รายนามกระทู้เก่า
วันศุกร์แรก https://fanboi.ch/lounge/68/
วันศุกร์ที่สอง https://fanboi.ch/lounge/216/
Last posted
Total of 1000 posts
รายนามกระทู้เก่า
วันศุกร์แรก https://fanboi.ch/lounge/68/
วันศุกร์ที่สอง https://fanboi.ch/lounge/216/
ไอ991มาเล่าต่อดิ
ใบลาออก เคยเขียนแค่หนเดียว กรอกลงไปต้องออกไปรับช่วงกิจการของที่บ้าน
เถ้าแก่เซ็นอนุมัติชัวะ แล้วก็เดินตัวปลิวออกมาอย่างง่ายดาย
ป.ล. เหตุผลนั่นกูตอแหล จริงๆ คือกูเบื่อเจ้านายหัวควย แค่นั้นล่ะ
ยังไม่เคยว่ะ แต่อาจจะได้เขียนเร็วๆนี้
ใบลาออก กูเขียนแล้วรู้สึกเป็นไทเลยนะ ประหนึ่งมึงได้แก้ไขสนธิสัญญาทาสปลดปล่อยชาติเลยทีเดียว
เหตุผลที่ลาออก "เตรียมสอบเข้ารับราชการ"
มีช่องหนึ่งให้กรอก ความรู้สึกด้านลบต่อบริษัท กูว่างไว้ พอHR ถามว่าทำไมไม่กรอกกูตอบไปว่า
"ช่องน้อยไปกรอกไม่พอครับ"
กูโดนขอร้องให้เขียน
เจ้าของกูปิดบริษัท พวกกูควรต้องได้ค่าชดเชยตามกม.แรงงาน กี่เดือนกี่ปีจำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าถ้าลาออกเองจะได้ครึ่งเดียวจากที่ควรได้
เจ้าของขอร้องให้กูลาออก รับเงินค่าชดเชยเป็นก้อนไปครึ่งเดียวก่อน ที่เหลือแกจะผ่อนจ่ายแบบลับๆให้ทีหลัง
คือแกอยากจ่ายเต็มให้กูคนเดียว อีกสี่ห้าคนที่เหลือแกก็ไม่พอใจมานานแล้ว แกเต็มใจให้กูแต่ไม่เต็มใจให้พวกนั้น
พอพวกนั้นเห็นลูกรักอย่างกูยอมเซ็น ก็เลยเซ็นมั่ง เอาครึ่งเดียวก็ยังดี ดีกว่าฟ้องเอาเต็มแล้วไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่
ตอนหลังแกก็ทยอยจ่ายให้กูเป็นเดือนๆ จนครบ ช่วงที่กูว่างๆ ก็ยังเรียกไปช่วยเป็นฟรีแลนซ์ จนกูเรียนโทก็เลยเลิกรับงาน ไม่ได้คุยกันละ
เปิดกระทู้มาด้วยเรื่องลาออกเลยว่ะ กูรออ่านเป็นประสบการณ์ละกัน ที่กูทำอยู่ตอนนี้อะไรๆมันยังดีอยู่
กูคิดจะออกมาร่วมปีละ ปิดโปรเจคต์ได้เมื่อไหร่ไปเมื่อนั้น
แต่โปรเจคต์แม่งท่าทางจะอีกสามสี่ปี OTL
เรื่องลาออกนี่ของที่ทำงานกูมีคนนึงแกหายไปดื้อๆเลย ไม่มาทำงาน ปิดมือถือ ผ่านไป2อาทิตย์ถึงเข้ามาออฟฟิสมาบอกลาออก แถมมถามถึงโบนัสด้วย
จาก 991 ในกระทู้นู่นนะ มันก็ไม่มีอะไรแค่ได้งานที่ดีกว่า คือไปสอบรัฐวิสาหกิจติด แล้วฟลุคสอบสัมภาษณ์ผ่านว่ะ(ตรงงนี้คือเตรียมใจไว้แหละแพ้เส้นแน่ๆเสือกผ่านซะงั้น) ที่เดิมเข้า8เลิก5 เสาร์ทำครึ่งวันวันหยุดราชการบางวันอาจไม่ได้หยุด(วันรัฐธรรมนูญนะที่ไม่ได้หยุด) ที่ใหม่เข้า8เลิก4 หยุดเสาร์-อาทิตย์ หยุดตามวันหยุดราชการที่มีให้หยุด คือที่เก่าหาทางโตไม่ได้ว่ะ ผจก.แม่มไม่ดัน จะเรียนต่อแม่มก็ขวาง เลยไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ที่ใหม่ยังพอได้เวลาให้ไปหาความรู้ต่อยอดเพื่อเอามาเสริมเพื่อความก้าวหน้าได้ แล้วที่เก่ามันไม่รับเป็นพนง.ประจำเลยต้องเป็นลูกจ้างรายปีไปเรื่อยๆแบบเนี้ย พอไปงานปีใหม่ที่บริษัท เจ้าของแม่งประกาศ "ผมให้โบนัส8เดือน" เยสแม่มคือผมไม่ได้เป็นพนง.ประจำไง เซ็งสัสอ่ะ แม่มได้กันแต่ผมไม่ได้แม่มเฮกันแต่ผมเฮไม่ออก จะไม่ไปมันก็ถือว่าขาดงาน แล้วพอผมเขียนใบเสร็จหัวหน้าก็พาไปคุยกับ ผจก.แผนก พี่แกบอกเดือนนี้ปรับเงินขึ้นแล้วนะได้เกินมาตรฐานที่รัฐบาลกำหนดขั้นต่ำด้วยนะ อยู่อีก1-2ปีได้ปรับเป็นพนง.ประจำ ได้โบนัสแบบคนอื่นด้วยนะ ในใจผมตอนนั้นนะ("ควย กูอยู่มาตั้งนานมิงไม่คิดจะปรับจะเพิ่มเหี้ยไรให้เลย พอกูจะออกมิงก็เสนอมาให้กูใหญ่ไอชิบหายยยยยย") แต่ผมก็ไม่เอานะ ออกคือออก ไม่สนไรแม่มแหละ แต่ผมก็สงสารหัวหน้าที่ผมสังกัดอยู่นะ เพราะแกรับผมเข้ามาสอนอะไรหลายๆอย่างให้ แต่มันก็อนาคตผมน่ะ ให้อยู่ต่อคงไม่ไหวจริงๆ ตอนนี้เลยทำงานแบบชิลๆมากเพราะสิ้นเดือนนี้ก็ไปแหละ อยู่ให้ครบเดือนเพื่อเอาเงินเดือนให้ครบพอ สบายจริงๆ
ขอบใจที่รับฟัง(อ่าน)นะสหายโม่งทุกท่าน
ไอ้ข้อเสนอที่เพิ่มให้ตอนจะออกนี่ไม่จริงใจเลยว่ะ กูเห็นมาหลายรายละ
สัญญาเข้าไปเหอะว่าเดี๋ยวจะบรรจุเป็นพนักงานประจำ แต่ทำงานงกๆ ต่อไปอีกกี่ปีแม่งก็ไม่บรรจุ
ตัีดสินใจได้ดีแล้วที่ไม่หลงลมปากมัน
หัวหน้าเจ้านายเฮงซวย มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ที่กูเคยเจอ คือมันเป็นคนเก่าคนแก่ของบริษัท แล้วบ้าอำนาจชิบหาย
มึงทำงานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องอยู่ในโอวาทด้วย
พอเจอบางเรื่องที่แม่งไม่สมเหตุสมผล กูไม่เห็นด้วยกูก็ค้าน
กลายเป็นว่ากูกระด้างกระเดื่อง ปกครองไม่ได้ ทีนี้แม่งกับพรรคพวกก็แกล้งกูสารพัด
ตั้งแต่เรื่องขี้หมาปัญญาอ่อนเหมือนเด็กประถม จนถึงขั้นขัดขาให้งานเสีย
กูก็ระเบิดดิ ว้ากใส่หน้าแม่งทั้งๆ ที่กูอายุอ่อนกว่ามัน 2-3 รอบ
เจอแบบนี้คงอยู่ด้วยกันได้หรอก เลยลาออกแม่มซะ ควย
หัวหน้ากูนิสัยโอเคแต่ทำงานไม่ได้เรื่องว่ะ คือต้องตามจี้ให้ทุกจุด ถามความเห็นหรือคำสั่งแก้ก็ไม่ชัดเจน
อย่างน้อยก็ดีที่แกรับฟังล่ะนะ
กูรักงานปัจจุบัน แต่กูเหนื่อย วันๆ แทบไม่มีเวลาพักผ่อน ลาหยุดก็ทำให้งานเลท แต่กูไม่อยากลาออก กูควรจะทำยังไงดีวะ
อีกไม่กี่ปีต้องสอบมหาลัยแล้วแต่ว่ายังไม่มีคณะที่สนใจอยากเข้าจริงจัง อาชีพที่อยากทำความฝันอะไรก็ไม่มี
โม่งในนี้ตอนสมัยเอ็นมหาลัยเครียดกันมากไหม
ก่อนไปเอนท์กูจำได้ว่าเล่นเกมโต้รุ่ง เสือกติดอีก แต่สละสิทธิ์ไม่ไป
ถ้าให้แนะนำคืออย่าเอาอย่างกู กูมันเหี้ย มึงต้องไปที่ๆดีที่สุด พยายามเรียนให้จบโดยข้องเกี่ยวกับเพศตรงข้ามและอบายมุขให้น้อยที่สุด
หาเพื่อนหาผู้ใหญ่เยอะๆ ขยันตั้งใจสุจริตไม่ท้อแท้ พยายามหาสายงานที่ได้เงินดีที่สุด (แต่ไม่ถึงขนาดต้องไปเป็นทาสเขา)
ถ้าไม่มีความฝันอะไรเป็นพิเศษ ก็มีชีวิตอยู่อย่างเชิดหน้าชูตาให้คนที่แหกเอามึงออกมาจากช่องคลอดหรือคนที่เลี้ยงดูมีความสุข
ทำให้คนอื่นมีความสุข ชีวิตมึงก็สมบูรณ์ ถ้าสมบุรณ์แล้วยังเสือกจะบ่นอีก ในกรุงเทพมีตึกให้โดดเยอะแยะ ไปใช้งานได้ตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ
กูนี่แหละกำลังเอนท์อยู่ยังไม่ติดเลยด้วย แต่มีคณะที่เล็งๆไว้แล้ว
เพิ่งจะมารู้ว่าตัวเองอยากเข้าอะไรจริงจังก็ตอนม.5-6นี่แหละ แต่เผอิญกูเป็นเด็กเรียนค่อนข้างดีอยู่แล้วเลยพอเอาตัวรอดได้
คำแนะนำคือให้ค้นหาตัวเองตั้งแต่ตอนนี้เลยว่าอยากทำอะไรในอนาคตดูตัวเองว่าถนัดอะไร ชอบอะไร แล้วพยายามศึกษาสายงานที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลในเน็ตมีเยอะแยะ
แต่ถ้ามึงไม่มีความฝัน คิดแต่ว่าอยากจะอยู่สบายๆเล่นเกมเข้าบอร์ดโม่งไปวันๆ มึงก็ต้องมีอาชีพเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ก็ทำอย่างที่ >>23 บอกนั่นแหละ
เรื่องเครียดไม่เครียดมันก็อยู่ที่คณะที่มึงจะเข้า ถ้าหวังสูงๆก็ต้องขยันหน่อย หรือถ้าพ่อแม่รวยก็ให้ส่งเข้าเอกชนแทนก็ไม่มีปัญหา
เด็กๆมาอ่านกระทู้นี้จะไม่รู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตเหรอวะ
...ชีวิตก็แบบนี้แหละเด็กน้อย กิน ขี้ ปี้ นอน
ร็อคสตาร์ นักบินอวกาศ ดารา ซูเปอร์ฮีโร่ ฯลฯ มึงเก็บไว้เป็นชาติหน้าละกัน
ม.ปลายอาจไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เอนท์คณะที่ตัวเองชอบนั่นแหละ เอาให้เต็มที่ไม่ต้องมาเสียดายทีหลังดีสุด
กูได้อันดับ1ของประเทศของสาขากู ตอนเรียนกูยังรู้สึกเซ็งเลย ถ้าเป็นสาขาที่ไม่ชอบกูคงรู้สึกชีวิตไร้ค่าน่าดู
กูอยากย้อนเวลากลับไปเลือกคณะใหม่
ได้โควต้าสาขาที่ตัวเองอยากเรียนหลายที่ แต่กลับต้องเลือกเรียนคณะที่กูไม่อยากเรียนเลย...
ไม่มีความฝัน ก็ไปนอนซะ จะได้มีความฝัน
มีใครฝันอยากเป็น wizard 30 ไหมวะ
กูมากลางทางละ
>>22 กุเข้าใจมึง มึงอย่าไปเครียดเรื่องที่มึงไม่มีความฝันเท่ๆ มึงหาไประหว่างทางนั่นแหละ เอ็นท์เข้าไปแล้วมึงก็เข้าไปเรียน ไปทำกิจกรรม ไปเดินทาง ดูว่ามึงชอบอะไร รู้สึกชอบก็ลองโดดไปทำเยอะๆ เรียนจบแล้วหาไม่เจอมึงก็ไปหาต่อตอนเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่สำคัญคือมึงต้องไม่ขดตัวเป็นก้อนอยู่แต่ในเปลือกสบายๆของมึง
>>29 กุไม่ได้อยากเป็นเลยไอ้เหี้ยแต่แม่งเป็นไปละ ต่อไปอะไรดี
ต้องไม่ขดตัวเป็นก้อนอยู่แต่ในเปลือกสบายๆของมึง <<<< นี่กุญแจสำคญเลยนะ กูสนับสนุนตรงนี้เต็มประตูเลย
อนาคตข้างหน้าถ้าจะดูแลตัวเองหรือเป็นผู้นำครอบครัว มึงต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้ ชีวิตจะได้ไม่ลำบาก
กูได้โควต้าเข้าภาควิชาอันดับ 1 ของประเทศสายที่อยากได้อยู่แล้ว ชะละล่า! แถมเพื่อนกลุ่มเดิมตอนม.ปลายยกมาทั้งโขยง
กูก็อีกนิดเดียว 555และมีแววว่าอีกนาน
ไม่แน่กูอาจจะครองโลกได้ซักวัน
ไอ้เรื่องความฝันนี่กูก็เคยมีนะ พอทำงานแล้วก็เข้าใจ
มึงแค่มีงานทำ มีเมีย มีบ้านมีรถขับนี่ก็ถือเป็นความฝันสูงสุดของ
ซาลารี่แมนอย่างพวกกูแล้วว่ะ ...คิดว่านะ
มีโม่งซาลารี่คนไหนทำงานอยู่ใกล้ๆ เวทีชุมนุมบ้างป่าววะ เป็นยังไงบ้าง
หลังๆมันเปิดทางให้ไปได้เลนนึงซึ่งก็ไม่ช่วยห่าไรเท่าไร ดีที่บ้านกูใกล้กูเลยไปรื้อจักรยานสมัยเรียนมาใช้ไปได้
(ฝ่าม็อบไปเลยนั่นล่ะ แต่อันไหนลัดเข้าห้างได้ก็เข้า ปลอดภัยไว้ก่อน)
แต่ตอนนี้มันเริ่มย้ายไปที่อื่น(แต่ยังปิดอยู่ละ)เลยปั่นได้โล่งๆ ถ้ากูอยู่ตรงที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงตอนนี้กูคงเสียวปั่นไปเจอระเบิดเหมือนกันว่ะ
แต่กูว่าอยู่เป็นโสดมันก็สบายดีจนเคยตัวนะ ถ้ามีแฟนมาคอยจิกๆ ตามๆ ต้องเทคแคร์ซื้อโน่นซื้อนี่ให้จะไหวเหรอวะ...
ถ้ากุย้อนเวลาได้ กุจะไปเป็นนักบิน เงินดี เท่ มีเกียรติ มีสาวๆแอร์ให้เลือกสบาย
เสียงบนเวทีเข้าถึงบ.มึงบ้างป่าววะ ของกูแม่งเดี่ยวนี้เปิดลำโพงดังขึ้นได้ยินชัดแจ๋วเลย ได้ฟังเฮทสปีชทุกวันเลยกู ทั้งตอนทำงานทั้งกลับบ้าน โคตรเครียดรู้สึกป่วย
เป้าตุงๆ พกจุดสองห้อยไว้ จะเปิดดูมั้ยล่ะไอ้สัส
กูอยากเป็นนักเขียนเป็นศิลปิน ฝันไว้ตั้งแต่หัดจับดินสอวาดภาพหัดเล่นเครื่องพิมพ์ดีดแล้ว
พอเป็นจริงแม่งก็ไส้แห้งจริงๆว่ะ 55555 ตอนนี้ไม่อดตายเพราะมีคนช่วยอุปถัมภ์
ทำตรงอโศก เจอม็อบเต็มๆ
ข้อดี: ของกินเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กูข้ามถนนสบายขึ้น
ข้อเสีย: กูหนวกหู
เอาจริงๆ ไม่ค่อยเจอการ์ดมาเรียกตรวจ หรือเพราะกูเป็นผู้หญิงเขาเลยปล่อยผ่านไปวะ
เร็วๆนี้จะไปสัมภาษณ์งาน โคตรตื่นเต้นเลย
พอจะมีคำแนะนำอะไรบ้าง
>>58 พูดจาฉะฉานมีความมั่นใจ คิดก่อนตอบได้ไม่ต้องรีบตอบ ตอนเค้าให้ถามอย่าถามปัญญาอ่อนแบบเรื่องที่ควรรู้อยู่แล้ว เช่น บ นี้ทำอะไร กูเป็นคนสัมภาษณ์กูเฉดหัวแม่งตอนนั้นเลย เรื่องพวกสวัสดิการวันหยุดถามได้ โอที โบนัส
ที่สำคัญคือ มึงห้ามโม้เด็ดขาด อันไหนทำไม่เป็น ไม่เคยทำ ก็ให้บอกไปตามตรงแล้วบอกว่าจะพยายามเรียนรู้
ถ้ามึงโม้ว่าทำได้พอรับเข้าไป เค้าโยนงานมาให้แล้วมึงทำไม่ได้ทีนี้ล่ะมึงเรื่องยาว
ความเห็นก่อนก็ใช่
ถ้าไปสัมภาษณ์ก็บริษัทญี่ปุ่น เพิ่มเติมว่าให้พูดสั้นๆ กระชับอย่าวกวนพายเรืออยู่ในอ่าง เพราะถ้าใช้ล่ามล่ามอาจเกลียดมึงแล้วแปลไปคนละทาง พยายามยกตัวอย่างผลงานที่จับต้องได้จริงๆ นำเสนอตัวเลขได้ยิ่งดี ราวๆ นี้มั้ง
>>60 เคยไป บ.ยุ่น อยู่สามสี่ที การเรียกเงินเดือนแม่งสำคัญสุดจริงๆ ทีแรกๆ ก็เรียก rate สูงหน่อย ก็ไม่เคยผ่านรอบแรก พอไปอีกที่ ลองเรียกน้อยๆดู ปรากฎว่าวันสัมภาษณ์รอบสองมีกูผ่านมาคนเดียวจาก 10 คน ไอ้เด็ก จบ ม. สีชมพูข้างๆ กูเห็นมันเรียกซะ... นี่มึงจบ ป.ตรี กล้าเรียกขนาดนี้เลยหรอวะ... กูจบโทมหาลัยหนึ่งในสามสีเหมือนกันยังไม่กล้าเรียกเลย....
ปล. ปัจจุบันกูไม่ได้ทำ บ.ยุ่นนะ พอดีสอบได้ MTโปรแกรม ของ บ.ๆหนึ่ง ได้เงินเยอะกว่าราวๆ 50% เลยเผ่นมา....
"ไม่เอาผม คุณก็พลาดแล้ว" "ผมทำได้ คนอื่นทำไม่ได้ดีเท่าผมละกัน" "ก็คนมันทุ่มเท" ประมาณนี้มั้ง
เงินเดือนก็เรียกตามฐาน ตรี 15000 โท 21000 ถ้ามีความสามารถพิเศษอะไรก็บวกบวกไปเอง
กูแอบชอบเพื่อนสนิทมากขึ้นเรื่อยๆจนช่วงนี้เริ่มเพ้อๆฝันถึงมันละ ไม่มีสมาธิทำอะไรเลยว่ะ ทำอะไรก็คิดถึงเขาไปหมด แย่จริง
ตอนช่วยตัวเองก็คิดสินะ อืมๆ
คิดถึงสมัยมอปลายจังว่ะ
มีเพื่อนสาวที่สนิทๆแล้วไม่ค่อยระวังตัว ก้มที ยกขาทีเห็นหมด
แล้วบางทีวันไหนใส่ทรงเอนะ(เป็นชุดประจำ รร ใส่วันจันทร์)
แล้วตอนเรียนแม่งเป็นโต๊ะ 8 เหลี่ยมไง นั่งหันหน้าเข้าหากัน
กูทำยางลบตกทั้งคาบอ่ะ
แต่พอไม่ได้เจอหน้ากันนี่ จิ้นไม่ออกแล้วนะ
สมัยม.ปลายกูก็ไม่ระวังตัวนะ แต่กูนุ่งขาสั้นไว้ใต้กระโปรงตลอดเลยเซฟ เตะกับเพื่อนในห้องได้แบบสบายใจ
กระโปรงนักเรียนแม่งสั้นขนาดก้มแล้วเห็นเลยเหรอวะ
กูจำได้สมัยเรียนถ้าไม่ใช่สั้นๆจริงๆตอนขึ้นบรรไดยังไงก็ไม่ได้เห็นเด็ดขาด
กูหมายถึงหน้าอก เพื่อนกูชอบคิดว่า ใส่ขาสั้นเซฟแล้วจะเฮฮายังไงก็ได้ เลยไม่ระวังตัว แล้วก็ชอบมาทำนมหกใส่กูประจำ
อืม... ถ้าเป็นอกนี่กูโนคอมเม้นต์ว่ะเพราะโตช้า แบนราบมาจนม.ปลาย
เพื่อนคนที่มาทำนมหกให้ดูก็ค่อนข้างแบน กูถึงได้เห็น
อกโต ๆ มันก้มก็เห็นแต่ยกทรงกับเนินอก
อกแบน ๆ ก้มทีเนี่ยเห็นศีรษะถันเลย
และนี่ก็คือประสบการณ์วัยใสของเหล่าซาลารี่แมน
สมัยกูเป็นนักเรียน ระหว่างทางไปกลับจะผ่านโรงเรียนพานิชย์หลายที่
แล้วกูชอบดูเนินท้องน้อยที่อยู่ใต้เข็มขัดของน้องๆ เด็กพานิชย์ แฮ่ก แฮ่ก
พอมาตอนแก่ มีโอกาสได้เห็นเด็กพานิชย์บ่อยๆ อีกครั้ง
แต่แม่งใครเป็นผู้นำเทร็นด์แฟชั่นดึงขอบกระโปรงขึ้นมาสูงๆ ไว้ใต้นมวะ
ทำแบบนั้นก็ไม่มีเนินน้อยๆ ใต้เข็มขัดให้กูดูสิวะ โคตรเสียจึยเลยสัส
ไหงกลายเป็นกระทู้หื่นวะ
ใต้กระโปรงเป็นกางเกงรัดรูปสีดำพออภัยให้ได้ กูจะหื่นยิ่งกว่า กกน. อีก
เคยสารภาพกับเพื่อนสนิทก่อนใกล้จบว่ากูชอบมองมึงมาก เห็นแล้วแข็งทั้งวันเลย แม่งขำกลิ้งลั่น
จนป่านนี้แม่งยังล้อกูเรื่องนี้อยุ่เลย ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วดว้วย
มีเรื่องน่าอายอยากมาระบายว่ะ
ขอเกริ่นก่อน เมื่อก่อนกูเป็นคนที่เพลย์บอยมาก ภาพลักษณ์ของกูในออฟฟิศก็คือเป็นหนุ่มแบดบอย
ปีใหม่ที่ผ่านมากูคิดจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ เลิกจีบคนนั้นฟันคนนี้แล้วเปลี่ยนมาพัฒนาตัวเอง ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายมาจีบกูแทน ซึ่งมันก็ได้ผลพอสมควร
วันศุกร์ที่ผ่านมาตอนก่อนจะกลับบ้านมีเพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกับกูคนนึง อยู่คนละฝ่าย แต่กูเล็งมานานแล้วเพราะหน้าตาดีโปรไฟล์ก็ดี เข้ามาชวนคุย กูก็คุยเล่นทำตัวเป็นหมาหยอกไก่ไปตามความเคยชิน
ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านเขาก็ถามกูว่า นี่เจ้าชู้ใส่มุกหยอดจีบสาวไปทุกคนเลยใช่มั้ย อย่าคิดว่าเราไม่เคยได้ยินข่าวลือนะ
กูก็เลยตอบไปว่า ผมเลิกจีบผู้หญิงแล้วครับ
ตอนนี้กูพึ่งมานึกได้ กูพลาดไปแล้วใช่มั้ยวะเนี่ย เค้าจะเข้าใจผิดรึเปล่าวะเนี่ย เชี่ย
ไอสัส....กูขรรม 555555
เตรียมตูดไว้รอเลยมึง บานแน่ ถถถ
เวลาสารภาพรักแล้วผู้หญิงบอกให้รอนี่คือไม่รับรักเราใช่เปล่าวะ หรือเก็บไว้เผื่อเลือก ?
