มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง
Last posted
Total of 1000 posts
มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปัญหาของคนจำนวนมากคือมันจะคิดว่า Fact เดียวกันจะนำไปสู่ Conclusion เดียวกันเสมอ และคิดว่าคนที่ไม่ได้ Conclusion เดียวกันเป็นคนไม่มีเหตุผลโดยไม่ได้ฟังคำอธิบายของเขาเลย
การคิดว่าระบบเหตุผลของตัวเองนี่ถูกและดีเสมอนี่เป็นภัยต่อพัฒนาการทางความคิดเหี้ยๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มึง กูสงสัยว่าเราจะมีวิธีไหนในการควบคุมคุณภาพของคนไทยให้มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและมีวิจารณญาณในการเสพสื่อต่างๆได้บ้างไหมวะ
https://youtu.be/gKVtpCByEy4
ภาษาไทยยากสึด
"มึงอยากอยู่ยุค 90s ก่อนอื่นมึงปิดเราเตอร์มึงก่อน
ไอ้เหี้ย เกิดไม่ทันละมโนซะโรแมนติก
อินเตอร์เน็ตที่ลุ้นโหลดภาพหีทีละเส้นๆ เหมือนมีคนมานั่งทอผ้าอยู่หน้าจอ โหลดเสร็จข้างล่างเป็นควยเฉย เป็นการดักควายที่เจ็บใจค่าเน็ตสัสๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทุกวันนี้ผมเงียบมาตลอด ตั้งใจที่จะไม่ออกความคิดเห็นในเรื่องใดๆ และอยากให้ทุกฝ่ายตั้งใจแก้ไขปัญหาให้ประชาชน แต่อยู่ดีๆ ผมกลับถูกพาดพิงอย่างรุนแรง จนต้องเสียความตั้งใจ เลยต้องขอพูดสักครั้ง
การแก้ปัญหาของประเทศ ภายใต้รัฐบาลทหารของไทยในขณะนี้ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็โทษคนอื่น โดยตนเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ไม่เคยทำอะไรผิด ตัวเองดีทุกอย่าง เช่นน้ำแล้งก็บอกว่า เป็นเพราะรัฐบาลก่อน ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ขายไม่ออกอย่างยางพารา ก็บอกให้ไปขายดาวอังคาร บริหารประเทศแบบนี้ใครๆ ก็เป็นได้ครับ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
รัฐบาลนี้ได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร ได้เข้ามาปกครองประเทศแล้วร่วม 2 ปี ได้ทำประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ให้ชาวโลกเขาได้เห็นบ้าง ภาพลักษณ์ที่เผยแพร่ออกไป มีแต่การใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิประชาชน และกฎหมายสากลอย่างไม่เคยเกิดในประเทศไทยมาก่อน เมื่อนานาอารยประเทศ และองค์กรสากลต่างๆ เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเขาก็ออกมาเตือน เป็นเรื่องปกติทั่วไป ที่เกิดขึ้นในประเทศที่ผู้นำฯ ใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง
เมื่อผู้นำของประเทศเราไม่สนใจคำเตือน ประเทศอื่นเขาย่อมใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นการระงับการค้าการลงทุน มาตรการปิดกั้นและกีดกันต่างๆ รวมถึงการย้ายถิ่นฐานการผลิตไปยังประเทศที่ 3 กระบวนการเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง และโมเมนตัมนี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปอีกนานหลายปี..
แต่..แทนที่ผู้นำเราจะยอมรับความผิด แก้ไขปัญหาเหล่านั้น และทำให้มันถูกต้องเสีย กลับออกมาโทษว่า เป็นเพราะผมไปจ้างล็อบบี้ยิสต์ เพื่อล็อบบี้ประเทศต่างๆ ให้แอนตี้ บอยคอตประเทศไทย โถ..ช่างคิดไปได้
อยากจะบอกว่า ผมไม่จำเป็นต้องไปจ้างใคร ให้เสียเงินเสียทอง เพื่อประจานนายกฯ ไทย ให้เสียภาพลักษณ์ประเทศหรอกครับ ประวัติศาสตร์มีให้เห็นอยู่เสมอว่า เผด็จการฯที่ลุแก่อำนาจ ด่ากราดคนที่พูดจาไม่ถูกใจ ดูถูกคนยากจนว่าโง่ ใช้อำนาจเกินขอบเขต และปกครองประเทศโดยไม่เห็นหัวประชาชนนั้น ล้วนแล้วแต่แพ้ภัยตัวเองทั้งนั้น
อยากจะเป็นผู้นำประเทศ ถ้าอารมณ์ของตัวเองยังควบคุมไม่ได้ ใช้อารมณ์ด่ากราดผู้คนเพื่อเอาชนะ ตะคอกใส่นักข่าวให้เขาสงบปากสงบคำ และเขียนข่าวให้ถูกใจตน ทำแบบนี้บอกเลย อย่าหวังว่าจะทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศคล้อยตาม
ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองแย่แค่ไหน ลองเอาเทปที่คุณพูดทุกวันมาฟังย้อนหลังดูซิครับ แล้วคุณจะรู้ว่า
"ไม่มีล็อบบี้ยิสต์ในโลกคนไหนที่จะมีความสามารถทำลายคุณได้ เท่ากับคุณทำลายตัวคุณเอง"
