ร้อยละ 90 ชายชอบเล่นว่าว แม้จะแอบยังไง มันต้องมีใครบังเอิญมาเจอสักครั้งต้องกำลังทำ
ร้อยละ 50 คนที่เจอ เสือกเป็นคุณแม่
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
Last posted
Total of 1000 posts
ร้อยละ 90 ชายชอบเล่นว่าว แม้จะแอบยังไง มันต้องมีใครบังเอิญมาเจอสักครั้งต้องกำลังทำ
ร้อยละ 50 คนที่เจอ เสือกเป็นคุณแม่
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
''คิดนอกกรอบ≠ ทำนอกกฏ''
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
เห็นหนุ่มน้อยรายหนึ่งกระแนะกระแหนสาวๆที่ชอบโพสต์รูปแฟนหนุ่มว่า "อวดผัว"
ดิฉันขำ พลางคิดในใจว่า เจ้าหนุ่มนั่นช่างอ่อนโลกนัก ใสซื่อจริงๆ
ผู้หญิงไม่ได้โพสต์รูปแฟนเพราะอยากอวด ไม่ได้โพสต์เพราะโลกสวยมีความสุข แต่การโพสต์มาจากเหตุผลที่สายวิชารัฐศาสตร์และยุทธศาสตร์เรียกว่า "Deterrence" ซึ่งภาษาไทยในวงการทหารเรียกว่า "การป้องปราม"
เนื้อหาดั้งเดิมของ "Deterrence" ในทางรัฐศาสตร์ หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐใดรัฐหนึ่งหรือกลุ่มรัฐใดรัฐหนึ่งนำมาปฏิบัติเพื่อส่งสัญญาณไปยังรัฐอื่นมิให้ดำเนินนโยบายที่ไม่พึงประสงค์ การป้องปรามนี้เป็นยุทธศาสตร์การข่มขู่ เพื่อชักจูงให้อีกฝ่ายเกิดความเชื่อว่า การกระทำใดๆที่ไม่พึงประสงค์จะมีผลเสียมากกว่าผลดี เช่น การพัฒนาระบบขีปนาวุธอย่างเปิดเผย เป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐอื่นว่าอย่ามาคุกคาม เป็นต้น
ในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง.. "Deterrence" มักปรากฎในลักษณะของการโพสต์รูปคู่หวานๆในโซเชี่ยลมีเดีย โดยเปิด public และ tag ฝ่ายชาย เป็นผลให้รูปนั้นปรากฏในพื้นที่ของฝ่ายชายด้วย เพื่อให้มนุษย์ในโลกและสังคมของฝ่ายชายเห็น แล้วตระหนักว่า ฝ่ายชายมีแฟนแล้ว มีเมียแล้ว หรือ แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว เป็นการส่งสัญญาณไปยังบรรดาสาวอื่นๆอย่างไม่เจาะจงว่า "เขามีเจ้าของแล้ว ห้ามยุ่งนะจ๊ะ" หรือ อาจมีเป้าหมายเจาะจงเพื่อส่งสัญญาณไปยังสตรีบางนาง ที่เรียกในวงเม้าท์เพื่อนสาวว่า "อีนั่น" หรือ "นังนั่น" เพื่อส่งสัญญาณว่า "ไสหัวไปซะ"
ด้วยเหตุนั้น รูปคู่ยิ่งเยอะ ยิ่งหวาน ยิ่งสะท้อนว่าคุกรุ่นมาก อย่าสะเหร่อเสี่ยงเข้าไปอยู่ใน theater of war หรือ ยุทธบริเวณ อันตรายมาก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Imawa no kuni no alice เรื่องนี้สนุก แนวจิตวิทยาและสืบสวน
แรกๆเหมือนจะสายมิตรภาพ ดูเป็นการ์ตูนสายโชเน็นทั่วไป
สักพักจะเริ่มคดีพลิกเรื่อยๆ
ตอนยี่สิบขึ้นไปจะเริ่มเข้มข้น
บางตอนให้อารมณ์อิคิงามิมาก โดยเฉพาะ 26.2
เมาคลีล่าเห็ด เมาคลีล่าเห็ด
เด็ดผักหวาน เด็ดผักหวาน
จุดไฟเผาเอามันให้เหี้ยน จุดไฟเผาเอามันให้เหี้ยน
ผักไม่กี่กำ ทำวอดวาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีแต่คนบ่นศก.ไม่ดีๆ
เลยไปเดินห้างฯดัง คนเต็มห้าง
ไปเดินผ่านร้านอาหารแพงสัสๆ แต่มี่ชื่อติดตลาด คนเต็มร้านแถมมีต่อคิวยาวโครตๆ
ตกลงศก.ไทยเราติดหล่มตอแหลกันอยู่ ฤ
คนไทยยังมือเติบกันอยู่แต่เลือกแดกเลือกใช้กันแต่ไอ้ที่ดังๆมากขึ้นโดยเฉพาะของนอกของนำเข้า ทำให้เม็ดเงินกระจายหมุนเวียนในประเทศไม่ทั่วถึง
#มิตรสหารโม่งท่านหนึ่ง
"โกงข้อสอบ
อันนี้พูดถึงเรื่องโกงข้อสอบทั่วๆไปนะ ไม่ได้พูดถึงเฉพาะกรณีการโกงสอบเข้าหมอรังสิตเคสเดียว เดี๋ยวอ่านแล้วจะว่า เอ๋ อาจารย์xxทำไมมาแก้ต่างให้พวกคนไม่ดี บ้ารึเปล่า พอดีเห็นปฎิกริยากับข่าวนี้แล้วมีประเด็นบางอย่างที่น่าสนใจแต่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง
ขึ้นชื่อว่า “โกง” ได้ยินก็โมโหแล้วใช่มะสำหรับคนไทยทั่วๆไปเนี่ย ราวๆสิบปีกว่าๆมานี้เป็นประเด็นสำคัญของประเทศเลย เรื่องโกง เรื่องคอรัปชั่น ประเทศชาติเราไม่เจริญก็เพราะคนโกงเนี่ยแหละ เป็นอะไรที่เลวร้ายมาก อันนี้ไม่เถียง แต่เราๆจบกันแค่ที่ด่าคนโกง อยากจับคนโกงไปประหารไง และวิธีแก้ปัญหาก็คือการสร้างจิตสำนึก สั่งสอนลูกหลานว่ามันไม่ดีนะ อย่าโกง จบอยู่แค่นี้ ซึ่งก็ถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด
ก็เหมือนกับทุกๆเรื่อง การลดทอนประเด็นปัญหาให้เหลือแค่ระดับ “บุคคล” โยนว่าเป็นเรื่องจิตสำนึก สันดาน ความละอายต่อบาปของแต่ละคน มันทำให้เราไม่เข้าใจกลไกของปัญหาอย่างแท้จริง แล้ววิธีแก้ปัญหาเราก็กลับไปที่ระดับบุคคล ไปสร้างจิตสำนึกอะไรเนี่ยไปเรื่อย คือทำแบบนี้ไปยี่สิบสามสิบปีมันก็ไม่ได้ผลหรอก ถ้าเราไม่ไปแตะตัว “โครงสร้าง” ที่ทำให้เกิดปัญหาด้วย
กลับมาที่เรื่องการโกงข้อสอบเนี่ยเราพูดกันแต่ประเด็นคุณธรรม จริยธรรม หมอผู้ใหญ่ก็ได้ทีออกมาเทศนากันใหญ่ว่าวิชาชีพแพทย์ต้องมีคุณธรรมสูง โกงเข้ามาอย่างนี้เป็นหมอไม่ได้หรอก ซึ่งไม่ถูกทั้งหมด ผมเป็นอาจารย์มาหลายปีแล้ว จะบอกว่าเจอทุกปีนะเรื่องนักเรียนลอกข้อสอบ ลอกงานมาส่ง โกงรีไควเมนท์ ให้คนอื่นทำแลปให้ ฯลฯ มีหมดแหละ ขึ้นอยู่กับว่าจะจับได้หรือเปล่า ถ้าเราคิดง่ายๆแบบข้างต้นนี่เราก็ชี้หน้าด่าไปเลยว่าเด็กพวกนี้เลวไม่มีคุณธรรม อย่าให้จบมาเป็นหมอเลย ไล่ออกให้หมดเถอะ
แต่เอาเข้าจริงเด็กเหล่านี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก หลายคนก็เป็นเด็กดี ใส่ใจคนไข้ มีน้ำใจกับเพื่อนฝูง เพียงแต่ ณ จังหวะนั้นๆมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ตรงไปตรงมากับการเรียน เช่น อ่านหนังสือไม่ทัน ตกสเตปแล้วตกสเตปอีก คนไข้จะมาไม่ได้แล้วแต่ดีไซน์ยังไม่ผ่านอาจารย์แม่งก็ไม่ค่อยเข้ามาตรวจ ไปจนถึงเหตุผลงี่เง่าๆแบบไม่ชอบเรียนวิชานี้เลย ลอกๆให้มันผ่านไปแล้วกัน เหตุผลมันมีหลากหลาย แล้วไอ้ระบบการเรียนการสอนในคณะก็มีส่วนเยอะที่ทำให้นักศึกษาต้องดิ้นรน เพราะถ้าไม่ผ่าน ไม่ได้รีไคว์เมนท์ สอบไม่ได้ เค้าจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง ใครที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอก็อาจจะเลือกการเอาตัวรอดโดยไม่เลือกวิธีการทั้งๆที่พื้นฐานก็ไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายอะไร
ลองมาคิดๆดูแล้ว สิ่งที่ทำให้เด็กนักเรียนมี “แนวโน้ม” ที่จะ “โกง” ข้อสอบ นอกจากการเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแล้ว อันหนึ่งที่สำคัญมากๆก็คือระบบการศึกษาบ้านเรามันเน้น “academic achievement” หรือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามาตั้งแต่ชั้นก่อนอนุบาลเลย คือถ้าคุณจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเนี่ย คุณต้องเรียนเก่งๆ สอบได้เกรดดีๆ พิสิกส์ เคมี ชีวะต้องแน่น แล้วไอ้นิยามการ “ประสบความสำเร็จในชีวิต” เนี่ยมันก็แคบมาก คือคุณก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้ อยู่ในคณะดีๆ เป็นหมอ เป็นวิศวกร ถ้าสายศิลป์ก็ต้องเข้าอักษรจุฬาหรืออะไรก็ว่าไป อย่างน้อยก็ต้องจบปริญญาตรีนั่นแหละถึงจะประกันว่าคุณจะมีชีวิตที่ดี ซึ่งการจะไปถึงตรงนี้คุณก็ต้อง “เก่งเรียน” เก่งในที่นี้คือเก่งเลข เก่งภาษา เก่งอะไรที่มันเป็น academic แม้แต่ถ้าอยากเป็นพ่อครัวก็ต้องเก่งเคมี จะได้เข้าฟู้ดไซน์ หรือเก่งอังกฤษจะได้เข้าการโรงแรม คือทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการเก่งหนังสือหมด มันถึงมีพ่อแม่ที่กำหนดตารางชีวิตให้ลูกแบบที่แชร์กันอยู่น่ะ นั่นคือโอนลี่เวย์ของการประสบความสำเร็จของเด็กไทยเลย
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>127 )
น่าจะเคยดูการ์ตูนอันนึงที่เป็น ลิง กระต่าย ปลา งู มาเข้าโรงเรียนด้วยกัน แล้วครูก็สั่งว่า เอ้า นักเรียนวันนี้เราจะสอบปีนต้นไม้กัน ใครปีนได้ดีจะได้เกรดดี การศึกษาไทยมันเป็นงั้นแหละ ใครเกิดมาฉลาดหน่อยก็เป็นลิง ปีนต้นไม้ฉลุย ใครโง่หน่อยเกิดมาเป็นกระต่ายแต่บ้านรวยก็จ้างครูมาสอนปีนต้นไม้ อาจจะปีนไม่เก่งเท่าแต่ก็ได้คะแนนดีได้ แต่กลับกันถ้าไม่ได้เกิดมาเป็นลิงแล้วดันจนด้วยก็เป็นปลาในโถ ออกจากน้ำก็ยากละ ยังต้องปีนต้นไม้อีก ต้องพยามกันขนาดไหนถึงจะสอบผ่าน แล้วถ้าสอบไม่ผ่านทางเลือกอื่นมันก็มีจำกัดเอามากๆ โลกนี้มีปลาเป็นล้านๆ ก็แย่งโอกาสที่เหลือกันเอาเอง สังคมบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ เน้นวัดกันที่การปีนต้นไม้ ทางรอดของคุณคือเกิดเป็นลิงไม่ก็บ้านรวย ถ้าเกิดมาเป็นปลาก็ต้องดิ้นรนเอาหนักๆ
บ้านเรามันไม่ค่อยมีนะ เด็กที่จะมีความฝันเป็นเชฟซูชิ เป็นช่างซ่อมรถเก่งๆ เป็นช่างไม้ฝีมือดี คือถ้าเป็นที่อื่นที่ “ความฝัน” ของคนมันหลากหลายและสังคมไม่ได้บ้าใบปริญญาเนี่ย ถ้าชอบทำกับข้าวมาก จบม.ปลายก็ไปทำงานร้านอาหาร ผ่านไปห้าหกปีก็เป็นเชฟ ก็ประสบความสำเร็จได้ แต่บ้านเราคนที่สู้ไม่ไหวในระบบการเรียนหนังสือมันจะถูกย้ำซ้ำๆว่าแกมันโง่ ไม่เก่งอะไรสักอย่าง จะลาออกมาฝึกอาชีพก็ไม่ได้พ่อแม่อยากให้เรียน ก็ทนๆเรียนอะไรที่ไม่ได้ชอบไป เกรดก็ห่วย จบมาได้ปริญญามาใบก็ไปทำอะไรที่ไม่ได้เรียนมาอยู่ดี วงจรมันก็แค่นี้
ที่ร้ายยิ่งไปอีกก็ระบบการเรียนบ้านเรามันเน้นกันที่ผลการเรียนแล้วมันก็เน้นผลกันจริงๆนะ คือถ้าคุณสอบได้ดีมันก็แปลว่าคุณสำเร็จ ไอ้กระบวนการเรียนรู้ระหว่างทางอะไรนี่ไม่ค่อยถูกเอามาวัดผล คือวัดศักยภาพกันในห้องสอบ การเรียนพิเศษมันถึงบูมนักในเมืองไทย แล้วระบบมันเป็นระบบแพ้คัดออกด้วย ครูเอย โรงเรียนเอยก็เอาใจ ประคบประหงมแต่เด็กเรียนเก่ง เด็กที่เรียนไม่ดีนี่ไม่ถูกมองเลย ปีนต้นไม้ไม่ได้ก็ดูแลตัวเองไปละกัน หลายคนที่ล้มเหลวในการเรียนมันก็ไปเอาดีด้านอื่น ดีหน่อยก็เล่นกีฬา แย่หน่อยก็ไปเป็นเนวัดดาวให้สาวกรี๊ด
ซึ่งเอาเข้าจริงมันไม่ใช่เรื่อง “รักดี” หรือไม่รักดีทั้งหมดด้วย บางคนอาจจะรักดีนะ แต่เกิดมาเรียนหลังสือไม่เก่งไง อ่านแทบตายก็ได้ดีได้ซี ถามว่าระบบการศึกษาเรามีพื่นที่ให้เด็กกลุ่มนี้ไหม ไม่มีหรอก ถ้าไม่มีตังค์เข้าเอแบค ก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นรองๆไป ครูแนะแนวไม่สนใจด้วยซ้ำเด็กพวกนี้
ไอ้ช่องว่างตรงนี้มันเลยถ่างออกเรื่อยๆ ถ้าเทียบกับประเทศอย่างฟินแลนด์ที่ระบบการศึกษาเค้าเน้นทุ่มงบดูแลเด็กที่เรียนอ่อนนะ เค้าคิดว่าพวกนี้แหละที่ต้องดูแลพิเศษ จะได้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แนวคิดมันต่างกันเลย
สรุปคือมันอยู่ใจจิตสำนึกของเด็กไทยทั่วๆไปเลยล่ะ ว่าคะแนน ว่าการสอบมันคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผลลัพธ์คือตัวกำหนดชะตาชีวิต มันอยู่แบบไม่รู้ตัวด้วยว่าลึกๆเราคิดแบบนี้ แต่คนที่เรียนมาในระบบนี้ก็มีสัญชาตญานการเอาตัวรอดแบบนี้มาไม่มากก็น้อยแหละ ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ต้องการความสำเร็จตรงนี้มากๆโดยที่ไม่เลือกวิธีการ
To be clear นะ การโกงยังไงก็ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะแก้ปัญหานี้จริงๆ มันต้องสร้างระบบการศึกษาที่มีพื้นที่ให้เด็กประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องโกงขึ้นมาด้วยน่ะ"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
กำ ยังพิมพ์ไม่เสร็จ มือลั่น
พอเรียนไม่เก่งเท่าคนอื่น แม่งก็เลือกที่จะโกง ทั้งๆที่ระบบมันก็เป็นงี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ปัญหามันอยู่ที่สันดานของเด็กชัดๆ
เพราะฉะนั้น การแก้ไขโดยการปลูกจิตสำนึกไม่ให้โกงกูว่ามาถูกทางแล้ว แต่วิธีการแม่งกากไปหน่อยเลยไม่เห็นผล
ถ้าเรียนแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ต่อไปจะไปอยู่ในสังคมได้ยังไง
สมัยก่อนเขาลำบากกว่านี้เยอะ เด็กสมัยนี้ถูกเลี้ยงดูมาสบายเกินไป จนกลายเป็นเจเนอเรชันไม่เอาถ่าน
เดี๋ยวนี้เข้าถึงข้อมูลได้มหาศาล แต่เสือกโง่กันเอง ค้นคว้าหาข้อมูลมาพัฒนาสติปัญญาไม่เป็น มัวแต่เล่นเกมกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค
>>127-128 จับแพะชนแกะ เออใช่ ระบบมันมีปัญหา แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ข้อสอบเข้าแพทย์ต้องยาก ข้อสอบแพทย์/และ/หรือสายอาชีพอื่นๆที่ต้องใช้ฝีมือมันต้องยากอยู่แล้ว จะบอกว่าฮาวาร์ตเข้ายากเพราะระบบมีปัญหาด้วยมั้ย และยิ่งไม่ใช่สาเหตุทำให้คนต้องโกง คนโกงคือเหี้ย คือไร้จริยธรรม ในกรณีนี้คือพ่อแม่ที่ provide เงินค่าโกงก็เหี้ยด้วยเลยสอนมาแบบเหี้ยๆ
"เฮ้ย เด็กแม่งโกงว่ะ แต่แก้ปัญหาที่ตัวบุคคลมันไม่โอเค เราต้องแก้ที่ระบบ ต้องสร้างระบบการศึกษาที่มีพื้นที่ให้เด็กประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องโกงขึ้นมาด้วย"
เอิ่ม เอาไงดีวะ ให้ทุกคนที่เข้าสอบได้เรียนหมอหมดเลยดีมั้ย จะได้ไม่มีความจำเป็นต้องโกงตอนสอบ
ไม่สิ แค่นั้นไม่พอหรอก ถ้าเรียนไม่ไหวทำไง เดี๋ยวแม่งโกงตอนเรียนอีก ให้ทุกคนเรียนจบโดยไม่มีเงื่อนไขด้วยเลยสิ!
เฮ้ยเดี๋ยว! ถ้าแม่งโกงตอนหางานทำไงวะ? ก็ให้ทุกคนได้ทำงานเลยสิ! แค่นี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องโกงแล้ว แฮปปี้ๆ เย้
...เราต้องเอาใจเด็กขนาดนี้เลยเหรอวะ กูว่ามันแปลกๆนะ
ไอ้เรื่องโกงมันมีมาตลอดแค่พัฒนาไปตามเทคโนโลยีวะ อย่างของกูเด็กโรงเรียนสวนฯ พวกโกงสอบก็มีให้เห็นาตลอด6ปี ทั้งแม่งไม่ตั้งใจอ่านก่อนสอบเลยโกง เด็กระบบบ้านใกล้(แต่มาสายรัวๆ)เลยไม่เห็นคุณค่าการเรียน เด็กโดดเรียนไปเล่นเกม เด็กหน้าหม้อไปเหล่แถวสตรีวิทย์-สยาม ฉลาดเรื่องเหี้ยๆบางตัวเอายาแดงมาทาตีนแล้วผ้าก๊อชพันเพื่อหลอกครูก็มี บ้างก็ขยันเข้าหาครูช่วยโน่นช่วยนี่ถึงบ้านก็มีพอครูเผลอก็แอบเหล่ข้อสอบที่ครูทำค้าง พวกนี้ถึงตอนสอบก็โพยรัวๆ ฯลฯ จะอ้างว่าเรียนไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่เพราะแม่งอยู่ในตำรากับที่ครูเอามาเขียนบนกระดาน(ไม่ตั้งใจดู,จด คือพลาดเอง) ข้อสอบบางข้อมีรียูทนี้ตัวเดียวกับในการบ้านที่ใช้ทำส่งเลยเพื่อดูว่าทำจริงก็จำได้หรือลอกจนลืมเอง
ส่วนไอ้เรื่องสอนปลาปีนต้นไม้เอากระต่ายไปว่ายน้ำฯลฯ กูว่ามันมีพวกสถาบันวิชาชีพเฉพาะให้นะเว้ยแต่คนมันไม่เอามากกว่าเพราะมันดูต่ำไร้ชื่อเสียง (ตกลงผิดที่ระบบหรือผิดที่คนเลือก)
สุดท้าย พวกเทคนิคเทคโน-เด็กช่าง-เด็กศิลป์เลยมีแต่ตัวเหี้ยๆ เช่น นิยมยกพวกตีกันหรือเรียนไม่รอด มารวมกันแทน
กูเลยมองว่าสังคมแม่งเป็นแต่โทษโน่นโทษนี่นะ ส่วนไอ้วิธีแก้ไข ก็มีแต่เงี่ยนต้องเลียนแบบตามประเทศเจริญแล้วอย่างเดียวแต่ไม่มองบริบทสังคมไทยว่ามันใช้กันได้ไหม
การโทษระบบและหลีกเลี่ยงการโทษตัวบุคคลมันเป็นความคิดแบบริเบอร่าน
เกิดอะไรเหี้ยๆขึ้นมาก็เพราะระบบทั้งนั้น
อีกซักหน่อย ก็คงมีคนออกมาแก้ต่างให้อีดาราแฮรี่พอตเตอร์ที่เลี่ยงภาษีว่าทำไปเพราะระบบไม่เป็นธรรม
โอเค เรื่องเดินพรมแดงเมืองคานส์:
สาระมันคือความเข้าใจของคนและการให้ข้อมูลของสื่อ คือดาราไทยอย่างคุณชมพู่ได้มาเดินเพราะสปอนเซอร์จัดมาให้ถึงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหนังเลย ก็เป็นเรื่องปกติ คือเดินรอบออฟฟิเชียล มีรถมาส่งหน้าพรม มีการจัดการ ก็สวยดีน่าชื่นชม เดินเข้าแล้ววนออกเลยหัวบันได คงไม่เข้านั่งดูหนังโรมาเนียสามชม. แต่ที่คนอ่านคนดูควรรู้จากสื่อด้วยคือ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น วันนึงคนเดินเป็นพัน ดารานางแบบมาจากทุกที่ (เดินกัน 10 วันติด นี่เพิ่งสาม) มันเป็นการตีข่าวของพีอาร์/สปอนเซอร์ ให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ให้ดูเว่อร์ ควีนเควินอะไรนั่น... ซึ่งอย่างที่ว่า มันทำได้ เป็นปกติ แค่พอเว่อร์มากคนก็อาจรำคาญบ้าง ประเด็นคืองานเทศกาลคานส์ใหญ่ มีอิทธิพล และแต่ละคนสามารถจินตนาการให้มันเป็นไรก็ได้ โดยเนื้อแท้นี่คือการเฉลิมฉลองภาพยนตร์ ศิลปะภาพยนตร์ (โอเค หนังเลวก็มีอ่ะนะ) ดังนันคนที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์จะได้รับเกียรติสูงสุด แต่ถ้าใครจะฉกฉวยโอกาส เปลี่ยนงานภาพยนตร์เป็นงานแฟชั่น งานขายของ เครื่องเพชรเครื่องสำอางค์ ก็ทำไป ขอให้มีความเข้าใจสาระบ้าง เหมือนฟุตบอลโลก ถ้าได้ไปเตะคือประเทศดูมีศักดิ์ศรีมาก แต่ถ้าแค่ได้เชิญไปนั่งโชว์ตัวในงานเปิด มันก็เท่านั้น สื่อไทยบางทีไปเล่นเรื่องเล็กเพราะพลังพีอาร์มันเยอะ แต่เรื่องใหญ่กลับไม่สนใจ เช่นตอนมีหนังไทยเข้าสายประกวด หรือปีนี้มีหน้งเก่าสันติวีณา ฉายสายคลาสสิค
Queen of Cannes ถ้าจะเอาจริง ก็คือดาราที่มีหนังแล้วโดดเด่น เดินพรมก็สวยอีกต่างหาก ถ้าคนอื่นอยากได้ตำแหน่งนี่ก็หลอนกันไปได้ ไม่มีปัญหา ภาพยนตร์คือการหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นอยู่แล้วนี่นา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โกงก็คือโกงเป็นการเอาเปรียบคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมา ถ้ากูเห็นใครเอาเปรียบกู กูอาจจะไม่โวยเดี๋ยวนั้นแต่มึงอย่าเผลอให้กูเอาคืนก็แล้วกัน เพราะกูไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบกูแล้วจะลอยหน้าลอยตาผ่านกูไปได้นานหรอก กูจะวางยามึงทุกเมื่อที่มีโอกาสเลย
จะวานใคร...อย่าใช่คำว่า...ไม่มีเวลา
...เขาใช้คำว่า..."ไม่มีปัญญา"
หัวค่ำที่ผ่านมาวันนี้
ได้มีโอกาส Drink n Chat กับ Group CEO
(หมายถึงหัวหน้า CEO แต่ละประเทศอีกที)
ที่บินมาเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพ
มาวันนึง พรุ่งนี้จะไปต่อว่างั้นเถอะ
.
.
.
Agent ของเขาบอกว่าผมเป็น Must Meet
ต้องมาเจอให้ได้
ถ้าจะขยายธุรกิจมาไทย
ก็เลยได้เจอกัน
.
.
ผิดคาดที่ 1
เพราะดูจากตำแหน่ง
คิดว่าจะเป็นผู้ใหญ่กว่า
ดันเป็นคนรุ่นเดียวกัน
แต่เป็น Group CEO เลยนะ
งานสูทมา
(แล้วอะไรดลใจ...ให้กูใส่ขาสั้นวะเนี่ย)
.
.
.
ผิดคาดที่ 2
ปกติเจอพวก Young Success อายุน้อยๆ เนี่ย
ต้องมีไหวพริบมาประดาบกันบ้าง
แต่กับคนนี้ไม่ใช่...น้อบน้อมมาก...
ไหว้เยอะกว่าคนไทยกันเองอีก
.
.
...ชั้นไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้เลย....
...ถึงจะมีข้อมูลเยอะ...ชั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจ
...ชั้นมีเวลาทั้งคืนเลย...ถ้าจะไม่รบกวนคุณเกินไป
(ได้ข่าวว่าต้องขึ้นเครื่องตีสามนี่)
.
.
พูดขนาดนี้...ขอมาเหอะ...ช่วยหมดแหละ
.
.
อย่าคิดว่าผมโง่...ที่ดูพวกเชลียร์ไม่ออกสิครับ
แต่คนนี้ไม่ใช่
และเป็นวัตถุดิบ...ที่ทำให้บทความนี้สมบูรณ์
_______________________________
หลายสัปดาห์ก่อน
ผมโดนตัวแทนของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ทาบทามให้ไปเป็น MD ของ eCommerce แห่งหนึ่ง
"ผมไม่น่าไหวหรอกครับพี่”
เราก็ปฏิเสธไม่ให้น้ำขุ่น
.
.
.
มาช่วยหน่อยสิ...ผรินทร์...คือพี่ “ไม่ค่อยมีเวลา”
วลีสุดท้าย...ทำให้ผม “ฟิวส์ขาด”
ความรู้สึกพุ่งวูบขึ้นมาเลย
.
.
เมิง “ไม่มีเวลา” แปลว่า “กูว่าง” ใช่ไหม
แปลว่า “เวลาพี่” มีราคามากกว่า “เวลาผม” สินะ
.
.
ผมตัดบทวางสาย
และโทรไปหาผู้ใหญ่ท่านนั้นตรงๆ
“...ด้วยความเคารพครับพี่"
"...ผมว่าพี่ทบทวนบทบาท ของตัวแทนพี่ดีกว่าครับ”
“...พี่อย่าใช้คนนี้ทำงานเลยครับ...จะเสียชื่อพี่เปล่าๆ”
_______________________________
คำว่า “ไม่มีเวลา”
มันตีได้หลายความ
ถ้าอยู่กับประโยคบอกเล่า เช่น
“น่าสนใจนะ...แต่คงไม่มีเวลา”
จะแปลว่า “ตัดบท”
.
.
.
ถ้าอยู่กับประโยคขอร้อง เช่น
"มาช่วยหน่อยสิ...ผรินทร์...คือพี่ “ไม่ค่อยมีเวลา”
หรือประโยคคำถาม เช่น
“พี่ไม่ค่อยมีเวลา...นายทำได้ไหม”
ก็แปลว่า “เวลาผมแพงนะ ให้เกียรติด้วย”
จะอวด “รวย” อ้อมๆ นั่นแหละ
.
.
ถ้า “ไม่ได้” คิดจะอวด
แต่พูดดันคำพวกนี้
ก็แปลว่าคุณนี่ไม่ระวังปากพอตัว
.
.
.
ลองถามตัวเองดู
ถ้าได้ยินคนพูดว่า..
...คุณทำได้ไหม...ผมไม่มี “ปัญญา”
กับ
...คุณทำได้ไหม...ผมไม่มี “เวลา”"
ใครน่าช่วยกว่ากัน
จะวานใคร...อย่าใช่คำว่า...ไม่มีเวลา
เห็นด้วยเรื่องการลดทอนปัญหาการโกงให้อยู่ในระดับบุคคล ลืมมองโครงสร้าง
ผมชอบบทความที่ [มิตรสหายท่านหนึ่ง] เขียนเมื่อเร็วๆ นี้ เธอยกตัวอย่างที่โคตรง่ายและใกล้ตัว แต่ [มิตรสหายบางท่าน] ไม่เข้าใจ นั่นคือ "ธนาคาร" ว่าวันหนึ่งเงินสดผ่านมือเจ้าหน้าที่มากเท่าไหร่ ทำไมมันไม่หายไปดื้อๆหรือธนาคารเจ๊ง
เหตุผลเพราะ เจ้าหน้าที่ธนาคารมีบุคลิกหน้าตาดี ผิวพรรณดี หล่อสวย หรือ นามสกุลมีชื่อเสียง หรือ พูดภาษาอังกฤษคล่อง จบมหาลัยมีชื่อเสียง หรือ เป็นคนธรรมมะธรรมโม ชอบทำบุญ ดูแล้วน่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นคนโกง ใช่หรือไม่?
มันเกิดจากระบบที่แข็งแรงของธนาคารครับ มีการใช้กลไกทางบัญชีและเทคโนโลยีต่างๆ ตรวจสอบ เงินผ่านมือใครเป็นจำนวนเท่าไหร่ต้องตรวจสอบได้ บางขั้นตอนต้องมีลายเซ็น มีกล้องวงจรปิด การเปิดตู้เซฟทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีอีกคนไปด้วยเป็นพยาน มีการลงชื่อ ฯลฯ
ผมเคยทำงานขาย วันๆ หนึ่งถือเงินสดอยู่ในมือไม่ต่ำกว่า 5 หมื่น สุดท้ายก่อนปิดยอด ผมก็ต้องเอาเงินสดไปส่งทางการเงิน recheck ว่าตรงกับยอดขายที่เราขายไปไหม ในใบเสร็จก็มีสำเนาที่ลงลายเซ็นเราว่าเป็นคนขายเคสนี้ มีปัญหาเก็บเงินผิดขาดเกินอย่างไรเขาตามตัวเราได้เพราะมีหลักฐาน
ถ้าไม่มีระบบแบบนี้ ผมอาจจะจิ๊กไปวันละพันก็ได้ ใครจะไปรู้
ปรัชญาเรื่องความโปร่งใสเนี่ย ของตะวันตกเริ่มจากแนวคิดว่ามนุษย์เรามีโอกาสทำชั่วได้พอๆ กัน เขาจึงออกแบบระบบให้แข็งแรงมีผลเชิงสาธารณะ แต่ของไทยมันมีมายาคติเรื่องบุญบารมีวาสนา บาปบุญ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลแถมประเมินไม่ได้อีก พอไปยึดติดจริยธรรมศีลธรรมส่วนบุคคล มันก็เลยยิ่งเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ จิตใจคนนี่มันซับซ้อนเอาแน่เอานอนไม่ได้นะ ระบบหรือกฎจึงสำคัญกว่าเพราะมันไม่ขึ้นอยู่กับตัวแปรส่วนบุคคล
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ต้มยำกุ้ง In one concise essay
สมัยนั้นดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศต่ำกว่าของในไทยมาก
แบงค์ + financial institutions ต่างๆในไทยหัวใส ก็เลยไปกู้เงิน dollar จากต่างประเทศมาปล่อยในไทย แล้ว profit จากส่วนต่าง
แบงค์อยากได้เงินมากๆก็เลยปล่อยกู้ง่ายๆ เจ้าของธุรกิจ/คนธรรมดาได้ใจเลยกู้กันใหญ่ทั้งที่อาจจะไม่สามารถทำให้เงินที่กู้ที่มา turn profitable ได้
ตลาดเลย heat up ขึ้น bubble เลยเกิดขึ้น NPL (non-performing loans) ก็เกิดขึ้นเพราะคนที่กู้ไปใช้เงินไม่เป็น
พอค่าเงินบาทถูกลอยตัวเพราะ over reliance on US dollars แบงค์ก็ฉิบหายเพราะเงินที่กู้มาหนี้ทวีคูณจ่ายคืนไม่ได้ ประกอบกับ NPL ที่ accumulate คนานับ ก็เลยซวย 2 ชั้น
แบงค์ถึงเจ๊ง เจ้าของธุรกิจก็เจ้ง เจ้งกันทั้งประเทศ
ก็เพราะ fundamentals ที่ไม่ดีพอ กล่าวคือ "ความโลภ" กับ "ความเง่า" นั่นเอง
"หลังจากเรียกพ่อไม่ตื่น พวกเราประสาน 1669 ให้มารับตัวพ่อส่งโรงพยาบาล บ้านผมอยู่ห่างจากโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมของพ่อ 15 กิโลเมตร แต่โดยหลักการแพทย์ฉุกเฉินและผู้ป่วยวิกฤติ ต้องนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อน พ่อจึงถูกนำส่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ใกล้บ้านขึ้นมาอีกหน่อย ห่างบ้านประมาณ 11 กิโลเมตร
.
หลังจากยุติการปั้มหัวใจเพราะไม่มีสัญญาณชีพขึ้น เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาบอกให้ไปปิดบิล ผมแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่า พ่อมีสิทธิ์ประกันสังคม และเราขอใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน (มีอาการวิกฤติ) ที่สามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่ไหนก็ได้ โดยโรงพยาบาลนั้นจะเบิกคืนเอาจากกองทุนที่สังกัดอยู่ (พ่อใช้ประกันสังคม) เจ้าหน้าที่ทำหน้าไม่พอใจนิดหน่อย สุดท้ายคืนนั้นเราไม่ต้องจ่ายเงิน เซ็นเอกสารใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน จ่ายเพียงค่าน้ำยาอาบศพและค่าเก็บศพไว้ 1 คืน (1700 บาท)
.
รุ่งเช้า มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งว่า ยังเอาศพออกไม่ได้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อคืนนี้ เกือบสามพันบาท อ้างว่าเบิกจากการใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉินไม่ได้ ผมถามเหตุผลว่าทำไมไม่ได้ ก็ตอบไม่ชัดเจน พูดซ้ำแต่ว่าเบิกไม่ได้ พอผมอ้างสิทธิ์และอธิบายให้เขาฟัง ก็บอกผมว่า เบิกได้เพียง หนึ่งพันบาท ต้องจ่ายเพิ่มอีกเกือบสองพัน
.
ผมจึงขอพบผู้ตรวจการโรงพยาบาล ชี้แจงสิทธิ์ที่ผมขอใช้ ผมอ้างถึงคำประกาศของรัฐในเรื่องนี้ ในการใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน และไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินใดๆทั้งสิ้น เพราะเราส่งประกันสังคมทุกเดือน สุดท้ายผู้ตรวจการโรงพยาบาล ขอเวลาประมาณ 5 นาที กลับมาเอาเอกสารให้ผมเซ็น บอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ แล้วให้ใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉินได้จากกองทุนประกันสังคม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ความสำเร็จคือมายา
ขายคอร์สสัมมนาสิของจริง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อย่าทึกทักว่าผู้อื่นเจตนาร้าย เขาอาจจะแค่รู้น้อยก็ได้"
คติข้อนี้น่าสนใจ และเป็นข้อเตือนใจที่สำคัญของผมเองในการปฏิบัติตนกับผู้อื่น โดยเฉพาะนิสิต/นักศึกษา
บางครั้งที่ได้รับอีเมลจากนิสิตผมจะรู้สึกขัดใจเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับโกรธ ที่อีเมลไม่มีคำขึ้นต้น คำลงท้าย ไม่มีการลงชื่อ ไม่มีการแนะนำตัว มีเพียงแต่ข้อมูลที่ส่งมาให้อย่างห้วนๆ ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย และในบางครั้ง ไม่มีแม้แต่ข้อมูลที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ชื่อของผู้เขียน มีแต่ email address ที่ไม่สื่อให้ทราบว่าเป็นใคร (เช่น cute-bunny-xoxo@gmail.com) ทำให้เราไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้โดยง่าย
ทุกครั้งที่พบเหตุการณ์เช่นนี้ผมจะพยายามตอบโดยให้ความช่วยเหลือตามปกติ โดยไม่นำเรื่องมารยาทมาเป็นเหตุให้เกิดอคติหรือลงโทษ แล้วจึงแถมข้อความว่า "ขออนุญาตตักเตือนว่าเวลาเขียนอีเมล ควรมีคำขึ้นต้น ลงท้าย และลงชื่อทุกครั้งนะครับ ฝึกทักษะการสื่อสารอย่างมืออาชีพไว้นะครับ" นิสิตบางท่านก็จะกรุณาตอบกลับมาว่าจะน้อมรับไปปฏิบัติ บางท่านก็อาจจะได้เรียนรู้อย่างเงียบๆ
จนเมื่อวานนี้ ผมจึงได้รับการเปิดหูเปิดตาจากนิสิตท่านหนึ่งที่ตอบมาอย่างจริงใจว่า "อาจารย์ครับ คำขึ้นต้น คำลงท้าย มันคืออะไรเหรอครับ?"
ผมจึงได้ทราบว่านิสิตท่านนี้ไม่เคยมีเจตนาที่จะเสียมารยาท ตรงกันข้าม เขากลับมีความเคารพและเชื่อใจในตัวเราอย่างมากจึงได้กล้าถามคำถาม และกล้าแสดงความไม่รู้ให้เราได้เห็น และพร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำไปพัฒนาตนเองต่อไป แต่สาเหตุที่เขาไม่สามารถสื่อสารทางอีเมลได้อย่างมืออาชีพ อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยได้เรียนรู้ในเรื่องนี้มาจากที่ใดเลยต่างหาก
เขาไม่ทราบว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า "เสียมารยาท"
เขาไม่ทราบว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า "มีมารยาท"
เขาทราบแต่ว่า เขาต้องการจะสื่อสารกับอาจารย์ และเขามีเจตนาดี มีความเคารพอย่างจริงใจอยู่ในใจตลอดเวลา
เขาอยากจะทำทุกอย่างให้ดี แต่เขาไม่ทราบจริงๆ ว่าทำอย่างไร
ความรู้สึก "ขัดใจเล็กน้อย" ที่เกิดขึ้นกับผมตอนแรก ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเจตนาร้ายของใครเลย แต่เกิดขึ้นเพราะผมไม่ทราบว่าเขาไม่ทราบ
ส่วนหนึ่งเราอาจมองเป็นความผิดของเขาที่ไม่รู้จักฝึกฝนตนเอง แต่อีกส่วนหนึ่งเราอาจมองว่าเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษา ไม่ว่าในระดับประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา ที่ไม่สามารถสอนทักษะพื้นฐานเช่นนี้ให้กับเขาได้ ซึ่งในโลกจริงของการทำงาน ทักษะเหล่านี้อาจสำคัญยิ่งกว่าทักษะทางเทคนิคด้วยซ้ำไป
หรือเราอาจจะมองอีกแง่หนึ่ง มันจะเป็นความผิดของอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้สถานการณ์นี้ตกอยู่ในมือของเรา และเป็นหน้าที่ของเราในฐานะของอาจารย์ที่ต้องช่วยแก้ไข จะแก้ได้หรือไม่ได้เราก็ควรพยายามหาหนทาง
ทางที่ผมเลือกก็คือการตอบอีเมลในลักษณะที่ให้ความรู้และความปรารถนาดี ผมบันทึกร่างอีเมลฉบับนี้ไว้เผื่อว่าอาจจะนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีกในอนาคต
------------------------------------------------
สวัสดีครับ_____
ผมไม่ถือสาเรื่องคำขึ้นต้น-ลงท้ายครับ แต่นิสิตควรทราบมารยาทพื้นฐานในการสื่อสารนี้ไว้ ในโลกจริงของการทำงานการสื่อสารอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ ขอแนะนำให้ศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ของคุณเองครับ
การเขียนอีเมลอย่างมืออาชีพนั้นไม่ต่างกันเท่าไรนักกับมารยาทในการเขียนจดหมายกระดาษ (ที่คุณอาจเคยเรียนมาในวิชาภาษาไทยระดับมัธยม หรือประถม) คือต้องมีคำขึ้นต้น คำลงท้าย และการลงชื่อที่เหมาะสม
ตัวอย่างคำขึ้นต้น:
- เรียนคุณสมศักดิ์,
- สวัสดีครับอาจารย์สมศรี,
- กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี,
- Dear Professor Johnson,
- Hello Mr Jeff Bezos,
ตัวอย่างคำลงท้าย
- ด้วยความเคารพอย่างสูง (ใช้กับผู้ใหญ่ ผู้ที่อาวุโสสูงกว่าเรามาก ที่ต้องแสดงความเคารพเป็นพิเศษ)
- ขอแสดงความนับถือ (ใช้กับเพื่อนร่วมงาน หรือผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางการงาน)
- ขอบคุณครับ/ค่ะ (กรณีที่สนิทกัน)
- smile emoticon (กรณีที่สนิทกันมาก หรือกำลังพูดกับผู้มีอาวุน้อยกว่าและต้องการแสดงความเป็นกันเอง)
- Sincerely,
- Best regards,
จากนั้นจะต้องลงชื่อ โดยอาจลงชื่อเล่นก็ได้ (กรณีที่รู้จักชื่อเล่นกันอยู่แล้ว) แต่ควรต้องเขียนชื่อจริงกำกับด้วย (ยกเว้นกรณีที่ทราบแน่ชัดแล้วว่าชื่อจริงคืออะไร) เพื่อให้การสื่อสารมีความชัดเจน และเพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้รับสาร ในการปฏิบิติตามคำร้องขอในอีเมล (เช่น การแก้ไขคะแนน หรือการตรวจสอบข้อมูล) ในกรณีที่ส่งคำร้องในนามของกลุ่มก็ควรจะลงชื่อคนทั้งกลุ่ม
สำหรับงานที่คุณส่งมา____________________________
ขอให้โชคดีในการ_____________ครับ
smile emoticon
- mock
-----------------------------------------------
>>144 >>145
เมื่อก่อนกูเป็นคนติดวิธีพูดไทยคำอังกฤษคำ อิทธิผลจากที่ทำงาน
จนวันหนึ่งกูคิดขึ้นมาได้ ถ้าสื่อสารแล้วคนฟังไม่รู้เรื่อง ถือว่าเป็นการสื่อสารที่ล้มเหลว
ตั้งแต่นั้นมา คำไหนใช้คำไทยตรงๆได้ หรือสามารถอธิบายได้ตรงความหมายจริงของคำนั้น กูจะใช้ภาษาไทยก่อน
คำไหนไม่ไหวจริงๆ เป็นศัพท์เฉพาะทางสายงาน หรือใช้ภาษาไทยมันยืดยาดเกิน หรือใช้ภาษาไทยแล้วรู้สึกความหมายเพี้ยน
กูถึงใช้ภาษาอังกฤษ เช่น ธรรมาภิบาล Good Governance เป็นต้น
การหัดเขียน-คัดลายมือ-เขียนด้วยมือ มีทั้งดีและเสีย
ข้อเสีย คือ น่าเบื่อและขี้เกียจ(พิมพ์คอมฯ copy&pasteจบ) แถมนิ้วเป็นตาปลาอีก
ข้อดี คือ มันทำให้มึงอ่านตัวหนังสือออก
ปัจจุบันเด็กไทยอ่านผิดเขียนไม่เป็นมีจำนวนที่เยอะแบบรู้สึกได้ อย่างเลวถึงขั้นไม่รู้จัก ms office ช่างน่าใจหาย. นั่นแสดงว่าเด็กไทยกลายเป็นพวกขี้เบื่อขี้เกียจกันมากขึ้น และจะมีแนวโน้มว่าเด็กไทยสายไอทีจะมีทักษะบางอย่างที่โง่ลงแบบมีนัยยะแฝง
#มิตร รับจ้างพิมพ์รายงาน ท่านหนึ่ง
= ชมพู่ ไปคานส์ แต่มึงน่ะควรแขวนคอตายบนคาน =
.
ชมพู่ ไปเดินพรมแดงที่คานส์ ใครก็บอกว่าสวย คนไทยยินดีปรีดา ภูมิใจประหนึ่งชมพู่ได้รับคัดเลือกให้เล่นหนัง TITANIC ฉบับรีบูท ที่จะกำกับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน ยังไงยังงั้น ฝรั่งบางคนถาม แม่นี่ใคร? แต่โอเค ในเมื่อมาแล้วก็กดชัตเตอร์สองสามแชะ กันพลาด เผื่ออาจเป็นอนาคตดารานางแบบชื่อดัง ต้องถ่ายเก็บไว้ก่อน แล้วหันกล้องไปหาดาราคนอื่นๆต่อไป ชมพู่ ในความหมายของคนไทยคือ ควีน ออฟ เรด คาร์เป็ท แต่ชมพู่ในความหมายของเทศกาลหนังเมืองคานส์ คือ หุ่นโชว์เสื้อผ้าหน้าสวยที่เดินได้ (แรงไปหน่อยแต่มันน่าจะเป็นงั้น)
.
โอเคมันเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ อันนี้ไม่เถียง ชมพู่ สวยมาก สวยจนอยากกลับไปหักแผ่นหนัง คุณนายโฮ ทิ้งเลย แต่..... ไอ้พวกที่ชื่นชมชมพู่ แล้วเสือกลากเอาพรมแดงไทย ดาราไทยคนอื่นๆที่ไม่รู้หีรู้แตดอะไรด้วยออกมาด่าแล้วเปรียบเทียบอย่างนั้นอย่างนี้ มึงบ้ารึเปล่า อีสัส แค่ระดับงานมันก็ต่างกันแล้ว คานส์ กับ สุพรรณหงส์ คานส์ กับ โทรทัศน์ทองคำ คานส์ กับ ยันม่าคูโบต้ายามาฮ่าอวอร์ดส์ มันก็ไม่น่าจะเทียบกันได้เลยแม้แต่ปลายหมอย แต่ทุกๆงานมันมีเกียรติของมัน การเดินพรมแดงของดาราไทย เดินอยู่ดีๆ พอมีดาราไทยอีกคนได้ไปเดินเมืองนอก ดาราที่เดินดุ่มๆโชว์นมโชว์เต้าอยู่เมืองไทยโดนลากมาด่าเฉยเลย ไอ้สัสกูงง มีใครงงบ้างวะ แล้วเขาเดินพรมแดงในไทย ไม่มีปัญญาไปเดินที่เมืองนอกนี่สมควรต้องไปกราบส้นตีนชมพู่เลยเหรอวะ การได้ไปคานส์นี่ต้องเป็นเทพให้คนมากราบตีนเลยเหรอ กูงงจริงๆนะสัส
.
เหมือนมึงเป็นโรคจิต เป็นพวกประสาทเสียที่ชื่นชมใครแล้วชอบเอาสิ่งที่ห่วยกว่ามาเปรียบเทียบ ชอบลากคนอื่นมาด่าเพื่อดันให้คำชื่นชมของมึงใหสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น คือมึงจะชื่นชมคนสักคนแบบไม่ต้องไปด่าใครได้ป่ะวะ มีปมเหรอ พ่อแม่มึงรักพี่รักน้องมึงมากกว่าเหรอ โดนครูประจำชั้นเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมห้องที่วาดรูปสวยกว่ามาตั้งแต่เด็กเหรอ ถึงได้ชมใครเฉยๆไม่ได้ต้องลากใครมาด่าให้เสียหมาไปด้วย
.
โอเค ชมพู่ สวยจริง แต่กูเฉยๆ ใหม่ ดาวิกา กูก็เฉยๆ แต่ เต๋อ นวพล ไปนี่กูเข้าใจได้ แกเป็นเคสที่น่าภูมิใจที่สุดแล้วสำหรับคนไทยในปีนี้ อย่างพี่เจ้ย พี่ศักดา แก้วบัวดี ที่ไปบ่อยๆนี่ก็เป็นคนไทยที่ฝรั่งบอกว่าเป็น จีเนียส โดนถ่ายรูปจนแสบตาไปหมด ส่วน ชมพู่ นี่ไปในฐานะแบรนด์ แอมบาสเดอร์ ซึ่งถ้าหากเจ้าของแบรนด์จ้าง ตุ๊กกี้ หรือ อ่างเถิดเทิง เป็นพรีเซ็นต์เตอร์ กุก็คิดว่า สองคนนี่ก็น่าจะได้ไปเดินเหมือนกัน มันก็เข้าใจได้ว่าเป็นความภูมิใจที่คนไทยได้ไปยืนที่นั่น แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนมึงชื่นชมคนสักคนว่าสวย แล้วทำไมต้องไปลากอีเงือกที่ไหนก็ไม่รู้มาด่าเสริมคำชมมึงด้วย กูไม่เข้าใจ อธิบายกูที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อุตส่าห์เสียเงินสมัครเป็นสมาชิก Internet TV Channel แล้วต่อเข้า Roku เพื่อจะได้ดูทีวีไทยชัด ๆ แบบ HD ออกทีวีจอใหญ่ ๆ กับเขาบ้าง
เมื่อสักครู่ลองเปิดทีวีช่อง 3 ก็พบกับละครย้อนยุคในฉากบ่าวไพร่กำลังทะเลาะกันอยู่ในครัว ส่งเสียงแว๊ด ๆ ทำหน้าตาปากเผยอเกินกว่ามนุษย์ปรกติจะทำกัน
รู้สึกเสียดายเงินทันที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เออ งงเหมือนกัน ใหม่กะชมพู่มีดราม่าไรกัน เห็นมีแต่คนอวยชมพู่ แต่กูว่าใหม่เลือกงานดีกว่าชมพู่เยอะอะ แต่ดูจากบุคลิกก็โอเคทั้งคู่นะ
เคยอ่านเจอนักวิชาการท่านหนึ่งเค้าอธิบายไว้ (แต่จำชื่อไม่ได้) ท่านบอกว่า เมื่อ 60 - 100 ปีก่อน สามีหาเงินคนเดียว ส่วนภรรยาไม่มีรายได้ ภรรยามีหน้าที่ทำงานบ้านทุกอย่าง และไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับใคร สามีจึงต้องให้เงินทุกบาทแก่ภรรยา เพื่อเป็นการตอบแทน
แต่ปัจจุบัน ภรรยาก็ทำงานมีรายได้เหมือนกัน แถมได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง งานบ้านก็ช่วยๆกันทำ แล้วทำไมสามียังต้องให้เงินทุกบาทแก่ภรรยา เหมือนเมื่อ 100 ปีก่อนด้วย (รวมทั้งสินสอด)
I keep hearing people unfairly call Islamic culture restrictive or oppressive when the opposite is true. In fact, it's actually quite similar to the wild and free American counter-culture of the 60s. Just that, instead of acid leading to sex, Muslim women having sex leads to acid.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตลกดี เพิ่งเอา Grab ขึ้นเวที Startup อวยกันอยู่แหม็บๆ.. ตอนนี้รัฐบาลฟันฉับแล้ว.. ย้อนแย้งดีนะประเทศนี้
เมื่อกี้เลื่อน feedไปเจอเพื่อนคนนึงเม้นแซวเพื่อนอีกคนนึงอยู่ ซึ่งเป็นคำแซวแบบซ้ำๆเดิมๆที่คงจะโดนแบบนี้มานาน
เลยทำให้คิดถึงเรื่องวันนี้
วันนี้ที่ทำงานส่งไปอบรมเรื่องการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วงนึงของการอบรมอาจารย์พูดเรื่องการล้อเลียนคนอื่นด้วยความสนุกปากและมองว่าแค่นี้ทำไมต้องโกรธ
(อ้างอิงเคสชายพิการโดยรุมทำร้ายจนตาย และรุ่นน้องอาจารย์ที่โดนวิพากษ์วิจารณ์จมูกที่ศัลยกรรมมา จนตัดสินใจฆ่าตัวตาย)
ประโยคนึงที่อาจารย์พูดแล้วเราอินมากคือ เราไม่มีทางรู้เลยว่าคำล้อเลียนที่คนๆนี้โดนมันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในชีวิตเค้า คุณอาจจะล้อเค้าครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้เขาอาจจะโดนมาแล้ว 99 ครั้ง ซึ่งฟางเส้นสุดท้ายมันอาจจะจบที่ครั้งที่ 100 ที่คุณพูดพอดี
กลับมาที่เรื่องเพื่อนเรา เราเชื่อว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครชินหรอก เค้าแค่กำลังรักษามารยาทและสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเพื่อน และคงไม่อยากถูกมองว่า "แค่นี้ก็ต้องโกรธด้วยหรอ"
ทำไมคนที่แซวถึงไม่เคยคิดแบบเดียวกับเพื่อนเราบ้างนะ
เพราะเมืองไทยใครจะทำะไรก็ได้ แม่งไม่เคยคิดอะไรหรอก
ก็ GRAB มันไม่จ่ายภาษี ถถถ
Grab มันนอกระบบนี่ ปกติจะเปิดเนื้อหาด้านการบริการแทกซี่ หรือว่ามอไซค์มันต้องจดทะเบียนเข้ากับที่กรมขนส่งก่อนนี่ตามกฎหมาย เข้าใจว่าพวก Grab พวก Uber พวกนี้ไม่ได้จดทะเบียนนี่ ปัญหานี่มันก็เกิดกับหลายประเทศนะ
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กฎหมายกำหนดให้ต้องจดทะเบียน ก่อน Grab, Uber จะมาอีก ถูกกฎหมายต้องป้ายเหลือง
จะจัดตั้งวินใหม่ก็ต้องยื่นเรื่องขอ อยู่ดีๆมาตั้งเองไม่ได้นะ ถึงเราจะเป็นเจ้าของซอยก็เหอะ
แม้แต่กรณีเพิ่มมอไซในวินก็ต้องขออนุญาตก่อนด้วย
สถานะ Grab , Uber ตอนนี้ = วินเถื่อน เถื่อนแบบไปได้ทุกโซน
Common sense is uncommon
จากใครซักคนที่กุเห็นด้วย
สรุป สั้นๆ —
กรณี Grab และ Uber = ฟันธงได้เลย รัฐไทยไม่เข้าใจระบบเศษฐกิจใหม่ ขาดวิสัยทัศน์ที่จะเข้าใจเรื่อง Start Up (ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปถกเถียงว่า Start Up มันจริงหรือไม่จริง) ปัญหาคือแต่ดันอยากมีอยากได้ และมันก็เข้าอีหรอบเดิมในแบบเกาะวาทกรรม ระนาบเดียวกับ Global Warming, Fintech, Globalization, Re-Engineering, Sustainability หรือคำหรูๆอื่นๆที่สังคมไทยชอบเฮโลเป็นในระดับปรากฎการณ์แต่ไม่ใช่สำนึก ไม่มีการปฏิบัติจริง
เบบี้บูมเมอร์นี่เตรียมวางแผนอนาคตให้ใช้กันอีกยี่สิบปี? อยากจะหัวเราะออกมาให้เหมือนคนเสียสติ แค่นิยามคำว่าอนาคตของคุณแม่งยังโคตรเก่าเลย
หรือว่า... ส่วยพวกนี้ท่าจะเยอะมากหรืออย่างไร Grab และ Uber มาทำลายเนตเวิร์คอู่ข้าวอู่น้ำ? ตลกดีระบบเก่าที่พึ่งพิงไม่ได้แต่ดันกลับได้รับการปกป้อง ในขณะที่ระบบที่ตรวจสอบได้ไม่ได้รับการสนับสนุน ตรรกะนี้มันใช้กับทุกเรื่องในบ้านเราเลยจริงๆ
ขอแสดงความนับถือให้กับนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
ที่คุณพิสูจน์ฝีมือให้เห็นแล้วจนญี่ปุ่นยังต้อง ขี้โกง เพื่อเอาชนะเรา
#โม่งพิมพ์
ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ขี้โกง ตอแหลมานานแล้วครับ
ไม่เชื่อมึงดูปกAV กับเนื้อในดูสิหน้าก็อปเกรตกากเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ภรรยาบังคับเขียนหนังสือแล้ว ผมบอกให้เธอเขียนก่อน ผมอยากรู้ว่าเธอทำยังไงให้ Joysfulness เปลี่ยนจาก Startup ที่ใช้เงินหมุนกันเดือนละแค่แสนกว่าบาท มาเป็น SME ที่ปีนี้ยอดแตะ ร้อยล้านในปีที่ 3 ถือว่า break even เร็วพอสมควร และเตรียมแผนคืนเงินลงทุนและดอกเบี้ยให้ผู้ลงทุนแล้ว ในขณะที่กระแส Startup เต็มประเทศแต่การโตแบบเงียบๆของเธอมันคืออะไรที่ผมแม้จะนอนข้างๆด้วยทุกคืน ก็ยังไม่รู้ว่าวันนึงๆเธอต้องทำอะไรบ้าง ผมว่าเธอน่าสนใจกว่าเยอะ
กลางเดือนหน้าเราจะมีโอกาสไปพักผ่อนที่ภูเก็ตสั้นๆเสาร์ อาทิตย์ และจะได้เจอกับผู้บริหาร eCommerce จากเกาหลีใต้คนนึง ผมมีปัญหาปฏิเสธคนไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่เคยช่วยเหลือกันเวลาลำบาก เธอเลยเสนอไอเดียว่าเราไปเจอผู้ใหญ่คนนั้น และไปพักผ่อนด้วย ส่วนเรื่องปฏิเสธให้เป็นหน้าที่เธอเอง...
นี่แหละครับ เลือกเมียดี สบายร้อยแปด
ชมเยอะนิดนึงครับ พรุ่งนี้พาน้องๆทีมงานไปกินเลี้ยง จะได้ของบก่อนออกจากบ้านตอนเช้าได้เยอะนิดนึง #ขอบคุณครับ
คนไทยกลุ่มนึงชอบทำอะไรสุดโต่ง แต่ข้อเสียคือทำในเวลาที่สั้นมาก
เกลียดก็เกลียดสุดโต่งในระยะเวลาสั้นสั้น
รักก็รักสุดโต่งในระยะเวลาที่สั้นพอๆกัน
hero และ villain ในประเทศนี้เลยอายุสั้น ผลัดกันเกิดแก่เจ็บตายวนเวียนกันมาให้เห็นไม่ซ้ำหน้าตลอดเวลา
เมื่อเดือนก่อนเราเพิ่งเห็นข้อความ "ganbattene, kumamoto" ให้กำลังใจภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่นอยู่แหม่บๆ
มาวันนี้เราได้เห็นข้อความ "สมควรแล้วที่พวกขี้โกงต้องเจอแผ่นดินไหว" หรือ "ขอให้สินะมิถล่มประเทศมันทุกปี"
และก็คงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นคนกลุ่มเดิมๆ เช็กอินที่ญี่ปุ่น พร้อมโพสภาพ Instagram ชิคชิค ในช่วงวันหยุดปลายปีที่จะถึงนี้
"มากกว่า 90% ของคนที่ห้อยฟิกเกอร์สิทธัตถะ ไม่เคยอ่านคำภีร์ของเขา!"
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
จอมขวัญ : ก่อนออกหมายจับ ทำไมถึงไม่มีทีมแพทย์หรือบุคคลที่3 ไปพิสูจน์ว่าท่านป่วยมาไม่ได้จริงๆตามที่เขาอ้างไว้
DSI : เอ่อ.......อันนี้ผมขออนุญาตไม่ตอบ อย่างที่ว่ามันเลยขั้นตอนมาแล้ว
จอมขวัญ : ???
***********
รายการถามตรงๆกับจอมขวัญ ช่องไทยรัฐทีวี ในช่วงที่จอมขวัญโฟนอินกับรอง DSI
? ทำไมถึงเลยขั้นตอน ทั้งที่ยังไม่ได้ทำ
? ทำตามขั้นตอนทุกอย่างอะลุ่มอ่ะหล่วยตามที่พูดจริงหรือ
? เลยขั้นตอนอะไร ลัดขั้นตอนหรือไม่
? ทำไมถึงเร่งรัดออกหมายจับ
? หากไม่เชื่อว่าท่านป่วยจริงทำไมไม่ส่งแพทย์มาตรวจ ทำไมถึงไปขอหมายจับเลย ...ขั้นตอนตรงนี้หายไปไหน
? ถ้าไปแล้ว หลวงพ่อเป็นอันตรายต่อชีวิตใครจะรับผิดชอบ
วางแผงแล้ว "นักไม่วาดการ์ตูน เล่ม7 เล่มอวสาน"
เป็นการ์ตูนที่ชอบมากๆ ยืนยันว่าเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจในการทำงานยิ่งกว่าเรื่อง Bakuman ร้อยเท่า (แต่ไม่ดังเท่า Bakuman เพราะเรื่องนี้คนเขียนไม่ดังเท่าไหร่) เรื่องนี้สามารถนำมาใช้เป็นหลักในการทำงานได้ทุกๆวงการ โดยเฉพาะ "วงการหนังไทย"
อ่านแล้วนึกถึงคนในวงการหนังไทยเลย คือ มีคนแบบตัวละครในการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ (เยอะด้วย) โดยแบ่งออกเป็น 2 พวก
พวกแรก "เพื่อนๆพระเอก" แต่ละคนเคยทำผิดทำพลาดกันทั้งนั้น ทั้งทำการ์ตูนเจ๊ง เรทติ้งตก โดนคนด่า โดนทำร้ายจิตใจสารพัด ร้องไห้เสียใจ แต่ก็ไม่ล้มเลิก ยังคงพยายามฮึดสู้ จนทำความฝันสำเร็จ (แม้แต่ตัวละครที่ไร้พรสวรรค์ ก็ยังหาหนทางในการทำความฝันจนสำเร็จ) ประมาณว่า ยิ่งด่า กูยิ่งทำ มีไรป่ะ
พวกที่สอง "พระเอก" เป็นคนที่ไม่ยอมลงมือทำ อ้างนั่นอ้างนี่สารพัด กลัวทำพลาดแล้วโดนด่า ก็เลยไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง แล้วเอาเวลาไปนั่งวิจารณ์ (ด่า) ผลงานของคนอื่นๆ ทำตัวแบบเพจอวยไส้แตก แล้วก็คุยโวว่า "แหม ถ้ากูทำบ้างนะ ผลงานกูเจ๋งกว่าไอ้พวกนั้นแน่นอน" (จริงๆคือ มึงด่าเค้าไว้เยอะ เลยไม่กล้าทำผลงานของตัวเอง เพราะกลัวทำสู้เขาไม่ได้ แล้วจะโดนด่ากลับ)
ซึ่งวงการหนังไทยก็มีคนแบบนี้เยอะ คือ ไม่ยอมลงมือทำผลงานของตัวเอง (ทั้งๆที่ไม่มีใครห้ามทำ และมีช่องทางให้ทำมากมาย นอกเหนือจากการเอาบทไปเสนอค่ายหนัง) แต่กลับทำตัวเป็นนักวิจารณ์ปากหมา เขียนด่าหนังชาวบ้านไปวันๆ ถึงขนาดนั้นมีการ "ตั้งกลุ่ม" ใน facebook จับกลุ่มคุยโวว่า ไอเดียหนังของตัวองดีกว่าหนังเรื่องอื่นๆที่ออกฉายซะอีก (ประมาณว่า อวยกันเอง ชมกันเอง ครื้นเครงในกะลา)
สุดท้ายการ์ตูนเรื่องนี้จะลงเอยยังไง ลองไปหาเรื่องนี้มาอ่านดู 7 เล่มจบ แนะนำเลย
ไม่ว่าจะวงการธุรกิจ ลงทุน การสงคราม หรืองานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าวัดมองในแง่ของความสำเร็จ...
"ผู้ที่ล้มและตาย จะเป็นฐานหรือพื้นให้ผู้ชนะได้เหยียบย่ำขึ้นไปเสมอ"
บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า อย่าทำอะไรครึ่งๆกลาง ลุยให้สุดทาง เพราะแทบทุกงานในโลกนี้มันเป็นแบบ win-lost กันทั้งนั้น คุณได้เขาไม่ได้ เขาได้คุณไม่ได้ รางวัลที่ยิ่งใหญ่มีให้สำหรับหลับคนที่ไป"สุด"เท่านั้น...ไปได้บนสุด ลึกสุด เก่งสุด เจ๋งสุด เฮงสุด ...สุดๆ ไม่มีสำหรับคนที่ทำอะไรครึ่งๆกกลางๆ กกล้าๆกลัวหรอก ส่วนคนที่สุดจะเอื้อเฟื้อคนข้างล่างอย่างไรก็เท่านั้นเอง
เรามาถึงยุคที่โรงพยาบาลต้องออกมาเรี่ยไรเงินเพื่อสร้างตึกผู้ป่วย (โรงพยาบาลอื่นก็ควรทำนะ) ดูแล้วเหมือนรัฐไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพประชาชน? ปัญหาโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยแทบจะ 100% ของโรงพยาบาลรัฐ!! มันเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดดราม่าระหว่างผู้ป่วย/ญาติ กับหมอและพยาบาล และมีทีท่าว่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ งบบางงบดูเหมือนรัฐจะใช้อย่างไม่ลังเลคงไม่ต้องเอ่ยนะ
ทีนี่มามองในส่วนของประชาชนบ้าง ในความเห็นส่วนตัวผมว่าเราควรเปลี่ยนค่านิยมบางอย่างเช่น การทำบุญด้วยการสร้างโบสถ์ใหญ่ๆ แพงๆ สร้างพระใหญ่ๆ และรวมไปถึงศาสนสถานอื่นๆ มี่เน้นความใหญ่และหรูหรา แล้วหันมาช่วยกันสนับสนุนโรงพยายาลกันดีกว่า เรายังขาดแคลนตึกผู้ป่วยและเครื่องมือในการรักษาอีกมากมาย ส่วนวัดก็ทำนุบำรุงให้เป็นสถานที่สะอาดและสงบมีป่าต้นไม้เยอะๆ เรียบง่ายแค่นั้นก็พอนะ
"เราไม่รู้ว่าทำไมคนในแวดวงการศึกษาถึงได้ obsessed กับการสอนให้เด็กรู้จัก ความลำบากและความเจ็บปวดกันนัก คือเข้าใจว่า ความทรมานมันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตแต่ทำไมจะต้องเพิ่มความทรมานที่ไม่จำเป็นให้เด็กในโรงเรียนเข้าไปอีก ทั้งๆที่ช่วงเวลาสิบกว่าปีแรกในรั้วการศึกษามันควรเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เด็กมีความสุขและ productive เพื่อให้เด็กมีฝัน มีหวังว่าจะทำให้บ้านเมืองที่แย่ๆนี่มันดีขึ้นได้
เข้าแถวเคารพธงชาติเงี้ย มันไม่ได้สะท้อนความเป็นระเบียบอะไรเลยนะเอาจริง มันไม่ได้สอนว่า เวลาคุณมาก่อน คุณจะได้ของก่อน มันแค่เป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่างที่บังคับให้คุณต้องทำ แต่สุดท้ายแล้วพอคนไม่บังคับคุณ คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำตามพิธีกรรมดังกล่าวอีกต่อไปแล้วอ่ะ
ทรงผมก็เหมือนกัน พวกที่อ้างว่า การตัดผมสั้นเป็นการให้เด็กสนใจแต่การเรียนแนะนำตัดติ่งหู ขาวสามด้านไปทำงานด้วยนะคะ จะได้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น เผลอๆคนพูดเวลาทำงานก็นั่งเล่นเฟส ทำตัว worthless แบบพวกขี้แพ้ไปวันๆด้วยซ้ำ
เครื่องแบบเคยพูดไปแล้วว่ามันไม่ใช่เครื่องมือสร้างความเท่าเทียมอะไรหรอก ตราบเท่าที่ทัศนคติการเหยียดยังมีอยู่ คนจะใส่อะไรก็เหยียดกันได้อยู่ดี
หลายคนลืมไปว่าเราก็เคยเป็นเด็ก เด็กที่เกลียดการเข้าแถว ก่นด่าครูที่พูดหน้าเสาธงเหมือนกับไม่ได้พูดกับใครมานานนับสิบปี อากาศเมืองไทยก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นมิตรต่อมนุษย์เท่าไหร่ด้วย แต่ก็ชอบมีการหาเหตุผลเพื่อมา romanticize การกระทำไร้แก่นสารนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าแถวย่างสดนักเรียนด้วยระดับแสงแดดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การ public shaming ที่เข้าข่ายการกระทำความรุนแรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดผมให้แหว่ง การตัดขากางเกง หรือการใช้ไม้เรียวฟาดเด็กก็ตาม มันเหมือนเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ชาตินี้วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการใช้ความรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ
หรืออย่างกฎระเบียบก็เหมือนกัน การที่จะทำให้คนเข้าใจคอนเซบว่าคนเราต้องเคารพกฎหมายในสังคมเนี่ย พื้นฐานง่ายๆเลยคือเราไม่ไปละเมิดชาวบ้าน เราเคารพสิทธิของชาวบ้านเขาเหมือนๆกับที่เราอยากให้เขาเคารพสิทธิของเรา แต่ไอกฎที่โรงเรียนพยายามพร่ำสอนมันตรงข้ามอ่ะ มันคือการเร่ง process จนผลลัพธ์มันบิดเบี้ยวไป มันเป็นการบังคับเด็กให้ทำตามระเบียบโดยตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไม"
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>186 กูว่ากฎพวกนี้มันก็ย่อหย่อนลงขึ้นเรื่อยๆนะ เทียบกับสมัยกูเรียน20+ปีก่อน
แต่ทำไมมันถึงมีแต่ข่าวคุณภาพเด็กมันเหี้ยลงมากขึ้นแทนวะ? ทั้งเย็ดวัยเรียนกันมากขึ้น ตีกันชนิดเอาถึงตายเพราะแย่งควย แว้นท์สก้อย(ยุคกูยังปั่นแค่bmxอยู่ช่วงเลย) เด็กเรียกร้องมากขึ้นขอตังค์คนไม่รู้จักไปเที่ยวนอก(เสี่ยตัน)ยังด้านทำมาได้แถมไม่ใช้คืนด้วย โกงข้อสอบกันแบบมีวิวัฒนาการ สอบตกไม่ซ้ำชั้น นักเรียนทำผิดห้ามครูทำโทษเด็ก ฯลฯ
>>190 กูไม่กล้าเทียบหรอกแต่กูรู้อยูุ่อย่างว่าเดี๋ยวนี้หลักฐานมุนเยอะเพราะมือถือมันอัดวีดีโอได้ง่ายแถมจะลากประวัติเหี้ยๆกันก็ง่ายเพราะเจ้าของประวัติดันพิมพ์ลงไปเองในเฟซบุ้คอย่างไม่ละอาย อย่างดีเจเก่งอ่ะโดนถ่ายคลิปตั้งแต่ตอนถอยชน, แล้วออกมาตอแหล, สุดท้ายคนไปดูประวัติที่มันเก็บแต้มชนนิดชนหน่อยกับหลายๆคนหลายๆที่ ก็เลยโดนสังคมกระหน่ำขนาดนั้น
ล่าสุดกลุ่มกระหรี่ที่เอาลูกไปป่วนร้านอาหารก็อัดคลิปฆ่าตัวตายลงเฟซตัวเองตอนนี้ดังสมใจเลยมึง
วันนี้ได้ข้อมูลจากบริษัทของคนสนิทใกล้ตัว ที่เป็นบริษัท online platform ยอดขาย 100 ล้าน
ใช้ข้อสอบ Recruit ตำแหน่ง Programmer ทั้งหมด 5 ข้อ โดยข้อ 1 คือจง เขียนโปรแกรมเพื่อแสดงผล "Hello world"
และข้อยากสุด คือ เรียง String
ผลลัพท์ผู้สมัครงาน 95% ทำข้อแรกไม่ได้ โดยการมาสมัครตำแหน่งโปรแกรมเมอร์
และตลอด 4 ปีที่ผ่านมามีคนทำได้ 5 ข้อครบทั้งหมด 2 คนถ้วน... #โลกนี้ช่างโหดร้าย
มีใครเจอบ้าง ผมไม่เจอขนาดนี้นะ...
>>186-191 ยุคกู(พ.ศ. 252X-253X )ไม่มี bully รังแกคนพิการแฮะ มันเริ่มเหี้ยระดับนี้มาตั้งแต่ปีไหนวะ ?
ยุคกูคือโดนแกล้งมาต้องต่อยกลับวะ จะแพ้ชนะช่างแม่งแต่ต้องสู้กลับเอา ถ้าโดนรุมก็เล็งเอาไอ้ตัวหัวโจกไปก่อน
ยิ่งโดนขึ้นห้องปกครองก็ดีคุยกับครูผู้ชาย บอกมันทำกูก่อน ไม่ได้เล่นๆด้วย
ลากพ่อแม่แม่งมาเคลียร์ยิ่งดี เพื่อบอกว่ากูไม่สนุก เล่นๆกับมึงด้วย ถ้าพ่อแม่มันไม่ใช่พวกสปอยลูกก็จบเร็ว
อย่ากลัวอายแต่มันจะอายแทน อีกฝ่ายแม่งจะพาลหงอกลัวไปเอง แถมดัดนิสัยได้ดีด้วย
มายุคนี้เจอข่าว เด็กนรก6ตัว นี้ก็แสดงว่ากู่ไปไกลเกินวะ
พิมพ์ไม่หมด คือมีการแกล้งกันแต่ของโรงเรียนกูคือไม่มีรังแกคนพิการนะ หรือเพราะโรงเรียนกูเป็นโรงเรียนคริสต์เอกชนด้วยมั้ง(ประมาณคุณภาพ/ค่าเรียนสถาบันมีผลต่อประเภทเด็กที่เข้ามา)
แบบกูเห็นหลายๆคนมาตั้งแต่ประถมเป็นพวกแกล้งคนพอขึ้นมัธยมก็เลิกไอ้นิสัยนี้กัน คงเริ่มรู้ตัวว่ามันไม่ดีก็เลิกทำ
กูเด็กยุค 90 เกิดมาตัวเล็กแต่สมัยเรียนประถมกูเข้าตั้งแต่อนุบาล1สนิทกับเพื่อนในห้องเลยไม่โดนแกล้ง มีบางประปรายจากเด็กห้องอื่นที่ไม่สนิท
ตอนป.1เรียนกับเพื่อนที่เป็นดาว ไม่มีใครแกล้งหรือดูถูกเด็กคนนั้น(โรงเรียนบ้านนอกสังคมต่างจังหวัดด้วยแหละ)
เรียนมัธยมมีโดนแกล้งนิดหน่อยแต่ไม่หนักมากออกแนวแกล้งขำๆ
พอทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กพิเศษจากประสบการณ์ เด็กประถมต้นไม่ค่อยมีปัญหาว่ะ อาจจะมีหงุดหงิดบางถ้าทำกิจกรรมแล้วทีมตัวเองได้คะแนนน้อย สรุปคือถ้าเด็กอยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กปัญหาไม่ค่อยเกิด ส่วนระดับม.ปลายเคยเจอเคสเหี้ยมาก เด็กเป็นMRโดนเพื่อนแกล้งรุมตบตัวหนักพอๆกับในคลิปนี่แหละ ทำลับหลังอาจารย์ด้วย(เหมือนจะหมั้นไส้เด็กMRแต่ต่อหน้าไม่ทำ) โชคดีที่รรติดกล้อง
มึงเอาการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนมาปนกับคดีกระทืบคนตายเนี่ยนะ มันคนละอย่างกันเลย
แล้วกูถามหน่อยว่าไอ้พวกคดีวัยรุ่นฆ่าคนตายนี่สมัยก่อนมันนี่ไม่มีหรอ?
"สินค้าตัวโชว์ยังไม่มาเลยพี่ทำไงดี"
"เอาตัวอย่างมาสแกน แล้วยิงโฮโลแกรมสามมิติล้ำๆไปเลย"
#มิตรสหายเจนยูท่านหนึ่ง
เด็กยุคนี้ถึงขั้นขี้กันหน้าห้องน้ำ เยี่ยวใส่กระถาง อ้วกข้างๆโต๊ะแขกคนอื่น พอเขาเชิญออกก็ขู่จะถ่ายคลิปประจาน
ทำไมพ่อแม่เด็กยุคนี้มันหน้าด้านไปไกลขนาดนี้แล้วครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพิ่งได้ดูคลิปเด็กผู้หญิงอายุ 15 มีเพศสัมพันธ์กับนักเรียนชายผิวดำ 25 คน ในห้องน้ำของโรงเรียน
สังคมยุคนี้ช่างเสื่อมทรามจริงๆ
สังคมเสื่อมทรามเพราะคนไม่มีน้ำใจอย่างมึงไม่ลงssนี่ละ
"วันนี้แปลงานบางอย่างแล้วคิดว่าถ้าเป็นศัพท์เทคนิคหรือกึ่งเทคนิค ควรเขียนภาษาอังกฤษลงไปเลย เพราะคนอ่านจะได้ไปค้นต่อได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมาคิดศัพท์เป็นภาษากึ่งดิบกึ่งดีกึ่งน่านิยมกึ่งไม่น่านิยมกึ่งไทยกึ่งบาลีกึ่งสันสกฤตให้ชวนงงกันอีกต่อไป เนื่องจากเราอยู่ในยุคสมัยที่ภาษาอังกฤษเป็นที่เข้าใจง่าย และต้องใช้มันเป็น 'ฐาน' ในการค้นคว้าต่ออยู่แล้ว ดังนั้น การไม่คิดคำภาษาไทย (ย้ำว่า-ในบางกรณีนะครับ) จึงไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่เป็นเรื่อง 'ไม่จำเป็น' ต้องทำให้เสียเวลา เพราะทำแล้วเป็นโทษมากกว่าคุณ อย่างมากก็แค่ได้อวดภูมิการคิดคำเท่านั้น
ทำให้นึกถึงกรรมการตัดสินงานเขียนคนหนึ่งที่เล่าว่า กรรมการอาวุโสคนหนึ่งไม่ชอบให้มีภาษาอังกฤษปรากฏอยู่ในงานเขียนเลยแม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นในงานตัดสินที่มีกรรมการท่านนั้นอยู่ด้วย จะไม่มีงานเรื่องไหนที่ชื่อ (หรือเนื้อในบางส่วน) เป็นภาษาอังกฤษผ่านเลย ไม่ว่าจะเขียนดีสักเพียงใดก็ตาม แม้กระทั่งบางเรื่องที่เนื้อในไม่มีภาษาอื่นเลย แต่ชื่อเรื่องตั้งมาสองภาษา (คือทั้งไทยและอังกฤษ) ก็ยังไม่ให้ด้วยซ้ำไป แม้กรรมการจะถกเถียงกันอยู่เป็นเวลานาน (เพราะงานชิ้นนั้นดี) แต่ที่สุดก็พ่ายพลังแห่งความอาวุโสที่ให้เหตุผลว่าเราเป็นคนไทย ฉะนั้นต้องคิด 'คำไทย' ออกมาให้ได้
คิดว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการปะทะกันของยุคสมัย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ย่อหน้าบนนี่อยากถามจังเลยว่าไม่รู้จักเชิงอรรถเหรอ
>>211 บางอย่างทับศัพท์ไปเหอะ จริงๆนะแบบไอ้พวกหนังสือเชิงคณิตศาสตร์งี้แบบ เอกภพภินทนะแบบไมเปนอันดับ ภาษาอังกฤษคือ Discrete Non-ordered Universe ภาษาอังกฤษเข้าใจง่ายกว่าเยอะ อ่านแล้วก็พอเข้าใจว่าไอ้นี้มันหมายถึงอะไรไม่ต้องมานั่งแปลไทยเป็นไทย หรือเจอศัพท์นี้ก็ต้องมานั่งพลิกเทียบหาคำต้นฉบับมัน
>>212 กูไม่เข้าใจทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษเลยวะ เข้าใจว่าบางคำมันแปลยากและไม่แปลก็ค่าเท่ากัน แต่พวกศัพท์เทคนิคมันมีศัพท์ทางการที่ราชบัณฑิตแปลให้แล้วก็พอใช้ได้ อีกอย่าง ศัพท์เทคนิคมันต้องมีการอธิบายประกอบเพื่อความเข้าใจร่วมกันอยู่ดี ยิ่งในหนังสือวิชาการระดับสูงที่มีการสร้างศัพท์เฉพาะมาอธิบายความหมายเชิงเทคนิคของตัวเอง
กูเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่คนแปลขยันทำการบ้านมากจนทำเชิงอรรถแย้งว่าสิ่งที่หนังสือบอกมันไม่ตรงกับความจริงส่วนไหนบ้าง มีการเขียนภาษาฝรั่งเศสต้นฉบับพร้อมเสียงอ่านมาด้วย คุณภาพงานแปลมันวัดที่การทำให้ผู้อ่านเข้าใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับของคนอ่านด้วยละ
ส่วนใหญ่กูอ่านสายสังคมไม่ค่อยเจอแปลแปลกๆ ไม่เข้าใจความหมายวะ ของพวกนี้เอาจริงๆ มันก็ต่องแปลเพื่อให้คนต่างชาติเข้าใจละ ทุกประเทศก็เป็นแบบนี้หมด แม้แต่ภาษาอังกฤษยังต้องมีเชิงอรรถเวลาตั้งชื่อละตินเลย
ทำธุรกิจ..ก็เหมือนกับปลูกต้นไม้..
