ถ้าทำเมนูใหม่ขึ้นมาก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ถ้าต้องทำอาหารเพื่อชาวมุสลิม ต้องใช้วัตถุดิบอีกอย่างและต้องทำอาหารอีกอย่าง
ค่าใช้จ่ายของโรงเรียนสำหรับอาหารกลางวันก็เพิ่มขึ้นอีก
เมืองของผม Adachi-ku เด็ก 25% เป็นเด็กยากจน พวกเขาได้กินอาหารแค่ที่โรงเรียนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องกินขนมอยู่ที่บ้าน
(บางคนก็ไม่สามารถจ่ายค่าอาหรกลางวันที่โรงเรียนได้)
ผมหวังว่าชาวมุสลิมบางคนจะเข้าใจนะครับ เด็กญี่ปุ่นบางคนก็ไม่มีแม้กระทั่งเนื้อหมูจะทาน
ถึงแม้ถ้าครอบครัวญี่ปุ่นที่เป็นมุสลิมต้องการเมนูพิเศษที่โรงเรียน ผมคิดว่าพวกเขาพูดแบบนี้ครับ
"เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงในประเทศของคุณได้ คุณควรจะเปลี่ยนแปลง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อิสลามในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มาจากอินโด ไม่เคร่งมากและเปิดรับอะไรใหม่ๆ
แต่มันก็มีพวกเคร่งๆหลุดมาเหมือนกัน พวกนี่แม่งทำความเดือดร้อนให้
สมาคมผู้ปกครองชิบหาย ตอนเรื่องฮิญาบก็ที่นึงล่ะ
เหตุผลที่มุซซี่ห้ามแดกหมูคืออะไรวะ
นี่แหละปัญหาของพวกมุสซี่ คือไม่เคยคิดจะเปลี่ยนตัวเอง จะให้เขาปรับเข้าหาตัวเองท่าเดียว พอเขาไม่ทำก็หาว่าเขารังแก rage แล้วก็เป็นก่อการร้าย ส่วนศาสนาของแม่ง พวกนักศาสนาก็ไม่เคยคิดจะปรับข้อบังคับให้เข้ากับชาวบ้านได้
กูว่าเรื่องไม่เเดกหมูนี่หมูหำหมัดไม่ได้คิดเองหรอก น่าจะก๊อปยิวมา
กูยังนึกภาพไม่ออกเลยว่า อยู่แต่ในทะเลทราย
นบีจะเอาหมูที่ไหนแดกวะ
กูคิดถึงเรื่องยูโก กะหรี่ต้องตัดลิ้นเพราะเวลาเย็ดจะได้ไม่ร้อง อัลเลาะห์ๆ
ยิวไม่แดกหมู ไม่เห็นทำตัวเรื่องมากแบบมุซซี่
หรือเมื่อก่อนยิวก็เคยทำตัวแบบนี้ จนโดนเฮียหนวดจิ๋มจัดหนักไปหนึ่งดอก
ตั้งแต่นั้นมายิวเลยเลิกเรื่องมากรึป่าววะ ?
ยิวโดนบังคับอยู่ในเก๊ตโต้มาตั้งแต่ยุคกลางแล้วไง พอสังคมเปิดโอกาสให้มากขึ้นก็เลยไม่เรื่องมากขนาดนั้น
"นายไม่อ่านอัลกุรอาน นายจะรู้อะไร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เรื่องนกพิราบ กูก่รำคาญไง แต่กูไม่พูด เพราะถ้ารู้ว่าพูดว่ารำคาญ กูเป็นคนอื่น กูก่กดใส่ เพราะนี้มันคือการใช้อินเตอร์เน็ตที่ถูกต้อง
และที่มันระบาดเพราะมีคนนมาบ่นว่ารำคาญกันเนี่ยแหละ เออไหนๆมันมาถึงจุดนี้ก่คงพูดได้ละ แม่งมันระบาดไปแล้ว
เห็นน้องในเน็ตตั้งประเด็นดีเบตกันซีเรียสเมื่อสองสามวันก่อน กูนี่ยิ้มเลย ใช้อินเตอร์เน็ตผิดวิธี
อินเตอร์เน็ตมันเอาไว้ piss off กัน คุยกันให้ความรู้สั้นๆ เอาไว้ให้ด่ากัน ไม่ได้เอาไว้ให้เถียงให้เกิดสติปัญญา ถึงเถียงแพ้อีกฝ่าย มันก่ไม่เปลี่ยนใจหรอกอ่ะครับ อีกคนบ้า อีกคนฟิน มันมีแค่นี้
เหมือนอาแดงบอก ส้นตีน กดบล็อก แล้วปิดไฟนอน ให้อีกฝ่ายหัวร้อน เยี่ยวเหลืองแบบนั้น
กูถึงเลี่ยงอ่านคอมเมนต์เพจต่างๆถ้าไม่จำเป็น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จุดพีคมันอยู่ตรงที่ 1933 ฮิตเลอร์สั่งเผาไรซ์แทค (รัฐสภา) แล้วโยนความผิดให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ว่าเป็นคนทำครับ ชาวเยอรมันเลยเชื่อใจพรรคนาซีมากยิ่งขึ้น พรรคไวร์มาร์มีดีแค่ปี 1923 ยุคแห่งกุสตาฟ สเตรสแมนที่มาปลดหนี้ให้เยอรมันหลัง ww1 แต่ก็ต้องเสียชีวิตไป ฮิตเลอร์ขึ้นมามีอำนาจได้เพราะว่าจิตวิทยาทางการพูดโน้มน้าวใจคนและนโยบาลถูกใจประชาชนเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่นิยมของประชาชนชาวเยอรมันครับ เยอรมันจะเจริญมาก ถ้าฮิตเลอร์ไม่ก่อสงครามและความขัดแย้งต่างๆ เช่นการรวมยึดแผ่นดินคืน และการรวมเช็กกับออสเตรีย เอาทหารเข้าไรน์ (dmz) ซูเดนเธอร์แลนด์ และเดซิ่ง เยอรมันจะเจริญมากๆๆ เห็นได้ชัดจากเทคโนโลยีที่แสดงให้เห็นในงานโอลิมปิกที่เบอร์ลินปี 1936 และเทคโนโลยีอาวุธต่างๆที่ใช้ในสงครามกลางเมืองสเปน // "Spring of Life" ก็พีค พรรคนาซีจะส่งทหารไปเป็นผัวให้ผญที่ไม่มีคู่ครองแล้วปั๊มลูก ผญคนไหนมีลูกเยอะก็ได้รับเหรียญรางวัล เหตุผลของโปรเจ็คนี่ก็คือ "การเพิ่มจำนวนคนที่ถูกเกณฑ์ทหารในอนาคต" และ "สร้าง unity ให้กับความเป็นชาติเยอรมันอันยิ่งใหญ่"
เห็นนักข่าวไทย แห่กันจ่อไมค์+กล้องประชิดสมเด็จพระสังฆราชแล้ว
กูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนไทยต้องมีอะไรมาควบคุมเอาไว้ตลอด พอปล่อยฟรีแม่งชอบทำตัวเละเทะ ขายขี้หน้าเขา
#โม่งท่านหนึ่ง
ปกติกูจะเห็นต่างกับคำผกาบ่อยๆ แต่กรณีนี้กูเห็นด้วยกับคำผกา กรณีดราม่า "The Face หนูกลัวกะเทย"
1. อายุ 16 นี่ไม่เด็กนะ เมืองนอกเขาถือว่าคนอายุเกิน 15 นี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว รับผิดชอบตัวเองได้ มีแต่ประเทศโลกที่สาม ที่มองว่าทุกคนยังเป็นเด็ก ต้องอายุเกิน 25 - 35 ถึงจะเรียกว่าผู้ใหญ่?
