>>406 กูบ่นเพราะมันเพิ่มภาระให้กูโดยไม่จำเป็นไง ใช้ให้กูร่างใหม่หมดกูจะไม่ว่าเลย แต่ให้กูมานั่งแก้ google translate นี่กูเคืองจริงๆอ่ะ
ส่วนที่ถามว่าจะรู้ได้ไงว่าสัญญาที่กูร่างครอบคลุมหมดรึเปล่าขอตอบดังนี้
1. มึงต้องใช้จินตนาการ มโนเยอะๆ ว่าสัญญาที่มึงร่างอยู่เนี่ยเป็นเรื่องอะไร คู่สัญญามันทำอะไรกัน มีกฎหมายอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง ฝ่ายมึงจะมีความเสี่ยงยังไงบ้าง เขียนเป็น flow chart ได้เลยยิ่งดี ยิ่งมึงจินตนาการออกมากเท่าไหร่ มึงจะยิ่งมองเห็นช่องโหว่ของสัญญามากขึ้นเท่านั้น แล้วมึงก็เขียนข้อสัญญาลงไปเพื่อปิดช่องโหว่หรือความเสี่ยงพวกนั้น (ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อสัญญาที่มึงเขียนต้องไม่ขัดกับกฎหมายด้วยนะ)
2. หาสัญญาเก่าๆที่เป็นเรื่องเดียวกันมาอ้างอิง อันนี้เป็นตัวช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น ไม่ต้องมโนมาก มีตัวอย่างอยู่แล้วว่าควรจะต้องเขียนอะไรลงไปบ้าง แต่ยังไงก็ละทิ้งข้อ 1 ไม่ได้เพราะสัญญาคนละฉบับคนละงานบางทีข้อเท็จจริงมันไม่เหมือนกัน ข้อความบางอย่างมันก็ต้องแก้ไข
3. เอาข้อผิดพลาดมาแก้ไข บางครั้งกูก็ร่างสัญญาพลาดบ้างแหละ แบบว่าเขียนข้อสัญญาที่ควรเขียนไม่ครบหรือยังมีความเสี่ยงหลงเหลืออยู่บ้าง(บางเรื่องแม่งเหนือจินตนาการกูเกินไป กูนึกไม่ถึง) ถ้ามารู้ทีหลังก็ต้องจดจำไว้ แล้วงานหน้าก็เขียนไอ้เรื่องพวกนั้นลงไปซะ ส่วนไอ้สัญญาที่ร่างพลาดแต่เสือกเซ็นไปแล้วก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเกิดเรื่องขึ้นนะมึง แล้วก็รอวันดีคืนดีที่มีการขอแก้ไขสัญญากูก็จะได้แอบเพิ่มไอ้ข้อที่กูไม่ได้เขียนทีแรกลงไป
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อ 3 ต้องทำข้อ 1 กับข้อ 2 เยอะๆ
แต่ทำงานร่างสัญญามาสี่ห้าปีสัญญาที่กูร่างยังไม่เคยถูกฟ้องนะ มีแต่ไปนั่งแก้สัญญาให้คนอื่นที่แม่งโดนฟ้องไปแล้วคราวหน้าจะได้ไม่โดนฟ้องอีก (เอ๊ะ กูก็เก่งเหมือนกันนี่หว่า 5555)