คำถามแรก...คุณจะปลูกต้นอะไร..??
ก็ต้องกลับมาถามว่า คุณปลูกต้นไม้เป็นมั้ย เป็นมือใหม่หรือมือเก่า..??
ถ้าเป็นมือใหม่..ก็ปลูกทีละต้น ทีละพันธ์เถอะครับ..
เพราะกว่าคุณจะรู้จักพันธ์ต้นไม้หนึ่งๆดีพอ บางทีมันใช้เวลาหลายปีทีเดียวกว่าจะเข้าใจ..ว่าจะปลูกแบบไหน อย่างไร สภาพแวดล้อมแบบไหนรอด แบบไหนไม่รอด..
ผมเห็นคนทำธุรกิจใหม่ๆหลายคน ทำธุรกิจหลากหลายไปหมด..ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย อย่างทำสิ่งพิมพ์ ก็ไปเปิดผับ แล้วก็ไปทำคาร์แคร์ แถมไปหุ้นกับเพื่อนทำไรเยอะแยะไปหมด
สุดท้าย...เจ๊งหมด..!!
เจ๊งเพราะพื้นฐาน...คุณยังปลูกต้นไม้ไม่เก่งพอ(management skills)
เจ๊งเพราะ...คุณไม่เข้าใจต้นไม้แต่ละพันธ์ดีพอ...(product or industrial knowledge)
เจ๊งเพราะ...คุณไม่มีเวลาใส่ใจดูแลพันธ์ไม้แต่ละพันธ์มากพอ(lack of time to control&monitoring...and solve each problems)
เจ๊งเพราะ...คุณประเมินตัวเองสูงไป และประเมินธุรกิจต่ำไป...!!
สรุปง่ายๆ ล้มเหลวเพราะความประมาทนั่นเอง...!!
วันนี้แค่นี้ก่อน...เด๋วต้องไปOpp day 9โมงเช้า..และขึ้นเวทีที่นิด้า 10.30....
ไม่ลงคลิปนะครับ (เพราะคิดว่าทุกคนคงหาดูได้) ผมมีห้วงคำนึงถึงเรื่องนี้คือ...
1. ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่อง ก็คือคนที่เติบโตมาจากเด็กที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีพอ คำด่าที่ว่า 'ไอ้..พ่อแม่ไม่สั่งสอน' มันเรื่องจริงครับ สังคมนี้ปล่อยลูกโตตามอากาศ โตตามสิ่งแวดล้อมเยอะมากๆ ปล่อยปละละเลย คิดว่าไม่ใช่ปัญหา แต่มันเป็นปัญหาสังคมครับ คนโตมาแบบมั่วๆซั่วๆเยอะมาก ปล่อยความกากกันออกมาเต็มที่ตอนเป็นผู้ใหญ่เพราะคิดว่าทำอะไรก็ได้ 'มีตังค์จ่ายแล้วทำไมหึ?'
2. คนกากๆก็เลี้ยงลูกแบบกากๆ วนลูปกันเป็นวงจรอุบาทว์ ..จริงๆความกากก็มีมานานแล้วแต่เดี๋ยวนี้เริ่มเห็นมาก เหตุหนึ่งก็การที่เทคโนโลยีเข้าถึงผู้คนได้ง่าย แต่อีกเหตุสำคัญก็เพราะการมีบุตรเร็ว บางราย 18-19 ก็คลอดแล้ว และนิยมมีบุตรมาก จึง Multiply ตัวเองออกมาได้เป็นเข่งๆ ...ในขณะที่ครอบครัวคุณภาพก็ดั๊นเลือกมีลูกน้อยๆน้อยถึงไม่มีเลย และกว่าจะมีลูกคนนึงก็ต้องรอ...รอเรียนจบ รอต่อโท รอทำงาน รอซื้อรถได้ รอผ่อนบ้านไหว รอแต่งงาน รอฮันนีมูน รอลงคอร์สเรียนโปรแกรมพิเศษ บลาๆๆ กว่าจะมีลูกออกมาซักคน
3. อันนี้ไม่เกี่ยวกับสองข้อแรก แต่เราคิดวิเคราะห์ไว้นานแล้ว ...สมัยนี้เรามักเห็นคนสวยๆทำอะไรห่ามๆ ทั้งในโลกจริงและโลกโซเชียลผิดจริตคนสวยๆในสมัยก่อนที่มักเก็บตัวและรักษาอากัปกริยา
เหตุผลคือ : คนไม่สวยพอโมฯหน้าจนสวยแล้วก็เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์อยากจะแสดงออกจนเกินงาม ... คนงามแท้ๆเค้าจะงามจากข้างใน พ่อแม่จะสั่งสอนมาให้ไว้ตัว อากัปกริยาจึงมีมารยาท ไม่กระโตกกระตากทำตัวหลุดโลกหลุดนิสัยไม่ดีออกสู่สาธารณะ ... ต่อไปเวลาเราเห็นคนสวยๆแล้วทำตัวเกินงาม โชว์ง่ามขา โชว์ร่องนม ฟรีๆบนโลกโซเชียลก็ให้อนุมานได้เลยว่า 'เธอเคยอุบาทว์มาก่อน' พอหายจึงตะเกียกตะกายมากเป็นพิเศษ ลืมความผิดถูก ลืมศีลธรรมจรรยาหมดสิ้น
เขียนเยอะหน่อยนะครับเช้านี้ เห็นคลิปแล้วไม่สบายใจเลย (ใช้คำแบบพวกเธอก็ได้นะครับว่า ฮึ่ย! 'รมย์เสียยย!!)
"เมื่อก่อนที่ตรงนี้คือสลัมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเดลี ศาลตัดสินไล่สลัมออกด้วยเหตุผลว่า สลัมอยู่อย่างผิดกฏหมาย และที่ตรงนี้เป็นที่ที่ไม่ควรปลูกสร้างอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็น floodplain ของแม่น้ำ Yamuna มีคนถามแล้วคนหลักแสนจากสลัมจะไปอยู่ไหน ศาลบอก 'ถ้าไม่มีปัญญาหาที่อยู่ในเดลี ก็ออกไปซะ!'
หลังจากศาลใช้กำลังขับไล่สลัมได้ ที่ดินริมแม่น้ำ floodplain ก็ถูกเปลี่ยนเป็น วัดฮินดู Akshardham หรูหรา และ Commonwealth Games Village หมู่บ้านนักกีฬาสมัย Commonwealth Games 2010 ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังวัด ทั้งคู่ใช้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง และเรื่อง floodplain ก็ถูกลืมเลือนหายไป แบบเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น
สลัมสร้างอาศัยอย่างผิดกฏหมาย แต่ห้างหรูจำนวนมากในนิวเดลี ก็ก่อสร้างในที่ดินอย่างผิดกฏหมายเช่นกัน แต่คงไม่ต้องบอกว่าใครต้องย้าย ใครอยู่ได้ถาวร
นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจนในอินเดีย จึงไม่เคยพึ่งและไม่คิดจะพึ่งกฏหมาย เพราะผู้ดูแลกฏหมายและรัฐไม่เคยให้ความเป็นธรรมกับพวกเขา จริงแล้วต้องการกำจัดพวกเขาออกไปเสียด้วยซ้ำ (ทั้งๆ ที่เมืองนี้โตได้เพราะการใช้แรงงานราคาถูกของคนเหล่านี้)
พวกเขาต่อรองสิทธิและการเอาชีวิตรอด ผ่านการสร้างสายสัมพันธ์และต่อรองกับนักการเมืองท้องถิ่น ผ่านคะแนนเสียงและเงิน การเมืองจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์และปากท้องในการมีชีวิต การคอรัปชั่นในมุมนี้ เอาเข้าจริงมันคือการประกันการได้รับการดูแล ซึ่งอันที่จริงกฏหมายและรัฐควรทำหน้าที่นั่น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ขนาดน้ำส้มยังปลอม
นับประสาอะไรกับหัวใจ
"LGBT used to be GLBT. Yeah, feminists got mad and wanted lesbians to be first. "
อยากรู้ว่าใครแสดงหนังแสดงละครเก่ง ให้ดูตอนคนนั้นถูกสื่อสัมภาษณ์ คนแสดงไม่เก่ง เวลาพิธีกรหรือนักข่าวถามอะไร จะตอบได้แค่สั้นๆ "ก็ดีครับ" "ไม่ครับ" "ใช่ครับ" "ไม่ชอบครับ"
ส่วนคนที่แสดงเก่ง จะตอบได้ยาวมาก "อ้อ ผมว่าก็ดีนะ อย่างเวลาผมทำแบบนั้น ผมรู้สึกว่ามันสุดยอดเลย ชิวสุดๆ ไม่เหมือนตอนที่ผมไปทำแบบโน้น ตอนนั้นนะ โอ้ย แบบว่า ผมอ่ะนะ...."
อธิบายอีกอย่างคือ คนเล่นหนังเล่นละครเก่ง คือคนที่มีจินตนาการ ผู้กำกับแค่อธิบายเหตุการณ์ในฉากนั้นคร่าวๆ ก็สามารถจินตนาการได้เองว่า ตัวละครที่ตัวเองกำลังแสดง กำลังมีความรู้สึกและอารมณ์ยังไงในเวลานั้นๆ เวลาแสดงเลยเป็นธรรมชาติ
ส่วนคนที่เล่นหนังเล่นละครไม่เก่ง คือคนที่ไม่มีจินตนาการ จะคอยให้ผู้กำกับบอกทุกๆอย่าง เช่น ฉากนี้ผมต้องทำเสียงแบบไหน ผมต้องทำหน้าแบบไหน ผมต้องขมวดคิ้วไหม ผมถอนหายใจไหม ผมต้องกระพริบตาไหม เหมือนป้อนโปรแกรมหุ่นยนต์ เวลาคนๆนั้นแสดง "ก็เลยแสดงแข็งเหมือนหุ่นยนต์" ถ้าไม่บอกโดยละเอียดสุดๆ จะไม่สามารถคิดเองได้เลย
สังเกตมานานแล้วว่าพวกสลิ่มจำนวนมากติดนิสัยยกหางตัวเองได้อย่างหน้าไม่อาย
แบบเบาะๆคือ ผมเป็นคนดี ผมเป็นกลาง ผมมีสติ ผมไม่มีอคติ ผมรักชาติ
ไม่รู้สึกกระดากอะไรบ้างเหรอกับการยกหางตัวเอง
มันน่าสงสัยมากว่าสังคมของสลิ่มเป็นแบบไหน นิสัยแบบนี้มันถึงแพร่มาได้
เรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิสัยประเภทว่า ชาติของตัวเองต้องชมเท่านั้น ใครที่ด่าชาติตัวเองก็จะโดนเรียกว่าเป็นพวกชังชาติ
คือพวกนี้เคยชินกับการชมตัวเองตลอดเวลาเหรอ
พวกนี้ไม่รู้จักการด่าตัวเองบ้างเหรอ
กะอีแค่การรู้สึกตัวว่า กูนี่มันโง่จริงๆ ทำไมกูเคยโง่แบบนั้น พวกนี้มันไม่เคยทำไม่เคยเป็นกันเหรอ
คือดักดานยังไงมันก็ดักดานอย่างนั้น ทั้งชีวิตมันไม่เคยฉลาดขึ้น และจะไม่ฉลาดขึ้นไปกว่านี้อีกแล้วเหรอ
>>225 กูว่าส่วนใหญ่ก็รู้เรื่องไม่ดีของตัวเองว่ะแต่จะออกอาการบ้างเพราะสำนวนด่ามากกว่า ถ้าสำนวนการติชมดีมีเหตุผลก็น่าจะรับกันได้เยอะว่ะ
แบบสังคมผู้ใหญ่ที่มึงไม่สนิทกันมากมึงต้องมีท่าทีสงวนตัวพอสมควรว่ะแบบพูดจุดด้อยของคนอื่นให้เจ้าตัวเขาฟังทีเดียว ฝั่งนู้นเขาไม่รับปุ๊บก็ได้ศตรูมาแล้วคนนึง ต้องยอมรับเลยว่ามึงจะเอาความคิดของตัวเองมาพูดตรงๆเหมือนวัยเด็กไม่ได้เพราะทุกวันนี้กฟุเองยังมีปัญหาเลยคือพฟุดด้วยความหวังดี100% แต่ถ้าฝั่งที่รับฟังเขาไม่รับปุ๊บงานงอกทุกครั้ง
ไอ้กลุ่มที่มึบว่าเป็นสลิ่มเนี้ยแหล่ะส่วนใหญ่ก็คิดซะว่าเป็นวัยกลางคนที่ มักจะชอบพูดแต่เรื่องดีดีส่วนเรื่องไม่ดีจะเก็บไว้ในใจมากกว่า สมมุติเป็นกลุ่มคนอายุ40-50คุยกันอยู่แล้วมึงไปKY ติคนนู้นทีคนนี้ทีในวงนั้น ผู้ใหญ่เขาก็ไม่ฟังมึงหรอก เพราะสถานะทางสังคมของคนวัยนั้นมันอาจจะเป็นคนใหญ่คนโตไปแล้วไง. แล้วมึงจะซวยหนักกว่าถ้าไอ้คน40-50นี้เป็นทหารตำรวจที่ระบบสังคมมันถือเรื่องชนชั้นมาก เด็กเห่อหมอยต่อให้พูดมีเหตุผลแค่ไหนไอ้เหี้ยพวกนี้ก็ไม่ฟังหรอก คนที่มันจะฟังคือคนยศใหญ่กว่ามันแค่นั้นแหล่ะ
ที่กูบ่นยาวนี่ก็เพราะกูอยากให้คนที่มีเหตุผลอ่านแล้วเข้าใจบ้าง. จะได้ไม่ต้องไปยัดให้คนนู้นคนนี้เป็นสลิ่มหรอก มีเหตุผลกันทุกคนแหล่ะ แต่ลีลาการกล่อมเกลาสำนวนมันไม่ถูกจริต เชาก็ไม่สนใจแล้ว
จริงๆ กูคิดว่าที่ลิเบอรอลไทยบอกว่าตัวเองเป็นคนมีเหตุผลอยู่เหนืออคติ ตาสว่างก็เป็นอะไรที่ตลกพอกันนะ แต่กูไม่ค่อยอยากพูดอะไรเท่าไหร่กับพวกที่คิดว่าลิเบอรอลต่างจากคอนเซอแค่ชอบคนละอย่าง จริงๆ คำว่าตาสว่างนี่ก็เป็นอะไรที่ตลกในตัวเองอยู่แล้ว บาโฟยังเคยเอามาล้อบ่อยๆ เลย
คนไทยมีปมด้อยต้องใช้วิธีล้อคนอื่นนะครับ
ทั้งควายแดงงี้ ทั้งสลิ่มงี้
บางก็ฆ่ากันตายเพราะเรื่องล้อคนอื่น
เซเลปบางคนก็บอกเฮ้ยอย่าล้อคนอื่นมันไม่ดี แต่พอเป็นคนที่ไม่ชอบก็ล้อแม่งรัวๆ. อนิจจา
ประเทศเจริญแล้ว พวกกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จเขาถึงไม่ล้อใครง่ายๆกัน
ส่วนพวกด้อยพัฒนาก็เชิญทำต่อไปครับ
แต่น่าเศร้าที่ดันเสือกเยอะเป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทย
#มิตรสหายท่านหนึ่งมองเมืองไทย
ไม่อ่ะคนขาวบางทียังต้องสงวนท่าทีเลยวิจารณ์คนดำบ่อยๆมันยัดข้อหา เหยียดผิวเฉยเลย เคยมีคนวิจารณ์เพลงชีวิตพังเพราะ อีรีฮานน่ามาแล้ว
ตาสว่างนี่กูว่าเป็นเพราะสังคมไทยมันคอนเซอ พอคนที่เคยคอนเซอตามกระแสสังคมเปลี่ยนใจก็ใช้คำเรียกให้มันดูดี
คนที่ไม่ได้คอนเซอมากบางคนเปลี่ยนเป็นคอนเซอแรงๆเองกูก็เห็นใช้คำนี้นะ
In the 1960's the president was trying to put a man on the moon.
In the 2010's the president was trying to put a man in the womens bathroom.
Where did we go so wrong?
"คนในครอบครัวผมเป็นมะเร็งสามคน ยาย ป้า หลวงตา
ทั้งสามคนมารักษาที่ศิริราช
บ้านผมอยู่ราชบุรีซึ่งมีโรงพยาบาลศูนย์ ซึ่งคือโรงพยาบาลตติยภูมิ ซึ่งหมายถึงโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ ที่มีแพทย์เฉพาะทางและเครื่องไม้เครื่องมือที่มีความพร้อมในระดับสูง ทั้งประเทศมี 26 แห่ง
แต่โรงพยาบาลศูนย์ก็สู้โรงเรียนแพทย์ไม่ได้ ทั้งในเรื่องความรู้สึก (คำว่า "อาจารย์หมอ" มันขลัง) และทั้งในเรื่องกายภาพ โรงเรียนแพทย์มันต้องพร้อมมากๆถึงจะสอนแพทย์ได้ดี เครื่องมือที่ทันสมัย หมอที่เก่ง รวมกันอยู่นี่หมด
พอมีคนป่วยหนักๆ บ้านผมเลยเลือกมารักษาที่ศิริราช จริงๆ ตอนยายป่วยซึ่งเป็นคนแรกก็ไปที่โรงพยาบาลราชบุรีแหละ แต่คนไข้ล้นมาก หมอตรวจไม่เจออะไรด้วย (ไม่ได้โทษหมอนะ ระบบตอนนั้นมันแย่จริงๆ เรื่องมันเกือบยี่สิบปีมาแล้วมั้ง) ก็เลยกระเตงกันมาที่ศิริราช
ซึ่งก็ไม่ได้มาสบายๆ นะ บ้านผมไม่มีรถ ก็นั่งรถทัวร์กันมา ออกจากราชบุรีตีห้า หกโมงถึงปิ่นเกล้า นั่งรถเมล์ต่อไปศิริราช ไปเข้าคิวแล้วจะได้ตรวจตอนบ่ายๆ พอตรวจเจอมะเร็ง ต้องรักษาด้วยการฉายรังสี ก็มาบ่อยเลย บางช่วงมากันทุกวัน ยายผมป้าผมก็อึดเนอะ ตื่นตีสี่ ออกจากบ้านตีสี่ครึ่งนั่งรถเมล์มาท่ารถทัวร์ กลับถึงบ้านอีกทีก็หัวค่ำ เป็นอย่างนี้เป็นหลายเดือน
ถ้าไม่นับเรื่องคิวที่ยาวนรกแตก การได้รักษาที่ศิริราชนี่ดีเลย หมอดี เครื่องไม้เครื่องมือพร้อม หมอเฉพาะทางครบ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายน้อยมาก ตอนนั้นยังไม่มีสามสิบบาท แต่บ้านผมจ่ายค่ารักษาน้อยมาก จำไม่ค่อยได้ว่าเค้าคิดยังไง เหมือนว่าจะแล้วแต่จะให้ด้วยมั้ง ด้วยความที่ที่บ้านโอเคกับตรงนี้มากๆ คนต่อไปที่เป็นมะเร็งก็ใช้ระบบนี้แหละ มาฝากผีฝากไข้ที่นี่
นี่คือถือว่าโชคดีนะ ครอบครัวผมไม่ได้รวย แต่ก็พอไหวกับการต้องหยุดงาน การจ่ายค่าเดินทาง การเสียเวลาอะไรต่างๆ ซึ่งต้นทุนไม่ใช่น้อยเลย ลองคิดถึงคนที่ไม่มีสิ การเข้าถึงโรงพยาบาลระดับนี้นี่เป็นไปไม่ได้เลย
ที่เล่ามานี่คือจะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของระบบสาธารณสุขไทย (ไม่อยากใช้คำว่าล้มเหลว มันก็ไม่แย่ขนาดนั้น) สิ่งที่ทำให้คนไข้มากองอยู่ที่ศิริราชก็เพราะโรงพยาบาลใหญ่ๆ ในต่างจังหวัดมันรับปริมาณ ความคาดหวัง อะไรทั้งหลายได้ไม่พอ คนที่พอมีทรัพยากรหน่อยเลยมากองกันตรงนี้
จริงๆ ตอนนี้ถ้าเทียบกับเมื่อสิบยี่สิบปีก่อนก็ดีขึ้นมากแล้วนะ โรงพยาบาลราชบุรีตอนนี้ก็พัฒาขึ้นมากๆๆๆ เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย อะไรๆ ก็ดีขึ้น แต่ถ้าเทียบกับความคาดหวังที่ควรจะเป็นผมก็ว่ามันยังโตเร็วไม่พอ หลักๆ เลยก็คือรัฐจัดสรรงบประมาณสาธารณสุขไทยน้อยเกินไปแหละในมุมของผมนะ คืองบลงทุนที่จะเอาไปสร้าง ไปขยาย ไปจ้างคนเพิ่มมันน้อย งบประจำที่ให้ทุกปีก็ใช้กันจำกัดจำเขี่ยแทบไม่พอ
แล้วโรงพยาบาลท้องถิ่นพวกนี้ก็ไม่มีศักยภาพในการระดมทุนได้ขนาดโรงเรียนแพทย์ทั้งหลายด้วย อย่างมากก็จัดผ้าป่าสร้างตึกกันไป ถ้าแถวไหนมีพระดังๆหน่อยก็โชคดี ให้หลวงพ่อท่านช่วยได้ แต่ถ้าเทียบกับโรงเรียนแพทย์ที่จัดรายการร้องเพลงออกทีวีคืนนึงก็ระดมทุนได้ร้อยล้านนี่ยังห่างไกล
อันนี้ไม่ได้จะว่าหรือกระแนะกระแหนโรงเรียนแพทย์นะ ผมรู้สึกสำนึกบุณคุณอ.หมอที่รักษาญาติๆ ผมด้วยซ้ำ แต่ต้องคำถามกันเหมือนกันว่า เราต้องกระจายทรัพยากรไปต่างจังหวัดให้มากกว่านี้หรือเปล่า แน่นอนอันนี้หน้าที่ของรัฐที่ต้องดูแล มีเงินซื้อรถถังได้มันก็ต้องมีเงินซื้อเอ็มอาร์ไอไปไว้ที่ราชบุรีได้
แต่อย่างเรื่องเงินบริจาคเนี่ย คือไม่อยากให้ทั่วประเทศระดมมาลงที่ศิริราช รามา จุฬา หมด มันควรจะกระจายๆ ไปบ้าง อย่างไอ้กดโทรศัพท์แล้วบริจาคได้เนี่ยชอบมากแต่ถ้ามีให้เลือกส่งเงินไปที่อื่นบ้างน่าจะดี พอกระจุกตรงนี้ สร้างตึกเพิ่ม คนไข้ก็เพิ่ม เดี๋ยวก็ไม่พออีก ก็สร้างตึกเพิ่มอีก ระดมทุนอีก คนไข้เพิ่มอีก ไม่จบไม่สิ้นน่ะ
ปัจจุบันยาย ป้า หลวงตา เสียชีวิตหมดแล้ว ทุกคนเสียชีวิตที่บ้านโดยไม่เคยได้นอนเตียงที่ศิริราชเลยเพราะเต็มตลอด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ภายในไม่เกินทศวรรษหน้านี้
1. ประเทศที่ประชากรน้อยลงจะได้เปรียบเพราะแรงงานไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกต่อไป (ญี่ปุ่น, เยอรมัน)
2. การผลิตเพื่อคนจำนวนมาก จะลดความสำคัญลงในประเทศพัฒนาแล้ว (แต่ยังสำคัญในกลุ่มประเทศที่มี growth ของประชากรเช่นทวีปแอฟริกา)
3. เกิดการเปลี่ยนแปลงในราคาอสังหาริมทรัพย์อย่างรุนแรง เพราะเมื่อประชาชนน้อยลง ราคาอสังหาจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากอดีตมาก (ไว้จะมาเล่าสมมติฐานของผมให้ฟังกัน)
4. แอฟริกาคือคำตอบสำหรับธุรกิจดั้งเดิมที่ต้องการแสวงหาหนทางการเติบโตต่อไป
5. การลงทุน FDI เพื่อผลประโยชน์ด้านต้นทุนแรงงานจะหมดไปจากโลกนี้ ประเทศไหนที่เคยได้ประโยชน์จากแรงงานถูก เตรียมใจไว้ (อาเซียน?)
6. มนุษย์จะต้องถูกบีบให้มีวิวัฒนาการ คนที่ใช้แรงงานอย่างเดียว แม้จะไม่อดตาย (มี UBI ช่วยให้ดำรงชีพได้) แต่น่าจะถูกจำกัดสิทธิต่างๆ ในสังคมเป็นอย่างมาก
7. รัฐบาลจะกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจโลก ภาคเอกชนจะลดความสำคัญลงเป็นอย่างมากหลังการรุ่งเรืองของหุ่นยนต์ อันนี้ผมคิดคล้ายๆ กับสมมติฐานของ Martin Armstrong ที่มองว่า หลังปี 2032 รัฐจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกแทนเอกชน (คล้ายกับยุคหลัง The Great Depression ที่มีการใช้ Keynesian Model ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก)
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ซึ่งมันอาจจะเปลี่ยนไปได้ในอนาคต ถ้าผมมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
"While the Thai women have been gaining recognition in sports abroad the Thai men have been making a name for themselves in...the Miss Tiffany contest."
"อ่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ถ้าเป็นสเตตัสที่ไม่ได้เปิดพลับบลิค การเขียนว่า "ห้ามโควท ห้ามแชร์" นี่มันควรมีผลแค่ไหน ในทางมารยาท ในทางกฎหมาย ทั้งการโควทแบบออกชื่อ และการโควทไปแบบมิตรสหายท่านหนึ่ง แล้วถ้าโดนทั้งๆทีทบอกไว้แล้ว การตอบโต้ในระดับไหนถึงจะยอมรับได้และไม่ได้
ถามแทนแอดมินวิวาทะและมิตรสหายท่านหนึ่ง ซึ่องเอาจริงๆแม่งไม่น่าจะสนใจมารยาทห่าไรพวกนี้เท่าไหร่
อันนี้ห้ามโควท ห้ามแชร์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อเมริกากำลังโดนกับดักที่ชื่อว่า "ประชาธิปไตย เสียงข้างมาก" เสียเอง เหตุการณ์นี้ อเมริกาคงรู้แล้วว่า ประชากรยุคนี้คุณภาพลดลง มีพวกที่เลือกเอามันส์ เอาฮา เอาสนุก เอาสะใจ เยอะมาก เสียงข้างมากเลยออกมาเป็นแบบนี้ เออ ถ้าทรัมป์เป็นคนแบบว่า ดีครึ่ง เลวครึ่ง ยังพอว่า แต่ทรัมป์แม่งหาดีไม่เจอเลยนะ (นอกจากพูดเก่ง) ออกแนวดาร์ธ เวเดอร์ , ลอร์ดโวลเดอมอร์ เลยนะมึง ก็ยังแห่เลือกกัน กูงง
ทรัมป์จะทำให้โลกวุ่นวาย แผ่นดินลุกเป็นไฟหรืิอไม่ ไม่สน กูเลือกเพราะสะใจอย่างเดียว? (ไม่กล้าใช้คำตรงๆว่า คนอเมริกายุคใหม่ มีพวกไม่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นมาก เต็มไปด้วยพวกไม่ทำงานทำการ ไม่เรียน โง่ลง วันๆนอนแดกพิซซ่าดูทีวีรายการขยะ ดูดกัญชา ไล่เย็ดกัน อยู่ไปวันๆ Yo! What's up man? แต่สุขสบายเพราะคนยุคก่อนสร้างความสะดวกให้มากมาย)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อีพวกสนับสนุนทรัมป์นี่ หลายคนน่าจะเป็นติ่งช่อง Fox นะ ถถถถ อวยว่าละเอียดอย่างโน้น เจาะลึกอย่างนี้ แมร่งก็ไทยรัฐหรือช่องหลากสี style USA นั่นแหละ 5555
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่ศิริราชขาดทุนเยอะแบบนี้ก็เพราะ 30 บาทนี่แหละ
โรงพยาบาลใหญ่ๆแบบนี้ ควรจะเก็บตามจริง
ไม่ควรทำตามนโยบายประชานิยมโง่ๆ
เอาทรัพยากรรัฐมหาศาล มารักษาคนที่ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่สังคมเลยนี่ มันสมเหตุสมผลไหม
ศิริราชไม่จ่ายก็ได้นะ เขาไม่แจ้งความ แต่คงด่าในใจหนักพอดู
เจ้าพนักงานน่าจะไปซ้อมกับเกม Yuri นะ
ต่อสู้กับจานบินยังไงให้ชนะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Trump ดูอ่อนโยนต่อ Bernie มากเลยนะ 555
รับท้าตีแบทแล้วด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=vzO-JYjEcHE
แวะมากราบมหาธรรมกายเจดีย์ ที่ผมเชื่อว่าหลายคนมองว่าเหมือนจานบิน แต่ก็ไม่น่าเชื่อนะ เจดีย์ทรงโดมลักษณะนี้เกิดขึ้นมาเป็นพันปีแล้ว ว่าแล้วก็ถือโอกาสเล่าเลยแล้วกันครับ
จากภาพ คือ สาญจีเจดีย์ หรือเรียกอีกชื่อว่าสถูปสาญจี ตั้งอยู่ในรัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย สร้างโดยคำสั่งของพระเจ้าอโศกมหาราช ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 3 เรียกได้ว่าเป็นโครงสร้างหินที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย
แกนกลางของสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดความสูงของพระสถูป ๑๖ เมตร กว้าง ๓๗ เมตร มีประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ มียอดฉัตรสามชั้น พร้อมกำแพงหินสลักภาพพุทธประวัติที่งดงามยิ่งนัก รวมถึงภาพพระพุทธเจ้าในอดีตและภาพสัตว์ต่าง ๆ ที่สื่อความสำคัญทางพระพุทธศาสนาถูก
สาญจีเจดีย์ ถูกจดทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมา
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างสถูปที่สาญจี ด้วยพระประสงค์สำคัญ ๔ อย่างคือ
๑. เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. เพื่อบรรจุพระธาตุของพระอัครสาวก พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ รวมทั้งพระธาตุของพระสมณทูตอีก ๑๐ รูป ที่ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาภายหลังการสังคายนาครั้งที่ ๓
๓. เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระโอรสมหินทระเถระและพระธิดาพระสังฆมิตตาเถรี
๔. เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระมเหสีพระนามว่า พระนางเวทิสา ผู้มีถิ่นกำเนิดที่ สาญจี แห่งนี้
เพราะฉะนั้นก่อนจะปรามาส ลบหลู่สิ่งใด ควรเสาะหาข้อมูลไว้เป็นความรู้ก่อนนะครับ
แจ็คหม่าถูกทักษิณซื้อไปแล้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พระธัมมชโยคือผู้ทรงศีล
#พานทองแท้ได้กล่าวไว้
พวกเสรีนิยมที่บอกว่า บุคคลสาธารณะต้องทนคำวิจารณ์ได้ นี่คือเสรีนิยมที่ยังงงๆกับหลักการตัวเองนะ หลักการเสรีนิยมจริงๆมันต้องบอกว่า ใครจะทนได้หรือไม่ได้มันก็เรื่องของเค้า ตราบเท่าที่เค้าดำเนินการด้วยวิธีที่ไม่ละเมิดเสรีภาพของคนอื่น
เสรีนิยม : บุคคลสาธารณะต้องทนการถูกวิจารณืได้
บุคคลสาธารณะ : การต่อยปากพวกวิจารณ์ ถือเป็นวิถีแห่งเสรีนิยม
มันเสรีนิยมแบบริเบอร่านไทย
เสรีนิยมที่อื่นในโลกเขาให้ความสำคัญกับการไม่ offend คนอื่นก่อนทั้งนั้น
ถ้าโดนล้อแล้วทนไม่ได้ก็ฟ้องสิวะ กฎหมายก็มี เอ๊ะ หรือจริง ๆ แล้วตอนนี้มันไม่มีกฎหมายวะ
offend ≠ วิจารณ์
เสรีภาพมันมาพร้อมกับความเสี่ยงนะ
ถ้ายอมรับฟรีสปีชกันจริงๆ ควรจะยอมรับด้วยว่ามันมีคนที่ offend และ อ่อนแอ อยู่ ซึ่งถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องรับผิดชอบตรงนั้น เพราะ การยอมรับเสรีภาพแสดงว่าต้องยอมรับความเสี่ยงนั้นได้เช่นกัน ถ้าไม่มีความเสี่ยง แบบนั้นมันใช่เสรีภาพที่ไหน?
เราว่าคนไทยเข้าใจคำว่า เสรีภาพแบบผิดๆ
ความทรงจำเกี่ยวกับธรรมกาย!!!
เพื่อน...ป่วยหนักติดเชื่อ HIV เขามีเพื่อนกลุ่มนึงชวนไปวัดธรรมกายเพื่อปฎิบัติธรรมและทำบุญ เพื่อให้หายโดยที่เพื่อนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าเพื่อน...ป่วยเป็นอะไร การไปวัดทำให้อาการเขาแย่มากขึ้น เพราะไม่ได้พักผ่อน แต่เขาไม่กล้าปฎิเสธเพื่อนกลุ่มนั้นเพราะกังวลว่าเขาจะถามว่าป่วยเป็นอะไร จนเมื่อเขาอาการหนักเพื่อในกลุ่มธรรมกายบอกว่าต้องเช่าพระราคาหมื่นกว่าเพื่อจะทำให้ดีขึ้น เพื่อนก็ยอมควักเงินที่มีน้อยๆอยู่แล้วออกไป ...เตือนตลอดแต่ว่าสังคมรอบตัวทำให้เขาไม่กล้าที่จะขัดใจเพื่อนกลุ่มนั้น
สุดท้ายเขาเสียชีวิต มีเงินจากประกันสังคม มีเงินหลายๆอย่างที่เหลือจากงานศพโดยมี...กับเพื่อนกลุ่มธรรมกายช่วยจัดการ ...อยากให้เงินเหลือทั้งหมดกับพ่อแก่ๆของเพื่อน แต่เพื่อนกลุ่มธรรมกายบอกว่าต้องไปทำบุญเพราะว่าชีวิตหลังความตายของเพื่อนจะดีขึ้น พวกเราถกเถียงกันนิดหน่อย สุดท้ายเงินทั้งหมดก็ไปทำบุญให้หลังความตายของเพื่อน... พ่อแก่ๆของเพื่อน...ส่งค่ารถกลับสกลนคร
ความจริงของธรรมกายเป็นเช่นไรไม่รู้ แต่...รู้จักผ่านคนอื่นอีกที แต่เป็นการรู้จักที่เลวร้ายและเรียกว่าเป็นความทรงจำที่ไม่ดี
"They talk like they're resisting something, but all they do is agree with each other."
ใครเรียนวิชาจิตวิทยา พอจะสรุปคร่าวๆได้ไหมว่า ธรรมกายมันใช้วิธีอะไรถึงสามารถเข้าถึงจิตใจคน แถมหลอกให้คนจ่ายเงินบริจาคได้ง่ายๆ กูว่าคนรู้ควรแฉให้หน่อยจะได้มีภูมิคุ้มกัน
"Programming is not a religion. Too bad many (particularly younger or academically inclined programmers) tend to act as if it is..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เห็นข่าวUber ปรับราคาเดินทางไป(หรือกลับ)จากสนามบินจาก 500บาททุกกรณี มาเป็น 300บาททุกกรณี แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ และอยากเล่าเรื่องที่อยากเล่ามานาน
ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ผมว่างๆอยากหาไรทำ(เงินก็หมด) เลยไปลองสมัคร UBER มาขับดู รถของผมเป็นรถ 1.5 ธรรมดา เลยได้เป็น Uber X สำหรับคนที่ไม่ทราบ Uber มีแบบ X กับ Black แบล็คคือรถประมาณแคมรี่ แอ็คคอร์ด บีเอ็ม เบ็นซ์ อะไรพวกนี้ ซึ่งราคาจะแพงว่าX 2เท่า ซึ่งก็แล้วแต่ทาง Uber กำหนดด้วย
ผมเป็นคนชอบขับรถอยู่แล้ว ขับแรกๆก็สนุกดี ได้เจอคนใหม่ๆ ไปเส้นทางใหม่ๆเยอะ รายได้แรกๆก็ถือว่าน่าพอใจ สัปดาห์นึงขับประมาณ 30 เที่ยว ได้ประมาณ 5-6000 บาท เห้ยก็ดีนี่หว่า แต่ก็เพราะมันมีอัดฉีดให้สำหรับคนขับใหม่ๆ แต่พอขับไปสักพักนึง ถ้าสัปดาห์นึงขับได้แค่นี้จะเหลือแค่ประมาณ 3000 บาทเท่านั้น และได้เข้าไปในกลุ่มคนขับที่เขาตั้งกรุ๊ปไว้คุยกัน ก็ได้รับรู้ถึงปัญหามากมาย
1. คนขับที่ทำพาร์ทไทม์ ถูกกดขี่มากๆ คือขับยังไงก็ไม่คุ้ม เพราะเรต UberX มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ คนขับโดนหักจาก Uber ถึง 20% เรตราคาก็ต่ำกว่าแทกซี่ บางวันขับสิบรอบได้มาแค่ไม่ถึง 600บาท
.
2. คนขับไม่มีทางรู้ว่าคนเรียกจะเรียกไปไหน คือพอคนขับได้รับงานแจ้งเข้ามาในแอพฯ คนขับเลือกได้แค่ว่าจะไปหรือไม่ไปแค่นั้น ไม่มีบอกปลายทาง(ต่างจากgrabซึ่งเลือกได้) ทำให้บางครั้งต้องไปในที่ที่ไกลมากๆ ถึงใกล้มากๆ ซึ่งต้องมารู้หลังจากโทรคุย หรือถึงผู้โดยสารแล้ว
.
3. ไกลมากๆหรือใกล้มากๆก็มีข้อดีข้อเสีย ไกลมากๆบางครั้งก็ดีเพราะคนขับได้เงินเยอะ แต่ปัญหาคือขากลับถ้าไม่มีคนเรียกจะซวยมากเพราะต้องตีรถเปล่ากลับ เคยครั้งหนึ่งต้องไปส่งคนถึงท่าอิฐ(สุดขอบแผนที่ที่Uberให้ไป)ตอนสี่ทุ่ม(เรียกจากทองหล่อ) ขากลับกูจะไปหาผู้โดยสารที่ไหนมากลับ T-T ส่วนถ้าใกล้มากๆ ก็อาจจะสบายๆได้เงินเร็วๆ แต่เงินก็น้อยมากๆตามไปด้วย และเราอาจจะต้องขับฝ่ารถติดในเมืองไปรับผู้โดยสารเพื่อแลกกับเงินเพียง 50-70 บาท นี่เป็นปัญหาของการคิดเงินของ Uber ที่ไม่มีค่าเสียเวลาให้คนขับเลยตั้งแต่เรียก คือต้องกดเริ่มคิดเงินตอนที่ผดส ขึ้นมาในรถเท่านั้น
.
4. ตัวคูณที่เห็นๆกันในโซนในเมืองช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คือตัวคูณเพื่อ"ล่อ" ให้คนขับเข้ามา เนื่องจากโซนนั้นช่วงนั้น ผดส ต้องการเรียกเยอะ แต่รถน้อย ระบบก็เลยขึ้นเลขคูณค่าโดยสาร ทีนี้พอคนขับเห็น ก็จะรีบบึ่งเข้าไปในโซน พอคนขับเข้าไปพร้อมๆกันปุ๊ป ระบบแม่งก็จะเปลี่ยนกลับเป็นราคาเท่าเดิมหรือลดตัวคูณลง ซึ่งคนขับน้อยคนมากๆที่จะมีโอกาสรับผดส ที่ยอมเรียกตอนตัวคูณสูงๆ
.
5. คนขับจะมีการันตีรายได้ให้เช่นถ้าขับช่วงเวลานี้ๆจะได้การันตี 230 บาทต่อชั่วโมงแน่นอน ซึ่งเหมาะกับคนที่ขับเป็นประจำไม่เหมากับพาร์ทไทม์แน่ๆ เพราะช่วงการันตีสูงๆคือช่วงเช้าตั้งแต่ 6-10 โมง และช่วงเย็นค่ำๆซึ่งไม่ค่อยมีใครอยากขับกันเพราะรถติดมากๆ
.
6. คนขับBlack เมื่อก่อนสามารถเลือกเปิดระบบได้สองแบบคือ Black ก็ได้ หรือถ้าไม่มีผดส อยากจะไปขับในระบบ X ก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับในเรตราคาที่ต่ำกว่า แต่รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้Uber บังคับให้ Black ต้องเปิดทั้งสองระบบพร้อมๆกัน ทำให้คนที่ขับ Black ต้องจำใจรับลูกค้าในเรตของ x ที่ต่ำกว่ามากๆ และไม่คุ้มเลย
.
7. มาที่เรื่องสนามบิน เรื่องสนามบินนี่เป็นปัญหามาก เนื่องจากจะมีเจ้าหน้าที่การท่าฯมาคอยควบคุม หากจับได้ว่าเป็นคนขับ Uber ก็จะถูกปรับและตักเตือน ถ้าตักเตือนแล้วยังมาอยู่ก็อาจถูกดำเนินคดี ริบใบขับขี่ ซึ่งเจ้าหน้าที่บางคนก็จะแฝงตัวเป็น ผดส สมัครแอพมาเรียกเลย พอคนขับรับปุ๊ปก็เชิญไปปรับ ได้ยินมาว่าที่เป็นแบบนี้เพราะ เจ้าหน้าที่บางคนก็คุมรถลิโม่เองด้วย ซึ่งในส่วนนี้ Uber ไม่รับผิดชอบอะไรนะครับ โดนปรับก็โดนปรับ
.
8. แต่เดิมรายได้จากสนามบิน ไม่ว่าเรียกไป หรือเรียกกลับ จะคิดราคาเหมาคือ 500 บาท Uber หักไป 20% คนขับได้400 ราคานี้ผู้โดยสารอาจมองว่าแพงไป แต่สำหรับคนขับที่ได้แค่400 ถือว่าพอสมน้ำสมเนื้อเพราะบางทีต้องเสี่ยงกับการตีรถเปล่ากลับ แต่ตอนนี้Uber ลดลงมาเหลือแค่ 300 คนขับจะได้แค่ 240 เท่านั้น ซึ่งโหดมากๆ สมมุติคนเรียกจากปิ่นเกล้าไปสนามบิน นี่คนขับได้แค่ 240 นะครับ ทุเรศมากๆ
.
สรุป คนที่คุ้มค่าและได้ประโยชน์ คือ
1. ผู้โดยสาร นะครับ เพราะราคาถูกถึงถูกมาก ดีกว่าแทกซี่ไม่ต้องวุ่นวาย
และ 2. คือUber ที่นอนกิน%กันไปสบายๆ
แต่คนที่โดนเอาเปรียบสุดๆคือคนขับครับ ตอนนี้ในกลุ่มคนขับจึงพยายามรณรงค์ออฟไลน์กันเพื่อเป็นการประท้วง แต่ก็นั่นแหละครับ Uber มันก็จะใช้วิธีทำตัวคูณเยอะๆออกมาเพื่อล่อให้คนขับออกมาขับ หลังจากการปรับราคาสนามบิน มาดูกันว่าคนขับUberที่รวมตัวกันจะมีท่าทีอย่างไรกันต่อ
(โดยส่วนตัวตอนนี้ผมเลิกขับมาพักนึงแล้วเพราะมีเปเปอร์งานปอโทต้องทำมากมาย ไม่มีเวลาออกมาขับ)
#ทุนนิยมนี่มันเหี้ยจริงๆ"
>>275 ไอ้เหี้ย สัมผัสได้ถึงความสโลว์ไลฟ์ของมิตรสหายท่านนี้เลย งานสบายรายได้โอเคก็บ่นลำบาก ใครบังคับให้มันทำล่ะวะ ข้อ2-3นี่มันก็ปัญหาเดียวกับแทกซี่ปกตินี่หว่า แค่นี้มึงบ่นไม่คุ้มแล้วแทกซี่ที่วิ่งไร้จุดหมายเปลืองน้ำมันทั้งวันรอดวงดีมีคนโบกคืออะไร แล้วคือถ้าเค้าให้สิทธิ์คนขับปฎิเสธผู้โดยสารรัวๆเอาแต่ได้ถ่ายเดียวแล้วความน่าเชื่อถือมันจะต่างอะไรกับแทกซี่วะ คิดสิคิด แล้วอะไรคือคิดว่า Uber นอนกินสบายๆ ระบบไม่ใช่เสกขึ้นมาจากอากาศนะโว้ย และที่สุดแล้วมันคือ sharing economy คือการแบ่งปันทรัพยากรจากคนที่มีเหลือ ถ้าคิดว่าแชร์แล้วลำบากเลิกซะก็จบ อย่าเยอะ
uber จึงไม่ควรเกิดฟะ เพราะ เมิงคิดเหรอว่าจะำไม่มี Uber หื่นกาม ฉุดสาวๆ เหรอฟะ ตอนนี้คนมันน้อย เลยคุมได้ พูดยังกะคนไทยเป้ฯสังคมพุทธมีแต่คนดี มีศีลธรรมล่ะฟะ
แต่แท็กซี่ กฏหมายคุมนะเมิง เมิงทำผิดที เมิงขับแท็กซี่ไม่ได้เลยนะ เพราะข้อมูลมี
>>277
1. รัฐวิสาหกิจ > ราชการ
2. http://news.sanook.com/2000162/
Uberทำผิดก็ขับอีกไม่ได้นะกฎหมายก็คุมเหมือนกัน
เอ๊ะหรือว่าปกติบ้านเราไม่มีกฎหมายอยู่แล้ว
>>275 ถ้ามันไม่คุ้มมึงเลิกขับก็น่าจะจบนะ กูว่าวินๆว่ะ ไม่มีงานไหนไม่เจอปัญหาว่ะ งานสบาย มีอิสระ ได้เงินเยอะ จะมีได้ไงถ้าไม่ใช่ลูกเศรษฐี
รายได้จาก Uber แม้มันต่ำกว่าแทกซี่ธรรมดาแต่กูว่ามันก็ได้เปรียบกว่าตรงเขามีสถิติให้มึงดูว่าเวลาไหนควรวิ่งตรงไหน ถ้ามึงไปตามนั้นมึงจะไม่ต้องตีรถเปล่านานแน่นอน ตรงนี้ดีกว่ารถแทกซี่ธรรมดามาก ส่วนมึงจะซวยเจอคนพาเข้าไปหาโซนรถติดไหมนี่อีกเรื่อง แต่ถ้ายิ่งไปโซนรถติดคนเรียกก็ยิ่งเยอะว่ะ ได้ลูกค้าต่อสูงเหมือนกัน ไม่เหมือนแทกซี่ปกติถ้าอยู่โซนรถติดแล้วขับรถเปล่าโอกาสที่มึงจะโดนเรียกนี่ต่ำสัสเลย เพราะรถไม่ขยับเขาไม่เรียกมึงไปเสียตังนั่งตากแอร์บนรถหรอก นาทีละ2บาทเป็นกูกูก็ไม่เอา
ส่วนเรื่องไม่อยากไปที่ไกล หรืออยากเลือก ผดส. หน่อยนี่มึงก็เอาแทบเล็ตหรือมือถือกากๆอีกเครื่องมาเปิดกราบก็ได้ แก้ได้เหมือนกันกูเห็นคนขับเล่น2อันหลายคนอยู่ บางทีมี3อันด้วย อีกอันเอาไว้เปิด Uber โหมด ผดส. ไว้ส่องว่าโซนไหนคู่แข่งมากรึเปล่าด้วย
นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดนคนไทยรุมทำร้าย "แม่งเลวว่ะ แย่ กระทบนู้นนี้นั่น "
คนไทยถูกกระทืบในต่างแดน
"ปกติจ้ะ มีทุกที่นะจ้ะ ทุกคนต้องระมัดระวังตัวเองนะเด็กๆ"
555 กากกลวง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วิธีการเขียนหนังสือให้ดูฉลาด เริ่มต้นที่การใส่ถ้อยคำดังต่อไปนี้ลงไป
"วิพากษ์ วาทกรรม กระบวนทัศน์ การล่มสลาย ทุนนิยม ภาพสะท้อน ย้อนแย้ง ลักลั่น มายาคติ ทับซ้อน พร่าเลือน ปัจจุบัน เคลื่อนไป บ่งบอก ความจริง ความเชื่อ ประกอบสร้าง ส่งผล"
ตัวอย่าง : แม่ใช้เป้ไปให้ซื้อซีอิ๊วจากร้านเจ๊กิม แต่ซีอิ้วหมด
ปัจจุบันการที่แม่ใช้เป้ให้เคลื่อนไปซื้อซีอิ๊วจากร้านเจ๊กิม เป็นภาพสะท้อนที่ย้อนแย้งถึงการล่มสลายของระบอบทุนนิยมที่พร่าเลือน เกิดจากกระบวนทัศน์อันลักลั่น เนื่องด้วยความเชื่อที่ถูกประกอบสร้างจากมายาคติทับซ้อนกระบวนทัศน์ของวาทกรรม "ซีอิ๊วมีอยู่จริง" ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์ความจริงว่า "แม่ๆ เจ๊กิมบอกว่าซีอิ๊วหมดมีแต่ซอสหอยนางรม"
เอาไปใช้กัน" (มิตรของมิตรท่านหนึ่ง)
The zookeeper is racist. Harambe dindu nuffin. He a good boy.
พุทธแท้ต้องธรรมกาย ใครด่าธรรมกายระวังเจไดจะไปเคาะประตูบ้าน
พุทธแท้ต้องพุทธทาสครับ
//แอดมินb ฟัคโกส
"เคยมีประเด็นเรื่องการมีความรู้สึกร่วมที่ไม่เท่ากันของคนในสังคมตอนเหตุระเบิดที่ปารีสที่คนรู้สึก "อิน" มากกว่าเหตุการณ์ในซีเรีย ตุรกี ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าคนเราจะ "อิน" กับอะไรที่เรารู้จักมากกว่า คุ้นเคยมากกว่าเป็นปกติ แต่ก็ต้องมีคนคอยท้วงแหละว่าไอ้การที่เราอินกับอะไรมากกว่า อย่าให้มันแปลว่าเราไม่สนใจเหตุการณ์หรือความเดือดร้อนอื่นๆที่เกิดขึ้น คือมันโอเคถ้าสัดส่วนมันจะไม่เท่ากันแต่ต้องไม่อิกนอร์อันอื่นไปเลย
แต่บางครั้งก็หงุดหงิดกับสังคมไทยมากๆในการให้ความสำคัญหรือให้พื้นที่กับประเด็นต่างๆอย่างงี่เง่าๆ สิ่งที่ยังติดใจตัวเองมากๆคือ "ความเงียบ" ของเคสหอพักนักเรียนไฟไหม้ที่เวียงป่าเป้า เงียบมากๆ เงียบจนน่ากลัว และคิดว่าสังคมคงไม่ได้เรียนรู้อะไรจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น และผู้ปกครองคงไม่ได้รับการชดเชยที่เหมาะสมนัก เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีที่ทางอะไรที่สื่อหรือคนทั่วๆไปจะให้ความสนใจ
ตัดภาพมาเฟซบุ้คแทบระเบิดกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับกอลิล่าที่แสนเป็นมิตรและใจดี ...
กรณีแบบนี้แม่งอยากฟันธงเหลือเกินว่าการอินกับข่าวสัตว์ต่างชาติตายมากกว่าเด็กในประเทศตัวเองตายเนี่ย มันไม่น่าจะโอเคว่ะ คือเราไม่โอเค"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ เคยตัดสินใจลดน้ำหนักอยู่ 3 หน
หนแรก ตอนอายุ 20 เพราะอยากเอากับรุ่นพี่ที่มหาลัย ซึ่งรุ่นพี่เล่นฟิตเนส หุ่นดีมาก แต่สุดท้ายไม่ได้เอา เพราะรุ่นพี่ไปเอากับอาจารย์ในมหาลัยแทน เลยกลับมาอ้วนอีก
หนที่สอง ตอนอายุ 25 เพราะนัดเอากับคนในเน็ต แล้วโดนอีกฝ่ายทักว่า ทำไมอ้วนจัง แถมทำหน้าเหยียดสุดๆ เลยตัดสินใจลดน้ำหนักจนผอม แต่ผ่านไปไม่กี่ปี ก็กลับมาอ้วนอีก
หนที่สาม ตอนอายุ 33 เพราะถ่ายคลิปตอนเอากับเพื่อนไว้ดูเล่น พอถ่ายเสร็จ เอามาเปิดดู อีสัส หุ่นกูน่าเกลียดมาก เหมือนดูคลิปฮิปโปเอากัน เลยตัดสินใจลดน้ำหนักอีกรอบ
ผอมได้ 3 ปี ตอนนี้กลับมาอ้วนอีกแล้ว กำลังพยายามลดน้ำหนักอีกรอบ เป็นหนที่สี่ หนนี้ไม่เกี่ยวกับเซ็กส์ แต่อยากผอมเพื่อให้แต่ง Cosplay แล้วดูดี ไม่เป็นการทำลายตัวละครจนเกินไป
เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่รูปซีดและก็ชอบไอเดียนี้...
เลยขอร่วมเล่นเกมนี้ด้วยคน เราขอท้าทายชาวท่าแซะและชาวท่าฮิปด้วยการทดสอบเล็กๆ เพื่อดูว่าใครบ้างที่จะอ่านโพสต์ข้อความที่ไม่มีรูปภาพ
ดังนั้นหากคุณได้อ่านข้อความนี้แล้ว ขั้นต่อไปโปรดพิมพ์คอมเม้นต์ด้วยคำๆ เดียวที่อธิบายความเป็นฮิปสเตอร์? ขอแค่คำเดียวพอนะ แล้วกดไลค์ หลังจากนั้น Copy ข้อความนี้ไปโพสต์บนกระดานของคุณบ้าง เพื่อฉันจะไปคอมเม้นต์และกดไลค์บ้าง เพื่อให้ชัวร์ว่าคุณฮิปจริงๆ
...
การทดลองนี้ช่างน่าสนใจ
หลังจากเรื่อง Grabbike ดังขึ้นมา ผมก็เริ่มสังเกตุ วินมอไซค์ ก็รู้สึกว่ามันมีเยอะจริงๆครับ ทุกๆคอนโดที่เกิดใหม่จะเกิดวินมอไซค์ใหม่หน้าคอนโดทันที แล้วตอนนี้คนขี่วินก็ปาเข้าไปเป็นแสนคน คือ...ประเทศไทยกำลังจะเอาทรัพยากรมนุษย์ 1 แสนคนมาขับมอไซค์ตลอดชีวิต? คุณคิดว่ามีวินมอไซค์กี่คนจะพัฒนาความสามารถตัวเองตลอดเวลา ด้วยทรัพยากรที่เค้ามี+สังคม..เค้าทำได้แค่หาเช้ากินค่ำ ถ้าอยู่วินทำเลดีหน่อยก็อาจพอมีเงินเหลือ แต่...ที่น่าตกใจคือ
วินแสนคนนี่ยังไม่พอนะ เพราะมันจะมีคอนโดเกิดใหม่ทุกเดือน มีถนนตัดใหม่ มีอพาร์ทเม้นท์ใหม่ แปลว่า วินมอไซค์อาจเพิมจำนวนเป็น 2-3 แสนคน ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า อืม..นี่คือทรัพยากรมนุษย์ที่กำลังจะเสียไป แม้ว่าตอนนี้กรมการขนส่ง จะยังไม่เปิดรับวินใหม่ แต่ก็คงปิดอีกได้ไม่นาน สุดท้ายวินก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดี
หลายวันก่อน ผมผ่านหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง เห็นวินนั่งรอลูกค้าซึ่งมันเป็นช่วงเวลากลางวัน คนส่วนใหญ่ในคอนโดมักออกเช้ากลับเย็น กลางวันจึงไม่มีงานหรอก ...ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า ทำไมวินต้องมีเขต ทำไมวินมอไซค์คนนี้ขี่มอไซค์ของเค้าไปในเมือง ไปที่สยาม สีลม ที่มีลูกค้ามากๆ ไม่ได้..ก็เพราะคำว่าเขต คำว่าพื้นที่ และคำว่าเขตนี้เองที่เค้าต้องสังกัด เป็นที่มาของการขายเสื้อ ดังนั้นถ้าวินไม่มีเขต เหมือนรถแท็์กซี่ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเสื้อให้เจ้าของวินอีกต่อไป อีกทั้งเค้าสามารถขยายพื้นที่ในการหารายได้ ได้อีกด้วย การยกเลิกเขตจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับวินมอไซค์
---
สำหรับ Grabbike ยังติดกฎหมาย 3 ข้อหลัก คือ ป้ายเหลือง ใบขับขี่สาธารณะ และขี่ข้ามเขต การแก้ไขปัญหา 2 ข้อแรกง่ายมาก เพราะวัตถุประสงค์ของกรมการขนส่งคือ จัดระเบียบและความปลอดภัย ซึ่งจริงๆ Grabbike มีการติดตามคนขับด้วย GPS ซึ่งดีกว่าวินมอไซค์อย่างมากมาย ดังนั้นในแง่ความปลอดภัยจึงตอบโจทย์ภาครัฐได้ เพียงแต่อาจต้องให้กรมการขนส่งสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ....และเรื่องขี่ข้ามเขต นี่แหละที่คุยตอนนี้ จะคุยยังไงก็ไม่ได้มันผิดกฎหมาย ก็ข้อนี้แหละ (ยังไม่พูดถึง การไปหากินข้ามเขตชาวบ้าน) แต่ถ้ายกเลิก เขตวินมอไซค์ได้ ทุกอย่างจบ การให้มอไซค์รับจ้างผ่านแอพ สามารถเกิดขึ้นได้ทันที
มองไปไกลๆ ในอินโดนีเซีย นอกจาก Grabbike UberMoto แล้วยังมีมอไซค์รับจ้างผ่านแอพอีก 5-6 เจ้าใหญ่ เจ้าของแอพก็เหมือนเจ้าของอู่แท็กซี่ ที่มีแท็กซี่สังกัด ดังนั้นหากสามารถเปิดเสรีให้มีมอไซค์รับจ้างผ่านแอพได้ ยกเลิกเขตวินมอไซค์ เราอาจเห็นผู้ให้บริการอีกหลายรายเข้ามา หรือแม้แต่ของคนไทยเอง นี่แหละคือการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของมอไซค์รับจ้าง ซึ่งจะใช้คนคุ้มค่าที่ปัจจุบันนั่งเฝ้าวิน เค้าสามารถไปหารายได้ไกลกว่าเดิม และมีแอพช่วยหาลูกค้า เมื่อเป็นแบบนี้วินมอไซค์ 1 แสนคนที่มีอยู่ก็อาจเพียงพอ รองรับคนกรุงเทพไปได้อีกนาน ไม่ต้องเพิ่มวินใหม่ทุกคอนโดใหม่อีกต่อไป เป็นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ที่คุ้มค่าขึ้นอย่างมาก
คนชอบพูดว่า Apple ขโมยไอเดีย "เมาส์และ GUI" มาจาก Xerox
ผมพูดมาหลายทีแล้วว่าที่ PARC ที่แม่งเป็นหัวใจของงาน R&D ของ Xerox เนี่ยมันคงแค่แลกบัตรแล้วเดินเข้าไปดูโน่นดูนี่ได้ง่าย ๆ สินะ ... ความเป็นจริงที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันก็คือ Xerox ขอหุ้น Apple มูลค่าหนึ่งล้านเหรียญ (ตอนนั้นเป็นช่วงที่ Apple เป็นบริษัทใหม่เพิ่งเติบโตและยังไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์) เพื่อแลกกับการที่ปล่อยให้ Apple เข้าไปเยี่ยมชม PARC เป็นเวลาสามวันเพื่อเรียนรู้สิ่งประดิษฐ์เก่า ๆ ที่ทีมวิจัยของ Xerox ทำเสร็จมาหลายปีแต่ไม่สามารถผลักดันเข้าสู่การใช้งานจริงในระดับตลาดได้
สามวันที่มาทัวร์นี้เองที่เปลี่ยนวิธีคิดในการออกแบบทั้งหมดของ Apple ในทันที
ที่แสบก็คือ Xerox รู้อยู่แล้วว่าการที่ Apple เข้าชม Research Centre ของตัวเองนั้นคงจะต้องเอาอะไรไปทำซักอย่าง เลยเรียกเงิน (เป็นหุ้นก่อน IPO) สูงถึงล้านเหรียญ
แต่พอ Apple ทำสำเร็จและเอาไปใช้ได้จริง แถมวงการ GUI เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทุกคนเห็น Apple ทำก็ทำตามกันบ้าง Xerox ก็ตัดสินใจฟ้อง Apple เป็นมูลค่า 150 ล้านเหรียญในปี 89 หลายปีหลังจากที่ Apple เริ่มใช้ GUI ที่พัฒนาจากการเห็นไอเดียของ Xerox โดยในคำฟ้องอ้างว่า "ให้ดูแต่ไม่ได้ให้ไลเซนส์ไปใช้"
แต่ในที่สุดศาลทรัพย์สินทางปัญญาพิพากษาให้ Apple ชนะ ด้วยเหตุผลที่ว่า Xerox นั้นได้สิ่งที่ควรจะได้ไปแล้วจากการเรียกร้องเงินถึงล้านเหรียญ (ซึ่งรู้ว่าจะมีมูลค่าสูงกว่านั้นอีกหลายสิบเท่าหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์) ... เท่ากับ Xerox มีเจตนาทำเงินจากการเปิดให้ดู และได้เงินไปแล้ว จะเรียกร้องอย่างอื่นอีกไม่ได้
ถ้าไม่อยากเสียเพื่อน ก็อย่าทำธุรกิจกับเพื่อน
#กูพิมพ์เอง จากประสปการณ์ของมิตรสหายหลายท่าน
ตั้งเเต่กระเเสหนังจากคอมิคมาเเรง ทำให้มีพวกน่ารำคาญเกิดใหม่อีกพวก พวกนี้คือพวกที่ไม่ได้เป็นเเฟนคอมมิคจริงๆ(ไม่เคยเเตะคอมิคมาก่อนในชีวิต) เเต่อ่านเเฟคนู่นนี่ตามเพจฮีโร่เอา เเล้วมายืดว่าข้านี่คือเเฟนพันธ์เเท้(ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จริง) เหยียดคนไม่รู้เรื่องทั้งๆที่เเฟนคอมิคเเท้ๆไม่ได้อะไรเลยกับคนดูmainstream
-มิตรสหายท่านนึง
"สูบบุหรี่ท้องถิ่นกันครับ วันนี้วันงดสูบบุหรี่โลก"
มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 เดือนที่แล้ว
"สามก๊กฉบับนิยายทำให้เราลืมมองประวัติศาสตร์แบบที่ปกติเราจะมองประวัติศาสตร์ กลายเป็นเรื่องราวของวีรชนไป เวลาคุยกันเลยต้องถามก่อน จะเอาเวอร์ชั่นนิยาย หรือจะเอาแบบประวัติศาสตร์ ไม่งั้นเถียงกันยาก สมัยก่อนนนนเคยอ่านเว็บคนนิยมสามก๊กของไทย คนนึงอ้างพงศาวดาร คนนึงอ้างนิยาย เถียงกันแบบนี้ตายห่า ซูเปอร์ฮีโร่ในนิยายมันไม่ต้องแคร์นี่หว่าว่าเก็บภาษีได้เท่าไร ดินแดนที่มันยึดครองมีศักยภาพในการผลิตพืชผลมากแค่ไหน ระบบกฎหมายของมันเอื้อต่อการเกณฑ์ประชากรหรือเปล่า ไม่มีใครพูดถึง เพราะมีกวนอูคนเดียวก็ขี่ม้าไปตัดคอแม่ทัพศัตรูได้แล้ว
ป.ล. คนหาค่าไพได้ยาวที่สุดสมัยนั้นทำงานอยู่แคว้น Wei ของโจโฉนะ ซิบอกไห่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ชาวบ้านเขาไม่สนว่าใครจะเป็นฮ่องเต้หรอก อย่างแรกที่คิดคือต้องพอแดกก่อน จ่อมาคือผู้ปกครองที่ยุติธรรม และความสงบสุขถึงจะตามมา
ชาวบ้านแม่งไม่รักประชาธิปไตยเบย ทำงี้ได้ไงวะ
ห่า เมียขงเบ้งคิด ขงเบ้งเอาไปเป็นชื่อตัวเอง
จริงเหรอ อ้างอิงจากไหน
"ขอ สาม คำ" โดย vonvon
ทำไมถึงทำแอปให้เล่นฮาๆ ได้อะไรจากเราไปบ้าง....
- ข้อมูลส่วนตัวพื้นฐานทั้งหมดที่ตั้งสาธารณะ
- รูปโปรไฟล์ (เอาไว้ไปขายทำโฆษณาชวนเชื่อในเน็ตได้)
- รายชื่อเพื่อนทั้งหมด (เอาไปทำ Social CRM ได้)
- โพสต์บน timeline ของเรา (อันนี้ต่อยอดได้เยอะ)
- สถานะโสดหรือไม่+ข้อมูลครอบครัว (ทำโฆษณาสบาย)
- รูปภาพทั้งหมดทั้งอัพเองและที่โดนแท็ก (โหดนรกสุดๆ)
- ข้อมูลการไลก์ (นักการตลาดยิ้มเลย)
และก็ขอ token สิทธิ์การโพสต์ไปด้วย
- จบ -
#ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ #ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คดีมีอัตราโทษสูง เกรงหลบหนี เลยลงโทษขังทั้งที่เขายังไม่ถูกพิพากษา ทั้งที่เขายังไม่ถือวามีความผิด ขังผู้บริสุทธิ์นั่นล่ะ
วิธีการทรมานแบบนี้ มันย่อมบีบให้หลายๆ คน เขาเลือกสารภาพ ไม่สู้คดี เพราะต่อให้สู้ไปก็ติดคุกอยู่ดี เลือกสารภาพเพื่อลดโทษครึ่งหนึ่งดีกว่า สู้ไปแล้วติดคุกเต็มแถมระหว่างสู้ก็ยังติดคุกอยู่ แม้ท้ายที่สุดเป็นผู้บริสุทธิจริงๆ ก็อาจเลือกทางนี้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มื่อวานใน #UXTalk3 มีเรื่องนึงที่มาคุยกันล่างเวที ที่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ...... แต่ผมไม่ได้พูดบนเวที (เพราะมันหลุดธีมที่อยากพูด และคำถามไม่ค่อยเอื้อให้ตอบแบบนี้ตรงๆ -- แต่ก็ตอบแบบอ้อมๆ จากเรื่องตำแหน่งที่ทำงาน ว่าผมทำงานตำแหน่งอะไร)
ผมขอสรุปเพิ่มเติมดังนี้เลยละกัน อันนี้จากที่ผมตอบคำถามข้างบนและล่างเวทีกับหลายๆ คน เอามารวมๆ กัน สรุปๆ กัน
"UX เป็นเรื่องของทุกคน"
"UX ไม่ใช่แค่ End-Users แต่ต้องมองทุกอย่างเป็น User และต้องทำให้มันดีทั้ง Stack และ Across the board"
"UX เป็นเรื่องของ Culture"
อย่าสนใจเพียงแค่ผู้ใช้ product สุดท้ายของเราเท่านั้น เพราะว่าอันที่จริงแล้ว คนอื่นนอกจากเราในทีม ก็คือ user ของเรานั่นแหละ ..... Designer ต้องเข้าใจ Developer กลับกัน Developer ก็ต้องเข้าใจ Designer ... เช่นเดียวกับ Business, Marketing และอื่นๆ รวมถึง Customer ด้วย
Developer หลายทีม (Web, Frontend, Backend) ก็ต้องมอง "โปรแกรม" ของอีกคนหนึ่ง เป็น User ของสิ่งที่เราทำ (Client-app น่ะแหละ) ทำอย่างไรโปรแกรมของอีกคนหนึ่งจะใช้งานสิ่งที่เราทำอยู่ได้ดีที่สุด โปรแกรมนั้นอยากจะเรียกใช้อย่างไร ใน context อะไร ฯลฯ
ซึ่งก็จะนำมาซึ่งการทำ Test-Driven Development แบบโฟกัสที่ "Test" จริงๆ นั่นก็คือ "Usage" (ไม่ใช่โฟกัสที่การมี Unit Test)
และก็จะนำมาซึ่งการออกแบบโครงสร้างที่ optimal กับการใช้งานจริง จะเรียก API อะไรตรงไหน จะเก็บ cache อะไรไว้ใช้งานตรงไหน เพื่อให้ server เราทำงานได้น้อยที่สุด ประสิทธิภาพสูงสุด และตัวแอพรันได้สมูธที่สุด ฯลฯ
เป็นต้น
หวังว่าคงเป็นประโยชน์มากขึ้น
UX เป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องของทีม ทั้งทีม ทั้งในทีม และนอกทีม
คนที่มีตำแหน่งเป็น "UX" ควรจะเป็นคน lead ให้เกิด UX culture across the board และทั้ง stack อย่างที่ผมบอก มากกว่า "เป็นคนทำ UX แต่เพียงผู้เดียว"
อีกครั้ง UX เป็นเรื่องของทีม และนั่นแหละ มันจึงเป็นเรื่องของ Culture ... (เช่นเดียวกับ Test และ Agile)
UX Culture มันคือ Culture ที่โฟกัสที่ "คนที่ใช้สิ่งที่เราทำ เพื่อตัวเขา" มากกว่า "การทำงานของเรา" ... นั่นแล วิทยากรหลายคน จึงพูดตรงกันเรื่อง "Ego" ว่าต้องสลาย Ego
ผมเห็นว่าถ้าจะมี Ego มีเลยครับ ไม่เป็นไร แต่ต้อง "มีให้ถูกที่ถูกทาง" Ego ที่ควรมี มันอยู่ที่การใช้งาน ไม่ใช่อยู่ที่ตัวเราครับ (นั่นคือ สลาย Ego ที่ตัวเรานั่นแหละ) ... อย่าใหั "ตัวตน" (อัตตา) ของเรา ไปทำลายสิ่งที่เราทำ ด้วยการยัดเยียดมันลงไปในการใช้งาน .... ตรงกันข้าม ให้ใช้อัตตาของผู้ใช้ ที่เราเห็นได้จากการใช้งาน กำหนดตัวตนของเราผ่านสิ่งที่เราทำ นั่นแหละ
ดังนั้น ภายในทีม Ego ของแต่ละฝ่าย จึงควรจะเป็น "คนนั้นจะทำงานดีขึ้น ถ้าเราทำงานแบบนี้ให้เขา" ไม่ใช่ "งานเราดี งานเราเจ๋ง คนอื่นต้องทำอย่างที่เราบอกให้ทำ"
ไม่ใช่ว่า "เราได้สร้างของที่ดีที่สุด ของที่เราทำออกมาเจ๋งที่สุด" (Ego อยู่ที่ตัวเรา) แต่เป็น "งานคนอื่นดีขึ้น ชีวิตคนอื่นดีขึ้น จากการใช้สิ่งที่เราทำ เพราะมีสิ่งที่เราทำ อยู่ในชีวิตเขา" (Ego อยู่ที่อีกด้านหนึ่ง) นี่แหละ "หัวใจของ UX"
นั่นแหละครับ ที่ผมหมายถึงใน Slide ว่า "มองอีกข้างของสมการ" ;-)
#แชร์ได้ตามสะดวก
"A: ข้างหน้าอารีนี่อะไรนะ สนามเป้าป่ะ
B: โมฮัมหมัด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำยังไงดีกับคนเอาแต่ได้ ขอให้เราช่วยทุกอย่าง พอเราขอให้ช่วยบ้างบอกไม่ได้
คุณบุนนี่ย้ายมาอยู่ปารีสได้เกือบห้าปีแล้ว เธอบอกว่าเป็นการย้ายมาแบบ “Un Tapis, Un Oreiller” ด้วยความรักเต็มเปี่ยมที่มีให้กับมหานครแห่งแฟชั่น ปัจจุบันเธอสมรสกับคุณ ฟิลิป ดูบัวส์ เจ้าของบริษัทจัดทัวร์ดูแฟชั่นโชว์ให้คนจากประเทศแถบอัฟริกาและจีน
เส้นทางชีวิตของคุณบุนนี่กว่าจะมาเป็นมัดมัวแซลล์บงบง ยากลำบากพอๆ กับก่อนโคโค่จะมาเป็นชาแนล กว่าจะเป็นกูรูแฟชั่นวีคแบบนี้ ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน คุณบุนนี่ยังเป็นแค่ไกด์บริษัททัวร์จากเมืองไทย ที่ได้มาปารีสครั้งแรกกับลูกทัวร์ 38 คน
“ทันทีที่บุนนี่ได้เห็นหอไอเฟลจากบนรถทัวร์ บุนนี่ก็พูดกับตัวเองเบาๆ ว่า “Paris, je t’aime” มันบอกไม่ถูกค่ะ ความเป็นการตกหลุมรักที่รุนแรงมาก คือ…มัน…พูดไงดีล่ะ le trafic ferroviaire sera encore perturbé lundi, en raison notamment de la grève à l'appel de la” (ยิ้ม)
ด้วยความรักอันรุนแรง วันรุ่งขึ้นเธอจึงตัดสินใจลอยแพลูกทัวร์ทั้ง 38 คนจากเมืองไทย เพื่อเดินตามเสียงเรียกของหัวใจ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Grandpa: "Girl, your generation relies too much on technology."
Girl: "No, YOUR generation relies too much on technology."
*unplugs life support*
The kid with the sterner parents learns about the class divide, thinks he is better than the poor and hates them. And the kid with the unorthodox parents also learns about the class divide , does not hate the poor but still thinks he is better than them for he believes he is supporting them.
Moral: They both look down upon at the poor. Teach kids that no work is beyond or above you to do. A sweeper is just as entitled, and may be, happy as you are, even with half your money.