2. ควรพูดความจริง เกลียดอะไร กลัวอะไร ก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ใช่ทำตัวเป็น "ชาวตอแหลแลนด์ มือถือสาก ปากถือศีล" คือ ต่อหน้าพูดว่า "โอเค รับได้ คบหากันได้" แต่พอลับหลัง แทงข้างหลังกันสุดชีวิต
เช่น ถ้าบอกตรงๆว่าเกลียดเกย์กะเทย ก็จะได้มาปรับความเข้าใจกัน ถ้าปรับไม่ได้ ก็แยกกันไปทำงานคนละแผนก จะได้ไม่ทะเลาะกัน ไม่ใช่บอกว่าไม่เกลียด แล้วแอบกลั่นแกล้ง รังเกียจกันทีหลัง
หรือ เจ้าขององค์กรไม่อยากรับเกย์กะเทยเข้าทำงาน หรือไม่อยากให้มีตำแหน่งสูงๆ ก็ควรบอกตรงๆ จะได้ไปทำงานที่อื่น ไม่ใช่ปากบอกว่า "รับได้" แต่กลับไม่รับเข้าทำงาน หรือ แกล้งกดดันให้ลาออกเอง หรือ แกล้งไม่ให้เลื่อนตำแหน่ง
จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าเป็นชาว 4chan
เพราะท่านมักตรัสว่า ดูกร Anon
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
" อย่าปล่อยให้ไฟแค้น เผาใจคุณจนดำไปกว่าสีผิว"
- จากหนังสือ
' พระเยซูเป็นคนดำ ' แต่งโดย สาธุคุณ สมาร์ท
( ติดอันดับหนังสือที่ถูกขโมยมากที่สุดจากร้าน We-ed book )
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
" ไม่ว่าควยขาวหรือควยดำ ขอเพียงใช้เย็ดได้ก็พอ"
#มิตรสหำท่านหนึ่ง
ใกล้วาเลนไทน์ มีอะไรให้คิดเกี่ยวกับความรักเยอะ...
ประเด็น #เมียหลวงเมียน้อย จริงๆ เคยเป็น #เมียหลวง มาก่อน มีทุกอย่างที่ชีวิตผู้หญิงคนนึงจะอยากได้ มีศักดิ์ศรี มีงานหมั้น มีผู้ใหญ่ระดับประเทศเป็นเจ้าภาพ ไปไหนมาไหน มีคนมองและชื่นชมว่าเหมาะสมกันดี สามีหล่อ ภรรยาสวย มีครอบครัวที่อบอุ่น
เบื้องหลังใครจะรู้ ว่าอยู่กันไปก็ตีกันไป ซ้อมกันไป วันดีคืนดีก็มีบ้านใหม่ให้พักพิง ไม่ต้องกลับบ้านก็ได้ ถามว่าเสียใจมั้ย? คือเข้าใจโลกนะ ก็เลยไม่เคยโทษคนมาทีหลัง ไม่เคยไปสืบสาวราวเรื่องว่าใครเป็นเมียน้อย ต่อให้เห็นคาตา เพราะคนมันมีชีวิตมีจิตใจ คิดเอง ตัดสินใจเอง เลือกเองได้ว่าจะเอาไงกับชีวิต จะไปด่าว่าเค้าแย่งชิงของๆเรา มันทำงั้นได้ที่ไหน คนไม่ใช่สิ่งของ ทุกวันนี้ สองคนนั้นเค้าก็คบกันอยู่ รักกันดี เราก็ไม่เคยไปเรียกเค้าว่าเมียน้อยเลย ถึงจะคบซ้อนก็ตาม
ชีวิตใครชีวิตมัน ก่อนหน้านี้ที่ทนๆกันไป ก็มีบ้างที่กลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวเสียหน้า กลัวอับอายสังคม พ่อแม่ชั้นจะเอาไปไว้ที่ไหน คิดแทนสังคมไปเรื่อย จริงๆแค่ไม่อยากยอมรับต่างหากว่าชีวิตคู่ล้มเหลว แต่พอปล่อยอีโก้เฮือกสุดท้ายออกไปได้ พูดเลย ทุกวันนี้ มีความสุขมาก ได้เลือกทางเดินชีวิตใหม่ของตัวเอง คืนความสุขและอิสรภาพให้แก่กันและกัน
ส่วนมุมของ #เมียน้อย เค้าก็คงมีความสุขมากกว่าตอนอยู่กับเรา เราอาจจะมีความผูกพัน แต่ชีวิตคู่และการใช้ชีวิตที่เหลือจนหมดสิ้นไปด้วยกัน แค่ผูกพัน มันไม่พอจริงๆ
#ไปเถิดทั้งคู่ไปสู่ประตูสวรรค์
#อวยพรและอโหสิให้จริงๆนะ
"นั่งคุยกับแทกซี่ชีวิตคนเราก็ตลกๆแกว่าเป็นคนปราณบุรีมีพี่น้องสามคน แกคนโตขยันขันแข็งแม่เลยให้ที่ริมน้ำ คนที่สองผู้หญิงก็ได้ที่ติดถนน ส่วนๅองไอคนสุดท้ายเกเรขี้เกียจ แม่เลยให้ที่ติดทะเล ทำเกษตรไม่ได้ เดินทางไม่สะดวก
สุดท้ายน้องคนเล็กรวยสุดขายที่ทำรีสอร์ทติดทะเล ส่วนตัวแกขายที่ได้มาดาวน์แทกซี่ เพราะแปลงเกษตรล่ม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มีรัฐบาลประชาธิปไตยเมื่อไร จะเอาไอเดียไปเสนอ ให้รัฐบาลไปสร้างนิคมอุตสาหกรรมในสามจังหวัด ร่วมมือกับมาเลย์
แล้วทำโครงการสนับสนุนคนภูมิภาคอื่นที่ย้ายไปทำงานนิคมอุตสาหกรรมในสามจังหวัด ด้วยการอัดฉีดเงินรายครอบครัว (เดือนละ 9000 พอไหม) มีสวัสดิการและเงินอัดฉีดอีกถ้าผลิตลูก ยิ่งมีลูกเยอะยิ่งได้เงินเยอะ
แล้วก็อาจจะทำนิคมอุตสาหกรรมกับจีน แน่นอนว่าจีนจะขอเอาคนตัวเองมาทำงาน เราก็สวมรอยตรงนี้ด้วยการให้ green card คนจีนที่โอนสัญชาติ บางคนมาทำงานอาจจะได้เมียคนไทย เราทำทางลัดได้สัญชาติให้เลย แล้วก็ให้เงิน settle ครอบครัวที่เมืองไทยด้วย
ทำแบบนี้ผ่านไป 200 ปี ปัญหาภาคใต้ก็จะหมดไป ต้องเอางบมาพัฒนา infrastructure ด้วยนะ ให้ชีวิตที่ดีขึ้น (aka สิ่งที่อัลลอฮฺให้ไม่ได้)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ขนคนจีนไปอยู่ถิ่นมุซซี่ มักไม่ค่อยรุ่งวะ โอกาสจะขึ้นมาแถวหน้ายากมาก โดนกดเป็นประชากรชั้นสองตลอด
"ผู้หญิงนะเว้ย เขาก็แค่ต้องการผู้ชายที่ สามารถปลอมตัวเป็นเพื่อนผู้หญิงมาเรียนห้องเดียวกันเพราะอยากสนิทใกล้ชิดกัน ซัก2-3ปี แล้วมาเฉลยว่าเป็นรัชทายาทปลอมตัวมา พอตอนใกล้ๆจบก็เสี่ยงอันตรายมาช่วยชีวิตเรา แค่นั้น แค่นี้เอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผู้ชายเองก็ต้องการผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นคนรับใช้ คอยเสริฟกาแฟ ยิงนกตกปลาด้วยกันแล้วบังเอิญวิ่งล้มสะดุดจับนม เกิดความสงสัยว่าเป็นชายแท้แน่หรือ จากนั้นก็สับสนในใจว่าเอ๊ะหรือกูจะเป็นเกย์ แล้วต่อมาค่อยถูกผู้ร้ายจับตัวไปจนเฉลยทีหลังว่า เป็นคู่หมั้นที่ทางบ้านจับคลุมถุงชนแต่แรก เพียงแค่ฝ่ายหญิงปลอมตัวมาเพื่อสืบนิสัยผู้ชาย แค่นั้น แค่นี้เอง"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"เมื่อไหล่เพจนี้จะเลิกโง่สักที การเป็นเกย์ไม่โดนประหาร โทษประหารคือ มีเซ็กซ์ทางทวารหนัก ชาย-ชาย และต้องมีพยานเห็น 4 คน หมายความว่ามึงต้องมีเซ็กซ์ในที่สาธารณะแล้ว เลิกสร้างวาทกรรมมั่วๆซะทีเห็นแล้วรำคาญ"
#มิตรสหายมุซซี่ท่านหนึ่ง
ถ้าคนเย็ดตูดแต่งงานแล้วจะโดนปาหินจนตายด้วยแหละเออ
สุขสันต์วันลูเปอร์คาเลีย เทศกาล SM ในตำนาน
ต้นกำเนิดที่แท้จริงของวันวาเลนไทน์
ลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) เป็นเทศกาลอันเก่าแก่คาดว่ามีมาตั้งแต่ก่อนอาณาจักรโรมัน จัดขึ้นในวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อขับไล่ความชั่วร้าย ชำระล้างเมืองให้บริสุทธิ์ เพื่อให้อุดมสมบูรณ์และแข็งแรง
ชื่อ Lupercalia ตั้งตามชื่อของหมาป่า Lupercus ซึ่งเป็นหมาป่าที่เลี้ยงดูและให้น้ำนมแก่ Romulus และ Remus ผู้ก่อตั้งโรมันตามตำนาน ดังนั้นจึงมีฐานะเป็นเหมือนผู้ก่อกำเนิด
พิธีกรรมในวันนี้นักบวชหรือผู้นำทางจิตวิญญาณจะบูชายันต์แพะตัวผู้ 2 ตัวและหมา หลังจากนั้นจะถลกหนังเอาไปทำชุดหนังและแส้ เรียกว่า februa เอาไว้ให้ผู้ชายรุ่นๆ สวมใส่เพื่อสมมุติตัวเองเป็น Lupercus และวิ่งกึ่งเปลือยไปรอบๆ กำแพงเมือง ถือแส้หนังแพะไล่ฟาดชาวเมือง หญิงสาวรุ่นๆ ก็จะห้อมล้อมเข้ามาให้ฟาดก้นตามความเชื่อว่าจะช่วยในเรื่องการสืบพันธุ์ ไม่เป็นหมัน เย็ดกันแล้วติดลูกได้ง่าย คลอดง่าย
สรุปคือลูเปอร์คาเลียเป็นเทศกาลแต่ง costume ชุดหนัง ฟาดแส้แบบ SM เพื่อเพิ่มแรงจูงใจและความมั่นใจ สนับสนุนให้คนเย็ดกัน และมีลูกออกมาเยอะๆ บ้านเมืองจะได้อุดมสมบูรณ์
เป็นเทศกาลเก่าแก่ของแพแกน ก่อนที่คริสต์จะเอาไปแต่งเติมเรื่องสวยหรูอย่างการอุทิศตนเพื่อความรักของนักบุญวาเลนไทน์ซึ่งไม่รู้มีตัวตนจริงรึเปล่า และอ้างความเป็นเจ้าของ เป็นความรักของพระเจ้า บลาๆ ๆ
Happy Lupercalia's Day!