มองในแง่ดี.คือ เขายังสับสนอาจเห็รมึงเป็นเพื่อนเคียงข้างตลอด แล้วอยู่ดีๆมึงจะมาเลื่อนความสัมมันก็ต้องมึนเป็น ธรรมดา. ไม่ก็กลัวถูกมองว่าใจง่าย .อันนี้อิงจากตัวกูเองนะ ไม่รู้ผู้หญิงคนอื่นจะคิดแบบนี้รึเปล่า
ไอพวกสมบูรณ์พร้อมเอยยยยยยยยยย
กุสารภาพตอนจบม.ปลาย โดนบอกให้รอเพราะไปเรียนมหาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน คนละภาควิชา
ผ่านไปสามเดือนกูก็เลิกรอ... เพราะเดินไปเจอเธอควงหนุ่มใหม่กระหนุงกระหนิงที่ห้างใกล้มหาลัย สรุปว่าให้รอ เพราะอยากรอดูตัวเลือกใหม่
สามเดือนถัดมากูได้แฟนคณะข้างๆ หน้าตาสู้ไม่ได้ แต่นิสัยน่ารักกว่าร้อยเท่า
น่ารักแต่นิสัยเหี้ย+เรื่องมากก็ไม่ไหวเด้อ
เช่นคิริโนะ
กูว่าแล้วแต่คนนะ แต่ตอนแรกใครๆก็ดูหน้าตาก่อนทั้งนั้น ส่วนจะยืดรึเปล่านี่ก็ที่นิสัยต่อ
แต่สันดานผู้ชาย ถ้าเหี้ย+เรื่องมากสัด ไม่นานก็เลิก ได้ฟันทีนึงก็พอแล้ว
ยกเว้นคนที่ทนได้ไม่ก็เสือกเป็นมาโซ
จะว่าไปใครแถวนี้มีปัญหาเป็นผู้หญิงแต่เก่งงานจัดจนผู้ชายไม่กล้ามาจีบปะ
เป็นฝ่ายไม่กล้าจีบ -_-''
กูไม่ใช่ แต่กูรู้จักหลายคน เค้าก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่หว่า
ผู้หญิงเก่งจัดที่กูรู้จักมาทุกคน ไม่สนผู้ชายที่แย่กว่าตัวเองอยู่แล้ว
ผู้ชายที่เก่งกว่าผู้หญิงคนนั้นเขาก็กล้าจีบว่ะ
>>110 ถ้ากูจำไม่ผิด กูจำได้ว่ามันช่วยแก้ปัญหาฝ่ายหญิงด้วยนี่หว่า เพราะ เมียมันอีคิวต่ำมีเรื่องกับคนอื่นบ่อย
เหมือนในกระทู้พันทิปอันหนึ่ง กูไม่รุ้หรอกว่าแม่งมโนเองหรือว่าเรื่องจริง ที่แฟนแม่งเก่งกว่ามากๆเหมือนกัน
ฝ่ายหญิงทำงานหาเงินมาให้ ส่วนฝ่ายชายอยู่บ้านทำงานบ้านทำกับข้าว อะไรประมาณนี้
>>106 กูตอบได้มั้ย ไม่เชิงเป็นผู้หญิงเก่ง แต่งานที่ทำเสือกให้ผลตอบแทนดี เงินเดือนกูเลยสูงเมื่อเทียบกับคนอายุไล่ๆ กัน แล้วกูก็บ้ารับจ๊อบอีกพันห้าร้อยแปดประการ รู้สึกตัวอีกทีชีวิตกูแม่งมีแต่งานว่ะ แต่ที่ผู้ชายไม่มาจีบอาจเป็นเพราะกูขี้ริ้วเอง ไม่ได้เกี่ยวกับว่ากูเป็นผู้หญิงหาเงินเก่งก็ได้นะ orz
>>109 เพื่อนของมึงเค้าไม่ได้เป็นเกย์ แค่ต้องการจะสื่อความหมายเหมือน 88 รึเปล่า แนวคิดเหมือนกันเป๊ะ
>>110 กูไม่เคยเห็นคนทำงานเก่งแต่มี EQ ต่ำนะ พวกที่มีแค่ฝีมือในการทำงาน ทำงานออกมาแล้วดูดี แต่ประสานงานกับคนอื่นไม่ได้ กูไม่นับเป็นพวกทำงานเก่งว่ะ
เมื่อก่อนบริษัทกูก็เคยมีแบบนี้อยู่คนนึง ฝีมือดีจัด เก่งจัด อีโก้เลยสูงจัด ก็เลยเข้ากับใครไม่ได้เลย มีปัญหากับคนอื่นตลอด ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน ขนาดอีกฝ่ายเป็นลูกค้าก็ยังไปทะเลาะด้วย สุดท้ายก็โดนเชิญให้ออกไป
ครอบครัวที่ฝ่ายหญิงทำงานหาเงินมาให้ ฝ่ายชายอยู่บ้านทำงานบ้าน เดี๋ยวนี้ไม่แปลกว่ะ มีเยอะ
>>113 มึงก็หัดดูแลตัวเองบ้างสิวะ มึงไม่ต้องเกิดมาโครงหน้าสวยก็ได้ แค่มึงบุคลิกดี ผิวดี ไม่อ้วนไม่ผอมเกินไป ยังไงก็มีผู้ชายมาชอบมึงหลายคนแน่ ๆ
>>110
>>111
ไม่ได้แก้ปัญหานะ ก็แค่ฟังเธอบ่น ดูเธอทุบโต๊ะ ชงโกโก้ให้กิน หาวิธีปลอบ อะไรประมาณนั้นแหละ
ต้องเข้าข้าง ต้องตั้งใจฟัง ต้องจับใจความได้ ห้ามถามซ้ำเด็ดขาด ไม่งั้นกูจะโดนทุบแทน
ปัญหาก็เรื่องการเมืองภายในบริษัท ทางนี้ก็อีโก้แรงโคตรๆ กูจะแก้อะไรได้
แค่ช่วยให้อารมณ์เย็นลง ให้สบายใจเวลาที่อยู่บ้าน พอหลับสบายตื่นมาก็คิดวิธีแก้ปัญหาได้เอง
กูไม่ใช่คนที่โพสในพันทิพ แต่กูก็อยู่บ้าน แล้วกูก็ไม่ได้เกาะเมียมาตั้งแต่ตอนแต่งงานนะ กูออกจากงานมาปีก่อน
ตอนนี้ทำฟรีแลนซ์รอสอบข้าราชการ แล้วก็ไปบ้านใหญ่ช่วยดูแลย่า (ย่าของเมีย)
แต่ตอนที่ทำงานประจำ กูก็เงินเดือนน้อยกว่าเมียจริงๆนั่นแหละ
เรื่องเลี้ยงลูกถูบ้านทำกับข้าวขัดส้วมกูเก่งกว่าเว่ย (กูเป็นผู้ชาย)
>>88 กุว่าเมิงมาถูกทางแล้วว่ะ ถ้าแม่งไม่สนใจเมิงเลยแม่งไม่มาถามแบบนี้หรอก ที่ถามเพราะเพราะชอบเมิงแล้วแต่กลัวเมิงเจ้าชู้ตั่งหาก นี่ถ้าเมิงเดินไปลากคอมาจูบเลยนะ แม่งเหมือนในละครชัดๆ แบบนางเอกบอก อย่านะ อย่านะ แต่ก็ยอม (หรือไม่ได้จูบกันแล้วก็เก็บเอาไปนั่งฝันต่อ แม่งผู้ชายแบบนี้ชั้นเกลียดที่สุด แต่ก็นึกถึงเมิงตลอดเวลาแบบนั้น)
>>116 ถ้าอยู่กับผู้หญิงเก่งกว่นี่ต้องอีโก้โครตสูง ไม่คิดเล็กคิดน้อย เพราะเวลาโมโหหรือปรี๊ดแตก แม่งจะเอาเรื่องนี้มาพูดกรอกหูแน่ๆ
กูอยากลาออก แต่กูบ่นให้ใครฟังไม่ได้ เลยมาบ่นในนี้
กูเซ็ง งานมันไม่ได้อะไร แต่กูไม่อยากทำงานแล้วอยากจะนอนนิ่งๆ เป็นนีทซัก 2-3 เดือน น่าจะไหวมั้ย
กูเบื่อ
โอเค
เป็นมาหลายเดือนแล้ว
เศร้าว่ะ
วันนี้เหนื่อยดีว่ะ จะทำงานที่รัฐวิสาหกิจมันก็เรื่องเยอะดีนะ ไปx-rayปอดตามโรงบาลที่หน่วยงานบอก ไปตรวจสารเสพติดโรงบาลเฉพาะ ไปทำประวัติที่กรมตำรวจ แต่ล่ะที่ก็เรื่องเยอะไปไหน x-rayปอดก็ไม่เท่าไหร่ แต่มันมาเรื่องเยอะตรงตรวจสารเสพติดนี้แหละ จะอยู่ๆเดินเข้าไปไม่ได้นะต้องโทรให้เจ้าหน้าที่ส่งคนมารับ ดีที่ไม่รีบเยี่ยวก่อนที่จะมา ก็ให้เยี่ยวขวดเพื่อไปตรวจโดนไปร้อยกว่าบาทสบายตัว แค่ก็ไม่เข้าใจว่าตึกนี้มันเป็นความลับอะไรนักหนาคนต่างชาติทำงานให้เพียบ แล้วก็รีบไปกรมตำรวจเพราะกลัวจะปิดให้บริการ พอถึงสยามแหละจะเดินไปเข้าประตูที่กรมตำรวจ มันให้ไปเข้าเกือบถึงรพ.ตำรวจมันก็ไม่ไกลหรอกแต่ร้อนและเหนื่อยพอเข้าไปแม่มก็เดินไปอย่างลึก ดีที่บริการไวปั้มลายนิ้วมือเหมือนโรงรับจำนำอ่ะ แต่เอาทุกนิ้วทั้ง2ข้างโดนไป100สบายตัวอีกรอบ ก็กะจะเดินเที่ยวแต่กลัวมันปาระเบิดเลยกลับบ้านดีกว่า
โอเคบ่นพอแหละ นอนดีกว่า
ถามที ถ้าหากสมมุติว่ามึงมีหลานเป็นญาติห่างๆ มึงเคยสนิทกับมันมาก
แต่อยู่มาวันหนึ่งหลายปีผ่านไปมึงมาเจอหลานอีกทีในสภาพที่มึงว่าอีกไม่เกินปีมันนีทแน่ๆ
เรียนก็ไปเรียน ทำงานก็ทำ แต่ทำแบบทำไปงั้น ทำเพราะอยากกลับบ้านเร็วๆ
มันมาเล่าให้มึงฟังว่ามันเบื่อชิบหาย เบื่อห่าเหวอะไรไม่รู้นั้นละ ไม่อยากทำเหี้ยอะไร
อยากอยู่บ้านเฉยๆแต่จิตใต้สำนึกมันรู้ว่าไม่ควรทำ มันเลยต้องไปเรียนไปทำงาน
ทั้งๆที่ไม่มีความสุข พ่อแม่มันบอกว่าไอนี่ไม่ยิ้มไม่หัวเราะอะไรมานานแล้ว
มึงคิดว่ามึงจะช่วยหลานยังไงดีวะ หรือปล่อยไว้แล้วเดี่ยวมันดีขึ้นเอง
ส่วนหนึ่งคือมันเป็นญาติห่างๆ เราไม่ควรไม่ยุ่งเรื่องของแม่งใช่ไหม
ตกลงมึงสนิทกับหลาน หรือง่าไม่สนิทกันแน่วะ
หาเมียให้?
ต้องให้มันห่างพ่อแม่มั่ง แบบเรียนมหาลัยต่างจังหวัดไรงี้ เผื่อจะได้หัดพึ่งตัวเองมั่ง
พ่อแม่เขาดูห่วงลูกด้วยวะ มีโอกาสสนับสนุนเป็นนีทสูง
แบบลูกไม่ต้องทำไรพ่อแม่เลี้ยงเอง ส่วนหนึ่งเพราะเป็นลูกสาวด้วยดูแลยากชิบหาย
อ้อ เป็นลูกสาว กูไม่ค่อยแปลกใจล่ะ
ชีวิตสบายเกินไป ไม่ค่อยได้ดิ้นรนอะไรเอง พ่อแม่กลัวลำบาก ตามเก็บตามช่วยตลอดเวลา
คิดว่าคงต้องให้ห่างพ่อแม่บ้าง ให้ช่วยเหลือตัวเอง แต่ดูทรงแล้วถ้าอยู่ในประเทศพ่อแม่ก็คงตามมาจุ้นอยู่ดี
ลองยุมันไปเรียนนอก หรือลง Work & Travel ดูสิ เผื่อมันจะติดใจชีวิตช่วยเหลือตัวเองแบบวัยรุ่นตปท.บ้าง
เป็นการเปิดหูเปิดตาด้วย ดีกว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ ประเทศเดิมๆ
>>136 ให้เดาคือแกควเคยมี แต่พอนานเข้าสิ่งที่ทำกับสิ่งที่ฝฝันมันจะยิ่งห่างไกลกันออกไป เหมือนเวคเตอร์สองเส้นที่ทีแรกก็คิดว่ามาสายนี้น่าจะใกล้เคียงกัน แต่เส้นสองเส้นนั้นยิ่งวิงต่อไปก็มีแต่จะไกลกันออกไปเรื่อยๆ
ชีวิตประจำวันที่ดำเนินต่อไปก็รู้ๆอยู่แล้วว่าจะไปในเส้นทางที่ฝันไม่ได้ ครั้นจะกลับไปเริ่มใหม่ก็อาจจะช้าไปแล้ว วันเวลาที่มีอยู่ก็ทำไปแค่เพราะรู้ว่าต้องทำเฉยๆ หาใช่เป็นสิ่งที่ทำเพราะอยากทำเลยสักนิด ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกป่านี้คงปล่อยตัวให้เหลวแหลกไปกับความผิดหวังไปแล้ว
หักดิบได้มั้ย ลองไปลุยกับฝันที่ไม่คิดว่าจะทำได้ดู ถ้ามันไกลเกินเอื้อมขนาดนั้นต้องท่องกับตัวเองว่าชีวิตยังไม่มีอะไรสายเกินจะเริ่มใหม่
อย่าลืมว่าในโลกเรานี้ยังมีคนไปเรียนปริญญาตอนอายุ 70 นะเว้ย
เด็กสมัยนี้บางคนฝันไม่เป็นด้วยซ้ำไป พ่อแม่บังคับเรียน บังคับเลือกสาย บังคับให้เลือกคณะตามที่พ่อแม่สั่ง
นี่พูดจริงๆ ที่ทำงานกูเคยมีอยู่คน คิดเองไม่ได้ แถมขาดคอมม่อนเซนส์หลายเรื่องด้วย
อายุ 26 ให้ช่วยอยู่โอทีแม่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วโทรถามที่บ้าน จะส่งไปอบรม สัมมนา รึไปออกหน้างานข้างนอก ต้องผ่านมติพ่อ
(แรกๆ แม่งให้กูโทรคุยกับพ่อมันเองด้วยซ้ำ เชี่ยเอ๊ย มันเป็นธุระอะไรของกูวะเนี่ย)
เรื่องส่งไปอยู่ไซท์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เคยเปรยขึ้นมาที แม่งทำอย่างกับโลกจะแตก อีกสองวันพ่อแม่งโทรมาขอคุยกับกู... ไอ้เหี้ย
แล้วทำงานก็ใช่จะดี ใบเกรดสวย มหาลัยแนวหน้า แต่อะไรที่จะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองนี่แม่งไม่ทำเลย ถามคนอื่นหมด
เข้าสังคมในบริษัทไม่ได้ด้วย กระทั่งกลุ่มโอตาคุยังไม่เอามัน
พอครบปีดูท่าจะไม่ไหวเลยให้ออก ผลประเมินก็แย่ด้วย จริงๆ กูเป็นกรรมการสัมภาษณ์ก็ไม่อยากรับไว้แต่แรกแล้ว แต่แม่งมีผู้ใหญ่ข้างบนฝากมา
วันสุดท้ายมันบอกกูว่า มันก็ไม่อยากมาทำ แล้วเสือกขอบคุณที่กูให้ออก เพราะที่มาทำงานทุกวันไม่ขาดไม่ลาเนี่ย แม่บังคับมา... คุณพระ = =
มึงคิดว่าคนแบบนี้มันจะมีฝันอะไรวะ
>>143 อ่านจบร้อง "เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด" เลยว่ะ ไม่นึกว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกจริงๆ ถ้าพ่อแม่แม่มตายห่าไปมันจะทำอะไรเป็นบ้างมั้ยว่ะ แล้วพ่อกับแม่กับเข้าทำนอง "พ่อแม่รังแกฉัน" ชัดๆเลย สั่งอย่างเดียวไม่ให้ลูกคิด ไม่ให้ลูกฝัน จะแปลกมั้ยว่ะถ้ากุบอกว่าสงสารมันน่ะ= =a
>>137 นี่... นี่มันชีวิตกูตอนนี้ชัดๆ
ไม่รู้ว่าคนอื่นเหมือนกูมั้ยนะ แต่เพื่อนกูที่เพิ่งเรียนจบแล้วเริ่มทำงานก็อารมณ์นี้กันหลายคน (โดยเฉพาะพวกยังไม่มีแฟน)
มันเหมือนเพิ่งเรียนจบมา เริ่มทำงานได้เจอว่าอะไรหลายๆอย่างไม่ได้สดใสสวยงามอย่างที่ฝันอารมณ์มันก็หู่ๆเซ็งๆ
เวลาผ่านไปกูว่าเดี๋ยวเจออะไรใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆที่น่าสนใจพอที่จะทำให้กลับมามีไฟอีกครั้งอาการแบบนี้มันก็หายเอง
ตอนนี้กูก็ทำงานไปแบบเรื่อยๆ ถ้าหาที่เรียนต่อดีๆได้หรือได้งานอื่นที่เงินเยอะกว่าก็ไปไรงี้ มันแค่ยังเหมือนเคว้งๆอยู่ ของแบบนี้กูว่ามันต้องใช้เวลากันหน่อยว่ะ
ทำงานไปเคว้งไป เลิกมาต่อโท จะจบอยู่แล้วก็ยังเคว้งอยู่เลยว่ะ
ไฟตอนเลิกมาต่อโทนี่คุกรุ่น ไปๆมาๆแม่งมอด กูเรียนมาทำไมวะ...
กูทำงานเพื่อหาแดกอย่างเดียวเลย บ้านกูจน
ฝันเฝินห่าอะไรกูไม่รู้จักมานานแล้ว เคยมีฝันแค่ตอนเด็กเท่านั้นแหละ
เป็นผู้ใหญ่ชีวิตมันโหดร้าย ไหนจะหาแดกวันนี้ ไหนจะต้องเก็บไว้เผื่อป่วยเผื่อแก่วันหน้า เผื่อเลี้ยงพ่อแม่อีก จะเอาอะไรมาฝันวะ
กูถามหน่อย ไหนๆก็โม่งแล้วไม่ต้องอาย
ไอ้คำว่า "ฝัน" ที่บางทีหยิบยกกันพูดถึงเนี่ย
นิยามของพวกมึงแต่ละคนมันเป็นไงมั่งวะ
เอาจริงๆตอนนี้กูก็ไม่ได้มีอะไรที่เรียกว่าฝันเป็นพิเศษ
แต่ถ้าถามว่าอยากให้เป็นไง มันก็พื้นๆแบบ อยากมีเงินใช้เรื่อยๆโดยไม่ต้องทำงาน
ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าวันนึงกูไม่ต้องทำงาน กูมีเงินจากเหี้ยอะไรสักอย่าง กูก็คงรู้สึกย่ำแย่
เหมือนกัน เพราะถ้าไม่ทำอะไรเลยกูจะรู้สึกโคตรว่างเปล่าเลย
ปล. ครอบครัวกูไม่รวยไม่จน ไม่มีหนี้ ไม่มีอะไรลำบาก ญาติๆไม่มารีดไถ
แฟนก็มีแต่ไม่มีลูก+ไม่ได้แต่ง (กูกับแฟนก็ไม่ได้อยากแต่งงานด้วย)
ฝันของกูคือการไม่กลับไปลำบากเหมือนตอนสมัยเรียน
คือบ้านกูจน จนแบบพ่อแม่กูล้มแล้วฟื้นตัวไม่ได้ด้วยไง
กูเลยไม่ได้เรียนสายสามัญ ต้องไปเรียนสายพาณิชย์แทน เรียนให้มีอะไรก็ได้ขอให้มีงานทำ
ตอนแรกกูก็แอบปลงว่ากูอาจจะไม่ได้เรียนมหาลัยแล้ว แต่โชคดีที่อาจารย์เอ็นดูกู เลยทำให้กูขวนขวายมีกำลังใจไปสอบมหาลัย
ซึ่งแม่งก็ติด แต่ไม่ได้ทุน อาจารย์แม่งก็ช่วยกูอีก ช่วยให้กูกู้กยศ. มาได้
กูก็ตั้งใจเรียนนะ หวาดหวั่นว่าจะหลุดทุนสุดๆ
แม่งเป็นภาวะที่กูอยากเรียน อยากได้งานดีๆ เพื่อที่กูจะได้ไม่เห็นแม่กูลำบาก
แล้วตอนนี้เรียนจบแล้ว ได้งานทำ มีเงินส่งให้แม่ใช้ แม่กูแฮปปี้ เริ่มเก็บเงินซื้อคอนโดแล้วขยับขยายออกไปเรื่อยๆ
ไรงี้ ทำงานหาเงินหาความสุขให้ตัวเอง อยากกินอะไรก็ได้กินไม่ต้องเก็บความอยากไว้เมื่อตอนเรียน
อยากไปเที่ยวก็ได้ไปไรงี้
แค่นี้ก็เป็นฝันกูแล้วละ จบๆ
>>151 ฝันกุคือได้เป็นผู้บริหาร ตื่นมากินกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ ตอนเด็กคิดแค่นั้นจริงๆ
แต่ตอนนี้ก็ได้เป็นจริงๆแต่ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์อ่านในคอมแทน
แต่อย่างนึงเกี่ยวกับเรื่องฝันนี่ถ้าใครคิดว่าทำไม่ได้ ต้องหาหนังสือ The Secret มาอ่านดูนะ
กุมีความเชื่ออย่างนึงว่า มนุษย์เราถ้าตั้งใจแล้วสามารถทำได้ทุกอย่างไม่ว่าเรื่องอะไร แต่ขั้นแรกตัวเมิงเองต้องเชื่อก่อนว่ะว่าจะสามารถทำได้ (ถ้าตัวเมิงเองยังไม่เชื่อเลยว่าทำได้ ในความเป็นจริงนี่ไม่มีทางเลยที่จะทำให้เป็นจริงได้)
ตอนเด็กๆกุโครตขี้เกียจเรียน แต่กุอยากเอ็นติดมาก คนอื่นเรียนกวดวิชากันเป็นปี กุอ่านหนังสือเดือนเดียวก็เอ็นติด (แต่ตอนนั้นอ่านทั้งวันทั้งคืนจริงๆ โครตตั้งใจอยากจะเข้าให้ได้)
อย่าขำกุ กุอยากจะเดินทางไปรอบโลกว่ะ ไปกับพวกred cross un unicefองค์กรการกุศลอะไรพวกเนี้ย อยากจะเห็นอะไรๆในโลกนี้อีกเยอะ ไม่ใช่มาอยู่แค่ในออฟฟิศ น่าเบื่อตายห่า
ถ้ามึงไม่ทำตัวยาก ก็ไม่น่าหายากนะ งานอาสาสมัคร
แต่กลัวว่าจะได้ไปเผชิญความจริงของโลกแทนน่ะสิ อย่างเช่น ช่วยเฉพาะศาสนานี้ หรือไม่ก็ต้องไปขอรับบริจาคทำยอด
กูเคยรู้สึกแย่มากกับการที่ขอสปอนเซอร์จากองค์กรนึงแล้วแม่งเอาผลงานพวกกูไปหมด(ให้เขียนโครงการให้ด้วย) แล้วมาตัดริบบิ้นอย่างเดียว
แต่มาคิดดูอีกที สิ่งที่กูและเพื่อนๆทำ มันก็ได้ประโยชน์ตามที่ตั้งใจน่ะนะ ไม่รู้จะทุกข์ร้อนกับเครดิตทำไม
>>142 ที่บอกมาใน >>137 ใช่เลยวะ อารมณ์มันดูผิดหวังประมาณที่มึงบอกนี่ละ
จนสุดท้ายแม่งก็คิดแค่ว่าแค่อยู่ไปวันๆแล้วรีบกลับบ้านมาก็พอแล้ว
ทั้งๆที่แม่งอายุยังน้อย วัยมันควรเป็นวัยแห่งความฝันอยากทำงานแท้ๆ
แต่แกดันชอบพูดประมาณว่า ให้ทนทำงานเดิมๆไปสิบปีแค่คิดก็ไม่เอาแล้ว
ถึงจะได้เงินเยอะก็เอามาทำอะไรไม่ได้ ไม่เห็นมีความสุข ห่าเหวอะไรประมาณนี้นี่ละ
กูเคยถามพ่อแม่มันนะว่ามีเพื่อนไหม เขาบอกมันก็มีแต่ดูไม่ค่อยสนิทเท่าไร
ปัญหาการเรียนก็มีแค่ขี้เกียจ ไม่ยอมตั้งใจเรียนตั้งใจทำงานอย่างแต่ก่อน(แต่เกรดก็ไม่แย่)
ส่วนเรื่องความฝัน ถ้าอิงตอนประถมที่กูเคยเจอเมื่อนานมาแล้วมันบอกอยากทำงานในแลป
เป็นนักทดลอง นักวิทยาศาสตร์ อะไรแนวๆนี้ละ แต่ถ้าปัจจุบันมันบอกแค่ว่าได้กินๆนอนๆมีเงินก็พอ
กูบอกตรงๆว่ากูเห็นแล้วห่วงอนาคตมันจริงๆเลยวะ เรียนอยู่ยังคิดแบบนี้เกิดไปทำงานจริงๆมันจะขนาดไหน
ความฝันกูตอนเด็กๆก็เหมือนเด็กทั่วไปอ่ะนะ แบบอยากเป็นหมอมั่งนักบินมั่งไรงี้ ซึ่งพวกนี้ไม่ซีเรียสหรอก
โตขึ้นมาอีกหน่อยซักช่วง ม.ต้น-ขึ้น ม.ปลายก่อนจะถึงช่วงใกล้เอ็นก็อยากประสบความสำเร็จในชีวิตแบบใหญ่โตมีชื่อเสียงระดับโลกในสายงานที่ตัวเองสนใจ
อารมณ์แบบบิลเกตส์ มาร์คซักไรงี้
พอใกล้ขึ้นมหาลัยเริ่มกลับมาเคว้ง มีโมเม้นแบบอยากเลิกเรียนเลิกอะไรออกมาทำอะไรเพื่อคนอื่นแบบไม่ต้องหวังเงินทอง สุดท้ายก็รู้ว่ามันไม่รอด
ฐานะทางบ้านกูมันไม่ได้ดีขนาดจะทำงานรายได้ไม่ดีไปตลอดได้ กูเองก็เป็นพวกรักสบาย ทนทำอะไรแบบนั้นไม่ได้จริงๆหรอก
พอขึ้นมหาลัยใหม่ๆยังแอบฝันว่าอยาประสบความสำเร็จใหญ่ๆอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่าแม่งเพ้อฝัน สุดท้ายก็ไม่ทำห่าอะไรนอกจากก้มหน้าก้มตาเรียน
มีสังคมมีเพื่อนบ้าง แต่พวกกิจกรรมไม่ได้ทำหลายอย่างที่อยาก แบบทุ่มกับการเรียนทั้งที่ไม่ได้อยาก เหมือนทำไปแบบฝืนๆ
ในที่สุดพอถึงช่วงกลางๆเริ่มรู้ว่าชีวิตกูไปไม่ถึงไหนหรอก สุดท้ายก็คงลงเอยที่ลูกจ้างบริษัทกากๆนี่แหละ
เอาว่ามีตังเลี้ยงพ่อแม่ลูกเมียได้ไม่ลำบากก็โอเคแล้ว อย่าไปอะไรมากมายกับชีวิตเลย
ช่วงใกล้จบลากยาวมาจนถึงปัจจุบันกูเริ่มค้นพบว่าจริงๆแล้วเรื่องสร้างครอบครัวอะไรนี่ก็ไม่เอาว่ะ กูไม่ใช่คนที่จะรักใครได้ขนาดอยู่ด้วยกันไปตลอดเป็นครอบครัวจริงๆจังๆแบบนั้น
ชีวิตสนุกอยู่กับโลกบนหน้าจอกูก็พอใจแล้ว ชีวิตกูลงท้ายมีเงินก็คงเอามาใช้เล่นหาความสุขปลอบใจตัวเองไปวันๆ
กูเริ่มกลับมาฝันอยากรวยแบบที่ไม่ต้องทำงาน อารมณ์แบบรวยฟลุคๆขอแค่ตัง ชื่อเสียงไม่อยากได้ อารมณ์แบบไอ้คนสร้าง Flappy Bird ไรงี้
และก็เริ่มจะเพ้อเจ้ออยากรีเซ็ตชีวิตตัวเองกลับไปเริ่มต้นชีวิตมหาลัยใหม่อีกซักครั้ง อยากย้อนเวลากลับไปตัวดีๆกับเพื่อนบางคน+ไม่ต้องไปสนใจเพื่อนเหี้ยๆบางคน
อยากใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมาบ้าก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างที่ทำมา สนุกกับการเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่อยากอยู่ด้วยให้มากกว่านี้
สุดท้ายจบมาด้วยเกรดดีๆแม่งก็แค่นั้นเอง ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะมีค่าอะไรเลย นึกถึงแล้วกูเสียดายจริงๆ
กูมีฝันนะแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงว่ะ และถ้าเริ่มตอนอายุเท่านี้มันมีหลายๆอย่างให้กลัวว่ะ บ้านก็ฐานะไม่ได้ดีอะไร พลาดมาจะเป็นยังไง
กูแม่งเป็นพวกไม่กล้าฝันว่ะ
เพราะตัวเองขี้เกียจสัดๆ ไม่พยายามเหี้ยอะไร กลัวพยายามแล้วไม่สำเร็จ
แต่กูก็ว่ากูมีความสุขกับความฝันง่ายๆขอมีงานมีกินไปวันๆก็พอละ เครียดอย่างเดียวสมัยเด็กดันดวงดีสอบเข้ารร.ดีๆได้ เข้าคณะโคดเมพได้ แม่งเพื่อนๆแล้วก็วงสังคมรอบข้างมีแต่พวกทะเยอทะยานสัดๆ
คือพวกนี้แม่งก็เพื่อนกู แต่พอคิดว่าอนาคตต้องมาเจอแบบทุกคนรวยสัดประสบความสำเร็จสัด หัวใจที่เปราะบางดังแก้วของกูคงสลายเป็นเสี่ยงๆ
แต่กูก็ทำใจไว้แล้วอะนะว่าตัวเองเลือกเอง ทำตัวเองเอง
รายการฝันที่เป็นจริงขอมอบรถเข็นให้ท่าน
เรื่องมากว่ะพวกมึง ตื่นมาได้เล่น fanboi ก็คุ้มสัดๆแล้วชีวิตนี้ (อย่าถึงปิดหนีนะเว้ย)
แล้วพวกมึงบางตัวได้นอนแอร์นะอีเหี้ย ของกูแอร์เสียตั้งแต่เมื่อวานสัด...