"...มาร่วมเป็น 1 ในทหารของสมเด็จพระนเรศวร เพื่อศักดิ์ศรีของเราลูกนเรศ... "
ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ เราควรที่จะตระหนักได้แล้วว่า เรานั้นค่อนข้างที่จะมีปัญหาอยู่พอสมควรเกี่ยวกับการเข้าใจประวัติศาสตร์ และนำประวัติศาสตร์มากำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้น โดยเฉพาะประวัติศาสตร์กระแสหลักซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลแนวคิดของลัทธิชาตินิยม ดังนั้น มหาวิทยาลัยที่ควรจะเป็นที่รองรับความคิดใหม่ๆ และควรจะมีเสรีภาพทางความคิดและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จึงกลับกลายเป็นว่า ต้องถูกกดภายใต้กฎระเบียบ ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ชาตินิยม โดยทุกคนเลือกที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ และเดินไปตามที่สังคมได้กำหนดไว้ ซึ่งเป็นการบังคับให้เดินไปโดยความสัมพันธ์เชิงอำนาจจากรุ่นพี่และคณะผู้บริหาร รวมทั้งบรรดาคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยด้วย
แม้กระทั่งเครื่องหมายหรือตึกเรียนต่างๆ ซึ่งก็ได้ถูกตั้งชื่อหรือออกแบบให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์กระแสหลักแบบชาตินิยม อันเป็นการผลิตซ้ำที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนและชีวิตประจำวันของนิสิต ดังเช่น เครื่องหมายองค์สมเด็จฯ ที่นิสิตต้องประดับไปเรียนอยู่ทุกครั้ง ชื่ออาคารธรรมราชา อาคารเอกาทศรถ อาคารปราบไตรจักร เป็นต้น เป็นการผลิตซ้ำและปลูกฝังแนวความคิดดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อีกประการหนึ่งของการผลิตซ้ำที่ค่อนข้างอันตรายอยู่พอสมควรคือ การเกิดแนวคิดที่ยกสถานะสมเด็จพระนเรศวรให้มีสถานะเป็น "พ่อ" และแทนนิสิตทุกคนหรือบุคลากรต่างๆ ที่ได้เข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ว่าเป็น "ลูก" ซึ่งตามค่านิยมของวัฒนธรรมไทยแล้ว ผู้น้อยย่อมเป็นการยากที่จะโต้แย้งผู้ใหญ่ การยกสถานะดังกล่าวนี้ยิ่งทำให้นิสิตยากที่จะตั้งข้อสงสัยหรือโต้แย้งอะไรได้เลย ถึงแม้ว่าสมเด็จพระนเรศวรจะไม่ได้เป็นผู้ใช้วาทกรรมดังกล่าวนี้ แต่การที่ใครก็ได้ที่มีอำนาจจะมาใช้วาทกรรมดังกล่าวนี้ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายมาก
ดังนั้น เราควรพิจารณาด้วยว่า การที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในสถาบันการศึกษานั้นเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ และถามผู้ที่รักและเคารพสมเด็จพระนเรศวร ว่าท่านทนได้หรือไม่ที่ยอมให้มีคนมาแอบอ้างพระนเรศวรเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เพราะท่านมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 400 กว่าปีที่แล้ว ไม่มีใครเคยพบเห็นท่านจริงๆ หรือได้ยินสิ่งที่ท่านพูด แล้วท่านจะเอาอะไรเป็นตัววัดความประสงค์ของพระองค์ท่าน สิ่งที่มีคนกล่าวอ้างว่าท่านประสงค์อย่างนู้นอย่างนี้ ความประสงค์นั้นแท้จริงแล้วท่านคิดว่ามันเป็นของใคร
เป็นที่แน่นอนว่ากิจกรรมดังกล่าวนี้ได้รับความเห็นดีเห็นชอบจากผู้หลักผู้ใหญ่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ผ่านไปปีแล้วปีเล่า การผลิตซ้ำของประวัติศาสตร์บาดแผลเช่นนี้ ได้ทำให้แหล่งผลิตปัญญาชนแห่งนี้กลับกลายเป็นเบ้าหลอมของลัทธิชาตินิยมและความคลั่ง สิ่งที่นิสิตเหล่านี้จะได้รับคือความภาคภูมิใจในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่ามกลางความเกลียดชังและอคติ เพราะถึงแม้ว่าเราจะตระหนักดีแล้วว่าเรื่องราวเหล่านี้มันได้ผ่านมาแล้วหลายร้อยปี แต่การผลิตซ้ำก็เปรียบเสมือนเป็นการกรีดแผลซ้ำไปซ้ำมา และการลงมีดครั้งแล้วครั้งเล่าภายใต้แนวคิดของลัทธิชาตินิยมอาจจะหนักและบอบช้ำมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เราควรที่จะตระหนักได้แล้วว่าประวัติศาสตร์บาดแผลนี้มันสร้างอันตรายได้อย่างมากมาย มันสามารถที่จะใช้สร้างความชอบธรรมให้กับสถานะของผู้มีอำนาจ และสามารถใช้ล้มล้างฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่เป็นธรรม ดังที่เห็นได้จากอดีตที่ผ่านมาแล้วหลายกรณี
อย่างไรก็ตาม มันเป็นความย้อนแย้ง (Paradox) ในตัวของมหาวิทยาลัยเอง ที่มุ่งมั่นปรารถนาที่จะนำสถาบันการศึกษานี้เข้าไปอยู่ใน AEC อย่างภาคภูมิ ถึงกับลงทุนปิดภาคเรียนนำร่องเพื่อปรับเวลาให้ตรงกับประเทศในอาเซียน มีการแลกเปลี่ยนต่างๆ อย่างมากมายในเรื่องของวัฒนธรรม มีนิสิตต่างชาติและอาจารย์ชาวต่างชาติที่เป็นชาวอาเซียนอยู่พอสมควร การหยิบยกประวัติศาสตร์บาดแผลมาเป็นสิ่งหลอมรวมจิตใจนิสิตใหม่นี้ มันไม่เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกันไปหน่อยหรือ เพราะอย่างไรก็ตามเมื่อเปิด AEC เมื่อไหร่ นิสิตที่เป็นชาวต่างชาติก็จะยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้น คำถามจึงเกิดขึ้นว่า มหาวิทยาลัยจะยังใช้กลยุทธ์ชาตินิยมแบบเดิมที่หยิบยกประวัติศาสตร์บาดแผลมาหลอมรวมนิสิตได้อีกหรือไม่ อีกทั้งมหาวิทยาลัยจะจัดการอย่างไรกับอคติที่มีผลมาจากประวัติศาสตร์ชาตินิยมเหล่านี้ ที่ทางมหาวิทยาลัยได้มีส่วนเสริมสร้างมันขึ้นมา และผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย เห็นได้จากกิจกรรมที่จัดติดต่อกันทุกปีในช่วง 4 ปีหลังมานี้
>>331 ไม่เชิงเกี่ยวกับบทความโดยตรง
แต่อ่านแล้วนึกถึงเด็กมหาลัยแห่งนึงที่สร้างกระแสแชร์รูปบอกกว่าที่ตัวเองได้เข้ามหาลัยนี้ไม่ใช่เพราะเก่ง แต่เป็นเพราะผู้ก่อตั้งมหาลัยเลือกให้ได้เข้าไป
คือกูรู้สึกว่ามันดูหลอกตัวเองมากๆ เพื่อนกูที่แชร์ๆกันก็มีแต่พวกแอดไม่ติดแล้วสอบตรงที่นี่ได้เลยเอาไว้ก่อนทั้งนั้น
กูมองว่าเป็นเหมือนวิธีสร้างความภูมิใจให้เด็กที่มาเรียนที่นี่เพราะตัวเองสอบไม่ติดมหาลัยอันดับต้นๆน่ะแหละ
กรณี มน. กูว่าก็คงคล้ายๆกันมั้ง
ประเด็นเพลงรณรงค์ประชามติของ กกต. ที่มีเนื้อหาว่าคนใต้รักประชาธิปไตย ส่วนคนเหนือและคนอีสานก็อย่าให้ใครชี้นำ ในที่สุดแล้ว subtlety ของมันก็ทำให้ผู้ฟังตีความได้หลายแบบ คนที่ไม่เห็นด้วยก็สามารถลื่นหลุดไปได้ว่ามันแค่ความบังเอิญ-คนที่วิจารณ์คิดมากไป ไปจนกระทั่งว่าคนที่วิจารณ์เนี่ยประสาทแดก
แต่สำหรับเรา เราเห็นว่าเนื้อหามันดูถูกชัดเจน ไม่ใช่เพราะเราแค่อ่านเนื้อเพลงแล้วก็ตีความตามตัวอักษร แต่เพราะเราได้เป็นประจักษ์พยานต่อการกดขี่ของรัฐไทยต่อประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสานผ่านขบวนการเสื้อแดง เราได้ยินโวหารจากคนในเมืองที่ฉายภาพชาวบ้านเป็นคนโง่ถูกนักการเมืองชี้นำ แล้วเราก็ได้เห็นชุดความคิดเหล่านี้ถูกบรรจุลงในเนื้อเพลง เวลาที่เราได้ฟังเนื้อเพลงเราไม่ได้ยินแค่เนื้อเพลง แต่เรามองเห็นภาพของการกดขี่เชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นจริงถูกฉายออกมาผ่านเนื้อเพลงนั้น
ประเด็นที่จะพูดถึงก็คือว่า เราสามารถวิจารณ์ความเห็นของคนอื่นว่า "คิดมากไป" "ประสาทแดก" ได้แทบกับทุกเรื่อง แต่มันก็ไม่ได้แสดงความเหนือกว่าของเราเสมอ บางครั้งมันแสดงถึงความไม่รู้-ไม่สามารถมองเห็นถึงประสบการณ์และมุมมองของคนอื่นที่ต่างจากเรา ไปจนถึงการที่ไม่สามารถมองเห็นโครงสร้างที่ใหญ่กว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเอง พูดง่ายๆคือ มันแสดงให้เห็นว่าเราเองอยู่ในกะลา
ซึ่งเรื่องนี้มันสามารถโยงไปถึงการที่เสรีนิยมไทยชอบวิจารณ์ซ้ายตะวันตกว่า "ประสาทแดกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง" แต่หลายคนก็ขลุกอยู่กับคนไทยในการศึกษาไทย/การเมืองไทย/วัฒนธรรมไทย/ประเทศไทยมาทั้งชีวิต แล้วก็เอาประสบการณ์ของตัวเองไปครอบคำวิจารณ์ของคนอื่น ซึ่งมันไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความฉลาดแต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นถึงอาการของคนอยู่ในกะลา ที่ไม่สามารถมองเห็นโครงสร้างแบบที่ตัวเองไม่คุ้นเคยในการเมืองของประเทศตัวเองได้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ในชีวิต Hillary Clinton ต้องเจอแต่ Hard Choices เหมือนชื่อหนังสือของเธอ เพราะตัวเองไม่เคยเป็น Good Choices ของใครครับ เป็นแค่ Political Machine ที่แสวงหาอำนาจให้ตัวเองเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศสภาพ ชาติพันธุ์ เศรษฐกิจและนโยบายต่างประเทศ ผมซื้อไม่ลงทั้งนั้นครับ ตอนสมัยยุค 1980 เธอไม่สนับสนุนสิทธิของ LGBTs บอกว่าการแต่งงานควรเป็นเรื่องของผู้ชายและผู้หญิงเท่านั้น พอเรื่อง same-sex marriage มาเป็นกระแสหลักถึงเพิ่งจะมาบอกว่าตัวเองสู้เพื่อสิทธิผู้หญิงและ LGBTs ไม่รู้ว่าคนที่เป็น LGBT ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนหักหลังอยู่หรือไง ที่ต่อสู้มาตั้งนานแล้วโดนนักการเมืองขโมย scene ไปเฉย ๆ แบบนั้น
พอ rebrand ตัวเองแล้วก็เอาประเด็นเรื่องเพศสภาพมาหากินจนเกินเลยครับ กลายเป็น sexist อีกรูปแบบนึงไป เช่น คนรณรงค์ของคลินตันเคยให้สัมภาษณ์ว่าผู้หญิงวัยรุ่นลงคะแนนเสียงให้ Bernie Sanders เพราะเลือกตามผัวตัวเอง ล่าสุดนักข่าวที่เป็นผู้หญิงก็มาถาม Bernie Sanders ว่าที่ยังรณรงค์แข่งกับ Hillary อยู่เพราะเป็น Sexist ใช่ไหม เกลียดผู้หญิงใช่ไหม ถ้ายังมีสามัญสำนึกอยู่คงจะพอเห็นได้มังครับว่ามันไร้สาระแค่ไหน ฉะนั้น เวลาที่สาวก Hillary ออกมาโจมตีสาวก Sanders ต่อกรณีที่วิจารณ์ Elizabeth Warren ว่าหักหลังพวก Progressives ผมถือว่าคำวิจารณ์แบบนี้ของผู้สนับสนุน Sanders ยังมีรสนิยมกว่าเยอะ
กรณีเวลาที่คนทำงานให้ Bernie Sanders แอบไปเห็นฐานข้อมูลผู้ลงคะแนนของ Hillary Clinton เข้าโดยไม่ตั้งใจ Bernie Sanders ไล่ออกทันทีนะครับ เวลาที่ผู้สนับสนุน Bernie ใช้คำว่า Vagina โจมตี Hillary เขาก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตลอดว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องและไม่ควรค่าที่จะเป็นผู้สนับสนุนของเขา แต่กรณีของ Hillary ที่ผมบ่น ๆ ไปข้างบนเหรอครับ ไม่เห็นว่าเธอจะออกมาพูดอะไรซักแอะ เงียบเป็นเป่าสาก อย่างเก่งก็แค่บอกในทีวีว่าไม่ได้เรียกร้องให้ใครเลือกเธอเพราะเธอเป็นผู้หญิง โถ คุณลองดูคนที่ทำงานให้คุณและนักข่าวผู้สนับสนุนของคุณสิครับ จะไม่ออกมาพูดวิจารณ์คนพวกนี้หรือไล่พนักงานตัวเองออกหน่อยเลยเหรอ ผมคิดว่าคนที่เป็นเฟมินิสต์ไม่ควรภูมิใจที่ได้ประธานาธิบดีหญิงคนแรกเป็น Clinton ทำนองเดียวกับที่คนอังกฤษไม่ควรภูมิใจที่มี Thatcher เป็นนายกแหละครับ
ประเด็นเรื่องการเหยียดชาติพันธ์ ตอนสมัยที่เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของ Bill Clinton ในยุค 1990s เธอก็บอกว่าคนผิวสีเป็น Predator ซึ่งความหมายของคำนี้ก็ประมาณเดียวกับคำว่า "พวกขี้คุก" หนะครับ สนับสนุนโทษประหารด้วยครับ ปัจจุบันก็ยังสนับสนุน ทั้งที่คนผิวสีตกเป็นเหยื่อของคดีนี้ตายไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เรื่อง Marijuana เธอก็ไม่สนับสนุน ปล่อยให้ประเด็นนี้กลายเป็นเครื่องมือในการเล่นงานคนผิวสีต่อไป ยังไม่รวมนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่สนับสนุน Universal Health Care ไม่สนับสนุน Free Tuition Education แถมยังบอกว่าจะ Break Big Banks ทั้งที่ตัวเองก็ยังรับเงินจาก Big Banks อยู่ เรื่องการรับเงินจาก Big Banks นี่ชัดเจนมากครับ ถาม Elizabeth Warren ดูได้ครับ จากที่ตอนแรก Hillary เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งและสนับสนุนกฏหมายล้มละลายเพื่อให้บุคคลล้มละลายได้รับการคุ้มครองตามกฏหมายจากอุตสาหกรรมบัตรเครดิต พอเป็น สว. และได้รับเงินจากอุตสาหกรรมเครดิตปุ๊บก็ผ่านกฏหมายที่สนับสนุนการหากินกับบุคคลล้มละลายของอุตสาหกรรมบัตรเครดิตทันที
ประเด็นเรื่องนโยบายต่างประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ Hillary Clinton นี่เป็น Hawkish ตัวยงเลยครับ โหวตสนับสนุนสงครามในอิรัก และอัฟกานิสถาน ถ้า Hillary ได้เป็นประธานาธิบดี และประโยชน์ลงตัว เธอก็พร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาล คสช. อันแสนเป็นที่รักของเหล่า Hillary Supporters ในไทยแน่นอนครับ เผลอ ๆ แล้วพวกคลั่งชาติทั้งหลายจะรักชาวอเมริกันขึ้นเป็นกองเลยแหละครับ นโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมยิ่งแล้วใหญ่ครับ ปากก็ขโมยโวหารของ Bernie Sanders มาด้วยการบอกว่า "Climate change is real. It is caused by human activity" แต่อีกด้านก็สนับสนุนธุรกิจ Fracking ที่กระทบกับสิ่งแวดล้อมมาก ๆ เพราะมีนายทุนอุตสาหกรรมพลังงานหนุนหลังอยู่
(ต่อเรปล่าง)
(ต่อจาก >>334 )
จากที่ผมพูดมาทั้งหมด มันเลยทำให้ผมสงสัยไงครับว่า คุณกล้าบอกได้ยังไงว่าตัวเองต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศสภาพ ถ้าไม่พูดถึงความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ไม่แก้ไขกฏหมายอาชญากรรมที่ผลิตซ้ำความรุนแรงต่อกลุ่มคนผิวสี ทำร้ายทั้งผู้ชาย ผู้หญิง กลุ่ม LGBT และเด็กตาดำ ๆ ในต่างประเทศโดยใช้นโยบายสนับสนุนสงคราม แถมยังทำลาย Mother Earth ด้วยนโยบายทำลายสิ่งแวดล้อมอีก ?
ล่าสุดตอนที่เล่นการเมืองแข่งเป็นผู้ชิงประธานาธิบดีในพรรค Democrat ก็เล่นสกปรกครับ พยายามล็อบบี้ Superdelegates ของพรรคที่ไม่ต้องลงคะแนนตามมติของประชาชน ให้สนับสนุนตัวเองตั้งแต่ไก่โห่ ไม่นานมานี้ ที่รัฐ Massachusetts เธอก็พยายามส่ง Bill Clinton ไปเดินรณรงค์ขวางทางให้จราจรติดขัดในวันเลือกตั้งครับ คนที่สนับสนุน Bernie Sanders จะได้เดินทางไปเลือกตั้งไม่ได้ กฏหมายเล่นงานเอาผิดอะไรไม่ได้เพราะเป็นนักการเมืองอิทธิพลตัวเป้ง
ในรัฐอื่น ๆ เหรอครับ Hillary Clinton ใช้อิทธิพลของเธอในพรรค Democrat สั่งให้ลดจำนวนคูหาเลือกตั้งในรัฐต่าง ๆ ที่ตัวเองจะแพ้ลงครับ แถมใช้ประโยชน์จากระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยทำให้ได้ชัยชนะที่รัฐ Wyoming ที่ Bernie Sanders ได้คะแนนดิบเยอะกว่า แต่ Hillary กลับได้ Delegates เยอะกว่า ล่าสุด ก็ออกมาหลอกประชาชนด้วยการใช้เงินซื้อสื่อให้ออกประกาศครับว่าตัวเองชนะแล้วจนเป็นข่าวใหญ่โต ทั้งที่รัฐ California ซึ่งเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของพรรค Democrats ยังไม่ได้ออกมาลงคะแนนเสียง ทุกวันนี้เวลาไปดูเฟสบุ๊คข่าวของ Hillary Clinton ลองสังเกตุดูเถอะครับ ไม่มีใครดีใจด้วยหรอก มีแต่คนกดปุ่ม sad และ angry
ถามว่า Hillary เก่งไหมที่ก่อข้อผิดพลาดทางการเมืองเยอะขนาดนี้ แต่ยังอยู่ในอำนาจได้และรวยเอารวยเอาจากการเรี่ยไรเงินสนับสนุนจากนายทุน ยอมรับกว่าเก่งมากครับ และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่าการที่ Hillary ขึ้นมาได้มันสะท้อนปัญหาเชิงสถาบันของการเมืองในอเมริกายังไง ถามว่า Trump ดีกว่า Hillary ไหม มาถึงตอนนี้พูดยากแล้วครับ เพราะฝั่งนึงก็เป็น Grassroots' Bigot Demagogue อีกฝั่งก็เป็น Reverse Sexist Establishment Political Machine ใครเห็นว่า Hillary Clinton เป็นประเด็นที่น่าศึกษาเพราะทำ political marketing เก่ง แสวงหาอำนาจเก่ง รักษาภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นฝ่ายก้าวหน้าอยู่ได้ ทั้งที่เล่นการเมืองสกปรกและเหยียดกลุ่มทางสังคมต่าง ๆ ขนาดนี้ ก็ศึกษาไปเถอะครับ น่าสนใจดี
แต่ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ I'm not with her."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>334 >>335 https://fanboi.ch/lounge/2646/384/
กูฮาอีพวกผญที่โหวตให้อีนี่เเค่เพราะอยากได้ ปธน หญิง
ที่พีคคือไอ้หัวหยอยมาร์คซัคไปกดไลค์ตัสที่อีฮิลลารี่ประกาศฉลองชัย(ทั้งๆที่ยังไม่สิ้นสุดการเลือกตั้ง)ด้วยนะ เพิ่งรู้ว่ามาร์คมันเป็นcuck
Trump นี่กูว่าปลาไหลยิ่งกว่า Hillary อีก โดนด่าเป็น Conservative ปลอม
ชื่อนั้นสำคัญไฉน
เจ๊ฮิลลารี่ คลินตันกำลังมีปัญหากับเอฟบีไอ เพราะว่าสมัยเป็นเจ้ากระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในรัฐบาลโอบามา เจ๊ฮิลลารี่ใช้อีเมล์ส่วนตัว แทนที่จะใช้อีเมล์ หรือเซิร์ฟเวอร์ของกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบการรักษาความลับของทางการ เพราะว่าอีเมล์ส่วนตัวของเจ๊อาจจะถูกแฮ๊คก็ได้
และอีิมล์ของเจ๊ก็ถูกแฮ๊คจริงๆ ทำให้ข้อความที่เจ๊เขียนติดต่อในระหว่างเป็นเจ้ากระทรวงโดนเอาไปแฉในWikiLeaks
ถ้าเจ๊ฮิลลารี่ถูกดำเนินคดีเอฟบีไอ การลงเลือกตั้งเพื่อชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีของเจ๊จะจบลง แต่เส้นเธอใหญ่เท่าหัวแม่เท้า มีเพียงอัยการสูงสุด และประธานาธิบดีโอบามาเท่านั้นที่จะเอาผิดเจ๊ได้ แต่ประเด็นคืออัยการสูงสุดและโอบามาเป็นพวกเดียวกับเจ๊
ต้องคอยดูซิว่ากฎหมายที่ศักสิทธิ์ของอเมริกาจะเอาผิดเธอได้หรือไม่
ที่น่าสนใจคือชื่ออีเมล์ที่เจ๊ฮิลลารี่ใช้ : hrod17@clintonemail.com
ฮืมมมมม......
hrod มาจากHillary Rodham ชื่อแรก และชื่อกลางของเธอ
แต่hrodอาจจะเป็นชื่อเลียนแบบกษัตริย์เฮโรด (Herod) ของยิวโบราณสมัยพระเยซู Herodที่ชั่วร้ายก็ได้ เฮโรดสั่งฆ่าเด็กฮิบรูทุกคนในเบธเลเฮม เมืองที่พระเยซูเกิด เพราะกลัวว่าพระเยซูจะเป็นภัยตอ่พระองค์ แต่พระเยซูรอดมาได้
ในมัทธิวของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบทที่2.16 เขียนเอาไว้่ว่า:
"ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ถามพวกนักปราชญ์อย่างถ้วนถี่นั้น"
กษัตริย์เฮโรด ผู้ยิ่งใหญ่เป็นนักกลยุทธที่รู้จักเอาตัวรอด และสร้างฐานอำนาจในเยรูซาเลมในขณะที่โรมกำลังมีปัญหาการเมืองภายในช่วงก่อนต้นคริสตกลาง เฮโรดได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากอ๊อกตาเวียน หลานของจูเลียส ซีซ่าร์ที่ถูกลอบสังหาร อ๊อกตาเวียนต้องการล้างแค้นให้ซีซ่าร์ และยึดอำนาจในโรมเพราะว่าเป็นทายาทของซีซ่าร์ ในที่สุด อ๊อกตาเวียนสามารถเอาชนะในสงครามการเมืองในโรมได้ และต่อมากลายเป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโรม และได้เปลี่ยนชื่อเป็นจักรพรรดิออกัสตัส ซีซ่าร์
หลังจากขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว เฮโรดปกครองเยรูซาเลมด้วยกฎเหล็ก สั่งฆ่าผู้ที่ขัดขืนอำนาจของพระองค์โดยไม่เลือกหน้า แต่พระองค์เป็นนักสร้าง นครเยรูซาเลมมีสิ่งปลูกสร้างที่อลังการ์ พร้อมทั้งเมืองท่าCaesarea ที่ตั้งชื่อตามจักรพรรดิโรมัน
ที่สำคัญที่สุดคือกษัตริย์เฮโรดให้มีการปฏิสังขรณ์วิหารโซโลมอนแห่งที่2 เพื่อฟื้นฟูความยิงใหญ่ของยิวโบราณ แต่วิหารโซโลมอนถูกพวกทหารโรมันทำลายในปีคศ. 70
วิหารโซโลมอนแห่งที่1 ถูกกษัตริย์Nebuchadnezzar II แห่งบาบิโลนทำลายหลังจากการโจมตีเยรูซาเลมในปี587ก่อนคริสตกาล
ความฝันของพวกยิวสมัยใหม่ที่มองตัวเองว่าสืบสายเลือดจากยิวโบราณ คือการสร้างวิหารโวโลมอนแห่งที่3 แต่ปัญหาคือที่ตั้งของวิหารโซโลมอนในเยรูซาเลมตอนนี้เป็นที่ตั้งของDome on the Rock ซึ่งเป็นสุเหร่าของศาสนามุสลิม เพราะว่ามุสลิมยึดครองเยรูซาเลมได้ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของสงครามครูเสด ชาวมุสลิมสามารถยืนหยัดและรักษาเยรูซาเลมได้ โดยต่อมาได้กลายเป็นดินแดนปาเลสไตน์
http://interactive.aljazeera.com/…/al-aqsa-mosqu…/index.html
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดลัทธิไซออนนิสน์ขึ้นมาเพื่อสร้างรัฐยิวใหม่ในดินแดนปาเลสไตน์ในปัจจุบัน โดยจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดคือการฟื้นฟูอาณาจักรยิวโบราณ และการรื้อฟื่้นสร้างวิหารโซโลมอนแห่งที่3 เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของโลกใหม่
หัวใจของความขัดแย้งในตะวันออกกลางทั้งหมดอยู่ที่การเกิดใหม่ของวิหารโวโลมอนแห่งที่3 ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ประเทศในตะวันออกกลางต้องล่มสลาย
เหตุการ์911เป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับอีแร้งที่จะทำสงครามกับ7 ประเทศคืออัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรีย ลิเบีย เลบานอน ซูดาน โซมาเลียเพื่อที่จะฟื้นฟูอิสราเอล
เจ๊ฮิลลารี่ล้มลิเบียกับมือ เธอเป็นคนฆ่ากัดดาฟี่ ผู้นำของลิเบียที่ไม่ได้มีแผนคิดร้ายทำอะไรอเมริกาเลย
เจ๊ฮิลล่ารี่ให้สัมภาษณ์สือทีวีว่ากัดดาฟี่ตายอย่างไร โดยเลียนแบบคำพูดของจูเลียส ซีซ่าร์ "We came. We saw. And he died hahahahaha."
มันเป็นคำพูดของคนบ้าสงคราม และการฆ่ากัดดาฟี่ถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม แต่ใครจะกล้าเอาผิดเจ๊
กลับมาดูชื่ออีเมล์ของเจ๊อีกครั้ง hrod17@clintonemail.com
อาจจะถอดรหัสได้ว่า Herod 2017 หมายความว่าเจ๊ฮิลล่าร์ต้องการขึ้นมามีอำนาจเทียบเท่ากษัตริย์เฮโรดโบราณ เพื่อที่จะฟืนฟูสร้างวิหารโซโลมอนแห่งที่3 และอำนาจที่เธอจะได้จะอยู่ในช่วงปี2017 หลังจากชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ
ฝันไปไกลเลยนะจ๊ะเจ๊ฮิลลารี่ เทพีแห่งของครามของวาระโลกใหม่
#มิตรสหายสมคบคิดท่านหนึ่ง
ดูนิสัยฮิลลารี่แล้วถ้าได้ขึ้นอำนาจ
ใครไม่เลียตีนหล่อนน่าจะไม่รอด
ถ้ามีมารยาทต้องปลดลงจากหลัง แล้วถือเข้าไป เพราะว่าช่วงขาจะมีที่เยอะ
พวกเรียกร้องน้ำใจ
คือคนแบกเป้ข้างหลังน่ะต้องมีน้ำใจกะผู้ร่วมทาง
อย่าเห็นแก่ตัว
เป้คุณทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน
เพลียกะพวกตรรกะเพี้ยนเป็นที่สุด
ชอบเรียกร้องน้ำใจกะคนส่วนใหญ่
เฮ้ยยยยย คนส่วนน้อยมันต้องระวังคนส่วนใหญ่รึเปล่าวะ
คนแบกเป้มันแค่เศษเสี้ยวของสังคม
#มิตรสหายพันทิปท่านหนึ่ง
the two candidates for president of the most powerful country in the world are shit-flinging on an internet site that allows 140 letters max, which is also used by international terrorists.
If you had told anyone this 16 years ago they would have institutionalized you.
Stop the planet, I want off.
ใครจะมีเมียน้อย จงอ่าน
http://pantip.com/topic/35245149
When ISIS said they are Islam.
No, they are not Islam, said the Liberal.
When boy said they are girl.
Yes, they are girl, said the Liberal.
Where is the consistency?
"เศรษฐศาสตร์ไม่มีหัวใจ # 1
ไม่มีใครทำเพื่อสังคม มีแต่คนทำเพื่อตัวเอง
สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ เราคงคุ้นเคยกันดีกับฟังก์ชันอรรถประโยชน์ (Utility Function)
อ่านถึงย่อหน้านี้ อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะครับ เพราะไอ้อรรถประโยชน์ที่ว่ามันก็คือปริมาณความสุขที่นักเศรษฐศาสตร์พยายามวัดให้เป็นตัวเลข
ผมสมมติง่ายๆ ว่ามันเป็นหน่วย 'สุข' เช่น ผมกินหมูปิ้ง 1 ไม้ ได้ 5 สุข เป็นต้น
ทีนี้ย้อนกลับมาเรื่องฟังก์ชัน เราก็คงเดาได้แล้วว่าฟังก์ชันความสุขของแต่ละคนบนโลกย่อมแตกต่างกัน คนชอบกินหมูปิ้ง เวลากินไปก็ย่อมได้ความสุขมากกว่าพวกมังสวิรัติก็โดนบังคับกินหมูปิ้ง อะไรประมาณนั้น
ย้อนกลับมาเรื่องทำงานเพื่อสังคม ทำไมผมถึงตั้งข้อสังเกตได้รุนแรงบาดใจเหล่าคนดีผู้เสียสละขนาดนี้ ?
ภายใต้แนวคิดของหลักเศรษฐศาสตร์โบร่ำโบราณ เราทุกคนต่าง 'เลือก' ทำงานเพื่อให้เกิดความสุขให้มากที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีใครเสียสละอะไร เขาเลือกที่จะทำเพราะมันสร้างความสุขสูงสุดให้เขาเท่านั้น
ตัวอย่าง
บอมบุง (นามสมมติ) ทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่งที่ให้รายได้ 10,000 บาท วันหยุดไม่แน่นอน ไม่มีโอที ต้องไปต่างจังหวัด แต่ฟังก์ชันความสุขของบอมบุงคือ
= 0.5*เงินรายได้ + 20,000 (จากความสุขที่ได้ทำงานที่ชอบ) = 25,000 สุข
บอมบุง ระยะที่สอง (นามสมมติ) ขายวิญญาณให้บริษัทวิจัยอำมหิต ใช้งานเยี่ยงทาส ทำให้เขาไม่มีเวลาว่างไปทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่เขาตัดสินใจย้ายมาทำ เพราะเขาได้เงินเดือน 50,000 บาท ดังนั้นความสุขของบอมบุง = 0.5*50,500 + 0 (เพราะไม่ได้ทำงานที่รัก) = 25,000 สุข
จะเห็นว่าทั้งสองงานให้ความสุขในปริมาณที่เท่ากัน การทำงานมูลนิธิของบอมบุง (นามสมมติ) ในระยะแรกจึงไม่ใช่การเสียสละ 'ใดๆ ทั้งสิ้น'
ดังนั้นเหล่าคนที่ทำงานเพื่อสังคมในรูปแบบใดก็ตาม จึงไม่ควรและไม่แนะนำอย่างยิ่งที่จะใช้การทำงานเพื่อสังคมเป็น 'เกราะป้องกัน' เวลาโดนคนวิพากษ์วิจารณ์
ถ้าใครยังใช้เกราะคนดี + เสียสละในการป้องกันตัวเอง ผมแนะนำให้เปลี่ยนงานเถอะครับ ไปทำงานที่ได้เงินเยอะๆ พักผ่อนเป็นเวลา ไม่ต้องมาหนักมาเหนื่อยทำเพื่อสังคมหรอก
แต่เขาก็คงตอบว่าเขาจะยืนหยัดทำงานนี้ต่อไป เพราะนี่คือความสุขของเขา
. . .
( ผมเดินหนี เพราะขี้เกียจคุยกับคนเมา)
หลายคนมักมาบอกผมว่าเสียสละตอนที่ผมทำงานที่มูลนิธิฯ ผมเองก็ได้แต่ยิ้มรับ เพราะจริงๆ ผมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนดีหรือเสียสละบ้าบอใดๆ ผมแค่สำเร็จความใคร่ทางความสุขของผมเท่านั้น
เราเคยวิจารณ์บริษัทเลวร้ายอย่างไร ทำผิดพลาดอย่างไร เราก็ควรใช้มาตรฐานนี้กับกลุ่มคนที่ทำงานเพื่อสังคมได้ไม่ใช่หรือ ?
หรือเพราะเป็นคนเสียสละเลยได้รับข้อยกเว้น ได้รับโอกาส ได้รับมาตรฐานการวิพากษ์วิจารณ์ที่ต่ำกว่า ?
คุยกันได้ครับ อยากได้รับความคิดเห็น ในฐานะหนึ่งคนที่ไม่เชื่อว่ามีอะไรดีที่สุด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูสงสัยว่าไอ้เพจมิตรสหายนี่มันสูปบทความมาจากไหนนักวะอัพได้เรื่อยๆ
Totally lose a faith on true love. I don't believe it no more ...
"เรียน ป.ตรี ก็สู้ ป.โทไม่ได้
เรียน ป.โท ก็สู้ ป.เอกไม่ได้
แต่จะ ป.ตรี ป.โท หรือ ป.เอก
ก็สู้ปอเนาะไม่ได้ เพราะปอเนาะ
#สอนให้เรารู้จักอัลลอฮ์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
This whole scenario sounds like a bad joke.
>A Muslim walks into a gay bar.
>The bartender asks, "What'll you have?"
>The Muslim replies, "Let me get some shots for everybody!"
ผู้โดยสารพูดเล่นว่ามีระเบิด = ตำรวจจับ พาตัวมาแถลงข่าว ขอโทษออกทีวี
นักบินบอกว่าจะโหม่งโลก = ??? ทำไม 2 มาตรฐานแบบน่ารังเกียจขนาดนี้ ทุเรศว่ะบ้านเมืองนี้
อ่านบทลงโทษนักบินที่ให้นักบินจัดการกันเอง พร้อมย้ำว่านักบินลงโทษกันเองกลัวที่สุดสำหรับนักบินด้วยกัน
ทำเอาผมนึกถึงพราหมณ์สมัยก่อน เวลามีคดีด้วยกันกับคนชนชั้นอื่น หากตัดสินว่าผิดทั้งคู่ ให้ประหารคนชนชั้นอื่นเสีย ส่วนพราหมณ์ให้ตัดมวยผมทิ้ง เพราะการตัดมวยผมนั้นน่าอายเสียยิ่งกว่าตายสำหรับพราหมณ์เสียอีก แน่นอนว่าคนที่ออกกฎนี้มาก็คือคนชั้นพราหมณ์เอง
"วันนี้นั่งอ่านข่าว ...นอกจากเหตุยิงกันที่ออลันโด ...ยังมีข่าวปัญญาอ่อนอีกข่าวนึง....เป็นข่าวของชาวไร่ในแคนซัส...ที่แม่งเกิดสงสัยในทฤษฎีที่ว่า ..."เมื่อตกจากที่สูง แมวจะจัดท่าตัวเองให้ลงพื้นอย่างปลอดภัยเสมอ"
ไอ้เหี้ยนี่ก็ไม่เชิงไม่เชื่อ...แต่อยากพิสูจน์ว่าทฤษฎีมันจะจริงขนาดไหน....เลยไปไล่จับแมวข้างถนนมาทั้งหมด4ตัว แล้วเอายัดไว้ในปลอกหมอน.....พร้อมกับวานเพื่อนให้เอาเครื่องบินพ่นยาฆ่าแมลงไต่ระดับขึ้นไปที่ความสูงระดับที่จะกระโดดร่มให้หน่อย....ทีแรกเพื่อนแม่งก็ท้วงว่า..... อย่าเลย แม่งไม่รอดหรอก ทำร้ายสัตว์เปล่าๆ
ไอ้ห่านี่ก็บอก ถ้าแมวตกลงมาตายก็ไม่ใช่ความผิดกู....โน่นมึงไปโทษคนคิดทฤษฎีโน่น...เสือกมาเผยแพร่อะไรควายๆให้คนอื่นเชื่อ...สุดท้ายเพื่อนแม่งคงทนรบเร้าไม่ไหว ก็เลยเอาไอ่ห่านี่ขึ้นเครื่องไต่ความสูงขึ้นไปที่ 7000ฟุต
พอถึงระยะโดด.....มันก็โดดออกจากเครื่องพร้อมกับพยายามล้วงแมวออกจากปลอกหมอน.....
ทีนี้แมวแม่งจิก จิกปลอกหมอน จิกแขน แล้วไต่.....ไต่แขนไต่หลังไต่หน้า ไต่คอ ไต่ขา......ยุบยับๆ....โอ๊ยะ ไอ่สัส เจ็บ....แมว 4 ตัว ตัวละ4ตีน ตีนละ4เล็บ.....64 เล็บแม่งจิกทั่วตัว แกะตีนนีง อีก 3 ตีนจิก...ดึงหลังจิกหน้า แกะตัวที่1 ...3ตัวที่เหลือแม่งเกาะแน่น....อย่าว่าแต่4ตัว....แค่ตัวเดียวให้หลุดพร้อมกันสองตีนยังไม่มีปัญญา
ความสูงตอนนี้เหลือ. 3000ฟุตแล้ว....ชิบหายละ... แม่งต้องกระตุกร่มแล้ว ....แมว4ตัวแม่งทุกตัวอยู่ครบ...เกาะแม่งอย่างแน่น
ทีนี้เวลามึงกระตุกร่ม....แรงที่กระทำกับตัวมึงคือ 3G....คือวินาทีที่ร่มกระชาก ....แมวน้ำหนัก 1กิโลกรัม จะกลายเป็น 3กิโลกรัม.....คูณกับอีก10Gของแรงดึงดูดโลก....กระชากผ่านร่างกายของแม่ง 64จุด....
เลือดแม่งซิบมั่ง นองมั่ง ไหลย้อยลงง่ามตีนเป็นสาย ....ยังดีที่ว่าลงพื้นปลอดภัย(ระดับนึง)ไม่มีขาแข้งหัก
ส่วนแมวทั้ง4ตัวพอเห็นว่าปลอดภัย ....ก็แยกย้ายกันวิ่งหายเข้าไปในดงข้าวโพด....ทิ้งให้ไอ้เชี่ยนี่นอนโอยอยู่กลางทุ่งข้าวโพด พร้อมโทรให้เพื่อนมารับไปส่งโรงพยาบาล.....
สรุป....ที่ความสูง7000ฟุต....แมวแม่งก็ยังโอเค"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
”แมวเลือกท่าลงพื้นที่ปลอดภัยที่สุด". จิกเนื้อเกาะกับคนมีร่มชูชีพเนี้ยแหล่ะปลอดภัยสุด
"สั้นๆ ถึงดราม่า LGBTIQAs ตอนนี้
(เขียนในฐานะที่ไม่ได้ทำงานสิทธิแล้ว, เป็นคนวงนอก, แต่ยังสนใจเรื่องสิทธิอยู่)
1. เราต้องแยกระหว่างมุกเหี้ยและโฟเบีย
2. เราซื้อ sogie (sexual orientation, identity and expression) มากกว่า LGBTIQAs เพราะเราว่าคำมันครอบคลุมกว่า (ครอบคลุมกระทั่งผู้หญิงรักต่างเพศที่มีลักษณะกริยาท่าทางแบบ butch)
3. เราคิดว่าคำโดยตัวมันไม่สามารถ represent ปัญหาที่บุคคลต้องเผชิญได้ ดังนั้นในความเห็นเราสถานะของคำว่า sogie กับ LGBTIQAs มันเหมือนกัน
4. ในแง่งานรณรงค์ควรจะยึดที่คำใดคำหนึ่งแล้วทำงานกับมันให้หนักเพื่อในสธารณะเข้าใจ แน่นอนว่าสาธารณะไม่มานั่งอัปเดต technical term บ่อยๆแน่ๆ ยกเว้นมันจะเปลี่ยนแบบ major change (คนทั่วไปไม่จำหรอกว่าแอนดรอยด์ 4.2.1 กับ 4.2.2 ต่างกันยังไง แต่แยกได้ว่า 4.3 กับ 5 ต่างกันยังไง)
5. เราไม่สามารถต่อคำออกไปเรื่อยๆเพื่อ include ทุกลักษณะทางเพศเข้ามาอยู่ใต้ร่มเดียวกัน (และคาดหวังให้คำจะสามารถขับเน้นประเด็นปัญหาที่แต่ละกลุ่มพบเจอให้ชัดขึ้นมาได้) เพราะความหลากหลายมันมีมากกว่าที่คิด และเราไม่ควรทำให้คำที่ต้องใช้รณรงค์กลายเป็นศัพท์ยากในการแข่ง spelling bee
6. แมสเสจหลักที่คนทำงานต้องการจะสื่อคืออะไร? ในความเห็นของคนนอกอย่างเรา แมสเสจใหญ่ที่แต่ละชุมชนควรขับเคลื่อนร่วมกันคือการบอกสังคมว่าไม่ว่าเราจะเป็น 'อะไร' เราก็ควรได้รับการเคารพสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน แล้วแต่ละชุมชนจะไปขับเน้นปัญหาที่ประสบยังไงก็แล้วแต่ชุมชนนั้น (บางชุมชนอาจจะไม่มีชื่อเรียกก็ได้) ซึ่งเราคิดว่าการใช้ LGBTIQAs (และอาจมีเพิ่มเติมในอนาคต) มัน distract คนจากแมสเสจหลักนั้นอยู่เหมือนกัน (คือไปเน้นที่ชุมชนมากกว่า)
7. (จริงๆ ควรเขียนอันนี้เป็นอันแรกแต่ลืม 555) เราเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ประเด็นขัดแย้งเรื่องจะเลือกใช้ sogie หรือ LGBTIQAs เราแค่เล่าความเห็นที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงจาก lgbt สู่ lgbtiqas ว่าในจริงๆ แล้วมันไม่ช่วยเรื่องการขับเน้นประเด็น, ไม่สื่อสาร, และจำยากยังไง เมื่อมองจากมุมมองของคนนอก
8. btw เราเข้าใจคนทำงานที่เห็นความสำคัญของคำว่า lgbtiqas นะ ความรู้สึกว่าอยากจะรวมทุกประเด็นขึ้นมาไม่ให้มันตกหล่น แต่จากมุมของสังคมภายนอกการชูทุกอย่างมันอาจจะไม่เวิร์กก็ได้
9. เราคิดว่าคำในการรณรงค์กับสังคมมันต้องง่ายไว้ก่อน ทำให้มันง่ายแล้วเราไปเข้มตรงการอธิบาย ดีกว่ายากมาตั้งแต่คำที่ใช้สื่อสาร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมไม่ชอบคำว่า "เจ้าเก่า" ว่ะ
ผมว่ามันหมายความว่า คุณหยุดพัฒนากระบวนการทั้งหมดแล้ว คุณแค่รอวันเสื่อมถอย
ธุรกิจในประเทศเรา มักใช้คำว่า เจ้าเก่า เพื่อยกให้ตัวเองดูมีจุดขาย
แล้วไงวะ เจ้าใหม่ มันไม่มีสิทธิ์ลืมตาอ้าปากหรือไง
ถ้ามองตื้นๆเราอาจมองว่า เฮ้ย เราขายขาหมูว่ะ ข้างๆแม่งเปิดแข่งแม่งเลียนแบบ มันจะทำให้มันแย่งลูกค้าเรา เปิดอีกร้าน แย่งลูกค้ากูอีก ห่า
อืม…..ก็ใช่
แล้วทำไมเราไม่มองเป็นแง่ดี ว่าเราไม่ทำให้มันเป็น ดงขาหมู ล่ะ
แบบถ้า ใครอยากกินขาหมูหลายแบบ ต้องมากินแถวนี้
ผมยกตัวอย่างสีลม ก็ได้ มีไม่ต่ำกว่า5เจ้า แล้วไง ร้านไหนขายได้ก็มีลูกค้าประจำ
เพราะอะไรวะ?
"เพราะเขาพัฒนาตัวเองยังล่ะ"
ขาหมูแถวนั้น กินดีๆ รสไม่เหมือนกันเลยสักเจ้า เวลาเปิดบางเจ้าก็เหลื่อมกัน
สิ่งที่เขาทำคือ สร้างแบรนด์ สร้างรสชาติ สร้างเอกลักษณ์ให้ร้านตัวเอง
ลูกค้าอาจมาทีหลายๆคน ชิมมันทีละเจ้า มันก็ขายได้นี่หว่า ทำลายตลาดตัวเองเหรอ
เปิดติดๆกัน ไม่พัฒนาตัวเอง แต่ติดเจ้าเก่า กับร้านข้างๆถ้าเขาทำอร่อยกว่าเขาก็มีสิทธิ์ขาย
อาหารไม่ใช่ของที่มีทรัพย์สินทางปัญญาคุ้มครองขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้ ปั๊มขาย โหลดบิทไปแชร์ แบบหนัง เพลง
แต่ทุกร้านมันก็ลงมือทำด้วยตัวเองเหมือนกัน ถึงมันจะพยามเลียนแบบ ร้านมันก็มีรสมือของแต่ละร้านเอง
ถ้าร้านข้างๆขายโรตีสายไหมเหมือนกัน เราควรทำไงครับ
-พัฒนาไส้ แป้ง แพคเกจ วิธีขาย จนเป็นเอกลักษณ์
-ด่าแม่ง นินทาแม่ง ประจานแม่ง
คนแบบไหนที่ทำลายวงการ หรือมีปัญญาทำได้เท่านี้
เลิกวนเวียนอยู่กับคำว่า เจ้าเก่า ย่ำอยู่กับที่
โลกแม่งพัฒนาไป เจ้าใหม่หมดแล้ว
ส่วนเจ้าเก่าจริงๆ ถ้ายังใช้คำนี้อยู่ ก็จงดูแลขั้นตอนการผลิตบ้าง ไม่ใช่เอาลูกน้องมาทำสั่วๆเพราะติดตลาดแล้ว
ภูมิใจในงานตัวเองกันบ้างครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถัดจาก นามาสุ(ปลาดุก) ก็ อิซุมิได izumi dai イズミダイ(ปลานิล) สินะ
แหม ร้านซุชิ ก็เริ่มเอามาใช้กันละ (เห็นในเมนูบุฟเฟ่ท์ร้านนึงที่คนแชร์กัน)
ก็กินได้หละมั้งถ้าเกรดแพคแช่แข็ง แต่จะกินไหม ก็ตามสบายครับ แค่มาบอกไว้ ว่ามันเข้ามาแล้วนะ แบบแพคแช่แข็งมันก็คงรับได้หละน่าจะไม่มีพยาธิเหลือ
แต่สักพักคงมีคนแบบ เอ้าทำได้เหรอ แล้วเอาปลานิลน้ำจืดบ้่านเรามาแล่ขายกัน ช่วงนั้นหละบันเทิง ยิ่งบ้านเราสันดานมักง่ายกันแล้วด้วย เตรียมเจอพยาธิน้ำจืดของจริงกันหละทีนี้
#เล่นแร่แปรชื่อ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คือเอาจริงๆ ไม่ได้อวย 7-11
แต่ถ้ามองในหลักการที่ว่า ไอ้ข้าว 7-11 ก็เป็นอีก Factor นึง ในการตรึงราคา หรือ "คาน" ราคาร้านข้าวแกง หรืออาหารตามสั่งไม่ให้เตลิดไปไกลกว่านี้
ถามจริงๆ คิดเหรอว่า 7-11 ทำข้าวกล่อง กระเพราหมูไข่ดาวในราคา 20 บาทไม่ได้? ในเมื่อ หมูมันเอง ข้าวมันเอง ร้านของมันเอง
ถ้าจะผูกขาดตลาดจริงๆ ผมว่า 7-11 แมร่งฆ่าเหี้ยนน
(อย่างกาแฟนี่ชัดเจน ถ้าคนกินกาแฟสด แต่ไม่ดื่มด่ำรสชาติอะไรมาก กาแฟสด 7-11 ราคา 30 บาทนี่แมร่งโหดสัดๆ ฆ่าร้านกาแฟข้างๆร้านพินาศทันที)
แต่ถ้าจะมองว่า "ระบบทุน" รังแกโชว์ห่วย หรือ ตามสั่ง
มันก็ต้องด่าโชว์ห่วย หรือตามสั่งว่า พวกเอ็งก็ไม่ปรับตัวเหมือนกันวะ
อีกอย่าง ตอนแก๊สขึ้น แมร่งรีบขึ้นค่าอาหารเลย
พอแก๊สลง พวกพ่อค้าจะเพิ่มปริมาณขึ้นให้สักนิดยังไม่ทำเลย
อีกอย่าง อาหารตามสั่ง "กระเพรา" เนี่ย มึงใส่ถั่วฝักยาวมาซะจนกูนี่คิดว่า "ถั่วฝักยาวผัดกระเพราะอยู่แล้ว"
ปล: กับข้าวใต้ถุนคอนโด LPN อย่างละ 50 บาท
สั่ง 2 อย่าง ร้อยนึง บางที พี่ๆก็ให้โอกาสพวกผมได้เลือกบ้างก็ได้นะ
During a lecture in class
Professor asked "what is difference between complete and finish"
Everyone answered ,there is no difference
But then a student's answer impressed everyone
"When you marry a right woman you are complete. When you marry a wrong woman you are finished. When the right woman sees you with the wrong woman, you are completely finished"
"1. #การคัดหลีดคณะ
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เก็ตว่าทำไมต้องเรียกน้องทั้งคณะมาให้รุ่นพี่จิ้มเลือก ...
สำหรับเรา มันคือโมเม้นต์ที่ awkward ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ที่คนหน้าตาดีอาจจะนึกไม่ออก คือมันจะมีตอนที่รุ่นพี่ถามว่า น้องคนไหนที่ไม่สะดวกอยากเป็นหลีดขอให้ยกมือขึ้นครับ
แล้วเราก็โพล่งยกมือคนแรกๆไง เพื่อแสดงเจตจำนงใช่ปะ แต่ทันทีที่ยกมือเสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่า คนอื่นจะมองว่ามึงออกตัวแรงไปป๊าว ช่วยดูหนังหน้าตัวเองก่อนยกมือมะ ถึงไม่ยก เขาก็ไม่เอามึงอยู่แล้วปะ...
งืดอีกดอกคือ พอยกมือ ก็คิดว่าจะได้ออกจากตรงนั้น แต่ไม่! นิสิตชายปี 1 ยังต้องอยู่เพื่อให้พี่ๆ เขาจิ้มว่าเอา/ไม่เอาใคร (กูนึกว่าเดอะเฟซ)
ความเหวออีกดอกที่จำได้คือ มันแน่นอนที่เราไม่ได้ถูกเลือก ก็เดินออกมาจากตรงนั้น ซะที กระทั่งเดินผ่านเพื่อนนิสิตหญิงคนนึงตรงลานใบหยก มันก็บอกว่า "แกไม่ต้องเสียใจเว่ย พี่เขาคัดคนเอาไว้อยู่แล้ว"
อีสัส หน้าตากูดูเฟลมาก??!?!?!??
2. #เพลงคืนอันเป็นนิรันดร์
ในรุ่นๆประมาณ 35-40 เพลงประกอบละครเวทีนี้เป็นเหมือนเพลงธีมอันทรงคุณค่า มักใช้เปิดเวลาต้องการบิ๊วด์อีโมในคนหมู่มาก เช่น ก่อนละครเวทีรอบสุดท้าย ทุกคนก็จะยืนล้อมรอบที่นั่งในหอประชุมจุฬาฯแล้วก็มองทอดไปที่เวที ก็เป็นโมเม้นต์ที่ขนลุกสำหรับเด็กใหม่อย่างเรานะ
เราและเพื่อนชอบเพลงนี้ มักจะร้องฮัมกันเล่นๆ จนมีครั้งนึง ในห้องคอมพิวเตอร์คณะ ไอ้เรากับเพื่อนก็ร้องฮัม "เหตุใดคืนที่ยาวนาน ไม่ผ่านไปเสียที ..." ก็มีเพื่อนนิสิตหญิงเดินมาบอกว่า "แกๆ เพลงนี้เขาไม่ให้ร้องเล่นนะ มันศักดิ์สิทธิ์!!!!"
อีพวกเราก็หยุด อย่าเรียกหยุดเลย เรียกว่าสตั๊นจะเหมาะกว่า
3. #การกิน_นอนใต้ถุน
literally กิน-นอน อะ แบบไม่กลับบ้านกลับช่อง นอนที่ห้องกนท. ตื่นเช้ามาก็ไปอาบน้ำที่ศูนย์กีฬาในร่ม ทำกันแบบนี้ทั้งสัปดาห์ ...จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าพวกกูทำไปเพื่ออะไร !
แต่รู้ว่า ถ้าจะมีใครidentifyคำว่า"เด็กใต้ถุน" พวกข้าพเจ้าต้องติดอยู่ทอป3 !"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มึงไม่ต้องห่วง เนติวิทย์กำลังไปช่วยมึงแล้ว"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"กัญชาที่อยู่หลังบ้านผมมันขึ้นมาเองครับ เนื่องจากบ้านปลูกต้นไม้อยู่แล้ว มีวันนึงไปพบเข้าแล้วดูทรงมันใกล้ตายแล้ว ไม่ทราบว่ามาจากไหน คิดว่าคงเป็นของใครคนหนึ่งที่มีบ้านอยู่แถวนี้ เราสงสารเลยรดน้ำพรวนดินให้ เพราะหากปล่อยไปก็เชื่อว่ามันจะตายไปเอง จนทุกวันนี้มันไม่ยอมไปไหนเลย จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ยิ่งปลูกมากก็จะช่วยเพิ่มออกซิเจนในอากาศได้อย่างมากมายมหาศาล ผมอยากเห็นประเทศไทยกลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้ง
#ปลูกเลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"#ผมจะเป็นคนดี
#กัญชาเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
#ปลูกเลย"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
ขออนุญาติก๊อปไปโพสในเฟสนะครับ สาระทั้งนั้นเลย
เด๋วให้เครดิตไว้ว่าเป็น มิตรสหายท่านหนึ่งนะครับ
เอาจริงไม่สะดวกเป็นหลีดก็ไม่ควรเข้ามาคัด สมมติถ้าติดก็เหมือนกันที่อ่ะ แบบติดแล้วเดี๋ยวก็ออก
ในโลกของการทำงาน จะมีผู้นำอยู่สองประเภท
ประเภทแรก คือ ผู้นำที่คิดว่า "ฉันทำเพื่อองค์กร ฉันทำสิ่งที่ถูกต้อง งานต้องดี ต้องเนี๊ยบ ถ้าจะต้องเป็น Bad Cop เพื่อให้ธุรกิจมุ่งไปข้างหน้า โดยที่จะมีคนไม่พอใจ ฉันก็โอเค"
คนแบบนี้ คิดถึง Productivity เป็นหลัก แต่ขาด Balance ของ Happiness สิ่งที่เค้าจะได้ไป ก็คือผลงานที่ยอดเยี่ยม และลูกน้องที่นินทาเค้าอยู่ข้างหลัง ก็เพราะว่าเค้าให้ความสำคัญกับผลลัพธ์เท่านั้น แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคน
ประเภทที่สอง คือ ผู้นำที่คิดว่า "ฉันทำเพื่อผู้คน ทำในสิ่งที่มีคุณค่า งานอาจจะผิดบ้าง ช้าบ้าง แต่ฉันเชื่อในการเรียนรู้และเติบโตของทีมงาน เพื่อให้ธุรกิจมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน ฉันอาจจะเดินช้าบ้าง แต่ฉันก็โอเค"
คนแบบนี้ คิดถึง Inspiration เป็นหลัก แต่ขาด Execution ที่เด็ดขาด สิ่งที่เค้าจะได้ไป ก็คือการเติบโตอย่างยุ่งเหยิง แต่มีลูกน้องที่ยินดีเสียสละและรักในสิ่งที่พวกเค้าทำ ก็เพราะว่าเค้าให้ความสำคัญกับส่วนประกอบหลักของความสำเร็จ ซึ่งนั่นก็หมายถึงทีมงานที่ยอดเยี่ยม
ไม่มีอะไรดีที่สุด แย่ที่สุด
สายกลาง... Balance ดีที่สุด
การเป็นผู้นำที่ดี ต้องมีทั้งพระเดชพระคุณ ต้องมีกาละเทศะ ไม่ยึดติดอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงเพราะความเคยชิน
ที่รู้... ที่เขียนมาได้เป็นฉากๆ เพราะเคยเป็นคนแบบแรกมาก่อน สิ่งที่เกิดขึ้น พอเติบโตขึ้น ก็โทรไปขอโทษพาร์ทเนอร์ ขอโทษลูกน้องเก่าๆ ในทีม Fly High (Compass) และ PrimeStreet
ทุกวันนี้ งานอาจจะไม่เนี๊ยบเหมือนตอนอยู่ PrimeStreet แต่มีความสุขไปกับทีมงานทุกวันค่ะ :)
"อีนมแบนร้อยผัว"
- มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวถึงอีเท
ข่าวกราดยิงบาร์เกย์ มีการรับบริจาคเลือดเพื่อคนบาดเจ็บจำนวนมาก แต่กลุ่มเพศทางเลือกไม่สามารถบริจาคเลือดได้เพราะ สถาบันที่รับเลือดปฏิเสธไม่ให้เกย์บริจาคเลือด. สาเหตุเพราะมีสถิติว่าเกย์เป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นผู้ติดเชื้อมาก เพราะพฤติกรรมเฉพาะเช่นเปลี่ยนคู่ขาบ่อย,ไม่ใช้ถุงยางเพราะคืิดว่าไม่ท้องแตกในได้,บางคนก็สวิงกิ้งไปเลย. มันก็น่าเห็นใจในด้านที่คนคิดจะบริจาคเลือดแต่รพ.ปฏิเสธ แต่เรื่องความเสี่ยงในการแพร่เชื้อก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
"so we support interracial marriage now?
as expect from Jewdisney
มิตรสหายท่านนึง ไม่รู้ว่ามันพูดเล่นหรือพูดจริง
3 องค์ประกอบความพินาศในการทำร้านอาหาร
ชื่อเสียงไม่มีเสือกขายแพงเวอร์
น้อยชิบหาย
ทำออกมาแล้วมนุษย์ยังไม่แดก
ถ้าเจ้งก็ เทพ(โพธิ์งาม)แล้วล่ะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การที่พระธัมมชัยโยควยโตโห่หิ้วไม่มาปรากฎตัวนั้นเพราะว่ากำลังมีการปฎิบัติวิชาธรรมควยโตแบบเข้มข้นเพื่อเข้าใจถึงแก่นแท้แม้จะไม่ได้เย็ดมาก็สามารถมองทะลุปุโปร่งเข้าไปได้ถึงใต้ร่มผ้าของสีกาที่มาถวายฉันเพลก็ดีหรือภัทตาหารก็ดี โลกเราทุกวันนี้มันโหดร้ายขึ้นทุกทีๆด้วยเหตุที่ว่าคนเราชอบอ้างที่จะไม่ยอมเย็ดกันให้ถึงพระนิพพานสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึงกะดอเพราะไม่มีเวลาและหาเวลาและยุ่งกับกิจอื่นๆนั้นถือว่าเฮงซวยและหัวควยมากทั้งๆที่เป็นพุทธแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมเชื่อในธรรมกายและวิชาของหลวงพ่อสดที่มีมาแต่โบราณจนกระทั่งสามารถแย่งที่ชาวบ้านเพื่อสร้างวัดมาได้จนถึงทุกวันนี้
นั่นแสดงว่าในอันแท้จริงแล้วธัมมชโยควยโตโห่หิ้วต้องการให้ชาวไทยพุทธศึกษาวิชาธรรมกายกันเยอะๆนั่นเอง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากๆแล้วในการศึกษาจนถึงพระนิพพานได้โดยการเรียนกับมหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นหลักสูตรที่ส่งตรงจากอเมริกามาถึงมือสาวกและลูกศิษย์ทั้งหลายอย่างมีคุณภาพโดยแท้และไม่ต้องไปไหนไกล ศึกษาจากที่บ้านนั่นแล พอศึกษาจนครบก็สามารถมาสอบโดยการเย็ดกับพระธัมมชโยควยโตโห่หิ้วเพื่อแลกรับใบปริญญาบัตรได้อีกด้วย เดี๋ยวอาตแมวมาต่อนะ หาข้าวฉันแปป เดี๋ยวรอญาติโยมมาถวายในห้องฉันติดแอร์ชั้น20แปป
#มิตรธรรมกายท่านหนึ่ง
"สนับสนุนการทำแท้งถูกกฎหมาย ไม่ได้แปลว่าสนับสนุนให้วัยรุ่นเย็ดสดกันรัวๆแล้วไปทำแท้งกันง่ายๆเหมือนไปถอนฟัน
สนับสนุนให้มีการขายบริการทางเพศที่ถูกกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่าสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนไปเป็นกระหรี่
สนับสนุนให้มีบ่อนถูกกฎหมาย ไม่ได้จะบอกว่าจะให้ชาวบ้านชาวช่องเข้าบ่อนเช้าเย็นจนไม่ทำอะไร
คัดค้านการห้ามขายเหล้าวันพระ ไม่ใช่ว่าจะอยากเมาหัวราน้ำทุกวัน
สนับสนุนให้เลิกคิดว่าผู้เสพยาเป็นอาชญากร มันคนละเรื่องกับอยากให้มียาม้าขายตามเซเว่นทั่วๆไป
โลกนี้มันวิธีคิด วิธีดีลกับปัญหาแบบอื่นๆที่ซับซ้อนกว่า เป็นระบบกว่า และได้ผลมากกว่า ไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร ก็เอาข้อมูลเอาตรรกะมาเถียงกัน แต่ไม่ใช่ว่าพอคิดอีกแบบแล้วแปลว่าเค้าอยากจะให้ทุกอย่างมันเสรีสุดเหวี่ยงจนสังคมล่มสลาย ใครมันคิดแบบนี้แม่งจิตใจไม่ได้สูงหรือเป็นคนดีอะไรเลยนะ แม่งก็แค่มองมนุษย์คนอื่นเป็นสัตว์ป่าเถื่อนไร้เหตุผลที่พร้อมจะทำลายตัวเองตลอดเวลาเท่านั้นแหละ คือตัวมึงดีอยู่คนเดียวว่างั้น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำแท้งเพราะท้อง >>> กูว่าเพราะคนไทยมีค่านิยมชอบเยดแตกในวะ เพราะมันไม่เลอะเทอะ
และไม่นิยมใส่ถุงเพราะมันมีค่านิยมคิดว่าเยดไม่มัน แถมเปลืองตัง
กูว่าปัญหาเยดก่อนเรียนจบมักมาจากการรับวัฒนธรรมต่างชาติ+สื่อโทรทัศน์ มาฝังหัวมานานจนเกิดการอยากเลียนแบบเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ(ก็มันหนัง)
กิจการกะหรี่ถูกกฎหมาย >>> อันนี้เราไม่ควรไปเลียนแบบวัฒนธรรมฝรั่งกันง่ายๆเพราะคิดว่าเราจะทำได้แบบฝรั่ง มีกฎหมายรุณแรงแบบฝรั่ง มีระบบตรวจสอบอนามัยเข้มแบบฝรั่ง มีการให้เกียรติเพศหญิง,เกย์ เท่าฝรั่ง
มองดูประเทศแถบเอเชียก็ไม่ได้เงี่ยนอยากเปิดกะหรี่ถูกกฎหมายเหมือนกัน เพราะเขาอาจกลัวสูญเสียบุคลากรมีค่า อาจคิดสั้นหรือพลาดท่าไปเป็นกะหรี่ ใครที่กล้าบอกว่ากูเป็นกะหรี่แล้วสังคมจะเชิดชูนี้ มีแน่เหรอ
"แม่งก็แค่มองมนุษย์คนอื่นเป็นสัตว์ป่าเถื่อนไร้เหตุผลที่พร้อมจะทำลายตัวเองตลอดเวลาเท่านั้นแหละ"
ประโยคนี้มัน sum it up ทุกสิ่งอันที่จะมาโต้แย้งมิตรสหายท่านนี้เลยนะ คือ เอ่อ ก็มันจริงนี่หว่า คุณภาพทรัพยากรบุคคลของประเทศเราต่ำก็ต้องยอมรับป้ะ ไม่ใช่อะไรก็จะเอาให้ได้ตามประเทศพัฒนาแล้วทุกอย่าง
"อย่าปล่อยให้สำนึกความเท่าเทียมทำให้เราเห็นว่าเราควรจะปฏิบัติกับมดปลวกเหมือนมนุษย์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มึงจะปฏิบัติกับมดปลวกเหมือนมนุษย์ก็เรื่องของมึง แต่อย่าปฏิบัติกับมนุษย์เหมือนมดปลวก"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ผมลองวิเคราะห์ดูแล้วนะว่าคนไทยส่วนใหญ่ ใช้ "สิทธิ์" ในโซเชี่ยลต่างๆได้สิ้นเปลืองมาก
เหมือนอย่างเพจในเฟซบุ๊คเท่าที่ลองสังเกตดูแทบไม่มีเพจไหนไลค์ลดลง
(แบบเห็นได้ชัดจากหลักแสนเป็นหมื่น)ทั้งที่ทำเรื่องงามหน้าหลายครั้งหลายครา
อย่างยูทูป ยอดซับฯของยูทูปเบอร์ต่างๆ(พวกแคสเกมเสียส่วนใหญ่) ที่คอนเทนต์น่าเบื่อจากเมื่อก่อน อะไรแบบนี้
ยอดซับฯของช่องเหล่านั้น แทบไม่ตกลงเลย มีแต่เพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ
แล้วก็พฤติกรรมอย่างขอไลก์ปัญญาอ่อนไร้สาระ ก็ยังได้รับความนิยมจากเหล่าคนไทยอยู่เนืองๆ เช่น คนไทยไลก์หน่อย คนไทยยกมือ เป็นต้น
ผมเลยมองว่า คนไทยล้าหลังทางอินเตอร์เน็ตมากๆ "
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
"It is more important that innocence be protected than it is that guilt be punished, for guilt and crimes are so frequent in this world that they cannot all be punished.
But if innocence itself is brought to the bar and condemned, perhaps to die, then the citizen will say, 'whether I do good or whether I do evil is immaterial, for innocence itself is no protection,' and if such an idea as that were to take hold in the mind of the citizen that would be the end of security whatsoever."
>>391
กูเห็นด้วย โดยเฉพาะคดีข่มขืนเนี่ย ควรถือว่าผิดก่อนเลย จนกว่าจำเลยจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้
Guilty until proven innocent.
เพราะว่าการที่ให้ผู้หญิงต้องมาเจ็บปวดและอับอายซ้ำในศาลเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองถูกข่มขืนนี่มันเป็นเรื่องป่าเถื่อนมาก
เพราะฉะนั้นต้องเชื่อคำพูดของผู้หญิงไว้ก่อน
มึงไม่เคยเจอผู้หญิงตอแหลสิ่นะถึงบอกให้จับไปเลย จะปรักปรำต้องมีหลักฐานประกอบพอสมควรด้วย จะตัดสินว่าใครผิดโดยเชื่อแค่คำปรักปรำมันง่าวไป
>>396 อันนั้นไอฟิลม์มันก็ไม่ยอมตรวจDNAไม่ใช่เหรอ(หรือมันยอมวะ จำไม่ได้แล้ว) แสดงว่ามันก็ต้องไม่มั่นใจแหละ
>>397 ก็เพราะงั้นมันถึงมีการฟ้องกลับในกรณีโดนปรักปรำไง แต่ที่มันเป็นปัญหาในบ้านเราเพราะว่าตอนใส่ร้ายกันน่ะ มันอยู่ในช่วงกระแสสังคม ทำให้เรื่องมันไปไว แต่พอจะฟ้องกลับ กระแสมันดันหมดไปแล้ว ทำให้เรื่องมันเดินช้าเหี้ยๆเลยไง
แต่ไอเชื่อไว้ก่อนโดยไม่มีหลักฐานก็ไม่เกี่ยวนะ
ทิชชู่เช็ดอสุจิแช่ช่องฟรีชด้วยไหมล่ะมึง
"หมอขอบอกเลยนะ หมอไม่เคยเชื่อเลยว่า GT-200 ใช้งานได้ "
#มิตรสหายพรทิพย์
"นี่มันพรทิพย์หรือฮิลลารี่"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ศักดิ์ศรีทำให้คนไม่ยอมรับว่ากูผิด"
#มิตรสหายจ่าพิชิตท่านหนึ่ง
กะเทย... ชั้นรู้สึกดีนะวันนี้หลายคนออกมาบอกว่า
"พระเอกโฆษณาโค้ก เป็นคุณแม่แล้วไง"
"ทำไมไม่โฟกัสที่ผลงาน"
ชั้นรู้สึกถึงความก้าวหน้าของสังคม ตอนมีคน โดยเฉพาะเว็บบทความ ตั้งใจทำให้ใครสักคนถูกมองไม่ดี ด้วยการหยิบความไม่เป็นผู้ชายจริงๆ หรือผู้หญิงแท้ๆ มาพูด ก็จะมีหลายคนออกมาติงเว็บไซต์พวกนี้
ถึงจะเป็นแผนการตลาดก็ช่าง แต่ก็ถือว่าสังคมเราก้าวไปอีกขั้นแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ!! เอาเข้าจริง คนที่คอยจับผิดคนอื่นว่าเป็นเก้งกวางหรือคุณแม่ เท่าที่ชั้นเห็น เกือบทั้งหมดกลับเป็นเพื่อนกะเทยด้วยกันเอง แถมไม่พอ บางคนยังไปโพนทะนาว่าคนนั้นคนนี้เป็นเกย์
ขอย้อนกลับไปตอนเรียนมหาลัย บางคณะมีผู้ชายน้อย หรือคนที่หล่อที่สุดไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ ก็เลยต้องส่งเก้งกวางขึ้นประกวด กะเทยก็ไปตามประกาศว่าเค้าไม่ใช่ผู้ชาย... เพื่ออะไร?
ชั้นว่าไม่โอเคละก็ไม่ยุติธรรมนะ ในเมื่อกะเทยกำลังเรียกร้องให้สังคมยอมรับตัวเองอย่างเท่าเทียม แต่ตัวเองกำลังจำกัดกรอบคนอื่น ในเมื่อกะเทยอยากให้คนอื่นมองตัวเองเป็นคนเท่ากัน แล้วทำไมยังก้าวข้ามเรื่องเพศของคนอื่นไปไม่ได้
ความรักก็เหมือนกัน กะเทยไม่ควรจำกัดกรอบว่า กะเทยต้องรักกับผู้ชายเท่านั้น กะเทยบางคนรักกับทอม ผู้หญิง หรือกะเทยด้วยกันเอง ก็เป็นเรื่องน่ายินดีเหมือนกัน แล้วก็ไม่ควรเป็นเรื่องน่าอายเวลาอยู่ในวงเม้าด้วย
action = reaction กะเทยอยากให้คนอื่นมองตัวเองให้เท่าเทียม ก็ต้องมองคนอื่นให้เท่าเทียมด้วย
ก็ว่าทำไมกูโง้โง่ แม่งเกิดวันเดียวกับอดีตท่านนายกนี้เอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง ที่เพิ่งอ่านนสพ.หัวเขียววันนี้
แถมแม่งขี้ฮก ชอบให้คนอื่นออกหน้ารับเรื่องอีกต่างหาก
#เพื่อนไอ้มิตรสหายข้างบนเมื่อกี้แอบบ่น
"ช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีเพื่อนรุ่นน้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองหลายคน ส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนงานหรือไปเรียนต่อ หลายการตัดสินใจของหลายคนไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนดูร่าเริงเข้มแข็งอยู่ภายนอก แต่เมื่อได้คุยกันลึกๆ เราจะพบความขัดแย้งหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตไม่เคยเป็นเรื่องง่าย
ช่วงวัย 30 กว่าๆ หลายคนเกิด Coming of Age แบบหนึ่ง เป็น Coming of Age ของการอยากผลัดใบ อยากทิ้งชีวิตเก่า อยากตระเวนท่องโลกเหมือนเจ้าชายวัยสิบแปดในนิทานออกผจญภัยอีกครั้ง หากช่วง 20s เป็นการใช้ชีวิตทดลอง อาจพลิกผันบ้าง โลดโผนหรือผิดพลาดบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติของการเริ่มต้น ยิ่งผิดพลาดเร็วก็ยิ่งมีเวลาแก้ไขมาก แต่เลข 3 ทำให้หลายคนเริ่มครุ่นคิดจริงจังว่าจะไปทางไหน จะเอาอย่างไรกับชีวิตกันแน่ จะอดทนอยู่กับชีวิตแบบเดิม คาดเดาได้ รู้ว่ามีอุปสรรคอย่างไร แก้ไขพอได้ ควบคุมพอได้ แต่น่าเบื่อหน่ายเพราะเคยคุ้นจนชาชิน หรือจะลองเสี่ยงบินออกจาก Comfort Zone ไปสู่การทดลองใหม่ๆอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าแทบทุกคนปรารถนาให้มันเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากอาจไม่มีเวลาในชีวิตให้เสียไปอีกแล้ว ถ้าใช่-ชีวิตก็อาจลงตัว แต่ถ้าไม่ใช่-ก็อาจไม่ส่งผลดีนัก
เราเคยทำงานอยู่ที่ทำงานแรกด้วยความสุข แต่เมื่อมีเหตุให้ต้องลาออกมาตอนอายุประมาณ 27-28 ปี เราไม่เคยหันกลับไปมองชีวิตที่ผ่านมาซ้ำอีกเลย ปกติจะดูไพ่ยิปซีบ้าง มีคนบอกว่าไพ่สำรับที่เราใช้นั้นค่อนข้างแม่น เคยดูไพ่จนตัวเองตัดสินใจไม่เดินทางไปอิตาลีทั้งที่ทำวีซ่าเรียบร้อยแล้วเพราะไพ่บอกว่าไม่ดี พอถึงช่วงเวลานั้นจริงๆก็ปวดท้องต้องผ่าตัดไส้ติ่ง ซึ่งถ้าไปเป็นที่อิตาลีคงแย่, แต่พอถึงเวลาต้องเปลี่ยนงานหรือตัดสินใจอะไรทำนองนี้ เราไม่เคยพึ่งพาไพ่หรือสิ่งอื่นใดเลย นอกจากความต้องการลึกๆข้างในตัวเราเองจริงๆ
เคยลาออกจากงานพร้อมกับคำถามแกมวิงวอนของผู้บริหารว่า-อยากให้เขาทำอย่างไรเพื่อให้เราอยู่ต่อ เขายินดีทำทุกอย่าง, แต่เขาก็รู้ว่าไม่มีวันรั้งตัวเราไว้ได้ เพราะไม่ใช่เงินเดือน ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่เป็นเนื้องาน ความสนุก และการได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำต่างหากที่ทำให้เราอยู่ที่ไหนได้หรือไม่ได้ และต่อให้การตัดสินใจนั้นอาจเจ็บปวด ผิดพลาด และสร้างน้ำตาให้แค่ไหน (เหมือนที่เคยเป็นครั้งหนึ่ง) เราก็จะไม่มีวันเสียใจที่ได้ตัดสินใจอย่างนั้นไป
ที่สุดแล้ว ถ้าไม่ตายเสียก่อน วัยของเลข 3 ก็จะผ่านไป ถ้าชีวิตของเราไม่ลงตัว ก็จะมีปัญหาอย่างหนึ่ง ซึ่งในที่สุดชีวิตจะนำทางเราไปสู่จุดที่ลงตัวจนได้ในรูปแบบของมันเอง-อย่างน้อยๆก็ชั่วคราว แต่เมื่อชีวิตลงตัวแล้ว ปัญหาอีกอย่างก็จะตามมา เราจะรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า เวลาในวัยเลข 3 นั้นผ่านไปเร็วกว่าที่เคยเป็นมาในชีวิตทั้งหมด เมื่อเงยหน้าขึ้นจากการทำงานอีกครั้ง และพบความว่างโหวงบางอย่างภายในตัว ทั้งที่ภายนอกคล้ายมีทุกอย่างครบพร้อมเหมือนเป็นโรคชาวนาไซบีเรียในนิยายของมูราคามิ เราจะเริ่มตั้งคำถามใหม่ คล้ายเป็น Coming of Age อีกครั้ง-ว่าแล้วจะอย่างไรต่ออีกเล่า
ยังมีเขาลูกไหนให้ป่ายปีนอีกไหม
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>414 )
ชีวิตทำให้เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอ ขัดแย้งกับตัวเองอยู่เสมอ เมื่อถึงวัยเลข 4 เราอาจรู้สึกว่าชีวิตลงตัวขึ้น นิ่งขึ้น สงบขึ้น มีอิสระขึ้น แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนานนักหรอก ที่สุดเราก็จะตระหนักว่า ยังมีความปั่นป่วนภายในเหมือนคลื่นใต้น้ำที่รอวันกระแทกปะทุขึ้นมาได้อีก เพราะ Coming of Age ไม่ได้มีครั้งเดียว ถ้าไม่ตายไปเสียก่อน อีกห้าปีสิบปีมันก็จะมาใหม่ซ้ำๆให้เราต้องรับมือกับมัน และการจัดการกับ Coming of Age (หรือถ้าถึงวัยนี้ บางคนอาจเรียกมันว่า Middle Life Crisis) ก็จะยากขึ้นเรื่อยๆตามความซับซ้อนของชีวิตที่เราได้ก่อร่างสร้างมันมา แต่ปัญหาก็คือ ยิ่งแก่ตัวลง เราจะเหลือมีพลังเพื่อต่อสู้ดิ้นรนหรือ Freshen Up ชีวิตของเราน้อยลงไปเรื่อยๆ ในอเมริกา คนวัย 45-64 ปี เป็นกลุ่มคนที่ฆ่าตัวตายสูงสุดในระยะหลัง คือตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน บางทีอาจด้วยเหตุผลนี้
บางคนแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการไม่ยอมเติบโตพ้นวัยทำงานหนักของเลข 3 คือยังคงทำงานหนักต่อมาจนตลอดชีวิต ฝังตัวอยู่กับการทำงาน ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาตั้งคำถามอื่นๆ ขลุกคลุกคลีอยู่กับการต่อสู้ทางธุรกิจ ไม่อยากเห็นท้องฟ้ายามเย็นหรือการคลี่บานและร่วงโรยไปของกลีบดอกไม้ หรือแม้เห็นก็พยายามไม่รู้สึกลึกซึ้งกับอนิจลักษณะของมัน บางทีอาจเพื่อให้ลืมคำถามนั้นของชีวิต และก็เป็นไปได้อย่างยิ่ง-ที่บางทีพวกเขาอาจทำถูก
สิ่งที่อยากบอกก็คือ เราต้องต่อสู้กับวันวัยของเราไปจนตลอดชีวิตนั่นแหละ ชีวิตก็เป็นทุกข์ของมันอย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้นหรอก สิ่งที่เรียกว่า So-Called Happiness มันก็เป็นได้แค่ So-Called แต่ภาวะดิ้นรนเป็นทุกข์ กับความขัดแย้งภายในของเราต่างหากที่จะยั่งยืนถาวรเกิดดับอยู่กับเราไปจนกระทั่งวาระสุดท้าย
ดังนั้นถ้าเราคิดว่าชีวิตมันน่ากลัว มันก็จะน่ากลัวเสมอ แต่ถ้าเรายักไหล่บอกมันว่า-ก็แล้วไงล่ะ น่ากลัวก็จริง แต่จะอย่างไรเราก็ต้องเจอมันอยู่เสมอไม่ใช่หรือ, เราก็จะไม่กลัวความน่ากลัวนั้นอีกต่อไป แต่จะเห็นมันเป็นเพียงความธรรมดาหนึ่งของชีวิตนี้-ก็เท่านั้นเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ระบบอุปถัมภ์ของญี่ปุ่นแข็งแกร่งมากเลยนะครับ สังคมญี่ปุ่นนั้นจะมีลักษณะของความเป็นองค์กรสูงมาก สังเกตได้เลยว่า ในภาษาญี่ปุ่นมักจะมีแนวคิดนี้ปนมาอยู่เป็นประจำ เรียกว่าเป็น แนวคิดแบบ (คนใน) うち / (คนนอก) そとคือ ถ้าเป็นคนในองค์กรเดียวกัน (ถ้าเป็นสมัยโบราณก็คือคนแคว้นเดียวกัน) เขาจะเรียกกันห้วน ๆ ทันทีเมื่อมีการเอ่ยถึง เพื่อบอกว่าเป็นคนในองค์กรของเขา ไม่ใช่ของคุณ (ไม่ใช่เพราะไม่เคารพนะครับ แนวคิดต่างกับไทยคนละเรื่องเลย) ในขณะที่ถ้าหากเป็นคนละองค์กร (หรือคนนอกแคว้น) เขาจะทำตัวห่างเหินแล้วเรียกด้วยการเติมคำต่อท้ายชื่อเข้าไป (เช่น เวลาตำรวจชั้นผู้น้อยพูดถึงผู้บังคับบัญชากับบุคคลภายนอก เขาจะใช้ชื่อห้วน ๆ เลย ซึ่งหมายความว่า นั่นคือ คน ๆ นั้น เป็น "คนใน" (うち) ของเขา ส่วนคุณน่ะคนนอก) ซึ่งหากเวลามีปัญหากันภายในกลุ่ม คนญี่ปุ่นจะใช้วิธีตัดออกจากกลุ่มและมองว่าเป็น "คนนอก" ทันทีครับ กรณีการกลั่นแกล้งในญี่ปุ่นเอง ก็เป็นเพราะเด็กส่วนใหญ่มองว่า เด็กที่ถูกกลั่นแกล้งนั้นเป็น "คนนอก" (そと) ไม่ใช่พวกเดียวกับตัวเอง ไม่ใช่ "คนใน" (うち) นั่นละครับ
ถามว่าไทยเป็นแบบเขาได้ไหม? คำตอบคือ "ไม่ได้" เพราะวัฒนธรรม ความคิด ทัศนคติ สามัญสำนึก มันคนละเรื่องกันเลย ทัศนคติของบ้านเราไม่ใช่แบบบ้านเขาชัวร์ 100% บ้านเรามีแนวคิดแบบปัจเจก ปัจเจกจนถึงขั้นมาก ๆ เอาเลยด้วย เอาง่าย ๆ ว่า ยึดถือแนวคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังห่านไรใครทั้งนั้น เป็นสังคมสุดโต่งแบบอินเดียน่ะครับ ซึ่งถึงรวมกลุ่มกันไป มันก็เป็นไปแบบสะเปะสะปะครับ คนไทยไม่สามารถทนใช้ชีวิตในสังคมแบบญี่ปุ่นในบ้านนี้เมืองนี้ได้หรอกครับ เพราะมันต่างกันเกินไป แล้วไอ้ความเป็นระเบียบวินัยของเขาก็เหมือนกัน นั่นมาจากวัฒนธรรมแบบองค์กรอันเป็นวัฒนธรรมที่เกิดมาจากระบบอุปถัมภ์ที่เข้มข้นของเขาครับ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะว่าคนของเขาเป็นพวกมีระเบียบวินัยอะไรเลย มันมาจากวัฒนธรรมแบบองค์กรของเขาทั้งนั้น คือถ้าเกิดทำผิดจากกลุ่ม ก็โดนกลุ่มถีบหัวส่งเลยน่ะครับ เลยทำให้พวกเขากลายเป็นแบบนั้น ถามว่าไทยเป็นแบบนั้นได้ไหม ยากครับ มันสั่งสมผ่านกาลเวลามานานเกือบพันปี คิดว่าปีสองปีไทยจะเป็นได้หรือครับ คิดอย่างนั้น คือ ไปหาหมอจ่ายยาเหอะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
น่าจะอยู่ในกลุ่มพวกชอบแต่งเป็นหญิงเฉยๆ
พวกลักเพศวิตถารเหล่านี้จะถูกลงโทษภายใต้กฎหมายชะรีอะฮ์
อัลเลาะห์ อัคบาร์
มีความงง กับเพื่อนสนิทสมัยเมกามาก
จำได้ว่า ตอนนั้นเรียบจบ เราก็เลิกกับแฟน ซึ่งทุกคนชอคมากเพราะเปนคู่ไฮสคูลสวีทฮาร์ท นักเมกันฟุตบอลสุดน่ารัก กับเชียร์หลีดเด้อสาวเอเชียคนเดียวในโรงเรียน ตอนนั้นฮอตมากจิมๆ แบบลงหนังสือโรงเรียน ไปเต้นเชียร์ตอนแข่งฟุตบอลตามโรงเรียนต่างๆ
นักเรียนสาวเอเชียคนเดียวในโรงเรีนน
#แทนอย่างไทยไปอินเตอร์
แต่ก็เออ จบ เพราะก็ไม่รุ้จะได้กลับไปอีกเมื่อไหร่ จบกันด้วยดี
กลับไทยมาได้วันเดียว มันคบกับเพื่อนสนิทนี่ว่ะ.. เอ้าไปชอบพอกันตอนไหน?!!
แฮงเอ้าด้วยกัน4คน2คู่ตลอด สนิทขั้นว่าตอนนั้นมีแฟน แฟนยังชื่อเหมือนกัน ... ชื่อแจริด [พิมไทยนะเดี๋ยวมันทรานเสลดได้]
อ่ะ ช่างมัน เค้าชอบกันเราก็ยินดี เรารักเค้าทั้งคู่
วันนึง เพื่อนสนิทติดต่อมา
จะแต่งงานกับแจริด..
เค เราก็ยินดีด้วยคบกันจนแต่งงาน
ที่พีค!! มันจะให้เราไปเปน เมดออฟออนเน่อ!! จะให้ไปเปนเพื่อนเจ้าบ่าวสาว จะให้ไปกล่าว ... ถามว่า.. เพื่อนแกไม่มีแล้วเรอะ?!! แล้วทำไมต้องเปนชั้น?!!
นางบอกว่า ... เพราะยูสนิทกับเราทั้งคู่ที่สุด ตั้งกะเราพึ่งเจอกัน รุ้เรื่องราวเราตั้งแต่แรกเยอะสุด..
Awkward!!! เออสิ! ตอนนั้นชั้นเดทนางอยู่และแกก้อเพื่อนซี้ชั้นแฮงเอ้าด้วยกัน แต่ตรูมิรุ้วว ยูๆไปชอบพอกันตอนไหนโว้ยย
เราก็แบบ.. เคค จะร่ายสปีชยังไงดีล่ะ
เดียร์..เพื่อนรักและแฟนเก่าของชั้น
สวัสดีค่ะ ชั้นเปนแฟนคนแรกของแจริด ซึ่งตอนที่เราเดทกันเราไปกัน3คนเสมอโดยมีเจ้าสาวซึ่งเปนเพื่อนสนิทของชั้นเองนางคบกันหลังชั้นกลับมาได้1วันบลาๆๆ ... งี้?
ทำใจนานมากในการเขียน
ทำใจนานมาก จะบุคตั๋วไปงานแต่งที่ทั้งงานก็คือ เพื่อนสมัยเรียน ที่ทุกคนก็รู้ๆกันอยู่ทั้งหมด ความทักความทายความบั้คมาหมดแน่นอน
วันนี้ ... นางทักมา
เออยูไม่ต้องละนะ ไม่แต่งละ.