เพราะฉะนั้น เมื่อคุณมั่นใจว่าเป็นคนดี ก็จงก้มหน้าก้มตาเป็นคนชอบแก้ไขไปเถอะ อย่าทำตัวเหมือนที่ผ่านมาเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่สิงคโปร์มีการรณรงค์เตือนสติให้ผู้คนหันมายั้งคิดก่อนที่จะถ่ายรูปหรือคลิปไปประจานคนอื่นในโซเชียลเน็ตเวิร์ก และแทนที่จะรีบถ่ายคลิปทำตัวเป็นตำรวจศีลธรรม เขาแนะให้เราถามใจตัวเองก่อนว่าควรจะทำสิ่งที่เหมาะกว่าหรือไม่
ตอนนี้เท่าที่เห็นมีการแชร์ภาพโปสเตอร์แคมเปญของ Singapore Kindness Movement (ขบวนการสิงคโปร์เอื้อเฟื้อ) ภาพแรกเป็นผู้ชายกำลังงีบบนเก้าอี้สำรองโดยมีผู้หญิงที่กำลังท้องป่องกำลังยืนประจันหน้าอยู่ พร้อมกับคำโปรยว่า "จะแชะภาพ หรือแตะไหล่ปลุก - อยู่ที่ตัวคุณว่าจะเอื้อเฟื้ออย่างไร" หมายความว่า แทนที่จะรีบถ่ายรูปประจานชายคนนี้ เราควรปลุกเขาจะดีกว่าไหม? เพราะอาจมีเหตุผลอื่นนอกจากจะแย่งที่นั่งคนท้องก็เป็นได้
อีกโปสเตอร์เป็นรูปพนักงานเสิร์ฟกับลูกค้ากำลังแสดงอาการฉุนเฉียวที่อีกฝ่ายทำน้ำหกใส่ พร้อมคำถามว่า "คุณจะทำอย่างไร" ระหว่าง 1. ไม่ทำอะไร 2. เข้าไปยุ่ง 3. โหลดภาพโชว์ชาวเน็ต - สำหรับผมประเด็นของภาพไม่ได้อยู่ที่เราควรทำอะไร แต่อยู่ที่เราไม่ควรทำอะไรมากกว่า นั่นคือ การถ่ายภาพไปโชว์คนอื่นในสถานการณ์ที่ไม่ควรทำ
แน่นอนว่า การถ่ายรูปถ่ายคลิปมีส่วนช่วยให้เราทันกับสถานการณ์มากขึ้น และช่วยเก็บหลักฐานในกรณีที่มีการทำร้ายกัน แต่หลายกรณีคลิปเหล่านี้ละเมิดความเป็นส่วนตัว เป็นการสร้างความอับอายต่อธารกำนัล (Public Shaming) และเป็นการประจานกันในโลกออนไลน์อย่างซึ่งๆ หน้า (Online shaming) เช่นเดียวกับกรณีตามหาคนผิดในฟอรั่มหรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก หลายครั้งที่ชาวเน็ตช่วยกันเป็นนักสืบจนพบเบาะแส แต่หลายครั้งก็มันมือจนกลายเป็นการละเมิดอย่างรุนแรงเช่นกัน
บทความในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ส ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงคือ Don't shame online, right the wrong instead บอกว่าตอนนี้มีเหตุเกิดขึ้นในสังคมโซเชียลของสิงคโปร์ เมื่อเจ้าสาวคนหนึ่งไม่พอใจผลงานช่างภาพที่รับหน้าที่ในวันวิวาห์เพราะผลงานออกมาห่วยแตก เลยโพสต์ภาพแล้วบ่นในเฟซบุ๊คปรากฎว่ามีคนแชร์กันเป็นหมื่น ตอนแรกเจ้าสาวไม่ได้เอ่ยชื่อช่างภาพกับสตูดิโอ แต่ชาวเน็ตรู้สึกอยากมีส่วนร่วม (และคงจะเห็นใจนิดๆ ด้วย) เลยไปสืบกันเองจนรู้ตัว ต่อมาช่างภาพออกมาขอโทษทำให้กระแสต่อว่าเขาเบาลง แต่แล้วแทนที่เรื่องจะจบตัวเจ้าสาวกลับถูกชาวเน็ตสับแหลกด้วยว่าจัดการเรื่องนี้ได้แย่ทำให้เรื่องบานปลาย
จะเห็นได้ว่าชาวเน็ตเป็นสิ่งมีชีวิตที่อารมณ์วูบไหวรุนแรงเอาใจได้ยากมา ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเราไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับความเห็นที่เราแสดงไป ตัวตนเราคนอื่นก็ไม่รู้ ที่อยู่ก็ไม่ทราบ ดังนั้นเราจึงรู้สึกลำพองที่จะพูดจาต่อว่าหรือประจานคนอื่นโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว เมื่อวิจารณ์หรือแชร์เรื่องเสียหายกันหลายๆ คนเข้าก็กลายเป็น Mob rule โดยไม่รู้ตัว ผมเห็นด้วยกับผู้เขียนบทความคือ Daryl Chin ที่บอกว่าบางทีเรื่องนี้ (และอีกหลายๆ เรื่อง) จะไม่วุ่นวายกันไปใหญ่ถ้าทุกฝ่ายมีใจเอื้อเฟื้อกันสักนิด
ส่วนตัวผมชอบชื่อบทความนี้มากเพราะบอกทุกอย่างที่เราควรทำในฐานะสมาชิกโลกโซเชียลนั่นคือ "อย่าประจานออกสื่อออนไลน์ ควรทำในสิ่งที่ถูกต้องจะดีกว่า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กุไม่ให้ค่า คนที่เคยพูดว่า"โจรกระจอก"หรอกว่ะ
แต่ยอมรับหัวคิดก้าวหน้า แต่นิสัยไม่ได้ต่างจากผู้นำครปัจจุบันเลย
แม้วก็เคยโทษคนอื่นนะ ถถถถ+
>>16 ตามสภาพแวดล้อมปัจจัยภายนอก ยุคแม้วได้เปรียบกว่ายุคปชป.ในหลายๆทาง ทั้งปัจจัยการเมือง+ศก.ประเทศอื่นๆกำลังมีปัญหา
เงินที่ปชป.ชวน2หามาตอนช่วง ดอลลาห์ละ50-60บาท(คนด่ายุคชวนกันชิบหายทำให้ซื้อของนอกแพง ทั้งที่ไทยส่งออกได้ประโยชน์เยอะ)
พอมายุคแม้วก็บาทแข็งแถวๆ38(ประมาณนะ กูไม่ได้ตามทุกสเตป)คนชมแม้วแทน(แต่พ่อค้าส่งออกแอบบ่น) เลยได้ประโยชน์บาทแข็งมาใช้หนี้ได้เร็ว ม็อบที่เคยเย้วๆด่าปชป.ก็ไม่กล้ามา?