พวกที่คนแฟนเป็นเด็กพวกมึงทนได้ไงว่ะ งี่เง่างุ้งงิ้งแถมคิดเนกาทีฟตลอดเวลา มองผู้หญิงคนอื่นก็ว่ากูนอกใจ
กูจะดูคลิปเพลงยูทุปที่เป็นผู้หญิงร้องก็ไม่ให้กูฟัง กูทำงานอยู่ตอบไลน์ช้าแมงก็มาดราม่ากู
แล้วแบบแม่งชอบคิดว่าตัวเองเก่งไงรู้ไปหมดทุกอย่างกูแนะอะไรก็ไม่ฟัง
แต่พอเวลาสอบแล้วก็บ่นว่าอ่านไปทันแล้ว(ทั้งๆที่กูบอกให้มันไล่อ่านตั้งแต่ก่อนสอบเป็นเดือน)
ก็บ่นว่าปัญหามันใหญ่มากหนักมากโลกแตกมากแต่มองในแง่กูมันรู้สึกจิ๊บไงๆมันก็บ่นว่ากูไม่เอาใจใส่อีกทะเลาะกันอีก
คือบางเวลากูก็เครียดไงทั้งเรื่องงานหลักทั้งเรื่องงานนนอกมีรายนี้เข้าไปอีกกูแทบอยากกรี๊ดเป็นภาษาตากาล็อก
เคยมีแม่นางคนหนึ่งบอกมา ว่าผู้หญิงบางคนไม่ชอบให้อีกฝ่ายมองปัญหาตัวเองเป็นเรื่องเล็ก
เหมือนกับ มันเครียดขนาดนี้มึงมามองเป็นเรื่องเล็กๆได้ไงช่วยก็ไม่ช่วยปลอบก็ไม่ปลอบเสือกตอกย้ำอีก
ประมาณนั้นล่ะมั๊ง
อ่านกระทู้นี้แล้วแม่งกูเครียดมากๆเลยนะ
พวกเรื่องจบไปทำงานไรเงี้ย
เหี้ย ทุกวันนี้ยังนั่งคิดอยู่ว่าจบไปกูจะทำงานอะไรดีวะ
แบบวิชาหลักๆที่เรียนๆมาแม่งไม่รู้สึกชอบซักอัน
ทั้งๆที่วิชา(หลัก)ที่เรียนแม่งโคตรจะจับฉ่ายมีเยอะไปหมด
เซ็งโว้ย—————————!!
ที่กูเคยเจอ กูพยายามทำตัวเป็นแฟนที่ดีตลอด
ไม่เจ้าชู้ ไม่นอกใจ(ทั้งๆ ที่มีให้นอกใจ)
อยู่ในโอวาท ไม่พยายามขัดใจ อยากได้อะไร ถ้าหาได้กูหาให้
แต่โดนหาเรื่องทะเลาะด้วย พอบ่อยๆ เข้า ชักทนไม่ไหวเลยจับมานั่งคุยตัวๆ
แม่นางตอบ อยู่กับกูสงบสุขเกิน น่าเบื่อ เลยหาเรื่องทะเลาะด้วย
กูก็เลยให้นางไปหาคนเหี้ยๆ ซะ ชีวิตจะได้ไม่เบื่อ
กูเจอเคสสลับกัน บอกว่ากูใส่ใจกับมันมากเกินไป มันไม่มีเวลาส่วนตัวไรงี้เลย บลาๆ
กูเลยโอเค ไม่ยุ่งกับเมิงก็ได้ เริ่มแบบไม่ได้ทำตัวงอแงใส่ไรงี้ ไม่เซ้าซี้
ไม่ไปก็ไม่ไป ไม่แบบน้อยใจอะไรงี่เง่าเหมือนแต่เก่าแล้ว
พอเสร็จ แม่งน้อยใจ บอกว่ากูอ่ะ ตีตัวออกห่างมัน ไม่รักมันแล้วใช่มั้ย บลาๆ
กูเลยแบบ เอ๊า! ไหนบอกว่าอยากได้เวลาส่วนตัวไงเล่า
ทำกูเอ๋อแดกไปหลายวันพอสมควรเลย
ปล. กูผู้หญิง และแฟนเป็นผู้ชาย
กูเพิ่งรู้จักคำว่าเรียลจูจากมีมวาเลนไทน์
กูกล้าพูดว่ากระทู้นี้เรียลจูที่สุดในเว็บ
เรียจู(リア充) จะเรียกเลียจู๋ก็ได้ จำง่ายดี
ย่อมาจากคำว่า リアル充実
หมายถึงคนที่มีพร้อมทุกอย่างในชีวิตความเป็นจริง(เรียล)
มีเงิน มีงาน มีแฟน มีความสุข
พูดง่ายๆ ก็คนปกติในสังคมนั่นล่ะ
リア充死ね
リア充爆発しろ ดิวะ
>>169 ก็แฟนกูไม่เป็นแบบนั้น
หึงงี่เง่ามีบ้าง แต่ไลน์ กูตอบช้าไปหลายชั่วโมงก็ไม่ว่าอะไร
เรื่องเรียนเรื่องสอบ มึงก็ต้องเข้าใจคนอื่นบ้าง สมัยเป็นนักเรียน เด็กนักเรียนที่ขยันอ่านหนังสือเตรียมสอบล่วงหน้านาน ๆ มันจะมีซักกี่คน
มึงมองว่าเรื่องสอบมันจิ๊บมันก็มีคนอื่นที่มองว่าเครียดเรื่องงานมันจิ๊บเหมือนกัน
กูไม่เคยเครียดเรื่องงานเลย
แต่กูดูนิสัยมึงแล้ว กูสงสารน้องเค้า
มึงอยากคบเด็ก แต่มึงรับไม่ได้กับนิสัยของเด็ก
แต่มึงไม่ยอมไปคบกับผู้ใหญ่
มึงไม่พอใจ แต่มึงก็ไม่แก้ปัญหา หรือพยายามแก้แล้วแต่ไม่มีปัญญาจะแก้ได้
แต่มึงก็ไม่ยอมเลิก เก็บน้องเค้าไว้เพราะเสียดาย แล้วก็เอาน้องเค้ามานินทาลับหลัง
มึงไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น คิดถึงแต่ตัวเอง มองว่าปัญหาของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่
เด็กมันก็คือเด็ก ถ้ามึงอยากคบกับเด็ก มึงก็ต้องคอยนำเค้าให้ได้ ไม่ใช่มาโวยวายนินทาลับหลังแบบนี้
>>175 มึงทำถูกแล้ว รับไม่ได้ เข้ากันไม่ได้ ก็เลิก ไม่ใช่เก็บไว้ก่อนรอเจอคนใหม่ถูกใจแล้วค่อยเลิก
>>176 มึงก็ลองทำตัวแบบพอดี ๆ ดู
ไม่ต้องเซ้าซี้มากเกินไป แต่ก็ไม่ต้องเมินจนเขารู้สึกว่ามึงไม่สนใจเขา
リア充爆発しろ!
แฟนไม่ใช่เครื่องกลสารพัดนึก ก่อนจะคบก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าแฟนเป็นมนุษย์ ก็ต้องมีนิสัยเสีย มีความไม่มีเหตุผล มีปัญหาบ้างตามมาเป็นธรรมดา
ถ้าต้องเอาแฟนมาเมาท์แบบนี้ อย่ามีแฟนเลย
ถ้าเป็นกู กูคงไม่อยากเป็นแฟนกับคนอย่างพวกมึง ที่ไม่รู้จะเอาข้อเสียของกูไปโพนทะนาให้ใครฟังที่ไหนเมื่อไหร่แบบนี้
โม่งๆแล้วก็ระบายมั่งสิวะ ใช่ว่าเอ่ยชื่อเอารูปแปะซะที่ไหน
ไอ้ที่เล่าๆกันก็ฟังความข้างเดียวทั้งนั้น ให้แฟนมาเล่ามันก็หนังคนละม้วน มองคนละมุมอยู่แล้ว
จริงๆมันมีกระทู้แฟนๆหรือเปล่านะ แต่เหมือนกระทู้นั้นมันจะคุยกันแต่เรื่องปี้มากกว่า
กูตอบไลน์น้องกูช้าไปชั่วโมงมันยังทวิตมาด่ากูกระจายเลย
โถ่ เจ้าพระคุณรุนช่อง พ่อพระมาโปรด เอาใจเขาใส่ใจเรานะ โลกสงบสุข สัตว์โลกทั้งปวงล้วนเป็นเพื่อนกัน
ถึงคนฟังจะไม่รู้ว่ามันด่าใคร แต่คนด่ามันรู้อยู่แก่ใจว่ามันด่ากู
ต่อหน้าหรือลับหลังกูก็ไม่ชอบทั้งนั้น ที่ออฟฟิศนี่กูโดนประจำเลย
มีเพื่อนในออฟฟิศคนนึงรู้ว่ากูเป็นคุ
แล้วมันก็ชอบแอบเหน็บกูอยู่เป็นระยะ ๆ โดยที่คนอื่นไม่รู้ว่ามันเหน็บกู ถ้ากูโวยคนอื่นก็จะรู้กันหมดว่ากูเป็นคุ เซ็งมาก แต่ทำอะไรไม่ได้เลยว่ะ
การด่าคน จะด่าต่อหน้าหรือลับหลัง คนโดนด่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มันก็แย่ทั้งนั้นล่ะว่ะ
กูโดนด่าเรียกชื่อในบอร์ดนี้กูยังไม่บ่นเหี้ยอะไรเลย
มึงนี่อ่อนหัดสิ้นดี
>>184 กุขอเรียกไอ้พวกพิทักษ์ความยุติธรรมแห่งบอร์ดโม่ง
ซึ่งกุมันใจว่าแม่งคือตัวเมียแน่ๆ เจอแบบนี้เลยจี๊ดใจดำ ดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวก
To Admin กุว่าเปิดห้องสีขาว ให้พวกแม่งไปอยู่กันเลยนะ ห้ามด่า ห้ามพูดเรื่องไม่ดี โลกสวย ผีเสื้อ ดอกไม้ แม่งคงพอใจ (แต่ตัวแม่งก็คงไม่เล่นหรอกเพราะคนเราชอบแต่เรื่องเหี้ยๆ ไม่งั้น บอร์ดเหี้ยนิ่งมู้ไม่วิ่งไวแบบนี้หรอก )
ไม่ชอบการนินทา แล้วมาทำเหี้ยอัลไลอยู่ในบอร์ดโม่งวะครับ
มึงก็เหมือนกับเขาน่ะแหละ เก็บกดกับชีวิตเลยมาระบายด้วยการด่าคนอื่นในบอร์ดโม่งเหมือนกัน จะไปว่าอะไรเขาวะ
แต่กูเห็นด้วยนะว่าเรื่องครอบครัวเรื่องคนใกล้ชิด อย่าเอามาพูดข้างนอก
ถ้ากูอยู่ตระกูลมาเฟียกูสั่งเก็บเลยนะ เกลียดมาก
กูว่าระบายๆไปเหอะไม่มีใครว่า แค่อย่าใส่ประวัติข้อมูลให้สาวไปถึงตัวก็พอ
ระบายในนี้ดีกว่าเก็บกดจนไปลงไม้ลงมือกันข้างนอกนะมึง
ว่าแต่ตัวเมียแล้วไงวะ กูก็ตัวเมียแต่ไม่ได้คิดแบบที่มึงว่าว่ะตัวผู้5555
เหยดเข้ ไม่ได้เข้ามานานกำลังไฝ้ท์เรื่องไรกันว่ะ ใจเย็นๆกันดิว่ะ ใครอยากจะบ่นมึงก็บ่นไปแต่อยากลงข้อมูลส่วนตัวก็แค่นี้เอง อ่านอันไหนไม่เข้าตาพวกมึงก็ข้ามๆกันไป เจอเรื่องข้างนอกมาเครียดๆจะหาที่ระบายแบบเถื่อนๆได้ก็มีแค่ในนี้แหละ มึงจะตัวผู้จะตัวเมีย เครียดเหี้ยไรมาจากมึงก็มาบ่นกันในนี้ โม่งเป็นฝูงแม่งรออ่านและโม่งบางตัวแม่งก็ช่วยมึงคิดหาทางออกได้เว้ย ตามสะดวกเลยจะเมียทิ้งผัวเตะ แม่ยายตายพ่อตาไล่ยิง หางานไม่ได้ หัวหน้างี่เง่า มึงก็บ่นๆกันมากูรออ่านอยู่ กูว่ามีแต่ฝูงโม่งเท่านั่นแหละที่คอยฟังพวกมึงระบายแบบเถื่อนว่ะ
เท่าที่กูสังเกตุ ความเห็นมันแตกเป็นสองกลุ่มหลักคือ
กลุ่มแรกคิดว่า ที่นี่คือบอร์ดโม่ง คนเราสามารถแสดงออกอะไรยังไงก็ได้ไม่ผิด เพราะไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร
อีกกลุ่มคิดว่า ที่นี่คือบอร์ดโม่ง เป็นที่ที่ไว้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาโดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะรู้ แต่อะไรที่ผิดก็คือผิดอยู่ดี
เรื่องนินทานี่ถ้าเป็นคนอื่นคนไกล เช่น เพื่อนร่วมงานนินทากูนี่กูเฉยๆ นะ
แต่ถ้าเป็นคนที่กูรักเอากูไปนินทา ต่อให้จะพูดชื่อหรือไม่กูก็เสียความรู้สึกว่ะ
มันเสียความรู้สึกเพราะเรารัก เราไว้ใจ เราเชื่อใจไง
แต่กับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือคนอื่น จะนินทากูนี่กูเฉยๆ ว่ะ
เพราะกูไม่ได้ให้ใจไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรให้เสียใจ
กูงงตรรกะบางคนในนี้
โม่ง A บนเรื่องแฟน คือโอเค ไม่เป็นไร
โม่ง B มาบ่นเรื่องโม่ง A กลายเป็นว่าผิด
กูว่าไอ้ที่สองคนนี้ทำมันก็เหมือนกันนะ
คนที่โม่ง A เอามาพูดถึง เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่มีขอมูลอะไให้พวกมึงสาวถึงตัวได้ว่าในชีวิตจริงคือใคร
คนที่โม่ง B เอามาพูดถึง มันก็เป็นใครไม่รู้ ไม่มีขอมูลอะไให้พวกมึงสาวถึงตัวได้ว่าในชีวิตจริงคือใครเหมือนกัน
ถ้ามึงคิดว่าโม่ง A ไม่ผิด โม่ง B มันก็ไม่ผิด
ถ้ามึงคิดว่าโม่ง A ผิด โม่ง B มันก็ผิด
กูนี่ล่ะบ่นคนที่ไว้ใจตัวเอง(เพื่อนสนิท) เพราะมีเรื่องนึงของนิสัยมันที่กูรับไม่ได้ แต่นอกนั้นแม่งดีหมดไง
คือกูก็บอกมันอ้อมๆก็แล้ว ตรงๆก็แล้วก็ไม่เลิกนิสัยนี้ ให้บอกย้ำๆซ้ำๆแม่งก็จะเสียเพื่อนอีก จนกูปลงเลยต้องหาที่ระบายว่ะ
ไม่รู้พวกนายเถียงเรื่องห่าไรกันอยุ่แต่กูอยากบ่น
เพื่อนกูคนนึงเป็นคุ รู้จักกันเกือบปีสนิทกันมากรสนิยมตรงกัน
มันดีหมดอ่ะเสียงอย่างคือชอบเอาแฟนอาร์ตสวยๆ มาโพสให้ดูละบอกวิจารณ์หน่อย วาดเอง
กุเบื่อชิบหายมองแวบเดียวก็รู้ล่ะแฮบคนอื่นมา เพราะคาบดรออิ้งคะแนนมันห่วยแตก อนาโตมี่อย่างกะเด็กอนุบาล
อยากพูดตรงๆ นะเลิกเอาภาพชาวบ้านมาให้กุอวยเถอะแต่กลัวมันจะโกรธหนีหน้า กุยิ่งหาเพื่อนสนิทยากอยู่ด้วย
ในนี้เคยมีคนนินทากู แต่กู don't give a fuck ...
ดีซะอีก จะได้หาทางเอาคืนแม่งได้
>>212 พูดไปตรง ๆ เลยเถอะ บางคนเขาก็มีเหตุผลของเขา
กูก็เคยมีเพื่อนคนนึง เป็นผู้หญิง ชอบเอานิยายที่เขียนเองมาให้กูช่วยวิจารณ์
กูมารู้ทีหลังว่ามันเอานิยายมาจาก dek-d เพราะกูไม่อ่านนิยายตามเว็บ
แล้วตอนหลังกูก็ได้รู้ว่า มันชอบกู ที่ทำไปเพราะอยากหาเรื่องมาคุยด้วย และอยากให้กูชื่นชม
เพื่อนมึงอาจจะเป็นแบบเดียวกันก็ได้
แต่ถ้ามันใช่เพื่อนสนิทที่คิดว่ามึงหลอกได้ง่าย ก็เลยมาหลอกมึง
เพื่อให้มึงรู้สึกว่ามันเก่ง มันเหนือ เนี่ย อย่าคบเลย
เรื่องนินทานี่กูปลงแล้วว่ะ คือด้วยบุคลิกและนิสัยไม่สุงสิงชาวบ้านของกูทำให้กูเจอเรื่องแบบนี้บ่อย นี่เฉพาะที่รู้นะ ไอ้ที่ไม่รู้คงยิ่งเยอะกว่า
กูเคยเครียดมากๆอยู่ช่วงนึงเลยจนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าช่างแม่งเหอะ ใครจะพูดอะไรก็ปล่อยแม่งพูดไปเหอะ ไม่ใช่เรื่องจริงมึงจะสนอะไร ถ้าเป็นเรื่องจริงมึงก็ต้องรับให้ได้เท่านั้นเอง พวกนี้เคลียร์กันตรงๆก็ไม่ได้ ไม่งั้นแม่งไม่เก็บเอามานินทาหรอก
สรุป ด้วยความคิดของกูที่ว่า อะไรที่เราถูกกระทำแล้วเราไม่ชอบเราก็ไม่ควรทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ตอนนี้ก็สงบดีนะไม่ไปนินทาคนอื่น คนอื่นนินทาก็เข้าใจ เว้นแต่เจออะไรเหี้ยๆจริงๆก็จะจัดที
เรื่องนินทาเราเฉยๆ แต่เรื่องเหยียดคนอื่นเราไม่เห็นชอบนะ!
กุเคยเจอแบบคนที่รักนี่เอาไปนินทานี่แบบเจ็บชิบหาย สุดท้ายเลิกคบแม่งเลย สบายใจสาด 5555
>>217 เรื่องที่เมิงคิดว่าผิด นั่นจริงๆแล้วเมิงกำลังคิดไปเอง
แต่สำหรับคนอื่นๆอาจจะคิดว่าไม่ผิดก็ได้ เพราะไม่เช่นนั้นสังคมในความเป็นคนทุกคนคงมองและเข้าใจทุกอย่างเหมือนๆกัน บอร์ดโม่งแห่งนี้คงไม่เกิด
ส่วนเรื่องนินทากัน ก็เป็นกรรมของเมิงล้วนๆ ถ้าเมิงดีจริงเค้าก็คงไม่เอาเมิงไปนินทาแบบเสียๆหายๆ ซึ่งถ้าลองมองดูดีแล้วสิ่งที่เมิงคิดว่าคเมิงทำดีกับเค้า หวังดีกับเค้า เป็นห่วงเป็นไย แต่สำหรับเค้าอาจจะมองว่าเมิงก็หวังทำดีเพราะอยากจีบติด อยากได้เค้าเป็นแฟนก็ดี
อยู่ดีๆใครจะไปทำดีกับใครก็ไม่รู้ไม่รู้จัก แม่งก็หวังผลอะไรบางอย่างทั้งนั้นแหละ
งั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ดีจริงสินะ เพราะพระพุทธเจ้ายังโดนนินทาเลย
แทนที่คนนินทาจะเป็นคนทำผิด ทำไม่ดี ปากหมา กลายเป็นกรรมของคนถูกนินทาซะงั้น
แต่ถ้าจะว่าเป็นกรรมนี่ก็เห็นด้วยนะ กรรมที่ต้องมาพบพานและรู้จักกับคนเห้ๆ แบบนั้น
ไอคนถูกนินทามันแล้วแต่วะ บางทีโดนนินทามโน ถูกจินตนาการเรื่องเหี้ยๆมานินทา
แต่บางคนมันเหี้ยน่านินทาจริงๆไม่ต้องมโนก็มีให้ด่าพรึบๆ
แล้วเรื่องพระพุทธเจ้า เขาอาจเคยทำอะไรไม่ดีก็ได้เลยโดนนินทา
เพราะยังไงก็ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาดอยู่แล้ว
>>221 เมิงได้เรียนภาษาไทยมาป่าววะ.... นินทา มันเหมือนกับพูดถึงยังไงวะ
เมิงทำอะไรมาเมิงก็ได้รับกรรมแบบนั้น ถ้าเมิงดีเค้าก็เอาเมิงไปพูดในแง่ดี ซึ่งถ้าเมิงไม่เหี้ยเค้าก็ไม่เอาไปนินทาแบบนั้นหรอก เมิงเคยเอาพ่อแม่ไปนินทาในทางร้ายป่าววะ สัส นั่นก็เพราะว่าพ่อแม่เค้าทำเพื่อเมิงโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่กลับกันเมิงไปจีบสาว ทำดีกับเค้า นั่นก็หวังให้เค้ามาชอบเมิงตอบ หวังให้เป็นแฟนกับเค้า หวังจะผสมพันธ์ สืบพันธ์กับเค้า หรือไม่จริง?