แจริด ไปแต่งงานกับ
สาวอีโม ที่เราเคยแกล้งบีบซอสใส่หัวนางหนักมากตอนเรียนไบโออ่ะ
ส่วนชั้น กำลังเดทกลับมาเดทกับแฟนเก่าชั้น แจริด อ่ะ. คนก่อน แจริดของยู อ่ะ
ขอบคุณมากๆนะ ที่เป็นธุระให้...
เลิฟ
เฟรนด์.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
#เพื่อนรัก
"อย่ากลัวที่จะเลือกงานเพราะเหตุผลเรื่องค่าตอบแทน มันไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าที่บ้านไม่ได้มีความสะดวกสบายทางการเงิน มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ที่ไหนเสนอค่าตอบแทนที่ดีแล้วเขารับก็ทำไปเถอะ
.
ทำตามความฝันก็ไม่ผิดเหมือนกัน แต่ดูดีๆว่าไอ้คนที่มาหลอกให้เราไม่สนเรื่องค่าตอบแทนเนี่ย อยู่ในสถานะที่จะมาเอาเด็กจบใหม่ไปเป็นแรงงานราคาถูกให้มันเอาเปรียบหรือเปล่า ตัวดีเลยพวกแม่งเนี่ย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เท่าที่เคยเจอมนุษย์มา คนปกติมันไม่ไปใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบไม่มีสาเหตุหรอกครับ พวกที่จะทำงั้นแม่งมีแต่คนบ้าแบบคนบ้าจริงๆ ที่ดูก็รู้แล้ว
แน่นอนครับว่าการใช้ความรุนแรงจำนวนมากมันถือว่าไม่ได้สัดส่วน แต่ปกติมันไม่ใช่ไม่มีที่มาที่ไปหรอก
ให้ "เหยื่อ" เล่า มันก็ย่อมบอกอยู่แล้วครับว่ามันไม่ได้ทำห่าอะไร ซึ่งจริงๆ บางที่นี่แหละที่มาที่ไปแล้ว คือมัน "ทำแบบไม่รู้ตัว" ทำโดยไม่ได้รู้สึกว่าทำอะไรต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงจุดที่ "ผู้กระทำ" มันทนไม่ไหว แล้วใช้ความรุนแรงบางอย่างออกไป ซึ่งอาจไม่ได้สัดส่วนในฐานะของการโต้ตอบ ณ จังหวะเวลาสั้นๆ แค่นั้น แต่ความสมเหตุสมผลอาจเป็นคนละเรื่องถ้าพิจารณาในระยะยาว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"กูสรุปไห้ ชาวยิวมันไปกวนตีนฮิตเล่อ โดยไอ้พวกชาวยิวนี่ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่มันทำนั้น มันกวนตีนฮิตเล่อ ฮิตเล่อ เลย บัลดาลโทสะด้วยการจับไปรมแก๊ส ที่นี้การกระทำของฮิตเล่อ เกินกว่าเหตุใหม ก็ขึ้นอยุ่กับมาตราฐาน ของ ยุคสมัย เช่นในอนาคต หากมนุษย์เห็นว่า การฆ่ากันเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ฮิตเล่อจับชาวยิวไปรมแก๊ส ก็อาจกลายเป็นเรื่องปกติ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ตามทฤษฎีเดียวกัน ชาวยิวไม่ได้กวนตีนฮิตเลอร์แบบไร้เหตุผล แต่เพราะฮิตเลอร์ทำตัวน่าถูกกวนตีน โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว จนชาวยิวอัดอั้นทนไม่ไหวต้องไปกวนตีนฮิตเลอร์"
#มิตรสหายท่านที่สาม
Not only do we get a new James Bond, but turns out he'll need a Visa to do missions in Europe!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“Suppose that you were sitting down at this table. The napkins are in front of you, which napkin would you take? The one on your ‘left’? Or the one on your ‘right’? The one on your left side? Or the one on your right side? Usually you would take the one on your left side. That is ‘correct’ too. But in a larger sense on society, that is wrong. Perhaps I could even substitute ‘society’ with the ‘Universe’. The correct answer is that ‘It is determined by the one who takes his or her own napkin first.’ …Yes? If the first one takes the napkin to their right, then there’s no choice but for others to also take the ‘right’ napkin. The same goes for the left. Everyone else will take the napkin to their left, because they have no other option. This is ‘society’… Who are the ones that determine the price of land first? There must have been someone who determined the value of money, first. The size of the rails on a train track? The magnitude of electricity? Laws and Regulations? Who was the first to determine these things? Did we all do it, because this is a Republic? Or was it Arbitrary? NO! The one who took the napkin first determined all of these things! The rules of this world are determined by that same principle of ‘right or left?’! In a Society like this table, a state of equilibrium, once one makes the first move, everyone must follow! In every era, this World has been operating by this napkin principle. And the one who ‘takes the napkin first’ must be someone who is respected by all. It’s not that anyone can fulfill this role… Those that are despotic or unworthy will be scorned. And those are the ‘losers’. In the case of this table, the ‘eldest’ or the ‘Master of the party’ will take the napkin first… Because everyone ‘respects’ those individuals.”
-The President ท่านนึง
สำหรับคนที่อยู่ห่างไกล การแสดงน้ำใจครึ่งเดียวต่อปี หรือ ครั้งเดียวโอกาสเดียวมันง่ายกว่า
แต่สำหรับคนที่ต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน การแสดงความเห็นใจเล็กน้อย ก็เหมือนเป็นความรับผิดชอบที่ต้องทำต่อๆไปทุกๆ วัน
นั่นคือเหตุผล ที่คนใกล้ตัว หรือ คนในชีวิตประจำวันจริงๆ ของเขา ไม่แสดงความเห็นใจ เพราะระดับความต่อเนื่องมันต่างกัน
หรือจะเรียกว่า ระดับความรับผิดชอบมันคนละชั้นคน น้ำหนักมันหนักต่างกัน
และนี่ก็คือความจริงในโลก
การจะทำความดีครั้งเดียว มันย่อมง่ายกว่าการต้องทำความดีตลอดไป ภาระความรับผิดชอบผูกพันมันมักจะมากกว่าที่คนจะอยากทำความดี
แต่ถ้าเป็นโอกาสที่ทำครั้งเดียวไม่ผูกพัน คนก็ย่อมจะอยากทำมากกว่า
สำหรับผลกรรม คนที่ตั้งใจทำความดีไม่ย่อท้อ แบกรับภาระผูกพันได้ ก็ย่อมได้ผลดีตอบแทนยาวนานมั่นคง ส่วนทำครั้งเดียวก็ได้ครั้งเดียวนั่นแหละ
พูดถึงตรงนี้ น่าจะเห็นภาพแล้ว ว่า การต้องสละตัวเองดูแลเด็กพิเศษ ที่เป็นเพื่อนร่วมชั้น หรือ เพื่อนบ้าน ต้องใช้ความดีในตัวแค่ไหน ก็มากพอที่จะเอาชนะภาระความลำบากทั้งหมดทั้งมวลนั่นแหละ
ซึ่งก็เป็นคำตอบว่าทำไม น้ำใจครั้งเดียวจากคนไม่รู้จักกัน จึงมากมาย แต่น้ำใจจากคนสักคนหรือสองคนจากคนใกล้จึงไม่มีเลย!
ถ้าจะเทียบเป็นปริมาณ เพื่อนที่จริงใจสักคน มีต้นทุน ใช้คุณความดีที่ต้องมี > คนทั้งหมดที่ส่งการ์ดให้เธอในครั้งนี้นั่นเอง!! (มั้ง)
-- ดังนั้นคนมีเพื่อนแท้ควรพึงรักษาไว้ และควรหัดเป็นเพื่อนแท้แก่คนอื่นๆ --
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ขอถามครับ
ทำไมบอกว่าคนดูละครในไทยถึงยังแยกแยะไม่ได้
แต่ทำไมถึงคิดว่าเกมเมอร์ในไทยแยกแยะได้วะครับ
อะไรคือความต่างของคนสองกลุ่มนี้
เพราะถ้าจะโทษว่าละครผิด แต่เกมไม่ผิดผมว่าไม่แฟร์นะ
#มิตรสหายตอบโต้จ่าท่านหนึ่ง
กุจะไม่ให้ลูกกุเล่นมาริโอ เดี๋ยวแม่งเอาหัวไปโหม่งบล็อก
อยากให้แบนเกมส์มาริโอบ้างจัง
"แรงงานต่างด้าว พวกพม่า เขมร กลับบ้านไปซะ
300 บาท ไม่ต้องเอา คนไทยบางคนยังไม่ได้เลย
รักษาพยาบาลไม่ต้องรักษา เป็นภาระประเทศกู
ลูกมึงอยากเข้าเรียนเหรอ เรียกร้องจังเลยวะ ไปเรียนประเทศมึงนู่น
ถ้าคุณคิด / พูดอย่างนั้นจริงๆ คุณคิดว่าเค้าทาสหรือเปล่า
ถ้านายจ้างมาพูดแบบนี้กับคุณ
น้ำตาของคุณจะไม่ตกในหัวใจบ้างเหรอครับ
---------
คุณทราบหรือไม่
หากแรงงานข้ามชาติกลับประเทศต้นทางไปสักแค่ครึ่งนึง
ไทยจะเสียหายมากกว่าการที่ UK ออกจาก EU เสียอีก
---------
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ GDP ส่วนใหญ่มากจากการส่งออกครับ
และเป็นการส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานผลิต (เชิงปริมาณ)
ดังนั้นไม่ว่าจะภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร
หรือแม้แต่ภาคบริการ ล้วนต้องการแรงงานจำนวนมาก
---------
แรงงานไทยไม่พอจริงๆ (มุ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ)
แม้แต่การสร้างรถไฟฟ้า BTS ที่พวกเราบ่นว่าทำไมสร้างช้าจัง
ข้อเท็จจริงคือ ไม่มีแรงงานมากเพียงพอ
สุดท้ายก็เป็นมนุษย์ชาวกัมพูชา ที่มาสร้าง
---------
แรงงานประมง
ธุรกิจส่งออกที่ทำรายเข้าประเทศปีละเป็นแสนล้านบาท
มนุษย์ชาวพม่าแทบทั้งสิ้น ไม่นับธุรกิจก่อสร้าง บริการ และอื่นๆ
เรากำลังมองเห็นอะไร มันคือความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างประเทศ
นักธุรกิจไทย + ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้าน ร่วมมือกันทำงาน
ร่วมกันสร้างรายได้กลับเข้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
ทัศนคติเรากำลังกัดกร่อนกลไกที่กำลังหล่อเลี้ยงประเทศหรือเปล่า
---------
มนุษย์ชาวไทยที่มักมองว่า แรงงานต่างด้าวเป็นภาระ
จริงๆ ไม่มีใครเป็นภาระครับ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคึกคักคือ
กลไกธุรกิจระหว่างประเทศ ที่มีฐานอยู่ในเมืองไทย
ไอเดียไทย + แรงงานไทย / เพื่อนบ้าน + ส่งขายทั่วโลก
เมื่อเป็นเช่นนั้น และหากท่านเป็นเจ้าของกิจการ
ท่านอยากให้กลไกนี้แข็งแรงและยั่งยืนหรือไม่
หากอยาก ควรตอบคำถามเหล่านี้
---------
คุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณอยากมีทีมงานที่สุขภาพแข็งแรงหรือไม่
การให้สิทธิการรักษาพยาบาล กับแรงงานต่างด้าว
ผ่านระบบประกันสังคม (เหมือนคนไทย) ถือเป็นภาระหรือไม่
หรือจะทำให้กองทุนประกันสังคมมีเงินสะสมเพิ่ม
---------
การศึกษาแก่บุตรหลานแรงงานต่างด้าว ถือเป็นภาระหรือไม่
คุณอยากมีบ้านอยู่ในชุมชนที่มีคนมีการศึกษา หรือดงคนไร้การศึกษา
คุณอยากให้ทีมที่ทำงานกับคุณ เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ หรือไร้ฝีมือ
การศึกษาเป็นต้นทางสำหรับคุณภาพทุกอย่างในสังคมนะครับ
---------
คนไทยบางคนยังไม่ได้ 300 ต่อวันเลย
แรงงานต่างด้าวจะได้ 300 ได้ไง
การที่คุณไม่ได้ 300 ไม่ใช่ความผิดของแรงงานข้ามชาตินะครับ
คุณต้องไปกดดันนายจ้าง / รัฐ ไม่ใช่กูไม่ได้มึงก็ต้องไม่ได้
ทำแบบนั้น ปลายทางไม่มีใครได้ 300 แน่นอน
---------
แรงงานต่างด้าวไม่เสียภาษี
ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา มีเพดานครับ หากรายได้ไม่ถึง ไม่ต้องจ่าย
แรงงานต่างด้าวก็อยู่ในระบบภาษีเดียวกันกับคนไทย
แต่ก็ยังมี VAT 7% และค่าธรรมเนียมราชการอื่นๆ
สรุปคือระบบเดียวกันกับคนไทย และ
ธรรมเดียวเดียวกันกับ แรงงานไทยที่ไปทำงานต่างแดน
ไม่ว่าจะเป็นแรงงานทักษะ หรือไร้ฝีมือ (เป็นกติกาสากล)
---------
สุดท้ายเหตุผลยอดฮิต พม่าเผากรุงศรี
หากคุณใช้ตรรกะเดียวกันกับ พม่าเผากรุงศรี จึงไม่ควรคบพม่า
โซเวียตก็เคยสนับสนุนลาวให้รบกับไทยในศึกร่มเกล้า
เวียดนามก็เคยรบกับเราในศึกอินโดจีน
ฝรั่งเศสก็เคยเอารัฐอาณานิคมเราไป
ญี่ปุ่นก็เคยกดดันรัฐบาลเราจนต้องให้เข้าประเทศใน WW2
อเมริกา / อังกฤษ ก็เคยทิ้งระเบิดใส่เราใน WW2
ตรรกะแบบนี้ จะเหลือใครให้เราเป็นมิตรได้บ้าง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มึงไม่ควรได้ เพราะประเทศมึงยังไม่เป็นประชาธิปไตย
ทหารถาม ทำอย่างไรให้ผมโหวตyes
ผมโหวตเยส รับแน่นอน
.....
ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ 27 มิถุนายน 2475
ผมรับเลยล่ะ
ชื่อจริงๆคือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว2475
เอามาแก้ไขเรื่องที่มา สส. ผมว่าก็ใช้ได้แล้ว คงไว้มาตรา 1-7 ที่เหลือตัดออก แล้วนำเนื้อหา รธน. 2540 มาใส่
ส่วนที่เหลือก็ให้ สส. ที่เลือกตั้งเข้ามาแล้วแก้ไขปรับปรุง
ผมจะโหวตเยส ให้เลย
แต่ร่างรัฐธรรมนูญตาแก่ มีชัย ภายใต้ทรราช คสช.
โหวตโนให้อย่างเดียวก็ถือว่าบุญแล้ว
โน แน่ๆ โน นอนๆ
27มิถุนายน 2475/1932 ไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก
27มิถุนายน 2559/2016 มีคนต้องติดคุกเพราะรณรงค์เรื่องรัฐธรรมนูญ
ไม่เอารัฐธรรมนูญ คสช.
ปล่อยเพื่อนเรา
#มิตรสหายลิเบอรอลหนุ่มท่านหนึ่ง
อืม รธน 27 มิย 2477 สมาชิกสภาครึ่งหนึ่งเป็นสมาชิกแต่งตั้งน่ะครับ
#มิตรสหายลิเบอรอลแก่ท่านหนึ่ง
"ระยำสัสๆ มีผู้หญิงโดนตำรวจข่มขืนที่ชลบุรี แล้วมันมีสื่อ 3-4 ที่แม่งลงชื่อจริงกับภูมิลำเนาผู้หญิงครับ (ที่คัลท์เป็นพิเศษคือมีสำนักข่าวนึง แม่งเซนเซอร์ผู้ก่อเหตุ แต่ลงชื่อผู้หญิงคนนี้ครับ)
เสรีภาพสื่อนี่มันเยี่ยมจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ย้อนแย้ง
ผมยอมรับเลย ผมเป็นมนุษย์ที่ย้อนแย้งในตัวเอง และทุกๆเรื่อง ย้ำเลยว่าทุกๆเรื่อง และทุกๆเรื่องในโลกนี้ล้วนย้อนแย้งและมีสองด้านเสมอ ถ้าคุณเจอใครที่เสนอด้านดีหรือด้านเลวเพียงด้านเดียว โปรดคิดไว้เถอะว่า นั้นเค้ากำลังย้อนแย้งการกระทำของตัวเอง
#ประเทศย้อนแย้ง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ครูฝึกบินโดรนของผมชื่อว่า "หม่อง ทองดี" เขาคือเด็กชายที่มาพร้อมเครื่องบินกระดาษคนนั้นนั่นแหละ วันนี้เขายอดเยี่ยมจนสามารถฝึกคนอย่างผมให้บังคับโดรนได้อย่างไม่เคอะเขิน
"พี่ใจเย็นๆ นะครับพี่ ใจเย็นๆ สิครับ! ไม่ต้องรีบ!" เขากระซิบใส่ผมเสียงดังหลายต่อหลายรอบ
"ครับ โอเคครับอาจารย์" ผมตอบอย่างนอบน้อม
เด็กชายหม่อง ทองดี ที่เคยอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์และข่าวค่ำเช้ายันเย็นคนนั้นนั่นไง จากวันนั้นถึงวันนี้มันกี่ปีแล้วล่ะ?
ช่างหัวเถิด เราขี้เกียจงัดนิ้วมือขึ้นมานับ เอาเป็นว่าจนถึงวันนี้ "หม่อง ทองดี" ที่คนไทยทั้งประเทศรู้จัก ก็ยังไม่ได้รับสัญชาติไทยครับ
"ใจเย็นๆ นะครับหม่องครับ ไม่ต้องรีบ" ผมควรพูดคำนี้กับเขาดีไหม?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"นี่ยังมีคนที่คิดว่าอาณาจักรสุโขทัย คือประเทศไทยอยู่อีกหรือ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในห้องเรียนมันไม่เคยบอกไงว่าสุโขทัยกับอยุธยานี่ตีกันบ่อย...
สุโขไทยมันก็บรรพบุรุษของไทยนี่ละ เป์นรัฐไทยรัฐแรกที่แยกตัวจากเขมรได้ ถ้าบอกว่าตีกันแปลว่าคนละประะทศ โจวคงไม่ใช่ประเทศจีน
กูว่าหนังสือเรียนทุกเล่มสอนนะว่าตีกัน มึงเป็นพวกไม่อ่านไม่เรียนแล้วโทษคนสอนละสิ
เหมือนเถียงอะไรไร้สาระนะ(โดยเฉพาะพวกแอนตี้ไทย)
ดูจีนเป็นตัวอย่าง
สมัยก่อนยุคเลียดก๊ก(-ยุคจิ๋นซี) ยุคสามก๊ก หรือสมัยมองโกลยึดประเทศ ฯลฯ
มาปัจจุบันก็เรียกเป็นของจีนหมดล่ะวะ
ส่วนที่หนังสือเรียนไม่นำเสนอว่ามันตีกันเองเพราะมันก็เหมือนเสี้ยมให้ทะเลาะกันเองกลายๆล่ะวะ (คนสุโขทัย-คนอยุธยา จะโดนเสี้ยมอะไรหง่าวๆเอา)
ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของพวกมึงแล้ว
"รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่เดินลงมาจากออฟฟิศแล้วเห็นนิสิตซ้อมหลีดอยู่ใต้ตึกช่วงปิดเทอม
แปลกประการที่ 1 คือเสียงตะโกนกระแทกกระทั้นเน้นจังหวะและความเข้มแข็งมากกว่าความหมายหรือความงดงามของเนื้อร้อง (ถ้ามันจะมีอยู่บ้างในเพลงเชียร์เหล่านี้)
แปลกประการที่ 2 คือการที่รุ่นพี่ช่างมีอำนาจกระทำการรุนแรงกับร่างกายน้องได้มากมาย นอกจากจะตะโกนตะคอกจนเกือบเหมือนเห่าใส่น้องได้อย่างไม่ขาดปากแล้ว ยังสามารถสั่งให้น้องยืนทำท่าประหลาดๆ ยกแขนเป็นองศาประหลาดๆ แล้วยังต้องฝืนยิ้มตลอดเวลา บางทีก็ให้วิ่ง บางทีก็ให้นอนลงกับพื้น ฯลฯ เท่าที่จำความได้เนื่องจากไม่เคยมีโอกาสเข้าห้องเชียร์ก็ต้องบอกว่าฝึกกันโหดกว่าที่เราเคยโดนฝึกเนตรนารีในโรงเรียนประถมและมัธยมของรัฐมาก
แปลกประการที่ 3 คือเราเข้าใจว่ารุ่นน้องมาฝึกกันด้วยความเต็มใจ ทุกคนอยากเป็นหลีดมาก รู้สึกเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ชีวิตมาก ตั้งใจทุ่มเทซ้อมกันเอาเป็นเอาตายจนผู้เป็นครูบาอาจารย์อย่างเราอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเวลาเรียนจะตั้งใจอย่างงี้บ้างคงมีแต่เกียรตินิยมเหรียญทองกันทั้งคณะ
เสร็จแล้วก็เลยต้องมานั่งย้อนถามตัวเอง แล้วเด็กมันจะมาตั้งใจทุ่มเทเอาเป็นเอาตายกับการเรียนประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ให้เท่ากับการซ้อมหลีดไปเพื่ออะไร(วะ)? เป็นหลีดจุฬาฯ อาจนำไปสู่การเป็นเน็ตไอดอล ได้งานเดินแบบ โฆษณา เข้าสู่วงการบันเทิง รายได้มหาศาล แล้วตั้งใจเรียนวิชาอาจารย์ได้อะไรบ้าง? อาจจะได้ A ได้ 3 หน่วยกิต ได้สนุกสนานฮาเฮกับมุขควายมุขแป้ก (ถ้าคุณบังเอิญมีรสนิยมอย่างนั้น) อาจจะได้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) ในสังคมที่การคิดนอกกรอบ การตั้งคำถามและการแสดงความคิดเห็นอาจถือเป็นอาชญากรรมได้ โอ้ว...ตั้งใจทุ่มเทเรียนกับอาจารย์มากเกินไปดีไม่ดีก็จะติดคุกด้วยนะเออ!
สังคมโลกทุนนิยมยุคนี้ชื่นชมคนที่เป๊ะ หน้าเป๊ะ หุ่นเป๊ะ ผมเป๊ะ แขนชูขึ้นได้เป็นองศาที่เป๊ะ ร่างกายเป็นไปตามกรอบเกณฑ์ที่เป๊ะ มีจมูกที่เป๊ะ เรียวคางที่เป๊ะ ตามีเหลาเต๊งเป๊ะ ขนตาเป๊ะ เป๊ะทุกอย่างไปจนถึงหัวนมที่อยุญาตให้เห็นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการวางแผนมาอย่างเป๊ะเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้ามความเป๊ะในเชิงเนื้อหาไม่ได้รับความใส่ใจ คนอ่านข่าวอ่านผิดๆ ถูกๆ ภาพประกอบมั่วๆ ซั่วๆ ข้อสอบคัดคนเข้าเรียนต่อเฉลยผิด ถามผิด นำไปสู่การคิดคะแนนผิด วัดผลผิด หลักสูตรการสอนเน้นจ่ายครบจบแน่ ความเป๊ะทางความรู้ ความเป๊ะเชิงความคิดไม่ถูกให้ความสำคัญ กลายเป็นความเยอะ น่ารำคาญ เรื่องมาก มีปัญหาทัศนคติ และแน่นอนเอาไปใช้หาเงินเลี้ยงชีพไม่ได้ซักกี่มากน้อย
จะไปอะไรกับเด็กมันมากนัก ก็ให้มันซ้อมหลีดไปเถอะ หัดๆ ไว้ให้เคยนะ การทำร่างกายให้เป๊ะตามคำสั่ง การถูกตะโกนตะคอกเห่าใส่โดยผู้มีอำนาจมากกว่า และการให้ความสำคัญสูงสุดกับรูปลักษณ์ภายนอกโดยไม่ใส่ใจสาระสำคัญเชิงความรู้ ตรรก หรือทฤษฎีใดๆ เพราะโลกแห่งความเป็นจริงของสังคมนี้มันก็เป็นแบบนี้แหละ
ก็ซ้อมไปเถอะลูก เอาเลยเอาให้เต็มที่ ดีใจด้วยที่หนูค้นพบหนทางเจริญในวิถีสังคมเฮงซวยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หนูจะรอดนะลูก ไม่ใช่อาจารย์ เพราะสรรพความรู้ ทฤษฎี สารพัดปริญญาของอาจารย์ไม่ได้ช่วยตอบโจทย์อะไรในสังคมอันมืดบอดทางปัญญานี้เลย ไม่แม้กระทั่งจะช่วยในการกรอก มคอ ด้วยซ้ำ🐧"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>453 ท่าทางมิตรสหายท่านบนจะเป็นแค่พนักงานนั่งตากแอร์ในออฟฟิค ไม่ชอบทำกิจกรรมภาคปฎิบัติ พอถึงเวลาก็กลับบ้าน น่าเสียดาย
ประการ1 น้องเขาต้องฝึกใช้พลังเสียงเพราะของจริงมันกว้างโล่ง ต้องใช้เสียงปลุกพลัง
เหมือนแม่ทัพนำทัพลงสนามแต่เสียงแหบแห้ง ทัพก็ชิบหายสิ
ประการ2 การจัดท่าตามจังหวะการเชียร์ก็เหมือนกีฬา ครูสอนนักกีฬาจัดท่าทางต้องเป๊ะไม่งั้นอาจเสียคะแนนสำคัญได้ หรือมิตรสหายท่านบนหากเป็นครูก็คงจะเริ่มบกพร่องในการสอนแนะแนวศิษย์ไปแล้ว
ประการ3 การสอนภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัตินั้นแตกต่างกัน หรือมิตรท่านบนอยากได้เวลาเรียนท่องวิชาต้องแหกปากโวยวาย วิ่งไปจดจำคำศัพท์ไป มันใช่เหรอ
สังคมทุนนิยม นั้นเป็นระบบชนชั้นเมื่อคุณอยู่ชั้นคุณก็ต้องเชื่อฟังชั้นบน. ดุจดั่งพญาอินทรีชี้นิ้วสั่งประเทศโน้นนี้ต้องทำตามที่เขาชี้
หากคุณไม่สามารถถีบตัวมาอยู่ชนชั้นบนของสังคมได้ การนั่งพ่นข้อคิดเห็นใดๆโดยอ้างเสรีชน
ก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้ขี้เหล้าพ่นลมหายใจเหม็นเหล้าไปทั่ว นอกจากจะทำร้ายตัวเองยังอาจดึงคนอื่นมาเดือดร้อนเพราะความเมามายของตน
ว่าแต่ดูแล้ว มิตรสหายท่านบนจะยอมรับฟังความเห็นคนอื่นด้วย ฤ
#มิตรโม่งท่านหนึ่ง
เนื้อหมูสวยๆมาแล้วจ้าาาาา เนื้อหมูมาแล้วจ้าเนื้อหมู สันสามชั้น สะโพกหมู จู๋หมู ตับหมู ไส้หมูก็มีมานะจ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
คนชอบกิจกรรมไม่ได้แปลว่าต้องเห็นดีเห็นงามกับกิจกรรมทุกรูปแบบนี่หว่า โดยเฉพาะรับน้อง
พวกที่พอใครด่ารับน้องก็แขวะว่าเป็นพวกไม่ชอบกิจกรรมเนี่ยที่คณะกูมีเพียบเลย
แต่ไม่รู้ทำไมเวลา เตรียมงาน เตรียมของ วางแผน ประชุมอะไรกันพวกนี้ไม่เคยสนใจเลยนะ
ถึงเวลาแม่งมาเต้นสันฯกับน้องเสร็จก็หนีกลับเลย ของยังไม่คิดจะอยู่ช่วยเก็บ
เสร็จแล้วก็เที่ยวโฆษณาว่าตัวเองเอาหน้าไปโชว์รุ่นน้องใหญ่ว่าตัวเองเป็นเด็กกิจกรรม
ที่มันซ้อมลีดกันเยอะๆนี่ สรุปเวลามีงานกีฬาคนมันสนอย่างไหนมากกว่ากันระหว่างหลีดกับกีฬาวะ555
ปกติกูไม่เคยอยู่งานพวกนี้อ่ะ น่าเบื่อ
พี่เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับจิตวิทยานี่ล่ะ
มีบทนึงเขาเขียนเกริ่นนำไว้ว่า....
อย่าเป็นคนดี"มากเกินไป" เพราะคนมักไม่ให้ความเกรงใจ
วันต่อมา พี่เรียนวิชาจิตวิทยาแรงจูงใจ
อาจารย์ก็พูดว่า เราควรทำตัวเป็นตัวร้าย ถ้ามีโอกาส
เช่น เวลาทำงานกลุ่ม ลองทำให้กลุ่มเขวไปบ้าง
หรืออย่างเวลาเล่มเกมแข่งกับกลุ่มอื่นๆ อาจารย์ก็จะชอบทำให้กลุ่มแพ้
โดยตั้งใจไว้แล้วด้วยนะว่าจะให้แพ้ด้วยนะ ลองทำตัวมีปัญหาบ้าง
อันนี้คืออาจารย์เขาพูดมานะ ....
ว่าแต่ ทำไมมันบังเอิญดีจริง ๆ
ที่ทั้งหนังสือ และอาจารย์ก็พูดถึงการ ไม่ควรเป็นคนดีมากเกินไป
(ย้ำว่า "มากเกินไป" นะครับ)
เรามาวิเคราะห์กันว่าทำไม คนดีๆ มากๆ กลับไม่มีคนสนใจซะงั้น
คนที่เป็นคนดีมากเกินไป ส่วนใหญ่มักเป็นพวกที่อาภัพนะครับ
คือ สังคมเรานี่แหล่ะ จะไม่ค่อยเห็นหัวคนดี เพราะ..
"เรารู้อยู่แล้วว่าคนนี้ดี" ก็เลย ไม่แคร์ ไม่สนใจ ไม่ต้องไปอะไรมากหรอก
"ยังไงเขาก็ดีอยู่แล้ว" ไม่ต้องไปห่วงมาก ... พอคนคิดเช่นนี้
ก็เลยหันไปให้ความสนใจ (pay attention) กับคนไม่ดี อย่างเต็มที่
อธิบายในทางจิตวิทยาได้ด้วย นั่นคือ เราอยู่ในสังคมที่"ให้ความสำคัญ"กับคนไม่ดีมากกว่า
เอาง่ายๆ คุณลองดูหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ เขาให้ความสำคัญกับโจร
มากกว่าจะยกย่องกลุ่มกิจกรรมอาสาหรือเปล่า สังเกตครับ..
แล้วนั่นล่ะที่เป็นทิศทางของการนำสังคม
เชื่อไหมว่า ถ้าเราเปลี่ยนสื่อใหม่ ให้นำเสนอเรื่องราวของคนดีบ้าง
มันจะเกิดแรงจูงใจในการทำพฤติกรรมดีๆ เพื่อสังคมมากขึ้นนะครับ
ป.ล. ขอฝากไปถึงสื่อ (อีกแล้ว) ให้ช่วยนำสังคมหน่อย
คนตื่นเช้ามาเปิดทีวีก็ซึมซับเนื้อหานั้นๆ ได้แล้ว แล้วก็มีแนวโน้มที่คนจะทำพฤติกรรมนั้นๆตาม
เอาง่ายๆ แค่คุณฉายโฆษณาให้คนทำดี ทุกวัน ๆ ๆ คนดูทุกวัน ๆ ๆ
มันจะเกิดกระบวนการจำได้ นานวันเข้าๆ ก็ฝังไปยังจิตใต้สำนึก
(เหมือนที่พวก Advertise จะชอบใช้วิธีการนี้ คือ ฉายโฆษณาซ้ำๆบ่อยๆ
หลังจบละคร ปรากฏว่าคนจำสินค้าได้ และเมื่อไปซื้อของ
คนจะเลือกหยิบสินค้าที่ถูกฉายทางโฆษณาโดยที่อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าทำไมต้องยี่ห้อนี้ -- ลองไปศึกษาเพิ่มเติมในหนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์โฆษณา หรือจิตวิทยาเรื่อง Cognition, Threshold ดู แล้วจะเข้าไปว่าทำไมเราถึงได้ต้องนั่งทนดูโฆษณาถี่ๆ ซ้ำๆ น่าเบื่อๆ แต่เรากลับจำได้ ถึงเราจะไม่ชอบ นี่หละเทคนิคหนึ่งทางจิตวิทยาเลยนะ จะบอกให้)
8)
รับน้องห่าไรกูช่างแม่ง แต่ที่แน่ๆแม่โจ้มีแต่ความหัวควยกับผู้บริหารสถานศึกษาห่วยๆที่วันๆเอาแต่ผลงานศิษย์เก่ามาโชว์ให้คนนั้นคนนี้ดู ปวช.แม่งก็เจอแต่พวกกากๆเดนๆสวะๆ วันๆเอาแต่ยกพวกตีกันแล้วก็บังคับรุ่นน้องให้เสพยา ไม่ต่างจากมหาลัยสวะแม่โจ้แห่งเชียงใหม่ ที่ว่า ม.เชียงใหม่ มีระบบรับน้องที่อุบาทวืและจัญไรเหมือนๆกับ แม่ฟ้าหลวงแล้วยังสู้ของแม่โจ้ไม่ได้เลย แม่โจ้มันขยะจริงๆ รับน้ิงตั้งแต่ ป.ตรี ยัน ป.เอก หลักสูตรแม่งก็กากๆเดนๆ เด็ก ม.ต้นมาเรียนแม่งก็จบปริญญาได้ ขนาด ม.ราม หลักสูตรไม่พัฒนาไรมากยังเทียบกับมหาลัยปิดกากๆนี่ไม่ได้เลย อายมหาลัยเปิดมั่งมั้ยวะสัส ถ้าไม่คิดจะอายเหี้ยไรเลยเดี๋ยวกูจะเปิดมหาวิทยาลัยวรนาถ มีหลักสูตรในการเอาตะขาบยัดเขาไปในรูดากเพื่อสืบทอดเป็นอสุร ลูกศฺษย์แม่โจ้โง่และขยะสัส
กรณีคุณวิกรม สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ จากคนที่เคยถูกทาบทามเป็นนายกฯ แถมมีพวกเกจิการเมืองเอย หมอดูเอย คนในรัฐบาลเอย คาดการณ์ว่า แกมีแววเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยมากๆ (แม้เจ้าตัวจะเคยยืนยันว่า ตนไม่อยากเล่นการเมือง) กลับกลายเป็นว่า ทุกอย่างพังเพราะ "นกเงือก"
การเอานกเงือกมาออกทีวี ส่งผลใหญ่ต่อชีวิตเลย ทั้งๆที่ ที่ผ่านมา ศัตรูทางธุรกิจก็สู้แกไม่ได้ นักการเมืองก็สู้แกไม่ได้ พวกมาเฟียสู้แกไม่ได้ แต่นกเงือกชนะ? ใครจะคาดคิดเนอะ เรียกได้ว่า ในอนาคต ถ้าคุณวิกรมถูกทาบทามเป็นนายกฯอีก ก็จะมีคนเอาเรื่อง "นกเงือก" มาเล่นงานอีกแน่นอน
มื่ออายุ 8 ขวบ Kellie Lim ป่วยด้วยโรคร้ายแรง เชื้อไข้กาฬหลังแอ่นกระจายไปทั่วร่างกายและทำให้เส้นเลือดที่เลี้ยงแขนขาขาดเลือด
หมอต้องตัดแขนขวาและขาทั้งสองข้างของเธอออก
เธอมีพ่อแม่ที่ทำงานร้านอาหาร แม่ของเธอตาบอด
มีพี่น้อง
หลังจากนั้นเธอต้องสู้มาเรื่อยๆ
ต้องฝึกเดิน
ฝึกใช้ขาเทียม
แม่ พี่ น้อง ช่วยให้กำลังใจ ช่วยแต่งจัวไปตอนเช้า
ในยามที่ขาเทียมใช้ไม่ได้ พ่อของเธอก็เอาตัวเธอแบกขึ้นหลังไปโรงเรียน
หลังจากนั้น เธอก็เข้าเรียนแพทย์ David Geffen School of Medicine ที่ UCLA และทำงานมาแล้ว 9 ปี
พลังใจ + ครอบครัว คือสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์เราฝ่าฟันไปข้างหน้าได้
ผู้ต้องหาฆ่าขืนใจ"ครูจุฬารัตน์" เปิดปากสารภาพแอบชอบมานาน-ขัดขืนเลยฆ่าปาดคอ
http://www.khaosod.co.th/online/2016/07/14675240431467524147l.jpg
ต้องคาดหน้าคนเสียชีวิต แล้วก็เปิดหน้าไอ้นี่นะ
การสนับสนุนข่มขืนต้องประหารมันก็แค่เป็นการทำเพื่ออวดศีลธรรมจรรยาอันสูงส่งสง่าเลอค่าแค่นั้นแหละ และเป็นการแสดงให้คนอื่นเห็นว่า กูมีเหตุผลดีกว่านักกฎหมาย
ข่มขืนฆ่าทีนึง ก็ออกมาแปร๋นกันทีนึง
ก็พูดไม่รู้กี่สิบรอบแล้วว่า
- ถ้าเพศวิถีอื่นที่ไม่ใช่แค่ ชาย-หญิง ทำบ้าง คุณจะเงียบแน่นอน ดีไม่ดีหัวเราะหรือเจอบอกเข้าให้ว่า "ไม่ชอบหรอ"
- คือถ้าโทษมันเท่าฆ่าข่มขืนแล้ว มันจะไม่มีเหยื่อข่มขืนรอดชีวิตไปบอกคนอื่นอีกนะ เพราะพวกนี้ก็จะทำการฆ่าข่มขืนปิดปากสถานเดียว เพราะไงก็ตายเหมือนกัน (เหมือนกับ ตีหมาติดคุกยาว ตีคนติดคุกไม่นาน นั่นแหละ)
- ฆ่าข่มขืนมันประหารอยู่แล้ว
- ข่าวส่วนใหญ่ที่ทำให้คนออกมาแว้ดๆ คือ "ฆ่าข่มขืน" ทั้งนั้นแหละ ไม่มี "ข่มขืนแล้วเหยื่อไม่ตาย" หรอกที่เป็นประเด็นทำให้คนคลั่งข่มชืนต้องประหาร
ท้ายนี้ ก็ลองไปศึกษาดู "อีก รอบ" นะว่า ทำไมไม่มีนักกฎหมายที่ไหนสนับสนุนไอเดีย ข่มขืนต้องประหาร นี้
ก็แค่พวกคลั่งความดี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพจ"นี่หรือไทยเเลนด์"นี่ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นเพจมีความรู้ เเต่จริงๆเเล้วก็เป็นเเค่เพจโง่ๆ ทำอินโฟกราฟิคเเรงๆ ถูกใจพวกโง่ให้ไปไลค์เเชร์กัน ข้อเท็จจริงอะไรไม่มี ขอให้เเรงถูกใจคนโง่ไว้ก่อน
-มิตรสหายท่านนึง
ยุคโซเชี่ยลวัยเห่อหมอยวันนาบีเป็นคนดังให้คนกดไล้ท์ต้องคอยด่าประเทศตัวเองนะครับ บางคนโตเป็นควายยังพ่นอะไรเดิมๆไม่อัพเดตก็มี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แต่ช่วงนี้paradigm shiftไปทางขวาแล้วนะ leftแม่งทำตัวobnoxiousขึ้นเริ่อยๆ
มันตาสว่างตอนมุสซี่บุกeuมากกว่า แม้แต่ซ้ายยุโรปยังทนไม่ได้จนต้องกลายเป็นขวา
"เออ พวกที่บอกว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์โดยให้เหตุผลว่า "ลองปฏิบัติแล้วจะรู้เอง" นี่เขาเข้าใจหรือเปล่าวะว่า "ข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ภายใน" นี่แม่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์นะ
วิทยาศาสตร์มันไม่ใช่แค่การทำซ้ำแล้วผลเท่าเดิม แต่ตัวผลมันต้องมีการแสดงออกมาในโลกวัตถุที่สามารถใช้เกณฑ์ที่ยอมรับร่วมกันในชุมชนทางวิทยาศาสตร์มาวัดผลแล้วเห็นร่วมกันด้วยว่าจริง มันต้อง "ออกมาข้างนอก" ให้คนอื่นเห็นได้ ไม่งั้นมันไม่ใช่ "เชิงประจักษ์"
ดังนั้นในแง่นี้ถ้าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์มันก็เป็น Pseudoscience โดยแท้เลย
ป.ล. จริงๆ พุทธศาสนามันไม่มีทางจะเป็นได้อยู่แล้วด้วยตัว Cosmology ของมันที่คนที่อยู่ในบางสภาวะในประบวนการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้นมันจะ "ดวงตาเห็นธรรม" หรือกระทั่ง "บรรลุอรหันต์" ได้ พูดง่ายๆ คือฐานคิดมันวางอยู่แล้วว่าความจริงสูงสุดมันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะเห็นได้ ดังนั้นมันไม่เป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้วเพราะวิทยาศาสตร์ทุกคนต้องเห็นได้ และที่ตลกคือในแง่นี้ด้วยฐานคิดถึงการบรรลุความจริงสูงสุดทางศาสนา ศาสนาอย่างคริสต์ที่เน้นตลอดเรื่องการเข้าถึงพระเจ้าอย่างเท่าเทียมแบบไม่เกี่ยวชาติกำเนิดยังดูใกล้ความเป็นวิทยาศาสตร์กว่าอีกเพราะอย่างน้อยในทางทฤษฎีคนทุกคนก็เข้าถึงพระเจ้าได้หมด ในขณะที่ทางพุทธมันไม่ใช่ทุกคนที่จะบรรลุอรหันต์ได้
ป.ล. 2 ทั้งหมดไม่ได้บอกว่ามันดีหรือไม่ดี คนทั่วๆ ไปมันมีความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้กันอยู่แล้ว ซึ่งนั่นแม่งเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่นั่นมันคนละเรื่องกับการเคลมไปเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆ ซึ่งไม่จริง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>483 ทุกคนบรรลุอรหันต์ได้นะ กูไม่เคยเจอที่บอกว่าไม่ได้ ยกเว้นทำอนันตกรรมที่จะบรรลุในชาตินั้นไม่ได้ การบรรลุอรหันต์ก็เหมือนการทดสอบนั่นละ มีเพียงคนหยิบมือที่ทำสำเร็จ มันคนละเรื่องกับการพบพระเจ้าของคริสต์เลยนะ คนเขียนนี้ท่าจะเมา
นี่พูดตามหลักคำสอนนะ เป็นจริงหรือไม่มันคนละเรื่อง
อ่านๆแล้วนึกถึงคลิปนี้
https://www.youtube.com/watch?v=-IpRBwZAMlk
มือลั่น ต่อๆนะ ดูให้จบนะสัส ,>>487 แต่ทุกคนก็สัมผัสอากาศได้นี่สัส หรือมึงหายใจเข้าออกด้วยลมปราณ>>486 บ้านมึงลอยได้หรอ
คือวิทย์หมายถึงเจอได้ทุกคน พิสูจน์ได้ (เพราะแบบนี้นักวิทสายจักรวาลหลายคนแม่งเลยไม่ได้โนเบลสักที เพราะโนเบลเป็นคนที่เน้นการปฏิบัติและพิสูจน์ให้เห็นจริงได้) ส่วนพุทธ ไปนั่งสมาธิ มีกี่คนบ้างที่เจอ ที่จิตวาร์ปได้ แล้วมีกี่คนที่คิดไปเอง น้องกูยังเคยเห็นไก่ฟ้าข้าง รร. เป็นครุฑมาแล้วไอเหี้ยคือแม่งมโนก็มี พิสูจน์ได้ตรงไหนวะ แบบนี้ อ.อุบล ก็เป็นด้วยไหมล่ะ ก็ต้องไปบ้านสวนเพื่อพิสูจน์เหมือนกันหนิมี ดร.นาซ่ากับศิลปินแห่งชาติเป็นวิทยากรด้วยหนิ
Scientific methodologyเน้นการวัดค่าอย่างเป็นobjectives คือไม่มีมนุษย์มายุ่งเกี่ยว ดังนั้นการวัดค่าด้วยมนุษย์ที่เป็นsubjectiveจึงไม่เป็นวิทยาศาสตร์
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมีจริงไม่มีจริงนะ คือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์บอกว่ามันจะเป็นวิทย์ได้ต้องตรวจจับได้ด้วยปัจจัยภายนอก กรือถูกวัดค่าด้วยวิธีการทางวัตถุได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์
แต่วิทยาศาสตร์ๆม่ใช่ความจริงpresent มันเป็นสิ่งที่representได้ดีที่สุด เพราะไม่มีปัจจัยมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่นเมนเดล วิธีการของเมนเดลไม่นับเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะใช้ใจล้วนๆในการสังเกตุเมล็ดพืช แต่หลักการมันถูกก็แค่นั้น
พูดอย่างเป็นกลาง ศาสนาอาจเป็นสิ่งที่เป็นจริงในจักรวาล แต่ยังไม่สามารถrepresentมันได้ด้วยobjectives methodology มันจึงขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน แต่ในอนาคตอาจจะมีวิธีการวัดค่าได้ก็เป็นได้
ตัวอย่างคือการเข้าณาณ สมัยก่อนวัดไม่ได้ แต่สมัยนี้mriวัดค่าสมองได้ว่าสมองของคนที่เข้าณาณมีความพิเศษมากจริงๆ บางคนถึงขั้นจำศีลไม่หายใจเป็นชั่วโมงได้ ดังนั้นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ควรทำจึงไม่ใข่การกีดกัน แต่คือการหาทางวัดค่ามันให้ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก็แค่นี้ละ
วิทยาศาสตร์ ทำให้มนุษย์เกิดความต้องการไร้สิ้นสุด-เกิดกิเลส
ศาสนา ทำให้หาหนทางจบความต้องการไร้สิ้นสุด-พ้นกิเลส
แต่ยุคสมัยมันบิดเบือนไปแล้ว
ท่าน ว. เป็นพระดี มาแขวะท่านแบบนี้ระวังตกนรกนะ
กลับไปบูชาหลวงเจ๊ธัมมี่ของพวกมึงเถอะ
ทำไมเวลาพระเทศต้องพยายามเล่นมุกฝืดอย่างแกล้งพูดผิดทำเป็นไม่รู้จักงงอะไรแบบนั้นด้วยมไม่เคยขำเลยนะ ดูเสร่อมาก หรือว่าเป็นธรรมเนียมสืบทอดมาแต่โบราณเหรอ
ที่เห็นบ่อยๆก็คำว่าไอโฟน เป็นไรกันชอบพูดเป็นไอฟงๆแล้วหัวเราะคนเดียวอะ ตบท้ายว่าอาตมาก็จำชื่อมันไม่ได้หรอกไอไอๆไอฟงไรเนี่ย ต้องทำเป็นไม่รู้จักขนาดนั้นเลยเหรอ
แล้วเป็นอะไรกันเวลาพูดชอบพูดเน้นคำหัวเราะเหมือนเย้ยหยันชาวบ้านที่ทำอะไรไม่ถูกใจตัวเองอะ แถมชอบใช้คำฟุ่มเฟือยอีกตะหาก ดูน่ารำคาญจังเลย
ตามหลักแล้วผิดศีลนะ แต่ถ้าพูดเรียบๆ คนก็ไม่ค่อยฟัง กูเองก็ไม่ชอบ แต่นักพูดในบ้านเราส่วนใหญ่ก็แบบนี้
มึงต้องดูตลาดเมืองไทยด้วย การพูดขำขันขายดีกว่าการพูดแบบจริงจัง คนต้องการพระก็ต้องพูด ถึงจะฝืดแบบนี้บางคนก็ขำนะ
ประเด็นอยู่ที่ตลกแบบนั้นมันเสร่อว่ะ ตลกที่ดีมันควรจะขำไม่ใช่ฝืด
พระที่เทศน์ดีๆเทศน์ตลกแบบไม่ low ก็มี
เอาน่า มุขตลกแบบไม่หยาบคาย ไม่เล่ามุขลามกใต้สะดือ
มันเล่ายากนะมึง
เส้นคนเราไม่เท่ากัน กํดูชิงร้อยไม่ตลกแต่เพื่อนกูขำบ้านแตกตลอด
ความรู้สึกตลกไม่เท่ากันนี่สำหรับกูคือโน้ต อุดมว่ะ
คนอื่นฮาขี้เเตกเเต่กูเฉยๆมาก ฮาตรงไหนวะ
กูเรียกโน้ตว่าตลกอุปาทานหมู่ พอพวกเส้นตื้นฮา คนที่ไม่ฮาก็ฮาไปด้วย
Stans up comedy ฝรั่งเทพๆก็Dave Chapelleเลย โม่งคนไหนไม่เคยดูเเนะนำ ชุดKilling them softly
ชิงร้อยสมัยก่อนสำหรับกูฮามาก กูยังขุด VCD ชุดเก่าๆมาดูเล่นอยู่เลย ที่มันฮาเพราะยุคนั้นเล่นแต่มุกสด
ใช้ไหวพริบทักษะล้วนๆ มุกฝืดไม่ฮาก็ช่วยกันจนทำให้มันฮา เล่นกันแค่สามสี่คนแต่เอาอยู่
ยุคปัจจุบันมันไม่ได้สดแบบนั้นแล้ว เป็นแค่ซิทคอมธรรมดา (ที่ไม่ค่อยจะฮาเท่าไร)
อีกทั้งมุกในการทำซิทคอมของ WP ถึงจุดอิ่มตัวมานานแล้ว ( พีคสุดฮาสุด ที่ไม่ใช้ระเบิดเถิงเทิงยุคซอยเถิดเทิง กูยกให้โคกคูน )
ชิงร้อยยุคปัจจุบันรุ่นใหม่อย่างตุ๊กกี้ พัน ฝีมือไม่ค่อยถึงวะ ตุ๊กกี้มีคนด่าเยอะแล้ว ขี้เกียจด่า
ส่วนพันกูว่าโอเคนะ ดูก็รู้ว่าเป็นคนตั้งใจทำงาน ถึงไม่ค่อยมีพรสวรรค์ แต่ทุ่มเทพยายาม ทำการบ้านเตรียมตัวมาน่าดู
WP ไม่น่าเอาเขามาเล่นชิงร้อยเลย ให้ทำแต่ตลก 6 ฉากกับงานพิธีกร นะดีแล้ว
พูดถึงตลก แต่ก่อนกูชอบซิทคอมเป็นต่อนะ แต่ปัจจุบันแม่งเละเทะมีแต่ทำเหี้ยกันไปมา ตอนแรกๆมันก็พอให้ยิ้มมุมปากได้นิดหนึ่ง
แต่หลังๆชักเบื่อวะจำเจชิบหาย
มุขโน้ตหลายมุขกูเจอมาก่อนใน pantip(หลายๆห้องปนกัน)รวมถึงมุขจากในหนังสือหรือการ์ตูน
กูก็เลยรู้สึกฝืดหึๆมั้งเพราะรู้ทันก่อน
Optimize ความเร็วในการโปรเซสภาพ 360 ได้ลดลงจาก 20 วินาทีเหลือแค่ 3-6 วินาที
เคล็ดลับ: ตอนแรกทำห่วยๆไว้ เดี๋ยวพอปรับปรุงแล้วบอกว่ามันดีขึ้นเยอะมันจะฟังดูเท่เอง
#บัย
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
>isis hacks go servers
>puts a mew in times square
>millions gather
>allah akbar
sandnigger know how to use a computer
sandnigger just don't know how to be a human
"ดู Les Miserable ก็ฮึกเหิมนะ
Do u hear the people sing? ~
ฮึกเหิมจนลืมไปว่า ตอนจบแม่งตายห่าหมดเลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นเอากฎหมายชาริอะฮฺของอิสลามมาโหนกระแสข่มขืนกันแล้วก็ขอชี้แจงว่ามันไม่ใช่อย่างที่มโนกันหน่อยละกันครับ กฎหมายรุนแรงจริง แต่ขอให้ดูที่วิธีปฏิบัติด้วยครับ โทษที่เห็นว่าแรง ๆ นั่นน่ะ ในทางปฏิบัติแล้วเหยื่อยิ่งเสียหายซ้ำซ้อนเข้าไปอีก
,
เรื่องมันเป็นงี้ครับ
1: จะถือว่าเป็นข่มขืนเมื่อมีผู้ชายชาย 4 คน หรืออิหม่าม 1 คนเป็นพยาน (ซึ่งจะไปหาจากไหนล่ะคู้ณณณณ)
.
2: ถ้าไม่มีพยานตามนี้ให้ถือว่าหญิงสมยอม (ซึ่งจะนำไปสู่ผลในข้อต่อไป)
.
3: หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่ไม่ใช่สามี มีความผิดนะครับ บางประเทศก็ขังบ้าง โบยบ้าง ประเทศไหนป่าเถื่อนหน่อยก็ปาหินจนตายบ้าง
มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าเหยื่อกลายเป็นโดนซ้ำเติมเข้าไปอีกด้วยซ้ำนะครับ แต่ยังไม่จบแค่นั้น มาดูข้อต่อไปกัน
.
4: ต่อให้โชคดีมีพยานจนกลายเป็นคดีข่มขืนขึ้นมา กฎหมายอิสลามบังคับให้เหยื่อแต่งงานกับคนข่มขืนครับ ไงล่ะ ไงล่ะ
.
5: แต่ถ้าซวยกว่านั้นก็อาจจะโดนคนในครอบครัวตัวเองนั่นแหละเล่นงานโทษฐานทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย
.
เมื่อนับข้อดีได้ห้าข้อแล้ว ยังอยากจะอวยกฎหมายแบบนี้ก็สุดแท้แต่ใจท่านเถอะครับ
.
ลิงค์ข่าวสาวนอร์เวย์โดนข่มขืนที่ดูไบแล้วไปแจ้งความเลยติดคุกซะเอง
http://in.reuters.com/article/emirates-courts-rape-norway-idINDEE96K09720130721
ลิงค์ข่าวเหยื่อข่มขืนกลับโดนตัดสินให้ปาหินจนตายซะเอง
http://www.humanrights.asia/resources/journals-magazines/article2/0303/the-destiny-of-a-rape-victim-in-pakistan
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เพจอวยไส้เเตกให้คะเเนนGhostbuster 2016 8/10
มึงดูหนังเป็นจริงหรือเปล่าวะ
บอกว่าเป็นหนังที่ฮามากเนี่ย มุกในหนังมันเทียบได้กับของพจน์ อานนท์ ที่เพจอวยไส้เเตกเคยด่าเลยนะ เเต่มันเป็นเวอร์ชันฝรั่ง"
-มิตรสหายท่านนึง
"Thanks to Pokémon GO, Americans now understand what a kilometre is. Next we need a game based around ISO standard paper sizes."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เวลาเราโดนโจรปล้นแล้วไปแจ้งตำรวจ ถ้าตำรวจขอให้เรา co-pay คือ ตำรวจจะไปสืบ จับ นำทรัพย์มาคืนให้ แต่ขอคิดค่าบริการ 30% ของมูลค่าทรัพย์สินที่โดนปล้นนะ ไม่งั้นคุณไปจ้างนักสืบเอกชนเอาเอง
เวลาไฟไหม้บ้านแล้วโทรเรียกรถดับเพลิง ถ้าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงขอให้เรา ร่วมจ่าย คือจะดับไฟให้ แต่คุณช่วยจ่ายค่าบริการสักครึ่งนึงของมูลค่าบ้านนะ ไม่ชอบก็ไปทำประกันเอกชนเอา
เวลามีสงครามแล้วหมู่บ้านคุณจะโดนบุก โทรไปแจ้งทหาร ทหารเค้าก็บอกว่า ขอเก็บค่าบริการนิดหน่อยนะ กองทัพกำลังขาดทุน ไม่จ่ายก็ป้องกันตัวเองกันไปแล้วกัน
โอเคมั้ยอะแบบนี้ ถ้าไม่โอเคแล้วทำไมเวลาป่วยไปหาหมอที่โรงพยาบาลของรัฐแล้วต้องจ่ายตังค์อ่ะ คือร่วมจ่ายไปแล้วผ่านระบบภาษีไง หน้าที่คุณคือต้องไปบริหารจัดการให้มันอยู่ได้มั้ย จะเก็บภาษีสาธารณะสุขเพิ่มก็ได้(แต่ไม่จำเป็นหรอกเอาจริงๆ) แต่การจ่ายเงินที่จุดบริการไม่เวิร์คแน่ๆ มันผิดหลักการตั้งต้นของระบบไปไกลเลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่จำเป็นยังไง แค่นี้ก็ไม่พอใช้แล้ว
ปัญหาของไทยคือรับทุกเคส และเก็บเงินน้อยไป เมืองนอกเก็บภาษีโหดกว่าเรายังเอาตัวไม่รอดทั้งหมดเลย เมืองนอกก็มีระบบ co-payment ระดับหนึ่ง
ถ้าไทยเก็บภาษีน้อยกว่า ให้บริการมากกว่า และทำได้มากกว่า ไทยก็เป็นประเทศที่พัฒนามากที่สุดในโลกด้านระบบสาธารณะสุขแล้ว
คนเขียนเรื่องนี้นี่ด้อยความรู้จริงๆ cuck แน่ๆ
อยู่หมู่บ้านจัดสรรค์เกรดล่างๆ จ่ายค่าส่วนกลางถูกๆ บางบ้านไม่ยอมจ่าย แต่เรียกร้องจะเอาของดีทุกอย่าง มึงรับเงินไปแล้วต้องทำให้ได้ชะละล่า
วาทกรรม ที่ชอบเปรียบเทียบคนสมัยก่อน-คนสมัยนี้
ในเชิงที่คนสมัยก่อนดีกว่าคนสมัยนี้อย่างนู้นอย่างนี้
ซึ่งส่วนใหญ่พูดโดยคนที่ อายุมากแล้ว
โดยคำว่า "คนสมัยก่อน" ก็มักอ้างอิงไปที่ "คนยุคตัวเอง" นั่นแหละ
ผมว่ามันเป็นการอวยตัวเองที่มักง่ายไปหน่อยครับ
ถ้าไม่ได้เอาจริยธรรมผูกขาดไว้กับศาสนา แล้วลองมองโลกให้กว้าง จะพบว่า
หลักจริยธรรมของมนุษยชาติพัฒนาขึ้นเรื่อยๆตามเวลาด้วยซ้ำไปครับ
ตลกดี ทีมอวยเนติวิทย์บางคนคืออวยแบบไม่ลืมหูลืมตาไม่ลืมหีลืมแตด แถมแขวะฝั่งที่หัวคิดแบบเนติวิทย์แต่เห็นว่าการแสดงออกของเนติวิทย์มันไม่โอเค
5555555555 กูโคตรงงเลย ทำไมการแสดงออกของเนเน่ถึงได้รับการเชิดชูมากกว่าการที่หลายคนไม่เข้าร่วมพิธี แต่หัวคิดแบบเดียวกับเนเน่วะ งง
แค่แสดงออกก็ชนะแล้วหรอ หรือไง คิดเงียบๆ ไม่แสดงออกก็โดนหาว่าเป็นพวกคนไม่จริงอีก55555
#มิตรสหายทวิตเตอร์ท่านหนึ่ง
"ไทยไปตุรกีนี่ไม่ต้องขอวีซ่านะครับ น่าจะคาดได้ว่าสักพักสายการบินต่างๆ จะเข็นโปรออกมาพอควร เผลอๆ ค่าเงินแม่งจะตกด้วย
สรุปคือเป็นจังหวะที่น่าไปเที่ยวครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ข้อสงสัยจนกท่านหนึง.. ฮุกุม การรับประทานอาหารกับคนกาฟิร..?
คำถาม: เมื่อคนมุสลิมได้รับประทานอาหารด้วยกันกับคน"กาฟิร" หรือกับคน ชาวคริสต์ ( นัศรอณีย์) หรือนังดืมกับพวกเขา ถามว่า"ฮุกุม"คือ ฮารอม หรือไม่???
คำตอบ:: การนังรับประทานอาหารหรือดืมกับคนกาฟิร มิได้ เป็นสิ่งที่ฮามรอม! เมื่อมีความจำเป็นหรือมีสิ่งประการใดที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ให้กับอิสลาม เเต่("ห้าม" )นังกินดืมเป็นเพื่อนกับเขาโดยไม่มีที่มาจากศาสนบัญญัติ ( ไม่ได้ถูกกำหนดโดยศาสนา) อาทิ "นังกินดืมสนุกเฮฮากันกับเขา" โดยไม่มีเป้าหมายเพื่ออิสลาม" ซึงตรงนี้ถือว่าไม่ที่อนุยาต!!
ดังนั้นสิ่งที่อนุยาตที่สามารถรับประทานอาหารหรือดืมด้วยกันกับคนกาฟิร ได้เเก่ -อันเนื่องมาจากเป็นเเขกของเราหรือเราเป็นของเขา หรือ เพื่อเผยเเพร่ศาสนาของเรา เรียกร้องสู่อัลลอฮ สู่สัจธรรม หรือเหตุผลอื่นที่เกี่ยวกับหลักศาสนา..
ส่วนการรับประทานอาหารหรือดืมด้วยกันกับคน" อะห์ลีย์กีตาบ" เช่น พวกนัศรอณีย์ โดยไม่จำเป็นต้องมีเงือนไขใดๆในเรื่องของการนังกินเป็นเพื่อนหรื่อเกี่ยวข้องในเรื่องของความจำเป็นหรือในเรื่องเกียวกับการเเสวงหาผลประโยชน์ให้กับแอสลามหรือเรียกสัจธรรมเพือสู่อัลลอฮ, *ซึงเป็นที่อนุยาต*
# สามารถดูได้ใน ฟัตวา มัญมูอฺ ของ เชค อับดุลอาซิส บิน บาซ รอฮีมาฮุลลอฮ ที่ ( 9/329 )
วัลลอฮฮุอะลัม!
●▬▬▬۩۩۩۩▬▬▬●
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมกามีคนแบบเนติวิทเยอะแยะครับ แต่เขามีเสรีในการแสดงความเห็นและคุยกันด้วยเหตผล ดีเบตเป็นเรื่องๆ ถ้าวันไหนเนไม่ดัง แสดงว่าประเทศไทยเจริญแล้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หลังๆ ผมชักเห็นด้วยนะ ไม่ใช่ในแง่ว่ายังไม่รักชาติ ยังดูแลตัวเองไม่ได้หอกเหวอะไรอย่างที่สลิ่มว่าหรอก
แต่คนไทยยังมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นขี้ข้าสูงอยู่อ่ะ
พอๆ กับไอ้พวกผู้ไร้มลทินใน GOT ล้มนายทาสได้ก็ทำตัวเป็นขี้ข้าคาลิซี(แม้คาลิซีไม่ได้ต้องการแบบนั้นก็ตาม)
ไม่สามารถคิดเองทำเองด้วยเจตจำนงค์เสรีของตนเองได้
เหมือนที่บาโฟเจียมพูดบ่อยๆ น่ะแหละ
สุดท้ายเสื้อแดงที่ไม่ฟังคำสั่งประยุทธ ก็เลือกฟังคำสั่งทักกี้อยู่ดี
เอาแค่คำที่ฝ่ายเสื้อแดงชอบแขวะสลิ่มว่า"กบเลือกนาย" ผมก็ละเหี่ยใจละ
ระบอบประชาธิปไตยมันก็คือระบอบกบเลือกนายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
ไอ้กบไม่เลือกนายมันก็แค่ขี้ข้าสาธารณะไม่ใช่้เรอะ
ผมว่าไทยตอนนี้ต่อให้ฆ่าทักกี้ฆ่า ประยุทธ ฆ่าสุเทพ ระเบิดวัดธรรมกายทิ้ง ฆ่าชนชั้นปกครองให้หมด ไอ้แกนนำคณะล้างบางชนชั้นปกครองก็กลายเป็นสมมุติเทพคนใหม่อยู่ดีนั่นแหละ
ตราบในที่คนยังมีแนวคิดบูชาตัวบุคคล มีแนวคิดเชื่อในพระผู้ช่ายประเทศนี้ก็ไม่มีวันเสรีหรอก
ตราบใดที่คนไทยยังมีแนวคิด"จงทำเพพราะเขาทำกันมาตลอด" ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูเจอคนด่าใน facebook อ่านแล้วโคตรพีค
"มีสิทธิ์อะไรมาด่าว่า กระหรี่ ไม่ให้เกียรติเพศแม่เลย มึงแม่งโคตรหน้าตัวเมียเลยว่ะ!!!!"
-เนติวิทย์นี่เป็นคนหัวซ้ายจัดม๊ากกก
ไม่ได้พูดว่าสิ่งที่ทำมันถูกหรือผิด เพราะเราไม่ค่อยได้ตามเรื่องนี้
-แต่จะบอกว่าแม่งใจเด็ดนะ ยอมทิ้งชีวิตวัยรุ่น เพื่ออุดมการณ์เนี่ย
เหมือนเล่นโป๊กเกอร์แล้ว all in อ่ะ แกคงไม่มีอะไรจะเสียแล้วจริงๆ
ประมาณว่าทั้งชีวิตกูขอทุ่มให้กับเรื่องนี้เรื่องเดียว ...
-ซึ่งตามหลักการใช้ชีวิตจริงๆมันไม่ใช่ แต่น้องเนมันคงคิดว่า
ไหนๆก็ลุยมาขนาดนี้ ไหนๆก็โดนเกลียดไปละ คงจะเอาให้สุดไปเลย
-คงได้เป็นตำนานได้เป็นที่จดจำแน่ๆ..
ซึ่งจะถูกจดจำในด้านไหน ก็แล้วแต่มุมมองคนเนอะ
-เอาจริงๆคือแม่งไปอยู่ผิดที่ด้วยแหละ สังคมฬ. conservative
เยอะอยู่แล้ว เนติวิทย์แม่งน่าไปอยู่ที่ที่มีเด็กหัวขบถเยอะๆแบบ มธ.
ไม่อยากนึกสภาพถ้ามาอยู่ม.เรา ทำตัวงี้นี่ได้โดนกระทืบแน่นอน
-ตัวเราเองพอโตขึ้นมันก็เริ่มมีความหัวขวาขึ้นตามสภาพ
ความขบถมันก็เริ่มน้อยลง เพราะสังคมคนส่วนใหญ่มันก็ต้องปรับตัว
ประณีประนอมกันไปตามสภาพ ทำไงได้ ประเทศนี้ฝ่ายขวามันใหญ่
- ตอนนี้เราใช้ชีวิตเป็นชนชั้นกลางในฟองสบู่ อยู่ใน safe zone
มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอก อาจมีโดนแซะบ้างไรบ้าง
แต่สุดท้าย เราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
ถึงจะไม่ได้มีส่วนทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงก็เถอะ
- แต่กลางแบบขอให้กลางจริงๆ เที่ยวห้าง ดูหนัง นั่งอ่านนิยาย
อ่านadayชิคๆคูลในสตาร์บัค จะฮิปเต้อ จะเชี่ยไรก็ทำไปเถอะ
ไม่ต้องกลัวโดนล้อโดนแซะหรอก แต่ขอให้กลางจริงๆ
ไม่ใช่บอกว่ากลางแล้วไปเป่านกหวีดไรงี้ =='
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เอ่อ ไม่ชอบ เนติวิทย์ นี่มันไปเกี่ยวไรกะการเป็นพวกคลั่งเจ้าหว่าเห็นหลายคนชอบเอามาโยงกันจังคือมันทำตัวกวนตีนคนก็หมั่นไส้เป็นปกติไม่ใช่เรอะ? =_="
แค่นึกตอนเนติvit รับปริญญา
กูก็สนุกแล้ว
เนติ มันก็เหมือนพวก วอนนาบี ทั่วไปน่ะแหล่ะเก่งแต่กับพวก เนิร์ด พอไปเจอพวก เถื่อน จริงก็เหมือน ไอ้เหวง อ่ะเยี่ยวแตก
"Rei (礼)
มาว่ากันเรื่องความนอบน้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี และ จรรยาต่อ
Rei แปลผิวๆ แปลว่า etiquette หรือ ขนบธรรมเนียมประเพณี และ จรรยา
เช่นธรรมเนียมปฎิบัติเวลาฝึก martial arts ต่างๆ ของ Budo
ถ้าแปลลึกๆ Rei แปลว่า courtesy และ respect ก็ได้
เพราะธรรมเนียมเหล่านั้นมุ่งหวังให้เคารพเกรงใจผู้อื่นและสรรพสิ่ง
ครองจรรยาที่มุ่งขจัดตัวตน
ความนอบน้อมต่อผู้อื่น คือ Girei
เวลาโค้งคำนับแบบญี่ปุ่นจะมีโค้งมากกับโค้งน้อย
โค้งมากแบบหน้าถึงระดับเอวก็เรียกว่า Rei
Junshi นักปราชญ์ชาวจีนกล่าวไว้ว่า ที่มาของคำว่า rei (etiquette)
มาจากภาษาจีนที่แปลว่า "self-restraint over the desire"
และ "The function of etiquette is to maintain a dynamic balance between the spiritual and the material."
............................................................
อยากชวนให้พวกเรามี etiquette เพื่อเข้าใจใน "Rei"
เพื่อกำจัด ego ให้ตัวเล็กลง เพราะเราควรขอบคุณและเคารพสรรพสิ่งรอบๆ ตัว
เพราะมองเห็นว่าทุกคนล้วนเชื่อมโยงถึงกัน
ไม่ใช่ว่ามี etiquette เพราะ เป็นหน้าเป็นตา เป็น norm ของสังคม
ใครๆ ก็ทำจึงต้องทำ หรือทำเพราะกลัวคนอื่นว่า
แบบนั้นยิ่งยึด etiquette ยิ่งสวนทางกับ "Rei"
............................................................
จากคู่มือคิวโดของ All Nippon Kyudo Federation ยังเขียนไว้ด้วยว่า
การรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีที่สุดคือการยอมให้มันเปลี่ยนอยู่เสมอ
มันจะคงอยู่ได้นานและมีแต่สิ่งดีๆ เพิ่มเสริมยิ่งขึ้นไป
คิวโดสอนไว้ว่า เราจะสืบทอดคิวโดะให้ลูกหลานได้ เราจะทำให้คิวโดเป็นที่นิยมได้
ก็โดยการยอมรับว่า....ถึงแม้ธรรมเนียมปฏิบัติของเราจะมีที่มามาอย่างยาวนานในอดีต
เราจะหยุดให้มันเหมือนเดิมตลอดไปไม่ได้
สิ่งสำคัญที่ต้องมีเสมอคือ "spirit of examination and advance"
With inner growth (Rei แบบลึกซึ้ง),
the outer structure (Rei แบบกฎระเบียบธรรมเนียมปฏิบัติ) will also gain meaning.
การพัฒนาภายในใจคู่ไปด้วย
ถึงจะทำให้ท่าทางการปฏิบัติตนภายนอกตามธรรมเนียมประเพณีนั้นมีความหมาย"
-- #มิตรสหายท่านหนึ่ง
""หลี่" (พิธีกรรม) นี่มันเป็นคำสอนหลักอันนึงของขงจื่อ สามารถอธิบายได้แบบง่ายๆ ว่า เวลาคนมาอยู่ด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มันก็เกิดการจัดวางความสัมพันธ์ของกันและกัน ไอ้นี่แหละคือ "หลี่" ซึ่งพวกขงจื่อมองว่าการไม่รู้จักหลี่ หรือพิธีกรรม ก็จะทำให้คนจัดวางความสัมพันธ์กันผิดพลาดไปหมด ทำให้สูญเสียความ harmony พอเป็นระดับสังคมกษัตริย์จัดวางความสัมพันธ์กับราษฎรไม่ถูกต้อง สังคมก็ปั่นป่วน ขงจื่อเลยบอกว่า ให้เราหวนกลับไปหา "หลี่" ที่ถูกต้องในยุคบรรพกาล สังคมสมัยนี้ (สมัยที่แกมีชีวิตอยู่) ขาด "หลี่" สังคมเลยปั่นป่วน
ตัวอย่าง : ในพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพกษัตริย์ ขุนนางทั่วทั้งแคว้นมาชุมนุมกันที่ลานของหอพระเทพบิดร อยู่ดีๆ ก็มีขุนนางสองคน อ้างว่าบรรพกษัตริย์เคยสั่งว่า ห้ามเซ่นไหว้บรรพชนด้วยการบูชายัญ เพียงแต่ให้หมอบคำนับสามครั้งเป็นพอ ก็เลยลุกจากพิธีกรรมไป หมอบคำนับสามครั้งที่หน้าแถวขุนนาง แล้วเดินทางกลับบ้าน การทำเช่นนี้ย่อมทำให้สังคมขุนนางสูญเสีย harmony เพราะขุนนางสองคนนี้ละเมิด "หลี่" หรือในทางกลับกัน พวกขุนนางส่วนใหญ่ละเมิดหลี่ สุดท้ายท่านอ๋องก็เลยต้องตัดหัวขุนนางสองคนนั้นมาเซ่นไหว้บรรพชนเพื่อดับความเคืองแค้นของขุนนางคนอื่น และเพื่อเป็นแบบอย่างในการสร้าง "หลี่" หรือแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง แต่จริงๆ ท่านอ๋องก็อาจจะละเมิดหลี่เพราะทำลายแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างบรรพชนและลูกหลาน
สรุปคือมันเพ้อเจ้อน่ะไอ้ของพวกนี้ คนคิดมันอยู่สมัยที่คนนึกจะฆ่าใครก็ฆ่า ก็เลยหาวิธีให้สังคมมันปรองดอง ถามจริงว่าแล้วใครคือคนคุมจริงๆ ก็คนมีอำนาจไง ขนาดขงจื่อเป็นนายกไม่กี่วันสั่งประหารนายกคนเก่าเลย แถมยัดข้อหาบ้าๆ บอๆ ด้วย อย่าไปยึดติดพวกนี้มาก พูดจาเอาเท่ได้ แต่ความคิดมันเชยแล้ว สมาทานความคิดเหมาเจ๋อตงดีกว่า
ฮา"
-- #มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
แผนของเนติวิทย์สำเร็จเกินคาดว่ะ ทำตัวเองเป็นจดสนใจ ผลที่ได้คือทุกคนสนใจมัน เกิดการดีเบท วิพากย์วิจารย์กัน มีการตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิด
"ครั้งสุดท้ายกับประเด็นเนติวิทย์
เรารู้ว่าความสุดโต่งมันสร้างความอึดอัดเสมอ เราเข้าใจว่าส่วนหนึ่งไม่พอใจอย่างมากในความสุดโต่งและแสดงออกผิดกาละเทศะ แต่เราก็ขออนุญาตแสดงความเห็นแบบไนซ์ๆ ว่า จุฬาลงกรณ์คือมหาวิทยาลัยหรือเปล่า ถ้าเราไม่สุดโต่งกันที่มหาวิทยาลัย แล้วเราจะมีโอกาสสุดโต่งกันที่ไหนได้อีก หรือจุฬาฯ จะสถาปนาตัวเองใหม่เป็นวัดหรือศาสนสถาน อันนั้นเราจะทำความเข้าใจใหม่เอง
เราสร้างกิจกรรมแบบอนุรักษ์นิยมสุดโต่งอย่างห้องเชียร์หรือการว้ากน้องในมหาวิทยาลัยได้ เรามีการสร้างความบันเทิงแบบสุดโต่งด้วยการเต้นสันทนาการอย่างบ้าคลั่งแบบไม่ต้องแคร์ว่าใครจะว่าเราบ้าหรือรบกวนคนอื่นๆ ได้ เราทำกันอย่างสุดโต่งก็เพื่อจะเรียนรู้และทำความคิดตัวเองให้เติบโตไปเรื่อยๆ ไม่ใช่หรือ เราทำในสิ่งที่รู้ตัวว่าพอเรียนจบไปเราจะไม่มีทางทำแบบนี้ได้อีกแล้ว เราจึงคิดว่านี่คือคำตอบที่ว่าถ้าน้องไม่เห็นด้วยแล้วไปทำร่วมพิธีแล้วทำแบบนี้ทำไม สำหรับเราคือมันดีกว่าไม่ทำอะไรและปล่อยให้เวลาในมหาลัยผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองน่ะ บางทีเนติวิทย์ก็อาจจะแค่พยายามใช้สี่ปีให้คุ้มในแบบฉบับของเขาก็ได้ ใครจะไปรู้อนาคตว่าพอมันเรียนจบไปต้องทำมาหากินมันอาจจะต้องรับใช้ทุนนิยมเพื่อหาแดกแล้วก็ได้
สุดท้ายมันก็คือวิถีของคนหนุ่มคนสาวหรือเปล่า และจุฬาฯ มันก็คือมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่ของคนหนุ่มสาวไม่ใช่เหรอ เราเลยรู้สึกว่ากาละเทศะมันถูกละลายลงบ้างก็ดีแล้ว มันจะได้มีมิติทางการเรียนรู้ให้มากขึ้นด้วย แค่นั้นแหละ"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
เนติวิทย์ นี่มันใครฟะ?