ด้านการศึกษา แม่งเปลี่ยนให้เด็กเป็นศูนย์กลาง(child center)ซะกูยกให้เหี้ยกว่ายุค ชวน1+บรรหาร+จิ๋ว ทุกวันนี้ทำโทษตีเด็กไม่ได้ ซ้ำชั้นไม่ได้ เป็นลูกเทวดาไปแล้ว 555555+
นโยบายส่งเสริมคนเป็นหนี้อีกสารพัด อะไรอีกหลายๆอย่างกูก็ไม่เห็นว่ามันจะดีขึ้นนอกจากเอาเงินในอนาคตมาถลุงใช้ก่อนวะ แบงค์ชาติก็เคยออกมาบ่นๆแม่งจะถังแตกแล้วนะโว้ย
พอถึงเวลาจ่ายเงินในยุคถัดมามันถึงขัดสนกันไปหมด
ตอนใครอยากเข้าสังกัดพรรคมีเรียกขั้นต่ำ10ล้านอันนี้รู้สึกจะระดับตำบล,กำนัน
ตอนสึนามิถล่มไทย(น่าจะช่วง10-11โมง กูเห็นคนโพสขอความช่วยเหลือในpantipช่วงเวลานั้น) หาตัวนายกไม่เจอเห็นลือว่ายังไปตีกอล์ฟอยู่เลย มาโผล่อีกทีตอนเย็น แถมมีทำหน้าใหญ่บอกต่างชาติไม่ต้องมาช่วยพวกกู กูสตรองคุมเองได้ แม่งถามคนในพื้นที่ ที่เดือนร้อนกันหรือยัง
ตอนลงสามจังหวัดก็สร้างภาพไม่ลงพื้นที่จริงไม่ไปอยู่นานๆ ไหนจะมานั่งสั่งข้าราชการไปพับนกกระดาษมาโปรยเป็นขยะ 3จังหวัดชายแดนใต้เงี้ยะ
ตอนไข้หวัดนกบอกไม่มี ไม่ติด พอติดแม่งมานั่งกินไก่โชว์
จริงๆมีอีกสารพัดกูขี้เกียจจะพิมพ์เพราะใช้เวลาเยอะ
สรุป สั้นๆดีกว่า ผลงานแม้วดีเพราะมันมีทีมบริหารครม.ในยุคแรกดีจริง ทั้งเนวิน สุวัตน์ บรรหาร สมคิด ฯลฯ (ดูเนวินบริหารทีมฟุตบอลไทยทำอะไรๆให้บุรีรัมย์ดู ตอนสมัยแกอยู่กับบรรหาร บรรหารยังชมฝีมือเนวินเลย)
ตัวแม้วไม่ได้ทำอะไรวันๆจ้อ ออกสื่อไปเที่ยวนอกไปตีกอล์ฟ เคยลือกันว่ามีกิ๊กด้วย แถมดังแล้วทำตัวเหลิง
***พอถึงเวลาจ่ายเงินในยุคถัดมามันถึงขัดสนกันไปหมด
กูยกตัวอย่างแถมให้เห็นภาพหน่อยๆก็มอง
สมาคมฟุตบอลไทย
ยุคบังยี(กรรมการพรรค คุณก็รู้ว่าใคร) บอลไทยจะไปบอลโลกล่ะกัน งบประมาณได้มาเพียบแต่บัญชีอะไรกูไม่แจงนะจ้ะ
พอมายุคสมยศ มาตรวจบัญชีเงินแม่งหายไปไหนหมด ภาษีก็ไม่จ่าย หนี้แม่งโผล่มาแทน 5555
กูมีญาติเสื้อเหลืองที่เคยทำงานกะแม้ว ยังบอกว่าทำงานกะแม้วดีกว่า ให้ความเคารพ หัวไว เสนออะไรอนุมัติได้ทันใจ อยู่กะปชป.แม่งยืดยาดไปเรื่อย
แม้วโกงทนไม่ได้ แต่ทหารโกงข้าราชการโกงกลับรับได้ แถมบอกว่าสงบดี เออตลก
**แพทย์
>>29
มึงและควายอ่านไม่แตก การเมืองขึ้นสมองไม่คิดวิเคราะแยกแยะ กุพูดถึง30บาทในแง่ราคาที่จะซื้อได้เพียงยาพารา ไม่ได้หมายถึงการรักษา เพราะที่กุอธิบายไปแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาโปะ ค่ารักษาที่มันมากกว่า30บาท ขนาดร.พศิริราชยังมาบ่นเลยรับภาระไม่ไหว แสดงว่ารัฐไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือเลย จะบอกว่าเป็นรัฐสวัสดิการอย่างหนึ่งไม่ได้ว่ะ เพราะฐานรายได้เราห่างชั้นมากจนโครงการนี้มันยังเร็วไปที่จะทำ ไม่ใช่ไม่เีแต่เร็วเกินไป
30บาทก็เหมือนอะไรสักอย่างที่ทำให้กูนึกถึงสหภาพการรถไฟไทย ถูกแต่บริหารยังไงก็ขาดทุนต้องเอางบมาโปะไปเรื่อยๆ
ว่างๆกูยังอยากถามไอ้จ่าเลย รับคนไข้30บาทมากี่ราย รพ.มันได้ซัพเพียงพอไหม ขนาดไอ้จ่ามันยังด่ารพ.มันบริหารห่วย? จนมันต้องลาออกเพราะงานหนักเกิน
เอาจริงๆนะ พวกชาวบ้านจนๆน่ะรักษายังไงก็ไม่คุ้ม จะปล่อยให้ตายก็ผิดจรรยาบรรณ จ่ายร่วมน่ะดีแล้ว
การเอาเงินมารักษาคนจนมันไม่คุ้มว่ะ เพราะคนพวกนี้ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอะไรให้สังคมเลย
แล้วก็พวกที่เรียกร้องให้เรียนฟรี 12 ปี
พอตอนรัฐจ่ายก็บอกว่าใช้งบเยอะ การเรียนการสอนไม่ดีอีก
เมืองนอกเขาจัดระบบสวัสดิการดีๆได้ เพราะประชาชนเขามีคุณภาพและ productive รัฐเก็บภาษีได้เยอะ
คนไทยมีแต่จะเอาอย่างเดียว
เรียนฟรีแล้วไง คนส่วนใหญ่แม่งไม่สนใจเรียนกัน ขนาดมหาลัยที่เสียเงินเรียน ยังแค่ไปหาผัวหาเมีย เด็กจบมาด้อยคุณภาพสุดๆ
คนไทยอยากได้แบบประเทศเจริญแล้ว แต่พฤติกรรมตัวเองยังดักดารอยู่แต่ชนชั้น3
แล้วมันจะเจริญได้เยี่ยงไร