โรแมนติกไหมล่ะมึง //Virus
http://www.telegraph.co.uk/women/sex/valentines-day/7187784/History-of-Valentines-Day.html
http://www.saintvalentin.org/index-admin.php?page=12&lang=EN
http://bluejayblog.wordpress.com/2012/02/15/februa-and-lupercalia/
http://en.wikipedia.org/wiki/Lupercalia
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากให้ทุกคนที่อวยและไฮป์ญี่ปุ่นหนักๆมาลองอยู่ที่นี่สักปีอะ คือประเทศเขาดี แต่แกมาอยู่แกจะรู้ว่ามันมีจุดหวิบเวลามีคนอวยว่าเป็นเกาะประเสริฐ
ซึ่งความจริงเป็นเกาะประสาท
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่ชอบตะวันออก เพราะแม่งยึดติดแต่ ระบบอาวุโส ศักดินา บ้าความเป็นชนเผ่า
#มิตรสหายท่านที่2
ฝั่งตะวันออกนี่ ดารา นักร้อง ทำไรไม่ถูกใจหน่อยก็โดนเล่นงานซะไม่มีที่ยืน ดูฝั่งตะวันตกบ้างเขาเข้าใจคำว่า individual สูงกว่าเยอะ
นักร้อง ดารา ก็คือคนไม่ใช่พระ แม่ชี เทวดา เขาไม่ใช่สถาบัน เขามีสิทธิที่จะไม่เป็นแบบอย่างตามที่หัวเราคิดก็ได้นิ
#มิตรสหายท่านที่2ในอีกระยะหนึ่ง
Once I saw this guy on a bridge about to jump. I said, "Don’t do it!"
He said, "Nobody loves me." I said, "God loves you. Do you believe in God?"
He said, "Yes." I said, "Are you a Christian or a Jew?"
He said, "A Christian." I said, "Me too! Protestant or Catholic?"
He said, "Protestant." I said, "Me too! What denomination?"
He said, "Baptist." I said, "Me too! Northern Baptist or Southern Baptist?"
He said, "Northern Baptist." I said, "Me too! Northern Conservative Baptist or Northern Liberal Baptist?"
He said, "Northern Conservative Baptist." I said, "Me too! Northern Conservative Baptist Great Lakes Region or Northern Conservative Baptist Eastern Region?"
He said, "Northern Conservative Baptist Great Lakes Region." I said, "Me too!"
"Northern Conservative Baptist Great Lakes Region Council of 1879 or Northern Conservative Baptist Great Lakes Region Council of 1912?"
He said, "Northern Conservative Baptist Great Lakes Region Council of 1912?" I said, "Die heretic!" And I pushed him over.
วิธีเลี้ยงลูก
************
Jaheem กำเนิดเกิดมาตอนที่แม่ของเขาชื่อ Rebecca อายุเพียง 17 ปี
Rebecca เล่าว่า ตั้งแต่เด็ก Jaheem เป็นคนที่มีความสนอกสนใจในเรื่องราวต่างๆรอบๆตัวยกตัวอย่างเช่น เมื่อตอนที่ Jaheem อายุ 4 ขวบ Rebecca เห็น Jaheem ยืนถือไขควงอยู่หน้าบ้าน
เธอถาม Jaheem ว่าจะเอาไขควงไปทำอะไร
Jaheem ตอบว่า “ผมอยากได้ชุดเครื่องเสียง” สิ่งที่ Jaheem ทำคือเดินไปบ้านข้างๆและใช้ไขควงแงะกลอนประตูหลังบ้าน
สิ่งที่จะเล่าต่อ ทุกคนจะต้องประหลาดใจครับ
Rebecca ไปเอาชะแลงมาอีกอันนึงแล้วมาช่วย Jaheem งัดประตู สุดท้ายคืนนั้น Jaheem ได้ชุดเครื่องเสียงและตู้เย็นใบใหม่
เมื่อถึงช่วงวัยรุ่น Jaheem ฉายประกายของความเป็นนักวิทยาศาสตร์ชอบประดิษฐ์ด้วยการสตาร์ทรถโดยไม่ต้องใช้กุญแจ
เมื่อทำสำเร็จ Jaheem เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ Rebecca ฟังด้วยความภูมิใจ
เพื่อนบ้านของ Rebecca มาถามเธอว่าทำไมถึงกล้านำรถคันเดียวของบ้านไปให้ลูกชายงัดนั่นแงะนี่
Rebecca ตอบว่า “นั่นไม่ใช่รถเธอ”
ตอนวัยรุ่น Jaheem ก็หมกมุ่นกับความสนใจของเขา มีอยู่วันหนึ่งแม่ของเขาได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนว่า Jaheem และเพื่อนถูกจับกัญชาที่ดาดฟ้าโรงเรียน เธอเลยถามลูกว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น Jaheem บอกว่าเขากำลังหารายได้เสริม และลูกค้าต้องการเทสต์ก่อน
ทราบไหมครับว่าแม่ของเขาพูดว่าอะไร "ถ้าจะสูบในที่โล่งก็ต้องดูทางลม"
เรื่องราวทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ นี่คือวิธีการเลี้ยงลูกที่ถูกต้อง ส่งเสริม สนับสนุน ให้กำลังใจ ให้เด็กสร้างเวทีของตัวเอง
สุดท้าย Jaheem เป็นเจ้าของฟาร์มสมุนไพรออร์แกนิคและโรงงานโคเคนอีกสองแห่งที่เม็กซิโก ทุกวันนี้ Jaheem มี Net worth 7,300 ล้านเหรียญ
เขียนมาซะยาว ผมอยากเห็นคนดำรุ่นใหม่มีโอกาสอย่างเรื่องราวข้างต้น
เล่าเรื่องนี้แล้วคิดถึงคุณแม่ผมครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ระดับผู้บริหาร มักบ้าอำนาจ และง่อยแดก ทำอะไรไม่ค่อยเป็น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"“โหน่ง วงศ์ทนง” ประกาศลาออกจาก a day หลังปัญหาความวุ่นวายหนักเรื่องการขายหุ้น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วงแตกแล้ว 3 ช่าเราไม่น่าเลย"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
วิธีแก้ปัญหาไอดอลมีแฟนแล้ว แบบง่ายๆ
-ตั้งวง ntr48
-รับเฉพาะสมาชิกที่มีแฟนแล้วเท่านั้น
กลุ่มลูกค้า เน้นตั้งเป้าไปที่เหล่าผู้ชื่นชอบในการจ่ายเงินเพื่อจับมือแฟนชาวบ้าน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คิดจะจับธรรมชโยในวัดธรรมกาย นี่ไม่เคยดูฉากดัมเบิลดอร์หายตัวในฮอกวอรตเหรอ
แล้วไปโผล่เมืองนอกแบบ Now you see อาตมาที่แท้จริง นังโง่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เรื่องเดียวที่รัฐควรเข้าไปข้องเกี่ยวกับศาสนา คือเก็บภาษีวัด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ต้องเหนื่อยขนาดไหน กว่าจะพลิกฟื้นพื้นที่รกร้าง ให้กลายเป็นไร่ฝิ่นที่อุดมสมบูรณ์ มันไม่ง่ายเลยนะครับ"
http://imgur.com/Cje9Kc2