เนติวิทย์มันออกแนวเรียกร้องความสนใจแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะกลยุทธ์ของมันคือทำให้คนออกมาด่าแล้วเกิดการโต้แย้งระหว่างคนที่เห็นด้วยกับมันและคนที่เกลียดมัน
ซึ่งกูว่าดีกว่าลิเบอรัลบางคนที่อยู่แต่ใน safe space echo chamber ของตัวเอง และ block ban ทุกคนที่ไม่เห็นด้วย
"ถึงอุดมการณ์จะต่างกันแต่เราก็อยู่ร่วมกันได้ครับ นี่แหละครับ ความสวยงามของประธิปไตย"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
""คุณก็มีการกราบของคุณ ผมก็มีหัวใจของผม" -ยัยตัวร้ายกะยอดนายปฎิวัติ-"
มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"เงี่ยนก็บอกว่าเงี่ยนอย่าอ้างอุดมการณ์อะครับ"
มิตรสหายท่านที่สาม
"หรือว่าเนติวิทย์คือจิตรฯกับชาติมาเกิดวะ"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าว่ากันที่ใบหน้าคล้าย สศจ มากนะครับ"
มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ตอนมาเกิดอาจจะอวตารแบ่งเป็น2ร่างก็ได้
ด้านสว่างคือ สศจ ด้านมืดคือ เนฯ อะไรแบบเน้"
มิตรสหายท่านแรก
"ขอเกรินนิดหนึ่งว่ Product ที่สตาร์ทอัพเราทำคือ Software ขายให้กับองค์กร โดย software นี้สามารถใช้แทนของซื้อจากเมืองนอกราคาหลักแสนหลักล้านได้ กว่าเราจะพัฒนาเสร็จและเริ่มขายได้ใช้เวลาก็สามปี หนี้ก็ไต่ไป 60 ล้าน ขาดทุนltl,ก็สักประมาณเกือบ 40 ล้าน ซึ่งสำหรับคนเพิ่งจบแล้วริอาจมาทำสตาร์ทอัพมันเปHนเงินที่เยอะมาก ทุกวันนี้บางทีก็ยังฝันร้ายว่ากลับไปกอดหนี้กองนั้นอีกครั้ง แล้วมันก็ถ่วงเราจมทะเลไป
ผมคิดอยู่หลายตลบ ว่าเรารอดมาถึงวันนี้ได้เพราะอะไร
บางท่านที่อาจไม่ได้ทำธุรกิจ อ่านแล้วอาจจะตกใจว่าทำไมเราสร้างหนี้ สร้างขาดทุนเก่งขนาดนี้ ขอบอกเลยว่าเลขประมาณนี้ปกติในวงการสตาร์ทอัพครับ ยิ่งถ้าเป็นสายที่ต้องโหมโฆษณากันเต็มทีวีเนี่ย อย่าได้ไปเปิดดูรายงานบัญชีเลย ลบพันล้านก็ยังมี
พอลบเยอะๆก็เจ๊ง 90% ของสตาร์ทอัพจึงจะจบลงที่เจ๊ง มีรอดแบบพอไปได้สัก 9% ผ่านตัวกรองไปจนถึงขั้นสุดท้ายเป็นบริษัทเปลี่ยนโลกได้สัก 1% อัตราล้มเหลวสูงมากคือความจริงที่เขาไม่ค่อยบอกกันสักเท่าไหร่หรอกเพราะเดี๋ยวจะเสียวาทกรรมไทยแลนด์ 4.0 แถมคนเริ่มอยากจะมาลงทุนสตาร์ทอัพกันมากขึ้น สถิติ 90% นี้เป็นของเมืองนอกนะ ผมกลัวว่าเมืองไทยจะสูงกว่านี้ด้วยซ้ำเพราะดูข่าวสตาร์ทอัพมาสองสามปี เดี๋ยวนี้เจ้าที่ดังๆสมัยเราเริ่มทำ หรือที่เปรี้ยงปร้างสมัยสักสามปีก่อนดับแสงไปก็เยอะ "
>>557 Startup มันใช้เงิน Seed กับเงิน VC สร้างตลาดอยู่แล้วในช่วงแรก break even ถ้า 2 ปีคืออย่างเร็วมาก
Cash flow positive ส่วนมากใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี บางบริษัทไม่ cash flow positive เลยจนโดนซื้อบริษัทเลยก็มี
เพราะส่วนหนึ่งให้ความสำคัญกับมูลค่าของบริษัท (Valuation) มากกว่ากำไรขาดทุนชัดเจน
ตัวอย่างจากเอกสารที่หลุดมาของ Uber คือ ขาดทุนอยู่ 415 ล้านเหรียญ
การทำงานกับหนี้เป็นแนวคิดตะวันตก ในขณะที่จีนจะเกลียดหนี้ และพยามดำเนินธุรกิจให้หนี้น่อยที่สุด เราจึงเห็นคนจีนที่เก็บเงินสิบปีซื้อบ้านด้วยเงินก้อนเดียวมากกว่าผ่อน
จากประสบการณ์ตรง กูชอบแบบจีนมากกว่า เจ้าสัวในไทยก็สืบทอพแนวติดนี้มาแทบทุกคน หลังปี 40 แบ็งค์ชาติก็หันมาใช้แนวคิดนี้จนทุนสำรองไทยเยอะเป็นลำดับต้นๆ ของโลก
"เมืองไทยเรานี้แสนดีนักหนา... เพื่อนบ้านในซอยกำลังไปปลูกป่าบนยอดดอย หลังจากอาทิตย์ที่แล้วโค่นต้นไม้ในซอยทิ้งเพราะ "รก" เพื่อนสมัยเรียนกำลังขับรถไป 700 กิโลเพื่อเอาของไปบริจาคให้นักเรียนยากจน ทั้ง ๆ ที่เคยแจ้งจับเด็กในสลัมใกล้บ้านเพราะกลัวจะมาขโมยของ ส่วนอาจารย์ที่รู้จักกำลังบินลงใต้เพื่อสอนหนังสือให้เด็กด้อยโอกาส แต่ลูกศิษย์แกเคยแอบมานินทาให้ผมฟังว่าทั้งเทอมแกมาสอนแค่ 2 ครั้งนอกนั้นให้เด็กอ่านหนังสือเอง... ทำดีทำได้ แต่ทำหน้าที่ตัวเองให้เต็มที่ก่อนนะครับ..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"....เธอลองดูดีๆสิว่าเพศที่สามมันสมควรเกิดมาเพื่อให้สังคมเราพัฒนามากขึ้นมั้ย เมื่อเกิดมาแล้วสังคมไม่ได้ดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าขัดแย้งกับค่านิยมทางเพศของสังคม และหลักคำสอนทางศาสนาหลักๆในบ้านเมืองเรา ทำให้เกิดความขัดแย้ง และมีการฆ่ากันเกิดขึ้น ไม่ใช่คนกลุ่มนี้หรอกเหรอ ที่ควรจะถูกกีดกัน เพื่อไม่ให้เด็กรุ่นหลังเอาอย่างเพราะแค่อยากรู้อยากเห็น และควรอบรมมิให้เกิดความเบี่ยงเบนขึ้นมา ต่างบ้านต่างแดนคือตัวอย่างที่ดีที่ควรจะรับรู้ไว้เป็นบทเรียนว่าการยอมรับเพศที่สามมันเป็นอย่างไรและส่งผลอะไรบ้างกับบ้านเมืองเค้า เมื่อเรารู้ผลกระทบที่ตามมาแบบนี้แล้วยังสมควรที่จะเปิดรับเพศทีไร้สมรรถนะในการสืบทอดเผ่าพันธุ์กลุ่มนี้อีกหรือ? ทำไมไม่ลองคิดมั่งว่าที่กระทรวงพยายามไม่ให้นักศึกษาหรือนิสิตแต่งกายข้ามเพศกันเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะเพื่อเป็นการปลูกฝังให้สังคมเกิดความเรียบร้อยหรอกรึ?......"____ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
>>563
"ค. ลัทธิลักเพศนิยม (Homosexuality)
คือการเสพย์เมถุนระหว่างชายกับชาย และหญิงกับหญิงซึ่งเป็นเพศเดียวกัน ลัทธิเสพย์เมถุนระหว่างหญิงกับหญิงนั้นยังมีชื่ออีกอย่างว่า "เลสเบียนิสม์ " (Lesbianism) "ลักเพศนิยม" ถือว่าเสรีภาพของบุคคลที่จะกระทำการใดตามความพอใจในการเสพย์สุขนั้นมีค่าสูงสุด บุคคลจึงต้องหาความสุขสำราญให้เต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงศีลธรรมอันดีของปวงชน เพราะการเสพย์เมถุนระหว่างคนเพศเดียวกัน ลัทธินี้ถือเอาความเสพย์สุขทางเมถุนเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชาติพันธ์ของมนุษยชาติ โดยไม่คำนึงถึงว่ามนุษยชาติมีเพศชายและเพศหญิง ซึ่งได้แพร่พันธุ์สืบต่อ ๆ มา ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ มิฉะนั้นมนุษยชาติก็สูญสิ้นชาติพันธุ์ไปพ้นจากโลกนี้ช้านานมาแล้ว ผู้ประพฤติลักเพศและเผยแพร่ลักเพศในชาติใด ผู้นั้นก็ทำลายชาติพันธุ์แห่งชาติของตนเอง อันเป็นอาชญากรรมอย่างมหันต์"
- มิตรสหายปรีดี
>>559 กูว่ามันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ธุรกิจบางอย่างมันต้องมี volume ก่อนถึงจะสร้างกำไรได้จริงๆ โดยเฉพาะกลุ่มด้านบริการที่ใช้เทคโนโลยี
สาย manufacturer ถ้าเริ่มจาก 0 มันยังพอใช้แนวคิดแบบจีนได้จริง แต่ลองคิดว่าถ้า Uber พยายามไม่ขาดทุน ทุกวันนี้น่าจะยังไม่ออกจาก US
ว่าแต่มันมีกระทู้ธุรกิจไหมวะเนี่ย อยากคุยจัง
"คนญี่ปุ่นไม่ได้มี 'วินัย' ในความหมายที่ว่า ยอมทำตามกฎที่ผู้มีอำนาจสั่งเหมือนๆกันทุกคน แบบคำว่า วินัย ในภาษาไทย แต่เค้ามีคุณสมบัติแบบนี้แหละครับ ทำให้คนไทยเข้าใจว่า เค้ามี วินัย
อันนี้เป็นความเข้าใจผิดเนื่องจากการเอา คำไทยๆ คอนเซปท์แบบไทยๆ ไปอธิบายความคิดและพฤติกรรมคนในสังคมอื่น ซึ่งมันมีรายละเอียดต่างกัน ยิ่งอธิบาย มีโอกาสมากที่เราจะหลงทาง เข้าใจผิดไปไกล
เวลาเราต้องการจะเรียนรู้ว่าทำไมคนต่างวัฒนธรรมเขาคิดแบบนี้ เราต้องรู้ว่า คำศัพท์ อะไรในภาษาของเขา ที่เขาใช้อธิบายกระบวนการคิดของเขาในเรื่องนั้น แล้ว อิมพอร์ทคำนั้น(ทับศัพท์)เข้ามาทำความเข้าใจในภาษาไทย ซึ่งทำให้คนไทยเข้าใจว่า นี่เป็นแนวคิดจากข้างนอก
เผื่อว่าคำนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อการเผยแพร่ความคิด การแคมเปญและการทำความเข้าใจ ซึ่งจำเป็นต้องหาเรฟเฟอเรนซ์ว่ามันหมายความว่าไงแน่ คนไทยจะได้หาได้ เพื่อไม่ให้สูญเสียไปกับแคมเปญผิดทิศผิดทาง และคนที่นิยามมั่วๆจะได้ถูกคนอื่นติงเอาได้ว่า ในภาษาที่เราอยากจะเข้าใจเขาเนี่ย เขาไม่ได้หมายความแบบนั้น และแนวโน้มที่คนไทยจะทำความเข้าในแนวคิดนั้นได้ในระยะยาวจะสูงขึ้น
ไอ้ปรากฎการณ์แบบ "คนญี่ปุ่นมีวินัยๆ คนต่างชาติมีวินัยๆ เรามาแคมเปญสร้างวินัยให้คนไทยกันเถอะ" แล้วก็เฟลแล้วเฟลอีก นี่มันอยู่บนความเข้าใจที่ผิดไง เราจะทำบนพื้นฐานความเข้าใจผิดต่อไปถ้าไม่พยามทำความเข้าใจแนวคิดของเขาด้วยการรับเอา คำ ซึ่งก็คือ ไอเดีย ของเขาเข้ามาทำทำความเข้าใจ เข้าใจแล้วจะดัดแปลงก็ได้ แต่ต้องเข้าใจต้นฉบับก่อน ไม่ใช่มั่วๆกันเหมือนทุกวันนี้
สูญเสียกันมาเท่าไหร่แล้วกับการไม่ยอม #ทับศัพท์
สูญเสียกันไปเท่าไหร่แล้วกับการจับผิดคนที่ใช้คำศัพท์ออริจินัลทับศัพท์แล้วถูกแซะถูกด่าว่าดัดจริตผิดวินัย
จนสุดท้ายก็เข้าใจผิดไปหมด เพราะไม่มีเรฟเฟอเรนซ์ที่ถูกต้อง"
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าดูหนัง documentary สายอาหารมาก่อนหน้านี้ ไม่ต้องเยอะ แค่สองสามเรื่อง
ที่ถ่ายมานี่ก็ไม่ต่างจากหนังอาหารที่ออก ๆ มาก่อนหน้านี้ ทั้งมุมมองและการตัดต่อ
แต่อันนี้มีอารมณ์ภาพโฆษณาแบบจงใจ๊จงใจมากกว่า ความรีลยังไม่เท่า
แม้ว่าการแสดงของอาหนิงอาต่ายจะไม่ต้องสงสัย
แต่คาแรกเตอร์ตัวอื่นแค่ออกมานิดเดียวนี่ก็ยังดูฝืน ๆ
แลนี่คือจุดด้อยของหนังไทยหลาย ๆ เรื่องจริง ๆ นะ
รสชาติแบบไทย เป็นยังไงอะ สูตรแต่ละวังแต่ละตระกูลยังตีกันอยู่เลย
แล้วตกลงผัดกะเพราใส่แครอทนี่มันไทยมั้ย เราจะนับว่ามันไม่ไทยจริงเหรอ
ในเมื่อมันมีทุกหัวมุมถนน
แล้วทองหยิบทองหยอดอะ ทำไมเราให้มารีกีมาร์เป็นออริจินัล
ถ้าคนโปรตุเกสมาเห็นแล้วชี้บอกว่าเลียนแบบ ไม่ออริจิ เราจะยอมรับกันไหม
จุดเริ่มต้นของการยอมรับว่านี่คือ ออริจิ ของอาหารแต่ละอย่าง ที่ต้องสืบสาน คือตรงไหน หรือแค่สืบสาวว่านี่ทำในเมืองไทยก็ต้องทำตามแบบนี้สืบไป ห้ามเปลี่ยนแปลง ก็เท่านั้น
คนรักราเมงเคยออกมาบอกไหมว่าอันไหนคือรสชาติญี่ปุ่นที่แท้จริง คนญี่ปุ่นเคยออกมาประท้วงไหมว่าราเมงมาจากจีนควรจะทำเป็นลาเมี่ยน แล้วลาเมี่ยนของจีนมณฑลไหนอีกอะที่ออริจิ บ้านไหนของมณฑลนั้นที่ว่าออริจิที่สุด?
แล้วเอสเพรสโซ่เย็นล่ะ?
สุดท้าย ศิลปะมันจะเป็นศิลปะได้ยังไงถ้ามันคือการต้องเดินตามของเก่าที่มีคนทำเอาไว้แล้วอย่างนอกกรอบไม่ได้
ป.ล. แต่ตัวหนังก็ยังพอมีความน่าสนใจอยู่ หวังว่าสุดท้ายจะไม่ได้เป็นหนังปลุกความรักชาติอะไรงี้ ตอนนี้ดูแค่เทรลเลอร์แค่รู้สึกไม่ออริจิ (ห้ะ?)
ป.ล. คิดว่าอะไรทำลายอาหารไทยมากกว่ากัน ระหว่างการกินอาหารไทยของคนไทยด้วยกันเอง กับต่างชาติที่อยากทำอาหารไทย"
#มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวถึงหนังเรื่องพริกแกง
อย่างน้อยขอแค่ร้านอาหารไทยในต่างประเทศมีรสชาติแบบไทยก็ยังดี กูแดกต้มยำกุ้งแบบหวานคำเดียวก็จะอ้วกแล้ว บางร้านเอาเจ๊กซัวเถามาทำด้วยซ้ำ
สูตรอาหารมันควรประยุกต์ปรับได้เรื่อยๆนะ ก็เหมือนภาษาตัวอักษร แต่ละชาติ
เรียก ม่าม้า มามหะ มัม มารดา มาเดอร์ มุทเทอร์ มามอง ฯลฯ มีใครตู่บ้างว่า แม่ กูเป็นออริจิ้น
แต่ทำผัดกะเพราะ ไม่ใส่ใบกะเพรา ใส่แต่ถั่วฝัก,แครอท มึงอย่าเรียกกะเพราเหอะ เรียกผัดถัวฝัก ผัดแครอทเหลือง อะไรไปเลยดีกว่า
ยุ่นเรียกราเมนว่าอาหารจีนนะเออ มีเเต่ไกจินที่เรียกราเมนว่าอาหารญี่ปุ่น 55555
>>569
โอเค กูไปดูตัวอย่างหนังเรื่อง พริงแกง
เป็นที่น่าตลกที่คนไทยดูหนังแบบฉาบฉวยแล้ววิจารณ์ราวกับกูดูจบแล้ว
ในหนังจะมีการนำเสนอคนตัวละคร 2 ฝั่งคือ คนรุ่นเก่า และ เด็กรุ่นใหม่
ในหนังก็แบ่งชัดเจนว่าเด็กรุ่นใหม่มีแนวคิดต่างๆ มีทั้งอยากเด่นอยากเก่ง ทำอาหารผสมสานตะวันตก อันนี้จะเหมือนฝั่งตัวเอก
คนรุ่นเก่า ก็ยึดติดเรื่องเดิมๆ รักษาไว้ไม่อยากให้หายไป ให้ความรู้สึกว่าเป็นฝั่งตัวร้าย ที่พวกตัวเอกต้องทำให้ยอมรับให้ได้
พร้อมคำตบท้ายฝั่งตัวร้ายตอนจบตัวอย่าง เรื่องอาหารไทยต้องคนไทยทำ
แค่นี้แหละพวกกระแดะแอนตี้ชาติตัวเองแล้วเท่ห์มาด่าหนังรัวๆ ว่ายัดเยียดความเป็นไทย
กูขำพวกที่ว่า มึงดูหนังตัวอย่างไม่แตกแต่ด่าเหมือนรู้บทสรุปหนังแล้วซะงั้น
#สหายโม่งท่านหนึ่ง
*พริกแกง
หนังยังไม่ฉายก็วิจารณ์ได้เป็นตุเป็นตะ ติดเชื้อหลวงจีนเหรอวะ
ใช้คำชื่อ 'เชฟ' ...
จัดครัวแบบเชฟ ... จัดเรียงอาหารแบบเชฟ ... พยายามฟิวชั่นแบบเชฟ
แต่ประกาศก้องด้วยความภูมิใจ(ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นว่า)....นี่คือไทย
ความเป็นไทย - สันดานไทยๆ ... ไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้ได้อีก
นี่คือภาพบนต์ที่สะท้อนความเป็นไทยได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่ง
ดาราชายแสดงได้ยอดเยี่ยม พูดจาได้สูงศักดิ์เหมือนท่านชายปนัดดาเลย
ฝ่ายหญิงก็ดูเป็นแม่ศรีเรือน รักนวลสงวนตัวสมกับหญิงไทยยิ่งนัก
อาจารเชฟก็ใส่ใจเด็กเชฟเต็มที่ จนลืมใส่หมวกทั้งที่ผมยาวหนวดเครารุงรัง
เป็นเมืองนอกร้านอาจโดนสั่งปิด แต่สูตรต้องไม่ผิดแม้พริกเพียงเม็ดเดียว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หลานไปอยู่สวีเดนตั้งแต่เด็ก หัวไม่ดีเท่าไหร่ จบมาก็ไปเรียนช่างไม้ก่อสร้าง เรียนปีกว่าๆ มั้งถ้าผมจำไม่ผิด แล้วก็ไปสอบใบอนุญาตทำงานเป็นช่างไม้
จากนั้นก็ได้ทำงาน... ไม่กี่ปีมันซื้อรถเก๋งขับไปทำงาน ซื้อบ้านเล็กๆ ได้
ทีนี้มาดูอาชีวะไทย จบมานี่มันแรงงานทาสเลยนะ เงินเดือนต่างจังหวัดได้ไม่ถึงหมื่น กทม.ก็หมื่นนิดๆ ซึ่งบางคนห่างจากปริญญาตรีแค่สองปี แต่เงินเดือนห่างกันเป็นโยชน์
พ่อแม่เด็กสมัยนี้ รวมทั้งผม 5555 ยังไงก็เข็นจบปริญญาตรีก่อน แล้วค่อยว่าอีกที ทั้งๆ ที่อาชีวะนี่มันก็หางานทำงานได้แล้วในบางอาชีพ
จะว่าไปเรื่องการศึกษาระดับอาชีวะนี่ผมว่าเมืองไทยแม่งห่วยที่สุด ทุกคนมองเห็นว่าเป็นเด็กชั้นสอง โง่ถึงไปเรียนอาชีวะ ยิ่งมีข่าวเด็กตีกัน สังคมส่วนใหญ่เลยมองการศึกษาอาชีวะเป็นห่วยไปเลย
ตราบใดที่เมืองไทยพัฒนาแบบนี้ ไม่เคยสนใจเรื่องเทคนิเชียน เอาคนปริญญาตรีมาทำเทคนิเชียน เอาปริญญาโทมาทำงานปริญญาตรี อาชีวะถีบหัวมันส่ง คนลงทุนเรียนสูงทำงานไม่ตรงกับลงทุนการศึกษามา คงจะเจริญยากแน่นอน
เปลืองทรัพยากรเกือบทุกอย่าง แต่มาได้เงินเดือนหมื่นนิดๆ นายทุนขูดแรงงานเอาซะหมด สถาบันการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องไม่เคยสนใจ
....................ก็ถูลู่ถูกังกันไปแบบนี้แหละ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>580 ปัญหาคือ ทำไมมึงมีเยาวชนที่ตีกันหรือเล่นกันถึงตายแบบในข่าวจริงว้อย ถามใจคนมีลูกดูว่าอยากส่งลูกตัวเองลงไปเสี่ยงกับแบบนี้ไหม รัฐบาลยังแก้ไม่ตกเรื่องเด็กตีกันเลยปัญหาเรื้อรังชิบหาย ทำให้ภาพลักษณ์อาชีวะตกต่ำมาก
ถ้ามึงเรียนวิชาที่ส่งมึงไปเป็นแรงงานอุตสาหกรรมอ่ะมึงจะโดนกดค่าแรง แต่อาชีพอิสระ,รับเหมามึงจะเรียกค่าแรงหน้างานได้
"การเมืองในโลกจริงแสบสันต์ไม่แพ้การเมืองในนิยาย
ไฮไลท์สำคัญของ Republican Convention วันที่สาม นอกจากจะเป็นการเปิดตัวผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ไมค์ เพนซ์ ผู้ว่าการรัฐอินเดียน่า อย่างเป็นทางการแล้ว คือการขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์ในเวลาไพรม์ไทม์ของ เท็ด ครู๊ซ วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัส คู่แข่งคนสำคัญที่สุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ในศึกชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันปีนี้
ครู๊ซกับทรัมป์ขับเคี่ยวกันอย่างเอาเป็นเอาตายในศึกการเลือกตั้งขั้นต้น ทั้งคู่โจมตีกันในระดับผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ทรัมป์ตั้งฉายาให้ครู๊ซว่า Lying Ted หรือเท็ดจอมหลอกลวงและใช้เรียกผ่านสื่อจนติดตราเป็นแบรนด์ประจำตัวของครู๊ซไป (เหมือนที่ทรัมป์เรียกฮิลลารี คลินตันว่า Crooked Hillary และมาร์โก รูบิโอ คู่แข่งในพรรคตัวเองว่า Little Marco จนคนหลังเบรกแตก โกรธเป็นฟืนเป็นไฟมาแล้ว) มิหนำซ้ำในช่วงท้ายการแข่งขัน ทรัมป์เล่นแรงถึงขนาดกล่าวหาว่าพ่อของครู๊ซมีส่วนในการลอบสังหารประธานาธิบดี JFK ด้วยซ้ำไป!
ครั้นเมื่อทรัมป์ชนะศึก ก็พยายามเข้าหาอดีตคู่แข่งให้ประกาศสนับสนุนตัวเอง หลังจากในพรรคแตกแยกกันอย่างหนักในช่วงการเลือกตั้งขั้นต้น (ก็แน่ละ เพราะพี่ทรัมป์แกด่าคนทั้งในพรรคนอกพรรคทั่วและมั่วไปหมด) บางคนก็กลั้นใจยอมทำตามเพื่อสร้างเอกภาพให้พรรค แต่บางคนก็เก็บความแค้นไว้แบบไม่ให้อภัย เช่น เจ็บ บุช อดีตเต็งหนึ่งที่แพ้ขาดลอย บุชประกาศไม่ยอมสนับสนุนทรัมป์และไม่ยอมเข้าร่วม Convention ในปีนี้
ส่วนเท็ด ครู๊ซ คู่อริคนสำคัญนั้น เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทรัมป์ขอเข้าพบครู๊ซที่แคปิตอล ฮิลล์ เพื่อเชิญให้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวที Convention ด้วยหวังจะทอดไมตรีให้ครู๊ซกล่าวสนับสนุนตัวเอง และกระชับฐานเสียงของรีพับลิกันให้เป็นหนึ่งเดียว
นักการเมืองมี code of conduct ของเขา หลายครั้งเราเห็นพวกเขาต่อสู้ทางการเมืองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็กลับมาจับมือและสวมกอดกัน
ครู๊ซตอบตกลง และได้รับการจัดสรรเวลาไพรม์ไทม์ สมาชิกพรรคผู้มองโลกในแง่ดีจำนวนหนึ่งก็ยินดีที่ครู๊ซใจกว้าง ให้อภัย และเห็นแก่พรรคโดยยินยอมร่วมสมานรอยร้าว ต่างจากแกนนำพรรคหลายคนที่ไม่ยอมเข้าร่วม Convention เพราะต้องการรักษาระยะห่างจากทรัมป์เพื่อรักษาอนาคตทางการเมืองของตัวเอง ผู้สนับสนุนทรัมป์ต่างดีใจในสัญญาณบวกเพราะหวังจะได้รับคะแนนจากฐานเสียงอนุรักษนิยมของครู๊ซ
แล้ววันที่หลายคนเฝ้าจับตามองก็มาถึง ... วันที่ครู๊ซจะประกาศสนับสนุนทรัมป์บนเวที Republican Convention
ใช่ ... นักการเมืองมี code of conduct ของเขา หลายครั้งเราเห็นพวกเขาต่อสู้ทางการเมืองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และสุดท้ายก็รอวันล้างแค้นเอาคืนให้สาสม
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>584 )
ครู๊ซขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงไพรม์ไทม์วันที่สามของ Convention ตลอดทั้งสุนทรพจน์ ครู๊ซไม่ยอมประกาศสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ บนเวทีแม้แต่น้อย ไม่มีเนื้อความตอนไหนเลยที่เขาบอกให้คนออกไปเลือกทรัมป์ เขากล่าวแค่ว่าให้ทุกคนออกไป "ลงคะแนนตามสามัญสำนึก"
เนื้อความในสุนทรพจน์ทั้งหมด มีพูดชื่อทรัมป์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ในตอนเริ่มต้นที่ครู๊ซแสดงความยินดีที่ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรค จากนั้นครู๊ซก็ไฮแจ็คเวที Convention ของทรัมป์กล่าวโจมตีคลินตันและพรรคเดโมแครต ทำทีราวกับเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเสียเอง
กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ในพรรคต่างโห่ร้องกันสนั่นหวั่นไหวด้วยความไม่พอใจ เสียงตะโกนด่า "คนทรยศ" "เลือกทรัมป์" "พูดออกมาเดี๋ยวนี้!" ดังลั่นห้องประชุม แต่ครู๊ซก็ไม่ใส่ใจ ปราศรัยต่ออย่างยาวนาน 23 นาที ทั้งที่ตอนแรกสุดผู้จัดตั้งใจจะให้เวลาแค่ 12 นาทีเท่านั้น ครู๊ซอ้างว่าใช้เวลานานเกินคาดเพราะต้องหยุดเป็นระยะจากเสียงโห่ ช่วงท้ายของสุนทรพจน์ ทรัมป์ออกมาปรากฏตัวในห้องประชุม นั่งหน้านิ่ง และไม่ยอมตบมือให้ครู๊ซเลย
ผลเฉพาะหน้าที่ตามมาคือ ครู๊ซไปเบียดบังเวลาขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ของไมค์ เพนซ์ จนเลยไพรม์ไทม์ที่วางไว้ แต่ที่เจ็บแสบกว่าคือครู๊ซชิงพื้นที่ข่าวมาได้เบ็ดเสร็จ แทบทุกสื่อให้ความสนใจการประกาศสงครามของครู๊ซกับทรัมป์มากกว่าการเปิดตัวเพนซ์ ผู้ควรจะเป็นพระเอกประจำวัน แต่กลับโดนขโมยซีน
ครู๊ซกล่าวภายหลังว่า เขายอมขึ้นพูดก็เพราะทรัมป์มาขอเอง และตอนขอก็ไม่ได้ขอร้องให้เขาประกาศสนับสนุนสักหน่อย ครู๊ซบอกต่อว่า ใครจะไปสนับสนุนคนที่ด่าพ่อด่าเมียเขาได้ และเขาไม่ใช่ลูกหมาที่คอยเอาใจใคร
สำหรับครู๊ซแล้ว เวที Republican Convention ครั้งนี้คือเวทีชำระแค้นทรัมป์อย่างเจ็บแสบ และเป็นเสมือนเวทีประกาศตัวลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2020 โดยมีทรัมป์เป็นผู้จ่ายราคา
สำหรับพรรครีพับลิกัน ศึกครู๊ซ V ทรัมป์ ที่ยังไม่ยุตินี้ ยิ่งสะท้อนความเปราะบางและตอกย้ำความแตกแยกในพรรคระดับยับเยิน ยากจะเยียวยา ชะตากรรมของพรรคที่ตกอยู่ในมือของนักการเมืองขวาสุดขอบอย่างครู๊ซกับนักการเมืองประหลาดที่จัดประเภทมิได้อย่างทรัมป์ จะโทษใครอื่นมิได้ นอกจากตัวรีพับลิกันเองที่เลือกยุทธศาสตร์ "หันขวา" และสร้าง "การเมืองแห่งความเกลียดชัง" ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
และสำหรับคนที่โหวตโนให้พรรครีพับลิกัน ไม่มียุคสมัยไหนจะเป็นสุขใจเท่ายุคที่ได้นั่งดูคนอย่างทรัมป์และครู๊ซแย่งกันเป็นประธานาธิบดี โดยที่เหล่านักการเมืองผู้ครองอำนาจนำและสมาชิกพรรครีพับลิกันพันธุ์แท้ได้แต่มองตาค้าง และหัวใจสลาย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าเป็นพวกข้าราชการจะไม่สนับสนุนนโยบายประกันสุขภาพอย่างโครงการ 30 บาท นี่พอเข้าใจได้นะ เพราะพวกนี้ทั้งชีวิตก็เบิกเงินรัฐบาลมาจ่าย ไม่เคยต้องดิ้นรนหาเงินมารักษาตัวเองอยู่แล้ว พวกนี้ก็ไม่เคยรู้สึกถึงความยากลำบากในการหาเงินมารักษาความป่วยไข้หรอก
แต่บรรดาพวกมนุษย์เงินเดือน คนทั่วไปที่ไปสนับสนุนการยกเลิกโครงการประกันสุขภาพนี่มันคิดยังไงวะ โครงการนี้มันตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยพวกมึงนั่นแหละไม่ให้ต้องล้มละลายถ้าเกิดป่วยเป็นโรคที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษาขึ้นมา
หรือพวกแม่งคิดแค่ว่าตัวเองซื้อประกันอยู่แล้วยังไงก็ไม่เดือดร้อน? ลองป่วยเป็นโรคที่ประกันไม่ครอบคลุมขึ้นมาอาจจะเข้าใจขึ้นบ้างก็ได้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เมื่อวาน
มีเหตุให้ต้องเดินทางจากสยาม ไปท่าพระจันทร์ในตอนสี่โมง ซึ่งแน่นอนว่ารถติดชิบหายวายป่วงแน่ๆ ก็นั่งคิดวางแผนการเดินทาง ทีนี้ มีชอยส์มาให้เลือก 3 ตัวคือ
1. นั่งรถเมล์สาย 15 มาลงแถวๆ คอกวัวแล้วนั่งมอไซค์ต่อหรือเดินต่ออีกหน่อย
2. แท็กซี่
3. นั่งเรือคลองแสนแสบจากสะพานหัวช้างไปขึ้นท่าสะพานผ่านฟ้าแล้วต่อรถเมล์หรือมอไซค์
ไอ้สองตัวแรกนี่ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะแม่งกินเวลาอย่างต่ำก็ชั่วโมงครึ่ง ดังนั้นตัวสุดท้ายก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ตอนวางแผนเดินทางนี่ พยายามนึกถึงว่า จะเดินทางอย่างไรให้ใช้เวลาน้อยที่สุดและถูกที่สุด ตัวเลือกสุดท้ายก็เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ดีมากๆ
ปัญหาคือ ในกรุงเทพฯ ถ้าคุณวางแผนการเดินทางโดยตั้งโจทย์ว่า ปลอดภัยที่สุด คุณต้องจ่ายราคาแพงแถมต้องเสียเวลามากบนท้องถนน เช่น แท็กซี่ แต่ถ้าคุณอยากได้การเดินทางราคาถูก เช่น รถเมล์ คุณต้องเจอกับการจราจรที่เฮงซวยติดอันดับโลก ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน
แต่ถ้าหากคุณต้องการประหยัดทั้งค่าเดินทางและเวลา คุณจะไม่ได้รับความปลอดภัยเลย เช่น เรือคลองแสนแสบ และ มอไซค์รับจ้าง ส่วนเรือด่วนเจ้าพระยานั้น อาจจะปลอดภัยขึ้นมาบ้าง แต่ไหนล่ะส่วนการเดินทางที่เชื่อมต่อ ถ้าไม่ใช่มอไซค์ รถเมล์เหรอ กลับไปดูย่อหน้าด้านบนสิ
โครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมในกรุงเทพฯ นี่ควรจะระยำติดอันดับโลกและจักรวาลครับ ไม่ว่าคุณจะวางแผนอย่างไร มันมีข้อแลกเปลี่ยนเหี้ยๆ ทั้งนั้น
อย่างเมื่อวาน ตัดสินใจนั่งเรือคลองแสนแสบแล้วต่อมอไซค์ไปท่าพระจันทร์ เรือคลองแสนแสบนี่คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ ไหนจะการขับเรือ ไหนจะตัวเรือ ไหนจะคุณภาพน้ำที่กระเซ็นเป็นฝอยฟองเข้าหน้าทุกๆ สองเมตรที่เรือเคลื่อนไป อีกทั้งมอไซค์รับจ้าง ที่รายได้ของพวกเขาขึ้นอยู่กับการทำรอบในการส่งผู้โดยสารแต่ละครั้ง ดังนั้น สัญญาณไฟจราจรไม่ว่าสีเหี้ยอะไรแม่งไปหมด ผ่าหมด เว้นแต่ว่าไฟแดงในบางสี่แยกที่รถแม่งเยอะจริงๆ มันจะไม่กล้าผ่า แต่ส่วนใหญ่วิธีการแก้ปัญหาคือการขึ้นไปวิ่งบนทางเท้าแหละครับ
คุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ นี่แม่งต่ำตมชิบหายนะครับ ทั้งๆ ที่เป็นเมืองเทพสร้าง ผู้คนพร้อมจะเสียชีวิตระหว่างการเดินทางได้ตลอดเวลา ไม่มีใครดูและเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละครับ แม้สถิติอาชญากรรมในกรุงเทพจะน้อยกว่าที่อื่นๆ ในโลก แต่คนกรุงเทพก็มีความพร้อมที่จะตายในเรื่องโง่ๆ พวกนี้มากกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกเช่นเดียวกันครับ
ทุกวันนี้นั่งมอไซค์ไปทำงานตอนเช้า ไม่เคยติดไฟแดงเลย เพราะแม่งผ่าชิบหายหมด นวัตกรรมการแก้ปัญหาติดไฟแดงของมอไซค์รับจ้างตอนเช้าๆ คือ ถ้ามาไม่ทันไปเขียว ไฟเหลือง พี่เขาก็ขี่ผ่าแยกไปเพื่อรอไฟเขียวอีกด้านหนึ่งของแยกนั้นๆ
ชีวิตแม่งมีราคาไม่เกินหกสิบบาทครับ ในแต่ละวัน
ครั้นว่ามีรถส่วนตัว มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่ยังเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับตนเองอีกด้วย ไหนจะค่าผ่อนรถ ที่จอดรถ ภาษี ประกัน และยังต้องเจอกับการจราจร (อยู่บนถนนรวมๆ กันมากกว่าเวลาทำงาน)
เราอยู่ในเมืองหลวงของประเทศนี้แหละครับ ด้วยมรณานุสติตลอดเวลา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในฐานะคนทำเพจอยู่ในวงการอาหาร รีวิวร้านอะไรบ้างก็เคยมี อยากฝากถึงนักรีวิว หรือบล๊อกเกอร์อะไรก็แล้วแต่
หลายร้านที่คุณรีวิว อาจมีจังหวะของร้านที่แตกต่างกันไป
บางร้านเป็นร้านเล็กๆพนักงานน้อย เน้นรับลูกค้าเท่าที่รับไหว
บางร้านเป็นร้านที่ไม่จดออเดอร์ ลืมออเดอร์ประจำแต่เดินไปทวงได้
บางร้านไม่อยากรับลูกค้าเยอะๆ ทำแค่พออยู่ได้
บางร้านเป็นร้านเหล้า ที่ขายกับแกล้ม แต่ไม่ใช่ร้านอาหาร
บางร้านไม่มีแอร์ ฯลฯ
คุณจะรีวิวร้านเขา ถ้าเป็นไปได้ก็ขอเจ้าของร้านก่อนก็เป็นมารยาทอันดีครับ
และการรีวิวนั้นก็ควรบอกข้อจำกัดของร้านนั้นไว้ด้วย
หรือถ้ารู้ว่าร้านนั้นไม่อยากปรับปรุงอะไร ทำไม่ไหว ถ้าปรับปรุงเขาอาจเหนื่อยจนปิดร้านไปเลย
เก็บร้านนั้นไว้ในใจก็ได้ครับ
ลูกค้าบางคนไม่ได้เข้าใจจังหวะของร้านทุกคน
หลายร้านที่เจ๊งเพราะทุกขลาภนั้น
หลายร้านที่มาตรฐานตก เพราะรับมือไม่ไหว
ลูกค้าเข้าจนร้านแตกไม่ใช่เรื่องสนุก น่าภูมิใจ หรือเรื่องขำ
ลูกค้ารอจนกลับบ้านไม่ได้กิน ไม่ใช่ความภูมิใจของคนขาย
ด้วยความเคารพ
ผมไม่อยากเห็นร้านที่ผมชอบในจังหวะของเขา
ชอบอาหารและร้านของเขา
แต่ต้องปิดตัวลงด้วยทุกขลาภเพราะกระแสเพียงชั่วครู่นั้นอีกแล้ว
ช่วยๆกันรับผิดชอบกันด้วยนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แปลกใจเหมือนกัน พอคนอายุราวๆนั้นเกิดไปเข้าลัทธิอะไร ทำไมอยู่ดีๆก็ปลงไม่หาแฟน...
ไอ้ไม่หาแฟนไม่แปลกหรอก แต่กลายเป็นหาเซกส์ไม่หยุดไม่หย่อน พอเจอคนจริงจังก็ไม่เอาจะเอาแต่เซกส์อย่างเดียว....
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พราะเจ็บมาเยอะค่ะ กว่าจะอายุ 30 - 40 เกย์ไทยหลายๆคนต้องผ่านการเลิกกับแฟน หรือโดนแฟนทิ้งมาไม่ต่ำกว่า 2 - 10 คน จนหมดหวังกับรักแท้ เลยไม่อยากมีแฟนแล้ว อยากเสียวอย่างเดียวแทน (แอดมินก็เป็นหนึ่งในนั้น)
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ใส่หน้ากากซะ ไม่ใช่ใส่เพื่อปกปิดตัวนาย แต่ปกป้องคนที่นายรัก"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>587 กูเคยเรียนมหาลัยชื่อดังแถวนั้น ต้องลองเดินทางหลายแบบมาก กูก็เคยคิดเหมือนมึงว่าเรือไม่ติดน่าจะเร็วหน่อยแต่กลายเป็นช้าสุดเพราะรอเรือนาน (รถเมลว่านานละ เรือเหี้ยกว่า) ไปลงก็btsตากสิน ละกูอยู่สายสุขุมวิท นั่งกลับมาอีก สุดท้ายกูเลือกรถเมล์ ยอมทนรถติดไปสยาม เพราะนั่งแท็กซี่เสียแพงกว่ามากก็ไปติดแหงกบนถนนเช่นกัน ช่วงเย็นๆแม่งลัดเข้าซอกรูหลืบไหนก็ไม่พ้นรถๆๆๆๆ
"สรุปว่า ไลเค็น ประกอบจากสิ่งมีชีวิต 3 ชนิดเลยนะฮะ รื้อตำราเรียนใหม่ฮะ
Toby Spribille: “One thing that sets lichen apart from all other symbioses is that all the components are microbes. ... But when they come together, they form something self-replicating and beautiful that you can hold in your hand. For me, that’s something to draw inspiration from.”"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Michael Moore ผู้กำกับสารคดีชาวอเมริกันชื่อดัง ออกมาแสดงความเห็นว่าทำไม Donald Trump ตัวแทนจากพรรคริกันและนักการเมืองผู้จัดประเภทไม่ได้ผู้นี้จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาในเดือน พย ที่จะถึง Moore ให้เหตุผล 5 ข้อ
1. เป็นเรื่องคณิตศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา มีบางรัฐที่เป็นฐานเสียงของรีพับลิกันอยู่แล้ว ซึ่งรัฐพวกนี้ไม่เลือก Hillary แน่นอน ดังนั้นขอแค่ Trump ชนะใน 4 มลรัฐที่เดิมเคยเป็นของเดโมแครต (มิชิแกน เพนซิลวาเนีย วิสคอนซิน และโอไฮโอ) ก็จะได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว และ 4 รัฐนี้ก็มีแนวโน้มจะเลือกทรัมป์ ดูจากช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่รัฐพวกนี้เลือก governer จากรีพับลิกัน และจากความไม่พอใจนโยบายเศรษฐกิจที่ Hillary สนับสนุนที่ทำให้คนใน 4 รัฐนี้ตกงานจำนวนมาก
2. ชายผิวขาวในอเมริการู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจและบทบาทในสังคมน้อยลง คงเป็นการยากที่คนกลุ่มนี้จะเลือกประธานาธิบดีหญิง จึงอาจเทคะแนนให้ทรัมป์ซึ่งเป็นชายผิวขาวเหมือนกัน (ประมาณว่าสำหรับคนกลุ่มนี้กุมีประธานาธิบดีผิวดำมา 8 ปีก็แย่พอแล้ว)
3. ส่วนตัว Hillary เองก็ไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย แถมคนอเมริกันจำนวนมากยังมองว่า Hillary นั้นไม่จริงใจและขี้โกหก และคนรุ่นใหม่ไม่ชอบ Hillary คงมีจำนวนไม่น้อยที่เลือกจะอยู่บ้าน แทนที่จะลงแรงไปต่อแถวเพื่อโหวตให้ Hillary
4. ส่วนคนที่เคยสนับสนุนลุง Sanders ก็คงไม่ค่อยอยากไปลงคะแนนให้ Hillary เหมือนกัน
5. คนจำนวนมากจะโหวตให้ Trump ไม่ใช่เพราะชอบ Trump แต่เพราะอยากตบหน้าระบบการเมืองป่วยๆและห่วยๆ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และวิธีที่ดีที่สุดก็คือเลือก Trump เป็นประธานาธิบดีและ enjoy real-life reality show ไปอีก 4 ปี..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>594 "ทั้งพวกเลือกทรัมป์กับโนโหวตเนี่ย ถ้าสังคมล้มเหลวหรือตกที่นั่งลำบากขึ้นมาอย่ามาโวยวายเหมือนอังกฤษตอน Brexit นะครับ เห็นแล้วมันให้รำคาญนัก ตัวเองเลือกทางเดินเองแท้ๆยังจะมากระจองอแง
คิดจะตบหน้าระบบห่วยๆอะ ไม่ดูซะก่อนว่าวิธีตบหน้ามันจะบูมเมอแรงย้อนมาฟาดต้นคอตัวเอง"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
Brexit พวกที่ร้องงอเเงมันพวกวัยรุ่นที่ตอนเขาโหวตกันไม่ได้สนใจไปลงชื่อ พอเเพ้เเล้วก็ออกมาโวยวาย กับพวกที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับBrexitเลย เคยมีคนไปสัมพาษย์พวกประท้วงBrexitเเล้วถามว่าBrexitจะมีผลยังไง ตอบไม่ได้
สมกับเป็นลิเบอร่านยุคใหม่ 5555
"The police were slow to respond because the person who rang only said "some guy broke in and is chopping the vegetables"."
"ตอนนี้กระแสเทกลับไปตามล่าไอ้จักรเพชร พวงมาลา (มนุษย์กล้องที่แชร์รูปคนรองเท้าเป็นรูแล้วมโนว่าติดกล้อง)
คือแน่ล่ะ มนุษย์กล้องเนี่ยเหี้ยแน่ๆ แถมแม่งไม่รับผิดชอบอะไร
แต่มึงอย่าลืมไป ไอ้ "ชาวเน็ต" ที่รุมแชร์เพราะเชื่ออะไรโง่ๆนี่แหละผู้ร้ายตัวเหี้ยเลย ถ้าอยู่กับอินเตอร์เน็ตกันมาจนพอจะเข้าใจวัฒนธรรมชาวเน็ตบ้าง จะรู้เลยครับว่าทั้งไอ้คนที่เคยแชร์ไปก่อนหน้าโน้น และไอ้คนที่กำลังล่าตัวต้นเรื่องตอนนี้ จริงๆมันคือมนุษย์ไฟลั่มเดียวกัน พวกมึงนี่แหละ ตัวเหี้ยเลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"(ว่าด้วยระบบประกันสุขภาพในอิ้งหลั่นที่ใกล้จะโดนยกเลิกอยู่รอมร่อ)
ช่วงที่ผ่านมาได้ใช้บริการจาก NHS (national health service) คุ้มมั่ก หนุกบั้งไม่หนุกบั้ง แต่ข้อดีคือ ได้ทำความรู้จักระบบประกันฯ ของที่อังกฤษอย่างละเอียดชนิดที่คนอังกฤษเองหลายคนอาจไม่เคยได้สัมผัส (ตูต้องอวดมั้ย ของแบบนี้) พอกลับมาก็ได้ใช้บริการ รพ.ไทยอีกเล็กน้อยด้วยความมึนงง เลยคิดว่าเอามาเล่าไว้ก็ดี เผื่อใครตามประเด็นเรื่องประกันสุขภาพอยู่
- ในรุ่นของเรา NHS ยังเป็นสิ่งที่ฟรีสำหรับนักเรียนทุกคนอยู่ (เข้าใจว่าตอนนี้เปลี่ยนแล้ว หรือกำลังจะเปลี่ยน) แปลว่าไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มสำหรับการจะได้รับบริการสุขภาพ สิ่งที่ต้องทำคือไปลงทะเบียนกับ GP (general practice) ใกล้บ้าน ซึ่งหน้าตาก็แตกต่างกันไป แต่คิดว่าน่าจะทำหน้าที่เหมือนกับอนามัย คือมีหมอทั่วไปอยู่ประจำ และให้การรักษาเบื้องต้นได้ สั่งจ่ายยาได้ ค่าหมอ ค่าอุปกรณ์ ฟรีทั้งหมด
- GP นี่จะให้บริการเชิงรุกทั่วๆ ไปด้วย เช่น ฉีดวัคซีน แจกยาคุม ตรวจภายใน ไอ้พวกนี้ ก็ฟรีเหมือนกัน
- ทั้งนี้ ถ้าหากว่าเราต้องใช้ยาที่ต้องมี "ใบสั่ง" หมอจะออก prescription มาให้เราเอาไปซื้อที่ร้านขายยา (เช่น Boots) โดยเป็นราคาเหมาจ่าย (คุ้นๆ ว่าราว 8 ปอนด์) ยาจะถูกจะแพงก็จ่ายเท่านี้ ดังนั้น ถ้าเป็นยาที่ซื้อเองได้ หมอจะไม่ออกใบสั่งให้ จะแค่บอกให้เราเดินไปซื้อเอา เพราะมักราคาถูกกว่า
- กรณีที่เรามีอาการที่ต้องการให้แพทย์เฉพาะทางมาดู หรือต้องใช้เครื่องมือที่ GP ไม่มี เช่น เครื่องอัลตราซาวด์, เอ็กซเรย์ หมอทั่วไปจะทำเรื่องส่งตัวเราไปให้ รพ หรือหน่วยงานอะไรก็ตามแต่ที่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ กระบวนการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ฟรีหมดเช่นกัน
- ความโหดของ nhs อยู่ที่การนัด โดยเฉพาะนัดครั้งแรกกะหมอทั่วไปนี่แหละ เพราะเนื่องจากเขายังไม่เจอเรา ไม่รู้ว่าเราอาการหนักหรือเบา จึงต้องรอคิวกันนานระดับที่ถ้าป่วยทั่วๆ ไปเช่นไข้หวัด คนมักจะหายก่อนได้หาหมอ แต่ถ้ามีอาการผิดปกติแบบอื่น ก็นอยด์กันไป 2-3 วีค หลังจากนั้นยังมีการรอนัดจากสถานที่ที่เราถูกส่งตัวไป ทั้ง รพ ทั้ง healthcare centre อื่นๆ ซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน แล้วแต่คาแรคเตอร์ของแต่ละที่ บางที่จะ text มาให้เราโทรไปนัดวันเวลา แล้วจึงส่ง จม ตามมา บางที่ระบุวันเวลามาเองเลย ถ้าเราไม่โอเค ต้องโทรไปเลื่อนเอา
- แต่ถ้าคุณป่วยขั้นวิกฤติจริงๆ มันก็พอมีทางเลือกอยู่ เช่น ถ้ามีอาการน่าเป็นห่วง อาจโทรไปขอ same day appointment นัดวันนั้น เจอหมอวันนั้น หรือถ้าพะงาบๆ ขี้แตก อ้วกแตก หน้ามืดไปแล้ว อันนี้โทรฉุกเฉินได้เลย รถพยาบาลจะมาในทันใด แต่ถ้าไม่เป็นอะไรมากจริงแล้วตามฉุกเฉิน จะโดนมองแรง และติด blacklist
- เรื่องการส่งตัวก็เหมือนกัน ถ้าเราดูไม่น่าเป็นห่วง อาการแบ่บทิ้งๆ ไว้มันก็ไม่น่าจะตาย ก็รอนานหน่อย แต่ถ้าดูมีความเสี่ยง เช่น อาจเป็นมะเร็ง กฎหมายกำหนดให้เราต้องได้รับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญ ภายใน 2 อาทิตย์
- ด้วยความที่ว่าต้องแย่งชิงกันขนาดนี้ คนที่ไม่ไปตามนัดโดยไม่แคนเซิล จะโดนปรับหนักมาก รู้สึกจะ 45 ปอนด์ สำหรับการเบี้ยวนัดหมอทั่วไป ส่วนถ้าไม่ไป รพ ตามที่เขาส่งตัว เมิงโดนตัดออกจากกองมรดก ต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่หมดตั้งแต่ 0 ช้ำมาก อาจเรียนจบก่อน
- หมอและพยาบาลเกือบทุกคนเท่าที่เจอ ใจดีมีโทเลอเริ่นส์อย่างยิ่ง เวิ่นเว้ออาการได้ งอแงได้ ซักไซ้ได้ ดูเป็นห่วงเป็นใยเห็นอกเห็นใจ และแม้จะกำหนดว่าแต่ละคนมีเวลาได้เจอหมอแค่ 10 นาทีต่อครั้ง แต่เอาเข้าจริงทุกนางก็ใช้เวลากับเราเท่าที่จะต้องใช้น่ะแหละ ไม่ได้ทำท่าเร่งรีบไล่เราไปไหน
โดยสรุปเราคิดว่า ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ nhs มันก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะในแง่ที่ว่ามันทำให้คนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้เท่ากันจริงๆ คนอาการหนัก เสี่ยงตาย ก็ได้ก่อนคนเบา ข้อเสียของมันก็คือ เนื่องจากระบบคัดกรองผู้ป่วยมันยังงงๆ ทำให้บางทีกว่าจะได้รู้ว่าใครมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน ก็อาจจะสายไปแล้ว (มันฉาวมากในเรื่องการตรวจพบผู้ป่วยโรคมะเร็งช้าเกินกาล)
อย่างไรก็ตาม ตอนแรกเราคิดว่าการหาหมอในไทย จะง่ายกว่า เร็วกว่า สะดวกกว่า แต่พอมาพยามนัดหมอจริงๆ แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ซับซ้อนน้อยไปกว่ากัน ความแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า เราเลือก รพ.เลือกหมอ เลือกวัน ได้ทั้งหมด ถ้ามีตังค์และมีเส้น (ซึ่งตูไม่มีทั้งสอง Y Y) และถึงแม้ว่าเราจะจ่ายตังค์ แต่หมอกับพยาบาลใน รพ.รัฐฯ ก็จะดูแลเราดีเสมือนไปขอยาเขาฟรี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ จ้าาา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เรียนท่านทะดะโมริ โอชิมะ ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงที่ได้หยิบจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาอ่าน ผมสามารถฆ่าคนพิการเป็นจำนวน 470 คนได้
ผมทราบดีว่าแนวคิดนี้ไม่ปกติ แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าอันเหน็ดเหนื่อยของบรรดาผู้อภิบาล และสายตาที่ดูไร้ชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในสถานดูแลแล้ว ผมไม่สามารถที่จะอยู่นิ่งเฉยได้จึงตัดสินใจลงมือปฏิบัติการเพื่อประโยชน์แก่ญี่ปุ่นและโลกในวันนี้
เหตุผลของผมคือ การทำเช่นนี้สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก และป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้
คนพิการนั้นไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่มีการใช้ชีวิตอยู่เหมือนกับสัตว์ มีคนพิการที่น่าสงสารอยู่จำนวนมากที่ต้องผูกติดอยู่กับรถเข็นไปตลอดชีวิต และบางคนก็โดนตัดขาดความเป็นสายสัมพันธ์จากผู้บริบาล
ผมเห็นว่าผู้พิการควรจะถูกทำการุณฆาตได้ด้วยความยินยอมของผู้อภิบาล เมื่อพวกเขาไม่สามารถทำงานบ้านหรือร่วมกิจกรรมทางสังคมได้ ผมยังไม่พบกับคำตอบสำหรับการดำเนินชีวิตของบรรดาผู้พิการต่างๆ คนพิการนั้นนำมาซึ่งแต่ความโชคร้ายเท่านั้น
ผมได้เรียนรู้จาก xxxx ที่เป็นผู้สร้างองค์กรฟรีเมสัน สงครามนั้นจะฆ่ามวลมนุษยชาติในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และจะคอยก่อให้เกิดความเคียดแค้นขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ทว่าการฆ่าคนพิการนั้นจะสามารถหยุดความเลวร้ายนี้ได้อย่างมากมาย ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ลุกขึ้นมาทำการปฏวัติ และตัดสินใจเด็ดขาดเพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติ โดยญี่ปุ่นควรจะเริ่มต้นเป็นก้าวแรก
ท่านทะดะโมริ โอชิมะ ที่ต้องรับผิดชอบต่อโลกนี้จะใช้อำนาจเพื่อช่วยให้โลกก้าวหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้หรือไม่ครับ ผมหวังว่าท่านจะส่งต่อข้อความนี้ไปยังนายกฯชินโซ อะเบะ
นี่คือคำตอบที่ผมได้ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะทำอะไรเพื่อมนุษยชาติได้
ท่านทะดะโมริ โอชิมะ ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แด่ประเทศญี่ปุ่นอันเป็นที่รักและมวลมนุษยชาติได้หรือไม่? ผมขอฝากเรื่องนี้ไว้กับท่าน
เนื้อหาแผนการณ์
ผมจะลงมือปฏิบัติการตอนกลางดึกซึ่งมีเจ้าหน้าที่น้อย เป้าหมายคือสถานดูแลคนพิการ 2 แห่ง (ยะมะยุริเอ็น และ xxxx) ที่มีผู้พิการอาศัยอยู่มาก
ผมจะมัดเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้เคลื่อนไหวและติดต่อกับบุคคลภายนอกได้ การลงมือจะรวดเร็ว และจะไม่ทำร้ายเจ้าหน้าที่โดยเด็ดขาด
หลังจากฆ่าผู้พิการ 260 คนในทั้งสองแห่งแล้ว ผมจะมอบตัว ในปฏิบัติการครั้งนี้ ผมมีข้อเรียกร้องบางประการคือ
หลังถูกจับกุม โทษจำคุกของผมต้องไม่เกิน 2 ปี และโปรดปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระจากนั้น โดยให้ตัดสินว่าไม่มีความผิดเนื่องจากสติไม่สมประกอบ
และผมขอใช้ชื่อใหม่ว่า ทากาชิ อิกุโระ ในข้อมูลและเอกสารทางราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน ใบขับขี่ และเอกสารในชีวิตประจำวัน
ให้ศัลยกรรมแปลงโฉมหน้าใหม่เพื่อกลับเข้าสู่สังคมปกติ และเงินช่วยเหลือจำนวน 500 ล้านเยน
ผมหวังว่าเงื่อนไขเหล่านี้จะเป็นไปตามข้อตกลง
หากท่านตัดสินใจได้เมื่อไร ผมพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ
โปรดพิจารณาอย่างถ้วนที่เพื่อประโยชน์แก่ญี่ปุ่นและสันติภาพของโลก
ผมหวังจากใจว่าจะได้หารือกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะ แม้จะทราบดีว่าท่านมีภาระยุ่งมากมาย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันคงจะอ้างว่าคนพิการ ไร้ประโยชน์เวลาเกิดสงคราม
"คุกเข่าอ้อนวอนต่อฟ้า ขอให้โดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี"
"สังคมไม่ระยำ ถ้าคนดำไม่ท้อแท้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตอนเด็ก ๆ คิดว่าอายุ 29 นี้ กุคงโตและแก่มาก มีบ้าน มีรถ ยืนยิ้มกินไวน์ริมระเบียงคอนโดหรูใจกลางกรุง ตัดมาที่ชีวิตจิงอายุ 29 กุยังยืนไหว้พระแก้ปีชงยุเลย โคตรพีค 5555
"ผมได้อ่านจดหมายของมือมีดแห่งซากามิฮาระ แล้วก็ดูสภาพมันตอนโดนจับ
ผมคิดว่าบอกได้เลยนะครับว่าแม่งคือมนุษย์ปกติ การกระทำมัน Rational มาก กระทำอย่างภูมิใจไม่รู้สึกผิดด้วย
มันคือคนมีเหตุผลที่มีความมั่นใจในการกระทำตัวเอง
ผมจะไม่ขออภิปรายว่ามันถูกหรือผิดนะครับ แต่อยากจะชี้ว่า "โครงสร้างและรูปแบบ" แรงจูงใจแม่งคนละเรื่องกับพวก ISIS แน่ๆ เพราะพวกนั้นมันต้องการให้คน "สั่งให้ไปฆ่า" แต่ไอ้หนุ่มมือมีดแห่งซากามิฮาระนี่มันตัดสินใจฆ่าอย่างมีเหตุผล และคิดอย่างเป็นระบบด้วยตัวมันเอง
คนจะเปลี่ยนโลกมันก็คือคนแบบนี้แหละครับ คือเหตุผลและแรงจูงใจผมว่าแม่งถูกหมดเลย แต่ทีมีปัญหาคือไอ้การ Execute สัส เอามีดไปไล่สับนี่มันไม่ใช่ Mercy Killing แน่ๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>ฆ่าอย่างมีเหตุผล และคิดอย่างเป็นระบบ...
>เหตุผลและแรงจูงใจผมว่าแม่งถูกหมดเลย...
เห่อหมอยสินะ
"ประเด็นคือ เรายอมให้มีใครสักคนมายึดอำนาจไป เพื่อมอบสิ่งดีๆให้กับเรารึเปล่า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พวกบัณฑิตที่จบไปจากม.เป็นชาติเเล้วเเต่ชอบโผล่มาเสือกตอนมีงานต่างๆนี่โคตรLoserเลยว่ะ มาถึงก็ไม่ได้ช่วยห่าอะไร มาเเดกเหล้ากับเบ่งใส่รุ่นน้อง อายุจะสามสิบเเล้วเเต่มากร่างกับเด็กๆเเบบนี้ไม่อายบ้างเหรอวะ loserสัสๆ"
"พิ่งคุยกับ มิตรสหายท่านหนึ่ง เลยตระหนักว่าที่เกาหลีใต้นี่มันไม่ใช่แค่ State-Led Economic Development แต่มันเป็น State-Led Cultural Development ด้วย คือแม่งเอาเงินไปลงกับศิลปวัฒนธรรมเยอะมากและแม่งลงหมดตั้งแต่พวกสมัยนิยมเพื่อขายยันพวก "ดั้งเดิม"
ผมไม่แปลกใจที่คนในแวดวงศิลปะจะอิจฉาเกาหลีใต้ แต่สำหรับผม แบบนี้ทำให้ในทางเศรษฐกิจคิวเรเตอร์หัวก้าวหน้ากับ เจตนา นาควัชระ ก็ไม่ได้มีจุดยืนที่ต่างอะไรกันเท่าไรที่มองว่า "ปัญหา" ของแวดวงศิลปะคือการที่ไม่ได้รับการสนับสนุนที่ควรจากรัฐ
ป.ล. สำหรับผม ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เกาหลีใต้นี่เป็นเคสยกเว้นมาก รัฐแม่งมีพลังทางเศรษฐกิจระดับบัดซบถึงปัจจุบัน คือแม่งเป็น Centrally-Planned-Capitalist Economy ที่บูมรยำสัส ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย และไม่ได้เลียนแบบง่ายๆ แน่ๆ (ซึ่งในแง่นี้แม้ว่า "รูปแบบ" ศิลปวัฒนธรรมแม่งจะคล้ายญี่ปุ่น แต่แนวทางพัฒนาแม่งคนละเรื่องเลย ญี่ปุ่นเท่าที่ผมเข้าใจแม่งพัฒนาแต่ทางเศรษฐกิจจริงๆ ไอ้ความรุ่มรวยของศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยนี่ถือเป็น Side Effect ของการเพิ่มพลังการบริโภคของพลเมืองแล้วปล่อยให้ตลาดมันทำงานของมันเอง แน่ๆ ซึ่งแม่งคนละเรื่องกับการจงใจเอาเงินไปลงเพื่อเจตนาให้เกิดแบบเกาหลีใต้)
ป.ล. 2 อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือเกาหลีใต้แม่งเป็นประเทศที่ Image Conscious ระดับบ้าคลั่งมาก คือมันมีการจัดการเป็นระบบให้ "บุคคลที่ดูไม่งามตา" เช่นคนจนและคนแก่ แม่งออกไปจากท้องถนน สัส ในแง่นี้เกาหลีเหนือและใต้แม่งก็มีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่เข้าใจกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เมื่อคืนมีเรื่องบ้าๆ บอๆ เกิดขึ้นในทวิตเตอร์จนเอาไปทำหนังได้ คืออยู่ดีๆ ที่อังกฤษมีเทรนดิ้งทวีตอันดับ 1 คือ #savemarinajoyce เราก็งงว่ายัยนี่คือใคร ปรากฎว่ามีทฤษฎีสมคบคิด/mass hysteria ขึ้นมาว่าจะมีการก่อร้ายเกิดขึ้น เริ่มต้นจากว่าน้อง Marina Joyce นี่แกเป็นเนทไอดอลน่ะ แกชอบทำคลิปยูทูปแต่งตัวนั่นนี่ แต่ดันมีคนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่ายูทูปของน้องแกแปลกๆ น้องทำหน้าปรือๆ แขนน้องมีรอยโดนทำร้าย ในยูทูปน้องอาจจะพยายามส่งสัญญาณว่า help, น้องทำภาษามือสื่อสารขอความช่วยเหลือ, ในกระจกสะท้อน+ในแววตาน้องจะเห็นว่าน้องไม่ได้ทำคลิปคนเดียวแต่มีคนสั่งให้ทำ ถ่ายให้น้อง บังคับน้อง จนลือกันว่าต้องมีอะไรผิดปกติกับน้องแน่ๆ น้องอาจจะโดนจับแล้วเป็นแรงงานทาสของใครรึเปล่า ที่หนักไปกว่านั้นน้องจะจัดงานมีตแอนด์กรีตแฟนคลับ แต่จะจัดตอน 6 โมงเช้า คนเลยเอาไปโยงว่านี่คือการล่อคนไปเพื่อสังหารรึเปล่า คล้ายๆ กับในเยอรมันที่ล่อคนไปแมคโดนัลด์แล้วฆ่า ฯลฯ คนทำคลิปตั้งข้อสงสัยกันหลายคน วิเคราะห์คลิปน้องกันเป็นวินาทีๆ จนถึงขั้นโทรไปรายงานตำรวจ ทวีตหาตำรวจว่าอาจมีเหตุเลวร้ายเกิดขึ้นพรุ่งนี้ ฯลฯ สุดท้ายตำรวจไปหาน้องที่บ้านตอนตีสอง แล้วทวีตมาว่าไม่มีอะไรนะ น้องสบายดี คนก็ยังไม่เชื่อ บอกว่าทวิตเตอร์ของตำรวจไม่ใช่ทวิตเตอร์ official, หรือตำรวจไปหาผิดบ้านรึเปล่า
สุดท้ายเช้าวันนี้ อีน้องเลยต้องทำการ live streaming แล้วบอกว่าไม่มีอะไรค่ะ กูสบายดี พวกมึงเป็นอะไรกันคะ ทำไมพวกมึงต้องคิดทฤษฎีอะไรกับกูขนาดนั้นคะ แต่กูขอบคุณทุกคนค่ะที่เป็นห่วงกูและอยากจะช่วยชีวิตกู"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
Pricing Breakdown:
คุยกับพึ่ชาย & partner ที่ PSG มาหมาดๆ พี่คนนี้เพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศสและแอบบ่นให้ฟังว่า กระเป๋า Celine ที่เมืองไทยแพงมากกกก ซื้อที่ไทย 98,000 แต่ราคาที่ชอปที่ฝรั่งเศสแค่ 78,000 แถมยังหัก Tax ได้อีก 12%
เลยเล่า Price Structure ของวงการ Luxury Brand ให้ฟังว่า
คนหิ้วตามไอจี/เฟสบุ๊ค (ไอจีจะขายดีกว่า) เค้าก็จะขายที่ราคาชอปที่ประเทศผู้ผลิตนี่แหล่ะ คนซื้อก็ซื้อที่ราคา 78,000 ส่วนคนหิ้วเอากำไรจาก Tax Refund
Celine 98,000 Paragon
78,000 France
12% Tax Refund 9,360 = 68,000
แปลว่า กระเป๋า Celine หนึ่งใบ คนหิ้วทำไรจาก Tax refund ที่เงินเข้ากระเป๋า 9,360 บาท ต่อ 1 ใบ
แล้วถ้าใช้ Tudott หล่ะ?
เราเก็บ 7% ของราคาที่ชอป คือ = บวกเพิ่ม 5,460
คือ 78,000 + 5,460 = Sell Price 83,460
แปลว่า ถูกกว่า พารากอน 14,540
ประหยัดไปเป็นหมื่น ได้ของ On-Demand ตามที่อยาก ไม่รัก Tudott ได้ไง เนอะ!
We love #Tudott
#อะไรคือนั่งทำงานตอนตี4
"มีพี่ที่ทำงานบอกว่า ถ้าไม่อยากให้ไปรษณีย์ทำของเราเสียหาย นี่เป็นวิธีการลดการเกิดอุบัติเหตุที่จะเกิดกับของที่ส่งได้ คือ การให้ผู้ส่งจ่าหน้าซองใส่ยศนำหน้าชื่อเรา เช่น พันตำรวจตรี พันโท อะไรก็ว่าไป ของที่มาส่งจะเรียบร้อยเลยเชียว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องการไม่มีเครื่องกดบัตรคิว มันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายธนาคารด้วยครับ
ผู้บริหาร (ชื่อดังคนหนึ่ง) นำนโยบายลด cost เพิ่ม NP มาใช้ในธนาคาร, ลดสิ่งฟุ่มเฟือย, ลดอะไรที่ไม่จำเป็น
ผมได้ยินจากเพื่อนมาว่า แม้กระทั่งโปรแกรมพื้นฐานอย่างพวก ms office ธนาคารก็เลือกติดตั้งให้เฉพาะ "บางเครื่อง"
บางเครื่องก็ใช้ open office ซึ่งไม่มี cost ลิขสิทธิ์ software
การที่ธนาคารไม่มีระบบเครื่องกดบัตรคิว มันทำให้ธนาคารไม่ต้องซื้อเครื่องกดบัตรคิว, ไม่ต้องจัดหาเก้าอี้ให้ลูกค้านั่ง, ไม่ต้องคอยซ่อมบำรุง เปลี่ยนเก้าอี้, ไม่ต้องซื้อกระดาษ, ไม่ต้องจ้างคนมาเป็น greeter คอยแนะนำวิธีการกดบัตรเหมือนบางธนาคาร ทำให้ธนาคารสามารถลดค่าใช้จ่ายต่อสาขาไปได้เยอะ
หากจะพูดเปรียบเทียบจริงๆ ผมว่ามันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน...
ไม่มีระบบกดบัตรคิว, ไม่มีเก้าอี้ให้ลูกค้านั่งแบบไทยพานิชย์ - ทุกคนที่ไปทำธุรกรรมต้องไปยืนต่อคิวเท่าเทียมกัน ใครไปเช้า ไปเร็ว ก็ได้ทำธุรกรรมเร็ว
ข้อเสีย - สาขาที่คนเยอะก็ทำใจ ยิ่งถ้าเป็นคนที่ยืนไม่ทน ข้อเข่าเสื่อมก็แนะนำย้ายแบงก์ได้เลย
มีระบบกดบัตรคิว, เก้าอี้นั่งรอ - กดแล้วก็นั่งแช่ตากแอร์เย็นๆ เล่นมือถือชิวๆ นั่งรอไม่เมื่อย
ข้อเสีย - พนักงานก็ค่อยๆ ทำไปไม่กระตือรือร้น คนขายประกันก็ขายไป พูดอยู่นั่นแหละ พวกนั่งรอก็รอกันไป บางเคสเห็นนั่งแช่กันเป็นครึ่งชั่วโมง ... จีบกันเหรอวะ !!
ส่วนพวก "อภิสิทธิ์ชน" ลูกค้ารายใหญ่ของสาขา มีทุกแบงก์ ทุกสาขา ประเภทที่ว่ามาถึงแล้วไม่ต้องต่อคิว อันนี้ต้องทำใจ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปลาวาฬ ปลาหมึก
เป็นทราบกันดีว่านักวิทยาศาสตร์เสนอให้เรียก ปลาวาฬ ปลาหมึก ว่า วาฬ หมึก ไม่ให้ใช้คำว่า ปลา นำ เหตุผลก็คือ เพราะสัตว์ ๒ ชนิดนี้ ไม่ใช่ปลา. ในมโนทัศน์ของคนไทยทั่วไป และมโนทัศน์ของบรรพบุรุษไทย เรียกสัตว์ที่ว่ายอยู่ในน้ำเหล่านี้ว่าปลามานานกี่ร้อยปีแล้วไม่มีใครทราบ. แต่คนที่บอกให้เรียกว่า วาฬ เพิ่งจะเกิดมาไม่กี่ปีนี่เอง. คำเรียกชื่อสิ่งต่างๆ กับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องตรงกันหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องคิด เพราะการตั้งชื่อสิ่งต่าง ๆ ของชนกลุ่มหนึ่ง ๆ ย่อมเป็นไปตามมโนทัศน์ ตามความรู้สึก ความนึกคิด และการยอมรับของคนในกลุ่มนั้น. ถ้าจะกำหนดว่าเรียกปลาไม่ได้เพราะไม่ใช่ปลา ก็คงเรียก ขนมจีน ขนมกุยช่าย ขนมปัง ไม่ได้เพราะไม่ใช่ขนม. เรียกหูฉลามไม่ได้เพราะไม่ใช่หู เรียกไก่สามอย่างไม่ได้เพราะไม่ใช่ไก่ เรียกพริกกะเกลือไม่ได้เพราะไม่มีพริกสักเม็ด ยังมีสิ่งต่างๆอีกนับร้อยๆอย่างที่มีชื่อไม่ตรงกับความเป็นสิ่งนั้น.
จงเรียกว่า ปลาวาฬ ปลาหมึก ปลาดาว ต่อไปตามภาษาของคนไทยเถิด ชื่อที่เรียกรู้กันทั่วไปแล้ว คือ ชื่อที่ถูกต้อง ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ คำใดในภาษาก็ต้องให้เป็นไปตามธรรมชาติของภาษา หรือมีเหตุผลที่น่าฟังกว่านี้. "
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>623. ที่ต้องประหยัดเพราะไม่มีนโยบายดึงคนเข้ามาฝากเงินรึเปล่า? ถ้าสาขาคนน้อยๆอ่ะ ทำได้
แต่ถ้าสาขาที่มีคนพลุกพล่านแล้วมาทำระบบแบบนี้ก็รอไปเถอะนะว่าจะมีเงินไปแข่งกับธนาคารอื่นเค้ามั้ย. ยิ่งสมัยนี้ที่ต้องการความรวดเร็วแบบรถไฟหัวกระสุน คนที่เร่งรีบตลอดในแต่ละวันคงปิดบัญชีหนีกันรัวๆหว่ะ
ขนาดกดตู้เอาด่วนแบบ AEON กูยังรู้สึกถึงความช้าชิบหายตอนรอคิวเลยมึง
>>623 เรียก ms office ว่าโปรแกรมพื้นฐานเรอะ 555 เข้าใจว่ามิตรสหายท่านนี้เป็นระดับผู้บริหารรวยล้น โปรแกรมราคาเป็นหมื่นก็จ่ายได้ไม่ต้องคิด หรือไม่ก็แม่งไม่เคยซื้อ ใช้แผ่นพันทิพมาตลอด คือควรไปดูการใข้งานของพนักงานระดับล่างนะครับว่าเค้าใช้ทำอะไรกันบ้าง แล้วก็คิดนิดนึงซิว่าใช้แค่ฟังก์ชั่นเบๆสุดๆแบบนั้นควรแล้วหรือที่จะจ่ายเงินหมื่นซื้อมาใช้
พวกที่ชอบโพสต์รูปโพสต์คลิปโป๊ของตัวเองใน Twitter เช่น แก้ผ้า ชักว่าว โชว์การมีเซ็กส์ จากที่สังเกตุมา 500 คน พบว่ามีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ "ชีวิตมักจะมีแต่ศัตรู"
คือ แรกๆจะเหมือนมีเพื่อนเยอะ คนแห่มาเชียร์ แห่มายอ แห่มาชื่นชม แต่สักพัก ก็จะทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ ด้วยเหตุผลหลักๆคือ คนมาขอมีเซ็กส์ด้วย แล้วปฏิเสธเขา เลยทำให้เขาเกลียด จนกลายเป็นศัตรูกัน
สักพักก็จะทะเลาะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนต้องปิด Twitter ของตัวเองบ้าง หรือโดนคนอื่นแกล้งแจ้งให้โดนปิดบ้าง หายไปพักใหญ่ๆ แล้วก็เปิดอันใหม่ แล้วก็วนกลับมาเหมือนเดิม คือทะเลาะกับชาวบ้านอีก แล้วก็ปิดอีก
คือ ต้องยอมรับตัวเองว่า เมื่อเปิดตัวในโลกโซเชี่ยล ในฐานะของ "ดาวโป๊" แล้ว ก็ย่อมมีแต่คนหื่นๆ กามๆ ลามกๆ เข้ามาหาคุณจริงไหม? เขาก็ต้องคิดว่า "คนที่ชอบโชว์โป๊ น่าจะยอมมีเซ็กส์ง่าย" พอคุณปฏิเสธเขา เขาก็เลยรู้สึกเหมือนมาซื้อบริการจากโสเภณี แล้วโดนโสเภณีเชิ่ดใส่ "ชั้นไม่ขายให้คุณค่ะ ชั้นเลือกลูกค้า" เขาเลยรู้สึกเหมือนโดนตบหน้ากลางสี่แยก เลยยิ่งโกรธ และเกิดความคิดในหัวว่า "ในเมื่อกูไม่ได้ปี้มึง ก็อย่าหวังว่ามึงจะได้ปี้กับใครอีกเลย" เลยแกล้งรังควานจน Twitter ปิด
“กูเคยคบกับทอมคนหนึ่งมันชอบโชว์เก๋า ใช้คำพูดห้าวๆ แบบไม่สนใจใคร ทำอะไรเหมือนผู้ชาย วันนั้นมันชวนผมกินเหล้าที่บ้าน พอมันเมาหลับ ผมเลยจัดไปสองดอก เช้ามาเรียกผัวจ๋าซื้อข้าวให้เมียหน่อย ยุติความเป็นทอมตั้งแต่วันนั้น”
#มิตรสหายมิตรรักแฟนเพลงพี่เสกไฮโซท่านหนึ่ง
ขนาดชาวบ้านหน้าตาธรรมดาๆ รูปร่างธรรมดาๆ มาเจอกัน ยังเกิดอารมณ์ แอบเย็ดกัน สลับคู่ สวิงกิ้ง น้ำแตกแล้วแยกทาง กันเลย
แล้ว "ดารา" ซึ่งหน้าตาดีๆ รูปร่างดีๆ แต่ละคนรูปลักษณ์เย้ายวนทางเพศกันสุดๆ มาเจอกัน จะอดใจไหว ไม่เงี่ยน ไม่มีอารมณ์อยากเย็ดกันได้เหรอ?
(ที่ไม่เห็นดาราบางคนทำ ไม่ใช่เพราะไม่ได้ทำ แต่เพราะไม่เป็นข่าวต่างหาก)
เบื้องหลังความสำเร็จ
เด็กน้อยถามเศรษฐี “คุณอา ๆ ทำไมคุณอาถึงมีเงินเยอะจัง ?”
เศรษฐีลูบหัวเด็กน้อยแล้วพูดว่า “ตอนเด็ก พ่อของอาให้แอปเปิ้ลอามา 1 ลูก อาก็ขายไป ได้กำไรก็ซื้อเพิ่มเป็น 2 ลูก แล้วอาก็ขายอีกได้กำไร ซื้อเพิ่มเป็น 4 ลูก...”
เด็กน้อย คิด ๆ “อ้อ คุณอา ผมเข้าใจแล้ว”
เศรษฐี “หนูเข้าใจลิงอะไร ต่อมาพ่อของอาตายไป อาก็เลยรับมรดกจากพ่อทั้งหมด...”
นิทานตลกเรื่องนี้ (อาจจะไม่ตลก) บอกให้เรารู้ว่า อย่าไปหลงไหลกับชีวประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จ เพื่อที่จะได้ประสบการณ์จากในหนังสือพวกนี้ หนังสือพวกนี้ได้รับการแก้ไข ปรับแต่งให้ดูดี เรื่องสำคัญหลายเรื่อง เขาไม่บอกเรา เช่น หนังสือของบิลเกต ไม่ได้บอกเราว่า แม่ของเขาเป็นกรรมการในบริษัท ไอ บี เอ็ม เป็นเพราะแม่ของเขาที่เป็นคนหางานใหญ่งานแรกให้บิลเกต ถึงค่อยๆเติบโตจนเป็นเศรษฐีอันดับโลก
หนังสือของวาเรน บับเฟท บอกแค่ว่าเขาไปเยี่ยมชมตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กตอนอายุ 8 ขวบ แต่ไม่ได้บอกเราว่า คนที่พาไปคือสมาชิกสภาคองเกสซึ่งเป็นพ่อของเขา คนที่คอยต้อนรับอยู่คือกรรมการของบริษัทโกแมนแซค (ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ)
หมายความว่า เศรษฐีอันดับโลกพวกนี้ ก่อนมาเป็นอันดับโลก พวกเค้าก็เป็นเศรษฐีอยู่แล้ว
ปล. " คุณไม่ต้องมีเงินมากมาย แต่คุณก็สามารถมีชีวิตที่ “ร่ำรวย” ได้
คำว่า “รวย” สำหรับหลายๆ คนคือการมีเงินมากมาย มีบัญชีหลายสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน แต่การบอกว่าใช้ชีวิตแบบ “ร่ำรวย” อาจจะไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนั้นก็ได้ ลองคิดกลับว่าถ้าคุณไม่ได้รวยมาก การที่คุณสามารถกินอาหารดีๆ ในร้านอาหารกลางๆ แทนที่จะต้องกินอาหารข้างทาง คุณสามารถหาเสื้อผ้าดีๆใส่ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่แบรนด์เนมดัง แต่ก็ดีกว่าใส่เสื้อผ้าขาดๆ เปื่อยๆ มันก็ดีแค่ไหนแล้ว การตีความของคำว่า “ชีวิตร่ำรวย” ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณมีเงินเท่าไร แต่มันอยู่ที่คุณใช้เงินอย่างไร และคุณรู้สึกกับมันแค่ไหน แม้คุณจะไม่ได้มีเงินพันๆล้าน แต่คุณก็สามารถใช้ชีวิต “ร่ำรวย” ในแบบของคุณได้
รังเกียจโสเภณี แต่ยกย่องชายที่นอนกับโสเภณีเพราะฐานะดี มีอำนาจ
ด่าโสเภณีสำส่อน ด่าพวกเล่นหนังโป๊ซะไม่ใช่คน
จริงอยู่มันเป็นอาชีพที่คนไม่ยกย่อง
แต่ตัวคนด่าก็ไม่ใช่สาวพรหมจารี ผ่านชายมาหลายคนเช่นกัน
.