เพราะคนไทยคิดแค่ว่าเจริญคือมีของดีราคาแพง แต่ไม่เคยคิดว่าคำว่าเจริญคือการทำตัวเจริญแล้วไงละ
>>38 +1 สำหรับวงการแพทย์ พวกหอคอยงาช้างที่วันๆเอาแต่นั่งประชุมไม่รู้ห่าเหวอะไรเสือกจะให้ระบบสาธารณสุขไทยเป็นแบบต่างประเทศ แต่มึงดูนิสัยคนไทยก่อนนนนน ความรู้สุขภาพเบื้องต้นก็ไม่มี คนที่เดือนร้อนจริงๆกูบอกเลยว่าไม่ไช่หมอ ถ้าทำจริงๆแพทย์จะสบายไปสิบเท่าแต่คนไข้ละสิมึงเอ้ยยย บันเทิงเลยทีนี้ เดี๋ยวหมอผียาลูกกลอนก็จะกลับมาบูมใหม่เพราะเร็วกว่าไปรพ.
>>32 รพ.เป็นหนี้ แพทย์บางทีต้องเอาเงินมาโปะเอง ยิ่งจบปุ๊บเป็นผอ.ปั๊บนี่โคตรซวย
“ผมจะบอกทุกวงที่เข้ามาเล่นที่ร้านว่า เพลงตลาดไม่ต้องเล่น แต่ถ้าลูกค้าขอ… ค่อยเล่น”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Pure genius! Must Read!
One of the richest and most powerful men in Brazil, Thane Chiquinho Scarpa, made waves when he announced plans to bury his million-dollar Bentley, so he could drive around his afterlife in style. He received lots of media attention, mostly negative and was severely criticized for the extravagant gesture and wasting of a precious commodity. Why wouldn’t he donate the car to charity? How out of touch with reality is this guy? He still went ahead with the ceremony.
But, there’s a twist. (Of course there is. Why else would this story be covered ?)
Moments before lowering the car in the ground prepared for the burial of his Bentley,he declared that he wouldn't bury his car and then revealed his genuine motive for the drama: Just to create awareness for organ donation.
“People condemn me because I wanted to bury a million dollar Bentley, in fact most people bury something a lot more valuable than my car,” Scarpa said during a speech at the ceremony. “They bury hearts, livers, lungs, eyes, kidneys. This is absurd. So many people waiting for a transplant and you bury your healthy organs that could save so many lives!”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก็เหี้ยยิ่งกว่ากูอีก ถถถ
"โรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต"
ความเข้าใจผิดอย่างนึงของโรคซึมเศร้าคือมีคนจำนวนมากคิดว่าซึมเศร้าเป็นโรคจิต ซึ่งภาพพจน์ของโรคจิตคือพวกขโมยกางเกงใน ฆ่าหั่นศพ ฯลฯ ทำให้คนไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองเป็นกัน กลัวตัวเอง กลัวคนรอบข้างรู้สึกไม่ดีหรือจะอะไรก็ตาม ซึ่งความเข้าใจตรงนี้ต้องบอกว่า "ผิดถนัด" ไม่ใช่เลย "ซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต(เฟร้ย)"
ความจริงแล้วเป็นความยากในการใช้คำในภาษาไทยหละจนทำให้คนเข้าใจผิดกันหมด ความจริงแล้วกลุ่มอาการผู้มีปัญหาทางจิตใจเราเรียกว่า "จิตเวช (Psychiatry)"
ซึ่งจิตเวชนี้มีอาการอยู่หลากหลายมาก ที่รู้จักกันเยอะพอสมควรแล้วทุกวันนี้คือ "ซึมเศร้า (Depression)" และ "โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)" อย่างแรกที่ควรรู้คือสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน แต่ไม่ลงรายละเอียดละกัน
และกลุ่มอาการจิตเวชก็มีอีกหลายโรค อันนึงมีชื่อว่า จิตเภท (Schizophrenia) อันนี้แหละที่เรียกว่า "โรคจิต" ดมกางเกงใน ประสาทหลอน ฯลฯ มีประชากรโลกเป็นอาการนี้อยู่ประมาณ 1% เป็นมากเป็นน้อยก็แล้วแต่คนไป
ซึ่งคำมันก็ช่างคล้ายกันเหลือเกิน จิตเวช จิตเภทและก็โรคจิต ไม่แปลกใจที่สับสนกัน แต่ถึงเวลาที่ควรต้องทำความเข้าใจแล้น