ส่วนเรื่องพระพุทธเจ้าดีหรือไม่ ถ้าเอาตามสังคมคนทั่วไปมองก็ต้องบอกว่าดีเพราะทำเพื่อคนอื่น
แต่ถ้ากุเป็นคิวเบ กุก็คงว่าเฉยๆแค่มนุษย์คนนึง จริงๆเพราะคำสอนตั้งต้นที่เป็นจุดกำเนิดให้คนอื่นๆตีความไปหลายๆแบบเป็นต้นเหตุของสงครามด้วยซ้ำ ถ้ากุเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์กุว่าก็คงไม่ดีหรอก (ถ้าเราเห็นยุงตัวนึงที่มาปฏิวัติรวบรวมพลพรรคยุงให้มารุมกัดคนตาย กุก็คงว่ายุงตัวนั้นเป็นศัตรูแห่งมนุษยชาติ แต่ในมุมมองยุงก็คงว่าดีเป็นฮีโร่ละมั๊ง)
>>224 กุคิดว่ามันน่าจะหมายถึงมุมมองสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ มนุษย์ก็เหี้ยหมด(ซึ่งคงหมายถึงพระพุทธเจ้าด้วย)
อย่างยุงรุมแดกคนก็หมายถึงฆ่าไอเหี้ยมนุษย์จอมแดกสัตว์โลกได้หนึ่งตัว เฮ้~~~~
แต่กูงงตรงคำสอนตั้งต้นทำให้เกิดสงคราม มึงหมายถึงศาสนาคริสต์เปล่าว่ะ พุทธมีสงครามกับชาวบ้านด้วยเรอะ
มีสิ ตอนจักรพรรดิญี่ปุ่นโบราณเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธก็ล้างโคตรพวกนับถือเทพมาแล้ว
จีนกับเพื่อนบ้านอีก แย่งกันเป็นเจ้าของนิกายบ้าบอ เยอะแยะไปหมด
โยงไปถึงบุดด้าแล้วเหรอวะสัส
>>226 ทำไมกูลองไปเสิชๆในวิกิมันบอกไว้ประมาณว่าหลังเจ้าชายสิ้น ศาสนาพุทธก็เสื่อมลง
ชินโตได้รับความนิยม เลยเกิดล้มล้างพุทธศาสนาแทน หรือว่าในวิกิมันอ้างอิงไว้ผิด
จะเจออีกก็แค่ พระเจ้าจักรพรรดิโกโตกุ ที่ยกย่องพุทธแล้วดูหมิ่นเทพเจ้า
ลองหาๆเว็บอื่นยังไม่เจอด้วยวะ ลองเล่าๆมาหน่อยได้ไหมเพื่อนโม่ง
พอลองไปหาดีๆพุทธก็มีเรื่องกับชาวบ้านเหมือนกันนี่นะ ทำไมรู้สึกมันไม่ค่อยดังเท่าไรสงสัยเพราะกูไม่ค่อยเสพข่าว
จริงๆเหมือนบอร์ดจะมีกฏห้ามเรื่องศาสนาการเมือง แต่กูดูแล้วในนี้ก็ไม่มีติ่งศาสนาไหนที่เซนสิถีบเท่าไหร่เลย
พุทธตีกับชาวบ้าน ล่าสุดก็ลองหาข่าวพม่าอ่านดูสิ
เรื่องกฏบอร์ดกูจำได้ลางๆว่าเหมือนเคยห้ามเรื่องศาสนาด้วยแต่ตอนหลังเอาออกป่าว หรือกูเบลอเอง?
เพิ่งมาได้อ่าน นี่มันไปเรื่องปรัชญาแล้วนิหว่า
จริงๆกุชอบนะแต่คุยกับใครไม่ค่อยจะรู้เรื่อง พูดตามตรงกุได้แนวคิดเรื่องปรัชญาจากในการ์ตูนมากกว่าชีวิตจริงอีก
อย่าง Berserk เรื่องเวลาคนตายไปจะไปหามิติหรือสปิร่า (มันใช้คำนี่ป่าวไม่แน่ใจ) ที่ตัวเองเป็น อย่างคิดดีก็จะไปตามที่ดีๆ คิดเน่าๆก็จะไปอยู่ที่เน่าๆ
เรื่อง Gundam Seed ได้เรื่องปรัชญาทางสงคราม แก้แค้นกันไปมา ทำให้กุเห็นภาพเสื้อแดง เสื้อเหลืองเลย
เรื่อง มาโดกะ ได้เรื่องความสมดุลในจักรวาล ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้ามีด้านบวกมากเท่าไร ก็จะส่งผลให้มีด้านลบมากเท่านั้น
เรื่อง Eva ถ้าจะให้เป็นโลกที่สมบูรณ์ก็จงตายให้หมด แล้วเอาวิญญาณไปอยู่รวมกันเถอะ
ทุกอย่างมันต้องมีสมดุลย์ไง ถ้ามีบวกก็ต้องมีลบ คือถ้ามีคนโชคดี มันก็ต้องมีคนโชคร้าย
โลกที่ทุกคนทอยลูกเต๋าได้ 6 มันไม่มีหรอก มันต้องมีแต้มอื่นๆด้วย
เหมือนกับการจุดไฟเผาถ่านเอาพลังงาน แต่ถ่านก็จุดไฟได้ครั้งเดียวแล้วมอดไปเป็นขี้เถ้า
จะทำอะไรซักอย่าง มันก็ต้องมีเสียอะไรไปบ้าง
>>233 หลักการในการ์ตูน บางอันอาจจะจริง แต่บางอันก็อาจจะไม่จริง มึงอย่าไปคิดมากว่ามันจะต้องจริงทั้งหมด
และหลักการที่เป็นจริงในด้านนึง ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องจริงกับทุกเรื่อง
เช่น เรื่องสมดุล เนี่ยมันมีจริง เช่นสมดุลพลังงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างในจักรวาลนี้มันสมดุลกันหรือต้องสมดุลกันเสมอไป
แต่หลักการในมาโดกะเนี่ยจริง
คิวเบย์มันกำลังแก้ปัญหาที่เรียกว่า heat death of the universe ซึ่งก็คือสถานะที่พลังงานทั้งหมดในระบบเข้าสู่จุดสมดุล
และจริง ๆ วิธีของคิวเบย์มันก็ไม่สามารถแก้ปัญหาจริง ๆ ด้วย ที่มันทำเป็นแค่การถ่วงเวลาด้วยการสร้างพลังงานเพิ่ม
เหี้ย กลายเป็นกระทู้โอตาคุถกหลักการณ์การ์ตูนแล้วสัด อย่าเลยนะ ขอร้อง... ไปห้องอนิเมเหอะเรื่องแบบนี้
>>237 น่าๆมันปนๆกันไป ใน >>236 สามบรรทัดแรกก็ไม่ได้พูดถึงการ์ตูนสักหน่อย
พึ่งมาเพิ่มในสามบรรทัดสุดท้ายเอง ใน >>234-235 ก็ไม่ได้พูดถึงการ์ตูนด้วย
พูดถึงเรื่องสมดุลกูเคยคิดนะว่าทั้งโลกนี้ผู้หญิงกับผู้ชายอาจมีจำนวนเท่ากันก็ได้
แต่ปัจจุบันกูรู้สึกว่าผู้หญิงมันดูเยอะกว่าผู้ชายซะงั้น คงเพราะในไทยมันดูมีผู้หญิงเยอะกว่า
>>238 กุว่าเมิงกำลังเข้าใจผิดในเรื่องสมดุล ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเท่ากันหมด
ถ้าเมิงจะยกตัวอย่างเรื่องจำนวนประชากร ต้องมองว่าในเมืองหลวงซึ่งมีพื้นที่จำกัดมีประชากรหนาแน่น
ด้วยจำนวนประชากรที่ผู้หญิงมากกว่า ผู้ชายจึงมีอำนาจในการเลือกผู้หญิงมากกว่า
และเพื่อให้ปรับสมดุล ผู้หญิงที่ไม่ได้ถูกเลือก หรือไม่ได้อยากถูกเลือก ก็จะมีแนวโน้มที่อยู่เป็นโสดล้มหายตายจากไป
กูมั่นใจอยู่อย่าง ถ้าจำนวนชายกับหญิงบนโลกเท่าๆกันนี่กูว่าไม่สมดุลแน่ๆ
>>238 ตามหลักชีววิทยามนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์ผัวเดียวเมียเดียวหนา เพราะงั้นความสมดุลย์ของมนุษย์คืออัตราส่วนที่ผู้ชายน้อยกว่าหญิงน่ะถูกแล้ว
เพื่อให้เกิดการขยายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพ แบบผู้ชายคนนึงทำให้ท้องได้พร้อมกันหลายๆคนงี้
เพราะถ้าหญิง1ชายหลายคนมันจะไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก สิ้นเปลืองน้ำเชื้อแบบเปล่าประโยชน์
แต่ที่ปัจจุบันเลือกแบบผัวเดียวเมียเดียวกันมันเพราะคนมากพอจนต้องควบคุมประชากรแล้ว หลายผัวหลายเมียเสี่ยงต่อโรคติดต่ออีก
ที่สำคัญคือเรื่องพัฒนาการทางความคิด สร้างค่านิยมต่างๆนาๆมาเป็นเหตุผล
(เกย์กับเลสเบี้ยนนี่จริงๆก็เป็นเหมือนกิจกรรมทางสังคมในสัตว์เหมือนกันนะ แบบ แทนที่จะตีกันก็มาจุ๊กกรู้สร้างความสัมพันธ์อันดีแทนเถอะไรงี้)
>>243 ถ้ายกเหตุผลแบบที่โม่ง >>239 กับ >>241 บอกว่านั่นคือสมดุล
ความต้องการทรัพยากรธรรมชาติของมนุษย์ในโลกก็สมดุล มนุษย์เราใช้เยอะเพราะมันเหลือเยอะ
อนาคตถ้ามันเหลือน้อยลงมนุษย์ก็จะใช้น้อยลงเอง และถ้ามนุษย์ไม่ยอมใช้น้อยลง หรือใช้น้อยลงแต่ไม่พอดีกับจำนวนที่ธรรมชาติเหลือไว้ให้ มนุษย์ก็จะเป็นฝ่ายถูกลดจำนวนแทน เห็นมั้ย มันก็สมดุลอยู่ดี
>>243 >>244 สมดุลนี่กูสะกดผิดจริงน่ะล่ะ ซอรี่
แต่เรื่องสมดุลที่กูพูดหมายถึงอัตราส่วนที่มันจะดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดไปได้นานที่สุดว่ะ
ถ้าให้เปรียบเทียบกับที่ >>244 พูดก็คือ กูพูดในมุมมองมนุษย์ แล้วกำหนดที่การใช้ทรัพยากร
ทรัพยากรถ้ามึงแดกกันมากไปแล้วไม่เหลือก็วินาศ แต่ถ้ามึงจะอนุรักษ์กันแบบไม่เอามาใช้เลยมันก็เสียของย่ำต๊อกกับที่
มันถึงต้องมีโครงการมาอนุรักษ์ให้ลดการใช้ทรัพยากร หรือหาพลังงานทางเลือกให้มันอยู่รอดต่อไปได้นานๆ
ในขณะที่ถ้ามองมุมธรรมชาติ ก็อย่างที่มึงบอกจักรวาลแม่งก็สมดุลหมด
มองจากมุมมองของตัวทรัพยากรแล้วควบคุมที่ตัวมนุษย์ก็แบบ มึงแดกกูมากใช่มะ งั้นพอกูไม่พอมึงก็อดอยากตายซะ โช๊ะๆ สมดุลกับกูละไรงี้
โรคระบาดมันก็เป็นการกำหนดสมดุลจำนวนมนุษย์ของธรรมชาติเหมือนกัน กูคิดงั้นนะ
นี่กูอ่านกระทู้อะไรอยู่
กระทู้ซาลารี่มังเพื่อโลก
>>241 กุเห็นด้วยกับแนวทางความคิดเมิง แต่กุไม่เห็นด้วยในประเด็นที่ ผัวเดียวเมียเดียว เป็นเรื่องการควบคุมประชากร
กุมองไปเรื่องของสิทธิเท่าเทียมกันของผู้ชายและผู้หญิง เรื่องนี้สังเกตุได้ว่าประเทศไหนที่ให้ความสำคัญเรื่องสตรี ก็จะมีแนวโน้มที่มีเมียคนเดียว(ตามกฏหมาย)
แต่อย่างพวกแขก หรือ จีน ที่เรารู้สึกว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า การมีเมียหลายคนก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องที่ยอมรับได้ในสังคมนั้นๆ
>>246 ถ้าขอตอบแบบแถๆ ก็คือ การเข้าใจในปรัชญาของโลกหรือปรัชญาการใช้ชีวิต จะทำให้เราเข้าใจและปลงกับบางเรื่องที่เราพบเจอในชีวิตซาลารี่แมน
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องความเท่าเทียมกันของบุคคลในสังคม ทำไมเจ้านายเราถึงโปรดเพื่อนร่วมงานอีกคนมากกว่าเรา ทำไมผู้หญิงถึงมีแนวโน้มชอบผู้ชายรวย เพราะธรรมชาตินั่น only strongest will survive
และด้วยที่เราอ่อนแอ (ทางการเงิน) เราจึงตกเป็นเหยื่อ เป็นทาสคอยหาเงินให้พวกผู้มีอำนาจทางการเงินที่มาปล่อยกู้เรา (บ้าน รถ)
แสรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
พวกมึงจงเอาวันศุกร์ของเหล่าซาลารี่แมนคืนมาาาาาาาาาา TT
แผนกเซลนี่มันแผนกเซลจริงๆ
สหายโม่งเคยเป็นอาการแบบนี้มั้ยว่ะ พอตั้งใจว่าจะทำอะไรได้จริงๆซักอย่าง พอได้มาแล้วจริงๆก็งั้นๆ ไม่มีความตื่นเต้นหรือยินดีที่ได้มาเลย มันก็ต้องหาอะไรที่เป็นเป้าหมายใหม่ๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ ประมาณว่ารู้สึกสนุกตอนขั้นตอนการทำอ่ะ แต่พอได้ผลลัทธ์มาแล้วก็เฉยๆ ใครเป็นแบบนี้มั่งว่ะ นี้จะเรียนโทเพิ่มอีกใบแหละ แม่งเบื่อว่ะ
กุก็เป็น ความสุขคือการพยายามจะได้มาไม่ใช่การได้มาครอง
เหมือนตอนจีบสาวรู้สึกสนุกกว่าตอนเป็นแฟน (ถ้าไม่นับเรื่องบนเตียง)
ปรับเงินเดือนกันยัง ของกูออกมาแล้ว ปรับขึ้นน่าจะไม่เกินห้าร้อยบาทว่ะ 55555555555555555555555555
กูเพิ่งขึ้นตอนปลายปีพร้อมโบนัส เลยคิดว่าคงไม่ปรับอีกยาวๆเลยว่ะ..
รอเดือนเมษา :3
ปรับตอนสิ้นปี ปีล่ะครั้งว่ะ
ขอถามโม่งนิดนึง พอดีว่าสอบสัมภาษณ์ฝึกงานแล้วได้ฝึกตำแหน่งKey Account น่ะ
ต้องเตรียมฝึกอะไรบ้าง หรือมีใครทำหน้าที่นี้อยู่มาระบายสิ่งที่ต้องเจอให้ฟังหน่อย
>>261 ธุรกิจไรละเพื่อนโม่ง แล้วแต่ละบริษัทชื่อตำแหน่งก็ไม่เหมือนกัน
บางบริษัท Account Executive คือดูแลลูกค้า ติดต่อประสานงาน / บางบริษัท AE คือเป็น Sale ที่ต้องออกไปขาย ต้องถือยอด
Key Account ก็อาจจะดูแลลูกค้าหลัก คีย์ๆของบริษัท
กุไม่ได้ว่าเมิงนะ แต่นี่แหละความแตกต่างของเด็กจบใหม่กับคนที่มีประสบการณ์ จะมองอะไรได้ไม่รอบเท่า
สรุป - เมิงกลับมาบอกว่าเมิงขายกุญแจ กุจะหงายเงิบให้
กุไม่ใช่วงการ Logistic แต่ถ้าให้เดาก็คือดูแลลูกค้าที่เป็น Key หลักของบริษัท ก็น่าจะต้องมี
- ศึกษาว่า Product บ.เมิงมีอะไรบ้าง ส่งแบบธรรมดา ส่งแบบเร็ว ราคาคิดยังไง แต่ละแบบแตกต่างกันยังไง
- Flow การทำงานทุกขั้นตอน แต่ละขั้นตอนต้องติดต่อใคร ใครเวลาดำเนินการในขั้นนั้นนานเท่าไร ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง แต่ละเอกสารหน้าตาเป็นไง
- หน่วยงานภายในเมิงมีกี่แผนก ใครดูแลรับผิดชอบส่วนไหน ถ้าเกิดปัญหาในงานเมิง ใครจะช่วยได้ (ปกติก็หัวหน้างานเมิง)
- เตรียมศึกษาประวัติของลูกค้า Key ของเมิง ว่าปกติ ให้ส่งอะไรบ้าง ใช้บริการไหน Contact point คือใคร
- Skill ภาษาอังกฤษ จัดเต็มไปเลยเพื่อใช้ในการ Communication กับลูกค้า
สำคัญที่ อย่ารอให้ใครมาป้อนขวนขวยหน้าความรู้ พวกแรกเป็นเจ้าหนูจำไมไปเลยไม่ต้องกลัวอาย (แต่คิดแล้ว พยายามแล้วค่อยถาม)
Logistic มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆเพราะคนสั่งซื้อของจากต่างประเทศ หรือการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น
บ.กูท่าไม่ค่อยดีเหมือนกัน
ของกูทำส่งออก ถึงบาทอ่อนยังได้เงินเยอะก็จริง แต่ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน
สวัสดีวันพุธ
สวัสดีฤดูร้อน
เพื่อนโม่งครับ ตอนนี้กูกำลังพยายามเลิกบุหรี่อยู่ หยุดดูดมาสามวันแล้ว รู้สึกเสี้ยนมาก เพื่อนโม่งคนไหนรู้วิธีแก้เสี้ยนบุหรี่ช่วยบอกทีจะเป็นพระคุณอย่างสูง
กูไม่เคยสูบบุหรี่ แต่ตอนพี่ชายกูเลิกมันหาอะไรมาเคี้ยวเอาตอนเสี้ยน ตั้งแต่หมากฝรั่งยันลูกอม
มึงลองค่อยๆลดจำนวนก่อนยัง ลดสัปดาห์ละสองมวนเรื่อยๆไรงี้
พออยากก็เอาลูกอมไม่ก็หมากฝรั่งมาเคี้ยวแทนว่ะ
ของแบบนี้มันอยู่ใจ
จริงๆกูแปลกใจนะ ว่าทำไมคราวนี้ไม่ดูดแล้วกูรู้สึกเสี้ยนมาก เพราะปกติกูแอบดูดเฉพาะเวลาทำงาน กลับบ้านกูไม่เคยดูดเพราะเมียกูขอให้เลิกนานแล้ว วันหยุดยาวๆอยู่กับครอบครัวกูไม่ดูดกูก็ไม่เคยเป็นอะไร
แต่สองสามวันที่หักดิบมานี่กูรู้สึกเสี้ยนมาก กระวนกระวายใจสั่น จนเมื่อกี๊ทนไม่ไหวเลยไปขอเพื่อนมาดูดไปตัวนึง ปรากฎว่าไม่หายว่ะ
กูเลยคิดว่าจริงๆแล้วกูไม่ได้เสี้ยนบุหรี่ว่ะ น่าจะเป็นเพราะยาแก้หวัดที่กูกินเข้าไปเมื่อเช้ามากกว่า
เลิกดูดบุหรี่ไปดูบุรุษแทน
ดูดบุรุษ แม่ง ด.เด็กอักเสบ
https://fanboi.ch/lounge/170/recent/ เลยเพื่อน
ซิปแตก เพิ่งรู้ตัวตอนขึ้นรถออกมาทำงานแล้ว วันนี้กูจะใช้ชีวิตยังไงวะเนี่ย
เอาแม็กเย็บซิบไว้ชั่วคราวอยู่
เอาเข็มกลัดกลัดไว้เลย
เอาเชือกรัดเป้าให้แน่น กันซิปแล่นเข้าสู่หัวใจ
ในออฟฟิซไม่มีเข็มกลัด แต่ถึงมีก็เอาไม่อยู่
กูรำคาญไอ้พวกคลั่งชาติ อวยชาติไทยไม่ดูสิ่งรอบข้างว่ะ "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" "ภูมิใจ เกิดเป็นคนไทย คนไทยเก่ง"
แม่งเปิดตาดูโลกมั่งนะว่าตามหลังเขาอยู่กี่สิบปี
ยิ่งไอ้พวกนี้นะ
"คนไทยด้วยกันอะ แบ่งกันหน่อยดิ" "รู้จักประเพณีไทยอันดีงามมั่งสิ". "ไม่พอใจเมืองไทยก็ออกจากไทยไปเลย"
ห่าาาาาาา กูไม่ชอบเอเลเมนท์ไทยๆ ไม่ชอบแนวคิดมักง่ายของคนไทย ไม่ชอบอากาศร้อนของเมืองไทย แต่กูก็คนไทย
ทำไมกูไม่มีสิทธิด่าข้อเสียของประเทศรึไงวะ
แล้วไอ้แนวคิดเรื่องคนไทยต้องแบ่งกันนี่คืออะไรวะ ถ้าเป็นฝรั่ง มึงจะไม่แบ่งเขาว่างั้น?? แต่ถ้าคนไทยไม่แบ่งคนไทยนี่คือเลว???
เรื่องปลูกฝังของแบบนี้ ทำกันมาเป็นสิบๆปีแล้ว จะมาเปลี่ยนกันง่ายๆไม่ได้หรอก
มึงต้องคิดใหม่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มึงหลุดจากกรอบความคิดแบบคนที่มึงกำลังด่าอยู่
แล้วมึงก็จะเจอทางสว่างเองว่าทำไมคนที่มึงด่ามันถึงไม่รู้ตัวซะทีว่าอยู่ใต้อำนาจของค่านิยมคลั่งชาติแบบนี้ได้ยังไง
ปีสองปีให้หลัง กูจะขยะแขยงเวลามีใครมาพูดว่า "คนไทย มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันแก่สังคม" อะไรทำนองนี้
ถามนิดหนึ่ง โม่งในนี้เคยมีใครทำงานพาร์ททามตอนมัธยมบ้าง
ที่ไม่ใช่ทำงานเซเว่นกับเด็กเสิร์ฟ อย่างพวกมาสคอต แจกใบปลิว
หรือพวกรับงานมาทำที่บ้านโดนใช้คอม คีย์ข้อมูล อะไรแบบนี้
ปกติเขาหางานกันจากไหน พวกป้ายที่แปะๆตามเสาตามผนัง
หรือว่าหาจากในเน็ต บางเว็บดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไรไม่กล้าติดต่อไป
>>303 งานพาร์ทไทม์เมืองนี้หายากกว่าเมืองนอกนะ สำหรับเด็กมัธยม
งานลูกจ้างกึ่งๆจะมีไว้ให้คนตกงานหรือคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ สังคมงานพาร์ทไทม์เลยจะเห็นแต่พวกที่ไม่ได้เป็นนักเรียนไปทำ ส่วนเวลาว่างของนักเรียนมัธยมประเทศไทยส่วนใหญ่จะให้เอาไปเรียนกวดวิชาแทน
ยิ่งงานใส่ชุดมาสคอตโปรโมทร้านนี่กูแทบไม่เห็นเลยเหอะ เลยคิดว่าไม่น่ามีให้ทำง่ายๆ
ส่วนงานแจกใบปลิว ก็เห็นแต่ป้าๆไม่ก็เจ๊หน้าบูดยืนแจกแบบให้เสร็จๆไป ไม่เคยเห็นเด็กมัธยมมาแจกเล้ย (ถ้าเป็นเด็กน่ารักๆแจกกูจะช่วยรับเยอะๆ)
สมัยมัธยม เคยไปทำงานเฝ้าร้านเกมส์ว่ะ
>>299 ไม่ชอบพวกคลั่งชาติเกินไป แต่เกลียดพวกเหยียดชาติตัวเองมากกว่าว่ะ
ไอ้พวกที่เวลามีเรื่องเหี้ยๆทีไรก็ชอบโพสต์ Thailand Only
เคยออกไปดูโลกภายนอกบ้างมั้ย ไอ้เรื่องเหี้ยๆมันก็มีกันทุกประเทศแหละ มีมากมีน้อย
ของไทยกุว่ากลางๆ ที่ดีกว่าเรามีเยอะ แต่ที่แย่กว่าเราก็ยิ่งเยอะกว่า
โม่งใหม่จริงด้วย
ผู้หญิงในเว็บโม่ง ปกติไม่คะค่ะกันหรอก
ไปดูกระทู้สวนฟุได้ เถื่อนสัส
ปัญหารัสเซียยูเครนมันจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยแค่ไหนวะ
กูเห็นวันสตรีสากล(8มีนา) ก็ยังสั่งดอกไม้กันโครมๆอยู่นะ รัสเซีย
>>299 กุว่าเมิงเหมารวมเกินไป เท่าที่กุอ่านเมิงนั่นแหละเป็นพวกแอนตี้ชาติไทยเลย
คนที่พูดว่า "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" มันพยายามแสดงว่าไทยเราก็มีดี ซึ่งไอ้คนที่พูแบบนี้นะคือแม่งรู้จักประเทศอื่นดี แล้วกุว่าแม่งรู้มากกว่าตัวเมิงอีกแต่เพราะรู้ดีก็เลยพยายามนำเสนอว่าไทยก็ยังมีดี จะมีประโยชน์อะไรที่จะบอกแค่ว่าไทยห่วยโน่น ไทยห่วยนี่ ซึ่งถึงแม้ว่าตัวเมิงเองอาจไม่ได้ภูมิใจว่าตัวเองเป็นไทย แต่พอเมิงอยู่เมิงนอกเค้าก็มองว่าเมิงเป็นไทยอยู่ดี
ซึ่งต่างจากพวกที่พูด "คนไทยด้วยกันอะ แบ่งกันหน่อยดิ" "รู้จักประเพณีไทยอันดีงามมั่งสิ". "ไม่พอใจเมืองไทยก็ออกจากไทยไปเลย"
พวกนี้มักเป็นพวกที่หาประโยชน์โดยอ้างความเป็นไทยหรือเป็นการแดกดันไปเลย คือ แม่งคงคิดว่าเมิงแม่งตรรกะหลุดโลกคุยไปก็เสียเวลาก็ไล่เมิงไปเลยละกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้นกุก็ไม่ได้ชอบพวกคนตัวอย่างที่เมิงยกมาแต่กุอ่านแล้วก็ เฉยๆ เพราะกุเข้าใจ ส่วนตัวเมิงกุเดาว่าเมิงยังเด็กยังไม่เข้าใจว่าทำไมคนเท่านั้นถึงแสดงออกอย่างนั้น
กุยกตัวอย่างถ้าเมิงมี ลูกเมิงบอกว่า "อยากเลิกเป็นคนไทย" ตัวเมิงเองคงเฉยๆเพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับไทยหรือไม่ไทยแถมอาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ
แต่ถ้าลูกเมิงบอกว่า "อยากเลิกเป็นคน จะไปคุ้ยหาขยะกินอย่างหมา" เมิงก็คงพูดทำนองเดียวกันว่า รู้จักความดีของคนบ้างสิ โดยเมิงจะยกตัวอย่าง 100 อย่าง 1000 อย่าง แล้วลูกเมิงก็ยังเถียงว่าดูสิ คนแม่งมีแต่เรื่องแบ่งแยก โกงกิน เป็นหมาอยู่กินดีกว่าตั้งเยอะ ต่อมาเพื่อนเมิงมาเจอก็พยายามบอกแล้วว่าเป็นคนดีอย่างโน่น อย่างนี้ ด้วยความห่วงไยแต่ก็ยังไม่ฟังอีก สุดท้ายก็อาจมีคำว่า "ถ้าไม่พอใจเป็นคน ก็ไปเป็นหมาเลยไป" เหมือนกัน
>>313 มึงมาจีบอะไรกันในนี้!!!!!!