ช่างย้อนแย้งยิ่งนัก
จริยธรรมหลายมาตรฐานอันตอแหล
(ดัดแปลงจากโพสต์โสเภณีสมัยพระเยซู)
คือน่าคิดเนาะ หมายถึงทั่วโลกนะ
LikeShow more reactionsComment
"จะว่าไปเห็นคนแชร์ภาพรับน้องถอดเสื้อแล้วทำท่าหรือเล่นส่อไปในทาง sexual ผมพูดจากใจจริงที่ผ่านประสบการณ์ทหารสหรัฐฯได้เลยว่า "ระยำ" กว่าสองสามสัปดาห์แรกของระบบการฝึกทหารสหรัฐฯซะอีก
เหตุผลของผมก็คือ การyellแบบมหาวิทยาลัยไทยคล้ายกับที่ทหารสหรัฐฯฝึก และกองทัพสหรัฐฯ concern เรื่อง sexual harassment อย่างมาก
ช่วงสองสามสัปดาห์แรกครูฝึกจะว้าก จะตะโกน จะลงโทษในท่าออกกำลังกายต่างๆ แต่จะไม่แตะโดนตัว หากจะต้องแตะต้องตัวจะพูดว่า "การจับต้องเนื้อตัวนี้มีเจตนาเพื่อช่วยเรื่องฝึก" ซึ่งตอนนั้นอาจจะช่วยจัดท่าทางการยิงปืนหรืออะไรที่ "เกี่ยวกับการเรียนการฝึก" เท่านั้น
แม้แต่การเปลี่ยนเสื้อผ้าเองก็โดนบังคับให้เปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเท่านั้น
ดังนั้นคิดเอาเถิดว่า การรับน้องในไทยมมันแย่ยิ่งกว่าการฝึกทหารแค่ไหน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปัญหาของการเรียนการสอนด้าน "ศิลปะ" ในไทยในการศึกษาภาคบังคับนี่ เอาจริงๆ มันน่าจะเป็นเรื่อง "วิจารณ์ศิลปะ" นะ คือถ้าไม่สอนให้ "พูดถึง" สิ่งเหล่านี้ไปจนถึงความจำเป็นว่าเวลาบอกว่างานไหนมันดี มันงาม มันเป็น "เพราะอะไร" ผลก็คือทุกคนแม่งเลยบอกให้ "ต้องใช้ใจ" ห่าอะไรพวกนี้กันหมด ซึ่งนี่ไปกันได้ดีเหี้ยๆ กับรูปแบบวัฒนธรรมแบบไม่เน้นเหตุผลและคำอธิบายที่เป็นระบบแบบสังคมไทย
อันนี้แม่งทำให้ทั้งระบบมีปัญหา เพราะเวลาใครผลิตงานเหี้ยๆ มา แม่งบอก "ต้องใช้ใจดู" แม่งจบเลย สัส คนอวยแม่งก็อวยกันเข้าไปไม่จำเป็นต้องอธิบายเหี้ยอะไร คนวิจารณ์แม่งก็วิจารณ์ไปเถอะ แม่งไม่มีทางทะลุทะลวงแนวทาง "ไร้เหตุผลนิยม" ห่าอะไรพวกนี้เข้าไปได้
เอาง่ายๆ เลยครับ ผมยกตัวอย่างภาคการผลิตศิลปะวัฒนธรรมที่แม่งวิจารณ์กับแบบไม่ทำมาหาแดกอย่างอื่นกันแล้วแบบ "วงวิชาการ" เลย คือลองนึกภาพคนแม่งผลิตงานมา สานุศิษย์แม่งอวยกันแบบยังไม่ได้อ่านเลย คนนอกแม่งวิจารณ์เละเทะ เจ้าตัวแม่งโผล่มาบอก "ให้ใช้ใจอ่านดู" แม่งจะทุเรศสังคมขนาดไหน
คือไปๆ มาๆ สิ่งที่แม่งเป็นตัวชีวัดความ "บ้าเหตุผล" ของสังคมตะวันตกนี่แม่งก็คือการที่แม่งใช้เหตุผลในสิ่งที่สังคมไทยไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าแม่งจะใช้เหตุผลไปทำห่าอะไร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ส่วนใหญ่แล้ว startup มักจะมองภาพสวยเกินความเป็นจริงครับ แล้วผมเข้าใจว่า ส่วนใหญ่แล้ว โมเดลในการหารายได้ "ไม่ค่อยชัด" คือมักจะมีแต่จำนวน user ที่โตขึ้นๆ แต่ไม่ค่อยมีความชัดเจนว่าแล้วจะหารายได้จาก user เหล่านั้นอย่างไร เพราะส่วนใหญ่จะ offer เป็นบริการฟรีให้ เพื่อเพิ่มจำนวน user ก่อน ทีนี้พอจะคิดตังปุ๊บ ก็มีปัญหาล่ะสิครับ user ก็มักจะสลับไปใช้บริการเจ้าใหม่ที่หยิบยื่นบริการฟรีๆ ให้
เพราะฉะนั้นแล้ว จุดหมายปลายทาง startup คือการสะสม user ไว้มากๆ แล้วขายต่อให้กับบริษัทขนาดใหญ่ที่จะมา take over ต่อครับ รูปแบบนี้เราเห็นกันบ่อยจากดีลระดับโลกต่างๆ เช่น instagram ที่ขายกิจการให้ facebook ซึ่งตัว IG เองมีพนักงานอยู่นิดเดียวเองนะครับ สินทรัพย์ก็ไม่ได้มีอะไร แถมยังไม่รู้จะหารายได้จากมันยังไงด้วย นอกจากโฆษณา แต่ user ของ IG ทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ ใครจะกล้าไปดูถูกมันล่ะครับ ก็เลยขายได้เป็นหมื่นๆ ล้าน สบายไป
ถ้าดีลแบบนี้ใกล้ๆ เมืองไทยก็ lazada ไงครับ ที่ขายให้ alibaba หรือ zalora ที่ขายให้ central online ก็คือพยายามสะสมจำนวน user ให้มากๆ เข้าไว้ เพื่อหวังเตะตาผู้ประกอบการรายใหญ่ยื่นข้อเสนอมาซื้อไป ก็จะรวยเละในพริบตาครับ เท่าที่ผมเข้าใจเนี่ย lazada ก็ไม่ได้กำไรอะไรเท่าไหร่นะครับ หักกลบลบหนี้แล้วกระเดียดไปทางขาดทุนด้วยซ้ำมั๊งผมไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ใครจะซื้อของออนไลน์ก็นึกถึง lazada เจ้าแรก แล้วพี่แจ๊คแกจะไม่สนใจได้ยังไงล่ะครับจริงไหม
อีก startup นึง ที่ผมว่า เขาก็รอๆ ให้ใครมาเทคอยู่ ก็น่าจะเป็นเว็บ(แอพ) ที่ทำโมเดลของการซื้อขายของมือสอง ซึ่งตอนนี้เขาบอกว่า รูปแบบการหารายได้ของเขาจะมาจากการที่เจ้าของสินค้ายอมเสียเงินซื้อโฆษณาเพื่อรีเฟรช ad ตัวเองไปอยู่หน้าแรกๆ แต่ใครเคยจ่ายตังเพื่อบริการนี้ครับ? น่าจะมีแหละ แต่ค่อนข้างน้อยมาก พอจ่ายเงินเดือนพนักงานเป็นสิบๆ ชีวิต กับค่าเช่า server ค่าเช่า office ค่า internet ค่าโน่นค่านี้ไหมครับ ถ้าสายป่านยาวไม่พอ หรือยังสะสม user ได้ไม่เข้าตา อาจจะเป็นอย่าง ensogo นะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เอ่อ... ประโยคที่บอกว่า "เรากำหนดให้ผู้พัฒนาเกมได้..." ขอหลักฐานด้วยครับ
ตอนนี้แม้แต่ที่ญี่ปุ่นเองก็มีการร้องขอไปที่ Niantic แล้วว่าให้เอาโปเกมอนออกจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความอ่อนไหวจะได้ไหม เพราะคนเข้าไปเล่นเกมเต็มไปหมด ไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ (ที่อ่อนไหว) ของสถานที่เลย
แต่ Niantic ก็ยังไม่ฟันธงว่าจะเอาไงเรื่องจำกัดพื้นที่ที่จะให้โปเกมอนปรากฎตัว เพราะตอนนี้แค่ปัญหา Server ไม่พอ, Bug 3 ก้าว (ที่เพิ่งเอาออกจากเกมไป) และอื่นๆ ก็มากจนแก้ปัญหาได้ไม่ทันอยู่แล้ว
สิ่งที่คุณไม่รู้คือ แม้ PoGo จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้กำลังสูญเสียฐานคนเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเกมไม่สนุก แต่เพราะ Bug ที่เยอะมาก แอพใน Store ญี่ปุ่นโดนลดระดับเหลือ 1 ดาวครึ่ง พวกฝรั่งเองก็กำลังโมโหกันอยู่ คุณไปเช็คข้อมูลดูได้
อย่าเข้าใจผิด ผมเองก็รอเล่นเกมนี้ แถมโหลดมาเล่นตั้งแต่วันแรกก่อนที่ประเทศไทยจะเล่นไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่าตัวเกมมันมีปัญหา และการมโนว่า "เราสามารถกำหนดให้ผู้พัฒนาเกมได้..." นี่จะทำให้คนเข้าใจผิดกันเยอะเลย เพราะมันยังทำไม่ได้แบบนั้น
ป.ล. คนจะอวยเกมก็ควรจะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ...
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้าอยากจะ Convince คนที่มีเหตุผล หลักการพื้นฐานคือคุณต้องคิดตลอดว่า Burden of Proof แม่งเป็นของคุณ ไม่ใช่ของคนที่คุณจะ Convince
คือเวลาคนเชื่อว่าอะไรจริง คุณต้อง Falsify มันเพื่อให้เขาเลิกเชื่อ ไม่ใช่ไปบอกว่าเขาต้อง Verify มัน ซึ่งปกติแม่งไม่มีใครว่างมาเล่นกับคุณหรอก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"แปลง่ายๆ เวลาจะถกเถียงกับใคร หน้าที่การหาหลักฐานมาสนับสนุนความเชื่อของคุณนั้น เป็นของคุณ อย่าไปสักแต่พูดความเชื่อของตัวเองแล้วรอคนอื่นหาหลักฐานมาหักล้างความเชื่อของคุณ ถ้าทุกคนคิดงี้การถกเกียงมันจะมีคุณภาพมาก
ที่ทุกวันนี้พวกเราๆทำกันอยู่ ตามสภากาแฟ สภาพันทิพ สภาเฟซบุค (ส่วนใหญ่เท่าที่เห็น) มันคือตรงกันข้ามเลยครับ คือเอาความเชื่อของคุณมากองทิ้งไว้ ไม่เอาเหตุผลอะไรมาซัพพอร์ท รอคนเห็นต่างมาหักล้างอย่างเดียว แถมพอมาหักล้างให้ตามคำขอ ก็ไม่เอาเหตุผลมาสู้ตามกฏ แต่เสือกโจมตีสีเสื้อ ฝ่าย ตัวบุคคลของคนพูดอีก สังคมมันถึงเป็นยังงี้ไง
แปลให้แล้วครับ บวกความเชื่อตัวเองด้วย"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
Waterfall / Agile love
นี่คือเรื่องราวของสองหนุ่มที่มีแนวคิดต่อความรักแตกต่างกันสิ้นเชิง
จอห์นเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึง อยากมีคู่รัก อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น
จอห์นคิดว่า ครอบครัวที่อบอุ่น ต้องมีบ้านอยู่ จอห์นจึงเตรียมพร้อมโดยการดาวน์บ้านที่เขาคิดว่าดีและเหมาะสมกับแฟนของเขาในอนาคต
จอห์นคิดว่า แฟนของเขาในอนาคต จะต้องการชายหนุ่มที่มีหน้ามีตาในสังคม จอห์นจึงพยายามพัฒนาตัวเอง ให้เป็นที่หน้านับถือ เป็นผู้บริหารขององค์กรใหญ่แห่งหนึ่ง จอห์นพยายามกัดฟันทำทุกอย่างให้ตัวเองก้าวหน้าขึ้นมา
จอห์นคิดว่า แฟนของเขาในอนาคต จะต้องการเป็นแม่บ้านอยู่บ้านไม่ออกไปทำงาน จอห์นจึงหาทางพยายามเพิ่มรายได้ของตนเองให้พอดูแลแฟนได้
จอห์นคิดว่า แฟนของเขาในอนาคต จะต้องการงานแต่งงานที่สมเกียรติ จอห์นจึงวางแผนร่างงานแต่งงานที่สมฐานะของแฟนไว้ล่วงหน้า
จอห์นคิดว่า แฟนของเขาในอนาคต จะต้องการแหวนแต่งงานเพชร 3 กะรัต จอห์นจึงวางแผนเตรียมซื้อแหวนแต่งงานไว้ล่วงหน้า
จอห์นคิดว่า แฟนของเขาในอนาคต จะต้องการมีลูก 3 คน จอห์นจึงเตรียมห้องหับที่พักอาศัยในบ้านให้มีที่สำหรับลูก 3 คน
จอห์นใช้เวลา 10 ปี เพื่อเตรียมการสิ่งทั้งหมดนี้ไว้ในชีวิตให้พร้อม
แล้วจอห์นจึงเริ่มหา “แฟนของเขา” เข้ามาเติม
เบนก็เป็นผู้ชายธรรมดาอีกคน ที่ต้องการมีความรักมีครอบครัวอบอุ่น
เบนวางเป้าหมายไว้คร่าวๆ ว่าเขาต้องการมีครอบครัวอบอุ่น รักกัน ต้องการมีบ้านซักหลัง มีงานแต่งงาน แต่เบนไม่ลงรายละเอียด
เบนเริ่มจากการหาผู้หญิงที่เขาอยากอยู่ด้วยกัน อยากตื่นขึ้นมาเจอหน้าทุกวันก่อน แล้วจีบมาเป็นแฟนก่อน เบนเจอแนน และเบนคิดว่า เบนอยากใช้ชีวิตกับแนน
เบนเริ่มถามต่อว่า แนนต้องการผู้ชายมีฐานะระดับไหน แล้วจึงไปที่จุดนั้น
เบนเริ่มถามต่อว่า บ้านที่เราสองคนต้องการเป็นแบบไหน แล้วจึงเลือกบ้านหลังนั้น
เบนถามแฟนตัวเองว่า คุณอยากทำงานหรืออยากอยู่บ้านเลี้ยงลูก แล้วตกลงกันว่าจะแบ่งเวลายังไง
เบนมีแผนคร่าวๆ ว่างานแต่งงานต้องมีญาติผู้ใหญ่ของแต่ละฝั่ง แต่รายละเอียดเบนกับแนนก็ลงมาช่วยกันวางแผนอีกครั้ง
เบนถามแนนว่าแนนอยากมีลูกกี่คน แล้วจึงเลือกตกแต่งบ้านตามความต้องการนั้น
ไม่มีใครบอกได้ว่าจอห์นหรือเบนจะมีชีวิตที่ดีกว่ากัน แบบไหนดีกว่าแบบไหน
ผมคงบอกได้แค่ว่า มันมีวิธีคิดสองแบบนะ
และถ้าส่วนตัว ผมชอบแบบเบนน่ะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรียลจูคือเหี้ยไรวะ
be civil.
สังเกตุไหมร้านที่ประสบความสำเร็จมากจะต้องขายอาหารเป็นหลัก กาแฟชูโรงก็จริง แต่ อาหาร/กาแฟ ต้อง 80/20 ~ 90/10 ของยอดขาย เพราะ อาหารมันปรับได้ มีทิศทางที่หลากหลายและไม่ซ้ำซากเหมือนกาแฟ กาแฟมันเป็นเครื่องดื่ม คุณเปลี่ยนแนวขาย คุณก็ต้องลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์ และก็ใช่ว่า บาริสต้า แต่ละคนจะทำกาแฟได้อร่อยเหมือนกันหมด ความคงที่ของรสชาติไม่มี ก็ขายแค่ แบรนด์ให้ลูกค้าว่า เออฉันถือกาแฟของร้านยี่ห้อนี้นะ คุณไปดูสตาร์บั๊คสิ เขารู้ว่า บาริสต้ามันมากทั่วโลก ชงออกมารสไม่เหมือนกัน ทำมาตรฐานสินค้าไม่ได้ เขาก็เปลี่ยนยกชุดเลย เป็นเครื่อง espresso แบบ automated ที่จ้างบริษัทสวิสออกแบบมาเลย และ ขายของอะไรเป็นหลัก ขายเครื่องดื่มที่ไม่ใช่กาแฟ ชาเขียว โกโก้ปั่น ชามะนาว อะไรที่มีส่วนประกอบของกาแฟน้อย อาหารในตู้แช่ และ ของติดไม้ติดมือกับบ้าน tumbler เอย mugs เอย แม่งออกเดือนละสองครั้ง ตัวนี้ทำกำไรเลี้ยงบริษัท มากกว่า กาแฟอีก
.#มิตรสหายท่านหนึ่ง
.
"เวลาพูดถึงการขายงานให้หน่วยงานราชการ หลายคนมักโฟกัสความสนใจไปที่ "คอรัปชั่น" เพียงอย่างเดียว ทั้งที่จริงแล้วหน่วยงานราชการไทยนั้น ลำพังก็มีปัญหาเชิง "โครงสร้าง" ที่ทำให้ต้องซื้อของแพงกว่าราคาตลาดทั่วไปเสมอ
องค์กรราชการไทยนั้น ดำรงอยู่ด้วยปรัชญา "เอาตัวรอดไปวันๆ" อย่างที่ทุกคนรู้ดี น้อยครั้งเราจะเจอคนที่ take ownership กับอะไรสักเรื่อง แถมหน้าที่ความรับผิดชอบก็ไม่เคยชัดเจน หรือกระทั่งไอ้ที่ชัดเจนแล้ว ก็มักจะทำไม่ได้ ไม่เป็น ดังที่เราทราบกันดีว่าทักษะหลักของคนในหน่วยราชการคือการ "โยนกลอง"
ซึ่งพอมีปัญหาเรื่อง ownership เรื่องโยนกลอง ก็ทำให้บริษัทเอกชนทำงานด้วยยาก ขั้นตอนระเบียบการเยอะ แถมขายงานไปแล้วก็เป็นหลุมดำ เพราะไม่มีคนรับช่วงงานต่อไป ปิดงานไม่ได้ วางบิลแล้วไม่ได้เงิน สารพัดปัญหา
ยิ่งไปกว่านั้น ราชการไทยยังมีวัฒนธรรมองค์กรแบบเจ้าขุนมูลนาย นั่นคือทัศนคติที่ว่า ราชการจะทำงานบนกระดาษ ทำงานเชิงนโยบายเท่านั้น ไอ้งานที่ต้องลงมือทำจริงๆ ลุยจริงๆ เป็นหน้าที่ของตัวเองที่จะต้องทำต่อไป ก็กลับจะต้องให้เอกชนเข้ามาทำแทน มา "รับใช้" มา "ดูแล" มา "ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน" แบบไทยๆ
นอกจากนั้น โลกในระบบราชการจะมี 2 ใบคู่ขนานกันเสมอ คือโลกความเป็นจริงที่เอาไว้คุยกันในวงเหล้า กับโลกอย่างเป็นทางการที่เอาไว้พูดในห้องประชุมและเขียนบนกระดาษหัวครุฑ -- นั่นแปลว่า project plan ใดๆที่คุณวางแผนไว้นั้น มันไม่มีทางเป็นได้จริง คุณต้องมี project manager ที่มีประสบการณ์ทำงานกับราชการ แผนใดๆนั้นต้องมีแผนทางการ และ ไม่ทางการเสมอ และแน่นอนว่ากับราชการแล้ว ไม่เคยมีการทำงานตามแผน ตามเงื่อนเวลาใดๆอย่างแน่นอน
นัดประชุม 11 โมง ก็อาจได้เริ่มประชุมจริงๆบ่าย 3 โมงเย็นได้เป็นเรื่องปกติ เพราะ "ท่าน" สามารถ "ติดภาระกิจด่วน" ได้เสมอ
ทั้งหมดนี้ ทำให้เวลาเอกชนจะขายของให้ราชการ เขาก็ต้อง factor ต้นทุนเอาไว้เยอะแยะ ขายสินค้าก็ต้องเผื่อไว้ด้วยว่าจะเซ็นรับงานช้า ได้เงินช้า ขายบริการก็ต้องเผื่อสภาวะ "โยนกลอง" หรือเนื้องานเพิ่มขึ้นแบบไม่มีปี่ขลุ่ย -- ทั้งหมดนี้เป็นต้นทุนทั้งนั้น
บริษัทเอกชนที่รับงานราชการบ่อยๆ นอกจากจะต้องมีเส้นสายแล้ว มันมีอาชีพ "ไล่ตามลายเซ็นต์" โดยเฉพาะเลยด้วย คือส่งสินค้าแล้ว ส่งบริการแล้ว ยังต้องมีต้นทุนในการจ้างคนมาวิ่งไล่ตามลายเซ็นต์ ดีลกับฝ่ายพัสดุ พาคนโน้น คนนี้ ไปเลี้ยงเหล้า ตีหม้อ อีกสารพัด -- พวกนี้คือต้นทุนทั้งนั้น
จากประสบการณ์ส่วนตัว เวลามีโปรเจ็คท์กับราชการ ด้วยราคาตลาดเท่าไหร่ ให้คิดราคาโดยเอา 1.8 คูณเข้าไปก่อนเลยเพื่อความปลอดภัย ... อันนี้ยังไม่นับค่าน้ำร้อน น้ำชา น้ำในอ่าง อื่นๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถ้า หม่อมน้อย จับดารามาแก้ผ้ามันคือศิลปะ แต่ถ้า พจน์ อานนท์ ทำมันคือความอุบาทว์ โรคจิตวิตถาร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เจอบทความอันนึงพูดถึงความแตกต่างของtouristกับtraveller เหมือนจะพยายามค่อนขอดtouristกลายๆว่า พวกนี้เป็นพวกรักสบาย ไม่อดทน นอนก็ต้องนอนสบายๆ ต้องมีแอร์นะไม่งั้นกูไม่เอา เบาะต้องนุ่มนะ นี่ดูพวกกูนี่ นอนเต้นท์เว้ย ชั้นมีฟ้าเป็นมุ้ง ชั้นมียุงเป็นเพื่อน ฟังเสียงจิ้งหรีดขาว วงศ์เทวัญ เท่ชิบหาย
พวกมึงแม่งทำอะไรตามรีวิว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ไปเที่ยวทั้งทีต้องหลงสิวะ ไม่หลงมึงจะมันส์ได้ไง หลงเพื่อพบประสบการณ์ใหม่ๆ ถุ้ย! มึงรู้มั๊ยว่าการหลงเนี่ย แม่งโครตเปลืองพลังงานร่างกายและเงินด้วยอีห่า เผลอๆถ้ามึงหลงละไปเจออีพวกเห็นวิกฤต(ของมึง)เป็นโอกาส(ของมัน)ล่ะมึงเอ้ยยยย มึงโดนโขกจนจิ๋มแตกอะ เดินกุมจิ๋มอาบเลือดตัวงอกลับทีพักเลยมึง แทนที่จะเซฟเงินเอาไปแดกเบียร์ได้ แม่งเอามาจ่ายค่าหลงนี่แหละ
บางคนอาจจะชอบหลงโอเค ไม่ว่ากัน ตื่นเต้นไปอีกแบบ ลุ้นระทึกหัวใจก็ว่ากันไป แต่นี่เกลียดการหลงมาก เวลาเจอถามทางที นี่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยมึง
Touristเนี่ยนะ ชอบไปแต่ที่must see place ไม่รู้จักหากิจกรรมแปลกใหม่อะไรทำ นี่เว่ย bungy jumpสิวะ sky diveมั๊ยล่ะมึง You Only Live Once (YOLO) นะโว้ย โอเคถ้าพวกทีมอาม่าเดินตามธงคิดแบบมึงน้าาาาา มึงเปิดร้านสุริยาหีบศพแถวนั้นได้เลย
สุดท้ายแล้ว อยากจะเที่ยวแบบไหน เอาที่ตัวเองชอบนั่นแหละ ถ้าเป็นโรคเห็นป้ายละตัวสั่นริกๆน้ำลายฟูมปาก จะต้องไปถ่ายรูปคู่ให้ได้ ก็ไปเลย ไม่ต้องทำชิคๆ ถ่ายรูปส้นตีนตัวเองพร้อมแคปชั่น "ขอบคุณสองขาที่ก้าวมาด้วยกันถึงทุกวันนี้หรอก" แต่ถ้ามึงชอบแบบนั้นก็จัดไปดิ ไปที่ชอบที่ชอบ คนเท่ๆเค้าไม่แคร์คนอื่นหรอกฮะ เค้าแคร์ความสุขตัวเอง มึงไม่ได้ยืมเงินใครมาเที่ยวนะคะ อย่าลืม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>654 เวลากูไปเที่ยวกูชอบสบายๆนะ นอนโรงเเรม ไปที่เที่ยวที่ไปง่ายๆ
กูไปเที่ยวเพื่อพักผ่อน ไม่ได้จะไปลำบากนี่ว่า พวกโชว์เก๋าว่ากูหลง พวกโชว์เมพว่ากูนี่ไปเที่ยวได้ด้วยเงินห้าสิบสตางค์นี่มันไปเที่ยวเพื่อไปเที่ยว หรือไปเที่ยวเพื่อเอาInternet Karma ตอนกลับมาอัพรูปวะ
มหาวิทยาลัยเปรียบประดุจดังบ่อน้ำ ที่ดับความกระหายแก่ราษฎร
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ราชการ
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เรื่องโกหกมีเต็ม Feed เลยค่ะ เอาของคนอื่นมาโชว์ Pokemon กันจังเลย แค่ Game ยังบลัฟกัน ขาดความอบอุ่นเหรอคะ
#สาวกAndroid
#Pokemonเป็นiPhone
#คิดจะสาไถสร้างภาพก็ขอเนียนๆหน่อย
#หน้าไม่เนียนก็แย่พอแล้วยังแหลไม่เนียนอีก
#ตอแหล
"เมื่อชีวิตดำเนินมาถึงวัยกลางคน สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือเวลาเราแก่ไปเราจะเป็นคนยังไง
ถึงเวลานั้นเราจะยังฟังคำเตือนจากคนอื่นๆ รอบตัวอยู่มั้ย เราจะไม่เปิดใจ เปิดกว้างรับสิ่งใหม่ รับมุมมองจากคนที่อ่อนกว่า ที่โตมากับสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างรึเปล่า อัตตาและอีโก้ที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่า ดีกว่า เพราะผ่านมาก่อน เจอมาก่อน รู้มาก่อน จะไม่ทำให้เราเผลอหลงตัวเองคิดไปว่าเราถูกกว่าคนอื่นเสมอใช่มั้ย
ถ้าถึงวันนั้นแล้วไม่มีสติมากพอที่จะครอสเช็คตัวเอง จนจิตใจแคบลงไปเรื่อยๆ แล้วในที่สุดเราเองกลายไปเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เราไม่ชอบคงเป็นเรื่องที่เศร้ามาก และจะเศร้ากว่านั้นถ้าไม่รู้ตัวเลย แต่จะเศร้าที่สุดถ้าคนอื่นเค้ารู้กันหมดแต่ไม่มีใครเตือน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประชามติครั้งนี้ พูดตรงๆ ว่ามันโกรธ สิ้นหวัง และก็สงสารปนๆ กันไป
โกรธที่คนไทยเชื่อลมเผด็จการ รับเพียงเพราะกลัวนักการเมือง ไม่ก็รับส่งๆ ไม่ลืมหูลืมตา แบบไปตายเอาดาบหน้ากับการเลือกตั้งที่ใช้ระบบลวกจิ้มมากกว่าให้ประชาชนเลือกเข้ามาเอง
สิ้นหวังกับสิทธิเสรีภาพส่วนบุุคลตามที่ควรจะเป็น ที่ถูกริดรอนด้วยการอนุญาตของกฎหมายปกครองประเทศ กับประชาธิปไตยที่หายไป
สงสารกับคนไทยที่ต้องทนอยู่กับระบอบเผด็จการกินรวบทางความคิด ทั้งที่หลายล้านคนทนไม่ได้และจะไม่มีวันทน และต้องอยู่กับสภาพแบบนี้ไปอีกนานแสนนานแม้จะมีเลือกตั้งไปแล้วก็ยังต้องอยู่ใต้เงามาร
มัน .... ร้องไห้ไม่ออกกับการตั้งใจจมเรือเองของแระเทศไทยในครั้งนี้ สำหรับเรามันจะไม่มีอะไรทดแทนได้ ไม่มีอะไรที่เจ็บกว่านี้อีกแล้ว
เกลียดที่ต้องทนรับชะตากรรม เกลียดที่คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องรับชะตากรรม เกลียดที่ตัวเองเสียงดังไม่พอที่จะเปลี่ยนความจริงอะไรในประเทศนี่ได้
อบากร้องไห้จนตายอีกครั้ง
แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ไม่ใช่เราคนเดียวที่เดินเส้นทางนี้
หากรีบสิ้นหวัง เราอาจตายก่อนได้ทำอะไร
ตราบเท่าที่ชีวิตยังไม่สิ้น ประชาธิปไตยเพื่อประชาชนไทย โดยประชาชนของประเทศไทย จะยังมีหวังที่จะกลับมาได้เสมอ ช้าหรือเร็วเราไม่อาจรู้ได้
สู้อย่างมากก็แค่ตาย อย่างน้อยก็ได้ทิ้งสัญลักษณ์ตราไว้ในแผ่นดินว่า ครั้งหนึ่งเราเคยสู้เพื่อให้คนไทยเป็นไท
ซึ่งหากมีคนเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ถึงเราไม่ต้องสอน ก็จะมีคนสืบทอดเจตนารมณ์อย่างแน่นอน
ยังไม่ไปไหน สู้กันต่อไป ตั้งหลักเพื่อวันที่สดใส ถึงไม่สำเร็จก็ได้ตราไว้ในโลกนี้ ว่าอย่างน้อยเราก็พยายาม
>>663 ผลออกมาแบบนี้เพราะนักการเมืองทำตัวเองล้วนๆนะ อันนี้ต้องสำเหนียกตัวเองให้มากๆเลยล่ะ ประเทศมันมาถึงวันนี้ที่โคตรวิปริตถึงขนาด ปชช. เชื่อถือเผด็จการทหารมากกว่านักบริหารบ้านเมืองได้นี่เพราะไอ้พวกนักการเมืองทั้งหลายมันขี้ไว้เยอะเกินจริงๆ ถึงจุดๆนึงมันก็ไม่ไหวว่ะคนมันเสื่อมศรัทธาจริงๆ
เด็กไทยบางส่วน รีคำพูดโง่ๆของทรัมป์มาขำ ทั้งที่เราพอกันทุกเช้า รีข่าวKpopว่ากลบข่าวฉาวประเทศ แต่ไม่เคยรู้ข่าวประเทศตัวเอง อิอิ #ผลประชามติ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ความเห็นผมคือถ้าคุณไปอยู่ประเทศที่สวัสดิการสังคมโดยมันดีๆ อยู่ให้คุ้มคือก็ต้องใช้สวัสดิการมัน พวกประเทศที่การศึกษาฟรีเนี่ย ถ้าไปเรียนเองหรือเอาลูกเรียนผมว่ายังไงก็คุ้ม
คืออย่าคิดว่าจะไปทำงาน แบบนั้นมันไม่คุ้มเท่าไรเว้นแต่งานคุณจะระดับพีคเหี้ยๆ
แล้วมันเรื่องการคิดเรื่องการเกษียณอายุด้วย ถ้าคุณไม่ได้เป็นพลเมือง ก็เข้าใจว่าน่าจะส่งเงินเข้าพวกกองทุนบำนาญไม่ได้ ซึ่งนานๆ ไปแม่งเรื่องใหญ่มาก เพราะไม่ใช่พลเมืองอาจไม่ได้สิทธิรักษาพยาบาลฟรีในหลายๆ การเจ็บป่วยด้วย
ไอ้ฝรั่งอังกฤษทีแก่ๆ มาอยู่ไทยกัน มันอยู่ได้ด้วยบำนาญห่าพวกนี้แหละ แล้วมันมาอยู่กันเพราะเงินมันไม่พอจะใช้ชีวิตที่ดีในยามแก่ได้ในบ้านมัน
ป.ล. จริงๆ คำถามที่อยากฝากให้คนที่คิดไปอยู่ต่างประเทศคิดก็คือ "จะกลับมาเมื่อไร" ด้วย คือถ้าคุณเป็นพลเมืองได้ก็อยู่ไปเถอะ แต่มันไม่ใช่ง่ายเลยไง เพราะทั่วๆ ไปเขาไม่ได้ต้องการพลเมืองเพิ่มเท่าไรหรอก เขาต้องการแรงงานในวัยทำงานมาเพื่อสร้างผลผลิต มาเพื่อเก็บภาษี มาเพื่อแบกรับสังคมที่แม่งเข้าสู่ Aging Society พูดง่ายๆ คือคุณเป็นอะไรที่เขาจะใช้แล้วทิ้งซึ่งเขามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะทำแบบนั้น ซึ่งต่างจากรัฐที่คุณเป็นพลเมือง ดังนั้นคุณก็ต้องคิดด้วยว่าถ้าคุณหมดประโยชน์กับเขาแล้วจะยังไงต่อ วิธีง่ายสุดก็คือกลับมาอยู่ไทยนี่แหละ ถ้าทำงานเก็บเงินถึงตอนนั้นคุณก็เป็นคนค่อนข้างมีฐานะในไทยแล้ว ยิ่งถ้ามีพวกบ้านเหลืออยู่ คุณหายไปสัก 10-20 ปี มูลค่าแม่งคงพุ่งกระฉูดสัสๆ แค่ขายทิ้งก็มั่งมีสัสๆ แล้ว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ต้องรวยครับ แล้วประเทศนี้จะน่าอยู่ขึ้นมาทันที"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"3 จังหวัดภาคใต้นี่แน่นอนจริงๆ วันไหนเปิดให้โหวตเปิดให้แสดงออกแบบเป็นทางการกูก็ไปโหวตอ่ะ ไม่มีเกี่ยงงอน วันไหนไม่มีให้โหวตกูก็แสดงออกวิธีอื่น วางระเบิดบ้าง วางเพลิงบ้าง ลอบยิงเจ้าหน้าที่รัฐบ้าง เป็นการต่อสู้แบบไฮบริด เปิดช่องให้กูแสดงออกทางไหน กูก็แสดงออกทางนั้น มีช่องว่างในกระดาษให้กาก็ไปกา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Q: อะไรที่ผู้ชายจะให้ในเดทแรกกับผู้หญิง
A: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
สัสสสสสสส
#รายการทีวีอันหนึ่ง
"ถ้ามีคนถูกรถชนเพราะโปเกม่อนโกในเมืองไทยมากกว่าที่อื่น อาจจะเป็นเพราะพวกเราขับรถเหี้ยกันอยู่แล้วน่ะครับ กูเดินข้ามม้าลายตามสัญญาณไฟมองทางทุกอย่าง มึงยังจะชนกูเลย จ้องหน้าแม่งก็ไม่สำนึก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เมื่อวานยอมรับค่ะว่าเล่น pokemon go ไม่ได้ดูทางค่ะ พี่มอไซค์วินบีบแตรพร้อมเปิดชิวกระจกหมวกกันน๊อค index ตะโกนบอก ''น้อง เล่นมือถืออยู่ได้ ดูทางบางสิ'' พร้อมกับส่ายหัว คนแม่งมองเพียบเลย หนูก็ตกใจ รีบเก็บโทรศัพย์ พูดขอโทษค่ะ ...... เด๋วนะไอ้สัส กูอยู่บนทางเท้า ไม่ทันละ แม่งไปนู่นละ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"ข่าวนี้จะจริงหรือไมอย่างไร คุณเป็นผู้ตัดสิน
ที่จริงๆแล้วอย่างเห็นได้ชัด คือ #ภัยร้ายสังคม
[ความหมายของตัวละครต่างๆของโปเกม่อน]
.
เตือนสติให้พี่น้องระวังน่ะครับ
คุณรู้หรือไม่ว่า ชื่อต่างๆในเกมส์นี้
.
โปเกม่อน คือ ฉันคือยิว
บิกกัชชู คือ จงเป็นยิว
ทชารมานดฺ คือ พระองค์อัลลอฮฺอ่อนแอ
มัจมาร คือ อัลลอฮโง่เขลา
จรูลิด คือ อัลลอฮตระหนี่ถี่เหนี่ยว
.
อัลลอฮฺห่างไกลเหลือเกินอย่างที่พวกเขาได้บอกคุณลักษณะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ฝังมันให้โผล่ออกมาแค่ศรีษะกลางแดดจ้า ให้คนที่ผ่านไปมา ปาโปเกบอลใส่จนกว่าร่างมันจะแหลกเหลว"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
สมัยก่อน เมียไปตามผัวแอบเที่ยวผับจนดึกดื่น
สมัยนี้ เมียไปตามผัวจับPokemonจนดึกดื่น
อนึ่ง มีชาวเมืองบางส่วนขยันตื่นเช้ามืดเพื่อไปส่องโปเกมอนก่อนไปเรียน/ทำงาน
นิกก้า
อดีตนายกชื่นชม Bexit ว่าเป็นประชาธิปไตย มติเสียงจากประชาชน
หลังผลประชามติจากเสียงประชาชน อดีตนายกท่านเดิมกลับบอกว่าทำประเทศถอยหลัง
อะไรของมึงว้า
#มิตรวงเหล้าท่านหนึ่ง
"ออกไปขับรถวนหา โปเกสตอป มา พบว่าในอำเภอเล็กๆที่ผมอาศัยในตัวอำเภอทั้งหมดมีแค่ สองจุดซึ่งห่างกันราวเจ็ดกิโล มีอีกทีคือที่เขาหลักที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเลย (ห่างไปสักสี่สิบโล) พอเจออะไรแบบนี้เลยรู้สึกชอบเกมโปเกมอนโกมากขึ้นมากๆ ในแง่ที่ว่านี่มันเป็นเกมที่ไว้อธิบายสภาพความเหลือมล้ำได้น่าสนใจกว่าแค่ที่คิดว่าจะเป็น
สิ่งที่สำคัญกว่าโปเกมอนคือโปเกบอล ซึ่งมีแจกฟรีตามโปเกสตอป การที่ทุกคนเข้าถึงโปเกมอนโกได้เท่ากัน คือความเท่าเทียมหรือเปล่า(แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีสมาร์ทโฟน หรือ ไอโอเอส แอนดรอยด์) แต่ถ้าพูดกันในจักรวาลแคบๆของคนที่เข้าถึงเกม การเข้าถึงโปเกมอนจะด้อยไปทันทีถ้าไม่มีโปเกบอล ถ้าแทนที่โปเกมอนด้วย ศิลปะ ภาพยนตร์ ดนตรี ความรู้ หรืออะไรต่างๆ เราก็จะเห็นว่าตัวกำหนดความสามารถหรือรสนิยม ไม่ใช่ผู้เล่มแต่เป้นแผนที่ของโปสตอป เพราะมันกำหนดการเข้าถึงความรู้ด้วยเครื่องมือเฉพาะ
โปเกสตอปคือโอกาสที่ไม่เท่ากันของผู้คน และแน่นอนว่าสิ่งที่แก้ปัญหาเรื่องโอกาสนี้ได้คือเงิน 5555 (เลยพรูฟเรื่องการทำงานเก็บเงินนั่งรถมาเก็บโปเกมอนในกรุงเทพของตัวเองตลอดสิบผีที่ผ่านมา)
อนึ่ง เลยคิดขึ้นมาได้ว่ามีคนสองจำพวกที่น่าตีปาก คนจำพวกแรกคือคนที่มีโปเกสตอปแถวบ้านเป็นจำนวนมากแล้วเบะปากว่าพวกแกเลเวลไม่ถึงเพราะไม่มีความสามารถ แต่พวกที่น่าตีปากมากถึงมากที่สุดคือพวกที่ไม่เคยรู้เลยว่าโปเกมอนคืออะไรแล้วก็ออกปากว่ามันไร้สาระห้ามเล่น อย่าเล่นอันตราย ต้องโซนนิ่ง ไทมมิ่งพวกนี้น่าตีปากที่สุดเพราะนอกจากจะโง่แล้วยังเสือกเสนอหน้ามาปิดกั้นโอกาสของคนอื่นๆอีกด้วย #ผิด
สาบานว่านี่พูดถึงเกม ว่าพลางทางกดซื้อโปเกบอล อย่างฟินฟิน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เด็กน้อย Pokemon Trainers ควรจะระลึกถึงคุณูปการของ Ingress Agents ไว้ด้วยนะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จริงๆ อยากด่ามากว่าครับ ปักแต่วัด ศาลเจ้าที่ กองขยะ(แบบรถลาก) ในโรงบาล สถานีตำรวจ เลวร้ายสุดๆ คือหน้าบ้านใครไม่รู้ โครตเยอะ......"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
อยู่ประเทศนี้ก็จำใส่กะโหลกไว้เลย ว่าสิ่งที่ชนะไม่ใช่มารยาท แต่เป็นความอาวุโส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"นักวิเคราะห์ นักสืบมือระเบิด เก่งๆทั้งนั้นครับ ในทุกกลุ่มไลน์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
+ Note ไว้ด้วย นอกจากภาคอีสาน ภาคเหนือตอนบน พี่น้อง 3 จังหวัดใต้ Vote No ชนะขาดยิ่งกว่าฐานเสื้อแดงบางจังหวัด ฉะนั้นมวลชนเสื้อแดงทั้งหลาย เลิกทัศนะชาตินิยม เลิกเกลียด "โจรใต้" ได้แล้วครับ เรามีจุดร่วมกันได้บนพื้นฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในสังคมที่เจริญแล้ว เวลาเกิด 'เหตุร้าย' ในบ้านเมือง เราจะเห็นสิ่งเหล่านี้
1. ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ จะไม่พูดชี้นำโดยไม่มีหลักฐาน หรือโยนความรับผิดชอบ แต่จะก้มหน้าก้มตาทำงาน หาหลักฐานมาชี้แจงสังคม
2. ฝ่ายการเมือง จะช่วยกันชี้ให้เห็นจุดโหว่ที่ต้องอุด และมีข้อเสนอแนะที่ฝ่ายรัฐสามารถนำไปปฏิบัติ รวมทั้งติดตามตรวจสอบว่าฝ่ายรัฐได้ดำเนินการหรือไม่
3. ฝ่ายสื่อมวลชน จะไม่เพียงแต่รายงานตามที่เขาพูด แต่จะทำการบ้าน เค้น ขุดคุ้ย เรียกร้อง และตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายการเมือง หรือแม้แต่ฝ่ายสื่อด้วยกัน ใครพูดและทำอะไรจริงหรือไม่อย่างไร
4. ฝ่ายประชาชน จะฉลาดพอ ที่จะเรียกร้องให้ 1 2 และ 3 ทำหน้าที่ของตนที่ควรจะทำ แทนที่จะไปเป็นลูกหาบขยายความขัดแย้งและความสับสนในสังคม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ให้พูดตรงๆ นะ ยังไงคนที่เป็น Pokemon Royalty ก็คือคนที่สนับสนุนภาคหลักอ่ะ ไม่ใช่ Go เพราะถ้าไม่มีคนอุดหนุนภาคหลักทุกวันนี้ Go อาจจะไม่มี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Pokemon ก็มีหนังโรงนะ
"A: ไอ้โปเกมอนโกนี่มันเล่นไงนะ
B: มึงก็โหลดแอปมาใช่มะ พอเปิดมามันจะมีโปเกมอนให้เลือกจับ
A: อาฮะๆ
B: แล้วทีนี้มึงก็ดูเอา เจอตัวไหนชอบก็ปัดขวา ตัวไหนไม่ใช่แนวก็ปัดซ้าย ถ้าโปเกมอนตัวนั้นเค้าโอเคกับมึงมันจะแมตช์กัน ทีนี้มึงก็คุยๆ เก็บเวลไป เอาราสเบอรรี่โยนใส่เยอะๆ พอโอเคกันแล้วก็นัดไปยิม
A: เออๆ น่าสนุก เดี๋ยวเล่นมั่ง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมว่าปัญหาจริงๆ ของประเทศนี้มันคือการศึกษาขั้นพื้นฐาน มันแย่มากๆ (สัส เอาง่ายๆ คือคนจบการศึกษาภาคบังคับมานี่ยังใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารไม่ได้นี่มันไม่ใช่แล้ว ลองเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านดูก็ได้)
คือการแก้ตรงนั้นมันต้องแก้ไปทั้งแผง คือมันต้องไปหมดให้ทั่วถึง
และผมเกลียดมากไอ้แนวทางการ "สนับสนุนเด็กเก่ง" ในภาวะแบบนี้
คือถ้ามีงบ มันต้องพัฒนาระบบรวมๆ ก่อน ไอ้การสนับสนุนเด็กเก่งจากมุมของรัฐมันคือการสร้างผลงาน สร้างบางส่วนของระบบให้ดูดีจะได้ไปอวดได้ โดยส่วนอื่นๆ ของระบบจะบรรลัยแค่ไหนไม่สนใจ (ยิ่งรัฐไทยก็รู้อยู่แว่าแม่ง "เลือกจะนำเสนอ" แค่ไหน)
ซึ่งผมคิดแบบนี้ทั้งเรื่องวิชาการ ศิลปะ และกีฬา ผมว่าเราเอาเงินไปลงกับพวกเก่งๆ เยอะไปแล้ว ซึ่งถ้ามันไม่กลับมาพัฒนาด้านล่าง (ปกติก็เป็นงั้น) สุดท้ายมันก็เป็นแค่งบขยายความเหลื่อมล้ำที่ได้สิ่งสวยๆ งามๆ เอาไว้อวดชาติอื่นเวลาอยากจะอวดเท่านั้น
อีกอย่างที่ผมไม่เห็นด้วยก็คือเรื่องการการพัฒนาการศึกษาระดับสูง "ก่อน" การศึกษาพื้นฐาน
การศึกษาระดับสูงของไทยมันแย่จริง แย่ไปหมด ค่าตอบแทนคนสอนก็แย่ กำลังคนในการผลิตนักศึกษาก็แย่
แต่ส่วนใหญ่ที่มันชิบหายขนาดนั้น ก็เพราะการศึกษาระดับพื้นฐานมันไม่ตอบโจทย์ การศึกษาระดับสูงแม่งเลยต้องมาทำหน้าที่แบบนั้นแทน ซึ่งในขีดจำกัดทั้งหมดที่บีบมา แม่งทำให้ชิบหายรยำสุดๆ
ผมอาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่จะแสดงความเห็นนี้ แต่ถ้าผมสอนหนังสือ ให้ผมเลือกระหว่างเงินเดือนเพิ่ม กับการที่เด็กที่ผมสอนมีพื้นฐานอารยธรรมตะวันตกเป็นอย่างดี มีพื้นฐานประวัติศาสตร์ไทยแบบวิชาการบ้าง ผมเลือกอันหลัง มันทำงานง่ายกว่าเยอะ
ซึ่งผมก็เข้าใจแหละว่า "ในทางเลือกที่ดูจะเป็นไปได้" ไอ้อันหลังมันไม่ใช่ทางเลือกอยู่แล้ว คนแม่งก็เลยสู้เพื่ออันแรกกัน
แต่พอมาเป็นแบบนี้หมด ผลคือคนในทุกภาคส่วนแม่งก็เรียกร้องรายได้เพิ่มหมด เพราะสุดท้ายแม่งไม่มีใครเชื่อแล้วว่าอะไรแม่งจะดีขึ้น เลยเอาตัวเองให้รอดก่อน
ผมเข้าใจ แต่ในฐานะคนเสียภาษี ผมคงเห็นด้วยไม่ได้ว่ะ เงินมันเพิ่มมาลอยๆ ในระบบไม่ได้อยู่แล้ว เงินคุณเพิ่ม คนอื่นก็ลด แล้วการเพิ่ม คุณไม่ได้ Promise จะให้อะไรดีขึ้นเลย ดังนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะเพิ่ม "เฉพาะ" คุณ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ลองเอาระบบไม้เรียวกลับมาใช้ดีไหม
ตั้งแต่ห้ามตีเด็ก ครูทำโทษอะไรโดนอัดคลิปประจานหมด
กูรู้สึกว่าเด็กเทวดาแม่งเยอะมากกว่ายุคก่อนวะ แถมพอมีเรียนฟรี เข้าเรียนง่าย
เด็กไม่เห็นความสำคัญกับการเรียนเพราะยังไงกูก็จบขอแค่มีตัง(พ่อแม่จ่าย)
>>698 กูว่าเด็กสมัยนี้เค้าได้รับรู้ข้อมูลหลายอย่างตั้งแต่เด็ก เลยทำให้มีเหตุผลมากกว่าเด็กในยุคก่อนว่ะ อย่างถ้าทำแบบนี้ ทำไปเผื่ออะไร ทำแล้วได้อะไร เด็กเค้าจะคิดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าทำแค่เพราะผู้ใหญ่บอกให้ทำ เด็กปัจจุบันนี้ต้องใช้หลักจิตวิทยามาเลี้ยงมากขึ้นอ่ะมึง จะให้มีแต่การบังคับเหมือนเมื่อก่อนมันก็ไม่ใช่
มีเหตุผลจริงเหรอ กูเห็นแต่พวกวัลาบีอ้างคำพูดเท่ๆ เอาดังมากกว่า
เนเน่ก็แบบนี้ละ ความรู้เชิงวิชาการยังด้อยหลายอย่าง แต่ถูกประโคมโอ่จนเกินตัว
เด็กยุคใหม่
ต่างอะไรคนสมัยโบราณที่งมงาย เรื่องผีสาง อิทธิฤทธิ์หลอกลวง
แต่วันๆอ่านแต่เรื่องแต่งบนอินเตอร์เนตแล้วก็เชื่อต่อๆกันมา แชร์เรื่องหลอกลวง เจอข่าวมั่วก็รีบเชื่อไว้ก่อน
ช่วงระยะเวลา10กว่าปีมานี้ที่ไทยประสบกับความแตกแยกทางการเมืองอย่างหนัก เวลามีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น กลายเป็นว่าแทบจะไม่มีใครสนใจที่จะหาว่าผู้ก่อการตัวจริงเป็นใคร แต่จะพยายามหาแต้มต่อให้กับฝั่งขั้วการเมืองของตัวเอง โดยบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนทำ อีกฝ่ายก่อเรื่อง ขั้วอำนาจเก่า กลุ่มการเมืองโน่นนี่ เพียงเพื่อที่จะได้ฟินว่าอีกฝ่ายชั่วเลว และพวกกูเท่านั้นเป็นคนดี แล้วก็ปล่อยให้เหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นต่อไปอีกโดยผู้ก่อการตัวจริง
บางทีอีกแง่มุมหนึ่งอาจจะเป็นเพราะทางการไทย (กองทัพ) น่าจะมีปัญหากับการข่าวหรือการรับมือกับภัยคุกคามการก่อการร้ายนอกประเทศ ทำให้เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น เราแทบจะไม่คิดไปถึงการก่อการร้ายข้ามชาติหรือก่อการร้ายสากล เพราะถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ทางการไทยจะเสียเปรียบมากเพราะไม่เคยรับมือมาก่อน ที่สำคัญก็คือการที่ไทยตอนนี้เป็นรัฐเผด็จการทหาร ยิ่งทำให้เหตุการณ์ความไม่สงบเป็นความเสียหายต่อรัฐบาลโดยตรงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะกลายเป็นว่ารัฐที่มีกำลังอำนาจทางการทหารเต็มที่ กลับไม่สามารถจัดการปัญหาความไม่สงบได้ และก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในหมู่ประชาชน
นั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่เหตุการณ์ความไม่สงบ ถูกพยายามทำให้กลายเป็นเพียงเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง เพราะยังรักษาความน่าเชื่อถือของรัฐได้อยู่ ว่ารัฐไทยไม่เคยเจอกับปัญหาก่อการร้ายสากลหรือก่อการร้ายข้ามชาติ หรือกลุ่มแบ่งแยกดินแดนใดๆ เป็นเพียงอีกขั้วสีหนึ่งมาก่อการเท่านั้น แล้วคนในเมืองกรุงก็จิบกาแฟสตาร์บัคส์สบายใจ เขียนโพสต์โจมตีกลุ่มผู้เห็นต่างได้อย่างสบายใจต่อไป
สถานการณ์แบบนี้ไม่เป็นผลดีแน่ๆ ต่อประเทศของเรา แต่กลับไม่มีใครออกมาพูดกันตรงๆ น่าประหลาด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เด็กยุคนี้หน้าแก่เร็วจัง
#โก๊ะตี๋ไม่ได้กล่าวไว้
"เพื่อนส่งมาบอกครับ
โปเกม่อน โก เป็นส่วนหนึ่งของ Cyber war
พวกท่านคงเคยได้ข่าวเรื่อง CIA ขอความร่วมมือกับ Facebook และ Google เรื่องการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล แล้วคิดว่าทั้งสองบริษัทกล้าไม่ร่วมมือกับ CIA รึเปล่า (คนที่ไม่ร่วมมือเป็นไงก็ดูสโนเดน กับเจ้าของวิกิลีกเป็นตัวอย่าง)
โปเกม่อน โก สร้างโดยทีมงานที่มาจาก google ผู้พัฒนา google map ถ้าเคยใช้จะพบว่า google map ยังอยู่ในกฏเกณฑ์เรื่องไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว เช่นภาพแผนที่จะหยุดอยู่แค่ถนนสาธารณะไม่สามารถซูมเข้าไปในที่ส่วนตัวเช่นหน้าบ้านของเราได้เลย
แต่เกมโปเกม่อน โก จะทำให้เราอนุญาตให้ใช้กล้องของเราเองส่องเข้าถึงในบ้านของเรา ไม่เว้นแม้แต่ห้องนอน ห้องส้วม เมื่อได้ข้อมูลไปเชื่อมเข้าระบบ data base ของ google map ก็ไม่มีที่ใดในโลกที่ไอ้กันมองไม่เห็น
บางคนอาจจะคิดว่ามันจะมาอยากดูบ้านเราไปทำไม... แต่ลองคิดดู ในสถานที่สำคัญ เช่น ทำเนียบ หรือกองบัญชาการ หรือแม้แต่...ถ้ามีแม่บ้าน หรือนักการสักคนที่ใครๆ ก็คิดว่าไม่มีพิษภัย ทำงานมา 20-30 ปีแล้ว ประวัติเคลียร์ แต่ดันทันสมัยเล่น โปเกม่อน โก แค่นิดๆ หน่อยๆ เวลาพักเที่ยง สะสมทุกๆ วัน คุณคิดว่าจะมีความลับหลงเหลืออยู่ไม๊ครับ
อยากได้ข้อมูลตรงไหน ก็เอาไอ้โปเก ไปปล่อยไว้ตรงนั้น ห้องรับแขกบ้านผม เสร็จมันไปแล้ว เมื่อวานลูกชายจับได้ตัวนึง ผมถึงได้นึกภาพออก มันเป็นเกมหลอกใช้ของฝรั่งให้ถ่ายแผนที่ภายในบ้านหรือ สำนักงาน หรือหน่วยงานราชการ แม้กระทั่งฐานทัพ ตู้เซฟ ตู้นิรภัย ที่ google มันเข้าไปไม่ถึงแต่เกมนี้ google มันจะเจาะเข้ามาถ่ายภาพภายในได้ พวกเล่นไล่จับโปเกม่อนหรือโปรแกมเมอร์เคลื่อนที่จะเจาะเอาข้อมูลไปประเคนไอ้กันหมด ต่อไปมันจะจัดการศัตรูฝ่ายตรงข้ามหรือหัวหน้าผู้ก่อการร้ายหรือจะลอบฆ่าสังหารใครสักคนเพียงยิงแสงเลเซอร์จากกลางอวกาศลงบ้านคนนั้นตำแหน่งพิกัดที่นั่งอยู่ด้วยคลื่นความร้อนในตัวคนนั้นมันก็จะรู้ว่าอยู่ตรงไหน คือส่งมอบความตายให้ศัตรูลูกเดียว
: เครดิตนักคิดการณ์ไกลและคนที่เห็นภัยกับเพื่อนหลายคนผสมผสานกัน
C:\Users\Administrator\Downloads\Pokemon123.png"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>John Hanke is an American entrepreneur. Hanke is founder and CEO of Niantic, Inc., a company that creates experimental mobile, social, and local applications. The company is most widely known for its creation of Pokémon Go and Ingress.
>Prior to joining Google, Hanke founded and was CEO at Keyhole, Inc
>Keyhole, Inc., founded in 2001, was a pioneering software development company specializing in geospatial data visualization applications and was acquired by Google in 2004 for $35 million. Initially launched as a spin-off of Intrinsic Graphics, first round funding came from a Sony venture capital fund and others, additional capital came from an NVIDIA bundling deal, from the CIA's venture capital arm In-Q-Tel, with the majority of In-Q-Tel' funds coming from the National Geospatial-Intelligence Agency.
Illuminati อยู่เบื้องหลังแน่นอน
"คู่รักชาย-ชาย ไปเดินซื้อของที่ Sainsbury เดินไปจับมือกันไป
มี ผญ. คนนึงไปฟ้อง รปภ. ว่ารับไม่ได้ พฤติกรรมแบบนี้
รปภ. เลยไปเชิญคู่รักคู่นี้ออกจากห้าง
พอเกิดเรื่อง ทางห้างเลยมอบว้อยเช่อร์ชดเชย £10
(เชี่ยมากมึง วิธีการชดเชย)
พอเรื่องแดง วันนี้เลยมีคู่รักเกย์ไปนัดจูบกันใน Sainsbury สาขานั้น 200 คู่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>696 มันมีเนื้อเรื่องต่ออีกคือพวกเรียนเก่งพอได้รับการสนับสนุนส่วนมากจะได้ไปเปิดโลกนอกประเทศทำให้รู้อะไรดีไม่ดีมากขึ้น
ทีนี้พอกลับมาไทยอยากช่วยพัฒนาแต่จะทำไม่ได้เพราะจะไปขัดขาระบบเก่า
พอเปลี่ยนไม่ได้ก็มีแค่ทนอยู่ไปหรือเปลี่ยนประเทศซึ่งแน่นอนถ้ามันเก่งจนได้รับการสนับสนุนมันก้มีปัญญาที่จะเปลี่ยนประเทศ
สุดท้ายก็สมองไหล
source:กุเอง
ภาษิตคนจีน อยากให้คนบ้ากลับใจเราต้องทำให้เขาเห็นเป็นพวกก่อนนั่นคือบ้าตาม
ส่วนของไทยคนรุ่นใหม่นิยมเอาพร้าหักด้วยเข่า มันแเปลี่ยนห่าไรไม่ค่อยได้
กูว่าหักก้านมะยมด้วยเข่ามากกว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแต่ภูมิใจว่าได้ทำ
I'm Harambe, and this is my zoo enclosure. I work here with my zoo keeper and my friend, cecil the lion. Everything in here has a story and a price. One thing I've learned after 21 years - you never know WHO is gonna come over that fence.
ห้ามโพสต์ไฟล์ต่อไปนี้
1. ไฟล์ MP3, VDO ละเมิดลิขสิทธิ์ มีโทษจำคุก 1/2 - 4ปี หรือ ปรับ 1-8 แสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
2. ไม่เจริญหูเจริญตา
3. รูปลามกอนาจาร
4. ไฟล์ที่ก่อให้เกิดความรำคาญ , ไวรัส
5. ภาพโป๊ โฟร์, มด ผู้เผยแพร่มีโทษหนัก!
*** ถ้าพบจะถูกปิดชื่อโดยทันที ***
"ทางม้าลายเป็นจุดที่อันตรายที่สุดสำหรับการข้ามถนน เพราะมักจะอยู่ตามแยก ซึ่งมีรถวิ่งมาจากทุกทาง เนื่องจากเมืองไทย รถไม่จำเป็นต้องจอดตรงไฟแดงที่ไม่มีตำรวจ และทางม้าลายก็เป็นสิทธิให้รถไปก่อน ดังนั้นจึงควรยอมเดินเลี่ยงออกไปอีกสักหน่อยจะปลอดภัยขึ้น แต่อย่างไรก็ต้องระวังมองซ้ายมองขวาตลอดเวลาที่ข้าม เพราะมีรถที่วิ่งสวนเลนได้เสมอ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือขับรถข้ามไป เพราะถนนเมืองไทยมีไว้สำหรับรถ (ส่วนฟุตบาทไว้สำหรับมอเตอร์ไซค์) ไม่ควรไปไหนด้วยการเดิน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พอมีคนล้อเลียนรถไฟไทย มันจะต้องมีพวกเพจติ่งรถไฟและแก็งค์สหภาพออกมาแก้ข่าวทุกที กูล่ะหมั่นไส้พวกแม่ง ต่อให้ซื้อรถใหม่แต่ยังเดินรถได้ช้ามันก็ยังไม่ดีหรอก คนกับสินค้าแม่งอยากเดินทางเร็วๆ
การที่แอคติวิสไทยเข้าไปนอนเล่นในคุกบ่อยๆ คงเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจด้วยอะครับ ไม่ค่อยมีการมีงานทำเลยเข้าไปหากินข้าวฟรี ประหยัดค่าใช้จ่าย
"เชิญด่าไปเหอะเรื่องที่เอาดารามาพากย์ พอด่าเสร็จแล้วก็อวยนักพากย์อาชีพ กูเห็นตัวอย่างพากย์ไทยออกมากี่เรื่องต่อให้ใช้นักพากย์อาชีพทั้งเรื่อง กูก็เห็นพวกมึงด่าทุกที แล้วสุดท้ายต่อให้เสียงพากย์ดีแค่ไหน โมเอะเท่าต้นฉบับแค่ไหน สุดท้ายพวกมึงก็เปิดซับไทยดูเสียงยุ่นอยู่ดี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>727 55555555555
This boi get it.
คนในเพจจ่าเเม่งก็ย้อนเเย้งเนาะ เวลาจ่าด่าYoulike ก็ออกมาตามด่ากันเป็นพรวน ขโมยวิดิโองั้นงี้บ้าง เเต่พอมีดราม่านักพากษ์ เเม่งออกมาชมHellgate/Corgate กันใหญ่ ทั้งๆที่พวกเหี้ยนี่เเม่งก็โจร ดูดวิดิโอฝรั่งมาพากษ์โง่ๆทับ อัพโหลดให้พวกโง่ไม่รู้engดู เก็บเงินadsเเดกไม่ต่างกับYoulike 55555
"คนที่สามารถคิดได้ว่า ถ้ามี 30 บาทรักษาทุกโรคแล้วคนจะไปหาหมอบ่อยขึ้น เพื่อให้คุ้ม เขาต้องอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ที่รพ.รัฐแอร์เย็นฉ่ำ เก้าอี้พอนั่ง ไม่มีผู้ป่วยในนอนอยู่ตามทางเดินให้รู้สึกเอน็จอนาถ เจ้าหน้าที่พูดจาดี ยังรู้สึกถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เวลาเข้ารับบริการ และที่สำคัญต้องว่างโคตรๆ เลยนะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มีลูกค้าผู้ประมาณว่า เข้ามาซื้อของแล้วเจอ พนักงานมุสลิม แล้วบอกว่าไม่ต้องการให้บริการเพราะว่าเป็นมุสลิม
ผู้จัดการก็เดินมาขอโทษ แล้วก็เชิญลูกค้าออกจากร้านไป"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พวกคนที่อยากอนุรักษ์รถไฟไทยเก่าๆ ไว้นี่ใช้บริการ รฟท. กันเดือนละกี่ครั้ง?
ช่วงที่ผมต้องขึ้นรถไฟไปเรียนนี่ลุ้นแทบทุกวันเลยนะ ไอ้เรื่องลุ้นสายกี่นาทีนี่ธรรมดา บางวันสายเป็นชั่วโมงๆ ต้องลุ้นเพิ่มเป็นพิเศษว่ามันจะยกเลิกเที่ยวนั้นมั้ย อันนี้ไม่ตลก มีกรณีแบบนี้จริงๆ คือ ผมรอรถเที่ยว 9.30 น. ที่สถานีหัวหมาก พอตอน 10.30 น. นายสถานีประกาศว่าวันนี้เที่ยว 9.30 ยกเลิก คนที่รอก็ต้องรอเที่ยวถัดไปรอบ 11.30 (ซึ่งไอ้เที่ยวนี้มา 12.00 น. อย่างเร็วที่สุด) ผมเลยต้องเดินออกมาขึ้นรถเมล์แทน
เรื่องสภาพตู้รถก็เหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องเก่าใหม่หรือหน้าตาสวยงาม ถ้ามันเก่าแต่สภาพดี ใช้งานได้ดี ผู้โดยสารสะดวกสบาย เก่านิดเก่าหน่อย ผมก็ว่าช่างหัวมัน แต่นี่มันไม่ใช่ไง
สมมติเอาตามสลิ่มว่าเลยนะ ถ้ารถไฟความเร็วสูงหัวกระสุนสวยๆเท่ๆ มันต้องใช้เงินเยอะเกิน อย่างน้อยที่สุดก็ลงทุนซื้อตู้โดยสารกับทำชานชาลาใหม่เหอะ รถไฟชั้นสามนี่คนพิการหมดสิทธิ์ขึ้นเลยนะ บันไดแม่งชันและแคบมาก คนที่บ่นๆ เรื่องบันไดประตูรถเมล์ร่วมบริการนี่ว่างๆ ไปเจอบันไดรถไฟชั้นสามก่อนเหอะแล้วจะอึ้ง เทียบกันแล้วประตูรถเมล์นี่ชายหาดเลย
ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งรถมันไม่ได้จอดตรงชานชาลาหรือบางจุดเป็นแค่ป้ายหยุดรถไม่มีชานชาลาด้วย บันไดจะลอยอยู่ห่างหากพื้นประมาณ 1 เมตร ขึ้นรถไฟแต่ละทีนี่เหมือนฝึกวิชาตัวเบา
เรื่องห้องน้ำบนรถไฟที่ปล่อยลงรางโดยตรง สภาพที่นั่ง หน้าต่าง ฯลฯ อันนี้ก็คงไม่ต้องพูดแหละ รู้กันว่ามันแย่แค่ไหน อีกอย่างส่วนใหญ่ผมเดินทางในเมือง เค้าห้ามใช้ห้องน้ำบนรถไฟอยู่แล้ว
ป.ล. รู้หรือเปล่าว่า รฟท. ทำนิตยสารรายเดือนแจกฟรีด้วยนะ (แต่ไม่รู้ว่าทำทุกเดือนมั้ย แจกที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน มีวันหนึ่งบังเอิญผมเห็นวางอยู่หน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วเลยหยิบมา) คอลัมน์ท้ายเล่มของฉบับสงกรานต์ปีล่าสุดนี่โคตรคัลท์ เป็นเรื่องของลูกแก้วดับไฟซึ่ง รฟท. ซื้อมาเมื่อ 80-90 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งบางลูกมันก็ยังคงแขวนอยู่บนหลืบเพดานเก่าๆ สักที่ที่หัวลำโพง บทความโฆษณาว่านี่ไง รฟท. ห่วงใยความปลอดภัยมาตั้งแต่เริ่มเลยนะ พอเห็นเทคโนโลยีล่าสุด(ของสมัยนั้น)ก็รีบซื้อมาใช้เลย และดูจากรูปประกอบบทความนี่การเช็คครั้งล่าสุดคงสักเมื่อ 40 ปีที่แล้ว (ถ้าเคยมีการเช็คนะ)
องค์กรนี้ไม่ได้อนุรักษ์ความเก่าแค่รถไฟนะครับ ในสายตาเค้าเทคโนโลยีของเขาทันสมัยสุดแล้วเพราะเค้ายังไม่ออกจากยุคสงครามโลกเลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พระโผล่มาขึ้นรถตู้ 5 รูป คือไร เดือดร้อนกันหมดดดดด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>732 https://www.youtube.com/watch?v=ViaP1PbQTPY เอาไปดูแล้วจะได้ใจเย็นลง
>>730 กูเจอมุสซี่เป็นพนักงานกูก็ไม่เข้าแล้วสัส
>>730 เหมือนจะคูลแต่กูว่าผู้จัดการบริหารงานไม่เป็นวะ เชิญลูกค้าคนสองคนออกจากร้าน อาจดูไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่ลองสักร้อยคนทำแบบนี้สิ เชิญออกร้อยคนเลยเรอะ แล้วถ้าเป็นแบบนี้จริง สุดท้ายร้านมันก็ต้องเลือกไล่พนักงานมุซซี่ออกอยู่ดี
หรือไม่มุซซีรับแรงกดดันไม่ไหวลาออกไปเอง
กรณีนี้ลูกค้าไม่ผิดวะ ไม่ควรโดนเชิญออก เพราะไม่ได้ก่อปัญหาใดๆในร้าน เขาแค่ไม่อยากรับบริการจากพนักงานคนนี้
แก้ปัญหาโดยเรียกพนักงานคนอื่นมาทำแทนสิ หรือทั้งร้านมีสองคน ผู้จัดการนั่นแหละต้องมาทำแทน
(ยกเว้นมันจะมุซซี่กันทั้งร้าน ลูกค้าแม่งผิดเองเสือกไม่ดูตาม้าตาเรือ XD )
ลูกค้าคนไหนไม่มีประเด็นอะไรกับมุซซี่ พนักงานมุซซี่ก็ให้บริการทำงานตามปกติ
มุซซี่สามารถทำงานต่อไปได้ ไม่มีแรงกดดัน ไม่โดนไล่ออก ไม่ต้องเชิญลูกค้าออก ร้านไม่เสียลูกค้า แก้ปัญหาง่ายๆแค่นี้เอง
"อาหารคือการพัฒนาก็เข้าใจ
แต่ถ้าแยกไม่ออก ระหว่าง อัลเฟรโด ไวท์ซอส และคาโบนาร่า
ก็ไม่ต้องเรียกมันว่า คาโบนาร่า ก็ได้นะ
เสียชาติคาโบนาร่าหมด
ปล.วัตถุดิบ เดิมมันมี กวันชาเล่(แฮมแก้มหมู) ชีสเพโคริโน่ โรมาโน่ ไข่ดิบ เกลือ พริกไทยดำ
ซึ่งจะใช้ เบคอน ชีสพาเมซาน แทนก็ได้ แต่หลักคือ มันต้องเป็น
-เนื้อรมควัน
-hard cheese
-ตัวทำข้น จะไข่ หรือ ครีมก็พออนุโลม
ชื่อคาโบนาร่า มาจาก คนงานเหมืองมันคลุกๆของที่มีแล้วแดกไวๆ ง่ายๆ
มันไม่ใช่ไวท์ซอส ไม่ใช่อัลเฟรโดแยกไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปสอนใครเขา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อาหารอิตาเลี่ยนมันอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือครับ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
>ไปแดกร้านอาหารฝรั่ง
>สั่งคาโบนาร่า
>ได้ซอสครีมขาว
TRIGGERED
nigga wut
dis aint Carbonara fam smh
ปล. ถ้าด่าว่าพวกกูกระเเดะที่บ่นว่าคนไทยเข้าใจคาโบนาร่าผิด ก็ขอให้มึงอย่าบ่นเวลาฝรั่งมันเข้าใจอาหารไทยผิดละกัน
ไอ้มิตรสหายบังก้องนี้โพสหลายห้องจัง
อาหารคือน้องของพ่อช่วยออก
#มิตร pool lost ท่านหนึ่ง
อย่าว่ากูโง่เลย ไวท์ซอส กับ คาโบนาร่า ต่างกันไง เอาขั้นตอนการทำด้วยก็ได้
นั่งเล่น pokemon แล้วมีเด็กมหาลัยมานั่งจับ pokemon ข้างๆ ด้วยความที่เลาผมสั้นมากๆ มั้ง มันก็เลยเริ่มชวนคุย "น้อง รู้มั้ย pokemon เนี่ย จริงๆความสนุกมันอยู่ที่ บลาๆๆๆๆ"
ต...ตอนผมเล่นภาค red ไม่แน่ใจว่าพี่เกิดรึยังอะคนับ
"สงสารเพื่อนที่ซื้อบ้านแถวพุทธมนฑลรอรถไฟฟ้าสายสีม่วง คือซื้อบ้านรอ 10 ปี พอเปิดบริการ แม่งนั่งรถตู้เหมือนเดิมยังเร็วและถูกกว่า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ตรรกะความคิดเรื่อง "ให้เกียรติเคารพสถานที่" เป็นอะไรที่ปิดกั้นการศึกษาของประชาชนในกะลาประเทศ ส่วนการแต่งชุดโชว์ hee หรือชุดนอนมาห้องสมุด สังคมก็ควรไปประนามกันเอง แต่ไม่ใช่ออกกฏบังคับการแต่งกาย เดินออกหอมา นึกได้ว่าอยากค้นคว้าห้องสมุด แต่เสือกห้ามรองเท้าแตะ กางเกงขาสั้น ห่าจิก ใครมันจะกลับหอเพื่อแต่งตัวเดินออกมาใหม่เป็นกิโล
ที่เมกาแทบจะกินนอนในห้องสมุด อาหารน้ำดื่ม ที่นั่งกที่นอน ห้องอาบน้ำ ใส่ขาสั้นรองเท้าแตะไปเรียนก็เห้นก้าวหน้าทางวิชาการเป็นสิบๆปีละนะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีแค่ประเทศสารขัณฑ์นี่แหละมั้งที่เอาระบบ Hazing ที่ใช้ในวงการทหารมา abuse กันมั่วๆ จากที่มหาวิทยาลัยควรมุ่งผลิตปัญญาชนก็กลายเป็นผลิตควายไปรับใช้ระบบเสียอย่างนั้น
กูสงสัยนะ ทำไมไทยไม่พัฒนาสักทีวะทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองล้าหลังเพราะอะไร
อะไรเนี่ยผิดหวังนะจ่าเป็นหมอไม่ใช่เรอะ ทำไมเห็นด้วยล่ะ "ไม่ออกความเห็นอื่นๆนะครัช แต่ขออนุญาตยกตัวอย่างว่า
ในการชกระดับอาชีพ ที่เหมือนแบบนี้เด๊ะ ก่อนชกต้องมีการเช็คร่างกาย ทั้งตรวจสมอง CT Brain ตรวจเลือด HIV ตักอักเสบ B, C (ในกรณีที่อาจมีเลือดแตกใส่กันได้) ตรวจวัดขยายม่านตา และยิบย่อยอื่นๆ
หลังชกก็ยังต้องมีการตามตรวจอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บที่จะตามมาภายหลังได้ด้วย
อาการบาดเจ็บเกี่ยวกับสมอง หรืออาการที่ส่งผลทางดวงตา เช่นมองเห็นแสง ภาพเบลอ ฯลฯ หรือเช็คระบบประสาทต่างๆก็ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยตรวจทั้งก่อนและหลังชกครัช ไม่ใช่ปฐมพยาบาลห้ามเลือดกันเฉยๆ
ความเจ็บแค่ชั่วคราว ความภูมิใจนั้นตลอดไป
อาการบาดเจ็บเรื้อรังก็ตลอดไปด้วยนะครัช"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง จากกรณีไฟท์คลับ
จ่ามันออกจากหมอแล้วหนิ ข่าวลือบอกว่าเป็นเบาหวานเลยออกไง
มองกลับมาที่พี่ไทย คลิปเปิดตัว คงไม่พ้นแต่งชุดไทยมารำฟ้อน จาพนมโชว์มวยไทย นักกีฬาขี่ช้าง ฟันดาบแทงพม่า กินอาหารไทย เสิร์ฟพริกแกง ????? อ้าว แล้วมึงจะให้เขา ขี่ม้าโพนี่มาเปิดตัวรึไง จะชมเขาก็ชมไป มึงจะแขวะ มันก็เพิ่มเลเวลความเท่ให้มึงแค่สองขีดเท่านั้นแหละ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประเทศไทยไม่ได้ผลิต การ์ตูน+เกม เป็นสินค้าหลักนับพันล้านแบบประเทสเจริญแล้ว ถึงจะมาอวดต่อชาวโลกได้
แถมพอจะผลิตเองยังโดนไอ้พวกอวยเกม+การ์ตูนคนละกลุ่มกับไดโนเสาร์ นั่นแหละเหยีบซะจมดินไม่มีโอกาสได้เกิด
#มิตรสหายอีกท่าน
จะลงทุนด้าน การ์ตูนเกม มันต้องมีเงินทุน และความคาดหวังว่าจะได้กำไรไม่งั้นมันก็ไม่มีใครทำ
ถามจริงๆวันนี้เมิงเป็นคนมีเงินจะเอาไปลงทุนกับสองด้านนี้เหรอ
เด็กรุ่นใหม่เกิดไม่ทันดูเอเชี่ยนเกมส์ตอนปี98แล้วมาแซะควรที่จะหุบปากไปคะพิธีเปิดโคตรสวยยังติดตากูจนถึงทุกวันนี้เลย #ถ้าไทยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>760 กูไม่รู้นะว่าคนที่แซะคิดไกลแค่ไหน แต่กูว่าเวลาจัดงานอะไรพวกนี้ไทยเราชอบเอาของเก่าๆโบราณๆไปโชว์ (เก่าจริงไม่จริงนี่อีกเรื่อง)
ไม่ค่อยโชว์วัฒนธรรมที่เกิดในยุคปัจจุบัน (ไม่แน่ใจว่าศัพท์วิชาการใช้คำว่า "วัฒนธรรมร่วมสมัย" รึเปล่า)
ถ้าไม่หัวโบราณมากกูว่าหลายๆอย่างเช่นการเล่นสงกรานต์หรือลอยกระทงสมัยใหม่ก็ไม่ได้น่าเกลียด นาฏศิลป์สมัยใหม่หลายอันก็เอาไปอวดคนอื่นได้
ลองดูพิธีเปิดจีนสิ เล่นของเก่าทั้งนั้น แต่เล่นได้อลังการมาก แล้วพวกฝรั้งชอบแบบนี้ด้วย ถ้าคิดในแง่งานนานาชาติ เล่นแบบนี้ละถึงจะดี ๆ
ทุกวันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเฟมินิส LGMBT เขามีรสนิยมมุกตลกแบบไหน หรือชีวิตนี้ไม่ขำเหี้ยไรเลย เป็นโรคดีเพรสชั่นได้อย่างเดียว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หลายคนอาจเคยได้ยินผลวิจัยที่บอกว่า คนที่ชอบเสพประโยค "คำคม" ที่ฟังดูลึกซึ้งแต่จริงๆ แล้วกลวงนั้น มักมี IQ ต่ำ
ผมขอทำนายเกินจากนี้ไปอีกหน่อย ว่านอกจากนั้นแล้ว คนที่ชอบเสพบทอุปมากลวงๆ ก็น่าจะมีแนวโน้ม IQ ต่ำเช่นกัน
"บทอุปมากลวงๆ" ที่ว่านี้เป็นยังไง? ตัวอย่างต่อไปนี้ผมนำมาจากเฟสบุ๊คของ ประภาส ชลศรานนท์ ขวัญใจนักอ่านผู้นิยมความกลวงครับ:
"คำถาม: คนที่คาดว่าจะมีปัญหามักได้รับความใส่ใจมากกว่าคนที่ไม่มีปัญหา คนไม่มีปัญหามักถูกมองว่า"ไม่เป็นไร" แต่จริงๆแล้วคนไม่มีปัญหา ก็ต้องการความใส่ใจเหมือนกัน ตอนนี้กำลังรู้สึกเจ็บลึกๆกับคำว่า"ไม่เป็นไร"ชักเริ่มจะเป็นคนมีปัญหาบ้างแล้วค่ะ พี่จิกช่วยสั่งสอนคนที่กำลังจะแปลงร่างเป็นคนมีปัญหาด้วยเถอะคะ
[. . .]
คำตอบ: เป็นธรรมดาสำหรับล้อที่ส่งเสียงดัง ย่อมได้รับการดูแลด้วยการหยอดน้ำมัน ขันให้แน่น หรือล้างให้สะอาด และหากล้อนั้นยังคงส่งเสียงดังอยู่เนืองๆ วันหนึ่งเมื่อถึงช่วงเวลาของการเปลี่ยนอะหลั่ย ล้อที่ส่งเสียงดังจะถูกเปลี่ยนออกเป็นล้อแรก"
ปกติแล้วบทเปรียบเทียบ (อุปมา) นั้นมีคุณค่าอย่างหนึ่งคือ มันช่วยอธิบายเนื้อหาสาระที่ซับซ้อน ลึก เป็นนามธรรม จับต้องยาก ให้เข้าใจง่าย จับต้องได้ ...เมื่อเวลาผ่านไป การใช้บทอุปมาจึงถูกเชื่อมโยงกับเนื้อหาสาระที่ลึกซึ้ง
เมื่อเป็นแบบนี้ นักเขียนจำนวนหนึ่งจึงฉวยโอกาสจากความเชื่อมโยงนี้ โดยแทนที่เขาจะใช้บทอุปมาช่วยทำสิ่งที่ลึกซึ้ง เป็นนามธรรม ให้เข้าใจง่ายขึ้น เขากลับใช้บทอุปมานำเสนอเนื้อหาสาระที่ตื้น ตรงไปตรงมา เข้าใจง่ายอยู่แล้ว ให้อยู่ในรูปแบบเปรียบเทียบ เพื่อให้เนื้อหาที่ตื้นเขินนั้นฟังดูลึกซึ้ง ราวกับเป็นอะไรที่ต้องใช้ปัญญากลั่นออกมา
แล้วคนที่หลงคิดว่าบทอุปมาเหล่านี้ลึกซึ้ง ก็คือคนที่แยกไม่ออกว่าอะไรลึกซึ้งจริง อะไรแค่ฟังดูลึกซึ้ง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>769 "เป็นธรรมดาสำหรับล้อที่ส่งเสียงดัง ...."
ถ้าเป็นสมัยตอนกูวัยรุ่น อ่านแล้วคงรู้สึกโคตรเท่ โห!!!พี่สุดยอดคิดได้ไงวะ
อายุช่วงนั้นชอบอ่านงานแนวนี้หลายคน หลงปลื้มในไอเดียประดิษฐ์คำหยิบจับอุปมา
มาคิดได้ตอนโตเป็นผู้ใหญ่ งานพวกนี้เหมือนจะลึกซึ้งแต่ตื้นกว่าตาตุ่ม
อ่านแล้วมันไม่ได้เกิดความรู้สติปัญญาเพิ่มเลยนี่หว่า มีคุณค่าแค่อ่านฆ่าเวลาชั่วคราว
พวกไอดอลคำคมยุคนี้ กูคิดว่าคงเป็นผลิตผลจากงานเขียนเหล่านั้นซึมซับกันมาทอดๆ
ยิ่งยุคนี้ชอบเสพย์อะไรไวๆง่ายๆยิ่งเข้าทางวัฒนธรรมคำคม
เป็นไงครับผ่านมา 1 คืนได้คำตอบหรือยัง ไม่ใช่แค่กระทู้คุณนะครับกระทู้อื่นที่ถามคล้ายๆกันก็ได้คำตอบแบบนี้ ไม่มีคำตอบ มีแต่ด่า ประชด ตลกไร้สาระ โทษผู้หลักผู้ใหญ่ มีแค่นี้จริงๆ
ของใหม่ไม่มีปัญญาคิดแล้วมาทำเป็นยี้ของเก่า ประเทศไทยถึงไม่ไปไหนซักที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ปุจฉา : ทำไมการ์ตูนไทยเรื่องนี้ขายไม่ออก
คนอ่าน : เป็นเพราะผุ้หลักผู้ใหญ่มันหาว่าการ์ตูนไร้สาระ.........