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วันก่อนตื่นมา กูพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองเข้าพรรคนาซีไป"
#มิตรสหายท่านหนึ่งสารภาพความจริงกลางวงเหล้า
"เคสพ่อฆ่าลูก
ผู้ตายเป็นลูกชายคนโตของจำเลย ปกติทุบตีพ่อแม่อยู่เป็นประจำ ก่อคดีมานับไม่ถ้วน ทั้งชิงทรัพย์ วางเพลิง พรบ.อาวุธปืน ยาเสพติด ฯลฯ เคยเป็นทหารกองประจำการ(ทหารเกณฑ์) ที่ค่ายสรรพสิทธิประสงค์อยู่ 3 เดือน จากนั้นก็หนีทหาร วีรเวร วีรกรรมนับไม่ถ้วน ขึ้นชื่อลือชา เป็นที่รู้จักกันไปทั่วหมู่บ้านและตำรวจรู้จักดี เพราะสร้างงานให้ตำรวจบ่อย
พ่อแม่หาผู้หญิงให้แต่งงานด้วยจนมีลูกด้วยกัน 1 คน หวังว่าพอมีเมียแล้วพฤติกรรมจะดีขึ้น ปรากฏว่า ก็เหมือนเดิม แย่กว่าเดิมอีก เพราะทุบตีเมีย จนเมียทนไม่ได้ ต้องหนีออกจากบ้าน ลูกที่เกิดด้วยกันก็ต้องเอามาให้พ่อแม่เลี้ยงดูให้
เคยจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพราะผู้เป็นพ่อไม่มีเงินให้ลูกไปซื้อยามาเสพ
เคยถูกดำเนินคดีฐานชิงทรัพย์ พ่อแม่ไปหาหลักทรัพย์มาประกันตัวเสียวุ่นวาย เป็นหนี้สินจนทุกวันนี้ก็ยังใช้หนี้ไม่หมด เคราะห์ดีที่คดีนั้นศาลยกฟ้อง
วันเกิดเหตุ พ่อเกี่ยวหญ้า กำลังจะเอาไปเลี้ยงควายที่บ้าน พอเอาหญ้ามาถึงบ้าน พบเจ้าลูกชายลักเอาข้าวเปลือก 2 กระสอบ เตรียมจะไปขาย ผู้เป็นพ่อจึงเข้าขวาง เพราะลำพังข้าวในบ้านก็จะไม่พอกินอยู่แล้ว ลูกชายโมโหเพราะไม่มีเงินไปซื้อยามาเสพ จึงวิ่งเข้าไปหยิบมีดพร้ามาจะทำร้ายพ่อ พ่อเห็นท่าไม่ดี ก็วิ่งเข้าไปหยิบมีดพร้ามาป้องกันตัวเช่นกัน เจ้าลูกชายวิ่งไปทางกระสอบข้าวที่ขนเตรียมไว้ขาย เห็นชายผู้เป็นพ่อวิ่งไล่มา ก็เขวี้ยงมีดพร้าเข้าใส่ทันที เคราะห์ยังดีที่ผู้เป็นพ่อหลบทัน เจ้าลูกชายคว้าไม้ไผ่ปลายแหลมได้จึงแทงเข้าไปที่ร่างกายผู้เป็นพ่อ โดนไหปลาร้า ผู้เป็นพ่อเอี้ยวตัวหลบ ฟันมีดเข้าที่ขาเจ้าลูกชาย จากนั้นฟันเข้าอีกที่กลางหลัง เจ้าลูกชายกระหน่ำฟาดไม้ไผ่ลงมาโดนกลางกบาลชายผู้เป็นพ่อ พ่อคว้ามีดฟันฉับเข้าไปที่ลำคอเจ้าลูกชาย แต่หันด้านคมออก ใช้สันมีดทุบโดนลำคอลูกชาย จนลูกแน่นิ่งไป....
ชายผู้เป็นพ่อจึงได้สติ โทรหาตำรวจให้มาจับกุมตนเอง โดยยืนรอมอบตัวกับตำรวจพร้อมอาวุธมีดที่โชกไปด้วยเลือด เลือดซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอันเกิดแต่อุทรของตนเอง
ชายผู้เป็นพ่อต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะฆ่าลูกในไส้ของตนเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ครั้งแรก ‘เขา’ มาจับพวกคาทอลิก
แต่ฉันเป็นโปรเตสแตนต์, ฉันจึงเฉยเสีย
ต่อมา ‘เขา’ มาจับคอมมิวนิสต์
แต่ฉันไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์, ฉันจึงไม่ได้ทำอะไร
ต่อมา ‘เขา’ มาจับพวกสหภาพแรงงาน
แต่ฉันไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น, ฉันจึงยังนิ่งอยู่
จากนั้น ‘เขา’ มาจับคนยิว
แต่ฉันไม่ได้เป็นคนยิว, ฉันจึงยังนิ่งเฉยดังเดิม
และเมื่อถึงเวลาที่ ‘เขา’ มาจับฉัน
ก็ไม่เหลือใครสักคนที่คิดจะพูดหรือทำอะไร…
They first came for the Catholics,
but I was a Protestant, so did nothing.
Then they came for the Communists,
but I wasn’t a communist, so I did nothing.
Then they came for the trade unionists,
but I wasn’t a trade unionist, so I did nothing.
Then they came for the Jews,
but I wasn’t a Jew, so I did nothing.
By the time they came for me,
there was nobody to speak up."
บทกวึโดย Martin Niemöller ผู้ต่อต้านนาซียุคเรืองอำนาจ” อ้างถึงโดย Jessada Denduangboripant
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อลูกๆของผมไม่ได้อยู่ในโลกของเกมส์ By นพ.<มิตรสหายท่านหนึ่ง>
บทความนี้ไม่ได้ต้องการมานั่งเถียงว่า เล่มเกมส์มีประโยชน์อย่างไร? นั่นเรื่องของคุณ
ผมต้องการ “ปกป้อง” ครอบครัวที่ลูกยังไม่ได้เข้าสู่โลกของเกมส์
ครอบครัวของผมสามารถจัดการทุกเรื่องได้ง่าย เพราะว่าในบ้าน ผมและภรรยาใหญ่ที่สุด ไม่มีปู่ย่า ตายาย ญาติ หรือใครอื่นเข้ามาก้าวล่วงได้แม้แต่นิดเดียว
และทุกเรื่อง เราเห็นพ้องต้องกัน ทำให้ทิศทางของบ้านไม่สับสน มีจุดหมายชัดเจน
ซึ่งรวมถึงเรื่องการเล่นเกมส์
ตัวผมเองมีประสบการณ์ตรง จากการที่ป๊าของผมช่วยปกป้องผมไว้ด้วยสติปัญญา ไม่ยอมให้ผมซื้อเกมส์
ขอเล่าสั้นๆนะครับ
ตอน ป.5 ลูกน้องป๊าเอาเกมส์นินเท็นโด้มาให้เล่น ใหม่เอี่ยมแกะกล่อง หวังให้หัวหน้าเลื่อนขั้นเงินเดือน 2 ขั้นตอนปลายปี หลังจากนั้นพ่อลูก(ผมกับป๊า)ติดกันงอมแงมได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ป๊าก็เอาเกมส์ไปคืน
ผมใจหายวาบ ยังอยากเล่นสุดๆ เลยเกิดความตั้งใจแรงกล้าว่า จะเก็บเงินเพื่อซื้อเองหลังจากได้ที่เรียน ม.1
ผมเก็บเงินได้เยอะมาก 6 พันกว่าบาท และเมื่อทราบว่ามีที่เรียน ม.1 ผมก็ขอเบิกเงินเพื่อไปซื้อ แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยภายในเวลา 2 วินาที
โกรธนะครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ และผมต้องขอบคุณวันนั้น ที่ป๊าผมไม่ “โง่เขลา” เหมือนพ่อแม่ทั่วไป ที่ยอมให้มีเกมส์ในบ้าน
ถ้าไม่มีวันนั้น ไม่มี “นายแพทย์อิทธิฤทธิ์” ในวันนี้แน่นอน เพราะตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมมีช่วงติดเกมส์อยู่พักนึง ทำให้รู้ว่า สมองของผม “ติดเกมส์” ง่ายมาก
ก็ทำมาซะสนุกเร้าใจขนาดนั้น เล่นแล้วก็ติดสิคร้าบ