>>314 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1394154143&grpid=03&catid=06&subcatid=0600 ไครเมียยอมไปอยู่ใต้รัสเซียแหละ มึงรอดูกันต่อไปว่ายูเครนจะเอายังไงต่อ เพราะเป็นศัตรูกับปูตินแม่มมีแต่เสียกับเสียเพราะโอบาม่าตอนนี้ก็จะเข้ามาช่วย!? แต่ติดตรงไม่อยากมีเรื่องกับปูตินนี้แหละ
ไหนๆก็คุยกันถึงเรื่องการเมืองแล้ว มีใครเคยเอารูปยิ่งลักษณ์มาว่าวมั่งป่ะ?
อารมณ์กูรู้สึกประมาณเดียวกับครอบครัวใหญ่ที่ลูกไปชนะการประกวด
แล้วเจือกมีอีญาติผู้ใหญ่ที่ไหนไม่รู้เอาไปโม้โพนทะนาสามบ้านแปดบ้านว่าคนรู้จักกูทั้งที่เด็กมันไม่ได้รู้จักแม่งด้วยซ้ำว่ะ
คือไม่เกี่ยวกับความเป็นไทยเหี้ยไรเลย ประเด็นของกูคือกูไม่ชอบการที่ตอนเขาพยายามนี่ไม่เห็นหัว
แต่พอชนะทีล่ะคนชาติเดียวกันที่ไหนไม่รู้เสือกมาเอาหน้ากันใหญ่งี้ (กรณีนี้ต่างกับตอนเชียร์กีฬานะเพราะอย่างน้อยก็ติดตามกันเรื่อยๆ)
นึกถึงตอนกูติดตัวจริงระดับเขต ตอนกูลาไม่ซ้อมแข่งแม่งตาเขียวปั๊ด
พอกูชนะทีนี่พาขึ้นหน้าเสาธงพูดเหมือนสนับสนุนกูเต็มที่ โรงเรียนสระว่ายน้ำยังไม่มีด้วยซ้ำ ถุย
>>319 ลักษณะการตอบนี่บ่งบอกได้ชัดว่ายังเป็นเด็ก เห่อหมอย ที่พยายามทำตัวให้ดูสูงส่งขึ้นโดยกดเยียบชาติตัวเอง
กุจะ 35 ละ บอกเลยกุไม่เคยภูมิใจเรื่องความเป็นไทยใดๆเลย แต่กลับกันกุก้ไม่เคยต้องมาเหยียดว่าอะไรๆก็ต้องไทย
เรื่องคนจะมายกย่องหรือไม่มันอยู่ที่ตัว "บุคคล" ไม่ใช่เชื้อชาติ การที่มาแสดงออกทำนองต่อต้านว่าการทำแบบไทยมันไม่ดี นู่น นี่ นั่น แม่งโครตไร้สาระ หาเรื่องให้คนมาสนใจตัวเอง (คงเพราะตัวเองไม่มีไรดีให้คนมายกย่องเมิงสินะ)
ถ้าเมิงมีเวลาว่างนะ เอาเวลาไปทำตัวให้ดีให้คนเข้ามายกย่องในสิ่งที่เมิงทำดีกว่ามาเสียเวลา Judge สิ่งอื่นๆเลยว่ะ แม่งโครตสิ้นคิด
>>322 มันเกี่ยวเหี้ยอะไรกับกดเหยียบชนชาติตัวเองดพื่อให้ตัวเองสูงขึ้นวะ กูก็บอกอยู่ว่ากูก็คนไทย แต่เรื่องไม่ดีของไทยกูไม่มีสิทธิบ่น? แล้วมึงเอาอายุตัวเองข่มนี่ไม่พยายามยกตัวเองให้สูงเลยเนอะlol
กูมาบ่นเพราะกูรำคาญคนรอบข้างกูที่แม่งอวยไทยไม่ดูความเป็นจริงก็เหมือนที่พวกมึงนินทาเมียนินทาเจ้านาย
มึงไม่เคยเห็นจริงๆเหรอ ไอ้พวกที่เวลาอะไรบางอย่างของไทยติดtopหน่อยแล้วบอกว่าแม่งเจ๋งแม่งเก่ง ทั้งๆที่แม่งเป็นแค่รางวัลอะไรไม่รู้โนเนมธรรมดา หรือบางทีเวลาต่างประเทศเอาของไทยไปวิจัยแล้วบอกผลว่าดีจริง แม่งก็ชอบออกมาพูดกันว่า ดูสิฝรั่งมันเพิ่งรู้ พวกกูภูมิปัญญาไทยคนโบราณเก่งจะตายใช้กันมาเป็นสิบปีแล้ววววว ราวกับพวกคลั่งศาสนาที่ชอบทำตัวเป็นปรปักษ์กับวิทยาศาสตร์ พอวิทยาศาสตร์ค้นพบอะไรบางอย่างแม่งก็จะเอามาเปรีบบเทียบว่าพระพุทธเจ้ากูรู้ก่อนพวกมึงอีก อะไรราวๆนั้นเลย...
ส่วนไอ้ประโยค"ไม่ชอบชาติไทยก็ออกจากประเทศไทยไปเลย" นี่ไม่ต้องผ่านการอธิบายข้อดีข้อเสียคนไทยเหมือนพ่อสอนลูกก่อนหรอก แค่กูเอ่ยปากข้อเสียของไทยมาอย่างนึง ไอ้ประโยคนี้มันก็ออกมาก่อนแล้ว
หลังๆกระทู้ซารารี่มังสีเทาๆนี่ร้อนแรงขึ้นเยอะเลยว่ะกูชอบ ตั้งแต่มนุษย์เงินเดือนกู้โลกละ555
ควยคนอื่นเห็นขนาดเท่าภูเขา ควยของเราเห็นขนาดเท่ารูเข็ม
ควยกูใหญ่กว่าภูเขานะเว้ย!
http://i.imgur.com/PKPmGdL.jpg
โทษๆ อันนี้ความผิดกูเอง พอดีเห็นสาวนิวยอร์กน่ารักเลยเกิดอารมณ์ แล้วก็เผลอหมุนตัวมองตาม
โอบาม่าอย่าตามตัวกูน๊ะ ;_;
งั้นเอาก๊อดซิล่าเป็นเมียง่ายกว่ามั้ย
>>324
ไอ้ที่ด่าๆส่วนใหญ่ กูมองว่าเป็นแค่พวกเห่อหม่อย คิดว่ากูแน่ในกะลาแคบๆ ที่ไม่เคยเห็นโลกว่ะ
เหมือนพวกเด็กอีโม&จูนิเบียว ที่คือว่ากูเป็นเหยื่อที่น่าสงสารของสังคมที่เลวร้าย
แต่ไม่เคยคิดจะทำให้อะไรให้ดีขึ้น ซักแต่ด่า ให้ตัวเองดูดีดูฉลาด
ตัวอย่างแบบที่กระแสร้อนตัว don't thai นั้นเป็นอะไรที่ดีว่าสติในการรับสารยังไม่มีเลย ได้ยินห่าอะไรมากูขอด่าก่อน
>>335 มึงนี่ตัวอย่างที่ดีของควยคนอื่นเห็นขนาดเท่าภูเขา ควยของเราเห็นขนาดเท่ารูเข็มเลยนะ
ตัดสินเองเสร็จสรรพ เหยื่อน่าสงสารของสังคมเลวร้าย ไม่เคยทำอะไรให้ดีขึ้นอะไรมโนสเตตัสให้เสร็จเรียบร้อยเลย
นี่ก็เป็นอีก1เหตุผลที่กูเบื่อพวกชาตินิยม ด่าอะไรไทยสุดที่รักมันไม่ได้เล้ยย
ถ้าจะบอกว่าใครอยู่ในกะลามึงน่าจะไปบอกพวกชาตินิยมเอาแต่อวยกันเองในสังคมไม่เปิดหูเปิดตาดูความจริงมากกว่านะ
คนเราเกิดมาคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว มึงจะ fanboi ชาติ fanboi ศาสนา มึงควรทำแต่พอประมาณครับ
ถ้าคนอื่นมันเฮงซวยแล้วเราต้องเฮงซวยตาม มึงนั่นแหละคือโคตรพ่อเฮงซวย
กูยังไม่เคยเห็นคนชาตินิยมจริงๆสักคน มีแต่คนที่สักแต่อวยก็อวยตามกระแส ด่าก็ด่าตามกระแส
น่าส่งให้อีจ่าเขียนดราม่าว่ะ แจ้งเกิดเว็บไปด้วย ฮุฮิ♥
อิงได้แต่มันไม่เขียน
ไม่มีตัวตนให้คนไปรุมด่าแบบนี้จ่ามันจะเขียนไปทำใม
กากจ่า
ไม่ต้องเลยกูรำคาญอิจ่า ไปที่ไหนแม่งวุ่นวายที่นั่น
กูอยากเห็นเว็บโดนปาขี้
ซาลาลี่มังไปไหนหมดว่ะ วันหยุดที่รอคอยมาถึงแล้วนะเว้ย
กูโดนหัวหน้าเรียกประชุมด่วนว่ะ ฟรัคเย้ห์
สหายโม่งเคยเป็นแบบนี้มั่งม่ะ คือตื่นเช้าจนชินแล้ววันเสาร์อาทิตย์กะตื่นสาย มันก็ตื่นเวลาเดิม ประเด็นคืออยากลองตื่นซัก8-9โมงบ้าง นี้แม่ม6โมงตื่นเฉยเลยจะนอนต่อก็ไม่หลับ ชีวิตนี้ตื่นสายไม่เป็นแล้วซินะ Orz
มึงก็นอนดึก ๆ
แต่ไม่ดีหรอก เป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว
นอนสักตี4ตี5อ่ะ เดี๋ยวไบโอคล็อครีเซ็ทเอง
อยากไปทำงานว่ะ วันหยุดไม่มีเหี้ยไรทำอยู่บ้านแล้วเบื่อถึงเบื่อมาก นิยาย เกม การ์ตูนก็อ่านก็อะไรไปหมดแล้ว
อาหารก็ไม่มีรมจะแดกเท่าไร วันหยุดแบบนี้ทำอะไรกันบ้างว่ะ กูจะเฉาตายอยู่แล้วอยากมีเมียมากอดมาคุยจัง
ต่อโมเดล
รอซีรี่ซับไทย.....เบื่อชิบหายเลย แต่ก็ยังดีกว่าไปทำงานละวะ
>>355 ถ้านายได้ทำงานวันเสาร์จะไม่พูดแบบนี้ว่ะ เคยทำงานที่เก่าแล้วให้มาทำวันเสาร์ด้วย วันอาทิตย์ได้พักวันเดียว ทำงานบ้านก็หมดไปครึ่งวันแหละ นอนพักแปปๆวันจันทร์ก็อีก ไม่ได้ออกไปไหนเลย เที่ยวไม่ต้องพูด เชื่อเถอะหยุดเสาร์อาทิตย์แจ่มสุดแล้ว อยากทำอะไรก็หาอาชีพเสริมเอาดีกว่า
กูอยากลาออกไปเรียนมหาลัยชิบเป้ง
ชีวิตมัธยมกูจบไม่สวย มหาลัยก็ไม่ได้ไปเรียน สอบอย่างเดียว
อยากลองมีชีวิตเฟรชชี่ตอนอายุ 27 จัง
>>361 ชีวิตสมัยมหาลัยกูเหนื่อยชิบเป๋ง คณะกูงานเยอะเหี้ยๆ เหี้ยมาก เหี้ยมากๆ
ยิ่งชีวิตปี1นี่อย่าหวังจะได้สนุกกับการเป็นเฟรชชี่ เที่ยงโดนว๊าก ให้เวลาแดกข้าว5นาที เช้าเรียน8โมง เย็นเลิก5โมง มีกิจกรรมส้นตรีนต่อ ไม่มาโดนด่า กว่าจะได้กลับบ้านแม่งล่อไป2ทุ่มup แล้วงานก็สั่งทุกวัน จะเอาเวลาไหนทำานล่ะ? เวลานอนไงมึง เวลานอนอะ! สาวๆจากสวยๆน่ารักๆที่จบม.6มานะ มาอยู่นี้หน้าโคตรโทรมเหมือนโดนrapeทั้งคืน พวกผู้ชายนี่ไม่ต้องพูดถึงหน้าอย่างกับโจร
พอกลางเเทอมคะแนนเริ่มออก มีคนซิ่วออกไปบาน เพราะทนไม่ไหวงานเยอะ+เกรดเหี้ยมาก
กูบอกเลยว่าชีวิตกูตอนนั้นเทียบกับสมัยม.ปลาย สมัยม.ปลายกูมีความสุขกว่ามากๆ
กูเคยเจอแบบนั้น แล้วกูก็ซิ่วไป ไปเริ่มเรียนที่ใหม่มีบทเรียนแล้วกูก็ไม่ยุ่งกับกิจกรรมคลั่งซีเนียริตี้เหี้ยห่าอะไรพวกนั้นอีกเลย
เกรดดีสมใจอยาก จบคณะดีกว่าเดิม
แต่สุดท้ายกูก็ไม่ได้ทำงานตรงสายที่เรียนมา ไม่ได้ใช้เกรดสมัครงาน ไม่เคยยื่นทรานสคริปต์ให้ใครดู...
>>363 เอาจริงๆคณะกูต่อให้ไม่ยุ่งกับกิจกรรมเลยแม่งก็เหนื่อยอยู่ดีว่ะ กูนี่โดดไปซะเยอะ เข้าแต่อันที่จำเป็น
แต่แม่งกูค้นพบว่าชีวิตกูไม่ค่อยมีเวลาว่างเลยในขณะที่ไอ้เพื่อนคณะอื่นของกูนี่เที่ยวเอากินเลี้ยงเอา แต่กูนี่นั่งทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างกับจะทำทีสิสส่งทุกวันอะ พอปี2ปี3ค่อยดีขึ้นมาหน่อย....เพราะชิน....(งานก็ไม่ได้น้อยลงหรอก)
กูเลยฝังใจกับไอ้ชีวิตมหาลัยมาก เวลาเห็นคนมาอวยว่าชีวิตมหาลัยสนุกอย่างโง้นอย่างงี้ หรือ เวลาเห็นไอ้พวกเด็กทำตาเป็นประกายแล้วฝันหวานถึงชีวิตเฟรชชี่ จะได้จีบสาวแล้วโว้ย จะได้เที่ยวเล่นแล้วโว้ย กูจะรู้สึกไม่สบอารมณ์เลย เพราะกูคิดว่าชีวิตพวกมันที่อยู่มัธยมอะสบายสุดแล้ว สามารถเที่ยวเล่น/จีบสาว/อิสระ ได้อย่างที่มันต้องการเลย... ซึ่งกูไม่ได้หลังเข้ามหาลัยมา แต่ก็ไม่เสียใจนะที่เรียนที่นั่นมา เพราะก็นับว่าเป็นสถาบันที่ดีอันดับต้นๆในสายที่เรียนแล้ว
>355 ไปฟิตเนสดิ
>>362
กูทำกิจกรรมตอนมัธยมปลายไปแล้วแบบสุดๆ เชียร์เชอก็ทำ เหนื่อยสุด ซ้อมเต้นแม่งทุกเย็น เสาร์อาทิตย์ก็ซ้อม จนนับถือพวกเป็นเชียร์ทุกปีเลย ฟิตสุดๆ
พอมหาลัยรับน้องมีว๊งมีว๊าก กูเลยไม่เข้าเลย ไม่สนใจ ก็ช่างหัวแม่ง
จบมาไม่เห็นมีรุ่นพี่มามีปัญหาซักคน นั่งเล่นเกมอ่านการ์ตูนเหมือนๆกันทั้งแก๊งนึง
ไปๆมาๆ ม. ปลาย กูว่าสบายสุดล่ะ ถ้าไม่เน้นสอบเข้านะ
กูรู้สึกไม่ค่อยต่างเท่าไหร่ว่ะ ม.ปลายก็ทำงานไปเรียนไป มหาลัยก็ทำงานไปเรียนไป จบมาก็ทำงานไปทำงานไป เหนื่อยเหมือนๆกัน แต่ม.ปลายมันบังคับก็ได้อยู่กับเพื่อนๆมากกว่า
สรุปม.ปลายดีสุด
มีใครตามข่าวเครื่องบินมาเลย์หายมั่ง
กูว่าช่วงมอปลายแม่งก็สนุกนะแต่ยังไม่เต็มที่เท่าไหร่สำหรับกู(กูอาจจะบ้าเรียนเกินไปมั้ง) แต่เข้ามหาลัยมาแม่งแย่กว่าเก่า มาวันแรกก็โดนว๊ากละ การบ้านก็เยอะชิบหายรุ่นพี่ยังสั่งงานเพิ่มอีก กลายเป็นงานเยอะเหี้ยๆ ไม่ทำงานมหาลัยก็ไม่ได้เพราะแม่งเกี่ยวเนื่องกับคะแนนแต่ก็ต้องเจียดเวลามาทำงานที่รุ่นพี่สั่งอีก ถ้าไม่ทำก็โดนเอาไปว๊ากในห้องเชียร์โดนลงโทษเหี้ยไรไม่รู้เยอะแยะ แล้วกูไม่กล้าขัดไง(ไม่อยากมีปัญหา ไม่อยากถูกทิ้ง สาขากูมีคนที่ไม่เอารุ่นแม่งโดนปฎิบัติจากคนรอบข้างไม่ดีเพื่อนก็ไม่คบ ถ้าไม่เก่งจิงแบบไม่ต้องพึ่งใครแม่งอยู่ลำบากชิบหาย)สุดท้ายแม่งก็ต้องนั่งอดตาหลับขับตานอนทำงานทั้งของมหาลัยและรุ่นพี่ หน้างี้อีเหี้ยยังกะซอมบี้ลืมหลุม คะแนนก็เหี้ยมาเลยจ้าแถมสาขากูแม่งรับน้องกันทั้งเทอม ก็คิดดูเอาเทอมนึงที่ใช้ชีวิตแบบนักโทษ จะแต่งตัวตามใจก็ไม่ได้ต้องแต่งตามที่รุ่นพี่บังคับ(แล้วแต่งตัวแบบนี้โครตวุ่นวายเลย สัด)
กูอยากมีชีวิตเฟรชชี่ในฝันมั่งว่ะ แบบเข้าปีหนึ่งมามีกิจกรรมของคณะที่ทำให้คนรู้จักกันเป็นปาร์ตี้เหี้ยไรก็ได้ซักวัน เอาแบบไม่ต้องเข้าห้องเชียร์ไม่ต้องทำงานรุ่นพี่ คนที่เป็นรุ่นพี่ก็มาคอยแนะนำชีวิตในรั้วมหาลัย แนะนำชมรม กิจกรรม บลาๆ(ขอบอกว่ามหาลัยกูชมรมเยอะมาก แต่ทั้งเทอมกูไม่เคยรู้เลยว่ามีชมรมด้วยเพราะไม่มีใครเคยพูดถึง กูไปเจอใบปลิวเองถึงได้รู้พอไปถามพวกรุ่นพี่บางคนแม่งยังไม่รู้เลยว่ามหาลัยมีชมรม) หาเรื่องสนุกๆทำกัน ทำตัวแบบปัญญาชนหน่อย จับกลุ่มกันติวหนังสือ จับกลุ่มกันเล่นกีฬา จัดปาร์ตี้กันและทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน กูอยู่มาจนจบปี4ละ ยังไม่เจออะไรแบบนั้นเลย กูว่าพอมีการว๊ากแม่งทำให้รุ่นน้องกลัวไม่กล้าเข้าไปคุยด้วยหรือรุ่นน้องเกลียด สุดท้ายถ้าเป็นคนพูดน้อยๆไม่ค่อยเข้าสังคมแม่งก็จะไม่รู้จักใครเลยเพราะไม่เคยมีกิจกรรมที่ทำให้คนรู้จักกัน เจอกันก็แต่พวกพี่ว๊ากขาโหดเท่านั้นอ่ะ เสียดายชีวิตเฟรชชี่ชิบหาย
เห็นหลายคนบอกว่าม.ปลายสนุกกว่ามหาลัย แต่ของกูตรงกันข้ามแฮะ
ตอนม.ปลายดัย้ายที่จากม.ต้นต่างจังหวัดเพื่อไปสอบเข้าเตรียมแต่ไม่ติด แล้วดันหาที่อื่นเข้าไม่ได้จนถึงช่วงก่อนเปิดเทอมนิดนึง แต่สายอื่นๆก็คนเต็มบ้างอะไรบ้างจนโดนโยนไปห้องที่เหมือนรวมพวกเด็กเวรที่ไปสายอื่นไม่รอด อาจารย์ก็มองเหมือนเป็นพวกเหลือขอ เป็นช่วงเวลาเรียนที่โคตรเลวร้ายสำหรับกูเลย
พอเข้ามหาลัยได้เรียนในสายที่ชอบและถนัด เรื่องว้ากไม่มีเพราะคณะผู้หญิงเยอะ(แต่ก็มีเข้าเชียร์ล่ะนะ) เลยมีเวลาเฮฮากับเพื่อนฝูงกับลงกิจกรรมได้เต็มที่ อาจจะมีเกรดไม่สวยบ้างในวิชาบังคับที่ไม่ถูกใจ เป็น5ปี(ไปตกวิชาบังคับนอกเอกตัวนึง...)ที่รู้สึกว่าคุ้มค่าชิบหาย
>>373
ห้องรวมเด็กเวร ม.ปลาย โรงเรียนเรานี่เหี้ยจริงอะไรจริง
ถ้าอยู่ห้องแบบนั้น แม่งไม่น่าเหลือเหี้ยอะไรดีๆใน ม.ปลาย แล้ว ยิ่งไม่เพื่อนจากชั้นเก่าๆด้วย เพราะมาเข้าโรงเรียนใหม่ด้วยเนี่ย นรกชัดๆ
ให้ความเลวร้ายของเรียนห้องกุ๊ย 3 ปี กับโดนว๊ากพ่องตายของมหาลัย เท่ากันนะ
ถ้ามีชมรมก็ยังพอจะหนีไปหาเพื่อนฝูงใหม่ได้
ตอน ม.ปลายกูก็อยู่ห้องกุ๊ยนะ เข้ามาใหม่ไม่มีเพื่อนด้วย
เลยโดนไอ้พวกเชี่ยในห้องแม่งโขกสับอยู่ร่วมปี ช่วงที่หนักๆนี่กูต้องไปแอบอยู่ที่ห้องสมุดหาอะไรทำคนเดียวเพื่อหนีพวกแม่ง
แต่ตลกอย่างนึงคือสุดท้ายพวกที่กูสนิทที่สุดตอนอยู่ ม.ปลากก็คือพวกเชี่ยนั่นน่ะแหละ ถึงพอขึ้นมหาลัยแล้วกูก็เลิกติดต่อกับพวกแม่งไปเลยก็เถอะ
กูเป็นอีกคนที่ชอบมหาลัยมากกว่าม.ปลายนะ
รู้สึกมันอิสระมากกว่า ถึงคณะที่กูเรียนจะไม่ค่อยให้อิสระเด็กแต่กูว่าก็ยังดีกว่าตอน ม.ปลาย
ได้เรียนในสายที่ตัวเองชอบ ถึงจะไม่ได้ชอบทุกวิชาที่เรียนก็เหอะ
ที่สำคัญกูกลับชอบเพื่อนมหาลัยมากกว่าเพื่อนม.ปลายหลายเท่า
เพื่อนม.ปลายกูมันยังไงๆไม่รู้ว่ะ มีพวกเหี้ยๆเยอะมาก แต่ถึงเวลาเรียนจบทำมาเป็นร้องห่มร้องไห้ขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับกู นึกถึงแล้วขยะแขยงชิบหาย
เพื่อนดีๆที่พอสนิทหน่อยเรียนจบมันก็ไม่ได้อยากจะเจอกันเท่าไหร่ สุดท้ายก็ขาดการติดต่อกันไปเลย
แต่เพื่อนมหาลัยถึงหลายคนบางทีมันเหมือนเริ่มเข้าหากูเพราะอยากได้คนช่วยเรื่องเรียน แต่สุดท้ายถึงกูไม่มีอะไรจะให้ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้
รู้สึกคบกับพวกนี้แล้วสนิทใจมากกว่า ทุกวันนี้เรียนจบแล้วก็ยังติดต่อหากันอยู่ไม่ได้ตัดขาดจากกันไป
กู >>361นะ
ม. ปลายกูแบบพวกมึงหลายคนเลย คือตกไปอยู่ห้องท้าย
แต่สถานการณ์กู คือมาจาก ม.ต้น ห้อง 1
คงไม่ต้องบอกว่าสถานการณ์เลวร้ายขนาดไหน
แต่ไม่รู้ว่าดีหรือแย่กว่า ที่กูปรับตัวได้ หลายเป็นหัวโจกไป
สุดท้ายกูก็มีเรื่องจนไปจบ ม.ปลาย กศน. แล้วทำงานทำการนั่นล่ะ
ตอนนี้ประสบความสำเร็จระดับนึง แต่สายงานกูไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลงตามการเมือง
วันนึงกูเห็นข่าวบัวขาวเป็นเฟรชชี่ตอนอายุ 31 เลยเกิดความคิดขึ้นมา
พอดีมีเงินเก็บทีทรัพย์สินก้อนนึง กูเลยคิดว่า สักสี่ห้าปี ไปเรียนอะไรที่อยากเรียน ทำอะไรที่อยากทำ แล้วหาทางเริ่มใหม่ในสายงานอื่นที่สบายใจกว่า น่าจะดีกว่าว่ะ
ยังมีเวลาคิดอีกพัก กว่าจะหมดเวลารับสมัครเรียน ยังอีกหลายเดือน
เรื่องที่กังวลอยู่คือกูทิ้งสกิลด้านนั้นหมดแล้วตั้งแต่ทำงาน ไปเรียนกับเด็กรุ่นน้อง 10 ผีโดยเริ่มจาก 0 เลยทีเดียว
แต่ดีอย่างตรง อายุขนาดนี้แล้ว คงไม่มีรุ่นพี่กล้ากดขี่
>>377
สมัยกูเรียนมหาลัยก็มีอยู่ปีละคนสองคนนะที่อายุยี่สิบปลายๆมาเป็นเฟรชชี่ กูก็เห็นว่าเข้ากับพวกปีเดียวกันได้ไม่มีปัญหา
แต่พวกนี้เวลามีงานกลุ่มหรือกิจกรรมจะลำบากนิดนึงเพราะจะถูกขอให้ช่วยเยอะหรือเป็นคนนำด้วยวัยวุฒิและวุฒิภาวะที่สูงกว่าเด็กอื่นๆ(บางทีอาจารย์ก็ขอให้ช่วยเหมือนกัน)
ถ้าเป็นพวกขี้รำคาญหรือไม่ชอบสุงสิงกับคนอาจจะอยู่ลำบากหน่อย
>>376 เพื่อนมหาลัยกูไม่ดีว่ะ ที่ดีๆของกูนี่เป็นเพื่อนสมัยประถม มหาลัยห้องกูแม่งบางคนโครตตัวร้ายเลย หน้าไหว้หลังหลอกบ้าง วางแผนเอาเปรียบชาวบ้านบ้าง กั๊กงานที่จานสั่งไม่ยอมบอกเพื่อนมาบอกเอาวันสุดท้ายบ้าง จานให้แนวข้อสอบมาบอกเพื่อนแม่งก็ไม่บอกบ้างหายหัวเวลาทำงานกลุ่มแต่รับหน้าเวลาได้คะแนน กดขี่คนอื่นบ้าง ใช้กำลังก็มี ใช้คำพูดคุกคามก็มี โยนความผิดให้คนอื่นหน้าด้านๆก็มี โกหกตอแหลปลิ้นปล้อนหลอกลวงมากมายอีกเหลือจะกล่าว หาที่ไว้ใจได้ยากมาก พูดกะกูอย่างนึงพูดกะอีกคนอย่างนึง เลวชิบหาย จากตอนแรกมีเพื่อนเป็นสิบเหลือไว้ใจได้ไม่กี่คนเอง