ดังนั้น "ซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิตนะ" แต่เป็น "โรคจิตเวช" มันอยู่ในคนละวงกลมกัน จากนี้เรียกให้ถูก คนจะได้ไม่กลัวมัน ทุกคนมีโอกาสเป็นได้หมดและก็หายได้ดั๊วะ ป่วยก็ไปหาหมออออ :)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ตะกี้เจอความจังไรของช่องไบรท์ทีวีด้วยการทดสอบแรงลมบนสะพานขณะรถวิ่ง ด้วยการถือกระดาษออกไปนอกตัวรถขณะรถวิ่ง พลันลมก็พัดกระดาษไป
"ขณะรถวิ่งแรงลมจะเพิ่มเท่าทวีคูณ" คนทำสกู๊ปกล่าวทำนองนี้
ไอ้สัส ไม่มีการวัดค่าอะไรทั้งสิ้น แถมมึงทิ้งขยะบนถนนแบบนี้ด้วย ควยจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
1
ผมอ่าน ลับลวงพราง เป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 25 เพราะผมได้ยินลุงคนนึงพูดว่า "เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จะรู้เรื่องประชาธิปไตยได้ยังไง"
หยิ่งผยอง ผมเสียหน้า
ผมอยากคุยกับแกสักสองสามประโยค แต่ลูกน้องแกกันออกมา ผมหันไปถามเพื่อน "ลุงคนนั้นใครว่ะ ดุฉิบหาย" ดนตรีขอเวลาอีกไม่นานกระหึ่มเป็นฉากหลัง
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูท่าจะเป็นคนใหญ่คนโต ลุงสวมเสื้ออย่าให้คนโกงมีที่ยืนในสังคม ส่วนลูกน้องแกที่มีข่าวโกงเงินทำสวนแล้วเอาไปบริจาค นั่งอยู่ข้างๆ ย้อนแย้งสิ้นดี ผมมองหน้า เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนลุงสังเกตได้ว่าผมกำลังมองแก แกชี้นิ้วมาทางผมด้วยท่าทีฉุนเฉียวตามสไตล์ อุทานเสียงดังลั่นห้อง ปัดโธ่!!
2
ผมพบลุงแกอีกครั้งในรายการทีวี คืนวันสุขหรืออะไรสุขๆสักอย่างประมาณนั้น ผมจำไม่ได้เพราะไม่ได้ใส่ใจ ลุงแกบ่นด้วยอาการน้อยใจว่าคนสนใจแกน้อยกว่าเด็กแวนซ์ ผมคิดในใจว่าเป็นความผิดของพวกเรารึเปล่าน่ะที่ไม่ได้สนใจแก หรือความผิดของแกที่ทำให้เราสนใจไม่ได้ทั้งที่ใช้งบประชาสัมพันธ์อย่างมหาศาล
3
ผมเจอลุงแกอีกครั้งนึงที่งานอะไรสักอย่าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปทำไม ผมยอมรับว่าลืมลุงแกไปแล้ว แต่แกดันยืนอยู่ที่นั่น
ผมเริ่มประโยคแรก "ผมอ่านหนังสือการปกครองประเทศจีนตามที่ลุงเคยแนะนำให้อ่านแล้ว"
ลุงบอก "ผมเคยแนะนำไปตอนไหนเหรอ"
เหมือนโดนทุ่มด้วยโพเดี้ยม ผมหลบไม่ทัน อะไรว่ะ ลุงคนนี้
"ลุงทำงานอะไร" ผมอยากรู้จริงๆ "เป็นยาม เป็นกุ๊ย หรือ เป็นนักเลงหัวไม้"
ลุงตอบ "ผมไม่ได้เป็นสักอย่าง"
ผมควรจะตัดบทแล้วไปคุยกับคนอื่นใช่ไหม แต่ไม่ว่ะ ไม่ใช่กับครั้งนี้ ผมคิดหัวข้อสนทนาใหม่ในทันที "ตอนนี้หน้าร้อนแล้ว มะนาวแพงมาก ผมควรปลูกมะนาวกินเองใช่ไหม"
ได้ผล ตาลุงแกเป็นประกาย "ฉันชอบวิธีแก้ปัญหาของคุณ"
4
ผมได้เป็นเพื่อนลุงในที่สุด อันที่จริงลุงแกมาขอเป็นเพื่อนผมเอง เพราะอยากเชิญเข้ากลุ่ม คณะปะติดรูป อะไรสักอย่าง ชื่อมันดูเหมือนเป็นงานศิลปะ ผมเลยเข้ากลุ่มไปเพราะนึกว่าทำงานศิลปะ จากนั้นทุกอย่างก็ดูไม่ปกติ
อาจเป็นเพราะผมควบคุมลุงแกไม่ได้ และลุงแกก็ไม่คิดที่จะควบคุมตัวเอง
เหมือนเราทำให้ทุกอย่างอยู่ในภาวะสุญญากาศร่วมกัน
มีบางครั้งที่เราเหมือนจะทำให้ทุกอย่างคืบหน้า แต่ผ่านมาสองปีแล้ว ก็พบว่าไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักอย่างเดียว
5
ผมเริ่มถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องทนลุงคนนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ เรามากันถูกทางไหม ผมเริ่มเฟดตัวเองออกห่าง มีเพียงสายสัมพันธ์บางๆที่เชื่อมเราไว้
6
กลางดึกคืนหนึ่ง ลุงแกโทรมาหาผมเล่าให้ฟังว่าพึ่งฝากหลานเข้าโรงเรียนประถมไป
ผมถาม "ฝากโดยไม่ต้องสอบ ทำแบบนั้นได้ไง"
ลุงเงียบสักพักก่อนตอบ "นี่อำนาจผม ใครๆก็ทำกัน" แล้ววางหูไป
7
คิดดูแล้ว
นักบินอวกาศเป็นแบบนี้ใช่ไหม
หลังจากกลับจากภารกิจในอวกาศ
เค้าก็มักไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกะเราอีกต่อไป