ส่วนหมอสาริณี ก็เติบโตมากับบ้านที่ไม่มีเกมส์ และยิ่งได้ทำงานเป็นจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ทำให้เห็นว่าปัญหาติดเกมส์ สร้างความเสียหายอย่างยิ่ง
ดังนั้นบ้านของผมเลยง่ายมากในเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครที่ “เห็นดีเห็นงาม” กับการให้ลูกเล่นเกมส์
ยังไม่นับเรื่องง่ายๆ คือ หมอ 2 คนไม่เขลาพอ ที่จะปล่อยให้ลูกติดเกมส์ แล้วค่อยมานั่งแก้ไข ซึ่งแก้ยากมาก
นี่ขนาดว่าฝีมือและทักษะเลี้ยงลูกที่หมอ 2 คนมี คงไม่น้อยกว่าคนทั่วๆไป แต่เราก็ไม่ประมาทเลย
ตั้งแต่ลูกๆเติบโตมา ผมรู้ว่าเด็กๆมีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วทำให้ผู้ใหญ่ต้องยอมเหนื่อย
ผมไม่อยากเห็นลูกของตัวเอง กลายเป็นเด็กหลังงอๆ นั่งหน้าทีวีเล่นเกมส์
หรือเป็นเด็กนั่งติดโต๊ะคอมพิวเตอร์ส่วนตัว แล้วก็นั่งเล่นเกมส์ทั้งวัน
ผมไม่ยอมให้ลูกตั้งเป้าเป็นแชมป์เกมส์ เพราะการไปถึงจุดที่สำเร็จมีน้อยคนมาก แปลว่าคนที่ไม่ถึงจุดหมาย ชีวิตจะแย่มาก เพราะทำอย่างอื่นไม่เป็น นอกจากเล่นเกมส์
ผมไม่ต้องการให้ลูกผมกลายเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่เชื่อฟัง เพียงเพราะว่าสมองติดเกมส์อย่างหนัก
และไม่อยากเห็นลูกทนทุกข์ทรมาน กับการเรียนไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่เค้าสามารถทำได้ดีกว่านั้น เพราะว่าต้องแบ่งเวลาไปกับการเล่นเกมส์
ผมไม่ต้องการฝึกเค้า ให้โตไปเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงผิดปกติ เพราะขาดทักษะทางสังคมที่ดี
ผมอยากเห็นลูกๆของผม เป็นคนที่เข้าใจเพื่อนมนุษย์ รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร หรือรู้สึกอย่างไร
ลูกๆของผม ควรต้องมีทักษะทางสังคมที่ดี และสามารถช่วยเหลือผู้คนได้เป็นอันมาก โดยที่ตัวเค้าเองก็มีชีวิตดีๆในแบบที่ต้องการ
ผมอยากให้ลูกๆของผมมีความแตกต่าง เพราะคนส่วนใหญ่ของโลกกำลังเล่นเกมส์ เพียงแค่ลูกๆของผมไม่ได้เล่นเกมส์ เค้าก็ต่างแล้ว
ผมรู้ว่าการสร้างเนื้อสร้างตัว จำเป็นต้องมีการศึกษาที่ดี และผมต้องปกป้องลูกๆ ไม่ให้เจอตุ้มถ่วงหน่วงรั้งจากเกมส์ ทำให้ไปได้ไม่ไกลเท่าที่ควรในการศึกษา
ยังไม่นับว่า เกมส์ดึงเวลาที่เค้าสามารถเอาไปทำอย่างอื่นที่ดีกว่า เช่น อ่านหนังสือ ออกไปพูดคุยกับคนเก่งๆ ไปฝึกทำงานให้เก่งๆ
ผมอยากให้เค้าได้เรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริง ได้ลองทำสิ่งต่างๆรอบตัวจริงๆ เล่นกับเพื่อนจริงๆ ได้แก้ปัญหาในชีวิตจริง ได้เรียนภาษาจากชีวิตจริง
ผมต้องการให้ลูกๆของผม ได้เล่าให้ลูกๆของเค้าฟังว่า “โห..ถ้าไม่ได้คุณปู่คุณย่าที่มีสติปัญญาและวิสัยทัศน์ แล้วปล่อยให้พ่อเล่นเกมส์เหมือนเด็กบ้านอื่น ป่านนี้พ่อไม่สามารถสำเร็จได้มากแบบนี้หรอก”
ผมอยากให้สิ่งดีๆ ซึ่งเรียกว่า “การอวยพร” ที่ผมและภรรยาตั้งใจในการเลี้ยงลูก ถูกส่งต่อลงไปให้กับลูกหลาน รุ่นต่อๆไปเค้าก็จะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ของเค้า กลายเป็นเด็กที่มีคุณภาพทั้งทางกาย ทางใจ ทางอารมณ์
*****
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>963 )
มีคนถามมาเยอะว่า ถ้าไม่ให้ลูกเล่นเกมส์ เดี๋ยวลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ หรือเดี๋ยวลูกจะหนีไปเล่นที่อื่น แล้วจะทำยังไง?
โอ..คนเขลาเอ๋ย ลูกถูกฝึกอย่างไร ก็จะเติบโตเป็นอย่างนั้น
ผมยืนยันว่า ลูกๆผมไม่เคยมีความคิดแบบนี้เลย ผมถามเด็กๆหลายรอบแล้ว
ที่สำคัญ พ่อแม่ที่ไม่หนักแน่นพวกนั้น จริงๆผมขอเรียกว่าพ่อแม่ "หน่อมแน้ม" จะกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว เมื่อกลัว ทำให้แก้ปัญหาผิดๆ
ผมเลือกเป็นพ่อแม่ที่หนักแน่น ไม่หน่อมแน้ม ไม่โง่เขลา เพราะผมรักลูกจริงๆ
เมื่อลูกยังอยู่ในความปกครองของผม เค้าจะต้องอยู่ภายใต้กติกาที่พ่อแม่วางไว้ แต่ถ้าเค้าโตแล้วอยากทำอะไร นั่นเป็นสิ่งที่เค้าต้องรับผิดชอบตัวเอง และผมคงยุ่งไม่ได้แล้ว
*****
ใครอยากให้ลูกเล่นเกมส์ นั่นเป็นการตัดสินใจของคุณ ไม่ต้องมาโน้มน้าวหรืออภิปราย เพราะผมหนักแน่นกับเรื่องนี้มาก
ใครที่มีปัญหากับลูกเล่นเกมส์ ผมจะไม่ตอบคำถาม เพราะว่าเรื่องนี้จะแก้ไขได้หรือไม่ ขึ้นกับความเห็นพ้องของ “ผู้ใหญ่ทุกคน” ในบ้าน ถ้ามีใครสักคนรู้สึกว่า ก็ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไรนี่ คงช่วยยากมาก
โปรดจูงมือกันไปพบจิตแพทย์เด็กที่ท่านสะดวก เพื่อรับการช่วยเหลืออย่างจริงจัง
ส่วนใครที่ลูกยังไม่ได้เล่นเกมส์ รวมทั้งเกมส์มือถือด้วย คุณคือเป้าหมายของบทความนี้ ผมอยากช่วยปกป้องลูกๆของคุณไม่ให้ผิดพลาดเหมือนคนอีกนับล้านๆ ที่กำลังกุมขมับอยู่
ผมภาวนาให้เด็กๆที่ยังไม่ได้เข้าสู่โลกของเกมส์ ได้รอดพ้นจากแรงดึงดูดมหาศาลจากโลกของเกมส์นะครับ
เพจ <เซ็นเซอร์> เพื่อครอบครัวที่มีความสุขกว่าเดิม และเว็บสั่งซื้อหนังสือของเพจ <เซ็นเซอร์>.lnwshop.com
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ยิงปืนนัดเดียว ได้แพะสามตัว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีคนเรียนหมอ เล่นเกม อ่านการ์ตูนเวบสแกนเถื่อน แล้วกล่าวว่าไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
แต่ดันเปิดเวบล่อให้คนมาทะเลาะกันเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องเล่นเกม ในครอบครัวต้องตกลงกันดี ๆ ครับ ออกกฏที่แน่นอนไปเลยว่าเล่นได้กี่วัน
บ้านผมนี่ ตกลงกันว่าจะเล่นแค่ 2 วันเท่านั้นครับ
วันฝนตก กับแดดออก
ผมถึงไม่เสียคน จนถึงทุกวันนี้ไง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ลูกของผมต้องไม่เกมส์ By คุณคานูเต้ ดรักลอร์ด