คนเขียน : เพราะพวกมึงไม่ซื้อของกูมาอ่านต่างหาก
คนอ่าน : เพราะการ์ตูนมึงลอกเรื่องนี้มา เรื่องของมึงแรงบันดาลใจมึงเพียบเลย การ์ตูนมึงไม่สนุกแบบวันพีช ลายเส้นมึงกากดูนักเขียนคนนี้สิวาดอย่างงาม กูคุ้นๆว่าช่องนี้มึงต้องลอกคนนี้มาแน่ๆ ไอ้พวกไดโนเสาร์มันไม่สนับสนุนมึงต่างหาก แพงมีอ่านโหลตฟรีป่ะ ฯลฯ
#มิตรนักเขียนท่านหนึ่ง
การ์ตูนไทยมีปัญหาเดียวกับหนังไทยนั้นละ ภาพผ่านแต่บทไม่ผ่าน ที่บทผ่านก็อินดี้ไป
"ถ้าจะถามว่าอะไรที่เป็น pop culture ที่มีออริจินมาจากไทยแท้ๆ เท่าที่คิดออกตอนนี้ก็มีเพลงสามช่ารีมิกซ์ เด็กแว้น กางเกงเจเจ กับเนตไอดอลขายครีมเนี่ยแหละครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ชุดนักศึกษาหญิงไงครับ
เป็นป๊อปคัลเจอร์ที่กระตุ้นแรงขับดันได้ดียิ่ง"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"วันนี้มากรมศุลกากร ดูการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประมูลกันอยู่ดีๆ พนักงานประมูลก็ประกาศยกเลิกประมูลรถบางรายการโดยไม่บอกเหตุผล ที่ยกเลิกนั้นเป็น Bentley และ Porsche
คนที่อยู่ตรงนั้น (น่าจะเป็นพันคน) ก็รู้กันดีอะนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครโวยวาย แล้วก็ประมูลกันต่อไปแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ครับ แล้วก็ด่านักการเมืองโกงกันต่อไปครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้าหมายถึงที่ดัดแปลงก็พอนับเป็นของไทยได้ แบบเดียวกับที่เพลงของบาคไม่ใช่เพลงจีนนั่นละ
ก็เหมือนก๋วยเตี๋ยวเส้นต่างๆที่กลายมาเป็นของไทย
ทำไมเกม+การ์ตูนถึงถูกมองว่าไร้สาระ ในไทยonly ฉบับเกรียนๆ
เพราะมันทำให้คนเสพย์กลายเป็นพวกโทษแต่คนรุ่นก่อน
Gen Z ก็ไอ้คนยุคก่อนแม่งเสือก ล้างสมองพวกกู สร้างหนี้ให้พวกกู เฮ้ย แม่ขอเงินไปแต่งซิ่งแว้นท์หน่อยดิ้
Gen Y ควยเหอะกูก็อ่านดรากอนบอล สแลมดั้งส์ เล่น FF7 สัส ต้องโทษยุคก่อนนั้นโว้ย เฮ้ยเดี๋ยวโดดเกมไปเล่นเกมป่ะ
Gen X กูยังทันกอตซิลล่า มาชินก้า อะตอม หน้ากากเสือ นะไอ้หนู เดี๋ยวปั้ดโซตัสพวกมึงเลยไปโทษพวกคนรุ่นก่อนสิวะ
Baby Boom เสพย์นิยายจีน นิยายเก่านั่งเล่นมือถือเหล่มอง รวยให้ได้อย่างกูก่อนค่อยมาเสือก ต้องไปโทษไอ้พวกในหลุมโน่นเว้ย
ยุคสงครามโลก กูตายไปแล้วไอ้พวกเหี้ยนี้ยังขุดมาอ้างกูทำไมวะ
สรุป ไม่ดูตัวเองก่อนเลย อิง >>772
เพื่อนผมก็ไปประมูลรถมาเหมือนกันมั้ง
ผมยังด่ามันว่าโง่อยู่เลย มันน่าจะเอาเงินไปซื้อหมวกบาโฟใน Rag ใส่ดีกว่า
"คำวิจารณ์ Citizenfour ที่ประทับใจที่สุด
"ห่า มีเมียแล้ว ทำไมไม่บอกตั้งแต่ในเทรลเลอร์"
555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"กาลเทศะนี่มันควรจะเป็นเรื่อง ทุกคนในพื้นที่นั้น(เคย)ตกลงร่วมกันไง
ไอ้ฝั่งใดฝั่งนึงกำหนดฝ่ายเดียวให้ที่เหลือต้องทำนี่คือ "คำสั่ง" อย่าอ้างกาลเทศะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ครั้งหนึ่งมีเรื่องงมงาย ไปหลอกกับนักข่าวไทยไปทำสกู๊ป ว่าภาคใต้กับภาคกลางของไทยอนาคตจะจมน้ำทะเล
ทำให้ผู้คนต่างแตกตื่น รีบไปซื้อที่ดินซื้อบ้านที่ภาคเหนือกัน นายหน้า,พ่อค้า,บริษัทอสังหาต่างรวยปลิ้นไปตามๆกัน
ตกลงตอนเรียนพวกมึงเรียนวิชาสังคมศึกษากันมาบ้างไหมครับ
#มิตรสหารท่านหนึ่ง
เมื่อวานนี้พม่าเกิดแผ่นดินไหวอีกแล้ว รุณแรงจนทำให้วัดเก่าแก่พังทลาย
ประเทศไทยที่อยู่ใกล้เขตก็รู้สึกไปตามๆกัน บางครั้งก็ทำให้บ้าน,วัดของไทยเสียหายตามไปด้วย
ส่วนพวกภาคล่างๆบอกกูไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย
พวกมึงเสียเงินเพื่อหนีน้ำไปเจอะแผ่นดินไหวเหรอวะ
#มิตรสหายเจ้าเก่า
น้ำมันก็จะท่วมจริงนะ แค่ในอีกหลายสิบปีหลังจากนี้เท่านั้นละ
"กูขำชิบหาย ตอนละครมีฉากขมขื่นแล้วจัดเรตติ้งไม่ตรงนี่ออกมาด่ากันจังโดยเฉพาะไอ้พวกเกมเมอร์ พอมีกรณีเล่นเกมเปิดเกมให้เด็กดูไม่ตรงกับเรตติ้งนี่อ้างนู่น อ้างนี่ไปเรื่อย ปกป้องกันฉิบหาย สองมาตรฐานสัสๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อาหารที่มันดัดแปลงใส่อะไรแปลก ๆ ลงไปนั้น จะไม่โดนด่าเลยถ้ามันออกมาอร่อยและผู้จ่ายเงินซื้อไม่รู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบ ไอ้ที่ว่าไม่ทำตามต้นตำรับเอย แหกคอกเอย ไม่ไทยเลย มันเป็นเพียงชุดคำสั่งอัตโนมัติที่เอาไว้ใช้ทับถมให้จมตีน
#อยากกินน้ำตกใส่ตับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"มุสลิมยุโรปนี่ตลก สู้กับรัฐบาลฝรั่งเศส หาว่าเป็นเผด็จการที่บังคับห้ามสวมเบอร์กินี โดยเพื่อจะได้มีเสรีภาพที่จะใส่ชุดที่ถูกบังคับตามหลักศาสนา ไม่แคร์ครับ เห็นใจผู้หญิงอิหร่านมากกว่าเยอะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>790 รัฐบาลเเม่งน่าจะงงตายห่า กะจะเอาใจFeminaziด้วยการห้ามสไตล์การเเต่งตัวที่"Oppress"ผู้หญิง เเต่เสือกโดนFeminaziด่าอีก
ถ้ามีลุงคอนเซอร์เเก่ๆ ออกมาชมว่าเเต่งตัวปิดเเบบเบอร์กินีดีเเล้ว ผู้หญิงควรจะปกปิด ห้ามใส่โชว์ เดี๋ยวก็โดนพวกนี้ด่าอีกว่าผู้หญิงมีสิทธิเปิด
เอาใจยังไงก็ไม่ได้ พวกFeminaziห่านี่ 555
ไม่ควรห้ามเพราะจะกระทบมุสลิม...
แต่อันนี้ห้ามเพราะกลัวจะกระทบมุสลิม
https://www.youtube.com/watch?v=mTlr0707vLU
ตอบไปว่าจะใส่อะไรก็เรื่องของพวกมึง แต่ถ้ามีกรณีระเบิดฆ่าตัวตาย กูจะห้ามพวกที่ใส่ผ้าคลุมทั้งตัว เพราะกูถือความปลอดภัยส่วนรวมเหนือความเชื่อส่วนบุคคล
ผมว่าเป็นนกต่อของสันติบาลครับ
มันหลอกกันแบบนี้ทำคนเกมกันง่ายๆ ตอนอยู่ในคุกผมเจอสาธุคุณสมาร์ทของโบสถ์ซึ่งเคยเป็นแหล่งกระจายของแห่งใหญ่ของแพนซิเวเนีย
สมาร์ทเป็นหนึ่งในคนดำที่ฉลาดที่สุดที่ผมเคยเจอ คือมีความเคี่ยวแบบยิว และกลยุทธแบบลิงเหลืองในตัวคนเดียว เขามีทัศนทางเทววิทยาแบบพิเศษซึ่งอาศัยการใช้เนื้อในการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า เหมือนที่นักบุญแถบแอฟริกันในอดีตเคยทำ ก่อนที่วาติกันของคนขาวจะเข้ายึดครองศาสนจักร
สมาร์ทอาศัยศรัทธาของพี่น้องรอบๆและความช่วยเหลือของพวกริเบอรัลนิยมเสรีเนื้อ ทำให้สันติบาลไม่กล้ารวบตัวแม้จะมีหลักฐานภาพถ่ายการส่งเนื้อคาตาก็ตาม
จนกระทั้ง มีคนโทรมาแบบนี้แหละ อ้างว่าโทรมาจากเมืองชาร์ลสตัน เซาท์แคโรไลนา อยากให้สาธุคุณสมาร์ทไปบรรยายเรื่องหลักฐานว่าความจริงพระเยซูเป็นคนดำ วิธีการคัดแยกคุณภาพเนื้อ และหลักฐานการใช้เนื้อของนักบุญยอห์นซึ่งทำให้เข้าถึงวิวรณ์
สาธุคุณสมาร์ทเห็นแก่พระเจ้ามากเกินไปจนไม่เฉลียวใจเลยว่าเป็นแผนของพวกสันติบาล จึงเกมกันง่ายๆทันทีที่ล้อของเครื่องแตะพื้นรันเวย์ของสนามบิน
อย่าไปเชื่อตัวล่อของสันติบาลครับ ถ้าจะเสวนาต้องทำในถิ่นของเรา และต้องเริ่มงานหลังจากที่ทุกคนตาลอยแล้วเท่านั้น พวกสันติบาลจะไม่มีความสดพอทำให้เมาง่าย แยกจากพี่น้องเราได้ง่ายๆครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูว่าปัญหาจริงๆของfeministคือ แม่งไม่ได้กำหนดเป้าหมายกับอุดมการณ์ของกลุ่มตัวเองให้ชัดเจน เพราะมันมีทั้งfeministที่เชื่อว่าพวกมึง อย่าดูถูกกู กูสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนผู้ชาย ไม่ต้องอ่อนข้อให้กู กับพวกที่เชื่อว่าผู้หญิงควรได้อะไรหลายๆอย่างมากกว่าผู้ชาย เพราะตัวเองอ่อนแอและใช้ชีวิตได้ลำบากกว่า เลยถือว่าเป็นสิทธิที่แม่งควรได้รับ ทีนี้พอมึงเอาใจฝั่งหนึ่ง มึงก็จะโดนอีกฝั่งหนึ่งด่า แม่งน่าจะแยกประเภทไปเลยกูจะได้เดาใจถูก พอเป็นแบบนี้แล้วกูว่าfeministแม่งก็เป็นได้แค่ก้อนขี้ก้อนนึงที่แม่งเรื้อนไปทั่วมากกว่า
>>797 ผมเป็นคนดำครับ พวกคนขาวขี้นกเคยเอาปู่ทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของผมไปเป็นทาสเมื่อน้านนานมาเเล้ว ตอนนี้ผมยังเจ็บปวดไม่หาย ขอWelfareหน่อยครับ จะเอาไปซื้อไก่ทอด
'mufaka nigguh
>>797 ผมเป็นยิวครับ พวกคนขาวขี้นกเคยเอาปู่ทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของผมไปรมเเก๊สเมื่อน้านนานมาเเล้ว ตอนนี้ผมยังเจ็บปวดไม่หาย ขอHolocaust Reparationsหน่อยครับ จะเอาไปซื้อKippah
Oy Vey
"Fight Club Thailand ที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังอยู่ตอนนี้สะท้อนให้เห็นสภาพโดยรวมของประเทศว่าอดอยากกันขนาดไหน จากการสอบถามหลายฝ่ายได้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกนี้ #ต่อยเอามัน กันอย่างเดียว เราก็เคยแต่ได้ยินคนอื่นเล่าว่าลำบากขนาดไม่มีข้าวกินได้แต่ขุดเผือกขุดมันกิน แต่นี่ถึงขนาดต่อยแย่งมันกันแล้วหรอ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ตอนเรียนมหาลัยเคยถูกอาจารย์ฝ่ายระเบียบตำหนิเรื่องเสื้อใส่ในกระโปรงไม่เรียบร้อย และนำเรื่องไปเเจ้งให้อาจารย์ที่ปรึกษาทราบเพื่อตักเตือน เวลานั้นอาจารย์ที่ปรึกษาคืออ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เราก็รอไป อาจารย์ก็ไม่เรียกสักที จนถึงวันที่ต้องพบกันตามระเบียบ อาจารย์ก็สอบถามเรื่องการเรียน เรื่องหัวข้อการค้นคว้าที่สนใจ มิพักจะเอ่ยถึงเรื่องการเเต่งตัวจนเราต้องสอบถามอาจารย์เอง คำตอบที่ได้กลับมาคือ
"ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณแต่งตัวยังไง ผมสนใจว่ามีอะไรอยู่ในหัวคุณมากกว่า"
เรื่องนี้อาจารย์อาจจำไม่ได้ เเต่สำหรับเรามันเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้กลับมาทบทวนอะไรหลายๆอย่าง
โดยตลอดมา สถาบันการศึกษาของไทย ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่สถานที่ให้ความรู้ หากเเต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะค่านิยม กฎระเบียบเเละจารีต วิถีประชา ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ต่อต้านทั้งหมด การบังคับบางอย่างมันก็มี function ของมัน
เเต่มองในอีกด้าน การรับความรู้จากสถาบันอาจเป็นไปได้ยากมาก หากเราไม่เชื่อฟังระเบียบเหล่านี้ ผลิตผลที่ได้จึงเป็นการสร้างคนที่มีชุดความคิดความเชื่อที่ค่อนไปในทางเดียวกันหมด ทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นคนมีการศึกษาที่คิดอ่านอะไรใหม่ๆออกมา หรือถ้ามี แม้การต่อต้านเพียงน้อยนิดก็จะถูกค้านอย่างแรง ไม่ว่าการอ้างเหตุผลนั้นจะเป็นไปตามตรรกะหรือไม่ แต่ก็ต้องห้าม เพราะเราทนให้มีแกะดำในสังคมกันไม่ได้
มันจึงน่าขันมาก เวลาเห็นผู้ใหญ่บอกว่าอยากเห็นพลังเเละความคิดของคนรุ่นใหม่ แต่ก็ไม่เคยปล่อยให้คนรุ่นใหม่มีความคิดกันจริงจังซะที คนรุ่นใหม่ที่จะถูกสถาปนาเป็นแบบอย่างก็ต้องมีชุดความคิดแบบเก่า สุดท้าย คนรุ่นใหม่ตามที่ว่า จึงทำหน้าที่ได้เป็นเพียงภาชนะเปลี่ยนถ่ายย้ายโอนชุดความคิดแบบเดิมๆนั่นเอง
#คุณยายวรนาถไหมล่ะมึง #รีเมคกันเข้าไป"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก็คนรุ่นใหม่มันไม่เข้าไปแก้เองข้างในไงคับ เก่งแต่บ่นๆๆหน้าจอแล้วก็อ้างกูเข้าไม่ได้(กากว่างั้น)
#มิตรสหายอีกคนหนึ่ง
เขาเรียกว่า slacktivism
ปากดี แต่ไม่เคยลงมือทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงซักอย่าง
แต่พอมีคนจะเปลี่ยนไรสักอย่างที เห็นมีคนมาดิ้นเป็นแภบๆเลยนะฮ๊าฟฟ
"คุณอย่าคิดอะไรมาก ประเทศนี้ไม่ใช่ของคุณ อยู่ๆไปเถอะ คิดซะว่าเช่าเค้า ทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขไป สิ้นเดือนรับตังค์ แดกข้าว อยากไปเที่ยวไหนก็ไป ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อยู่ๆไปเหอะ"
- ธเนศ วงศ์ยานนาวา
"อย่างหนึ่งที่เรารู้แน่ๆ คือว่ายังไงมันก็ต้องมีพรุ่งนี้อีก ยังไงก็มีวันพรุ่งนี้ ยังไงก็มีอนาคต ระบอบอำนาจแบบ คสช. นี่ ไม่มีทางที่จะยืนยงคงอยู่ ตลอดไปได้ ปัญหาอยู่แค่ว่ามันจะล้มไปเมื่อไหร่ ผมจะได้มีโอกาสไปเจอพวกคุณที่กรุงเทพดูวันที่ระบอบแบบนี้ ที่กดหัวคนมันล่มหรือไม่ ผมก็ยังไม่แน่ใจนะ อาจจะไม่มีโอกาสก็ได้
แต่พวกคุณ ซึ่งโดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อยนี่จะมีชีวิตอยู่ ทันได้เห็นวันนั้นแน่นอน อันนี้ผมมั่นใจ ก็ขอเป็นกำลังใจแก่ทุกคน อย่างที่บอกคืนนี้กลับไปนอนหลับให้สบายเลยไม่ต้องคิดอะไร หยุดพักผ่อน 2-3 วัน เป็นอาทิตย์ก็ได้ เรายังมีเวลา เวลาอยู่กับเรา อนาคตอยู่กับเรา ราตรีสวัสดิ์ล่วงหน้าจากปารีส"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประชาธิปไตยมันทำให้กูอิ่มท้องไหมครัช
#มิตรกรรมกรท่านหนึ่ง
60 ปีที่ผ่านมาก็อำมาตย์ซะส่วนใหญ่นะ มึงอดตายรึยัง บางยุคอย่างสฤษ เปรม อานันเป็นยุคที่แรงงานไทยเติบโตที่สุดด้วย
ว่ากันตามตรง ระบบอำมาตย์ที่ผ่านมามีความมั่นคงทางแรงงานมากกว่าสมัยนี้หลายจุด แต่ในแง่หนึ่ง ความมั่นคงคือการเติบโตช้าเช่นกัน
ระบบอำมาตย์ แรงงานรุ่งสัสๆเวลานี้
จีน
เวียดนาม
เช้านี้เจอคนเยอรมันพูดแรง ๆ เหมือนตบหน้าคนไทยไปครึ่งประเทศ
** ก่อนที่จะมาม่า.. เรื่องนี้เป็นแค่มุมมองของต่างชาติคนหนึ่งที่ได้เจอและมาคุยด้วย.. ต้องการเสนอให้เห็นและลองฟังดูความคิดในมุมที่เราอาจจะคิดไม่ถึงนะฮะ ไม่ได้เหมารวมว่าต่างชาติทุกคน หรือคนชาติใดชาติหนึ่งจะคิดเช่นนี้ทั้งหมด .. อ่านแล้วใจร่มๆน้าาา**
ขณะนั่งอยู่ Au Bon Pain ทองหล่อ ผู้ชายเยอรมันร่างใหญ่ที่นั่งข้าง ๆ ก็เข้ามาพูดจาค่อนข้างตรงว่า "ทำไมคุณถึงใช้มือถือ!? คุณควรหันมาใช้ชีวิตมากกว่า!!!"
บอกเลยรู้สึกว่าพี่แกไม่น่ารัก
แกบอกว่าคนเราต้องคุยกันต้องสบตากัน วันนี้เค้าทำธุรกิจ มีพนักงาน 200คน เค้าไม่ใช้มือถือ ไม่มีอีเมล
"การที่เราเปิดให้คนสามารถติดต่อได้ตลอดเวลานั้น ทำให้คนไม่เคารพเรา เค้าอยากคุยงานเมื่อไหร่ก็ได้ อยากรบกวนเราเมื่อไหร่ก็ได้ มันจึงไม่มี respect ต่อกัน!"
นาทีนั้นผมก็แอบคิดว่า พี่มาคุยกับผมขณะทานอาหารเช้าโดยที่ผมไม่ได้เชื้อเชิญนี่มันมี respect แล้วหรือฟระ!?
แต่ผมฟังต่อ.. (เพราะแกก็พูดไม่หยุด)
เค้าบอกว่า เค้าบินทุกสัปดาห์ เค้าไปหลายประเทศเพราะถ้าเค้าจะคุย เค้าต้องได้เห็นหน้า ได้มองตาขณะพูดคุย ไม่ใช่พิมพ์
มือถือในปัจจุบันทำให้ทุกคนเห็นแก่ตัว "it's all about me me me me!!!"
พูดมาซะเยอะขนาดนี้ เอาล่ะ งั้นตาผมถามบ้าง
"คุณทำอาชีพอะไร?"
พี่เยอรมันหัวแข็งคนนี้บอกว่าแกทำธุรกิจเกี่ยวกับผ้าและที่นอน .. แกบอกว่า แกมาเมืองไทยเมื่อ 27ปีก่อนกะว่าจะมาเที่ยว 3วัน แต่หลังจากได้มาแล้ว แกก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย
"ทำไม?? ติดใจสาวไทย?"
เปล่า.. เมืองไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลก.. คุณเชื่อผมได้เพราะผมเดินทางบ่อย และไปมาแล้วไม่ต่ำกว่า 60ประเทศ
ที่ผมชอบเมืองไทยเพราะประเทศนี้อยู่ง่าย และ "คนไทยเห็นแก่ตัว"
ทำงานกับคนเห็นแก่ตัวนี่มันง่ายมาก! ทุกคนต้องการ "เงิน" เมื่อคุณรู้ว่าคนที่ทำงานกับคุณต้องการอะไร คุณก็ชนะแล้ว
"จะมีอะไรในชีวิตนี้ที่ง่ายกว่าการจ่ายเงิน"
.... ผมเริ่มรู้แล้วว่า ฝรั่งคนนี้แม่งพูดจาได้เจ็บถึงทรวงแต่ตรงไปตรงมาและน่าสนใจ...
เริ่มยาวแล้ว ขอไปเขียนเต็ม ๆ ใน medium นะครับ...
ทำไมกูถึงคิดว่าเรื่องที่บอกว่าคนต่างชาติพูดนี่เป็นเรื่องแต่งแทบทุกเรื่องเลย
นึกถึง fw mail ในตำนานที่เรียกน้ำตากันรัวๆ
ไม่รู้สินะ จากประสบการณ์ของกูฝรั่งใช้อีเมล์มากกว่าคนไทยเยอะมากๆ
แล้วที่น่าแค้นใจอย่างหนึ่งคือ พวกนี้คือพวกที่ชอบด่าตำรวจจราจร ด่าพวกคนรวย ด่าพวกขับรถแพงๆ ด้วยสารพัด hate speech เต็มโลกออนไลน์....แต่ตัวเองก็ยังทำปิดกฎจราจรจนเป้นนิสัยและทำโดยตั้งใจ ด่าตำรวจเรื่งอตั้งด่านแต่พอไม่ไม่ด่านก็ไม่คิดจะใส่หมวกกันน็อคหรือคาดเข็มขัดนิรภัย
แถมเดี๋ยวนี้มีข้ออ้างกับตำรวจด้วยนะว่า เห็นใจคนทำมาหากินรายได้น้อยหน่อยเถอะ...โอ้ สมัยนี้นอกพวกอ้างยศอ้างตำแหน่งอ้างพ่อมาอวดเบ่งแล้ว ยังมีพวกอ้างความจนในการทำผิดกฎจราจรด้วยหรือนี้..ว้าว!
มีเงินซ์้อมอเตอร์ไซต์ราคาหลายหมื่น แต่หมวกกันน็อคแค่ใบละ500ก็ได้ของเกรดดี ไม่มีเงินซ์้อเหรอ??? ใบขับขี่อันนิดเดียวบอกเกะกะไม่อยากพก แต่แท็บเล็ตจอแทบเท่าหน้า กระเป๋าเครื่องสำอางเยอะยังกับจะเอาไปขาย หอบหิ้วไปไหนมาไหนได้ไม่รู้สึกเกะกะ
ลุงเคยเจอหลายครั้งแล้วนะ รถหรูรถแพงขับดีมีมารยาท หยุดหลังเส้นหยุด ในขณะที่มอเตอร์ไซต์จอดเลยเส้นกันเป็นแถว
กับครั้งหนึ่งเคยเจอกระบะอีซูซุโฉมมังกรทอง เปลี่ยนเลนแบบปาดหน้าจนปาเจโร่สปอร์ตที่ขับตามมาเบรคแทบหัวทิ่ม แล้วท้ายรถกระบะคันนนั้นมีสติ๊กเกอร์ตัวเบ้อเริ่มแปะไว้ว่า ไร้ซึ่งศํกดินา....โถ ขับรถแบบนี้ก็ไร้ศํกดินาต่อไปเถอะ
ในชีวิตลุง ลุงรำคาญและเกลียดคนพวกนี้ยิ่งกว่าตำรวจที่พวกเราด่าๆกันเสียอีก เพราะคนพวกนี้ก็คือตัวการทำให้มีตำรวจเลวๆเกิดขึ้นได้ แถมคนพวกนี้ยังก่อความเดือดร้อนต่อชีวิตลุงโดยตรงเสียด้วย แถมยังมาแอบด่าตำรวจและชุบตัวให้ดูเหมือนว่าฉันคือผู้ขับขี่ที่แสนดีและบริสุทธิ์ในโลกออนไลน์อีกต่างหาก
เรากดดันตัวเองกันมากไปหรือเปล่า?
เราได้คุยกับนักธุรกิจในวงการการเงินมากหน้าหลายตา
ทุกคนไปถึงยอดเขาของสายอาชีพแล้วเป็นผู้บริหาร เป็นเจ้าของกิจการบางอย่าง
เราบอกพวกเค้าว่าเราเครียด ไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี สับสน
รู้สึกหลงทาง
ถ้าเป็นผู้ใหญ่หลายคนคงใช้โอกาสนี้เปรียบเทียบและพูดว่า
"โอ้ย ตอนสมัยรุ่นผมนะลำบากกว่าคุณอีก...."
แต่ไม่เลย
สิ่งที่ทุกคนบอกเราคือ "คุณอายุแค่ยี่สิบกว่าเองนะ ทำไมคิดว่าชีวิตจบสิ้นแล้ว อย่าเพิ่งรีบกดดันตัวเองว่าต้องสำเร็จสิ"
พวกเขาพูดต่ออีกว่า
"คำว่าประสบความสำเร็จนี่มันเป็นกับดักนะ คุณต้องระวัง เพราะคุณได้ยินคำนี้บ่อยก็จริง แต่แต่ละคนตีความคำนี้ต่างกัน
บางคนแค่ได้มีเงินเก็บ กินอะไรที่อยากกินได้ คือสำเร็จ
บางคนคิดว่าความสำเร็จคือการไต่ไปให้ถึงตำแหน่งสูง มีเงินเดือนหกหลัก มีรถ คือสำเร็จ
แต่กับบางคนการได้มีครอบครัวอบอุ่น มีสายสัมพันธ์กับคนรอบตัว คือสำเร็จ"
เค้าพูดแทงใจดำเด็กจบใหม่อย่างเราเพราะเค้าพูดถูก
เราเห็นเพื่อนเรียนต่อเลยอยากหาอะไรเรียนต่อบ้าง
เห็นเพื่อนมีงานทำเริ่มเช็คอินบริษัทเลยกดดันต้องหางานบ้าง
แต่เราไม่เคยหยุดถามตัวเองชัด ๆ เลยว่าเราต้องการทำอะไรกันแน่ ได้แต่ไหลไปตามกระแสของความกดดันของเด็กจบใหม่
"กลับบ้านวันนี้มีการบ้านให้คุณข้อนึง"
ไปนั่งคิดช้า ๆ ว่าชีวิตคุณต้องการอะไร?
อะไรที่คิดว่าถ้าทำแล้วชีวิตนี้มีความหมาย
ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใครนะ ตัดคนอื่นออกไป
ถามตัวเองเงียบๆ คนเดียว
"คุณรู้ไหมสิ่งที่คนแก่อย่างผมเสียดายที่สุดคืออะไร?"
มันคือการที่ผมเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ทั้งที่ความฝัน และคำว่าประสบความสำเร็จของเรานั้นไม่เหมือนกันเลย เรามองไปที่ภูเขาคนละลูกแต่ผมกลับเขวและเสียเวลาปีนเขาลูกที่ไม่ได้อยากพิชิตอยู่ตั้งนาน"
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนหลายคนที่ขาดความรุ้ด้านการแพทย์นี้ผมเข้าใจนะ แต่ ช่วยกรุณาทำตัวเป็นแก้วที่น้ำยังไม่เต็มด้วยก็จะดี ไม่ใช่ให้ความรู้อะไรไปก็รังจะเอาแต่อคติมากั้นไม่ยอมรับฟังแล้วก็ตั้งแหง่ต่อไป
เรื่อง ณเดช นี้บอกตรงผมเจอที่ไรก็ระอากับเหตุผลที่ยกเอามาด่าของพวกเดิมๆ ทั้งๆ ที่จริง ณเดช มันก็เป็นพวกที่ได้รับการยกเว้นตามระเบียกองทัพและรักษาสิทธิด้วยของตัวเองด้วยการทำตามระเบียบจนได้รับการยกเว้นโดยไม่ได้ ยัดเงิน เล่นเส้น หนีทหารอะไรเลย
ปล. ไม่ต้องมาแขวะผมนะ ผมแค่พูดเป็นกลางตามความจริง ถ้าจะอะไรก็เอาเหตุผลมาพูดกันดีกว่า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
(แถวสะพานผ่านฟ้า)
ไอ้เหี้ย
ขนาดน้ำเน่าจนปลายังอยูไม่ได้แต่เหี้ยนี่แม่งอยู่ได้
เหี้ยนี่มันเหี้ยจริมๆ
http://imgur.com/zLoLdc5
#มิตรมุขแป๊กท่านหนึ่ง
"ไม่อยากคาดหวังอะไรมาก
แค่อยากมีห้องชุดเล็กๆ แบบพอเพียง
ย่านสาทรหรือสุขุมวิท
ใช้ชีวิตพออยู่พอกินไปวันๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปลูกผักออร์แกนิคแดกเองที่ระเบียง เอามาทำ rocket salad กะเนื้อสัตว์ออแกนิคที่มึงซื้อมาจาก Farmer's maket พร้อมจิงกาแฟดริป จากเม็ดกาแฟ Monmouth"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"คนพวกนี้เหมือนตัวตลกที่น่าสมเพช เพราะมันตอแหล พฤติกรรมตรงข้ามกับคำพูด ปากบอกว่าชอบชีวิตง่ายๆ แต่ดันทำอะไรให้ยุ่งยาก พยายามแสดงความเป็นตัวของตัวเอง แต่บ้ายี่ห้อ เห่อตามแฟชั่นทุกอย่าง บอกว่ารักสงบ รักความสันโดษ แต่โพสต์ลงโซเชียลทุกช็อต ชอบพูดจาแบบนักปรัชญา แต่ใช้ชีวิตที่มีแต่เปลือกหาคุณค่าสาระอะไรไม่ได้"
(มิตรท่าแซะท่านหนึ่ง)
เหตุการณ์นี้แต่งจากเค้าโครงเรื่องจริง
มีขี้กองใหญ่ลอยตามแม่น้ำมาผ่านจังหวัดแล้วจังหวัดเล่าจนมันไปกองกันเหนือเขื่อนแม่น้ำสะสมจนมีขนาดใหญ่นับหมื่นตัน
ก็ไม่มีหน่วยงานใดกล้าเข้าไปเกี่ยวข้องต่างปัดว่ามันผ่านเขต มันแตกตัวที่เขตมึง เขตมึงปล่อยกองนี้ออกมา ฯลฯ ต่างคนต่างเกี่ยงเพราะเป็นเคสใหญ่ใช้งบประมาณสูงจนคนอาจตั้งแง่ว่ามึงแดกแน่ๆ ก็เลยไม่มีใครทำกัน
ระหว่างนั้นขี้ยักษ์ก็สร้าความเดือดร้อนให้ประชาชน ซ้ำยังอุดตันจนเสี่ยงน้ำท่วมได้ จนหน่วยงานใหญ่ต้องออกโรงเองทันที โดยการส่งลูกน้องในสังกัดโดยตรงลงไปตากแดด ตากฝน ตากน้ำว่ายไปคลุกขี้ ช่วยกันเอาขี้ขึ้น ขนไปทิ้งใช้เวลาหลายวันจนแล้วเสร็จ
ท่ามกลางความสำเร็จ อยู่ๆก็มีนักวิชาการเกาไข่ในห้องแอร์เดินออกมาชี้ว่า ทำไมพวกมึงไม่เอาขี้ไปสร้างประโยชน์วะ
หัวหน้าหน่วย มองกองขี้และสารรูปลูกน้องที่เละตามขี้ เลยองค์ลงสวนไปว่ามึงก็เอาขี้ไปผัดให้เตี่ยมึงแดหสิ
วันต่อมามี อ.จากสถาบันชื่อดัง ได้ลงมาโปรตสัตว์แด่สาวกโพสข้อความโชว์ว่า หัวหน้าคนนั้นช่างเขลาไม่รู้อะไร ขี้นั้นแดกได้นะครับ มันมีทั้งภูมิปัญญาชาวบ้านที่เอาขี้มาแดกถึงขั้นหลอกให้แดกขี้กันมานานเนแล้ว แม้แต่ญี่ปุ่นยังเอาขี้มาปรุงใหม่จนมันแดกได้ พร้อมยังกางเอกสารศิลาจารึก ใครใคร่แดกแดกขี้ได้
ต่อมามีคนไปเถียงว่า เป็นอ.ห่าอะไรพูดไม่หมด มึงคิดว่าขี้กองในแม่น้ำมันได้ที่ไหนวะ ทั้งโรคสารพัด ทั้งหมาขี้ ขี้จากโรงงาน ฯลฯ
อ. จึงแถออกมาหล่อๆว่า กูพูดถึงขี้ที่สะอาดครับ
เหล่าสาวกอ. จึงออกมาป้องรัวๆ ท่านอ.พูดถึงขี้สะอาดโง่ๆอย่างพวกมึงอย่ามาอวดรู้เว้ย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่นักปราชญ์ยังพลาดเรื่องขี้ๆ
#มิตรชิมขี้มูกท่านหนึ่ง
เสือกแล้วคิดว่าหล่อเอง ช่วยไม่ได้
"อยากพูดเรื่อง #เนติวีส กับสินกำ แต่กลัวโดนชาวสินกำอันเฟรนด์ แต่ก็คิดว่า ความกลัวไม่กล้าแสดงความคิดเห็นแหละคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศก้าวถอยหลังอยู่อย่างนี้
-
เราไม่สามารถพูดถึงโครงสร้างอำนาจในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้ โดยไม่โหนโครงสร้างอำนาจของสังคมไทย เพราะจุฬาฯ อ้างตนเป็นเสาหลักของแผ่นดิน คือ อ้างว่า นิสิตของที่นี่จะจบไปเป็นใหญ่ในวงการต่าง ๆ เป็นเสาค้ำจุนประเทศ และถ้าจริงตามอ้าง สภาพแวดล้อมและโครงสร้างสังคมของจุฬาฯ จึงส่งผลอย่างมากเพราะคือ "โรงเรียน" แห่งสุดท้ายก่อนที่ "นิสิต" จะกลายเป็นนักเขียน คุณหมอ วิศวกร สถาปนิก หรือแม้แต่ศิลปิน
-
เด็กอักษรฯ ทุกคนคงรู้วดีว่า คณะอักษรศาสตร์ยกเลิกระบบห้องเชียร์แบบเดิมที่มีการกดดันน้องด้วยจุดประสงค์ต่าง ๆ ไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน กลุ่มคนที่ริเริ่มมีนโยบายให้ "ล้มห้องเชียร์" ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนเป็นพี่เชียร์เก่าหรือนักกิจกรรมในคณะทั้งสิ้น เรียกว่า ล้มตัวเอง ก็ไม่ผิด
-
หันไปมอง 2 คณะเพื่อนบ้านสายศิลป์ ทั้ง 2 คณะยังมีระบบห้องเชียร์ที่เหนียวแน่น กิจกรรมยาวนานประสมกับการกดดันน้องแบบต่าง ๆ ด้วยจุดประสงค์หลากหลายแต่ไม่ต่างกันมากนัก
-
เมื่อสังคมภายนอกเริ่มต่อต้านระบบ SOTUS ก็เกิดมีการ "อ้าง" จุดประสงค์ใหม่ คือเพื่อฝึกน้องให้อยู่รอดตลอด 4 ปี และเตรียมนิสิตให้พร้อมใช้ชีวิตในสายอาชีพหลังเรียนจบ ฯลฯ
-
ตอนที่เราเป็นประธานเชียร์ เราก็เชื่อใน 2 เหตุผลนี้ แต่ตอนนี้คณะอักษรศาสตร์พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า ไร้สาระ
-
2 ปีที่ไร้ระบบเชียร์ นิสิตอักษรศาสตร์ทุกชั้นปีอยู่รอด สบายดี (ไม่นับเรื่องสอบตก นกผู้ชาย แฟนเก่ากลายเป็นกะเทย ฯลฯ) และตลอดระยะเวลาเกือบร้อยปีที่ก่อตั้งคณะมา ก็ไม่ได้มีปรากฏว่า ผู้ที่เขาห้องเชียร์ประสบความสำเร็จในสายอาชีพมากกว่าผู้ที่ไม่เข้าแต่อย่างใด
-
พอเรียนจบแล้ว พี่เชียร์ (ผู้ที่ซึมซับระบบเชียร์ไปมากที่สุด) ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จกว่านิสิตคนอื่น
เราในฐานะเชียร์เก่าเลยตั้งสเตตัสพลีชีพนี้ขึ้นมา เพื่อชี้ให้ผู้ที่ยังคลั่งระบบเชียร์เห็นว่า ไม่ต้องมีเชียร์น้องก็หาเพื่อนได้ ไม่ต้องมีเชียร์ น้องก็ประสบความสำเร็จในอาชีพได้
-
เชคสเปียร์ไม่เคยเข้าห้องเชียร์
โอบาม่าไม่เคยเข้าห้องเชียร์
ซาฮา ฮาดิดไม่เคยเข้าห้องเชียร์
และปิกัสโซ่ ก็ไม่เคยเข้าห้องเชียร์
-
#บรัยส์
#ฝากไว้ให้คีส"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
งั้นแสดงว่าผิดที่ต้นทาง:7
“ถ้าฉันถามเธอเรื่องศิลปะ เธอคงยกเอาสารพัดข้อมูลจากหนังสือศิลปะทุกเล่มในโลกมาตอบ อย่างมีเกลันเจโล เธอคงรู้เรื่องเขาเยอะมาก ทั้งผลงาน ความทะเยอทะยานทางการเมือง เรื่องเขากับสันตะปาปา เรื่องความเบี่ยงเบนทางเพศ รู้ไปหมดใช่มั้ย? แต่ฉันพนันได้เลยว่าเธอไม่มีทางบอกได้ว่ากลิ่นในโบสถ์น้อยซิสทีนเป็นยังไง เพราะเธอไม่เคยไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเงยหน้ามองเพดานงดงามนั่นจริงๆ
ถ้าฉันถามเธอเรื่องผู้หญิง เธอก็อาจสรุปรสนิยมส่วนตัวให้ฉันฟัง เธออาจเคยนอนกับผู้หญิงมาแล้วหลายครั้ง แต่เธอไม่มีทางบอกได้ถึงความรู้สึกของการตื่นนอนขึ้นมาข้างๆ ผู้หญิงสักคนหนึ่งแล้วรู้สึกเป็นสุขอย่างแท้จริง เธอเป็นเด็กเก่ง ถ้าฉันถามเรื่องสงคราม เธออาจยกวาทะเท่ๆ ของเชคสเปียร์มาพูดใส่หน้าฉัน แต่เธอไม่เคยเข้าใกล้ของจริงหรอก เธอไม่เคยประคองหัวเพื่อนรักไว้บนตักแล้วได้แต่มองเขาหอบหายใจเฮือกสุดท้ายขณะมองหน้าหวังขอความช่วยเหลือจากเธอ
ถ้าฉันถามเธอเรื่องความรัก เธอคงสรรหาบทร้อยกรองซอนเน็ตมาตอบ แต่เธอไม่เคยมองตาผู้หญิงสักคนหนึ่งแล้วรู้สึกเรี่ยวแรงหมดสิ้น รู้สึกเหมือนพระเจ้าส่งนางฟ้าลงมาบนโลกเพื่อเธอคนเดียว นางฟ้าผู้จะช่วยดึงเธอให้พ้นจากขุมนรกมืดมิด และเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวเองให้เป็นเทวดาสำหรับผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง ต้องทำอย่างไรความรักที่มีให้เขาถึงจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์กาล ข้ามผ่านได้ทุกสิ่งอย่าง ผ่านได้กระทั่งโรคมะเร็ง เธอไม่มีวันรู้ถึงการนั่งสัปหงกในโรงพยาบาลยาวนานสองเดือนพลางกุมมือเขาไว้เพราะหมอทั้งหลายรู้ดีจากแววตาของเธอว่ากฎชั่วโมงเยี่ยมบังคับใช้กับเธอไม่ได้ เธอไม่รู้อะไรเลยเรื่องความสูญเสียอันจริงแท้ เพราะความรู้สึกนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเธอรักอะไรสักอย่างมากกว่าตัวเอง ซึ่งฉันสงสัยนะว่าเธอจะเคยรักใครมากขนาดนั้นรึเปล่า?”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพจ "นี่หรือไทยเเลนด์" ลงโฆษณาหาสปอนเซอร์เเล้ว ไม่ผิดคาดจากเพจกากๆที่ทำเเต่รูป/ข้อความโง่ๆ เเรงๆ เรียกไลค์ควาย
-มิตรสหายท่านนึง
"ถ้าพี่ว้ากอยากให้น้องอดทนตอนทำงาน แนะนำให้สั่งงาน แก้ให้ออกจากบรีฟ แล้วสุดท้ายเอาบรีฟแรกครับ ไม่งั้นก็สั่งงานแล้วเพิ่ม requirements รัวๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หมอคนนึงเมื่อวานน่าติดต่อสัมภาษณ์มาก คือแกเปิดคลินิกรักษาบำบัดคนติดยา แกบอกมีคนไข้คนนึง ติดยาบ้านี่แหละ รักษากันมายี่สิบปีแระ เขาก็เสพมาเรื่อยๆ หน้าที่ของแกคือ harm reduction ทำให้เขายังใช้ชีวิตปรกติได้ คือเสพก็เสพ แต่ไม่กระทบการใช้ชีวิต ไม่กระทบการทำงาน ผลคือ ตัวเขาก็โอเค งานการก็โอเค แต่ติดปัญหาอย่างเดียว คือญาติแม่งรับไม่ได้
อย่างนึงที่น่าสนใจคือ เขาไม่ค่อยพูดเรื่องโทษของมันกันเท่าไหร่แล้ว เขาเลิกสมาทานความคิดเรื่องโลกอันปราศจากยาเสพติดกันไปแล้ว โดยเฉพาะการปราบปรามรุนแรงเพื่อให้ไปถึงโลกแบบนั้น เพราะงั้น ตัวไหนที่มันเห็นแล้วว่าเราควบคุมอันตรายจากการใช้ได้ ลดอันตรายจากการใช้ได้ ทำให้คนเสพไปด้วยแล้วใช้ชีวิตปรกติไปด้วยได้โดยไม่มีผลร้ายต่อสุขภาพที่เกิดจากการเสพอย่างไม่มีความรู้ เขาก็มุ่งไปทางนั้นกัน
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เขาตั้งคำถามว่า อย่างยาบ้า ซึ่งมันก็เป็นยาที่เราควบคุมการใช้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิดอันตรายระยะยาวได้เนี่ย เราควรจะให้การควบคุมมันอยู่ในมือใคร รัฐหรือองค์กรอาชญากรรม ในเมื่อทำยังไงก็ไม่หมด เราควรให้มันอยู่ในการควบคุมของใคร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ช่วงนี้ผมติดใจเมนูนี้มาก ยกให้เป็นเมนูจากสรวงสวรรค์เลยทีเดียว "ข้าวหมกคากิ"
#เจอกันวันพิพากษา"
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประเทศที่ยุงชุม มด แมลง ตะขาบ แมงป่องพร้อมจะโผล่มากัดหีได้ทุกมุมเมือง ยังบอกว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาอยู่บนแผ่นดินนี้ (ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นเจ้าของหรอกนะ เพราะมีคนเรียกร้องบุญคุณและพร้อมจะไล่ทุกเมื่อ) กูอยู่ที่นี่มดสักตัวยังไม่มี คิดถึงมด คิดถึงยุงมาก ๆ ตามมากัดกูสักตัวสองตัวสิ กูจะออกค่าเดินทางให้
ที่ๆ ไม่มีมดบนพื้นโลกกูนึกออกแต่ขั้วโลกนะ มีประเทศไหนในโลกนี้ไม่มีมดด้วยเหรอ
"ใครฐานะของคนที่เคยอยู่ในสถาพแย่ระดับที่รยำสัสๆ (รยำขนาดไหนไม่พูดดีกว่า เพราะผมไม่ต้องการให้คนเป็นห่วงหรือคิดว่าผมสำออยทั้งนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรผมทั้งคู่) คิดว่าเราต้องแยก "อาการซึมเศร้า" ที่มีต้นเหตุทางเคมี ทางวิธีคิด และทางเศรษฐกิจออกจากกัน
ไอ้ทางเคมีเนี่ยเจาว่าแดกยาแล้วหาย ผมไม่รู้ว่ามันเป็นไง เพราะผมไม่เคยบำบัดสภาพจิตใจด้วยสารเคมีอะไรนอกจากเหล้า
ทางวิธีคิดเนี่ย วิธีวินิจฉัยคือคุณต้องไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่คุณจะมีอาการประสาทแดก หดหู่ ฯลฯ ห่าเหว แบบดูไม่มีมูลเหตุระดับพื้นผิวที่ชัดๆ คุณก็ต้องขุดลงไปในวิธีคิดคุณ แล้วก็ค่อยๆ แก้ มันไม่ได้หายกันเร็วและง่าย แต่ใช้เวลาและความตั้งใจพอก็น่าจะหาย (แต่ก็นั่นแหละ ผมก็มาพบว่าหลายๆ อย่างที่ผมทำได้มนุษย์ปกติแม่งก็ทำไม่ได้ - ผมไม่ได้คิดไปเองด้วย แต่ผมพบข้อเท็จจริงนี้หลังจากพยายามให้คนอื่นทำแต่ทำไม่ได้)
ส่วนทางเศรษฐกิจเนี่ย เป็นประเด็นที่คิดว่าต้องพูด คือไม่ได้ยากพูดเรื่องพวกนี้ แต่เคยเห็นคนแม่งพยายามจัดคนจนคนไม่มีเงินที่ชีวิตหดหู่สัสๆ ว่าแม่งเป็นโรค "ซึมเศร้า"
ไอ้สัส มันไม่ใช่ อันนี้ซีเรียส เพิ่งมาเป็นกับตัวถึงรู้ว่าแม่งต่างมากระหว่างอาหารหดหู่แบบไม่มีสาเหตุทั้งๆ ที่มีข้าวกิน มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ไม่ต้องถามตัวเองทุกวันว่าเดือนหน้าจะเอาอะไรกัน หรือกระทั่งอาทิตย์หน้าจะเอาอะไรกิน
ภาวะที่ว่ามันคนละเรื่องกับอาการทำนองคล้ายๆ กันที่เกิดเวลาไม่มีเงินจริงๆ
เอาง่ายๆ คือผมไม่เคยรู้สึกว่าผม "เข้าใจ" พวกมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นที่แม่งตกงานแล้วฆ่าตัวตายเลยมาจนไม่นานมานี้นี้แหละ
ต้องเน้นว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ผมหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ เวลาเห็นคนมันพยายามเอาภาวะตกต่ำของสุขภาพจิตที่เกิดจากความบรรลัยทางเศรษฐกิจ มาเป็น "อาการทางจิต" ทั้งๆ ที่จริงๆ ต้นเหตุมันเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
ซึ่งนี่ซีเรียส กว่าเรื่องการบำบัด คนพวกนี้ไม่ต้องการ "กำลังใจ" ห่าอะไร มาถามความเพราะห่วง มาฟังเรื่องราว มาแสดงความรักด้วยการกอด ฯลฯ มันไม่ช่วยควยอะไรเลย เพราะจริงๆ คนที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ จิตใจแม่งเข้มแข็งเหี้ยๆ ด้วยซ้ำ (ถ้าไม่เป็นแบบนั้นแม่งอาจจะมีฆ่าตัวตายไปแล้ว) ซึ่งไปทำแบบนี้มันเป็นภาระอีก เพราะเขาก็ต้องรับๆ ไปตามมารยาท
และที่ผมบอกว่ายาดีของอาการนี้แม่งคือเงินสด ผมไม่ได้พูดแบบ Ironic ผมหมายความตามนั้นทุกตัวอักษร
คนพวกนี้ต้องการงานเพื่อให้ได้เงินตามความเหมาะสมครับ ไม่ใช่กำลังใจ
ที่ต้องพูดเพราะผมคิดว่ามีคนแม่งยากไม่ได้ใน Awareness Campaign เกี่ยวกับการซึมเศร้า และคิดว่าเห็นคนหดหู่แม่งจะต้องการ "กำลังใจ" หมด
เปล่าครับ มึงไม่ได้ช่วยเหี้ยอะไรเลย เหมือนคนแม่งติดเชื้อแล้วเสือกเอายาแก้ภูมิแพ้ให้แดกน่ะครั่บ
ทั้งหมดเนี่ยผมซีเรียสมากเพราะว่าโครงการระยะยาวผมเกี่ยวกับการอยู่รอดทางเศรษฐกิจของมนุษย์โดยรวมๆ และการบอกว่าการที่สภาพจิตใจคนมันแย่เนื่องจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจเนี่ยแม่งเป็นปัญหาทางจิต แม่งนำไปสู่ความชิบหาย
ไม่งั้นปัญหาคนตกงานทั่วไปโดยไม่ได้นัดหมายก็ไม่ต้องทำเหี้ยอะไร ให้ยาไปแดกก็จบ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โรคซึมเศร้าเป็นโลกปลอมๆที่บริษัทยาคิดขึ้นมาเพื่อขายของครับ
สาย psychiatric นี่เป็นเป็นพ่อค้าน้ำมันงูของวงการแพทย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
โรคซึมเศร้า=โรคสำออย กูไม่เคยเห็นโรคซึมเศร้าฆ่าใครตายเลย มีแต่พวกสำออยที่ฆ่าตัวตายเองทั้งนั้น
"จากข่าวเรื่องครูให้นักเรียนกราบขอขมาหน้าเสาธง กรณี"ไม่แพ้"เต้าหู้ไข่ ผมได้อ่านแล้ว ยังคิดไม่ออกว่า เด็กทำอะไรผิดจึงต้องขอโทษครูในลักษณาการนี้ จริงอยู่ว่า ครูไม่จำเป็นต้องรู้ลึกรู้จริงไปทุกอย่างเรื่องการแพ้อาหาร แต่การที่ครูท่านนี้ เป็นผู้ดูแลเรื่องอาหารการกินของนักเรียนทั้งโรงเรียน ก็ควรมีความเข้าใจหลักการเบื้องต้น และหากไม่มีความรู้ ก็ไม่ควรมั่นใจ จนสร้างเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงนี่ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ผมขอแยกแยะประเด็นที่เกิดขึ้นตามเนื้อข่าวดังต่อไปนี้
1. "...เนื่องจากที่นักเรียนได้รับประทานให้ข้อมูลว่า นักเรียนมีอาการแพ้เต้าหู้ไข่ จากการตรวจสอบสมุดบันทึกการให้ยาของนักเรียนที่ผ่านมา ไม่มีนักเรียนมาขอใช้ยาที่เกิดจากอาการแพ้อาหาร..." ข้อมูลนี้ ไม่สามารถนำมาตัดสินว่า เด็กจะแพ้ หรือไม่แพ้อาหารได้ เพราะเด็กอาจไม่เคยกิน หรือ เคยกินที่อื่นแล้วมีอาการ
2. " ... เมนูแกงจืดเต้าหู้ ไม่มีใครแพ้อาหาร มีเพียงพี่นักเรียนผู้หญิงคนดังกล่าวแพ้อาหารเพียงคนเดียว เพราะพี่เขาไม่เคยรับประทาน..." การแพ้อาหารเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ภูมิคุ้มกันเฉพาะบุคคล ไม่เหมือนอาการอาหารเป็นพิษ(food poisoning) ซึ่งทุกคนที่กินจะมีอาการเหมือนกันหมด ยิ่งไปกว่านั้นการที่อ้างว่า "...เต้าหู้ไข่ก็แพงกับงบประมาณที่ทาง อบต.ทับทัน สนับสนุนให้...แต่ต้องทำเลี้ยงทั้งโรงเรียน เต้าหู้ไข่หลอดละ 10 บาท ..." ก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มีผู้ป่วยจำนวนมากที่แพ้อาหารราคาแพงกว่าเต้าหู้ไข่หลายเท่า เช่น ถั่วแมคคาเดเมีย พิสทาชิโอ หรือปลาแซลมอน เด็กที่แพ้นมวัวแดง ให้กินนมฮอกไกโดก็แพ้เหมือนกัน
3. "... ขณะที่ เด็กนักเรียนชั้น ป.6 ที่แพ้แกงจืดเต้าหู้ กล่าวว่า ตนรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อน ทานแกงจืดเต้าหู้ ไม่ใส่เส้น พอรับประทานอาหารเสร็จก็ออกไปข้างนอกโรงอาหาร เพื่อซื้อน้ำดื่ม กลับมานั่งเล่นกับเพื่อนๆ พอเกือบเวลาบ่ายแก่ๆ เริ่มมีอาการคันที่บริเวณท้องและเริ่มขึ้นตุ่ม เมื่อออกมาเล่นวอลเลย์บอลกับเพื่อนๆ ตกเย็น ตุ่มแพ้ยิ่งเพิ่มขึ้น เมื่อไปหาหมอก็ได้ฉีดยาแก้แพ้ 1 เข็ม พร้อมจ่ายยาให้มารับประทานที่บ้าน หมอบอกว่า แพ้เต้าหู้..." ผื่นที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นผื่นแพ้และอาจเกิดจากสาเหตุใดก็ได้ แต่ผื่นนั้น เกิดขึ้นหลังกินอาหาร แพทย์คงสันนิษฐานว่า เด็กแพ้เต้าหู้ไข่ จึงให้ข้อมูลแก่เด็กไปเช่นนั้น ทั้งนี้ ตัวเด็กเอง ไม่เคยกินเต้าหู้ไข่มาก่อน อาจจะต้องไปทบทวนประวัติว่า เด็กเคยกินไข่ หรือถั่วเหลือง ซึ่งเป็นส่วนประกอบในเต้าหู้ไข่และยังเป็นอาหารที่พบบ่อยว่าแพ้ หรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่แพ้อาหารหลายราย เคยกินอาหารชนิดนั้นๆมาก่อน แต่ก็ไม่เคยมีอาการ จึงไม่อาจสรุปได้ว่าเด็กไม่แพ้อาหารจริง
4. "...เพราะตนรู้ว่าถั่วลิสง ถ้าแพ้แล้วมันอันตราย..." ข้อนี้เป็นความจริง แต่ไม่ใช่เฉพาะถั่วลิสง การแพ้อาหารอย่างอื่น ก็สามารถทำให้มีอาการแพ้รุนแรง (anaphylaxis) จนเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน
5. "...พร้อมเชิญผู้ปกครอง มา โรงเรียน เพื่อจะขอทดสอบ คุณแม่ก็บอกอนุญาตและร่วมนั่งดูด้วย โดยครูได้เฝ้าดู 24 ชั่วโมง..." ... "...หลังจากที่พิสูจน์แล้วว่าเด็กไม่แพ้ ได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน และบอกกับครูทุกคนว่าเด็กไม่แพ้เต้าหู้ไข่ โดยสังเกตจาก มือ แขน และร่างกาย ปรากฏว่าไม่มีอาการแพ้..." เหตุการณ์นี้ อันตรายมาก ไม่แน่ใจว่า คุณครูทราบถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด (worst case scenario) ของอาการแพ้อาหาร คือ การเสียชีวิตจากการแพ้รุนแรง(anaphylaxis) หรือไม่ ทั้งนี้การทดสอบแพ้อาหารในเด็ก (oral food challenge) ต้องทำโดยกุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ ในสถานพยาบาลที่มียาและเครื่องมือช่วยชีวิตเตรียมพร้อม เพื่อจะได้แก้ไขอาการและรักษาผู้ป่วยได้ทันท่วงทีหากมีอาการแพ้เกิดขึ้น การที่ครูเฝ้าดูอยู่ 24 ชม. จึงอาจได้ประโยชน์เพียงการเฝ้าสังเกต เพื่อตอบโจทย์ของตนว่าผื่นขึ้นหรือไม่ แต่อาจจะไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กได้หากเกิดอาการรุนแรง
6. อีกประเด็นหนึ่งคือ การที่ครูมาทดสอบแล้วเด็กไม่มีอาการ ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่า เด็กไม่แพ้เต้าหู้ไข่จริง เพราะเด็กคนนี้ เพิ่งเกิดอาการ แล้วได้รับยาแก้แพ้มา อีกทั้งยังไม่ทราบว่าเต้าหู้ไข่ที่ใช้ทดสอบมีปริมาณเหมาะสมหรือไม่ ปัจจัยเหล่านี้ อาจจะส่งผลให้เด็กไม่แสดงอาการให้ปรากฏชัดได้ แม้จะแพ้อาหารจริงๆก็ตาม
สรุป
1. เด็กแพ้อาหารมีอยู่จริง
2. คนแต่ละคนกินอาหารชนิดเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องแพ้เหมือนกัน
3. ของถูกของแพง มีโอกาสแพ้ได้ทั้งสิ้น
4. อาการแพ้อาหาร มีตั้งแต่ผื่นเล็กน้อย ไปจนถึงหอบ ความดันตก และเสียชีวิต
5. การทดสอบเพื่อยืนยันว่า แพ้หรือไม่แพ้อาหาร ต้องกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ด้วยวิธีการมาตรฐาน (protocol) ในสถานพยาบาลเท่านั้น"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
เจอเคสกลโกงโจรกรรมออนไลน์ที่น่าสนใจ เป็นเคสที่เกิดกับพ่อค้าเงินในเกม RO เอามาแชร์ให้ฟังจะได้ระวังตัวกันไว้
1) โจรติดต่อพ่อค้า RO ว่าอยากจะซื้อเงินในเกม
2) พ่อค้าส่งเลขบัญชีของตัวเองให้โอนเงิน
3) โจรสร้างเฟสบุ๊คปลอมขึ้นมาโดยใช้รูปของพ่อค้าแล้วส่งข้อความไปขอยืมเงินเพื่อน หรือบางทีก็สร้างเฟสปลอมของคนใกล้ชิดคนนั้นๆขึ้นมาแล้วบอกให้โอนเงินให้หน่อย โดยเลขบัญชีและชื่อบัญชีที่ส่งให้คือบัญชีของพ่อค้า
4) เงินเข้าบัญชีพ่อค้า พ่อค้าก็เอาเงินในเกมโอนให้โจร
5) โจรน่าจะเอาเงินในเกมไปขายต่อให้กลายเป็นเงินจริงและ ... ลอยนวล
จบลูป ตอนนี้พ่อค้าเลยกลายเป็นคนร้ายไปเรียบร้อยเพราะทุกอย่างถูกทำในชื่อของพ่อค้า
กลโกงคิดมาดีมาก เอาจุดอ่อนของหลายๆฝ่ายมายำรวมกัน ถ้าไม่ระวังก็ไม่มีทางรู้เลย
แต่เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ทำแบบนอกระบบ ทำให้ไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนของโจรคนนั้นเลย สุดท้ายคนที่รับกรรมไปคือพ่อค้าซึ่งเสียหายไปเป็นแสน ...
ก็ระวังกันไว้ครับ เคสนี้สามารถเปลี่ยนสินค้าเป็นอย่างอื่นได้ เช่น ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมก็ทำแบบนี้ได้ คือจะบอกว่าทำได้หมดทุกอย่าง และคงจะจับคนร้ายได้ยากมากๆ
สำหรับพ่อค้าก็คงจะระวังยาก แม้จะอยู่ในระบบก็ตามที ยังไงก็พยายามหาวิธียืนยันตัวตนลูกค้าให้ได้คงจะเป็นวิธีเดียวที่หลบหลีกช่องโหว่นี้ได้
ส่วนคนทั่วไป ... อย่าให้เพื่อนยืมเงินเลยครับ (แนะนำดีมะ)
คือขอแค่เลิกห่วงชื่อเสียงหน้าตาองค์กรมากกว่าชีวิตหรือความรู้สึกเด็ก
หรืออ้างว่าห่วงชื่อเสียงองค์กรแต่จริงแล้วห่วงหน้าตาตัวเอง
ควรตรวจสอบอาหารกลางวันวันนั่นมากกว่า และแค่หามาตรการป้องกันการเกิดขึ้นซ้ำที่เหมาะสม
เชื่อว่าจริงๆเด็กคงยินดีขอโทษ แต่ไม่มีเหตุผลที่ต้องถึงขั้นกราบต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน
ใช้อำนาจในทางที่ผิดจริงๆ
"We do not say the man who has no interest in politics minds his own business; we say he has no business at all".
เข้าใจนะครับว่าหมอพรทิพย์แกเป็นบุคคลไร้ความน่าเชื่อถือ แต่เรื่องนี้มันก็ไม่ถูกนะครับที่จะก่นด่าแก
เรื่อง liver laceration (ตับฉีกขาด) ระหว่าง CPR (ปั๊มหัวใจช่วยชีวิต) มันเป็นเรื่องที่พบได้นะครับ ลองค้น google ใช้ keyword สองคำนี้ก็ได้ครับ
คือถึงแกจะห่วยแตกในทางการเมือง แต่แกก็เป็นผู้เชี่ยวชาญนิติเวชมาทั้งชีวิต คำถามแบบนี้ ที่ว่า "มีโอกาสมั้ย" แพทย์ส่วนใหญ่ก็ต้องตอบว่า "ได้" แหละครับ คำว่ามีโอกาส คือมัน probably ไม่ใช่ absolutely มันไม่มีอะไรที่ 100% in medicine และเช่นกัน ก็ไม่ได้มี 0% นะครับ
อีกอย่างถ้าอ่านเนื้อข่าวจริงๆ แกให้ประเด็นตั้งข้อสงสัยน่าสนใจหลายอย่างด้วยซ้ำ
แต่แกไม่ใช่คนชันสูตรศพนะครับ เหรียญทองก็ไม่ใช่ ผมก็ไม่ใช่เช่นกัน
ผมว่ามันไม่แฟร์ครับที่จะโจมตีแก แพทย์ที่ตอบว่าไม่มีโอกาส หรือบอกว่าไม่ใช่ ต่างหากที่ควรจะไปตั้งข้อสงสัย
มันคือข้อเท็จจริงทางการแพทย์ แกก็ตอบตาม fact จะด่าแกมันไม่แฟร์จริงๆ นะครับ
และการบอกว่ามีโอกาส มันก็ไม่ได้ทำให้ประเด็นเปลี่ยนนะครับ เพียงแต่มันไปขัด "จินตนาการ" ของคนรับข่าว แกเลยโดนยำ แล้วถ้าถามว่าออกมาพูดทำไม... ต้องโทษสื่อที่ไปถามแกมากกว่ามั้ย
เรียนทุกท่านด้วยความเคารพนะครับ ผมไม่ได้เข้าข้างแก และผมก็ไม่เชื่อด้วยว่าตับแตกในเคสนี้จะเกิดจาก cpr แต่ถ้าถามผมว่ามีโอกาสมั้ย ผมก็จะตอบแบบแกแหละครับ เพราะผมไม่อาจทรยศต่อข้อเท็จจริงทางวิชาการ เพื่อเอาใจกระแส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อ่านแล้วหากคิดว่าบทความนี้ประโยชน์ต่อ"วงการเบียร์ทางเลือก" โปรดแบ่งปันโพสต์นี้ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับ "วงการเบียร์ทางเลือก" ของประเทศไทย
ในช่วงปีที่ผ่านมา สื่อมวลชนในบ้านเราไม่ว่าจะสำนักเล็ก สำนักใหญ่ เว็ปไซด์ข่าวทั้งหลาย รวมไปถึงร้านอาหาร ร้านเบียร์ที่ตั้งตนขึ้นเป็นกูรูด้านเบียร์ พยายามเขียนบทความทั้งในเชิงสาระความรู้ และในเชิงแนะนำสินค้า, ร้านเบียร์ (รีวิว) ซึ่งผมก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่มีผู้ให้ความสนใจใน "วงการเบียร์ทางเลือก" มากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่สนใจ อยากรู้ อยากลอง มีข้อมูลเอาไว้เสพ เอาไว้เป็นทางเลือก ซึ่งน่าจะส่งผลให้เกิดความตื่นตัวของตลาดมากขึ้นเรื่อย
แต่...ในทางกลับกัน เกินกว่า 80% ของบทความที่ผมได้อ่าน เป็นการให้ข้อมูลแบบผิดๆ !!!!! ย้ำว่าแม่งผิดๆๆๆๆ ผิดกันง่ายๆตั้งแต่ชื่อเบียร์ ที่เรียกกันผิดๆถูกๆ หลายคนอาจคิดว่าก็แค่เรียกชื่อผิด แม่งไม่น่าใช่เรื่องใหญ่โต ไม่ได้ไปฆ่าใครตาย แต่หากลองคิดเล่นๆว่า ถ้ามีคนมาเรียกชื่อ “พ่อคุณ” ผิดๆๆ ผิดแล้วผิดอีก ผิดซ้ำผิดซาก ผิดเท่านั้นยังไม่พอ ยังเอาชื่อที่ผิดๆ ไปไล่บอกคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ทำให้ทุกคนเข้าใจชื่อ “พ่อคุณ” ผิดไปหมด เริ่มน่าหงุดหงิดมั้ยครับ หรือใครจะบอกว่า ก็มันเป็นภาษาอังกฤษเว้ยยย ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่ ผิดนิดผิดหน่อยจะเป็นไรไป คิดมากไปป่าว หรือบางคนก็บอกว่า “ไอพวกบ้าเบียร์” แม่งเรื่องมาก ขอให้คุณรองเปิดใจอ่่านบทความนี้ต่อไปอีกนิดคุณจะเข้าใจมากขึ้นในสิ่งที่ผมกำลังจะบอก ต่อมาก็เรื่องของลักษณะจำเพาะต่างๆของเบียร์เช่น ประเภทของเบียร์, ระดับแอลกอฮอล์, ประเทศผู้ผลิต, สี กลิ่น รสชาติ และอื่นๆอีกมากมาย ที่ก็มักจะผิดกันเป็นประจำ ก็อีกเช่นกันที่มันดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรนัก แต่ลองติดดูว่าหากคุณเดินเข้าร้านอาหาร สั่งกระเพราได้ข้าวผัด สั่งผัดไทได้ผัดซีอิ๊ว ถามว่ามันกินได้มั้ย ?? ตอบว่ากินได้ไม่ตายห่า แต่ถ้าสั่งอย่างได้อย่างแล้วต้องทนๆกินไป คุณจะรู้สึกอย่างไร แล้วจะมีหลายๆอย่างให้เลือกทำไม ?? มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่หากได้รับข้อมูลผิดๆไปประกอบการเลือก การเลือกนั้นจะมีประโยชน์อะไร ??
จากเรื่องที่ผมยกตัวอย่างมาผมมอง 2 มุมครับ
1) ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้สำหรับทุกคนแต่...หากมีผู้ที่รู้แล้วบอกสิ่งที่ถูกต้องให้ ผู้ผิดควรเปิดใจยอมรับและแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ไม่ใช่ยืนกระต่ายขาเดียวบนอีโก้ เอาสีข้างถูต่อไป ผิดได้ก็แก้ได้ครับ (อันนี้ผมเองก็ผิดบ่อย 555)
2) ในฐานะของผู้ผลิตสื่อ หรือที่เรียกสวยหรูว่าสื่อมวลชน หรือนักเขียนตามเว็ปไซด์ที่พยายามตั้งต้นเรียกตัวเองว่านักเขียน และพยายามจะเป็นผู้รู้เรื่องเบียร์ หากคุณต้องการเป็น...ก็ควรจะต้องมีความรับผิดชอบต่อชิ้นงานของตัวเองมากกว่านี้ ควรต้องศึกษาหาข้อมูลในเรื่องนั้นๆให้ดีก่อนผลิตชิ้นงานมั้ย ?? หรือเพียงแค่หยิบเอาข้อมูลของคนนั้นมายำรวมกับของคนนี้ หรือหยิบงานของฝรั่งมาแปล ซึ่งก็แปลถูกบ้าง (ซึ่งน้อย) แปลผิดบ้าง (เยอะเชียว) ที่แสบกว่าคือเอาของคนอื่นมาแปล แล้วไม่ให้เครดิตในชิ้นงาน ยกเป็นผลงานของตัวเอง อันนี้ใคตรเสื่อม....
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>855 )
สื่ออีกประเภทที่ผมรู้สึกว่าไร้ข้อมูล ไร้มาตรฐาน ไร้ที่มาที่ไป คือบทความประเภทจัดอันดับ เช่น “10 ร้านเบียร์ที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ” , “20 เบียร์ที่ดีที่สุด” คำถามคือคำว่า “ดีที่สุด” วัดจากอะไร มีการทำสำรวจ ??? มีการจัดประกวด ??? มีการลงมติ ??? หรือมีคณะกรรมการเข้าลงพื้นที่ให้คะแนน ??? ถ้ามีการให้คะแนน มีการสำรวจ ควรใส่คะแนนโชว์ด้วยครับ ร้านไหนได้คะแนนเท่าไหร่ ผมอยากรู้ และเชื่อว่ามีอีกหลายคนอยากรู้ ร้านเบียร์ในกรุ่งเทพฯตอนนี้มีเกือบ 50-60 ยังไม่นับร้านอาหารดีๆที่ขายเบียร์ อะไรคือดีที่สุด บอกผมที หรือแค่ปรับคำพูดไปเป็๋น “10 ร้านเบียร์น่านั่ง” , “10 เบียร์น่าลอง” มันจะดูมีเหตุผลกว่ามั้ย ???
ส่วนในฐานะผู้เสพสื่อตาดำ คงยากหน่อยที่จะสามารถจำแนกแยกแยะ หรือทราบข้อมูลที่ถูกต้องว่าสื่อที่เสพนั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือป่าว เพราะเราไม่ได้โตมากับเครื่องดื่มทางเลือกมากนัก โดนบีบ โดนตีกรอบกันมาเกือบร้อยปี พอมีเรื่องอะไรที่เป็นของใหม่ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา แต่ก็อยากให้พิจารณาดูแหล่งที่มาของสื่อเหล่านั้นสักนิด ว่าใช่แหล่งที่น่าเชื่อถือมั้ย หรือเป็นแหล่งข่าวที่เขียนข่าวสัพเพเหระ มั่วซั่วไรทิศทาง หรือเป็นสำนักหรือแหล่งข่าวที่มีความถนัดเฉพาะทาง หรือถ้าจะให้ชัวร์อีกนิดก่อนแชร์ข่าวเหล่านี้ออกไป โปรดอ่านข้อมูลให้ครบถ้วน รวมไปถึงอ่านคอมเม้นท์ดูหน่อยว่ามีใครเข้ามาพูดถึงข้อมูลนี้อย่างไร อย่างน้อยตัวคุณจะได้ไม่เห็น “เหยื่อและพาหะ” ในการกระจายเชื้อร้ายเข้าสู่สังคม เรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่กับ "วงการเบียร์ทางเลือก" เท่านั้น
สุดท้ายผมเองในฐานะผู้ผลิตสื่อคนหนึ่ง ต้องขอขอบคุณสื่อหรือแหล่งข่าวที่ดีทุกท่าน ที่พยายามหาข้อมูลที่ดีที่ถูกต้อง ป้อนเข้าสู่ตลาด สู้กับสื่อมั่วๆผิดๆ เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้ที่ต้องการข้อมูลเพื่อเป็นตัวช่วยในการศึกษาและตัดสินใจ และช่วยกันสร้างสังคมของ "วงการเบียร์ทางเลือก" ให้เติบโตต่อไปอย่างถูกทิศทาง
ขอให้ “มีความสุข...ทุกครั้งที่ดื่มเบียร์”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รัฐบาลไทย กำลังทบทวนกม.บ้านใครปล่อยให้มีผักตบชวาลอยผ่าน อาจสั่งปรับต้นละร้อย
นักวิชาการต่างออกมาแขวะรัฐบาลไทย รังแกคนจน
รัฐบาลสิงคโปร์ สั่งปรับแสนบาท หากบ้านไหนพบยุงลาย
นักวิชาการต่างออกมาชื่นชม นี่สิประเทศเจริญแล้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง (แต่ไม่ได้เอามาจากเพจมิตรสหาย)
"ทำไมรัฐบาลไม่จ้างจ่าพิชิตเข้าไปทำงานซักทีครับ คนเหี้ยอะไรรู้ไปทุกอย่าง ตอนฮารามเบโดนยิงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญพฤติกรรมสัตว์ ตอนมีเรื่องโจอี้บอยปลูกป่าก็เป็นผู้รู้เรื่องวนศาสตร์ มาตอนนี้เรื่องครูกับเด็กเเพ้เต้าหู้ไข่ เเม่งก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาอีก เเหม่ คนอะไรรู้รอบตอบได้ไปซะทุกอย่าง"
-มิตรสหอยท่านนึง
ถึงบรรดาลูกศิษย์ที่พึ่งจบไปทำงานทั้งหลาย
ขอมอบคาถา 5 ข้อสำหรับคนทำงานได้สามเดือน
ตอนนี้พวกเธอจบการศึกษาเป็นบัณฑิตกันได้สักสามสี่เดือนแล้ว หลายๆ คนได้เริ่มทำงานเป็นหลักเป็นฐาน หวังว่าอันความรู้ที่ได้รำ่เรียนไป และผลจากการบังคับว่ากล่าวของผมคงเกิดผลด้านบวกกับท่านๆ ทั้งหลายในการทำงานกัน
ประกอบกันนั้น หลังจากพวกเราทำงานไปได้สักพักนั้น มีสิ่งที่ต้องพึงสังวรเอาไว้ให้ดี ที่ผมอยากจะบอก...
1. บริษัทที่พวกเธอทำงานอยู่เขาจ่ายเงินให้ เพื่อหวังให้ได้งานและผลกำไรจากงานที่เธอทำ จงทำงานให้ดีมีจิตมุ่งหวังให้องค์กรเกิดผลกำไรจากงานของเรา บนพื้นฐานของศีลธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
2. อย่าไปมีความผูกพันกับองค์กรในทางที่ผิด เช่น “ทำไมบริษัทไม่ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ แล้วจะดีขึ้น ความคิดของเราเสนอไปดีๆ แล้วทำไมไม่ทำ ถ้าโง่อย่างนี้เแลัวเมื่อไรมันจะเจริญ ทำไม HR ถึงเอาเปรียบนัก แผนกโน้นนิสัยไม่ด้ แผนกนี้งานไม่เก่ง... เป็นต้น” ให้จำเอาไว้เขาจ้างเรามาทำงาน เขาให้เงินเรามาจ่ายค่าหอ ให้เงินเรามากิน ทำงานให้เต็มที่
3. อย่ารู้สึกว่าหัวหน้างานหรือบริษัทของเราทำงานไม่เข้าท่า ถ้าเรามีความเห็นที่เราคิดว่าดี เราเอาไปเสนอเขา ถ้าเขาเห็นด้วยเราก็ทำไปเป็นผลงาน ถ้าเขาไม่เห็นด้วยให้ทำตามที่เขาสั่งการไม่ว่าการกระทำนั้นเราจะเห็นด้วยหรือไม่ เราสามารถบอกเขาด้วยเหตุผลว่าทำไมเราไม่เห็นด้วย แต่ต้องทำตามเขาให้ดีที่สุด จำเอาไว้เขาจ้างเรามาทำงาน เราทำตามที่เขาต้องการให้ดีที่สุด บริษัทเขามีเงินมาจ่ายคุณทุกเดือน ทุกเดือน แปลว่าเขาเก่งกว่าคุณ อย่าดราม่ามาก
4. ไม่ต้องไปสนใจการทำงานของเพื่อนร่วมงานคนอื่นให้เกินขอบเขต ช่วยกันทำงานไป ความรู้สึกว่าคนโน้นคนนี้เอาเปรียบ คนโน้นได้เงินเดือนขึ้นดีกว่า ไม่ยุติธรรมเลย... อย่าไปคิดอย่างนั้น ให้ดูตรงหน้าของตนเอง ทำให้ดีที่สุด พึ่งทำงานมาสามเดือน ยังเด็กน้อยยิ่งนัก ทำงานไปก่อน ค่อยเรียนรู้แล้วเอามาสั่งคนอื่นให้ทำ
5. จำเอาไว้ เขาจ้างเรามาด้วยเงินเดือน x บาท เราทำงานให้เขาสิบเท่าให้ได้เงิน 10x บาท เราก็อยู่ไป เกิดว่าเรารู้สึกอยากเปลี่ยนงานหรือมีคนมาชวนให้ไปทำงานเงินเดือนมากกว่า เราก็ไป ไม่โกรธหรือรู้สึกไม่ดีกัน หรือจะไปเปิดกิจการเองก็ลองดู งานเปลี่ยนได้แต่จะเปลี่ยนความรู้สึกที่ไม่ดีมาเหมือนเดิมนั้นเปลี่ยนยาก
ลองอ่านแล้วก็เอาไปคิดดูนะครับเด็กๆ ตอนนี่คุณพึ่งทำงานมาได้ไม่กี่เดือนเอง ถ้าไม่ใช่ทางก็เปลี่ยน แต่... คุณทำงานเป็นกรรมการใช้แรงงานให้เต็มที่ก่อนครับ ทำงานให้เต็มที่เสริมสร้างกล้ามเนื้ออีกสักปีค่อยว่ากัน จะชิงลาออกเปลี่ยนงานซะก่อน ประเทศชาติล่มจมพอดี
ปล. อะไรที่ไม่ดี ไม่ดีข้างบนผมทำมาหมดแล้ว เลยอยากจะบอกไว้
"ลองลิสต์ "โปรแกรมรับน้อง" เพื่อให้น้องไปสู้กับอุปสรรคในอนาคต
- กายบริหารบรรเทา Office Syndrome
- กฎหมายแรงงานเบื้องต้น (เผื่อโดนเบี้ยว)
- บริหารรายรับรายจ่ายวันนี้ รวยได้ไม่รู้ตัว
- Microsoft Office แบบฉลาด
- TOEIC 700 อัพ ได้ง่ายจัง
- ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เปย์ หมุนกาชา ไม่ให้หมดตัว
- วิธีรักษาสุขภาพและสุขลักษณะเพื่อส่วนรวม
- คอสเบนโตคนยาก สำหรับว่าที่มนุษย์ออฟฟิศย่าน BTS
- โภชนาการที่ถูกต้องสำหรับคนเพิ่งเคยจากบ้าน (อันนี้ที่ ม.เราที่ ญป ทำจริงสำหรับเด็กปี 1)
- วิธีการเลือกซื้อประกัน เล่นหุ้น
- บริหารธุรกิจอากงอย่างไรไม่ให้ล้มจม (สำหรับเจ๊ก 3rd Gen)
เพิ่มเติม
- สุนทรีศาสตร์ในการใช้เครื่องถ่ายเอกสารและเย็บกระดาษ
- วิธีใช้คำสันธานให้จดหมายอ่านรู้เรื่อง (และรู้ว่าคำสันธานคืออะไร)
- คอสดูแลสุขภาพญาติผู้ใหญ่
especially for girls
- make up course for idiot บอกตั้งแต่ชื่อเรียกเครื่องสำอางแต่ละชนิด ว่าเอาไว้ใช้ทำอะไรบ้าง
- ตื่นเช้าไปทำงานอย่างไรไม่ให้ท้องผูก
- (ถ้าโชคดีมีผัว) ทำอย่างไรกับ career path ของตัวเองถ้ามีลูก (เราไม่รู้ว่าสังคมไทยเป็นยังไง แต่เรื่องนี้ใหญ่มากที่ญี่ปุ่น ขนาดต้องเอามาแนะแนว นักศึกษาอ่ะ)
- (ถ้าคิดไม่มี) เก็บเงินอย่างไรให้เอ็นจอยชีวิต"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมเองก็ยังมีความทรงจำดีๆ เรื่องสนุกๆให้คุยกับเพื่อนไปอีกนานจากกิจกรรมรับน้องที่คณะอ่ะนะครับ สนุกดี แต่ถ้าถามว่ามันมีความจำเป็นต้องมีกิจกรรมลักษณะนั้นอยู่หรือเปล่า ผมก็ว่าไม่จำเป็นอ่ะครับ รูปแบบกิจกรรมมันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น
ส่วนจะเป็นแบบไหน มันเป็นเรื่องของนักศึกษาปัจจุบัน พี่เก่าพี่แก่ควรเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างไม่เป็นภาระของน้องบ้างอ่ะครับ มึงจบมาแล้ว อะไรๆที่มันไม่เหมือนในยุคของมึงไม่ได้แปลว่าน้องมันทำผิด มึงแค่แก่ และนั่นเป็นปัญหาของมึง อย่าไปเป็นตัวปัญหาของน้องเลย"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Whites:
>we made great civilization and culture
>we rule the world and have greatest economy
>we give birth to greatest scientists and fairest of maidens
>Justice, Freedom, Pride.