จาก สหายคิม ณ เปียงยาง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องที่คนไม่มีการศึกษาไม่สมควรให้โหวตมีมาตั้งกะกรีกโบราณ ต้นกำเนิดประชาธิปไตยเลยนะเว้ย คนที่พูดไว้คนเเรกก็อริสโตเติล
ป่านนี้ก็ยังเถียงกันไม่จบ ปัญหาใหญ่จริงๆ
ในวันที่เกิดเรื่องเพี้ยนๆ ขึ้นมาในประเทศ อย่างการจับคนก่อน ตั้งข้อหาทีหลัง หรือการที่ประเทศอยู่ในมือของผู้ใหญ่โบราณเพียงไม่กี่คน ที่จะพูดอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนใจว่ามันจะดูเห่ยขนาดไหน
เมื่อผมหันมองย้อนกลับไปที่คนกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่เมื่อ 2-3 ปีก่อน พวกเขาดูกระตือรือร้นกับการลุกขึ้นมาต่อต้าน "คนโกง", ต่อต้าน "การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม" กันอย่างเอิกเกริก
...ผมแทบไม่เห็นความกระตือรือร้นแบบนั้นอีกแล้ว
พวกเขาใช้เวลากับการหาความสุขในชีวิต ข่าวสารบ้านเมืองที่เคยเป็นลมหายใจของพวกเขาถูกเก็บลงลิ้นชักเสียหมดสิ้น
(เอาจริงๆ มันไม่แปลกเลยนะที่จะหาความสุขใส่ตัว เราก็หาอยู่ เพลงก็ยังฟัง หนังก็ยังดู ฟุตบอลก็ยังเชียร์...แต่ "จิตสำนึกทางการเมือง" ที่มีอยู่ในตอนนั้นมันหายไปไหนหมดวะ)
เอาล่ะ หากเธอจะมองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญแล้ว เราคงจะว่าพวกเธอไม่ได้
แต่เราจะจำในใจว่า "เราจะใส่ใจสังคมนี้ ในส่วนที่พวกเธอละทิ้งมันเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในอนาคตถ้าเด็กคนนั้นโตมาจนอายุถึงเกณฑ์ก็มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดแบบไหนจะเกิดที่หมู่บ้านจนๆของภาคอีสานหรือเกิดที่แมตซาชูเซตก็เป็นคนเหมือนๆกัน
คนโง่ควรมีสิทธิเลือกตั้งมั้ยครับ
"I think you're confusing 'peace' with 'quiet'."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Much of the social history of the Western world, over the past three decades, has been a history of replacing what worked with what sounded good."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้ภรรยาพามาทำงานด้วย ระหว่างนั่งแถวหลังรอเธอคุยกับลูกค้า เจ้าของห้าง ย่าน Orchard ที่อยากทำ virtual store ให้คนเข้ามาเลือกแล้วกลับบ้านไปรอของส่งไปที่บ้าน จะได้ไม่หิ้วให้เหนื่อย เจ้าของห้างมองว่าจะช่วยสร้างยอดขายและทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายช็อปเพลินและไม่เหนื่อยถือของ
คุณภรรยาบอกผู้บริหารห้างว่า คุณอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะผู้หญิงจะมีความสุขมากเวลาได้หิ้วถุงออกจากร้าน ยิ่งถ้าถุงเป็นแบรนด์เนม คุณต้องลองคิดดูว่าจะแก้เรื่องนี้ได้ยังไง ก่อนที่คิดจะลงทุนทำ brand virtual store แต่ในส่วน groceries/fresh food นี่รันได้เลย ตัวนี้เกิดแน่นอน
...
ช่วงนี้นางฮอต หลังจากปิดโปรเจค Tesco, BigC, Makro, Paragon, EmQuartier, มีไปพรีเซ็นท์ Tops จบอาทิตย์ก่อน แล้วมาปิดดีลลูกค้า NTUC ที่สิงค์โปร์วันนี้นอกรอบ เจอผู้ใหญ่ที่เคยทำงานกันตอนอยู่ Groupe Casino ลาออกจาก Giant มาอยู่ NUTC เกือบ 3 คน
ส่วนตัวรู้สึกโชคดีมาก ไม่ใช่เพราะได้ภรรยาสวย แต่ได้ภรรยาหาเงินเก่งและฉลาดมาก ส่วนตัวได้แต่เทคโนโลยี กลเม็ดและแนวคิด จุดที่เป็นการตั้งคำถามแทนลูกค้าได้ เพราะภรรยาสอนวิธีคิดให้หมดเลย
เวลาอธิบายเทคโนโลยีใหม่ๆให้ฟัง ยังไม่ทันจบ เธอคิดวิธีขาย และเดโมไปหาเงินกับลูกค้าได้แล้ว แค่ สัปดาห์เดียวให้น้องที่บริษัททำขึ้นมาอย่างไว จนบางทีเราก็รู้สึกว่านางน่าจะเขียนตำรา Omni/eCommerce ขึ้นมาน่าจะดีกว่า อย่าง Redmart นี่เขียนมาก็มีคนซื้อ
เดี๋ยวๆ ไปเหยียดเขาแล้วยังมาเล่าให้คนอื่นฟังอีกเนี่ยนะ!