บทความนี้ไม่ได้ต้องการจะเถียงว่า บางคนก็ประสบความสำเร็จเพราะเครือข่ายที่รู้จักสมัยติดคุก? นั่นเรื่องของคุณ
ผมต้องการ “ปกป้อง” ลูกผมไม่ให้มีประวัติเข้าออกเรือนจำ
ในแก๊งค์ของผม ผมจัดการได้ทุกเรื่อง เพราะว่าที่นี่ผมใหญ่สุด ไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าเข้ามาก้าวล่วงได้แม้แต่นิดเดียว ทำให้แนวทางแก๊งค์ไม่สับสน มีจุดหมายชัดเจน
ซึ่งรวมถึงเรื่องการปกป้องลูกชาย
ตัวผมเองมีประสบการณ์ตรง จากการที่คุณพ่อของผมช่วยปกป้องผมไว้ไม่ให้เกมส์
ขอเล่าสั้นๆนะครับ
ตอนผมวัยรุ่น คุณพ่อรับสมาชิกใหม่มาคนนึง เขาสามารถหาโคเคนชั้นดีจากอเมริกากลางได้ โดยขนมากับเรือกุ้ง หลังจากได้ลองเอามาปล่อยได้ไม่นาน ลูกค้าก็ติดกันงอมแงม แต่อีก 2 สัปดาห์ก็เกิดเรื่องขึ้น
ลูกน้องคนนั้นโทรมาบอกว่าคนงานเรือยักยอกของ ผมใจหายวาบ ของกำลังขายดีแท้ๆ เลยตั้งใจจะไปสั่งสอนคนงานเรือ
เมื่อผมสอบถามจนรู้บ้านเขา ก็รีบบึ่งรถไปหาในตอนกลางดึก พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับสันติบาลหนึ่งฝูงนั่งรอผมอยู่ ผมโดนหักหลังแล้ว
โกรธนะครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายผมต้องขอบคุณที่คุณพ่อช่วยเคลียร์ให้ โดยส่งคุณบับบ้าเข้าเรือนจำแทนผม ส่วนสมาชิกกลุ่มคนใหม่ถูกแปรเป็นอาหารกุ้ง ผมต้องขอบคุณคุณพ่อที่ช่วยผมจากความใจร้อนจนเกือบเกมส์
ถ้าผมเกมส์วันนั้น ก็ไม่มี “เจ้าพ่อคานูเต้” ในวันนี้แน่นอน เพราะของกลางเยอะมาก เข้าไปไม่นานคุณบับบ้าก็ได้นั่งเก้าอี้ไฟฟ้า
ดังนั้นแก๊งค์ของผมเลยชัดเจนมากในเรื่องนี้ ผมต้องการให้ลูกชายสืบทอดกิจการต่อจากผม คุณพ่อ และคุณปู่
ผมไม่อยากเห็นลูกของตัวเอง เป็นนักโทษนั่งหงอๆ อยู่ในโรงซักผ้า
ลูกๆของผม ต้องมีทักษะผู้นำที่ดี นำพาแก๊งค์ผงาดได้ต่อไป ในยุคที่พวกเม็กซิกันและลาติโน่เริ่มเข้ามาขายตัดราคาในเขตอิทธิพล
ผมรู้ว่าการวางแนวทางทำมาหากินให้แก๊งค์อยู่รอดไม่ใช่เรื่องง่าย ผมต้องเป็นแบบอย่างที่ดี และปกป้องลูกๆ ไม่ให้เจอโทษหนักจนส่งผลต่ออนาคตแก๊งค์
ผมต้องการให้ลูกๆของผม ได้เล่าให้ลูกๆของเค้าฟังว่า “โห..ถ้าไม่ได้คุณปู่คอยปกป้องไว้ ป่านนี้พ่อตายห่าไปแล้ว”
*********
มีคนดำหลายท่านถามมาเยอะว่า ถ้าไม่ให้ลูกลองติดคุกบ้าง เดี๋ยวลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ หรือคุยกับคนดำคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ แล้วทีนี้จะทำยังไง?
โอ..คนดำที่น่าสงสารเอ๋ย ความสดมีแค่ในคุกเท่านั้นหรือ
ผมสามารถฝึกความสดให้ลูกได้ แม้เขาจะไม่เคยติดคุก ตัวผมเองก็ปล่อยยามาตั้งแต่ 14 ยังไม่เคยเกมส์สักครั้ง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมไม่มีปัญหากับเพื่อน Atheist ที่วิจารณ์ศาสนาอะไรนะ แต่รำคาญชิบหายไอ้พวกที่แม่งวิจารณ์มาทั้งปี แต่อยู่ดีๆ เสือกเกิดเป็นห่วงศาสนาขึ้นมาเพราะอยากใช้มาโจมตีคนอื่นซะงั้น จากเอธีสกลายเป็นองค์อุปถัมภกในโพสต์เดียว
สรุปมึงจะเป็นอะไรกันแน่ อย่างไอ้เหี้ยจ่า กับ ไอ้บีฟักโกสต์นี่ชัดเจนมากๆ เหมือนคนที่ยอมแดกขี้ เพื่อจะได้เอาไปพ่นใส่คนอื่น
เย็ดแม่ร้อยวันพันปีไม่เคยเข้าวัด พอได้ช่องโจมตี นี่เป็นแม่งผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎกขึ้นมาเลย ละมึงเลิกยกเหตุการณ์สมัย 2 พันปีก่อนมาเสียที นี่มันโลกยุคไหนแล้ว กลายเป็นพวกมึงอะที่ไม่ปรับตัว
นี่รวมไปถึงพุทโธเลี่ยนควายๆ ด้วย แล้วก่อีกพวกมี่ชอบบอกว่าอะไรนั่นนี่ ไม่มีในพระไตรปิฎกแม่งไร้สาระ แม่งคณิต ฟิสิกส์ ก่ไม่มีในพระไตรปิฎกเหมือนกัน ไร้สาระไหมละมึง
พุทธแท้ พุทธเทียมควยไรล่ะ โดยส่วนตัวผมเชื่อมาตลอดว่าพุทธเนี่ยมันเหมือนแนวคิด แนวปรัชญา วิถีชีวิต ไปอยู่ที่ไหนก่ปรับเข้ากับความเชื่อท้องถิ่นนั้น มึงจะหาเอาพุทธแท้มาจากไหน พระพุทธเจ้าตายก่ไม่มีแล้ว เผลอๆ ตอนยังไม่ตาย แต่ห่างออกไปในที่ไกลๆ มันก่เพี้ยนแล้ว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อลูกๆของผมไม่ได้เสพย์โคเคน
บทความนี้เราจะไม่มานั่งเถียงกันว่าโคแคนสร้างรายได้ให้เครื่อขายอย่างไร นั้นมันเรื่องของธุรกิจคุณ ผมต้องการจะปกป้องเด็กๆของผมจากการเล่นโคแคนเอง
ครอบครัวผมเราทำธุรกิจค้ากัญชาเป็นเครือข่าย โดยมีภรรยาเป็นผู้นำเบ็ดเสร็จ คุมเครือข่ายค้ายาที่ย่านสลัมในไชน่าทาว นิวยอร์ค พวกเราสองคนมีความคิดเห็นตรงกันว่าการทำธุรกิจเกี่ยวกับโคแคน ผู้ค้าไม่ควรเล่นยาเอง
ตัวผมเองก็มีประสบการณ์โดยตรง ในสมัยไฮสคูลผมเคยคิดจะเล่นโคแคนอยู่บ้าง แต่คุณปู่ของผมท่านได้มาปกป้องผมให้ห่างจากโคแคนก่อนที่ท่านจะเอาไปเสพย์เอง
ขอเล่าสั้นๆนะครับ
สมัยเรียนไฮสคูลมีเพื่อนชื่อ ทิม มาชวนผมเล่นโคแคน ช่วงนั้นผมเคยติดหงอมแงม จนแอบโขมยเงินที่พ่อแอบแม่ไว้ไปเล่นเอง จนกระทั่งช่วงหนึ่งดีลเลอร์ที่ขายโคแคนให้ทิมโดนตำรวจหิ้วไป ผมเกิดอาการอยากยามาก
ผมเลยถอดจักรยานของอาจารย์ไปขายแล้วไปดีลกับดีลเลอร์เอง จนกระทั่งปู่ผมเขามาเห็นตอนเล่นยาเอง ปู่ผมได้ตบกระโหลกผม และไล่ให้ผมออกไปโดยทิ้งโคแคนไว้ ตอนนั้นผมตกใจมากแต่พอแอบมองปู่จากรูกุญแจผมก็เห็นปู่กำลังซัดโคแคนที่ผมซื้อมาอยู่ หลังจากอาการอยากโคแคนหมดฤทธิ์ผมได้บรรลุบางอย่าง
ถ้าไม่มีวันนั้นคงไม่มีดีลเลอร์โคแคนในวันนี้แน่นอน หลังจากนั้นไม่นานผมก็เริ่มดีลธุรกิจกับดีลเลอร์ในย่าน ผมเริ่มรู้ว่าการซื้อโคแคนจากพ่อค้าแล้วแอบเอาไปขายต่อให้เด็กไฮสคูลทำกำไรให้ผมได้มากกว่าการถอดอะไหล่รถยนตร์แล้วเอาไปขายเอง
ผมรู้ว่าการสร้างเนื้อสร้างตัวในธุรกิจนี้เราต้องมีเส้นสาย มีเครือข่ายไว้ปล่อยยา หากเสพย์โคแคนผลกระทบอาจทำให้เกิดโรคซึมเซาและอัมพาตที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา
ดีลเลอร์ที่แอบเอายาไปเล่นเองของผมโดนสันติบาลหิ้วไปหลายคนแล้ว แถมยังเกือบสาวมายังเครือข่ายของผมด้วย เราจะเห็นได้ว่า การเล่นโคแคนเองสร้างปัญหาให้สังคมมากน้อยเพียงใด
*****
มีคนถามผมมาเยอะว่า ถ้าไม่ให้ลูกเล่นโคแคน ลูกเราจะเข้าสังคมไฮสคูลไม่ได้และอาจยากต่อการทำธุรกิจ ลูกเราอาจกลับไปถอดอะไหล่รถขายกัญชาเหมือนเดิมแล้วจะทำยำไง
โธ่ คนเขลา ผมยืนยันว่าลูกเติบโตมากับสังคมแบบไหนเขาจะกลายเป็นคนแบบนั้น ปัญหาของลูกคือมีพ่อแม่ไม่หนักเน้นมากพอ หากคุณมีความหนักแน่นได้ครึ่งหนึ่งของปู่ผมที่แย่งโคแคนผมไปเล่นเอง ลูกของคุณจะไม่เติบโตมากับโคแคนแน่นอน
*****
ถ้าคุณต้องการให้ลูกเล่นโคแคน นั้นคือการตัดสินใจของคุณแต่ไม่ต้องมาหาดาวไลน์หรือดีลเลอร์ในเขตของผม หากคุณต้องการมาทำธุรกิจในย่านผม ผมขอไม่ตอบคำถามแต่จะส่ง เอเจ้นส่วนตัวผมไปเยี่ยมคุณที่บ้านแทน
#มิตรสหายท่านหนึ่งที่ไม่ใช่มิตรสหายใน >>971
เป็นรุ่นพี่แล้วไงอะ ผ่านผู้ชายมามากกว่ากูรึเปล่า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พี่ก็รู้ว่าพี่เลว"
"อี๊ดมันแค่กะหรี่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Eminem was black nigga no white boi can rap that good nigga"
-Niggas in 2130
เอ้อขออีกนิดเรื่องธรรมกาย คือเราไม่ใช่คนพุทธแต่เรางงที่คนรับไม่ได้กับพิธีเว่อร์วังของธรรมกาย แต่โอเคกับการบริจาควัดไร่ขิงช่วงมีงานวันละ20ล้าน หรืองานฉลองพัดยศพระสมเด็จระดับกินโต๊ะจีน
รับได้กับวัดป่าหลายแห่งที่สะสมทุนจนร่ำรวยแทบไม่มีอะไรเหลือความเป็นวัดป่าเช่นวัดป่าบ้านตาด แต่รับไม่ได้กับความสะดวกสบายของวัดธรรมกายที่เอาระบบแบบเอกชนไปบริหาร
รับไม่ได้ว่าธรรมกายเป็นคลับที่สร้างเนตเวิร์กของลูกศิษย์วัด แต่รับได้กับคอนเนคชั่นแบบวัดบวรฯ ศิษย์หลวงพ่อโสธร หรือ สายศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ทั้งที่ในอดีตกาลวัดก็คือที่แลกเปลี่ยนคอนเนกชั่นแบบนึง
รับได้กับการตีความคำสอนใหม่แบบพุทธทาส หรือบิดเบือนคำสอนเพื่อการเมืองแบบสันติอโศก แต่รับไม่ได้กับการตีความคำสอนแบบธรรมกาย ที่ล้อกันว่าเรื่องบูชาลูกแก้ว
รับได้กับความเบาหวิวและพุทธเซเล็บแบบว.วชิรเมธีที่เซเล็บไม่แพ้ธัมมชโย รับไม่ได้กับการที่ธรรมกายตั้งวัดสาขารุกที่ป่า แต่รับได้กับพุทธะอิสระรุกที่ป่าแล้วอ้างว่าเอาไปดูแล
แม่งเป็นอะไรที่ผมรู้สึกขำๆคนพุทธอยู่ในที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หมดปัญหาลูกติดเกม ส่งผลสมาธิสั้น อารมณ์รุนแรง การเรียนตกต่ำ เพียงส่งลูกไปทำนารวม สร้างจิตสำนึกต่อสังคม ฝึกความอดทน เข้าใจชนชั้นกรรมาชีพ สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง เพราะได้ทำงานกลางแดด หากอยากฝึกภาษามีโปรแกรม work and travel ส่งไปทำงานในไร่ฝ้ายที่นิวออร์ลีน แบบในเรื่อง 12 Years a Slave
แล้วทุกหยาดเหงื่อของลูกคุณจะมีความหมาย มีคุณค่าเป็นผลผลิตทางการเกษตร นอกจากลูกที่ติดเกมเเล้ว โครงการนี้จึงเหมาะสำหรับเด็กที่กินข้าวไม่หมดอีกด้วย อย่ายอมให้เด็กหายใจทิ้งไปวันๆ ส่งมาทำนารวมกับเรา เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศชาติ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พุทธแท้ พุทธคืออะไร ตับไตไส้พุง
พุทธแท้ต้องตามแบบเงื่อม ก็ดูสวยดี
พุทธที่นามสกุล พุทธยี่ห้อรถยนต์
พุทธเหมือนอย่างท่าน ว.วชิรเมธี
พุทธแท้ต้องทำยังไง ต้องเดินห้างกัน
กุ๊กกิ๊กซึ่งกันและกัน ไม่สนสายตาใคร
คือชั้นไม่เข้าใจ ไม่ขอเป็นพุทธละกัน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พุทธไม่ค่อยเก่ง แต่บาตรหมดใจ
รู้ว่าชอบอะไร จะหาให้ฉันนนน
"ไม่ได้สนับสนุนธรรมกายในฐานะศาสนา
แต่สนับสนุนธรรมกายในฐานะเสรีภาพในการนับถือศาสนา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วันนี้ไงพุธแท้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
7ก็เจ๊งได้ครับถ้าเป็น7แฟรนไชส์ ข้างบ้านผมมีลุงมีตึกแถวแกไปซื้อ7แฟรนไชส์มาเปิด เปิดไปได้ซักพัก ปรากฏว่าขายดีจัด มี7จากCPมาเปิดอีกสาขานึงข้างๆเลยแบบใหญ่กว่าของเยอะกว่าไฟสว่างกว่าพนักงานเยอะกว่า ไปๆมาๆลุงบอก7ร้านแกของมาส่งช้ามั่ง ของขาดมั่ง ของสะสมแลกรางวัลไม่มาส่งมั่ง แต่ร้าน7ข้างๆนี่ของไม่เคยขาด ลุงแกไปโวยก็ได้คำตอบมาว่าหน่วยงานที่ดูแลคนละบริษัทกัน ไอ้ผมก็ทำไรไม่ได้ เห็นลุงแกกินเเซนวิช7ที่หมดอายุเป็นข้าวเย็นทุกวันก็อนาถใจ
"True Buddhism"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ได้พล็อตเขียนฟิคใหม่ละ ตั้งชื่อเรื่องว่า : เจ้าสัวกับยัยตัวร้ายสีแครอท"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"การแถลงข่าวของ NASA แถลงเรื่องใหญ่โตระดับจักรวาลแต่แถลงในห้องเล็กๆ มีโต๊ะเล็กๆ มีป้ายพลาสติกแบบขาตั้ง
เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับแถลงข่าวออกโทรศัพท์รุ่นใหม่ของ APPLE มากๆ 555"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ยุคพุทธกาลนี่ ก็มีต่างดาวมาเยือนโลกแล้ว แฝงตัวในชมพูทวีปให้อื้อ ในรูปแบบของนักบวช ."ออฟติมัส พราหมณ์" ก็หนึ่งในนั้น จึงไม่แปลกที่ หนุ่มเนิร์ดสิทธัตถะ ผู้ออกผนวชผจญภัยในโลกกว้างจะได้มีโอกาสคลุกคลีแลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าผู้ทรงภูมิปัญญาจากเอกภพ จนบรรลุธรรมเป็นศาสดาเอกของโลกได้
จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ซึ่งแม้แต่องค์ความรู้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ไม่สามารถอธิบายได้กระจ่างแจ้ง เพราะวิทยาศาสตร์ในพุทธล้ำหน้ากว่าหลายขุมนั่นเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้าชอบไอดอลโกนหัว ขอแนะนำวง DMC48
