"เด็กเก่ง"
มีความเชื่อผิดๆ อย่างหนึ่งที่ไม่รู้จะแก้อย่างไรในบ้านเรา คือ ความคิดที่ว่า "เด็กเก่ง ต้องทำได้แบบผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า"
เราจะชอบเร่งเด็กให้โตเร็วกว่าวัย ให้ทำอะไรได้มากกว่าวัย ด้วยการ "ยัดความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย" มากกว่าการส่งเสริมพัฒนาการตามวัยของเด็ก
ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกต่างๆ เด็กเก่ง คือเด็กที่จะต้องมีจริตจะก้านแบบผู้ใหญ่ ร้องเพลงอกหักแบบผู้ใหญ่ เต้นแบบผู้ใหญ่ แต่งตัวแต่งหน้าแบบผู้ใหญ่ ... (ซึ่งพอหมด "ความน่ารักแบบเด็ก" เข้าสู่วัยรุ่น ก็กลายเป็นแบบ "เน็ตไอดอลเต้นโชว์" .... แล้วสังคมส่วนหนึ่ง ผู้ใหญ่ส่วนหนึ่งก็ไปด่าเขา ทั้งๆ ที่เคยชมเคยชอบเคยเอ็นดูตอนเด็ก .... เด็กไม่ผิดครับ เราทำให้เขาเป็นแบบนั้นเอง)
เด็กที่เรียนเก่งคือเด็กที่ทำข้อสอบเด็กที่โตกว่าได้ เช่น ให้เด็กประถม ทำข้อสอบวัดความรู้ฟิสิกส์ระดับมัธยม ... และให้เด็กตอบตามหลักทฤษฎีที่ออกแบบไว้สำหรับให้เด็กโตกว่าเรียน แทนที่จะให้ตอบตามความเข้าใจที่เหมาะสมตามวัย
เราไม่เข้าใจระหว่าง "พัฒนาการเร็วกว่าวัย" และ "การยัดเยียดเกินวัย" ..... ระหว่าง "ความคิดอ่านวุฒิภาวะสูงกว่าวัย" และ "พูด/แสดงออกเหมือนอย่างที่ผู้ใหญ่สอนให้ทำ"
ผมเคยถูกเชิญไปเป็นกรรมการวิพากษ์/วิจารณ์หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประถม (น่าจะของ สพฐ. นะ จำไม่ได้ล่ะ ... แต่เป็นหลักสูตรทั่วไป ใช้ทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะโรงเรียน) ... ผมโดนเชิญทั้งในฐานะที่เป็น "อาจารย์มหาวิทยาลัย" และ "ภาคอุตสาหกรรม/เอกชน"
พบว่าไม่มีอะไรเลยที่ควรจะเป็นไปตามวัยเด็ก ... เช่น ป.2 จะให้เด็ก "สืบค้นข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ของทางราชการ" .. ป.1 จะให้เด็ก "ฝึกใช้โปรแกรมวาดรูป เช่น Paint และโปรแกรมนำเสนอ" หรือการที่จะสอนให้เด็กใช้ e-mail ตั้งแต่ ป. 3-4 ... โดยใช้ gmail ด้วยนะ ... (อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ ตาม EULA ของ Google เลยนะ จะบอกให้)
ผมแย้งว่า ผมเข้าใจวัตถุประสงค์นะ conceptual มันอาจจะ ok แต่ implementation ท่านผิด .... ป.1 นี่หัดให้เล่านิทานเถอะครับ มันเป็นพื้นฐานของการนำเสนอสารสนเทศ ... ไม่ใช่เน้นไปที่ "เด็กใช้โปรแกรมเพื่อการนำเสนอ" เป็นต้น (เช่นเดียวกับ "สืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ราชการ" ... เด็ก ป.2 จะอยากรู้อะไรจากราชการเหรอครับ?)
พอผมจี้ไปที่ประเด็นนี้ บรรดาครูอาจารย์ที่ร่างมา ก็จะดีเฟนด์กันตัวโก่ง "แต่เราลองแล้ว เราก็สอนได้นะ เด็กก็ทำได้"
พอถึงจุดนี้ผมเลยเข้าใจครับ ท่านแค่ตอบสนองอีโก้ของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ทำอะไรเพื่อเด็กเลย
ท่านครับ ... ท่าน "ยัดได้" และเด็ก "ทำข้อสอบได้" มันไม่ได้แปลว่า "เด็กเรียนรู้ได้" หรือ "เด็กสมควรจะเรียนรู้สิ่งนั้นในตอนนั้น" เลยนะครับ
ยกตัวอย่างเปรียบเทียบแบบทุเรศหน่อย ท่านข่มขืนเด็ก 8-9 ขวบ ท่านก็ทำได้ครับ ... ท่าน "ยัด" ได้แน่นอน ... แต่เด็กมันถึงวัยอันควรที่จะมีเซ็กส์หรือเปล่าครับ? เด็กสนุกกับมันมั้ย หรือจะมีแค่ความเจ็บปวด จนชิน แล้วก็แค่จำยอมไปเรื่อยๆ?
แล้วท่านก็ยัดเยียดท่าพิสดารให้เด็กไปเรื่อยๆ .... แล้วท่านก็มาภูมิใจ ว่า "เด็กทำท่ายากได้เยอะ" หรือ "ท่านสอนดี สอนเก่ง"
ท่านก็แค่ "ข่มขืนเด็กต่อเนื่องมาตลอดชีวิตการศึกษาของเขา" เท่านั้น ... อย่างที่ผมเคยสรุปว่า "ไปโรงเรียน = ไปโดนข่มขืน" น่ะแหละครับ
[หมายเหตุ:
โพสท์นี้จริงๆ เป็นประเด็นต่อเนื่องมาจากโพสท์เมื่อวาน หลายคนแย้งว่ามันเป็นการหาเด็กอัจฉริยะ ของ สสวท. เลยนะ ... ผมเข้าใจครับ ผมอ่านหัวกระดาษนั่นหลายรอบครับ .... อ่านละเอียดอีกนิด จะเห็นว่า นั่นแค่สอบ "รอบแรก" นะครับ .... และนั่นแหละยิ่งทำให้ผมไม่เห็นด้วย ... เพราะมันกลายเป็นสร้างบรรทัดฐานว่า "ทำนี่ได้ คือเด็กเก่ง เด็กอัจฉริยะ ... ตามมาด้วยการกวดวิชาอีกเยอะที่จะเร่งยัดไป พ่อแม่อีกมากมายที่จะอยากให้ลูกเก่ง ลูกอัจฉริยะ ก็จะเร่งยัด .... เราต้องคิดกว้างกว่าแค่ตัวข้อสอบครับ คิดถึงสิ่งที่ตามมาด้วย ...
ป.3 ก็คือ ป.3 นะครับ ..... มีวิธีวัดความเก่งตามวัย ความถนัดตามวัย อีกเยอะมากมายครับ ที่ดูได้ชัดเจนกว่าการท่องทฤษฎีแบบนี้ ... ให้เด็กวาด trajectory ของ angry bird ก็ได้ครับ ... ข้อสอบแบบนี้ ท่านติว ท่านยัดไป เด็กมันก็จำได้ ทำข้อสอบได้แหละครับ .... แต่ไม่ได้แปลว่าเขาเก่งเรื่องนี้ ถนัดเรื่องนี้แต่อย่างใด]
- มิตรสหายท่านหนึ่ง