ลองนึกดู มีหมาบ้ากัดเรา แล้วเราไปกัดตอบ ก็เท่ากับโลกมีหมาบ้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว แล้วเราก็มาโพสต์บอกคนอื่นว่าเราเพิ่งไปกัดหมาบ้าตัวนึงมาเนี่ยนะ! #แล้วชาวเน็ตก็เฮ
ถ้าไปเหยียดเขา แล้วเราจะตำหนิเขาได้ยังไงที่มาเหยียดเรา ในเมื่อเราก็ทำสิ่งเดียวกัน? #คิดซิคิด
เราคนไทย นอกจากเรื่อง "หน้าสำคัญกว่าชีวิต(คนอื่น)" แล้ว ยังชอบทำอะไรเพื่อความสะใจ โดยไม่สนว่าจะต้องเสียอะไรไปด้วย
กรณีตัวอย่างนี้เสียหน้าเลยยอมไม่ได้ ก็เลยเหยียดกลับไป (กรณีอื่นๆบางทีถึงขั้นใช้กำลัง) ทั้งที่ทำให้เราเสียศักดิ์ศรีไปอีกอย่างนึง แต่ไม่เป็นไร ขอให้สะใจก็เป็นพอ
แต่คุ้มจริงๆเหรอ
>>59 คนโง่มีหลายแบบ คนโง่หัวทึบจริงๆ คนโง่เรียนไม่เก่งแต่มีสติปัญญา คนโง่เพราะมีคนบอกว่าเขาโง่ คนโง่เพราะความคิดไม่ถูกใจเรา ถ้าห้ามคนโง่เลือกตั้ง อยู่มาวันนึงเราอาจโดนจัดให้อยู่กลุ่มคนโง่ขึ้นมาก็ได้ เกณฑ์อะไรที่ใช้วัดคนว่าโง่ก็เปลี่ยนไปได้ทั้งงั้น คนจบปริญญาบางคนยังโง่เชื่อว่าGT200ใช้งานได้ก็เคยเจอมาแล้ว
ภาพที่เห็นข้างบน คือ นายถิ่น จอ (ซ้ายมือ )เข้ารับตราตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 ถือเป็นผู้นำคนแรกของประเทศที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงเวลากว่า 50 ปี
ภาพนี้ถือเป็นงานพระราชพิธีสำคัญของประเทศ บุคคลระดับประเทศแต่งชุดประจำชาติของเมียนมาร์หรือพม่า นุ่งโสร่งที่เรียกว่า “ลองยี” (Longeje) เป็นลายตาราง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง
สวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อ ใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดำ หรือ นวล
แต่ที่สะดุดตาคือทั้งคู่ใส่รองเท้าแตะ
รองเท้าแตะเป็นส่วนหนึ่งของชุดประจำชาติพม่ามาช้านาน และไม่ได้ดัดแปลงเป็นรองเท้าหุ้มส้น เพื่อให้ดูเป็นประเทศพัฒนาตามแบบวัฒนธรรมตะวันตกแต่อย่างใด ด้วยความรู้สึกว่า รองเท้าแตะไม่ทันสมัย เชย หรือเป็นรองเท้าไม่สุภาพ เห็นนิ้วเท้าโผล่ออกมา
พม่าเคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษมาหลายร้อยปี แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายตัวเองได้อย่างไม่เสื่อมคลาย
รองเท้าแตะในภาพนี้จึงท้าทายคนทั้งโลกว่า ความสุภาพของรองเท้านั้นวัดกันที่อะไร
อันที่จริงรองเท้าแตะน่าจะเป็นรองเท้าที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของพม่าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า พม่ามีวัดและศาสนสถานจำนวนมาก คนพม่านิยมเข้าวัด
และทุกคนรู้ดีว่า เมื่อใดที่ก้าวเข้าไปสู่ในลานวัด ต้องถอดรองเท้าไม่ว่าจะเป็นชนชั้นระดับใด ตั้งแต่กษัตริย์ไปจนถึงสามัญชน
การถอดรองเท้าเป็นสิ่งที่ทุกคนปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะแดดร้อนเพียงใดเมื่อย่ำไปบนลานวัด
รองเท้าแตะใส่ง่าย ถอดง่าย สวมสบาย ระบายอากาศ ไม่เหม็นอับ จึงเหมาะกับวิถีชีวิตของคนพม่า และสภาพภูมิอากาศ ร้อน ชื้ ความสวยความงาม ความสุภาพก็ไม่ได้วัดกันว่า ต้องปิดมิดชิดไม่ให้เห็นนิ้วเท้า
ขณะที่คนยุโรป ใช้รองเท้าแสดงถึงฐานะของคนในสังคมมาช้านาน รองเท้าที่สุภาพต้องเป็นรองเท้าหนังหุ้มส้นซึ่งก็เหมาะกับอากาศหนาวของคนทางเหนือ ที่ต้องมีสิ่งห่อหุ้มเท้าด้วย
หากย้อนไปในอดีต รองเท้าแตะ อาจจะเป็นรองเท้าโบราณรุ่นแรก ๆ ที่มนุษย์ใช้ในการเดินทาง เพื่อทำหน้าที่รองเท้าจากพื้นดิน และมีสายวางอยู่ระหว่างนิ้วเท้าทั้งสองเพื่อหนีบรองเท้าไม่ให้หลุด
รองเท้าแตะเก่าแก่ที่สุดในโลกค้นพบในสมัยอิยิปต์เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน ซึ่งทำด้วยใบปาปิรุส ใบปาล์ม ฟางข้าว แผ่นไม้ หนังสัตว์ และเป็นยาง หรือพลาสติกในปัจจุบัน