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีวงไอดอลคู่แข่งอย่างเป็นทางการ คือ DSI46
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เกย์กะเทยในวงการบันเทิง (ทั้งเบื้องหน้าและทำงานเบื้องหลัง) แม่งเหมือนมีคำสาปนะ 99.99 จะหาแฟนไม่ได้ มีแค่ 00.01 เท่านั้นที่มีแฟนจริงๆเป็นตัวเป็นตน (เช่น วู้ดดี้)
บางคนเหมือนว่ามีแฟน แต่ตอนหลังก็โป๊ะแตกว่าจริงๆผู้ชายมาหลอกแดกเอาเงิน แล้วก็เขี่ยทิ่้ง บางคนก็ต้องจ่ายเงินเลี้ยงผู้ชาย แล้วให้ช่วยตอแหลว่าเป็นแฟน คบๆเลิกๆ โดนหลอกแดกเรื่อยๆ
ซึ่งกูวิเคราะห์ได้เลยว่า เป็นเพราะ "ภาพลักษณ์ของเกย์กะเทยในวงการบันเทิง" ในสายตาคนทั่วไปจะมองว่า "เป็นคนฉลาดแกมโกง เจ้าเล่ห์ มายา ตอแหลเก่ง แรงๆ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว" ทำให้รู้สึกไม่อยากได้เป็นแฟน โดยเกย์กะเทยส่วนใหญ่มักอยากได้แฟนที่เป็น "คนธรรมดาๆ ซื่อๆ ดูไม่มีพิษมีภัย ใช้ชีวิตแบบสงบๆเงียบๆ"
ถ้าเป็นคนธรรมดา เป็นพนักงานบริษัท เป็นพ่อค้า เป็นชาวไร่ ทหาร ตำรวจ หมอ ข้าราชการ ฯลฯ ต่อให้รูปร่างหน้าตาไม่ดี ก็ยังมีโอกาสได้แฟนง่ายกว่ามากๆ แต่พอเป็น ดารา ผู้กำกับ นักร้อง ฯลฯ คนจะรู้สึกกลัวๆว่ะ
เกย์กะเทยในวงการ จะดังหรือไม่ดัง แม่งก็หาแฟนยากว่ะ อย่างตัวกูเองเนี่ย ขนาดเป็นตัวกระจอกๆในวงการบันเทิงนะ กูยังหาแฟนไม่ได้เลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สัก 10 ปี สมัยกูยังไม่เข้าวงการ กูหาแฟนง่ายมากเลยนะ เดี๋ยวก็ได้ เดี๋ยวก็ได้ (เป็นฝ่ายโดนจีบด้วย ไม่ได้โกหกนะ) แต่เดี๋ยวนี้ จีบใคร แม่งก็แหวะใส่ วิ่งหนีสุดชีวิต
เยาวชนเดี๋ยวนี้หน้าแก่เร็วกันชิบหาย เห็นหน้าวัยมัธยมกูนึกว่าเพิ่งออกจากคุกมา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูก็แยกไม่ออก เลยต้องดูทรงผมพวกแม่งนี่แหละ
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
บางทีชุดที่พยายามทำให้เรียบร้อยที่สุด อยู่ในระเบียบที่สุดก็สามารถกลายเป็นชุดที่ยั่วเย็ดได้มากที่สุดเช่นกัน เช่น ชุดนักเรียน ชุดนิสิต
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ข้อคิดดีเห้นๆ จากหน้า 74 ของหนังสือดีเหี้ยๆ อ่านเล่มนี้เล่มเดียวก็รู้ทันสตาร์ทอัพ รู้ทัน Mark Zuckerberg แบบไม่ต้องเข้าคอร์สเลย
.
นักลุงทุนคือคนที่มีเงินมากกว่าเวลา
.
พนักงานคือคนที่มีเวลามากกว่าเงิน
.
เจ้าของสตาร์ทอัพคือคนกลางระหว่างนักลงทุนและพนักงานที่ต้องใช้เสน่ห์, ความฝัน, ฝีปาก, พระเดช, พระคุณ ดึงให้ทั้งสองฝ่ายทำงาน
.
สตาร์ทอัพคือการทดลองทางธุรกิจที่ใช้เงินของคนอื่น
.
การตลาดก็เหมือนเซ็กส์ มีแต่พวกขี้แพ้ที่ต้องซื้อกิน
.
วัฒนธรรมองค์กรคือสิ่งที่คุณเห็น ไม่ใช่สิ่งที่คุณพูด
.
โลกธุรกิจไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีสัจจะ มีแต่กฏหมาย (อาจใช้ไม่ได้กับไทย)
.
สุดท้ายถ้าสำเร็จ คนก็หยวนๆ ลืมๆ ความเลวที่คุณทำระหว่างทางได้ (บ้าง)
.
คนที่พูดเรื่องธุรกิจคนอื่นให้คุณฟัง ก็จะพูดเรื่องธุรกิจคุณให้คนอื่นฟัง
.
รวยด้วยฝีมือล้วนๆ (ไม่ใช่เพราะบ้านรวย, เส้นใหญ่, มีประสบการณ์ทำธุรกิจสำเร็จมาแล้ว) เป็นโฆษณาชวนเชื่อที่เอาไว้หล่อเลี้ยงวงการ
.
ความโลภและหลงตัวเองเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนสังคมคนชั้นกลาง
.
ผู้จัดการระดับกลางไม่ว่าจะที่ไหน ส่วนใหญ่คือคนไร้ฝีมือที่อยู่ได้ด้วยแรงเฉื่อยในองค์กรและการเมืองภายใน
.
การฟ้องร้องเป็นแค่การแข่งขันระหว่างธุรกิจในอีกหนทางหนึ่ง ("War is the continuation of politics by other means." ของ Clausewitz)
.
ทุนนิยมคือการละครตลก (บางครั้งก็ขาดศีลธรรม) ที่มีเราทุกคนตั้งแต่นักลงทุน, พนักงาน, เจ้าของธุรกิจ, ลูกค้า ต่างก็สมรู้ร่วมคิดด้วย
.
หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วไม่ได้เห็นด้วยหมด แต่หลายอย่างในนั้นเป็ดก็เจอกับตัวเหมือนกัน ไอ้ของไหนที่มันดูไม่ดีก็ถือว่ารับรู้ไว้ระวังตัวละกันครับ
.
คนเขียนแม่มก็ดูนิสัยเหี้ยไม่น้อย สตาร์ทอัพที่ตั้งเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่โชคดีว่าได้อยู่ Y-Combinator เลยมี Connection เยอะ, พอจะเจ๊งก็เอาตัวเองไปหลอกขาย (Acquihire) Twitter ช่วงใกล้เซ็นสัญญาปรากฏจีบ Facebook ติดจึงหักหลัง Co-Founder กระโดดไป Facebook คนเดียว, ไปเป็น Product Manager นำทีมสร้าง Facebook Exchange แต่ทำงานได้สองปีโดนการเมืองภายในบีบให้ออก สุดท้ายเลยมาเขียนหนังสือแฉ
.
หวังว่าจะไม่ใช่อนาคตตูนะ...
.
Chaos Monkeys: Obscene Fortune and Random Failure in Silicon Valley
.
https://www.amazon.com/Chaos-Monkeys-Obscene-Fortune-Failure/dp/0062458191/ref=sr_1_1?ie=UTF8&qid=1487646401&sr=8-1&keywords=chaos+monkey
.
ปล. Publisher ไหนในไทยเอามาแปลยังๆๆๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โสเภณี ค่าออฟครั้งละ 1,000 - 1,500 วันนึงรับลูกค้า 2 คน ได้ 2,000 - 3,000 เดือนนึงได้เงิน 60,000 - 90,000
อาชีพอื่นๆในไทย หลายคนยังได้เงินเดือนไม่ถึงครึ่งของโสเภณีเลย ขณะที่อาชีพอื่นๆในต่างประเทศ ได้เงินเยอะกว่าอาชีพโสเภณี
เพราะอย่างนี้ไง ประเทศเราถึงมีโสเภณีมากติดอันดับต้นๆของโลก ขณะที่ประเทศอื่นๆ มีโสเภณีน้อยกว่า คนไม่มาเป็นโสเภณีกัน เพราะไม่รู้จะเป็นทำไม รายได้ก็พอๆกับอาชีพปกติอื่นๆ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.