>>379 กู >>376 นะ
เพื่อนเหี้ยๆสมัยมัธยมของกูนี่ก็มีแบบที่มึงว่าหมดเลยแหละ
จริงๆเพื่อนมหาลัยแบบที่ว่ามาก็มีเกือบหมดนะ ยกเว้นพวกข่มขู่ใช้กำลังนี่แหละ ถ้ามีก็คงเกิดกับคนที่ไกลตัวกูมากจนกูไม่รู้เรื่องเลย
ส่วนกั๊กงานหรือแนวข้อสอบที่อาจารย์บอกมันมีคนคิดจะทำอยู่แต่ทำไม่ได้ เพราะเวลาสั่งงาน/บอกแนวข้อสอบจะผ่านระบบ e-learning หรือ facebook ตลอด ทุกคนเลยเข้าถึงได้เท่าๆกัน ถ้าบอกแค่บางเซคข่าวมันจะไปไวมากจนยังไงก็ต้องรู้เหมือนกันหมด
อีกส่วนอาจจะเพราะกูเจอเพื่อนเหี้ยๆมัธยมมาแล้วเลยเริ่มมีภูมิคุ้มกัน+พอรู้ทางมันบ้าง
บวกกับพอกูได้เรียนในสายที่กูถนัดถึงจะไม่ได้เก่งเทพไปหมด แต่กูก็อยู่ในฐานะที่ต้องพึ่งพาคนอื่นน้อยลงมาก
แต่ถึงอย่างงั้นก็เคยพลาดท่านะ มีเพื่อนที่สนิทมากคนนึงกว่าจะตาสว่างเห็นว่าแม่งโคตรเหี้ย หน้าไว้หลังหลอก หลอกใช้ชาวบ้าน ทำดีเอาหน้า ชอบโยนความผิดให้คนอื่น ดีแต่พ่นคำพูดสวยหรูให้ตัวเองดูดีก็คบกับแม่งมาเกือบจะ 2 ปีเข้าไปแล้ว
ส่วนคนอื่นๆที่เหี้ยๆที่มาสร้างปัญหาให้กูส่วนมากก็ไม่ได้ถึงกับสนิทกัน ส่วนมาก็ดีแต่เห่าหรือเอากูไปนินทาลับหลังในกลุ่มพวกมันซึ่งกูก็ไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่อยู่แล้ว
ที่เจอเยอะๆอีกพวกคือไม่โดนเองกับตัวแต่เพื่อนกูโดนมากกว่า ซึ่งถ้าปัญหาที่โดนทิ้งไว้ให้ไม่ได้ใหญ่โตมากมายกูพอจะช่วยได้ก็ช่วยกันไป
พอพิมพ์ไปพิมพ์มาถึงเริ่มนึกได้ว่าเพื่อนมหาลัยเหี้ยๆก็เยอะนี่หว่า แค่ไม่ได้มาสร้างปัญหาให้กูโดยตรงเฉยๆเลยไม่ได้รู้สึกแค้นมากเฉยๆ
แต่ถ้านับเพื่อนสนิทที่คบกันมาตลอดรอดฝั่งแล้วรู้สึกชอบมากกว่าเพื่อนสนิทสมัยมัธยมนะ
แบบรู้สึกผูกพันมากกว่าเหมือนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันมากมายทั้งที่แค่ 4 ปี ให้ความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนที่อยากจะคบกันไปนานๆ
ในขณะที่ รร.มัธยมกูนี่มันเรียนกันยาวตั้งแต่ม.ต้นยันม.ปลายตั้ง 6 ปี แต่พอเรียนจบก็แยกกันไป ไม่ได้รู้สึกผูกพัน อยากเจอหน้าหรืออะไรเลย
>>380 กู >>379 นะ
เฮ้ย ชีวิตมึงแม่งเหมือนของกูเลยเว้ย กูก็เคยมีเพื่อนสนิทคนนึงเหมือนกันนิสัยแบบเดียวกะที่มึงว่ามาเป๊ะ กูก็คบมันมาประมาณ 2ปีเหมือนกัน ปัจจุบันกูเลิกคบไปแล้วโครตเกลียดแม่ง เรื่องพูดจาสวยหรูให้ดูดีนี่ใช่เลย พอเรื่องที่มันหลอกใช้คนอื่นแดงขึ้นมามันก็รีบโยนความผิดให้เพื่อนอีกคนเลยเว้ยแล้วก็มีหน้ามาทวงบุญคุณอีก กูล่ะหงุดหงิดหน้ามันยังไม่อยากจะมองเลย เฮ้อ ไม่รู้เคยเป็นเพื่อนกันได้ไง ก่อนหน้านั้นกูคิดว่ามันเป็นคนดีมากเลย ไว้ใจทุกอย่างพอความแตกก็นะ กูรู้สึกแบบโดนหักหลังอย่างแรง หลังจากนั้นกูก็ไม่ไว้ใจใครเลยนอกจากเพื่อนที่ผ่านเรื่องพวกนี้มาด้วยกัน กว่ากูจะสนิทกะคนอื่นได้อีกคงต้องดูกันยาวอ่ะ
เพื่อนรัก เพื่อนซี้ เพื่อนดีทั้งหลายแหล่
พอมีหน้าที่การงาน ขาดการติดต่อไปนานๆ
คิดถึง โทรไปหาที แม่งตั้งการ์ดระแวงกันหมด
นึกว่ากูจะไปยืมเงินหรือมีเรื่องเดือดร้อนจะมาให้ช่วย
หนักกว่านั้นก็ทำเป็นไม่รู้จัก จำไม่ได้ใส่กูซะงั้น
ปัจุบันเลยเลิกติดต่อเแม่งหมด สะเทือนใจกูเกินไป
พวกเพื่อนกูบางคนต่อหน้าก็คุยกันดีๆ ลับหลังนี่เกลียดขี้หน้ากันชิบหาย
กูในฐานะที่ค่อนข้าง neutral ต่อเรื่องพวกนี้ ต้องคอยฟังพวกมันด่ากันลับหลังให้กูฟัง
ไหนๆก็คุยเรื่องเพื่อนเหี้ยๆกันแหละ แจมมั้ง กูโดนเพื่อนที่คบกันมาแย่งแฟนว่ะ ตอนนั้นกูไปฝึกงานต่างจังหวัด แล้วแฟนกูอยู่กรุงเทพ เรียบร้อยถ้าเพื่อนในกลุ่มกูไม่โทรมาบอกนะ กูคงควายมากกว่านี้ กูเลยชิงบอกเลิกแม่งก่อนแล้วอวยพรให้มันคบกันยาวๆ แล้วเพื่อนในกลุ่มกูก็เลิกคบกับไอเพื่อนเหี้ยกันทั้งกลุ่ม ส่วนพวกแม่มคบกันได้ไม่นานแม่งก็เลิกกัน เพื่อนกูแม่งก็เสียเพื่อนไปแล้ว แต่แฟนเก่ากูอ่ะ แม่งมาง้อให้ยกโทษให้มัน กูก็ยกโทษให้นะ แต่กูก็บอกมันไป มึงกะกุคงไม่เหมือนเดิมแหละ แม่งก็ร้องไห้ไป แต่ถามว่ากูเจ็บมั้ยกับการกระทำพวกแม่ง "เจ็บสัสๆ" กูนอนร้องไห้เลยว่ะ คิดไม่ถึงว่าแม่งจะทำแบบนี้กับกู เย็ดแม่เอย พูดแล้วกูยังเจ็บอยู่เลย ชายอื่นแย่งแฟนยังไม่เจ็บเท่าแฟนสนิทแย่ง จิตใจมันทำด้วยอะไรว่ะ จนทุกวันนี้กูก็ยังไม่เข้าใจ กูไปทำอะไรให้แม่งเจ็บแค้นว่ะ แต่กูก็ยังมีเพื่อนสมัยมัธยมดีๆกับในมหาลัยที่เข้าใจกูและปลอบใจกู ไม่งั้นกูอาจไม่ได้มานั่งเล่นบอร์ดนี้หรอก
เพื่อนดีๆ ใวนวัยอด็ก เก็บไว้ในความทรงจำก็พอ
ยังดีนะพวกมึงถึงจะเจอเหี้ยมากแต่ก็ยังเจอเพื่อนที่ดีอยู่
กูไม่มีเพื่อนที่เหี้ยมาก แต่กูไม่มีเพื่อนที่สนิทและไว้วางใจพอจะคุยได้ทุกเรื่อง
เพื่อนสมัยเด็กที่พูดๆกันนี่นี่รวมถึงเพื่อนมัธยมหรือมหาลัยด้วยป่าว
เพื่อนม.ปลายนี่กูคบไม่ลงว่ะ กูอยู่ตรงกลางเลยเห็นความเหี้ยหมด พูดจาปลิ้นปล้อนเล่นพรรคเล่นพวก ไม่พอใจใครก็ใช้อำนาจของตัวเองนินทาเพื่อนแล้วให้คนทั้งห้องแบน นี่ชายล้วนนะ โคตรแมนสัสๆ กูก็เลยรู้ว่าพวกนี้ไว้ใจอะไรไม่ได้มาก มึงจะโดนหลอกใช้หรืออะไรก็ไม่รู้ ยิ่งบางทีแม่งมาคุยกับกูนี่ยิ่งขนลุกเลยว่ะ อีกอย่างตอนนี้กลุ่มที่กูเคยคบตอนม.ปลายก็ไม่ได้คุยด้วยแล้วนะ เป็นกลุ่มที่คบเพราะไม่มีใครเอาว่ะ แต่ก็นะกูก็ยอมรับว่าตอนนั้นนิสัยก็ไม่ได้ดีอะไรมาก แต่ก็ขอบคุณว่ะที่อย่างน้อยที่เจอเพื่อนดีๆ สองสามคนถึงแม้ตอนนี้จะเดินกันตามทางของตัวเองไปหมดแล้วก็เถอะ
พิมพ์เหี้ยไรกันยาวเหยียด เห็นใจคนตามอ่านบ้าง มันเหนื่อยนะโว้ย
กูเป็นคนนึงที่พอทำงานทำการมีครอบครัวแล้วห่างเหินเพื่อนว่ะ
กูรู้สึกว่าชีวิตกูแม่งก้าวไปข้างหน้าทุกวันๆ มีเรื่องให้คิดให้รับผิดชอบเยอะแยะ แต่พอมองไปที่กลุ่มเพื่อนสนิทกูแม่งยังชิลกับชีวิต วันๆชวนกันแดกเหล้าเที่ยวเล้านจ์ กูไม่ได้รังเกียจอะไรพวกมันหรอกนะ แต่กูไม่อยากไปเสียเวลากับเรื่องอะไรแบบนั้นแล้วไง กูเอาเวลาเที่ยวไปนั่งเล่นกับลูก เอาเงินค่าเที่ยวไปซื้อของที่กูอยากได้ซื้อของให้ลูกให้เมียกูดีกว่า
ผลลัพธ์ที่ได้คือเพื่อนๆหาว่ากูตีตัวออกห่าง เดี๋ยวนี้เจอหน้ากันกูก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับพวกมันเพราะชีวิตกูตอนนี้มีแต่งานกับครอบครัว เอาไปพูดมันก็ไม่สนใจฟังกัน พวกแม่งก็ยังคุยกันแต่เรื่องเที่ยว อย่างดีหน่อยก็คุยกันเรื่องความหลังสมัยวัยรุ่น(ซึ่งขุดมาคุยกันเป็นพันรอบแล้ว)
มีใครเป็นเหมือนกูมะ
ก็ต้องรอเพื่อนเมิงมีลูกกัน แล้วเรื่องคุยถึงจะกลายเป็นเรื่องลูกๆแทน
เพื่อนผู้หญิงในรุ่นแต่งงานไปจะหมดละ เหลือผู้ชายเพิ่งแต่ง 3-4 คน
เหี้ย มีคนส่งสัญญามาให้กูตรวจ แม่งแปลจากอังกฤษเป็นไทย แล้วส่งมาให้กูช่วยตรวจทานว่ามันแปลถูกมั้ย ทีแรกก็ว่าแม่งงานง่ายๆแป๊บเดียวเสร็จ
ปรากฎสำนวนการแปลแม่ง google translate ชัดๆ กูพยายามคิดว่ามันคงไม่มักง่ายถึงขนาดใช้ google จริงๆ แต่หลายๆคำหลายๆประโยคแม่งทำให้กูอยากจะยกหูไปด่าแม่งจริงๆว่ามึงใช้ google แปลสัญญาไปเซ็นกับลูกค้าเหรอไงสาด
สุดท้ายแทนที่กูจะตรวจกลายเป็นต้องมานั่งแก้สัญญาให้แม่ง(เอาจริงๆแม่งแทบจะเป็นการแปลใหม่ทั้งฉบับเลยด้วยซ้ำ) เหนื่อยแท้
ไม่ขีดแดงทั้งหน้าแล้วตีกลับไปเลยวะ แก้ให้แบบนี้เดี๋ยวก็เสียนิสัย
ไอ้คนที่ส่งมามันเป็นคนหน้างานที่ไม่มีหน้าที่(และไม่มีความรู้)ในการร่างสัญญาแต่ทะลึ่งทำนอกหน้าที่ไง ตรวจและร่างสัญญามันเป็นหน้าที่กู ซึ่งพอมันทำมาผิดกูก็มีหน้าที่แก้ให้มันอ่ะ ต่อให้กูตอบกลับไปว่าของมันผิดหมดทั้งฉบับใช้ไม่ได้ กูก็ต้องร่างให้มันใหม่อยู่ดี มึงเข้าใจที่กูพูดมะ ไม่งงนะ
กูเคยเจอนะ แปลจากอังกฤษเป็นไทยเรทนึง เกลาไทยตรวจทานเรทนึง ถูกกว่า
แม่งจับยัด Googletranslate แล้วส่งมาให้ตรวจ ฉลาดมั้ยล่ะมึง
>>402 ก็แสดงว่านี่มันงานเมิงโดยตรงนิ แล้วมาบ่นทำไม 555
เมิงจะมาบอกว่าคราวหน้าเมิงไม่ต้องเสร่อแปลมาก็ได้นะ เอามาทั้งต้นฉบับนั้นแหละใช่มะ
ว่าแต่ขอความรู้หน่อย เมิงจะรู้ได้ไงวะว่าที่เมิงร่างหรือเขียนขึ้นมามันครอบคลุมเรื่องต่างๆไว้หมดแหล้ว หรือเคยมีเคสที่เมิงมีโดนฟ้องร้องจากที่ประเด็นในสัญญาไม่ระบุไว้ครบคลุมไว้ป่าววะ?
ไหนๆก็ไหนๆขอบ่นเรื่องคนทำงานแบบมักง่ายๆหน่อยเหอะ
ที่ทำงานเก่ากูต้องติดต่อต่างชาติตลอด ดังนั้นถ้าไม่ได้ภาษาอังกฤษมึงอยู่ไม่ได้หรอก แต่ทีนี้ดันมีเด็กเส้นเข้ามาคนนึงที่แม่งไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย แต่หัวหน้ากูจำใจรับแม่งมาเพราะปฏิเสธไม่ได้
ทีนี้มันมีกฎการทำงานอยู่ข้อนึงคืออีเมล์ทุกฉบับที่จะส่งหาลูกค้าต้องส่งให้หัวหน้ากูตรวจความถูกต้องก่อนเสมอ อีเด็กเส้นนี่ด้วยความที่แม่งโง่แล้วเสือกคิดว่าคนอื่นจะโง่เหมือนมัน แม่งไปก๊อปปี้อีเมล์เก่าๆที่คนอื่นเคยส่งหาลูกค้ามาแก้นิดแก้หน่อยให้เป็นอีเมล์ที่มันร่างเองแล้วส่งให้หัวหน้ากูตรวจ ปรากฎแม่งไปก๊อปปี้อีเมล์ที่เป็นคนละเรื่อง(ไม่เกี่ยวเหี้ยอะไรกับเรื่องที่มันจะส่งหาลูกค้าคราวนี้เลย) หัวหน้ากูเลยให้มันกลับมาแก้ แทนที่แม่งจะรู้ตัวว่าต้นฉบับที่มึงไปก๊อปมาแม่งผิด เสือกเอาอันที่ผิดนั่นแหละมาแก้ซ้ำ (อีห่าแก้อีกร้อยรอบมันก็ไม่ถูกเพราะแม่งคนละเรื่องกัน) จนสุดท้ายหัวหน้ากูทนไม่ไหวใช้ให้กูแก้ให้มัน
พอกูอ่านเมล์มันกูเลยเรียกตัวมันมาคุยกันทันที ว่านี่มึงทำอะไรลงไป มึงไปก๊อปเมล์คนละเรื่องส่งไปให้หัวหน้าตรวจเนี่ยนะ มันตอบกูแบบหน้าด้านๆว่ายังไงๆก็ต้องโดนหัวหน้าแก้ก็ไม่เห็นต้องเสียเวลาทำให้ถูกเลย กูถึงกับเงิบพูดอะไรไม่ออกเลย นึกไม่ถึงว่าจะต้องมาดูแลสอนงานคนแบบนี้ จะไม่สอนมันก็ไม่ได้เพราะด้วยพฤติกรรมแบบนี้เลยไม่มีใครอยากยุ่งกับมัน ถ้ากูไม่สอนก็ไม่มีใครยอมสอนมันแล้ว กูก็กลัวเสียงานเสียการเลยจำใจ
ทุกวันนี้กูลาออกจากที่นั่นมานานละ แต่ก็ยังได้ยินว่ามันยังคงอยู่สร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนร่วมงานต่อไป
ไอ้ร่าง contract google translate นี่กูก็เจอบ่อยนะ แต่เป็นฝรั่งทำ แม่งแปลจากภาษาอื่นเป็น eng มักง่ายเหี้ยๆ นึกว่าคนอื่นอ่านไม่รู้เหรอวะ
สมัยนี้แม่งยังมีเด็กเส้นอีกเหรอเนี่ย แสรสสส
>>406 กูบ่นเพราะมันเพิ่มภาระให้กูโดยไม่จำเป็นไง ใช้ให้กูร่างใหม่หมดกูจะไม่ว่าเลย แต่ให้กูมานั่งแก้ google translate นี่กูเคืองจริงๆอ่ะ
ส่วนที่ถามว่าจะรู้ได้ไงว่าสัญญาที่กูร่างครอบคลุมหมดรึเปล่าขอตอบดังนี้
1. มึงต้องใช้จินตนาการ มโนเยอะๆ ว่าสัญญาที่มึงร่างอยู่เนี่ยเป็นเรื่องอะไร คู่สัญญามันทำอะไรกัน มีกฎหมายอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง ฝ่ายมึงจะมีความเสี่ยงยังไงบ้าง เขียนเป็น flow chart ได้เลยยิ่งดี ยิ่งมึงจินตนาการออกมากเท่าไหร่ มึงจะยิ่งมองเห็นช่องโหว่ของสัญญามากขึ้นเท่านั้น แล้วมึงก็เขียนข้อสัญญาลงไปเพื่อปิดช่องโหว่หรือความเสี่ยงพวกนั้น (ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อสัญญาที่มึงเขียนต้องไม่ขัดกับกฎหมายด้วยนะ)
2. หาสัญญาเก่าๆที่เป็นเรื่องเดียวกันมาอ้างอิง อันนี้เป็นตัวช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น ไม่ต้องมโนมาก มีตัวอย่างอยู่แล้วว่าควรจะต้องเขียนอะไรลงไปบ้าง แต่ยังไงก็ละทิ้งข้อ 1 ไม่ได้เพราะสัญญาคนละฉบับคนละงานบางทีข้อเท็จจริงมันไม่เหมือนกัน ข้อความบางอย่างมันก็ต้องแก้ไข
3. เอาข้อผิดพลาดมาแก้ไข บางครั้งกูก็ร่างสัญญาพลาดบ้างแหละ แบบว่าเขียนข้อสัญญาที่ควรเขียนไม่ครบหรือยังมีความเสี่ยงหลงเหลืออยู่บ้าง(บางเรื่องแม่งเหนือจินตนาการกูเกินไป กูนึกไม่ถึง) ถ้ามารู้ทีหลังก็ต้องจดจำไว้ แล้วงานหน้าก็เขียนไอ้เรื่องพวกนั้นลงไปซะ ส่วนไอ้สัญญาที่ร่างพลาดแต่เสือกเซ็นไปแล้วก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเกิดเรื่องขึ้นนะมึง แล้วก็รอวันดีคืนดีที่มีการขอแก้ไขสัญญากูก็จะได้แอบเพิ่มไอ้ข้อที่กูไม่ได้เขียนทีแรกลงไป
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อ 3 ต้องทำข้อ 1 กับข้อ 2 เยอะๆ
แต่ทำงานร่างสัญญามาสี่ห้าปีสัญญาที่กูร่างยังไม่เคยถูกฟ้องนะ มีแต่ไปนั่งแก้สัญญาให้คนอื่นที่แม่งโดนฟ้องไปแล้วคราวหน้าจะได้ไม่โดนฟ้องอีก (เอ๊ะ กูก็เก่งเหมือนกันนี่หว่า 5555)
พักนี้ปิดเทอมหรือยัง กูรู้สึกว่ารถติดน้อยลง
Ah... ใส่เครื่องแบบแล้วโดนตำรวจเรียกจับหมวกกันน็อก แต่ไม่โดนปรับ
รู้สึกเป็นอภิสิทธิ์ชนแท้
ก่อนหน้านั้นที่กูใช่ชุดธรรมดาแม่งเอากูเต็มที่เลย
ทำงานจะมา 1 ปีแล้วไม่รู้ว่าจะได้เลื่อนเป็นพนักงานประจำหรือยัง ถ้าไม่ได้เลื่อนกูคงบายว่ะแม่งเข้ามาให้กูรับงานใหญ่แล้วนี่ก็เพิ่งยัดให้กูแีกอะน แต่กูเป็นแค่พนงชั่วคราวนะครัช ไม่มีสวัสดิการนะครัช ผนกอื่นเข้ามาได้คอมได้พักร้แนืกูคอมก็ต้องแบกมาเอง พักร้อนคืออะไร แถมม็อบหัวยย้ายมาแหกปากหน้าออฟฟิศกูอีก แม่ง
วันนี้แม่งโคตรจะไม่อยากทำงานแต่ก็ต้องลากสังขารไปอยู่ดี จะทำตัวเป็นเด็กๆก็ไม่ได้ เบื่อว่ะ
ทำงานที่ไม่ได้ชอบทุกวันๆเพื่อรอเงินออกปลายเดือน(ซึ่งก็ไม่ได้มากมาย)นี่แม่งเป็นอะไรที่บั่นทอนวิญญาณหลายๆ
>>415 ผมเหมือนกันแต่ผมทำงานเกือบได้2ปี ไม่บรรจุให้เป็นพนักงานประจำซักที ย้ายเลย ได้ที่ใหม่ที่ดีกว่าเดิมด้วย พวกพี่แกคงนึกอ่ะ ว่าหน้าอย่างผมคงงานที่ดีๆไม่ได้ เงิบกันเป็นแถบๆ แล้วไม่อยากจะโม้ ผมทำงานได้อย่างเมพแหละ เก็บเวลมาเยอะ งานหนักๆยากๆมาจัดให้ เลยได้วิชาติดตัวมามากพอ ที่จะไปโลกกว้างได้ ที่เก่าเลยเหลือ ไอพวกโง่ๆที่ทำงานไม่เป็น ฮาๆๆๆๆๆ
กูเคยทำงานในบริษัทนึงซึ่งพนักงานในบริษัทต้องใช้ความรู้ทางเทคนิค แต่จริง ๆ แล้วพนักงานไม่ค่อยมีความรู้
บริษัทเลยจ้างกูไปเป็นที่ปรึกษาให้พนักงานเวลาพนักงานมีปัญหา
พอเข้าไปกลายเป็นว่าที่จริงแล้วระบบการทำงานของมันโบราณมาก คนในบริษัทก็ทำอะไรไม่เป็นเลย ไม่มีความรู้เฉพาะทางในงานของตัวเอง มีเรื่องอะไรก็คอยเรียกให้กูช่วยตลอด
กูเลยปรับปรุงระบบแล้วก็เขียนซอฟท์แวร์พิเศษขึ้นมาใช้ช่วยงานพวกมัน พวกมันเลยทำงานกันเองได้ แต่หลังจากกูทำให้แล้วกลายเป็นเริ่มไม่เห็นหัวกู นินทากูลับหลังว่ากูไม่มีประโยชน์อะไร และเอาไปนินทาให้เจ้าของบริษัทฟังด้วย
สุดท้ายทางบริษัทก็พิจารณาว่าไม่ต้องการที่ปรึกษา เนื่องจากพนักงานทำงานกันเองได้แล้ว แล้วก็ให้กูออก
หลังจากกูออกมาแล้วในบริษัทที่ชอบนินทากูบางคนก็ยังส่งกำหนดการทำงานมาให้กูอยู่เรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่กูออกมาแล้ว เหมือนตั้งใจจะอวดว่า
ตอนนี้ถึงไม่มึงพวกกูก็ทำงานกันเองได้ทันกำหนดเวลานะ
วันนึงกูทนไม่ไหวก็เลยรีโมทเข้าระบบไป ลบระบบที่กูทำไว้ แล้วย้ายข้อมูลทั้งหมดกลับมาเป็นระบบเดิมหมดเลย
หลังจากกูลบไปแล้ว กูเข้าไปดูทีไร มันก็กลับไปทำงานช้า ทำไม่ทันกำหนดกันเหมือนเดิม กูสะใจมาก
สัญญาการทำงานระบุไว้ให้กูเป็นที่ปรึกษา ไม่มีการจ้างให้ทำระบบให้ ระบบที่กูลบไปตามกฎหมายควรจะถือเป็นทรัพย์สินของกู แต่ระบบอยู่ในคอมของบริษัท ซึ่งกูมีสิทธิ์ในการเข้าระบบและมันยังไม่ได้ถูกเพิกถอน กูไม่ได้แฮคเข้าไปแต่กูล็อคอินเข้าไปแบบธรรมดา แบบนี้ถือว่ากูทำผิดกฎหมายไหมวะ
...บริษัทมันไม่มีฝ่าย IT เหรอวะ ลืมลบ account ได้ไง
แล้วกำหนดการณ์ที่ยังไง ส่งมาเป็น email รวมๆทั้งแผนก แต่ลืมลบเมลแกออกจากลิสท์ ?