Yellows:
>we made great civilization and culture
>we are fair competitors to the title of world ruler. Our economy can be compared to white economy
>we have greatest technical minds of XXI and XX century and we are literally making robots
>Unity, Future, Tradition
Blacks:
>muh dick
>muh dick
>u mad cuz we hav big dick dayum
>MUH, DICK, SHEEEEIT"
-Anon
กุ้งราคาดี - คนแห่ไปปลูกกุ้ง
มะนาวแพง - คนแห่ไปปลูกมะนาว
ยางราคาสูง - คนแห่ไปปลูกยาง
ไอโฟน(ยุคแรกๆ) - คนแห่กันเห่อไอโฟน
ยาบ้าแพง - คนเลยแย่งกันขาย
ตลาดไทยๆมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อธิบายแบบง่ายๆ เร็วๆ นะครับ
เงื่อนไขคือ
1. บริษัทลูกอเมริกาในต่างประเทศไม่ต้องเสียภาษีให้อเมริกา
2. บริษัทไอร์แลนด์สามารถหักค่า License ทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายออกจากผลกำไรที่ต้องเสียภาษีได้
3. รายได้บริษัทในเกาะเคย์แมนอะไรงี้ไม่ต้องเสียภาษี
เทคนิคคือ
1. บริษัทอเมริกาไปตั้งบริษัทลูกที่เกาะเคย์แมน และไอร์แลนด์
2. ให้ผลกำไรทั้งหมดในยุโรปเป็นรายได้ของบริษัทลูกในไอร์แลนด์
3. ไอ้บริษัทลูกในไอร์แลนด์จ่ายค่า License ให้บริษัทลูกในเกาะเคย์แมน (ซึ่งแม่งมหาศาล)
4. จะเหลือผลกำไรกระจึ๋งนึงในไอร์แลนด์ จ่ายภาษีเท่านั้นแหละ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เข้าใจวัตถุประสงค์ของคุณเจ้าของนะคะ แต่ในฐานะที่ศึกษาด้านขนมอบตะวันตกอย่างจริงจังคนหนึ่งขอเห็นแย้งดังนี้
1. แป้งสาลีก็คือน้ำตาลแล้วนะคะ และสุดท้ายเท่าที่ฟังบทสัมภาษณ์ ทางร้านก็ยังใช้น้ำตาลอยู่... จริงๆแล้วฝรั่งเศสทำขนมปังจืด ใช้วัตถุดิบแค่ 4 อย่างนะคะ แป้งสาลี น้ำ ยีสต์และเกลือ ไม่ต้องใช้น้ำตาลแม้แต่กรัมเดียว แต่ถ้ามีฝีมือพอ ขนมปังมันหวานเองค่ะ
สรุปแล้วมันดีกับคนเป็นเบาหวานจริงไหมคะ
2. ขนมปังที่คุณเจ้าของทำ มีลักษณะเป็นขนมปังหวาน ที่ต้องใช้ไขมัน (จากเนย หรืออะไรก็แล้วแต่) เป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่ลักษณะขนมปังจืดนะคะ ต้องหาสูตรขนมปังจืดมาทำดูนะคะ
3. คุณอบแบบไม่แห้ง ทำให้เนื้อ และใยขนมปังที่คุณอุตส่าห์นวดขึ้นมานั้นเสียหาย ขึ้นราง่าย อับชื้น ดีไม่ดี มันคืออาการที่แป้งไม่สุกด้วยระคะ ถ้าเป้าหมายค่อความนุ่ม อยากให้ลองหาวิธีอื่นดูค่ะ
4. ปัญหาของเบเกอรี่ราคาต่ำในเมืองไทย คือ ใช้ไขมันไม่ดี. (เนยผสมน้ำใันปาล์ม สารเสริมคุณภาพ ฯลฯ)ซึ่งเป็นสิ่งที่ เบเกอรี่ปกติของประเทศตะวันตก ไม่ใช้อยู่แล้ว. อยากให้ลองศึกษาการทำขนมแบบตะวันตกแบบจริงๆจังๆดู ก่อนค่ะ
กลัวคนรับสารไปเข้าใจอะไรผิดๆกันไปยาวค่ะ
5. ระบบย่อยอาหารของเรา มีกรดอยู่ข้างในนะคะ แรงกว่าซันไลท์ค่ะ คุณพูดแบบนี้ถ้าคนเชื่อแล้วเขาเลิกกินนม กินไข่ หรือเนย ไม่เสียดายแทนเขาเหรอคะ
ฯลฯ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผม บะหมี่เกี๊ยวแห้ง ไม่ใส่ชูรสห่อนึง
เด็กเสิร์ฟ บะเกี๊ยวแห้ง ไม่อร่อยห่อ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ออกตัวก่อนว่าไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามนะครับ.....แต่รู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งเวลาเห็นความเชื่ออะไรในทางลบเกี่ยวกับอิสลามครับ...
วันนี้เลยมีเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับอิสลามมาแบ่งปันครับ
....เรามักจะได้ยินว่าสตรีมุสลิมในรัฐศาสนามักจะไม่มีสิทธิ์มีเสียง ต้องเป็นช้างเท้าหลัง ไม่มีสิทธิ์เป็นผู้นำ อยู่บ้านทำงานบ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว
แต่เหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนความคิดคุณไปตลอดกาล
ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากทัพสัมพันธมิตรได้ชัยชนะในแอฟริกาเหนือ ขับไล่ทหารอิตาลีและเยอรมันที่ยึดครองพื้นที่แถบประเทศลิเบีย...บีบให้ถอยทัพข้ามเมดิเตอเรเนียนกลับ...เพื่อป้องกันการกลับไปรวมกำลังแล้วมายึดพื้นที่คืน ฝ่ายพันธมิตร นำโดยทหารอเมริกัน และทหารบ้านอาสาขอบลิเบียจึงรวมกำลังกันตามตีเพื่อให้มีทหารที่ถอยทัพสำเร็จกลับไปให้น้อยที่สุด....
แต่ฝ่ายเยอรมันกับอิตาลีก็รู้ข้อนี้ จึงฝังกับระเบิดไว้ตลอดเส้นทางถอยทัพ
ฝ่ายทหารบ้านลิเบียจึงไปเกณฑ์ผู้หญิงในหมู่บ้านออกมาเดินเรียงแถวนำหน้ากองทหารชายประมาณ 1/2 ไมล์....
เห็นไหมครับ ผู้หญิงมุสลิมก็เป็นผู้นำทัพได้.....
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ตอนนี้มีปัญหากับฝูงหมาสามตัวที่บ้านฝรั่งเมียไทยหลังหนึ่งชอบปล่อยออกมาวิ่งเพ่นพ่านเช้าสายกลางดึก เห่าทะเลาะกับหมาบ้านต่างๆ ตอนตีสองตีสาม ทำให้คนไม่ได้หลับไม่ได้นอน พอแจ้งส่วนกลางให้ยามไปบอกทีหนึ่งก็หายไปพักหนึ่ง แล้วก็กลับมาเหมือนเดิม
เมื่อคืนก่อนก็มาตอนตีสองตีสามอีก แต่คืนนี้หนักกว่าคือมากัดแมวข้างบ้านตาย บ้านติดกับเรานั้น เมียเขาเลี้ยงแมว เมียเขาเพิ่งเป็นมะเร็งเสียชีวิตไปสักสองเดือน สามีกำลังเศร้าก็ไม่ค่อยกลับบ้าน เราก็ช่วยดูแมวไปตามมีตามเกิด ซื้ออาหารมาให้มันกินบ้าง แต่มันแก่แล้วและผอมมาก
ตอนกลางคืน มันชอบมานอนเล่นที่ถนนหน้าบ้าน คงไม่ทันระวังตัว ไอ้หมาสามสี่ตัวนี้เลยรุมกัดตาย
สามีเราเลยโมโหมาก ชวนเดินไปคุยกับเจ้าของหมา ไปเจอแต่ตาผัวฝรั่ง เขาก็ปัดความผิดว่าคนอื่นในบ้านไม่เคยดูแลหมา พอเปิดประตู หมาวิ่งออกไป ก็ไม่ตามกลับมา
เลยถามว่าเมียอยู่ไหม เขาบอกว่าเมียนั่งสมาธิอยู่ รบกวนไม่ได้ มีอะไรมาคุยพรุ่งนี้เช้า เราบอกว่าคุณน่าจะสอนหมาฝึกหมาบ้าง ฝรั่งบอกว่ามันฝึก แต่เมียมันบอกว่าเลี้ยงแบบ "วิถีพุทธ" Buddha way ใช้คำนี้ ปล่อยมันเล่น ปล่อยมันออกไปวิ่ง ปล่อยมันกลับบ้านเอง
เจอการเลี้ยงหมาแบบวิถีพุทธเข้าไป ขออึ้งแพร้บ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องจริงป่าววะ เหมือนเคยอ่านเป็นมุกแบบกล่าวถึงหลังสงครามเวียดนาม
โจรใต้แม่งบอกไม่รู้กูจะระเบิดกรุงเทพไปหาเหี้ยไร ระเบิดไปกลายเป็นผลงานทักษิณหมด เหยดแหม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ศาสนาแห่งปัญญา สอนให้โง่
ศาสนาแห่งความรัก สอนให้เกลียด
ศาสนาแห่งสันติ สอนให้ฆ่า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
MLM=Marxist Leninist Maoist
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
การทำงานแบบที่ทำอยู่ เป็นการทำงานแบบที่ตกผลึกเอา Water Fall ด้านดี + Agile ด้านดี ผสมกับ Lean ในงานวางแผน และ Kaizen ในงาน Production มายำรวมกัน โดยวางวิธีการแบบหมากล้อม เพื่อปั้นให้เกิดคนเก่งขึ้นรอบตัว ที่ผมใช้เรียกกับภรรยาว่าการสั่งงานแบบ D.A.R.E
- Direction หนักแน่น: (สั่งแล้วไม่แก้ ไม่เปลี่ยน จนกว่าจะได้รับ user feedback) ทำในสิ่งที่ user มองหา เพราะ user ไม่สามารถบอกว่าตัวเองอยากได้อะไร user บอกได้แค่ ตัวเองไม่ชอบอะไร
- Agenda ต้องชัดเจน: จะทำอะไร ต้องบอกทุกคน ทุกฝ่าย ไม่มีเม้ม จะได้ถามชัดตอบตรง เดินไปทางเดียวกัน ไม่มีการบอกให้ใครทำอะไรโดยข้ามหัวกัน หรือ เดินไปบอกลูกทีมคนอื่นบางคน
- Realistic ต้องอยู่บนพื้นฐานความจริง: จะมานั่ง ออกแบบ วางแผน ส่งทีมไปสำรวจก่อนเสมอ ก่อนจะสั่งงาน ไม่มีการสั่งงานโดยความรู้สึก แม้จะมีประสบการณ์สูงแค่ไหนก็ตาม
- Enlighten ต้องตอกย้ำ: ทุกคนไม่ได้เกิดมามีสมองเท่ากัน ต้องใช้ความอดทนในการสื่อสาร และต้องส่งมอบสารที่ต้องการให้ผู้รับสาร รับสารนั้นให้มีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด เมื่อเค้าเข้าใจเราเมื่อไหร่ คุณแทบไม่ต้องสั่งอะไรอีกเลย เค้าจะสามารถตัดสินใจแทนเราได้อย่างมากก็แค่ส่งข้อความมาคอนเฟิร์มเราว่าเค้าตัดสินใจจะทำแบบไหน เท่าที่ใช้มา 5-6 ปี มีไม่ถึง 1% ที่เราเห็นแย้งไป
ไม่รู้ว่า ใช่มั้ย แต่บริษัทที่ทำอยู่กับภรรยาเราเริ่มด้วยทุน 1 ล้านบาท ใน 3 ปี กับพนักงานหลักๆ 5 ชีวิต เราทำรายได้ไปทะลุ 60 ล้านบาทแล้ว
งานประจำหลายๆที่ก็ใช้แบบเนียนๆ ทุกคนไม่รู้หรอกว่าเราใช้ทฤษฎีอะไร แต่ทุกคนเค้าจะมีกลไกทางสังคมวิทยาที่จะปรับเข้าหากันอยู่แล้ว เราแค่ต้องทำซ้ำแบบเดิมไปเรื่อยๆจนกว่าทุกคนจะรู้ว่าเราต้องการอะไร แล้วไอ้ตัว D.A.R.E ของเราก็จะทำงานได้ด้วยตัวมันเอง
ข้อเสียคือ เวลาเราไม่อยู่ ระบบจะรวน แม้จะทิ้งคนเก่งและมีฝีมือไว้ก็ตาม
จิงๆก็ไม่ได้สนใจหน้าตาคนหรือสถานที่ๆศึกษาเท่าไหร่นะ แต่แม่งฮาที่เห็นเด็กราดพัดบ้านนอกมากๆ ตัวดำๆหน้ายังกะกบด่าอิแฟ้งว่า โง่และหน้าเหี้ย
มิตรฯ
"โลกนี้มีสิ่งที่เราสนใจอยากรู้อยากทำอยู่มากมายก่ายกอง การตระหนักรู้ครั้งสำคัญที่สุดน่าจะอยู่ที่การรู้ตัวว่าเรามีเวลาจำกัด-ทำทุกอย่างไม่ได้ ต้องเลือกแค่บางอย่างเท่านั้น เราจึงต้องตั้งใจเลือกอย่างละเอียดละออ แล้วก็พบว่าแค่การตั้งใจเลือกก็ทำให้เวลาหมดไปแล้วครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"You simply cannot fix your student not doing their homework with more homework."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ระบบแฟน คือระบบดูถูกและกดขี่สิทธิสตรี"
- #มิตรสหายมุซซี่ท่านหนึ่ง
ไม่อยากจะขัดจรวดตัวเอง เมื่อเห็นภาพเธอ
ไม่ให้ว่าวเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะใจมันคิดไปไกล ยากที่จะดึงกลับแล้ว
จำเป็นต้องขัดจรวดตัวเอง ข่มตาลงแล้วชักหลังกลับ
ปลอบใจว่าไม่เป็นไร คิดว่าเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆไป
#มิตรสหายวงเหล้าโต๊ะข้างๆเมื่อคืน
"คนเชื่อไสยศาสตร์มาทำงานวิทยาศาสตร์นี่มันจะเอาไปเทียบกับพวกนักปรัชญาธรรมชาติยุคนิวตัน กาลิเลโอ ไม่ได้นะ พวกนี้ส่วนใหญ่มันไม่ได้มองว่าพระเจ้าแทรกแซงธรรมชาติ แต่มันมองว่าพระเจ้า govern จักรวาลด้วยกฎธรรมชาติ ซึ่งมันเชื่อว่าถ้าเราอยากเข้าใจพระเจ้ามากขึ้นเราก็ค้นหากฎธรรมชาตินั้น อธิบายมันด้วยคณิตศาสตร์ นิวตันเคยเขียนจดหมายถึงเพื่อนก็บอกว่ากฎธรรมชาติที่สวยงามขนาดนี้ต้องเป็นฝีมือของพระเจ้าแน่นอน
แต่อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ที่เชื่อไสยศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านพญาไท (ที่ผมเคยเจอ) คือแกเชื่อว่าผีเปิดตู้ laminar flow ได้ เชื่อว่ามายุ่งเกี่ยวกับการทดลองได้น่ะ แล้วตอนแกอภิปรายผลการทดลองแกจะรู้ได้ยังไงว่าผลการทดลองแกเป็นอย่างงั้นจริงๆ ไม่ใช่ผีแกล้ง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>894 จริงๆเเล้วที่จารย์พูดถึงนั่นไม่ใช่ผี เเต่ความจริงคืออาจารย์มีสเเตนด์ คนธรรมดาอย่างมิตรสหายไม่มีสเเตนด์เลยมองไม่เห็น จารย์ก็เลยอธิบายง่ายๆว่าคือผี
ถ้ามิตรสหายอยากเข้าใจว่าอาจารย์หมายถึงอะไร ให้มิตรสหายลองหาลูกธนูมาเเทงตัวเองดู ถ้าจิตเเข็งเเกร่งพอจะได้รับสเเตนด์มาเอง
เรียนรู้จากประสบการณ์ ... Depression กลับมาได้เสมอตราบใดที่ยังมี Trigger อยู่ในชีวิต
ยาต้านเศร้าช่วยให้มีความสุขขึ้นได้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะสุขตลอดไป หาก Trigger ยังกระตุ้นความเจ็บปวดที่ฝังใจอยู่ก็จะกลับไป Depress ได้ทุกเมื่อ
วิธีที่ดีคือรักษาให้ดีขึ้นควบคู่ไปกับการหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เศร้าซึม กำจัดมันออกไปจากชีวิตยิ่งดี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Depression เป็นแค่โรคมโน
ถ้ามึงคิดว่าตัวเองป่วยมึงก็จะป่วย แต่ถ้ามึงคิดว่าตัวเองไม่ได้ป่วยมึงก็จะไม่ป่วย
"เรื่องประวัติศาสตร์ไทย ความจริงแล้วต้องเปลี่ยนทั้งหมด เพราะทุกวันนี้ที่เรียนกันอยู่นั้นเป็นประเทศไทยโดดๆ ไม่มีเครือญาติ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่สามารถแยกออกจาก South East Asia ได้ เราเป็นส่วนหนึ่งของ South East Asia และอาเซียน ทั้งคนและดินแดน ต้องศึกษาถึงดินแดนและผู้คนที่มีผู้คนอยู่หลากหลายชาติพันธุ์"
"รัฐชาติเพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 แล้วมาสำเร็จเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นจริงเป็นจังเมื่อสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เปลี่ยนชื่อประเทศสยามมาเป็นประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2482 แก่กว่าผมไม่กี่ปีหรอก ขอให้เข้าใจซะใหม่เท่านั้นเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นข่าวสำลี สงสัยว่าลิซ่าหายไปไหน เลยลองเสิร์ชดู
สรุปคือ คุณลิซ่าแต่งงานกับคุณฟิลลิป
จบรายงาน
หนูเพิ่งรู้นี่แหละ
.
แต่ประวัติคุณฟิลลิปนี่น่าสนใจมากเลย แบบเป็นคนทัศนคติดีจริงๆ
-มีคนสอนลีลาศฟรี เลยรับเรียนแล้วตอบแทนโดยเป็นครูสอนลีลาศในโรงเรียน
-ต่อมารู้ตัวว่าชอบมายากลมาก เลยไปฝึกวันละหกชั่วโมง ออกจากลีลาศหน้าตาเฉยเพราะปลื้มมายากล
-ไปแข่งแพ้ แต่คนญี่ปุ่นประทับใจ เลยสอนให้ฟรีหกเดือน
กลับมาไทย ทำงานจนดัง ชวนครูญี่ปุ่นมาเที่ยวไทยเพื่อตอบแทนเขา
-เก็บเงินไปทำโรงเรียนแทนที่จะใช้ฟุ่มเฟือย แล้วก็เปิดสอนมายากลเรื่อยๆ
ปู่สุจิตต์บอกว่า เรานับถือศาสนาไทย....คือนับถือผีที่หุ้มด้วยพราหมณ์แล้วเคลือบด้วยพุทธอีกรอบ ...ชิคจะตายเหมือนเฟอร์เรโร่ลอชเชอร์ มีหลายชั้น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"สำนักข่าวในไทย แม่งรับน้องคนเกือบตายเซ็นเซอร์ชื่อมหาลัยชื่อคณะ แต่บางคนเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยวางเพลิงแม่งเอาทั้งชื่อจริงนามสกุลจริงที่อยู่มาเปิดเผย กูล่ะงงจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สูตรหมูมะนาว 10 นาทีได้แดก
1.นำหมูไปแช่เย็น ให้พอเป็นก้อน หั่นบาง ๆ สุด
2.ต้มน้ำให้เดือด กะปริมาณน้ำกับหมูให้พอท่วม
3.นำหมูใส่ลงไป ปิดไฟ แกว่ง จนหมูสุก ยกขึ้นสะเด็ดน้ำตักใส่จาน
4.นำน้ำลวก มาปรุงรสใส่น้ำปลา มะนาว ชูรส ถ้าชอบ ให้รสเปรี้ยวนำ เหยาเกลือป่นเล็กน้อย
5.ซอย. พริก กระเทียมลงไปผสม ในน้ำยำ
6.ซอย ต้นหอม โรยไปบนจาน ตักน้ำยำราด กินกับก้านคะน้าแช่เย็น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รุ่นพี่ที่มีส่วนให้เด็กโดดน้ำจนเข้าICU อ้างว่าเป็นโรคซึมเศร้า เลยคุยกะญาติเด็กไม่ได้
ไอ้จ่าน้ำลายติดคอเลยสัส 55555555555555
สเตตัสอื่นเพิ่งโม้ว่าตัวเองเป็นกูรูเรื่องซึมเศร้าไป พอมีคนถามว่า "ถ้ามีคนอ้างว่าเป็นซึมเศร้าทำยังไง" จ่าเเม่งตอบ "อย่าไปว่าว่าเขาอ้าง ต้องให้การดูเเล"
555555555555555555555
ญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลาม! อย่างไร ???
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เด็ดเดี่ยวที่ปกป้องประเทศให้ห่างไกลและพ้นไปจากการเกี่ยวข้องกับมุสลิมและศาสนาอิสลามโดยเด็ดขาด...
ชาวญี่ปุ่น มุ่งรักษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของญี่ปุ่น !
จึงไม่มีผู้นำจากประเทศอิสลาม อายาตุลเลาะห์ ของอิหร่าน และนายก รมต. ของประเทศอิสลามไปเยื่อนญี่ปุ่น แม้แต่พระราชาแห่งซาอุดิฯ หรือเจ้าชายแห่งซาอุดิฯก็ไม่ไปเยือนญี่ปุ่น!!
เนื่องจากญี่ปุ่นออกกฎเข้มงวดต่อชาวมุสลิม และต่อศาสนาอิสลาม โดย
1.ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่ให้สัญชาติตนแก่ชาวมุสลิม
2.ไม่ให้ การพำนักอย่างถาวร แก่มุสลิม
3.ห้ามการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม ในประเทศญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด
4.ไม่ให้มีการสอนภาษาอิสลาม และภาษาอาราบิค ทุกมหาวิทยาลัยในJapan
5.ไม่อนุญาตให้นำคัมภีร์อัลกุรอานเข้ามาในประเทศ
6.อนุญาตให้ชาวมุสลิมที่ปฏิบัติตามกฎหมายของญี่ปุ่นอาศัยอยู่ได้
ชั่วคราวเพียง2แสนคนเท่านั้นซึ่งควรต้องพูดภาษาญี่ปุ่นและทำพิธีทางศาสนาภายในบ้านของตนเองเท่านั้น
7.ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีสถานทูตในประเทศอิสลามน้อยมาก..
8.ชาวมุสลิมในญี่ปุ่นเป็นได้เพียงลูกจ้างของบริษัทต่างชาติ
9.ไม่อนุญาตให้วีซ่าแก่มุสลิมที่เป็นแพทย์,วิศวกร หรือผู้จัดการ ที่บริษัทต่างชาติส่งมา
10.บริษัทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีกฎข้อบังคับไม่รับชาวมุสลิมเข้าทำงาน...
11.รัฐบาลญี่ปุ่นมีความเห็นว่าชาวมุสลิมเป็นพวกอนุรักษ์นิยมแม้โลกจะก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์แล้วแต่พวกเขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงกฎหมายศาสนาอิสลามให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
12.ชาวมุสลิมไม่สามารถเช่าบ้านในญี่ปุ่นได้
13.ถ้าชาวญี่ปุ่นรู้ว่ามีเพื่อนบ้านเป็นชาวมุสลิมแค่คนหนึ่งคนญี่ปุ่นในย่านนั้นจะตื่นตัวกันเป็นอย่างมาก
14.ไม่อนุญาตให้มีสถานศึกษาของชาวมุสลิมในประเทศญี่ปุ่น
15.ไม่มีการใช้กฏหมายชารีอะห์ของศาสนาอิสลามในญี่ปุ่น
16.ถ้าหญิงชาวญี่ปุ่นไปแต่งงานกับคนมุสลิมจะเป็นคนที่สังคมรังเกียจและไม่ยอมรับไปตลอดชีวิต
17. ตามที่ศาสตราจารย์คุมิโกะ ยากิ ผู้ศึกษาเรื่องมุสลิมอาหรับ มหาวิทยาลัยโตเกียวกล่าวว่า"ในญี่ปุ่นมีความคิดว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีจิตใจที่คับแคบและเราควรอยู่ให้ห่างไกลไว้"
....ญี่ปุ่นอาจจะแพ้สงครามแต่พวกเขายังรักษาและเป็นเจ้าของประเทศเอาไว้ได้...
ในประเทศญี่ปุนไม่มีการวางระเบิดฆ่าผู้คนในย่านธุรกิจ,....ไม่มีการฆ่าเพียงเพื่อรักษาเกียรติของครอบครัวรวมทั้งเด็กผู้ ไร้เดียงสาหรือใครๆก็ตาม ในญี่ปุ่นมีเหตุการณ์ความไม่สงบที่ น้อยมาก...ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่น่าคิดนะ..ว่าไหมครับ!!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>909
โดน debunk ไปหลายรอบแล้วนะครับ แต่ก็ยังไม่คนไทยแปลมาเผยแพร่ต่ออยู่
http://www.politifact.com/truth-o-meter/statements/2015/nov/17/viral-image/viral-graphic-says-japan-keeps-out-radical-islam-t/
ล่าสุด เกิดคดี คนปลอมตัวเป็น "ไฮโซ" เข้าไปปะปนในงานเลี้ยงหรู แล้วลักขโมยของแพงๆในงาน
จำได้มั้ย เดือนก่อน ตอนคดีหญิงไก่ กูเคยพูดประเด็นว่า "อย่าคบหากับคนที่ชอบโกหกว่าตัวเองเป็นรวย" เพราะคนที่ชอบโกหกผ่านเน็ต ว่าตัวเองรวย เป็นนักธุรกิจเงินล้านบ้าง โกหกว่านามสกุลดังบ้าง โกหกว่ามีเชื้อเจ้าบ้าง โกหกว่าเป็นไฮโซบ้าง พวกนี้ไม่ได้โกหกเอาสนุก แต่มีเป้าหมายในการ "ก่อการร้าย" ทั้งนั้นแหละ
ดังนั้น เวลากูบอกใครว่า คนไหนไม่ได้รวยจริงอย่างที่ตอแหลในเน็ต ก็โปรดเข้าใจด้วยว่า กูไม่ได้อิจฉา แต่กูต้องการเตือนภัย (กูจะอิจฉาทำไม ในเมื่อมันไม่ได้รวยจริงๆ)
น BTS เจอเด็กนักเรียนชาย อายุราว 5-6 ขวบ หน้าบูดบึ้ง ถูกจูงมือมาโดยคุณแม่ท่าทางใจดี
คุณแม่ : แคปหมูที่แม่ให้เอาไปกินกับเพื่อนวันนี้อร่อยมั้ยลูก แล้วเพื่อนชอบมั้ย
เด็ก : ไม่รู้คับ! ผมไม่ได้กินเลย!
คุณแม่ : อ้าว ทำไมล่ะคับ
เด็ก : ก็เพื่อนมาหยิบไปกินทีละห่อ ตอนแรกก็ 1 ห่อ สักพักก็ 2 แล้วก็ 3 แล้วก็ 4 แล้วก็ 5 แล้วถุงที่ 6 เป็นถุงสุดท้าย ผมกำลังเอามาแกะ มันก็มาเอาไป แล้วก็กินทีเดียวหมดเลยคับ
คุณแม่ : แล้วลูกไม่บอกเพื่อนหรอคับ ว่าเอามาแบ่งกัน กินคนเดียวหมดไม่ได้
เด็ก : ผมก็บอกแล้วคับ ว่าผมยังไม่ได้กินเลย แต่มันบอกว่า เกิดมาไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้เลย ขอได้มั้ย
คุณแม่ : ฟังผิดรึเปล่า เกิดมาไม่เคยกินเลยหรอ เพื่อนลูกคนไหน ชื่ออะไรคะ
เด็ก : ชื่ออาเหม็ดน่ะแม่ คนที่แม่เค้ามีผ้าพันคอใหญ่ๆทุกวันน่ะ
แม่ : ...........
"พระสังข์ไปชุบบ่อทอง รับน้องไปชุบบ่อเคมี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เสรีนิยมไทยบางพวก เห็นมหาวิทยาลัยไทยใช้ระบบโซตัสก็ด่าว่าสอนนักศึกษาให้ยอมรับการกดขี่ แต่พอเห็นมหาวิทยาลัยตะวันตกใช้แนวใช้แนวคิดพีซีที่ต่อต้านการกดขี่ก็หาว่าโอ๋นักศึกษา
แบบนี้แหละถึงเป็นได้แค่เสรีนิยมโลกที่สาม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีประเด็นหนึ่งที่ก้าวหน้ามากๆในการเมืองซ้ายตะวันตก ก้าวหน้าจนฝ่าย ปชต. ไทยตามไม่ทันเลย ก็คือเรื่องสิทธิพลเมืองของคนพิการ สิทธิพลเมืองที่ว่านี้ไม่ได้พูดถึงสิทธิตามกฏหมายอย่างเดียว แต่พูดถึงในเชิงวัฒนธรรม การเข้าถึง และการมีส่วนร่วมด้วย
ตัวอย่างเช่น บทสนทนาเรื่อง ableism ในสังคมตะวันตก ที่นำไปสู่การคำถึงในคนพิการในวัฒนธรรมหลายๆมิติ เช่น การ call out ถึงคำพูดที่ ableist โดยที่คนพูดไม่รู้ตัว (เช่นการใช้คำว่า walk, see, ฯลฯ ในอุปมาอุปมัยเปรียบเปรย) การที่เพจซ้ายๆในเฟซบุ๊คใส่ caption อธิบายรูปภาพ เพื่อให้คนตาบอดสามารถเข้าใจโพสต์ต่างๆได้ (ตัวอย่าง https://www.facebook.com/wokemon/photos/a.1726445804292412.1073741827.1726441404292852/1733972243539768/?type=3) เรื่องพวกนี้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆสำหรับคนที่มีอภิสิทธิ์อยู่แล้วในสังคม แต่มันสำคัญมากๆหากเราให้ความสำคัญกับ ปชต. ในแง่ที่ว่า ปชต. คือการมีส่วนร่วม
แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า ฝ่าย ปชต. ไทยจะบอกว่าเรื่องนี้ประสาทแดก อย่างก่อนหน้านี้ที่มีกรณีนี้มีคนท้วงอ.ชาญวิทย์เรื่อยโควตของแกที่ว่า "ถ้าคุณไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็ตาบอดข้างหนึ่ง แต่ถ้าคุณเชื่อประวัติศาสตร์ไม่มีข้อกังขาคุณตาบอดสองข้าง" แล้วฝ่าย ปชต. ก็ออกมาหัวเราะเยาะกัน (ดู https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1365276070153483&set=pb.100000133091429.-2207520000.1470560089.&type=3&theater)
เรื่องแบบนี้มันง่ายมากที่จะทำให้ดูเป็นเรื่องตลก แต่มันก็มีประเด็นที่ควรต้องมาคิดต่อ อย่างลองสมมติว่าคนพิการเป็น marginalized group กลุ่มอื่นที่มีสิทธิมากกว่า เช่น คนอีสาน LGBT ฯลฯ แล้วคิดดูว่าถ้ามีคนใช้คำในลักษณะเดียวกันต่อคนพิการจะเป็นยังไง ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนพูดว่า "ถ้าคุณไม่รู้ประวัติศาสตร์คุณก็ลาว แต่ถ้าคุณเชื่อประวัติศาสตร์ไม่มีข้อกังขาคุณก็โคตรลาว" ฝ่าย ปชต. ไทยก็จะมองว่าเป็นคำพูดที่ไร้รสนิยม ทั้งๆที่ผลลัพท์ของมันออกมาคล้ายๆกัน คือการทำให้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมไม่สามารถมีส่วนร่วมในบทสนทนาได้
ปัญหาก็คือ ฝ่าย ปชต. ไทยยังไม่ได้มองว่าคนพิการเป็นพลเมืองเท่าเทียมกับ marginalized group กลุ่มอื่น--อย่างน้อยก็ยังไม่ได้รวมคนกลุ่มนี้ไว้ในบทสนทนาทางการเมือง--ทำให้คิดว่าปัญหาของคนกลุ่มนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ"ประสาทแดก" แต่เรื่องนี้มันไม่ได้สะท้อนอะไรมากกว่าความ ignorance เลย ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ฝ่าย ปชต. ไทยมองว่าเมนิสต์ประสาทแดก ทั้งๆที่ตัวเองก็มีความเข้าใจในปัญหาที่เค้าพูดถึงน้อยเหลือเกิน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
https://www.youtube.com/watch?v=FUEFiNXsHeE
มาฟังท่านอาจารย์ อามีน ลอนา เกี่ยวกับเกมโปเกมอนกันครับ
สรุปให้
- เกมโปเกมอนมีการพนัน(ตรงไหนวะบอกหน่อย)
- นาทีที 1:40 เนื้อเรื่องของเกมโปเกมอน ตัวละครโปเกมอน วางอยู่บนรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการ (ดาวินมาได้ยินคงอกแตกตาย)
- 2:10 ทฤษฎีวิวัฒนาการบอกว่านบีอาดัม(มนุษย์คนแรก)มาจากลิง ซึ่งขัดกับอัลกุรอาน
- 2:22 สัญลักษณ์ในเกมโปเกมอน มีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการปฏิเสธอิสลาม
- 7:45 ใครมาล้อเลียนฮิญาบ(การคลุมหัวในศาสนาอิสลาม) ล้อเลียนการไว้เคราตามหลักอิสลาม หรือล้อเลียนทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม(ละหมาด , การอาซาน) ถือว่าตกมุรตัด(ตกศาสนาอิสลาม)
- 8:36 การให้เกียรติสัญลักษณ์อื่นที่ไม่ใช่อิสลาม ถือว่าตกมุรตัดอีกเช่นกัน(เช่นเด็กวัยรุ่นเอาเสื้อลายไม้กางเขนมาใส่)
- 10:25 เกมตัวนี้(โปเกมอน)มีเป้าหมายที่จะโปรโมตสัญลักษณ์ของ"ผู้ปฏิเสธ"
- 11:00 สัญลักษณ์ที่ว่าคือ มีดาวหกแฉกในตัวละคร มีไม้กางเขน มีเรื่องของเทพ(โปเกมอนในตำนาน) มีสัญลักษณฺ์ของศาสนาชินโต
- 12:30 ท่านอาจารย์อามีน กลัววาเด็กที่เล่นเกมนี้ จะมีความเชื่อไปตามเนื้อหาของเกม
- 13:00 ท่านอาจารย์อามีน ได้กล่าวว่ามีเกมอีกหลายเกม ที่สร้างเงื่อนไขที่ทำให้บาป เช่น ถ้าคุณจะผ่านด่านต่อไป คุณต้องกดยอมรับบาโฟเมตเป็นพระเจ้า(ตามเนื้อหาเกม) ซึ่งถือว่าร่างกายคุณได้กดตกลงแล้ว ซึ่งผิดหลักศาสนาเต็ม ๆ ซึ่งถือว่าน่ากลัวมาก
-15:48 ท่านอาจารย์อามีน ได้กล่าวว่า เล่นเกมโปเกมอน อันตรายยิ่งกว่าคนที่ดูดยาบ้า
- 21:40 ท่านอาจารย์อามีน บอกว่า เพลงกรุงเทพมหานคร มีชีริก(สิ่งที่ทำให้ตกศาสนา)ทั้งเพลง เช่นเดียวกันกับเพลง จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอเข้าขอแกง อันนี้ก็ตกศาสนา เพราะถือว่าขอริสกี(ผลบุญ)จากดวงจันทร์
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หยินและยาง ชัชชาติและฉันชาย แข็งแกร่งและดุร้าย อันตรายและเลือดเย็น
พวกเขาคือ สองพี่น้องตระกูลปฐพี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"แข็งแกร่งมาก จนร่างกายคนๆเดียวรับไม่ไหว
จึงแบ่งออกมาเป็น2ร่าง"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เราควรจะหยุดเล่นมุกเหยียดเชื้อชาติกันได้แล้ว มันไม่ตลกเลย
มีคนบริสุทธิ์เป็นล้านที่ต้องตายเพราะ Islamophobia นะ
there's two things i hate
1. Racism
2. Nigger
ps. serious note : Racism in real life suck but racist joke is a-ok as long as nobody is harmed. (and no, feeling offended does not count toward "harm". just close your eyes or get the fuck away from the screen you nig-nogs)
มุสลิมที่อยู่ร่วมและเป็นมิตรกับศาสนาได้คือมุสลิมที่ไม่เคร่ง
"มันบินมาเอง ไม่ได้เอาโปเกบอลไปจับซะหน่อย"
มิตรสหายเทรนเนอร์ท่านหนึ่งว่าไว้
หากคุณโดนวีแกนท้าให้ไปกินเนื้อดิบ
คุณก็แค่ท้าให้เค้ากินมันสำปะหลังดิบทั้งเปลือกกลับไปก็พอครับ
@มิตรสหายท่อนหนึ่ง
มันมีนะ vegan ที่แดกแต่ของสดเท่านั้น
ฝรั่งคนหนึ่ง อยู่เมืองไทย แดกแต่มะม่วง มะละกอ มะพร้าว
"ผมอยากจะแนะว่า วิธีประเมินคุณภาพของมหาวิทยาลัยไทยนั้นไม่ยากอะไร ดูพิธีรับน้องว่าโหดมากน้อยกี่องศา การประชุมเชียร์เคร่งครัดและมากสักกี่ชั่วโมง พฤติกรรมรุ่นพี่ในการประชุมเชียร์ว่ากร่างและเหี้ยมแค่ไหน ฯลฯ ก็ประเมินได้เองว่า ยิ่งมีสิ่งเหล่านี้มากเท่าไร มหาวิทยาลัยนั้นก็มีกึ๋นน้อยเท่านั้น"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
ฉันเซ็นสัญญาเพื่อมาเป็นศิลปินและสร้างผลงานเพลง ไม่ได้เซ็นสัญญาเพื่อมาเป็นตัวอย่างดีให้กับชีวิตของใคร
#มิตรสหายนักร้องต่างประเทศผู้หนึ่ง
"อาย ตั้งแต่หนึ่งในทีมงานเจ้าพระยามาเย้ยบอกว่า "นายสั่งมาให้กูรับงานนี้ว่ะ..." กูอายแทนมึงนะเพื่อน
อาย ตั้งแต่รู้ว่างานนี้ สจล. ตะแบงรับงานทั้งที่จะมีผลต่อวงวิชาการและวิชาชีพอย่างมาก ในเรื่องความไม่เหมาะสมในหลักการและเหตุผลรวมถึงระยะเวลาของงาน
อาย ตั้งแต่มีคนเหล่านี้มาบริหารสถาบัน มีบริวารพวกพ้อง นำพาสถาบันไปสู่หายนะทางวิชาการและวิชาชีพ
อาย ที่คณะฯไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดออกมา วันนี้ทุกคนเห็นแล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยมีวงแลกเปลี่ยนปรึกษาอย่างที่รับปากไว้ แล้วดูผลของมันสิครับ เสียดายความตั้งใจดีของคนที่โดนลากเข้าไปร่วมนะครับ แนวคิดของเขาปรากฏอยู่ในแบบน้อยมากนะครับ
อาย ที่สมาคมวิชาชีพ ออกมาสนับสนุน ว่าเป็นโครงการที่ยกระดับพัฒนาวิชาชีพ Urban Design คุณจะยกระดับวิชาชีพด้วยงานแบบนี้หรือครับ ดูผลของมันแล้วบอกสังคมอีกทีได้ไหมครับ
อาย (แทน) ที่พวกพี่เก่าบางกลุ่ม เอาปมในอดีตมาอ้าง ต้องการเป็นที่ 1 ในสังคมมาฉาบหน้ารับงานระยำ พาสถาบันลงเหว และไม่สนคำเตือนของเพื่อนพ้องรุ่นน้อง
อาย (แทน) ที่พวกเขาหน้าไม่อาย ที่ไม่สนคำเตือน และเอาความเป็นพี่มาข่มด่า ความเป็นมืออาชีพปลอมๆ โชว์เก๋าทำงานทัน เย้วๆโชว์ผู้บริหารและพวกพ้องที่รับงาน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วันนี้เรียนเรื่อง child abuse อาจารย์หมอเล่าให้ฟังว่าได้ไปพูดให้ครูฟังที่โรงเรียนซักที่
หมอ: การมีกฎอะไรจุกจิกมากมายไปนี่มันฝืนนะคะ แทนที่จะทำให้เด็กจะอยู่ในระเบียบแต่มันจะให้ผลตรงข้ามแทน อย่างตัดผมให้สั้นเซ็นนึงอย่างนี้ทำไปเพื่ออะไรกัน ทรงผมไม่เกี่ยวอะไรกับสมอง ครูไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก บลาๆๆ
ครู: ถ้าตัดผมแค่นี้ยังทำไม่ได้จะไปทำอะไรได้
หมอ: (สะดุ้ง มองผมตัวเอง) การจะพูดแบบนี้ได้นี่นอกจากจะรู้สึกว่าตัวเองไร้อำนาจจนต้องมาลงกับเด็กแล้ว ยังต้องมีสมองส่วนหน้าที่เล็กด้วยนะคะ
ไม่รู้ว่าอาจารย์ได้พูดออกไปจริงต่อหน้าครูจริงรึเปล่า แต่บอกว่าเกือบโดนตะเพิดออกจากโรงเรียนเลย 5555555"
มิตรสหายท่านหนุ่ง
"ไม่ใช่แค่ AIS นะ ทุกค่ายมีหมด
ตำรวจ สายสืบ ผู้มีอิทธิพล ใช้บริการพวกนี้กันหมด
อย่างของตำรวจเนี่ย มันซื้อข้อมูลเพื่อจับคนที่ต้องการ โดยใช้วิธีจับก่อน ออกหมายศาลทีหลัง
คือมันซื้อข้อมูลเอาไปจับตัวคนได้ก่อน แล้วก็เอาตัวคนไปขังไว้ในเซฟเฮ้าท์ แล้วก็รอออกหมายศาลแล้วเอาหมายศาลไปให้ จนท.ค่ายโทรศัพท์ เพื่อออกเอกสารข้อมูลที่อยู่ของคนที่ออกหมายจับ โดยมีการแก้ไขวันที่และเวลาให้เป็นเวลาที่หลังออกหมายศาล แล้วค่อยเอาตัวคนที่ขังไว้ในเซฟเฮ้าท์ออกมาดำเนินคดี
บองตรงๆ ประเทศนี้แม่งเถื่อน กฎหมายมีไว้งั้นๆ ล่ะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กฏหมายมีไว้ประดับงั้นแหละ เก๋ๆ ดูดีๆ
ของจริงคือเส้นสายและตำแหน่งที่ใหญ่โต
นี่กูไม่ได้พูดถึงประเทศไทยเลย จริงจริ๊งงงงงงงงงงงงงง
"ส่วนรับน้องนี้ข้าพเจ้าไม่มีปัญหาอะไรนะ เพราะกูไม่ได้เข้า มันมีเข้าค่ายนอนค้างคืนที่มหาลัยอยู่ครั้งหนึ่ง กูนึกว่าเกณฑ์ทหาร อาบน้ำให้ทันเสียงนกหวีดเพื่อฝึกความเป็นระเบียบ ควย แม่งไม่เข้าใจสุขลักษณะอนามัยที่ถูกต้อง อีดอก แล้วร้องรำทำเพลงเหี้ยห่าอะไรนี่แหล่ะ ตามสไตล์
แต่ที่กูเกลียดมาก คือก่อนจะเลิกค่ายปล่อยกลับบ้าน แม่งมีพิธีวัดใจควยอะไรไม่รู้ ให้รุ่นน้องทุกคนแดกปีโป้คนละอันแล้วบ้วนลงใส่เหยือกแล้วคนๆ ละก็ให้รุ่นน้องออกมาตักแดกเพื่อวัดความสามัคคี เป็นพิธีที่ทำกันมาทุกรุ่น กูก็โง่ออกไปแดก เพราะคิดว่าทุกคนออกไปแดก แล้วกูไม่แดกแล้วแม่งเสี่ยงตีนสัสๆ คนที่ไม่แดกก็มี เพราะห่วงเรื่องอนามัยของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ภาพตัดกลับไปที่รุ่นพี่ยืนร้องไห้อยู่ข้างหลัง ถามว่าทำไม แกก็ตอบว่า วางแผนทำค่ายมาตั้งนานให้รุ่นน้องรักกัน สามัคคีกัน เห็นแบบนี้แล้วดีใจ กูนี่แบบ เหี้ยอะไรเนี่ย? ตอนสุดท้ายพี่ก็มาเฉลยว่า ไอ้ที่กินไปเปลี่ยนสลับกับอันใหม่แล้ว ใครจะให้กินรวมกัน
โอ้โห ที่นี้ไอ้พวกที่ไม่ออกโดนล่าแม่มดเลย กลายเป็น Loser ในสายตาคนในรุ่นด้วยกัน ซวยชิบหาย ไอ้สัส พูดถึงแล้วโครตโมโห
ปีโป้นี่นอกจากแกะยากแล้ว แม่งวัดความสามัคคีได้ด้วยเรอะ?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ช่วงนี้ขัดใจหลายสิ่ง แบบกวนใจ แต่ไม่ได้อะไรมาก พอเข้าใจที่มาที่ไป....
1. ได้ยินโฆษณาพยายามจะสอนเด็กประมาณว่าให้มีสำนึกดี มีน้ำใจกับผู้พิการ แบบพาข้ามถนนไรงี้...... คือจริงๆสภาพแวดล้อม สิ่งต่างๆ มันควรเอื้อให้ผู้พิการใช้ชีวิตเองได้แบบไม่ต้องรอพึ่งพาใครไหม
2. ทำไมตอนเด็กๆถูกสอนให้ข้ามสะพานลอย แบบถนนไม่ใช่ที่ของคนเดินเท้า...... ทำไมไม่สอนให้เป็นคนขับรถที่ดี แบ่งถนนกันใช้ ให้คนเดิน priority แล้วแบบทำไมต้องรอข้ามถนนหน้าสุขุมวิท 26 นานโคตร ขนาดคนรอจะ 20 คนละ ข้ามไม่ได้ซักที
3. อื่นๆ เวลาได้ยินคำว่าเสียสละเพื่อส่วนรวม well หลายเคสที่คนได้ประโยชน์กับคนเสียประโยชน์มันคนละกลุ่ม บอกว่าคุณต้องเสียสละเพื่อนส่วนรวมไม่น่าจะพอนะ คงต้องทบทวนการชดเชย การจัดสรรผลประโยชน์ มันไม่ควรต้องมีใครประสบความยากลำบากจากการเสียสละ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คือแบบชดเชยให้เหมาะแบบที่เค้าไม่ต้องมารู้สึกว่าเป็นผู้เสียสละไหม"
#มิตรสหายทนหนึ่ง
"ถ้ามีปัญญาทำธุรกิจมีกำไรได้แค่เพราะไปกดค่าแรงลูกจ้างก็เจ๊งไปเถอะครับ ทุกวันนี้ค่าแรงขั้นต่ำไทยคิดตามอัตราค่าครองชีพนี่ถือว่าต่ำเหี้ยๆ นะครับ จีนยังค่าแรงสูงกว่าเลย ทำไมเขามีปัญญาทำธุรกิจได้
แค่ 360 นี่ไม่ได้สูงเลยนะ ทุกวันนี้ค่าแรงช่างก่อสร้างขั้นต่ำวันละ 700 นะครับ กรรมกรยกของ ผสมปูนธรรมดายังได้วันละ 500 เลย ทำกลางคืนคิดคูณสอง ต่ำกว่านี้ไม่มีใครเขามาทำให้หรอก (ไม่เชื่อลองไปถามกรรมกรแถวกีบหมูดูได้ครับ นั่นเรตแรงงานอิสระที่ไม่มีอะไรการันตีผลงานแล้วนะ)
ไอ้พวกบอกค่าแรง 360 แพงนี่แหละจะทำให้ SMEs ภาคก่อสร้างตายมากกว่า เพราะทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าต้นทุนค่าแรงน้อย ได้กำไรมาก ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนมีการศึกษาเค้าไม่ทำตัวแบบขอทานหรอกครับ
"ค่อนข้างไม่เห็นด้วยนะครับ กับการที่บาริสต้าหรือครูหลายท่านรังเกียจ espresso เย็น
ด้วยเหตุผลที่ว่าที่เมืองนอกไม่มี
มีครับ ที่อิตาลีเรียก espresso freddo แปลตรงตัวเลย cold espresso จะ cold หรือ iced ก็ว่ากันไป หรือเอานมข้นใส่ใน espresso ก็มี cafe bon bon
ที่อิตาลีหรือที่ไหนๆ ถ้ามีจิตใจที่อยากจะทำเครื่องดื่มที่ผู้อื่นต้องการ การไปสั่ง iced espresso ใส่นมข้นแบบไทย ที่นั่นผมเชื่อว่าเขาต้องทำให้ด้วยความยินดีถ้ามีวัตถุดิบที่พร้อม
อย่าให้ขอบเขตความรู้ที่ไม่มากพอ ไปจำกัดจิตใจของ"คนที่คอยดูแลบาร์" เลยครับ เพราะนั่นคือความหมายของคำว่า บาริสต้า
มันไม่ใช่การดูแลสูตรกาแฟอย่างเคร่งครัด แต่หมายถึงการดูแลผู้คนที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันแตกต่างหลากหลายด้วย
ถ้าอยากให้เขาได้ดื่มสิ่งที่อร่อยกว่านั้น คิดว่าเราคุยกันได้ เรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ เพราะทั้งเราและเขาต่างไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมา ใช่ไหมครับ"
มิตรสหายท่
ถ้าคนไทยเห็นคนใส่ชุดนาซีเเล้วTriggered ทำไมไม่คิดว่าถ้าใส่ชุดทหารไทยโบราณเเล้วมันจะTriggerประเทศใกล้เคียงที่เคยโดนเรายึดบ้าง ทำไมไม่คิดว่าชุดทหารยุ่นของโกโบริจะTriggerจีนกับเกาหลีบ้าง
ประเด็นคือ ใส่ชุดทางประวัติศาสตร์ชุดไหนมันก็มีโอกาสTriggerคนอื่นทั้งนั้น เเต่ชุดนาซีมันโดนด่ามากเพราะมีคนโดนTriggeredมาก เเค่นั้นเเหละ
เเค่กูคิดว่ายูนิฟอร์มนาซีมันเท่ หรือคิดว่าเครื่องหมายสวัสดิกะมันดูดีทางเรขาคณิต ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะลากยิวมายัดใส่เตาอบที่บ้านกูป่ะวะ 5555
-มิตรสหอยท่านนึง
หนังเรื่องพริกแกงกูสงสัยอย่าง คือคนทำเป็นคนหนุ่ม แต่ทำไมหนังออกมาได้ดักดานขนาดนั้น ดักดานขนาดที่กูสงสัยว่าทำประชดนายทุนหรือเปล่า
https://fanboi.ch/movie/2399/272/
เรื่องเเรมเซย์เฟล พอเเกไปเรียนทำอาหารต่างชาติจากเจ้าของ พี่เเกก็struggleตลอดนะ อย่างทำKebabกับNaan,ทำซูชิ,ทำติ่มซำ etc. เเต่กูชอบที่เเกไม่กลัวเฟลออกกล้อง เเละอยากเรียนจริงๆ นับถือ
น้าไทโรน ฮารัมเบ้ เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี 1987 กัญชาถูกผู้ใหญ่ในสังคมตั้งคำถามว่า 'นี่คือยาเสพย์ติดมอมเมาเยาวชนใช่ไหม' และน้าไทโรน ในฐานะตัวแทนของ Black Panthers and Black Lives Matter. โดนตั้งคำถามว่า "เด็กที่สูบกัญชามอมเมาอยู่กับสิ่งเสพย์ติดไร้สาระ โตขึ้นมาจะไปเป็นอะไร?"
...
...
น้าไทโรนยิ้มตาเยิ้มแล้วตอบว่า "เป็นคนดำ..."
กลับมาที่ปัจจุบัน น้าไทโรนเล่าว่าตอนกำลังจะเข้าห้องพิพากษา เมื่อสองปีที่แล้ว เขาโดนคดีหนักจนคิดว่าตัวเองไม่รอดโทษประหาร พอเข้าห้องขัง ผู้พิพากษาได้แอบเรียกน้าไทโรนไปคุยแล้วบอกว่าผมรับของมาจากน้าไทโรนตั้งแต่เด็กๆ และผมจะช่วยคดีนี้ให้เป็นพิเศษ...
"คำถามที่ถามผมว่าเด็กที่สูบกัญชาโตขึ้นจะไปเป็นอะไร คำตอบคือเขาโตขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตผม..." น้าไทโรน ทิ้งท้าย
- เค็นเน็ท แจ็คสัน -
(น้าไทโรน ฮารัมเบ้)
.
เพราะว่า Background ส่วนตัวที่มีใน Complex System Theory ทำให้เข้าใจและเชื่อใน small units ที่ interact แบบ non-linear กับ unit รอบๆ ตลอดเวลา ว่าจะทำให้ global patterns ที่ไม่มีใครออกแบบไว้ก่อน หรือออกแบบได้ก่อน โผล่ออกมาได้เอง
รูปแบบที่ปรากฏออกมานี้ เรียกว่า "Emergent Property" ของระบบในลักษณะนี้ และระบบแบบนี้มักจะปรากฏว่ามี "Self-organizing property" อีกด้วย
ระบบแบบนี้ไม่มีทางออกแบบล่วงหน้าได้เลย แต่ให้เรารู้กฏทุกอย่างที่ unit เล็กๆ เหล่านั้นมัน interact กัน เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะออกมาแบบไหน global patterns มันจะเป็นอย่างไร
สมัยเรียนบ้าเรื่องพวกนี้มากกกก (ลากต่อมาจาก Chaos Theory และ Fractals) ..... มีหลายคนสงสัยว่าบ้าไปทำไม รู้ไปแล้วทำอะไรได้ ไม่เห็นมีคนต้องการหรือประกาศรับสมัครงานอะไรเลย เป็นแค่ความรู้แบบไร้ประโยชน์ ฯลฯ
นั่นสิ วันนั้นก็ไม่รู้หรอก ... แค่รู้สึกดีที่มันทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น :-)
แต่ทุกวันนี้ ... ไอ้พวกนี้แหละ ทำให้เข้าใจ modern software development ไม่ยาก ว่าจริงๆ แล้ว software ที่ซับซ้อนถึงจุดหนึ่ง และต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา มันควรจะออกแบบอย่างไร ... ไอ้พวกนี้แหละ ทำให้ทุกวันนี้ทำงานอย่างที่ทำอยู่ ... ก่อนที่จะมีคนพูดถึงมัน ก่อนที่จะมีคนเขียนถึงมัน
จริงๆ ไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะว่าพวกที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับ complex system theory ดีๆ นี่ไปอยู่บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ พวก Microsoft, Google เพียบเลยนะ รวมถึงคนที่เขียนหนังสือเล่มที่ผมชอบมากเล่มหนึ่งด้วย
ป.ล. Complex System Theory เป็นคนละอย่างกับ Computational Complexity นะ :-)
#พูดถึงตัวเองกับEmergentDesign
ดูก๊อดซิล่าจบ เดินกินเฟนฟายแม๊คออกมาจากเซนปิ่นจะกลับบ้าน มีป้าสะกิดหลัง หนูๆศิริราชไปทางไหนลูกพอดีป้าตกรถอะลูก กูก็บอกข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามอะคับ ต่อรถเมล์ไป57,146,149,177 คันไหนมาก่อนก็ไปเลย อีป้าก็บอกอ่อขอบคุณมากลูกๆ แล้วกูหันกลับจะเดินต่อ เขาสะกิดหลังใหม่ หนูๆ ช่วยคนแก่สัก20ได้ไหมลูก ป้าตกรถเงินไม่พอ เอ้า??กูก็ปฏิเสธคนไม่เป็นก็เลยบอก อ๋อๆคับๆ แล้วฟักกระเป๋าตังมา อีป้าชะเง้อดูกระเป๋าตังกู(เฉยเลย) แม่งไม่มีแบงค์20 !! มนุษย์ป้าพูดขึ้นมาว่า ร้อยนึงก็ได้ลูกๆ ไม่เป็นไร (กูนี่ห๊ะ?เออวะคงไม่เป็นไรควย) กูก็เลยเอาตังให้แล้วจะพาป้าแกข้ามสะพานลอยไปส่ง(อาสาเอง) พอถึงฝั่งเมเจอร์ยืนตรงป้ายรถเมล์ กูก็ยืนกินเฟนฟายดูรถเมล์ให้ป้าแก สักพักป้าก็เรียก หนูๆป้าหิวอะเอาเฟนฟายให้คนแก่กินได้มั้ย (กูนี่คิดในใจไอเหี้ยแม่งไม่ใช่แระ) แต่ด้วยเรื่องของกินทำให้กูปฏิเสธคนเป็น5555 กูเลยบอกไป"อ๋ออันนี้น้องฝากซื้ออะคับ ผมแอบกินนิดหน่อย" ป้าแกก็อืมๆ เออๆ หลังจากนั้น10วิไอสัส(ไม่รู้แม่งวางแผนไว้อยู่แล้ว หรือของขึ้นที่ไม่ให้กินเฟนฟายเชี่ยไร) เขายื่นกระเป๋าเขาฝากให้ถือให้ (จังหวะเขายื่นให้เห็นแบงค์500ในกระเป๋ามนุษย์ป้าใบนึง) กูคิดละเอ้าเห้ย ไรวะ หลังจากนั้นแหละสัส "ช่วยด้วย ช่วยด้วย เด็กนี้จะฉุดกระเป๋าตังป้า" อ้าวเหี้ยย กูนี่ฉุนละวินาทีนั้น เท่านั้นแหละไอสัสไม่ต้อง งง ในรูปคือไร หลังกูรู้ตัวว่ามนุษย์ป้าจะเล่นงานกู วินาทีที่คนแม่งจ้องกูเยอะๆแหละ มึงไม่เคยดูนาวยูซีมีอะดีป้า ว้ากก 5555ไอสัส ว้ายๆๆ อูยๆๆ 5555 ควย5555 (ที่โด้นี่แค้นส่วนตัว) สักพักพอป้าเค้าตะโกนเสร็จเท่านั้นแหละ แหมพลเมืองดีไอเหี้ย แม่งอยุแถวๆป้ายรถเมล์วิ่งมากระชากแขนกูคนละข้างเลย(โคตรแรง) คือไอชิบหาย ถ้ากูจะเอากูวิ่งไปนานแล้วปะ มือยังถือถุงเฟนฟายอยุเลยไอสัส กระชากแขนสะ ไม่ดูสังขารกูเลยควยไอเหี้ยพลเมืองดี นั่นแหละคับ ของขึ้น ต่อยพี่ที่แม่งมาล๊อคกูไปคิ้วแตก แล้วแม่งก็มาล๊อคกูอีก5-6คนมั้ง คนแม่งก็ยืนดูกันไป (เห็นพี่ผู้หญิงคนนึงอัดคลิป ถ้าพี่ลงพี่ช่วยลงให้ครบนะคับ) ตอนชุลมุนเสียงดังกันยามเลยวิ่งมาดูมาถามว่าเกิดไรขึ้น อีป้าแม่งย้ำ "ไอเด็กนี่สิจะวิ่งโขมยกระเป๋าป้า" ยามแกเห็นตอนกูลงสะพานลอยมากับป้า(เห็นมาด้วยกัน) ยามแกก็เลยบอกอ้าวนึกว่าเป็นป้าเป็นหลานกัน กูก็อธิบายให้ฟัง(ตอนอธิบายพลเมืองดียังล๊อคแขนอยู่เลยควย) เออแล้วก็จบไอสัส ป้าแม่งก็เดินหงอยไปเลย เสร็จไอเหี้ยพลเมืองดีที่คิ้วแตกนี่ถาม"ขอโทดพี่ยัง" (ขอโทดพ่อมึงดิ) แม่งเข้ามาล๊อคแขนสะไม่เหลือความเป็นคนเลยสัส เป็นไงละไอเหี้ย หวังดี สงสารคนแก่ แม่งไอห่าเสียเวลาชิบหาย
(ขอโทดด้วยครับ ปกติไม่หยาบงี้ ไม่เรียกอีป้า ไม่ด่าตอนแกจะเอาร้อยนึงเลย ไม่คิดไรๆเหี้ยๆเลย แต่พอเจอ"ช่วยด้วยเด็กนี่จะโขมยกระเป๋าป้าเท่านั้นแหละสัส" ควย! อยู่ยากสัสหัวร้อนไปหมดเลย)
#500นี่ค่าหัวร้อนผมละกันครับ
#เที่ยงคืนลบเดะคนที่คิ้วแตกมาตามกูไอสัส
....งานวิจัยที่นานที่สุดในโลก.....
" Harvard Study of Adult Development "
โดยผู้ริเริ่มโครงการวิจัยได้ติดตามศึกษา
ชีวิตของผู้ชายวัยรุ่น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก; เป็นนักศึกษาชายปีที่ 2
ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดจำนวน 268 คน
ซึ่งมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษา
จากสถาบันที่มีชื่อเสียง
กลุ่มที่สอง; เป็นชายวัยรุ่นอายุ 12 – 16 ปี
ในตัวเมืองบอสตันจำนวน 456 คน
ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโต
บนความลำบากและยากจน
ทุกๆ 2 ปี ทีมวิจัยจะให้ทั้ง 724 คนนี้
ทำแบบสอบถาม
เกี่ยวกับความพอใจในชีวิตพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในชีวิตการแต่งงาน
ความพอใจในหน้าที่การงาน
หรือความพอใจทางสังคม
และหลายครั้งที่ทีมวิจัย
ขอไปสัมภาษณ์พวกเขาถึงที่ห้องรับแขก
เพื่อถือโอกาสพูดคุยกับภรรยา
หรือลูกๆ หลานๆ ของพวกเขาด้วย
นอกจากนี้ทุกๆ 5 ปี
จะมีการตรวจสอบสุขภาพพวกเขา
ทั้งรายงานทางการแพทย์
ผลการตรวจเลือด ผลการตรวจปัสสาวะ
หรือแม้แต่ผลการ X-ray หรือ สแกนสมอง
โดยตลอดเวลาที่ทำการติดตาม
ทีมวิจัยได้เห็นพวกเขาเติบโตไป
ประกอบอาชีพต่างๆ
บ้างเป็นคนงานในโรงงาน
บ้างเป็นทนาย
บ้างเป็นช่างปูน
บ้างเป็นหมอ
และมีคนหนึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
บางคนติดเหล้า
บางคนมีอาการทางประสาท
จำนวนไม่น้อยที่สร้างเนื้อสร้างตัว
จนสามารถไต่ระดับทางสังคมขึ้นมาได้
ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ที่เลือกทางเดินที่ตรงข้าม
ความมหัศจรรย์ของการวิจัยนี้คือ
เป็นงานวิจัยที่ยาวมากซึ่งมีไม่บ่อยนัก
ส่วนใหญ่มักจะเลิกไปภายใน 10-20 ปี
เพราะผู้ถูกวิจัยไม่ยอมให้วิจัยต่อบ้าง
เงินทุนวิจัยหมดบ้าง
คนทำวิจัยหันไปทำเรื่องอื่น หรือเสียชีวิตไป
แต่ Harvard Study of Adult Development
กลับดำเนินมากว่า 75 ปีแล้ว
โดยผู้ถูกวิจัยท724 คนนั้น
เหลือชีวิตรอดแค่ 60 กว่าคนเท่านั้น
ซึ่งผู้เหลือรอดเกือบทั้งหมด
อยู่ในวัย 90 ปีขึ้นไป
แล้วอะไรบ้างหล่ะ ที่บรรดานักวิจัยเรียนรู้
จากเรื่องราวกว่า 70 ปีของ 700 กว่าชีวิต
ผ่านทางเอกสาร และข้อมูลเป็นหมื่นๆหน้า
พวกเขาเรียนรู้ว่า...
“ความร่ำรวย”
“ความโด่งดัง”
หรือ "การทำงานอย่างหนักหน่วง"
ไม่ใช่คำตอบของ
" การมีชีวิตที่ดี "
หรือ "สุขภาพที่ดี" เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เป็น “ความสัมพันธ์ที่ดี” ต่างหาก
ที่นำมาซึ่ง "การมีชีวิตที่ดี"
“Good relationships keep us happier and healthier.”
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด (Key Message)
โรเบิร์ต บอกต่อว่า
พวกเขาได้เรียนรู้อีก 3 บทเรียนล้ำค่า
ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ (Relationship) คือ...
1. Connection is really good for us,
loneliness kills.
คุณจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี
กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง
เพื่อน ครอบครัว หรือสังคม ก็ตาม
ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้จะทำให้คุณ
มีความสุขกว่า
แข็งแรงกว่า
และมีอายุที่ยืนยาวกว่า
ในทางกลับกันความเหงาและโดดเดี่ยวนั้น
เป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง
เพราะมันจะทำให้คุณมีความสุขน้อยลง
ทำให้ร่างกายคุณเริ่มแย่ลงตั้งแต่วัยกลางคน
สมองเสื่อมเร็วขึ้น
และมีชีวิตสั้นกว่า
2. Quality is not Quantity.
มันไม่สำคัญที่ปริมาณ
หรือรูปแบบของความสัมพันธ์
เช่น "จะต้องแต่งงานเท่านั้น"
แต่เป็น “คุณภาพของความสัมพันธ์” ต่างหาก
ที่จะเป็นตัวบ่งชี้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า
ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของสามีภรรยา
จะส่งผลลบมากกว่า
การหย่าร้างที่เข้าใจกันเสียอีก
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>973 )
3. "Good relationships don’t just protect
our bodies they protect our brains."
ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น มั่นคง ไว้ใจได้ พึ่งพาได้
ไม่เพียงแต่ช่วยให้มีสุขภาพกายที่ดีเท่านั้น
ยังดีต่อสมองด้วย
ความสัมพันธ์ที่ดี
จะทำให้มีความทรงจำที่ดี
และสมองยังคงใช้งานได้ดีอยู่
ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีในที่นี้
ไม่ได้หมายถึง
ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นสุดๆ ไม่ทะเลาะกันเลย
แต่เป็นความสัมพันธ์ที่รู้ว่า
เมื่อถึงเวลาที่ต้องการจริงๆ
เราจะมีคนที่พึ่งพาได้
นั่นคือสิ่งที่ "โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ "
และทีมงานวิจัยของ ฮาวาร์ด ค้นพบ
ซึ่ง โรเบิร์ต บอกว่า
จริงๆแล้ว ผู้ถูกวิจัยเหล่านี้ในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น
หรือเริ่มเป็นผู้ใหญ่ใหม่ๆนั้น
ก็เชื่อเหมือนกับที่คนในยุคนี้ว่า
"ชื่อเสียง เงินทอง"
จะทำให้พวกเขา
"ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดี"
แต่ความจริงจากการศึกษากว่า 75 ปี
กลับกลายเป็นว่า
คนที่ให้ความสำคัญกับ
"ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง" ต่างหาก
คือ คนที่มีชีวิตที่ดีที่สุด
โรเบิร์ต ชวนคิดว่า...
สิ่งที่ทำให้คนเรามองข้าม “ความสัมพันธ์ที่ดี”แล้วหันไปใส่ใจกับ
"ชื่อเสียง เงินทอง" หรือ "หน้าที่การงาน"
อาจเป็นเพราะ...
การมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้น
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยากและไม่รู้จบ
แถมยังต้องได้รับการใส่ใจตลอดเวลา
จนหลายคนเลือกจะ "ทำงานหาเงิน" อย่างเดียว
แต่...
การเอาใจใส่ และการทำความสัมพันธ์ให้ดี
ไม่ได้ยากขนาดนั้น
แค่เงยหน้าจากจอมือถือ
แล้วสบตาคนรอบตัวให้มากขึ้น
หาอะไรใหม่ๆทำร่วมกัน
เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่จืดจาง
กลับมามีสีสันอีกครั้ง
ทำอะไรง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเงิน
เช่น ชวนคนรักไปเดินเล่น
หรือติดต่อญาติที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว
เพราะชีวิตเรานั้น
"มาร์ก เทวน" บอกว่า...
มันช่างสั้น แล้วก็สั้นเหลือเกิน
สั้นเกินกว่าที่จะมาโกรธกัน ทะเลาะกัน
หรืออิจฉาริษยากัน
ควรมีแต่เวลารักกันเท่านั้น
ซึ่งแค่นี้มันก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่ "โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ "
พูดใน speech ของเขา
สำหรับผู้ที่ภาษาอังกฤษ แข็งแรง
ควรจะเปิดดู clip นี้ มีประโยชน์มาก
https://www.ted.com/…/robert_waldinger_what_makes_a_good_li…
อ่านให้จบนะ
ถ้าทำได้
จะมีความสุขในการใช้ชีวิต.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นายแต่งแต่เร้ดการ์ดก็ไม่ดราม่าแล้ว นายดันไปเอานาซีมาด้วยเลยเป็นเรื่อง
โลกนี้มันแคร์แต่ยิวน่ะนาย
บอลเชวิกที่ฆ่าคนเยอะๆในรัสเซียนี่ก็ยิวอยู่เบื้องหลังนะครับ นายทุนที่หนุนหลังเป็นยิวทั้งนั้น
Trotsky ชื่อเหมือนรัสเซียแท้ แต่ชื่อจริงคือ Lev Davidovich Bronstein นะครับ
"ปุนปุน...นายคิดว่าสิ่งสำคัญของชีวิตคืออะไร"
"เงิน,ความฝัน,ความเห็นใจให้กันและกัน..."
"ใช่ พวกนั้นก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ การรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง"
"ตอนที่น้าได้ยินว่า นายต้องการที่จะอาศัยอยู่คนเดียวนั้นเล่นเอาน้าตะลึงเหมือนกัน"
"แต่เมื่อนั้นเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเจ้าเอง น้าก็ไม่ต่อว่าอะไร"
"หลานจะไปเป็นฆาตกรหรือเป็นพวกเก็บตัวอยู่ในห้อง น้าก็จะไม่เข้าไปขัดขวาง"
"แต่"
"ถ้าเมื่อไหรหลานโทษคนอื่น ทำให้หลานเป็นแบบนี้"
"น้าจะเอาดาบไปฟาดมึงเอง"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก็แค่ละคร ยักษ์ ตัวนึง คือต้องกลัวเสื่อมเสียไรวะ ยักษ์มันเคยมาช่วยรบในสมัยกรุงศรีหรือไง
ที่ตอนเอาช้างมาทาแพนดา ไม่เห็นออกมาดิ้น
มิตรสหายท่านหนึ่ง
#กูเดือดเลยครับ
"ไปธนาคารมา ก็แต่งตัวธรรมดา แต่รองเท้าแตะมันขาดหน่อยไง
เจ้าหน้าที่ก็มองหัวจรดเท้า แบบดูถูกอ่ะ กูหมั่นไส้
เลยเขียนใบเบิกเงินไป 2 ล้าน แล้วเดินไปที่เค้าเตอร์
กูพูดแม่งดังๆ เลย ขอถอนเงิน 2 ล้าน ย้ำ 2 ล้าน ด่วน!!!
พนักงานพูดขึ้นมาเบาๆ แบบเกรงใจว่า คุณลูกค้าใจเย็นๆนะคะ
คือเงินในบัญชีของคุณมีสองร้อยบาทค่ะ"
(มิตรท่านหนึ่ง)
>978 ขอโทษที ลืมไปว่าตอนก๊อปลิ้งมันโดนตัดไป
link ใน >>>974 ขอแก้เป็น https://www.ted.com/talks/robert_waldinger_what_makes_a_good_life_lessons_from_the_longest_study_on_happiness?language=enm
มารักษาโรคตามแนวทางของอัลลอฮ์ซุบฮานาฮูวาตาอาลากันครับ
หน้าหมอง ให้ละหมาดตะฮัจญุด (ละหมาดซุนนะห์นอกเหนือจากละหมาด 5 เวลา โดยละหมาดหลังเที่ยงคืน)
.
ใจแคบ ให้อ่านอัลกุรอาน
.
มีปัญหาทางอารมณ์ ให้เอาน้ำละหมาด (ที่ชาวมุสลิมชำระร่างกายก่อนละหมาด ประกอบด้วยการล้าง มือ ปาก หน้า แขน หัว หู ขา อย่างละ 3 ครั้ง)
.
กระวนกระวาย ให้ขอดุอาอฺ (ขอพรจากอัลลอฮ์)
.
เครียด ให้กล่าวสรรเสริญอัลลอฮ์
.
ป่วย ให้ถือศิลอด (งดดื่ม กิน สูบ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก)
.
ไม่ค่อยมีริสกี(โชค/วาสนา) ให้บริจาคทาน
.
ไม่มีความสุข ให้ถึงเวลาละหมาดให้รีบละหมาด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อัพหือดาวน์เกรดวะสัส
>>972 ไม่รู้ทำไมกูเจอคนแบบนั้นบ่อยเหี้ยๆแต่กูพลาดแค่ครั้งแรกๆนะ จนมีครั้งนึงกูทนไม่ไหวกูอยากแกล้งแม่ง แม่งบอกว่ามาหาญาติที่ กทม มาจากจังหวัดอะไรซักอย่างกูลืมละ แล้วขอยืมเงินกูนั่งรถเมล์ไปท่ารถทัวร์ แล้วมีขอชื่อกับเบอร์โทรกูด้วย บอกว่าไปถึงแล้วจะโทรกลับมาคืนเงินให้
กูก็เอาวะแม่งเล่นใหญ่ขนาดนี้กูก็เล่นกลับ กูบอกว่าพ่อกูเป็นนักการเมืองใหญ่(กูโม้) เดี๋ยวกูให้พ่อกูผสานงานให้ส่งกลับเลยไม่ต้องห่วง ญาติชื่อไร คุณชื่อไร แม่งก็เริ่มเหวอๆเว้ย แล้วทำบอกกูว่าเกรงใจ กูก็เห็นว่าแม่งเริ่มกลัวกูละกูเลยใส่ใหญ่เลยว่าไม่ต้องเกรงใจๆ ผมชอบช่วยคน บลาๆ แล้วแม่งก็บอกไม่เป็นไรๆ ขอแค่ค่ารถพอ 500 กูบอกไม่ต้องหรอก เนี่ยเดี๋ยวส่งถึงบ้านเลย ให้ตำรวจลูกน้องพ่อพาไปส่งก็ได้ ซักพักแม่งเริ่มพูดไม่รู้เรื่องเว้ย แล้วก็ด่ากูว่าแล้งน้ำใจไม่ให้ค่ารถ แล้วเดินหนีไปเลย กูฮามากๆ คนทั้งป้ายรถเมล์ก็มองกูนะ แต่กูสะใจสัดๆ
ในเมื่อมีรัฐสภา ใครๆก็สามารถไปเป็นได้ ออกกฎหมายอะไรก็ได้ ออกกฎหมายคุมแพทยสภาก็ได้ แล้วจะเอาคนนอกเข้ามาในแพทยสภาทำไมอะ นี่มันสภาวิชาชีพปะ
เห็นแพทยสภาเป็นรัฐสภารึไง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมได้ปรึกษาทนาย ว่าร้านอาหารสามารถเก็บค่า service charge ลูกค้าได้ไหม
จากการระดมสมองของกลุ่มทนายมือดี 6 คน เพื่อค้นหาและวิเคราะห์ข้อกฏหมายต่างๆ
ปรากฏว่า ลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะไม่จ่ายค่า service charge และทางร้านไม่มีสิทธิ์ในการเรียกเก็บ
ผมพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เราไปร้านอาหาร เราไปซื้ออาหาร หลังจากที่เราสั่งอาหาร ถือว่าการตกลงซื้อขายได้เกิดขึ้นแล้ว
และกระบวนการทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในการกินอาหาร ก็มีแค่ พนักงานนำอาหารมาเสริฟให้เรา
การเรียกเก็บค่า service charge 10% จึงไม่มีความเป็นธรรม เพราะไม่ได้มีบริการเสริมใดๆขึ้นมาจากการเสริฟอาหารปกติ
และต่อให้มีบริการอะไรที่เพิ่มเป็นพิเศษ ลูกค้าก็ต้องมีสิทธิ์เลือกว่าจะซื้อบริการนั้นรึไม่
และผมได้ปฏิเสธการจ่ายค่า service charge มาตลอด2เดือนที่ผ่านมา ทุกร้านจะเรียกผู้จัดการร้านมาคุยกับผม
ผมได้ตอบกลับไปทุกรายว่า คุณมีสิทธิ์อะไรมาคิดเงินผมเพิ่มอีก10% นอกเหนือจากค่าอาหาร ผมท้าให้ฟ้องร้องเป็นคดีตัวอย่างเลย
ให้ศาลตัดสินเป็นคดีแรกของประเทศไทยไปเลย เพื่อจะได้ลงหน้า1ไทยรัฐ คนไทยทั้งประเทศจะได้เลิกถูกเอาเปรียบจากนายทุน
ปรากฏว่า ไม่มีร้านไหนกล้าเก็บค่า service charge ผมแม้แต่ร้านเดียว โดยทางผู้จัดการร้านบอกว่าครั้งนี้จะอนุโลมให้เป็นพิเศษ ผมสวนกลับไปทันทีว่าพรุ่งนี้ผมก็จะมากินอีก แล้วก็จะไม่จ่ายค่า service charge เช่นเดิม ให้ทางร้านเตรียมทนายมาด้วยเลยก็ได้
ตลอด2เดือน หลังจากที่ไม่ต้องจ่ายค่า service charge 10% ทำให้ผมมีเงินในกระเป๋าเหลือมากขึ้นจนน่าตกใจ
ผมมาคิดๆดู ตลอดชีวิตผมเสียค่าโง่พวกนี้ไป น่าจะเป็นรถยนต์คันหนึ่งได้เลย หรือถ้านำไปลงทุนในกองทุนรวม เงินก้อนนี้คงกลายเป็นล้านไปแล้ว
บางร้านถึงกับคิดค่าบริการสุดโหด 15-20% ก็มีในหลายๆร้านในกรุงเทพ
หลังจากอ่านกระทู้นี้จบ ขอให้ทุกคนปฏิเสธการจ่ายค่าบริการในทุกกรณี เพราะทางร้านไม่มีสิทธิ์มาเก็บกับเรา เด็กเสริฟคือลูกจ้างของร้าน และกฏหมายกำหนดให้นายจ้างเป็นผู้จ่ายค่าจ้าง ไม่ใช่ผลักภาระมาให้ลูกค้าเป็นค่าจ่าย
ร้านค้าบางร้านหัวหมอ ใช้จุดอ่อนด้านต่อมคุณธรรมของคนไทย โดยบอกว่าค่าบริการจะทำให้พนักงานเสริฟมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เปิดคางมาแบบนี้ ผมสวนด้วยอัพเปอร์คัทกลับไปทันทีว่า ถ้าคุณอยากให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ขึ้นเงินเดือนให้พวกเขาเป็นเดือนละแสนสิ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลย
ถ้าวันนี้ผมไม่เป็นคนเริ่ม สังคมไทยต่อไปลำบากแน่ เพราะร้านอาหารมันจะได้ใจ และอาจขึ้นค่าบริการไปเรื่อยๆจนวันหนึ่ง ค่า service charge อาจแพงกว่าอาหาร เช่น ข้าวผัดกุ้งจานละ 80 ค่าบริการ 100 บาท
คนไทยถูกเอาเปรียบจนคิดว่ามันคือเรื่องปกติ ถ้าใครมองว่าการจ่ายค่าบริการ10% เป็นเรื่องปกติ และชอบด้วยเหตุผลแล้ว
ผมแนะนำว่าคุณควรทบทวนตัวเองแล้วว่าคุณคงถูกเอาเปรียบจนกลายเป็นเรื่องปกติรึป่าว
เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็ผิดกฏหมาย และเรามีสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะไม่จ่าย
ผมอยากให้ร้านอาหารฟ้องผมเหลือเกิน จะได้เป็นคดีตัวอย่างไปเลย
และมั่นใจว่า ผมชนะแน่นอน หลังจากปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางกฏหมายที่จบจาก อเบอดีน (แหล่งผลิตนักกฏหมายระดับท็อปของโลก)
เขาให้เหตุผลไว้อย่างน่าฟัง ว่า...
ถ้าเรื่องนี้ศาลตัดสินให้ ผู้บริโภคแพ้คดี สิ่งที่ตามมาก็คือ ทุกๆธุรกิจจะหันมาเก็บค่าบริการบ้าง
เช่น
ร้านถ่ายเอกสาร เก็บค่าบริการเพิ่มอีก 10% เพราะเขาต้องเอามือหยิบกระดาษจากเครื่องส่งให้คุณ
ร้านขายของชำ จะเก็บค่าบริการเพิ่มอีก 10% เพราะเขาต้องให้พนักงานหยิบของใส่ถุงให้คุณ
มันมีอะไรแตกต่างจากร้านอาหาร ที่แค่ยกอาหารมาเสริฟให้ลูกค้า
ถ้าร้านอาหารสามารถเก็บได้ ธุรกิจอื่นๆก็เก็บได้เช่นกัน
ช่วยกันแชร์ออกไปเยอะๆ และเริ่มที่ตัวคุณ ต่อไปให้ปฏิเสธการจ่ายค่าบริการในทุกๆกรณี และถ้าร้านไม่ยอม ก็ท้าให้ฟ้องเลย
คุณชำระแค่ค่าอาหาร ส่วนค่าบริการไม่ต้องจ่าย
กฏหมายไม่เปิดช่องให้ร้านอาหารสามารถมาเรียกเก็บค่าบริการจากเราได้
ส่วนใครที่ประทับใจในการบริการ คุณสามารถให้เป็นทิปแก่พนักงานได้ เพราะทิปมันถึงพนักงานแน่นอน และเป็นการให้ด้วยความสมัครใจ
ไม่ใช่ถูกมัดมือชกแบบ service charge
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่เก็บชาร์จมันก็เอาไปบวกค่าอาหารแทน แต่ตูรูสึกเฟคว่ะ
กูก็ไม่ชอบการแยก SC กับ VAT นะ สมัยเพิ่งเคยเข้าร้านที่โดนบวกใหม่ๆ ไม่เคยโดนมาก่อนนี่กูรู้สึกเหมือนร้านเค้าหลอกลวงลูกค้าเลย
พอเจอบ่อยๆแล้วชินก็ยังไม่ชอบอยู่ดี รู้สึกเหมือนเป็นผลักภาระให้ผู้บริโภค จะไม่ให้มี++ แต่รวมไปในราคาอาหารแล้วแพงขึ้นกูก็โอเคนะ
มันดูแฟร์กว่าการเขียนบอกตัวเล็กๆใต้เมนูแล้วเอาราคาไม่ net มาโชว์ลูกค้า
VAT นี่ตะหงิดมากว่ากูซื้ออะไรอย่างอื่นแม่งก็รวมหมด ทำไมของแบบนี้มึงเสือกจะคิดแยก
ส่วน SC บางร้านบริการแย่ก็รู้สึกไม่ดีที่เหมือนถูกบังคับให้ต้องทิปเด็กเสริ์ฟที่บริการห่วยๆ
พอพนักงานบริการดีก็เริ่มคิดมากอีกว่าเจ้าของมันจะเอาเข้ากระเป๋าตัวเองไม่แบ่งเด็กเสริ์ฟรึเปล่า
ปล. บทความนั่นมันน่าจะเกรียนประชดนะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.