>>419 ถ้าด้วยตามสิทธ์แล้วเมิงเป็นเจ้าของระบบ แต่เมิงไม่ได้เป็นเจ้าของ Content เมิงไม่สามารถเข้าไปลบข้อมูลได้ ถ้าเค้าเอาไปสืบเมิงก็ผิดเต็มๆ
จริงๆเมิงอาจทำได้แค่ล็อคระบบในวันที่เมิงยังทำงานอยู่ แต่ตอนนี้เมิงพ้นสภาพพนักงานแล้วก็น่าจะเข้าข่ายบุกรุก
ทั้งนี้ถ้าเป็นกุนะ ไอ้ตอนที่คุยเรื่องที่ปรึกษาเมิงต้องทำลักษณะเป็น Project Based ว่ะ คือไปผ่าตัด เซ็ทระบบ สงมอบเอกสาร จบ
ไม่งั้นเมิงก็ต้องโดนเขี่ยแบบนี้แหละ แล้วถ้าเมิงทำเป็น Project Based นะ เมิงก็ไม่จำเป็นต้องเข้างานทุกวันด้วย
>>421 บริษัทมีฝ่าย IT แต่ไม่ได้เปิดระบบรีโมทไว้ กูเป็นคนไปเปิดเอง
ใช่ มันมาเป็น CC และหลังจากกลับไปทำงานช้าเหมือนเดิมแล้วก็ไม่มีมาอีกเลย
>>422 กูไม่ได้ลบข้อมูลงานนะ ข้อมูลงานยังอยู่ กูแค่ลบซอฟท์แวร์ที่กูเขียนขึ้นมา
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ก่อนเข้าไปนี่กูไม่รู้ว่าระบบมีปัญหา ที่ทางนั้นบอกมาคือต้องการที่ปรึกษาไปช่วยให้ข้อมูลกับพนักงานเวลาพนักงานทำงานไม่ได้
แรก ๆ กูก็ทำตามนั้นแหละ แต่มันมาเยอะ ๆ ซ้ำ
กูอ่านแล้วมีเรื่องสงสัย สิ่งที่พนักงานเอามาใส่ในคอมของบริษัท ถือเป็นของพนักงานหรือของบริษัท
ถ้าพนักงานเขียนโปรแกรมขึ่้นมาเอง นอกเวลางาน แต่ตัวโปรแกรมอยู่ในคอมของบริษัท ข้อมูลเหล่านี้จะถือเป็นของพนักงานหรือของบริษัท เฉพาะตัวข้อมูลนะ ไม่ได้ถามถึงลิขสิทธิ์ในตัวงาน
แล้วถ้าพนักงานโหลดเพลงเถื่อนผิดกฎหมายมาใส่ในคอมของบริษัท เมื่อตำรวจมาจับ จะนับว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นของพนักงานหรือของบริษัท
จริงๆกูก็เคยทำนะ ของกูเป็นแบบ วาง gimmick เล็กๆไว้ใน excel มันจะทำให้น้ำหนักของสินค้าที่ได้เหลื่อมไปทีละ .01 กิโล/ตัน ป่านนี้ไม่รู้มันจับได้ยัง 55555+
ปล. ที่ทำงานเก่ากูของเข้าวันละ 100 ตันได้
แม่งวางยากันโหดสัดๆ
>>424 กุเข้าใจตามนี้นะ
อุปกรณ์ในการทำงานนั้นบริษัทจัดหาให้เพื่อทำงานให้บรรลุสำเร็จ ฉะนั้นจริงๆแล้วไม่ควรมีข้อมูลหรือไฟล์อื่นๆอยู่ในคอมที่ใช้ทำงานให้บริษัท
ซึ่งถ้ามีไฟล์อื่นไฟล์ใด นั่นก็คือพนักงานเอาไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
ถ้าบริษัทเกิดมาไล่เช็คขึ้นมาก็มีความผิดคือเอาอุปกรณ์บริษัทไปใช้ในงานส่วนตัว ซึ่งโทษหนักหรือไม่ก็แล้วแต่บริษัท
สมมุติถ้าเป็นบริษัท Software แต่พนักงานเขียนโปรแกรมไปขายส่วนตัว แถมยังจับได้ว่าทำในเวลางานก็อาจจะไล่ออกไปเลย (เค้าไม่ได้จ้างเมิงมาทำงานส่วนตัว)
แต่สำหรับผลงานส่วนตัวของเมิงที่อยู่ในเครื่องนั้นบริษัทก็ไม่สามารถเอาไปขายหรือทำอะไรต่อไปเพราะเมิงคือเจ้าของ ทำได้อย่างเดียวคือลบทิ้งไป
帰りたい
ตอนกูไปกู้ซื้อบ้าน กูโดนพนักงานชวนไปทำบัตรเครดิต
เขาบอกว่าจะติดต่อกลับมา แล้วที่นี้กูติดต่อกลับไป เขาทำเสียงมึนใส่กู
รู้สึกเสียเชฟล์มาก ขอมาระบายในนี้หน่อย แม่งเอ๊ญ
>>428 หมายถึงถึงกรณีที่พนักงานไม่ได้ทำผิดต่อบริษัท
งานอาจจะทำมาจากที่บ้าน แต่ก๊อปมาเก็บไว้ในคอมบริษัทเผื่อไว้เป็นแบ็คอัพ หรือไว้เพื่อใช้ทำงานในบริษัท
สมมุติเช่น บริษัทจ้างนาย A มาเพื่อหา หรม. กับ ครน.
เมื่อนาย A กลับไปถึงบ้าน นาย A ก็เลยเขียนโปรแกรมสำหรับการหา หรม. กับ ครน. แล้วก๊อปมาใส่ในคอมบริษัท เพื่อใช้ทำงาน
เมื่อบริษัทเห็นโปรแกรมนี้ ทางบริษัทจึงให้นาย A ออก เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องใช้นาย A แล้ว ใช้โปรแกรมแทน
ถ้าบริษัทลบโปรแกรมทิ้ง จะผิดไหม ถ้าผิด ผิดเพราะอะไร
ถ้าพนักงานคนที่เป็นคนเขียนโปรแกรมนี้ลบโปรแกรมนี้ทิ้ง จะผิดไหม ถ้าผิด ผิดเพราะอะไร
ผิดมั้ยนี่คือพูดในแง่กฎหมายนะ ว่าทำแล้วเป็นความผิดทางกฎหมายไหม
ส่วนเรื่องทำแล้วจะโดนจับได้มั้ย จะโดนฟ้องมั้ยเป็นอีกเรื่อง
>>432 กุไม่ใช่ทนาย แต่ขอตอบตามที่กุคิด
กฏหมายเวลาตีความจะดูที่เจตนาเป็นหลัก แล้วเมิงต้องแยกประเด็รออกมาเป็นส่วน ค่อนข้างชัดเจนคือ บริษัทให้เมิงมาหา หรม. ครน.
ฉะนั้นโปรแกรมหา หรม. ครน. ที่เมิงคิดได้ บริษัทก็สามารถเอาไปใช้ได้ แต่ไม่สามารถเอาไปขายต่อได้ เพราะเมิงเป็นเจ้าของลิขสิทธ์ ทั้งนี้เมิงก็สามารถเอาโปรแกรมดังกล่าวไปหากินต่อได้
ทั้งนี้บริษัทสามารถให้เมิงออกได้ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องโปรแกรมของเมิงหรือไม่แต่ต้องแจ้งล่วงหน้า
ถ้าบริษัทลบโปรแกรมผิดมั้ย - กุว่าไม่ผิด เพราะเมิงใช้ของๆบริษัทในการทำงานนี้ขึ้นมา
ถ้าเมิงลบโปรแกรมนี้ผิดมั้ย - กุว่าผิด เมิงบริษัทก็มีสิทธ์ในการเอาไปใช้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากเมิง แต่เมิงมีสิทธ์ที่สามารถเอาไปขายคนอื่นต่อได้เพราะเมิงเป็นเจ้าของลิขสิทธ์
ถ้าทำแล้วมีความผิดมั้ย - กุว่าผิด แต่ถ้าเค้าจะมายุ่งยากเอาเรื่องทำดำเนินคดีมั้ย กุไม่รู้ว่ามันจะทำเพื่ออะไร
เท่าที่อ่านหลายครั้ง กุว่าเมิงตัดใจซะเถอะ ตอนนี้เหมือนใจไอ้ฝั่งบริษัทไม่อยากได้เมิงแล้วเมิงจะโน่น นี่ นั่นก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
กุมาคิดอีกทีกุว่าโปรแกรมที่เมิงทำมากุว่าแม่งเอาไปขายต่อได้ว่ะ ไม่น่าผิด
ตรงนี้ต้องมาดูสัญญาจ้างอีกที ว่าเป็นยังไง
แต่ถ้าเอาตามข้อมูลที่พูดมา มันเขียนโปรแกรมที่บ้าน ไม่ได้ใช้คอมบริษัทเขียน
และบริษัทก็ไม่ได้จ้างให้มัน 'เขียนโปรแกรมหา หรม. ครน.' แต่บริษัทจ้างให้มัน 'หา หรม. ครน.'
ถ้าบริษัทจ้างพนักงานมา คิดเลข
พนักงาน เอาเครื่องคิดเลขมาจากบ้าน
พนักงาน โดนไล่ออก เพราะบริษัทเห็นว่าใช้เครื่องคิดเลขแทนได้
พนักงาน ไม่ได้เอาเครื่องคิดเลขกลับไป
แบบนี้ ตามกฎหมายแล้ว
1.บริษัทไม่มีสิทธิ์เอาเครื่องคิดเลขไปขาย
2.บริษัทไม่มีสิทธิ์เอาเครื่องคิดเลขไปใช้ด้วย ตามกฎหมาย ทรัพย์สินของผู้อื่น แม้จะอยู่ในพื้นที่ของเรา ก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี
เช่น ถ้ามึงไปจอดรถของมึงในห้าง แล้วมึงเมาอาละวาด โดนยามไล่ออกไปจากห้าง รถของมึงที่ยังอยู่ในห้าง ก็ยังคงถือเป็นของมึง เจ้าของห้างจะเอาไปขับเล่นไม่ได้
3.พนักงานยังเป็นเจ้าของเครื่องคิดเลข แต่พนักงานไม่มีสิทธิ์บุกเข้าบริษัทไปเอาเครื่องคิดเลขคืน
แต่เรื่องการเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แบบที่ >>419 นี่กูไม่รู้ว่ะ มันไม่เคยมีกรณีตัวอย่าง
โดยความรู้สึกมันน่าจะผิด แต่กฎหมายมันระบุไว้ว่า 'ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน' เมื่อมันล็อกอินเข้าไปตามปกติ แสดงว่า วิธีนั้นมีไว้สำหรับมัน ไม่ได้เข้าโดยมิชอบ สรุปไม่ได้ว่ะ
อีกมาตราก็เขียนไว้กำกวมว่า 'ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ'
ตรงคำว่า 'ของผู้อื่น' ไม่รู้มันเป็นคำขยายของคำว่า 'คอมพิวเตอร์' หรือคำขยายของคำว่า 'ข้อมูล'
ถ้ามันเป็นคำขยายของ 'คอมพิวเตอร์' มันก็ผิด ที่ลบ ข้อมูลของตัวเองใน 'คอมพิวเตอร์ของผู้อื่น'
แต่ถ้ามันเป็นคำขยายของ 'ข้อมูล' มันก็ไม่ผิด เพราะมันไม่ได้ลบข้อมูลของผู้อื่น มันลบ 'ข้อมูลของตัวเอง' ในคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
กูลืมตอบ
>>424 ข้อมูลที่พนักงานเอามาใส่ในคอมพิวเตอร์ของบริษัท ถือเป็นของพนักงาน เว้นแต่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เกิดจากการทำงานให้บริษัทตามสัญญาจ้างงาน จะถือเป็นข้อมูลของบริษัท
ถึงแม้กระทั่งว่ามึงจะแอบเอางานนอกมาทำในเวลางาน โดยใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัททำ สิทธิ์ในตัวงานก็เป็นของมึงอยู่ดี บริษัทสามารถเอาผิดมึงได้ที่มึงอู้งาน จะหักเงินเดือน ปรับ ไล่ออก หรืออะไรก็ว่าไป ตามแต่สัญญาที่ระบุไว้ บริษัทจะคิดค่าเสื่อมมูลค่าของคอมพิวเตอร์ที่มึงใช้ทำงานนอกตามช่วงเวลาที่มึงใช้ทำงานไปด้วยก็ยังได้ แต่บริษัทเอางานของมึงไปจากมึงไม่ได้ มันเป็นคนละเรื่อง
เพราะฉะนั้น ถ้าพนักงานเขียนโปรแกรมขึ่้นมาเอง นอกเวลางาน แต่ตัวโปรแกรมอยู่ในคอมของบริษัท ข้อมูลถือเป็นของพนักงาน บริษัทเอาไปทำอะไรไม่ได้
แล้วถ้าพนักงานโหลดเพลงเถื่อนผิดกฎหมายมาใส่ในคอมของบริษัท เมื่อตำรวจมาจับ ข้อมูลพวกนี้ก็ถือว่าเป็นข้อมูลของพนักงาน ต้องจับพนักงานเช่นกัน
มึงอธิบายได้เคลียร์ดี แต่กูขำที่มึงใช้ภาษาทางการปนกับคำว่ามึงกู มันไม่เข้ากันยังไงก็ไม่รู้
เวลากูปรึกษาเพื่อนที่เป็นทนายก็อารมณ์ประมาณนี้แหละ ตลกเหรอเนี่ย
มึงมีเพื่อนเป็นทนายมึงอาจจะชิน
แต่กูไม่เคยเจอไง กูรู้สึกว่ามันขัดกัน
ไม่มีอารมณ์ทำงานว่ะ แต่งานเพียบเลย ทำไงดีวะ
นอน
มีอารมณ์ทำงาน แต่ไม่มีงานทำว่ะ
เหลืองานนิดหน่อยแต่อยากอู้แล้วว่ะ
รับงานทำต่อจากชาวบ้านที่แม่งชอบส่งหลังเดดไลน์นี่มันเซ็งจริงๆ
บางทีตอนกูอยู่ว่างๆในที่ทำงานก็แอบฟุ้งซ่านนะ ยิ่งเฉพาะตอนที่คนอื่นๆมันยังมีงานทำอยู่เนี่ย
ใครโดนญาติๆมันไซโคมั่ง เมื้อไหร่จะมีเมีย มีแฟนยัง หนักๆเข้าเป็นเกย์รึเปล่า
โธ่....แม่งเอยยยยยยยย คือเข้าใจม่ะผมยังไม่25ด้วยซ้ำ ถึงการงานจะมั่นคงก็เถอะ แล้วญาติคนที่ถามมันมีเมียมีลูกตอนเรียนไม่จบด้วยซ้ำ แล้วญาติผู้ใหญ่บางตัวมันก็ชอบถามเหมือนกันนะ จะแต่งเมื้อไหร่ อะไรกับพวกคนแก่ว่ะ เพิ่งทำงานมาได้2ปีจะให้แต่งเมียให้มีหลานให้อุ้มแหละ บ้าป่าวว่ะ ยังอาศัยอยู่กับพ่อกับแม่อยู่เลย มาถามเรื่องการมีเมียมีลูก คือโดนถามมากไปมันก็เซ็ง+รำคาญนะเว้ยยยยยยยยยย
ถามเหมือนสวัสดีน่ะ นานๆเจอกันทีก็ไม่รู้จะคุยอะไร ต่อให้มึงมีเมีย มันก็จะถามเมื่อไหร่จะมีลูกแทน ขอให้ได้ถามเหอะ
โม่งโรงงาน
กุเป็นโม่งโฆษณา
กูเป็นโม่งนีท...
กูโม่งไอที+บัญชี
กูโม่งเด็กเอนท์.....
กูเป็นโม่งเพิ่งรอดจากทีสิส...
กุโม่งพ้นF
ไม่แน่ เทอมหน้าอาจกลายเป็น โม่งใต้F
ทำไมหลังๆโม่งวัยเรียนมันเยอะจังวะ แรกๆกูจำได้ว่ามีแต่โม่งแก่
อยากพิมพ์ว่า กูโม่งม.ปลาย แต่กลัวถูกมองว่าปีนเกลียวโม่งอาวุโส
เอาเป็น ผมโม่งมัธยม ละกัน
โม่งการตลาดจับฉ่าย
โม่งเมืองนอก
โม่งโอที
กูโม่งติด I เหี้ยเอ๊ย อาจารย์แม่งเสือกไปมาเลย์อีก สัด
โม่งช่าง
โม่งป.ตรี
กระทู้ซาลารี่แมนแต่โม่งัวยเรียนเยอะดีนะ
กูโม่งกราฟฟิก
ส.ข.นี่ไรวะ สูบขี้?
โม่งโปรแกรมเมอร์
ขอระบายอะไรหน่อยละกัน
กูสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมโปรแกรมเมอร์บ้านเรา ทั้ง senior ทั้งจบใหม่ทำไมคุณภาพมันต่ำกันจังวะ
คือตามความรู้สึกกูมันคือเต็มไปด้วยคนที่เขียนโปรแกรมได้ แต่แก้ปัญหาไม่เป็น
เจอ error นิดหน่อยก็ถามแล้วว่าแก้ยังไง ทั้งๆ ที่บางทีมันก็เขียนบอกไว้ชัดเจนว่าทำไมมันรันไม่ผ่าน
กูเบื่ออออออ
เพราะพวกแก้ได้และเก่งจริง มันไม่อยู่ให้มึงเจอ ไม่ก็ย้ายงานกันแล้ว
โปรแกรมมิ่งไม่เคยมีสอน debug
พวก debug ได้มีแต่ชอบเขียนโปรแกรมทั้งนั้นแหละ
มันไม่ต้องถึงขั้นสอน debug หรอกว่ะ
กูเคยสั่งให้ไปทำให้ใส่ category ได้มากกว่า 1 แล้วเจอมันสร้าง column category2_id category3_id ... category9_id กูก็จะร้องไห้แล้ว
มาช้า ตอบมั่ง กูโม่งไอที+โปรแกรมเมอร์โรงงาน
ตอบช้า กูเป็นโม่งไอที
>>478 ทำให้กูนึกถึงตอนเรียกว่า หลายคนจำแต่คำสั่ง แต่ประยุกต์ใช้ไม่เป็น
คือถ้าถามว่าคำสั่งนี้ทำไรได้บ้าง ตอบได้
แต่พอให้มาเขียนเป็นโปรแกรมโครงใหญ่ๆ ทำไม่ได้ ประยุกต์ไม่เป็น
กูจำได้ว่าในรุ่นกูที่เรียนมา พวกเก่งโปรแกรมมิ่งก็เก่งไปเลย เก่งแบบลอยฟ้าแล้วมันต่างจากพวกแปะโค้ดลอกแลปกัน เพราะพวกนี้มันจะคิดเอง เขียนเอง ดีบั๊คด้วยตัวเองไรงี้
เรียนจบ IT มานี่กูบอกเลยว่ารุ่นกูจบมาเกือบๆ 150 คน
เขียนโปรแกรมได้จริงๆจังๆไม่ถึง 20 คนว่ะ
ส่วนคนที่เขียนไม่ค่อยได้บางคนก็ยังดีที่มันไปเรียนรู้ตอนทำงานแล้วค่อยๆเป็นขึ้นมาได้ หรือบางคนมันก็ไปทำงานสาย Tester หรือ IT Support
แต่ที่ตอนเรียนรอดมาได้ก็เกาะเพื่อนตอนทำโปรเจค+ท่องทฤษฏี+นิยามไปทำข้อสอบ (แถมข้อสอบก็เสือกถามทฤษฏีซะเยอะอีก ทั้งที่ตอนทำโปรเจคเขียนโปรแกรมกันแทบอ้วกเสือกไม่มีถาม)
พวกที่ว่านี่มีคนที่ได้เกียรตินยมอันดับ 1 ด้วยนะเว้ย
กูเสียใจที่ตอนเรียนไม่ตั้งใจเรียนชิบหาย จบมาทำงาน แม่งใช้แต่ไอ้ที่เรียนมาทั้งนั้น ยังดีที่มีอากู๋ให้ถามได้
กูโชคดีที่เข้ามาที่ทำงาน เขามีโปรแกรมเมอร์คนนึงสอนให้ ช่วยสอนวิธีเขียนที่ถูกต้องให้ เขียนตามไกด์งี้นะ
เวลาเจอบั๊คให้แทรคตามแบบนี้นะ ไรงี้ กูปริ่มเลย มันคือสิ่งที่ควรสอนในตอนเรียนนะเว้ยแบบนี้
ปล. โปรแกรมเมอร์ที่สอนกูเป็นคนอังกฤษ
เรียน DB แต่ไม่เคยออกแบบมั้ง มันถึงออกมาเป็น column cat1 cat2 cati ...
>>488 กูไม่เชื่อว่ะว่าพูดสั้นไป เวลาทำงานกับฝรั่งกูก็เขียนแค่นี้ประจำ
เรื่องสร้าง table ใหม่มึงบอกว่ามันเรื่องใหญ่ กูไม่เห็นด้วยว่ะ โปรเจคมันเป็น Django ใช้ South migration
เวลามึงจะเพิ่ม table ใหม่ มึงแค่สร้างไฟล์ migration ใหม่ หรือจะเพิ่ม column ยังไงมึงก็ต้องสร้างไฟล์ migration ใหม่อยู่ดี
เพราะงั้นมันไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
กูลืมเล่าไปตอนแรก คือกูเป็นฟรีแลนซ์รับงานจากบริษัทฝรั่งเป็นหลัก
บริษัทที่กูรับงานอยู่ตอนนี้มันจ้างเอาท์ซอร์สบริษัทในไทย แล้วงานออกมาไม่ได้อย่างที่หวังเลยจ้างให้กูไปช่วยดู (เขาเคยจ้างกูมาก่อนหนนึง)
เวลาสั่งงานจะสั่งเป็น user stories เช่น As an article author, I want to assign multiple categories to the article
พอเขียนเสร็จจะโดนเอาไปรีวิวใน Gerrit ถ้าผ่านถึงจะได้ส่งโค้ดขึ้น testing
manager ของบริษัทเอาท์ซอร์สแม่งคุยชิบหายเลย ว่าประสบการณ์มากมาย แต่งานมันออกมาระดับนี้
กูเลยไม่รู้จะพูดยังไงดี
ไม่รู้จัก soulth migration นี่ควรร้องไห้ดีรึเปล่าวะ
กูอยากอัญเชิญพวกมึงไปหมวด IT จริงๆ หมวดนั้นแม่งอย่างร้าง หรือตั้งกระทู้โปรแกรมเมอร์ในนี้ก็ได้
หมวด IT แม่งป่าช้าชัดๆ
งั้นกูลองตั้งกระทู้โปรแกรมเมอร์ในหมวด IT ดูละกัน
https://fanboi.ch/tech/333/l5/
กทม ร้อนสัด
บ้านกูเหม็นควันไฟมาหลายวันละ แม่ง... ไอ้ไฟไหม้ที่บ่อขยะแพรกษาป่านนี้ยังดับกันไม่ได้เลย
ปวดเอวโว้ย
มีเรื่องมาถามเพื่อนโม่งหน่อย
ถ้าพวกมึงแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว แล้วดันมีผู้หญิงน่ารักๆมาอ่อยมึงทั้งๆที่รู้ว่ามึงมีลูกมีเมียอยู่แล้ว มึงจะทำไงวะ
ถ้า*
ูกูถามลูกถามเมียก่อนอะ ถ้าเค้าโอเคกูก็เอา แต่ถ้าเค้าคิดเล็กคิดน้อยก็ยอมอดก็ได้ ดีกว่าให้มันกลายเป็นชนวนปัญหาภายหลัง แม่งไม่คุ้ม
ก่อนถามกูนึกว่าจะมีแต่คนบอกให้ซัดเลยๆซะอีก กลายเป็นว่ามีโม่งนิสัยดีเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
คือเวลามีหญิงเข้ามากูก็ทำท่าทีไม่เล่นด้วยตลอดอ่ะแหละ แต่แม่งมีมาเรื่อยๆจนกูชักจะหวั่นไหวว่ะ
ถ้ายังไม่แต่ง กูก็จะเชียร์ให้มึงจัดเต็มล่ะนะ ถ้ามึงเสือกซวยเลิกกับแฟนนั่นก็ยังไม่เดือดร้อนใครมาก แฟนมึงก็จะได้เจอคนที่ดีกว่าด้วย 555
แต่นี่แต่งแล้ว มีลูกแล้ว ไอ้ความคิดแบบนี้มันไม่ควรจะมีเลยว่ะ มันไม่ควรจะมีคนถึงสองคน คนนึงเป็นคนที่รักมึงอีกคนอีกคนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมึงด้วย มารับกรรมที่มึงกำลังจะก่อเพราะความเงี่ยนเลยนะ
พี่ที่มีลูกเมียแล้วคนนึงบอกกูว่าถ้าเป็นเด็กๆหน่อยมาอ่อยผู้ชายที่มีลูกเมียแล้วเนี่ย
ถ้าเป็นพวกที่หวังเป็นเมียน้อยจริงจังส่วนมากเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นมันเหมือนถูกผ่านการรับรองแล้วว่ามีปัญญาดูแแลผู้หญิง+เด็กน่ะ
เมิงก็พาเมียไปทำสวยจนไม่อยากซัดคนอื่นซะสิ
แต่คิดแล้วก็ตลกดีนะ สมัยเรียนนี่แม่งต้องพยายามแทบตายเพื่อจะจีบหญิงให้ติดซักคน พอเข้าวัยทำงานไม่ต้องทำไรเลยเดี๋ยวก็มีหญิงมาอ่อยใส่เรื่อยๆ แต่กูเสือกแต่งงานแล้วอ่ะดิ ปัดโธ่
ทำไมโม่งแถวนี้แม่งมีจริยธรรม มโนธรรมในจิตใจสูง กูซึ้งใจ T^T หวังว่าจะได้บังเอิญเจอพวกมึงในความเป็นจริงมั่ง
กูว่าหญิงที่ชอบหลอกชายมีครอบครัวแล้วเพราะมึงผ่านการคัดกรองมาแล้วระดับนึงไง แบบว่าเฮ้ยๆ ดูแลครอบครัวได้
มีภาพพจน์อบอุ่นดูดีชวนฝัน รักลูกรักครอบครัว ดูแล้วพวกนางๆ เลยเสี้ยนอยากแย่งมาครอบครองมั่ง
โม่งที่นี่คนดีๆ ทั้งนั้นเลยไม่ค่อยมีใครเอาไง
กูคือ >>507 ไอ้ที่พิมพ์สำหรับกูคือตอนคบกันก่อนแต่งกูจะตกลงให้เรียบร้อยตอนนั้นไปเลยน่ะ (โอเคกูพลาดที่พิมพ์ลูกเมียพ่วงกันเอง ซอรี่)
ถ้าพอใจกันทั้งสองฝ่ายก็ดีลและสัญญาที่ว่าจะมีผลผูกมัดตลอดชีวิต หรือถ้าแม่งเห็นละว่าปัญหามาอินี่ติสจัดกูก็อาจค่อยๆเฟดตัวแล้วเป็นโสดไป
(ที่กูเคยคบก็มีแต่ผู้หญิงแนวลุยๆคุยเรื่องนี้ได้ตรงๆอยู่แล้วอะ ถึงตอนนี้แม่งจะเลิกกันแล้วก็เหอะ)
ทีนี้ถ้าเมียกูเป็นพวกไม่เครียดกับเรื่องแบบนี้ แบบยอมให้กูเอาคนอื่นยอมให้กูลงอ่าง(แบบไม่ได้พูดประชด) กูก็เอา แต่ถ้าเมียกูซีเรียสกูก็ไม่เอา(ก็ได้วะ)
เรื่องของเรื่อง อะไรที่ส่อแววจะเป็นต้นเหตุของปัญหาในอนาคตกูก็ไม่อยากวุ่นวายว่ะ แกแล้วต้องมาทะเลาะกันอีกเหนื่อยใจตายหอง
>>525
ท่าทางจะไม่เคยรู้จักผู้หญิงซะแล้ว เนี่ยแหละน้า เขาเรียกผู้ชายแม่งชอบคิดอะไรง่ายๆ
ทำมาเป็นดงเป็นดีล สัญญาผูกมัดห่าเหวส้นตีนอะไรนั่น
บอกได้เลยถ้าวันไหนเขารมณ์ไม่จอยเมนมา ดีลที่คุยไว้ของมึงเตรียมตัวปิ๋วได้เลย
เมื่อไหร่มึงจะแต่งงานมึงลองไปถามเมียมึงดูละกันว่าเขายอมให้มึงไปเที่ยวกะหรี่ มีกิ๊กได้รึเปล่า
ถามให้ตรงๆเลยนะ ให้รู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังว่ามึงจะไปซั่มผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เค้า
มีด้วยเหรอวะที่เขาจะไม่เครียด คิดมาได้
ถามย้อนมุมกลับถ้าเมียมึงมาถามก่อนแต่งงานว่าขอไปนอนกับผู้ชายคนอื่นบ้างนานๆที มึงจะให้รึเปล่า ?
ไอ้พวกที่ไปเที่ยวได้ เมียไม่เคร่ง ผู้หญิงเขารู้กันทั้งนั้นแหละ
แต่เขาหยวนๆเพราะมึงยังไม่ทำให้โจ่งแจ้ง แต่ถ้าออกหน้าออกตาเมื่อไหร่เขาจะถือว่าไม่ให้เกียรติกันแล้ว
เขาก็จะไม่ไว้หน้ามึงเหมือนกัน
ไม่งั้นเขาไม่สอนกันมาหรอก "ทำก็อย่าให้รู้ รู้ก็อย่าให้เห็น เห็นก็อย่าให้โดนจับ โดนจับก็อย่าไปรับ ถ้าจะรับให้รับแค่ครึ่งเดียว"
ในนี้มีใครเป็นผู้นำแฟชั่นวะ กูหาไรใหม่ๆใส่อยู่
กูอยากได้รองเท้าผ้าใบแคชชวล มีที่ไหนลดราคาบ้างไหม
แปะ ๆ มาให้ดูหน่อย ไม่ได้ซื้อใหม่นานล่ะ
กูเข้าบอร์ดโม่งมากูรู้สึกดีจัง บอร์ดนี้แม่งไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันไม่ต้องวางท่า ไม่ต้องแอ๊บว่าเป็นคนดีเพราะทำไปก็ไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว เพราะงั้นกูเลยรู้สึกว่าความเห็นของพวกมึงนี่มาจากใจกันจริงๆ พออ่านแล้วแม่งโคดรู้สึกดีเลยว่ะ หลายความเห็นนี่แม่งนิสัยดีกันชิบหายกูนึกว่าไม่มีคนแบบนี้เหลือแล้วนะเนี่ย สงสัยกูอยู่ในโลกเหี้ยนานไปหน่อย
กูว่าเมียกูชักเบื่อๆ เซ็กส์แล้ว แต่ก็นะ กูยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์
อยากลองอะไรแปลกๆ มั่ง เผื่อว่าชีจะมีอารมณ์มากขึ้น ว่าจะเริ่มจากพวกของเล่น แนะนำแหล่งหน่อยสิ
ของเล่นเมียมึงจะไมีตกใจเหรอวะลองเริ่มจากคอนดัอมแปลกๆหรือเจลก่อนไหม
เพื่อนโม่งทั้งหลายกูมีเรื่องจะปรึกษา
คือกูลาออกจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนกลับมาช่วยกิจการที่บ้าน เพราะที่บ้านมีเรื่อง
ตอนนี้ก็ปีนึงได้แล้ว กูอยากกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อ แต่ที่บ้านไม่ให้ไป อยากให้ช่วยงานที่บ้านต่อไปเรื่อยๆ
พอกูอธิบายเหตุผลไปก็ไม่ฟัง ทะเลาะกัน พูดขู่ถึงขั้นว่าถ้าไปจะตัดแม่ตัดลูก
กูต้องจะทำยังไงถึงจะออกจากบ้านได้โดยไม่บาดหมางกันวะ
>>538 แย่จังกูก็คิดไม่ออก อยู่ในสถานการณ์คล้ายมึงเลย แต่ไม่แรงเท่า ของกูแม่กูบังคับให้รับราชการอ่ะอยากให้อยู่บ้านทำงานราชการจนเกษียน แต่กูอยากเป็นศิลปินชื่อก้องโลกอยากออกจากบ้านทำตามฝัน พูดถึงเรื่องนี้ทีไรทะเลาะกันทุกที กูพูดไรแม่ชอบบอกว่าอย่าเถียงแม่คิดถูกแล้วไรงี้ แงแง้
ชีวิตเป็นของมึง ใช้ซะ
สหายโม่ง ตอนนี้กูกะลังรู้สึกเหมือนเพื่อนที่ทำงานกะกูกะลังโกงกูอยู่ เพราะปกติกูไม่เคยเจอลูกค้า ให้เพื่อนติดต่อตลอด
แต่กูบังเอิญไปรู้มาว่า เพื่อนกูมันเก็บเงินจากลูกค้ามากกว่าที่มันบอกกะกูอ่ะ ดูๆแล้วมันน่าจะได้มากกว่ากูประมาณเดือนละห้า หกพัน
กูควรจะคุยกะมันเลยป่ะวะ รึยอมมันไป เพราะกูทำงานกะมันมาสองปีละ งานมันก็ได้เงินโอเคไม่เดือดร้อนอ่ะ ตอนนี้กูอึดอัดมากกกกก
ป.ล กูเป็นฟรีแลนซ์ มีกระทู้โม่งฟรีแลนซ์ป่ะวะ
>>538 กิจการที่บ้านมึง ถ้ามึงไม่ทำ มีคนอื่นทำแทนมั้ย
ถ้าไม่มี มึงลองคิดว่า
พ่อแม่มึงอายุเท่าไหร่แล้ว มันถึงวัยที่ควรเกษียณแล้วรึเปล่า ถ้าถึงแล้ว แล้วเค้าอยากได้คนช่วย ก็ช่วยเค้าเถอะ
แล้วถ้าวันนึงพ่อแม่มึงเป็นอะไรไป จะมีคนทำแทนมึงมั้ย หรือมึงจะรอเค้าตายก่อนแล้วค่อยกลับมา?
กูคิดว่ามึงอยู่กับที่บ้านต่อไปน่ะดีแล้ว
>>539 เรื่องของมึงคนละสถานการณ์กับ >>538 คือถึงมึงจะไม่ทำงานราชการ ก็ไม่มีคนอื่นเดือดร้อนแทน กูแนะนำให้ออก
กูคาดว่าที่เค้าห้าม น่าจะเพราะว่าเค้าห่วงเรื่องความมั่นคงในชีวิตมึง มากกว่าความฝันของมึง
ที่มึงควรทำคือ ทำให้ที่บ้านเชื่อได้ว่ามึงมีปัญญาดูแลตัวเองไม่ให้ลำบากได้ แล้วเค้าจะปล่อยมึงไป
กูบ่นทีนึงดิ๊
อินเตอร์เฟสเฟซบุ๊คอันใหม่เห่ยบรมว่ะ
>>542 เรื่องช่วยกิจการที่บ้าน กูว่ายังไงก็ต้องคุยกันดีๆ ไม่ใช่ว่าทำเพราะสงสารพ่อแม่อย่างเดียว ชีวิตยังไงก็เป็นของมัน แค่มันทำให้พ่อแม่สบายใจโดยกลับมาทำงานที่บ้านซะ กูว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง โอเค มันก็อาจจะดี ในแง่ว่าพ่อแม่มันสบายใจ แต่อย่าลืมว่ามันเอง็ต้องอยู่กับกิจการกับงานที่มันไม่ชอบไปอีกชั่วชีวิตที่เหลือของมันนะ
กูเห็นมาแล้ว คนที่เอาใจพ่อ กลับมาับร้านของพ่อทั้งที่ตัวเองมีทางไปทางอื่นที่ชอบมากกว่า สุดท้ายก็จบไม่สวย ทำต่อไม่ไหว เพราะไม่ใช่ทางของเขา ก็ต้องปิด ต้องขายทิ้ง ทีนี้พออายุปูนนั้นจะกลับไปทำงานแบบตอนหนุ่มๆมันก็ช้าไปแล้วไงมึง การตอบแทนพ่อแม่ด้วยการพลีกาย มันอาจจะโอเคกับมึง มึงอาจจะถนัด มึงอาจจะไหว แต่คนไม่ไหวจริง คนที่ไม่ใช่ทางของมันจริงก็มีนะโม่ง
แล้วต่อให้พ่อแม่มันตาย มึงคิดว่ามีเหตุผลอะไรที่มันต้องกลับมาทำกิจการของบ้านวะ เพราะเหตุผลหลักที่มันต้องทำกิจการของบ้านก็เพื่อให้พ่อแม่สบายใจไม่ใช่เหรอ ตัวมันเองอะอยากทำอย่างอื่นอยู่แล้วนี่
กูว่าลองคุยกันหใ้รู้เรื่องว่ะ มึงมาช่วยงานของบ้านแล้วถ้ามึงต้องทนแบบนั้นไปตลอดชีวิตกูว่าแม่งก็ไม่แฟร์กับชีวิตมึงเองละ
กูก็กลับมาช่วยที่บ้านนะ ถึงไม่ใช่สายที่กูเรียนมาแต่กูก็โอเค
ตอนเป็นลูกจ้างเขา กูทุ่มเทแรงเต็มที่ ก็ได้สองหมื่นกว่าๆต่อเดือน นั่นคือค่าแรงที่เขาหักไปตั้งเท่าไหร่ก็ไม่รู้จากกำไรที่หาได้
สู้กูเอาแรงงานความตั้งใจที่ว่าไปทุ่มใส่กิจการที่บ้านไม่ดีกว่ารึ ? กำไรก็ของมึงเต็มๆ
ทรัพย์สินเดี๋ยวก็เป็นของมึงจนได้ ทำดีก็เจริญรุ่งเรืองมีอะไรเหลือไว้ให้ลูกหลานต่อไป
ถ้ามันไม่เอาก็ให้มันขายไปแล้วเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่มันเห็นว่าดี
ถามว่าเป้าหมายของกูคืออะไร เอาเต็มๆแบบไม่ซึน
กูอยากขี้เกียจในระดับนึง แต่ถึงเวลาทำกูก็ใส่เต็มที่เพราะกูก็อยากเห็นกิจการบ้านกูเจริญรุ่งเรืองต่อไปเหมือนกัน
ปล. ถึงจะทำที่บ้าน แต่อีกซักพักถ้ามึงสะสมทุนได้ และกิจการที่บ้านมันรันไปได้สะดวกโดยที่มึงไม่ต้องนั่งคุมตลอดเวลาแล้ว
มึงก็อาจจะแบ่งเวลาไปทำธุรกิจที่มึงชอบอีกซักอย่างก็ได้นี่หว่า สมัยนี้คนเรามันต้องมีรายได้หลายทางดิวะ
>>546 เหมือนกูเลย
สมัยเห่อหมอยกูก็อยากติสต์ อยากทำงานที่ใจรักบ
พอจบมาเจอความเป็นจริงว่ากูทำงานบริษัทได้เงินน้อยกว่าทำกิจการที่บ้านสิบเท่า กูก็ต้องยอมทำงานที่บ้านว่ะ
ปัจจุบันกูติสต์ได้ไม่ลำบาก เงินเก็บเหลือเยอะ เวลาว่างก็มีพอสมควร พนักงานบริษัทกูไม่มีใครรู้ซักคนว่าเจ้าของบริษัทรับงานวาดรูปใน DA
กูคิดว่ากูเลือกทางถูกแล้วนะ
กูว่าอันนี้มันเป็นปัญหาทัศนคตินะ บางคนคิดว่าจะต้องทำงานที่ตัวเองมีใจรักเท่านั้น ไม่งั้นชีวิตจะไม่มีความสุข
กูเคยเจอกับตัวมาแล้ว เอาสิ่งที่ใจรักเป็นงานหลัก แต่สุดท้ายพอมันมีความเครียด มีเรื่องการแข่งขัน มีเรื่องปัญหาเข้ามามากๆ แถมรายได้ไม่พอยาไส้
มึงเชื่อมะ ในที่สุดขนาดงานที่กูใฝ่ฝันอยากทำมาตลอด มันยังกลายเป็นสิ่งที่กูเกลียดไปได้เลย
กูเลยคิดว่าการที่มึงกลับมาทำงานที่บ้านเนี่ย มันไม่ได้ทำให้ชีวิตมึงสิ้นหวังเพราะไม่ได้ใช้ชีวิตตามใจฝันเลยซักนิด
คนเราแม่งต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง มีหน้าที่มีความรับผิดชอบก็ทำไป แต่มึงก็ยังมีช่องว่างเยอะแยะที่จะทำตามใจฝันมากมายนี่หว่า
ยิ่งสมัยนี้แล้ว เทคโนโลยีช่วยอะไรมึงได้มากมาย กลางวันมึงทำงานที่บ้าน แต่มึงอาจจะเปิดร้านขายของในเน็ตไปด้วยก็ได้
อย่าง >>547 นี่กูยกนิ้วให้เลย ชอบว่ะ 555
ตูโชคดี ที่งานที่บ้านเป็นงานที่ตูชอบ แถมได้ทำตูนได้อีก โอย ฟิน
เซ็งวุ้ยไฟดับวันเสาร์ หม้อแปลงแม่งระเบิดมั้ง
ดับตั้งแต่ 10โมงแล้ว จะออกไปข้างนอกก็เสือกยังไม่ได้อาบน้ำ ไฟดับปั้มน้ำไม่ทำงาน
อ่านกระทู้นี้แล้วกูจับใจความได้ว่า
ถึงมึงจะเลือกทำงานที่มีความมั่นคงมากกว่างานที่มึงรัก มึงก็มีความสุขกับชีวิตได้ และมึงก็ยังสามารถทำสิ่งที่มึงรักได้ เผลอ ๆ อาจจะทำได้สบายกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ
ถ้ามึงใช้ชีวิตเป็น จัดระเบียบชีวิตเป็น วิธีของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะสบาย ไม่ต้องทำอะไรมาก บางคนอาจจะลำบากหน่อย ต้องใช้หัวคิดในการวางแผนมากกว่าคนอื่นหน่อย แต่ไม่ว่าแบบไหน ถ้ามึงวางแผนชีวิตถูก มึงก็จะได้ทั้งสองอย่าง
แต่ถ้ามึงยังทำตัวเหมือนเด็ก ไม่คิดไม่วางแผนอะไร งอแงจะเอาแต่สิ่งที่มึงอยากได้อยากทำ ไม่สนใจเรื่องอื่นรอบข้าง มึงก็จะเลือกเอาได้แค่อย่างเดียว
จากประสบการทั้งชีวิต ผมก็ได้ค้นพบว่าปัจจัยที่คนเราใช้เพื่อเลือกทำอะไรสักอย่าง มันมีแค่สามอย่างเท่านั้นล่ะ
1. ความสามรถ ความถนัด ทักษะ เมื่อทำอะไรสักอย่างแล้วทำได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ติดขัด ทำได้ดีกว่าคนอื่น เราย่อมอยากทำสิ่งนั้นมากกว่า
2. ความชื่นชอบ ความอยาก ทำแล้วมีความสุข ได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ แม้ผลงานจะแย่กว่าคนอื่น แย่กว่าคนส่วนใหญ่ แต่อย่างน้อยๆก็รู้สึกสบายใจเพราะได้อย่กับสิ่งที่เราอบ
3. เป้าหมาย เงิน ตำแหน่ง ศักดิ์ ความมั่นคง ชัยชนะ เราทำเพื่อบรรลุสิ่งที่ต้อง ทั้งที่จำเป็น และไม่จำเป็น
ซึ่งถ้าใครได้งานที่มีครบทั้งสามปัจจัยนั้น โคตรโชคดีเลยครับ แต่คงเป็นส่วนน้อยแบบสุดๆ อย่างตัวผมก็มีแค่ข้อแรกกับข้อสุดท้าย ข้อที่สำคัญมากๆอย่างข้อสองนั้นผมไม่ได้พบเจอในงานของผมเลย และที่เสียใจที่สุดก็คือ ไม่ได้เลือกงาน งานนี้ด้วยตัวเอง
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำ ก็อดทนอยู่กับมันต่อไป
>>555 ไม่เสมอไปว่ะ 2.แบบนั้นมันก็อาจจะไม่ใช่2ที่ต้องการจริงๆ แล้ว2.บางอย่างมันไม่ใช่ว่าจะทำเป็นเวลาว่างได้ ตัวอย่างเช่น อยากเป็นนักบินอวกาศ อยากเป็นหมอ หรือที่เด็กๆชอบพูดก็เช่นอยากเป็นนักเขียนการ์ตูน
บางคนมันอยากได้ทุ่มเท ได้ใส่เต็มกับความฝัน ความชอบจริงๆ เป็นอาชีพหลัก เป็นมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จจากการทำ2.เลย
ไอ้2.ที่ทำเป็นงานอดิเรกนี่มันก็ทำเพราะว่าตัวเองทำ2.เป็นอาชีพหลักไม่ไหว ก็เลยต้องพยายามหาอะไรที่ใกล้เคียงมาเยียวยาความผิดหวังของตัวเอง กูเชื่อว่าหลายคนตอนเด็กอาจจะเคยอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนนะ แล้วมีหลายคนที่ไปทางนั้นไม่ได้(ไม่ว่าจะเหตุผลทางบ้านต้องกลับไปช่วยกิจการ มือไม่ถึง ต้องบลาๆๆ) ก็เลยมาทำเป็นงานเสริมแทน เช่นวาดโดลงเน็ต รับจ้างวาดการ์ตูนตามโอกาส แต่กูเชื่อว่าต้องรู้สึกเสียดายกันมั่งแหละที่ไม่ได้ทำ2.แบบเต็มแรง ไม่มีโอกาสได้ทุ่มเทกับ2.อย่างสุดความสามารถ พอมองคนที่ได้ทำ2.อย่างสุดความสามารถ แม้มันจะไม่รวยเท่ามึง แต่มันได้ทำานที่มึงใฝ่ฝันมาตลอด มึงต้องอิจฉาแหละ
บางคนมันก็ให้ความสำคัญกับ2.มากกว่า1. แค่มันได้2.กับ1.หน่อยๆมันก็มีความสุขแล้ว กูเองค่อนข้างจะเชื่อว่าควรจะไปในทางที่ตัวเองเลือก ถ้ามึงมีความสามารถพอ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันนะ ว่าสุดท้ายมึงจะล้มเหลวเละเทะรึเปล่า
เลือก1.กับ3.ไปมันก็ดีกับชีวิตมึงนะ มีหลักประกัน ปลอดภัย และอาจจะมีเวลาว่างไปทำสิ่งที่ชอบได้แบบที่ข้างบนบอก แต่กูว่าการที่มึงมองไปเห็นคนอื่นได้ทำสิ่งที่มึงฝันแต่มึงไม่ได้ทำเองเพราะไปเลือกอย่างอื่น ทั้งๆที่มึงเชื่อว่ามึงทำได้ดีกว่าไอ้พวกนั้น มัเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากเลยว่ะ เพราะชีวิตมึงเกิดมาเป็นมึงคาชาตินี้ ไม่มีโอกาสหน้าให้ลองแล้ว
>>556 กูไม่อิจฉาพวกที่ทำ 2. นะ
ถ้ากูจะอิจฉาพวกนั้น กูก็ไม่เลือก 1. กับ 3. หรอก
กูไม่มั่นใจว่า กูจะทำ 2. ให้ประสบความสำเร็จได้อยู่แล้ว กูถึงไม่เลือก
หมออาจจะพอเป็นไปได้ง่ายหน่อย แต่นักเขียนการ์ตูน กับนักบินอวกาศ มันมีแค่กี่ % วะ จากคนทั้งหมดที่อยากทำอาชีพพวกนั้นในไทย
ให้กูซื้อหวยยังมีโอกาสถูกมากกว่าเลย ถ้านับคนที่ทำเป็นอาชีพหลัก เลี้ยงตัวเองได้นะ ส่วนที่ทำงานไปด้วยแล้ววาดการ์ตูนเป็นอาชีพเสริมแบบ >>547 ไม่นับ
อาชีพหลาย ๆ อาชีพ ใช้ความสามารถอย่างเดียวไม่พอ ต้องพึ่งดวงด้วย
นิยายหลายเรื่อง สนุก แต่ไม่ดัง เพราะได้คนวาดภาพปกไม่ดี ไม่ดึงดูดใจ
และอาจมีนิยายอีกหลายเรื่อง ที่สนุก ถ้าได้ตีพิมพ์อาจขายได้นับล้านเล่ม แต่ก็ไม่ได้ตีพิมพ์ด้วยซ้ำ เพราะคนที่เอาต้นฉบับไปพิจารณาอ่านแล้วไม่ถูกใจ
การ์ตูนบางเรื่อง ลอกคนอื่นมา ก็ดังได้ ถ้าคนของทางสำนักพิมพ์และคนอ่านกลุ่มแรก ๆ เป็นคนประสบการณ์น้อย ไม่รู้ว่าเขาลอกมา
ชีวิตมันก็แบบนี้
มึงไม่อิจฉา แต่คนอิจฉามี นั่นคือกูเอง ถ้ากูกลับไปเลือกได้กูคงเปลี่ยน
เป็นกูก็คงเลือก 1. กับ 3.
ชีวิตที่ผ่านมากูไม่ได้ต้องการการเติมเต็มความฝันอะไรขนาดนั้น ที่กูต้องการคือความมั่นคงปลอดภัย
จะว่ากูขี้ขลาดก็ได้ จะให้เดินไปตามความความฝันแบบ 2. เพียวๆ จนไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางสุดท้ายจะเป็นยังไงกูก็คงรับความเสี่ยงไม่ได้เหมือนกัน
กูนับถือคนที่เลือก 2. นะ รู้สึกว่าคนที่ไปตามความเชื่อของตัวเองนี่เจ๋งชิบหาย มึงกล้ามาก มึงเจ๋งว่ะ
แต่นั่นแหละ เพราะกูขี้ขลาดและต้องการหลักประกันในชีวิตไว้ก่อน กูคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกว่ะ
จะว่ากูเสียชาติเกิดก็ได้ แต่เกิดชาตินี้หรือชาติหน้าถ้านิสัยกูเป็นแบบนี้อยู่ กูก็คงเลือกเหมือนเดิมอยู่ดี
แต่กูก็มีความทรงดีๆในช่วงนึงที่ได้ลองทำตามความฝันตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายนะ
อย่างน้อยก็ได้ลองแล้วก็รู้ว่ามันล้มเหลว มันไม่เป็นไปตามนั้น แค่นั้นกูก็พอใจแล้วล่ะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.