เมื่อเจ็ดสิบปีก่อน รองเท้าแตะได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนกลายเป็นแฟชั่นของเด็กวัยรุ่น เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารสหรัฐอเมริกาได้นำเอารองเท้าแตะญี่ปุ่น ที่เรียกว่า ซริ และนักออกแบบได้ออกแบบรองเท้าแตะให้มีสีสันฉูดฉาดและใส่สบายจนกลายเป็นรองเท้าแฟชั่น หรือรองเท้าลำลองที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
ในเมืองไทย รองเท้าแตะที่ได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีหลายยี่ห้อ อาทิ นันยางรุ่นช้างดาว ดาวเทียม ฯลฯ
แต่แม้จะเป็นรองเท้าลำลอง ใส่เดินเล่น หากเดินเข้าไปในสถานที่ราชการหรืออาคารสำนักงานหลายแห่งก็อาจจะถูกพนักงานรักษาความปลอดภัย ปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในตัวอาคาร ด้วยสาเหตุคือไม่เคารพสถานที่
ผู้เขียนเคยรู้จักอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังท่านหนึ่ง มีนิสัยชอบสวมรองเท้าแตะเป็นประจำไม่ว่าจะไปไหน ท่านเคยโดนยามปฏิเสธไม่ให้ขึ้นไปบนอาคารเพื่อประชุมเพราะเป็นระเบียบของอาคารนั้นว่า ต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย รองเท้าแตะคือความไม่สุภาพ สุดท้ายท่านก็ถอดเกือกแตะเดินเท้าเปล่าขึ้นไปบนตัวอาคารแทน
จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งเคยถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในงานแสดงแห่งหนึ่ง เพราะท่านใส่รองเท้าแตะ ถึงกับเอ่ยว่า
“เดี๋ยวนี้อารยธรรมวัดกันที่เกือก”
ทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นทั่วโลกหันมาใส่รองเท้าแตะกันมาก คนรุ่นใหม่เริ่มรู้สึกว่า รองเท้าแตะไม่ใช้เพียงรองเท้าลำลองใส่สบายแต่สามารถสวมใส่ในงานพิธีอื่นได้ด้วย ขณะที่คนรุ่นเก่ายังมองว่าหากใส่รองเท้าแตะในงานพิธีสำคัญถือเป็นความมักง่าย ไม่รู้จักกาละเทศะ
ส่วนที่เมืองไทย ภาพรองเท้าแตะในงานพิธีสำคัญของรัฐไทย เชื่อว่าคงไม่ได้เกิดแน่นอน
- See more at: http://www.sarakadee.com/blog/oneton/?p=1863#sthash.OBbADFGw.xlBcRiH6.dpuf
เรื่อง บ.ล๊อบบี้ละว่าไง
"คนเรานี่มันมองแรงงานค่าแรงขั้นต่ำแบบตัดขาดออกจากตัวเองมากๆ เลยแฮะ เพราะการศึกษาเหรอ คือคิดว่ามีใบปริญญาเลยเหนือกว่ากัน เป็นคนละลีก
พูดกันแบบไม่ใช้หลักวิชานี่ ผมสะอิดสะเอียนทุกครั้งที่คนพวกนี้ด่าแรงงานขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่พวกมันก็เรียกร้องให้สังคมไทยมีน้ำใจ พวกมึงน่ะใจหยาบและเห็นแก่ตัวจนคำใดๆ ก็ไม่พอจำกัดความ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สเปอร์ : ฟ้าส่งข้ามา ใยต้องส่งเลสเตอร์มาด้วย
"เอาจริงๆ ไม่ปฏิเสธเลยว่า ถ้าคนเราไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เป็นประจำ ก็จะประหยัดเงินไปได้เยอะทีเดียว
แต่ก็จะไม่มีวันยอมรับไอ้แคมเปญใดๆ โดยเฉพาะ สสส. อย่างที่มักออกมาในทางว่าเลิกพวกนี้ก็เลิกจน เพราะแม่งชอบพุ่งเป้าไปที่คนชั้นล่าง ซึ่งไอ้คนพวกนี้เนี่ยนะ ด้วยค่าแรงแม่งน่ะ ประหยัดห่าไรไปชีวิตก็ไม่มีวันดีขึ้นหรอก ปัญหาจริงๆ แม่งไม่ใช่ใช้เงินโง่ๆ แต่คือได้รับเงินไม่พอจะเข้าถึงความประหยัด
อีสัส ใช้แดกใช้อาศัยก็หมดแล้ว
แคมเปญพวกนั้นแม่งเหมือนออกมาย้ำว่า "มึงมันจนเพราะโง่" ซึ่งแม่งเป็นการออกมาอย่างไม่เข้าใจห่าไรมนุษย์ทั้งนั้น มองโลกแต่ในมุมตัวเองแล้วชี้หน้าด่าทุกความเป็นอื่นว่าเหี้ย
ดังที่เคยกล่าวไปว่า การจะอธิบายให้คนเข้าใจว่าทำไมคนไร้บ้านแม่งตังค์น้อยยังเสือกแดกเหล้าดูดยานี่มันเป็นอะไรที่ยากเย็นมากๆ เพราะหลักคิดของคนมันมีแค่ง่ายๆ ว่าประหยัดและขยันเดี๋ยวมันก็รวยขึ้นมาเอง
แต่โลกจริงๆ มันไม่ใช่ไง มันมีดินแดนชีวิตที่แบบ สัส อย่างที่บอก เงินแม่งประหยัดแค่ไหนก็ไม่มีทางจะขยับชีวิตไปไกลกว่านั้นได้ไง ชีวิตแม่งติดหล่ม มึงประหยัดวันนี้ แต่พรุ่งนี้มึงก็ถังแตก เพราะมึงหาเงินเพิ่มไม่ได้ หรือที่มีอยู่แม่งก็พอแดกพออยู่แค่วันต่อวัน มันไม่ใช่คนที่รายได้พอจะเข้าถึงปริมณฑลของการประหยัดแล้วเหลือ
การประหยัดมันมีต้นทุนในการเข้าถึงนะเว้ย ที่กูชอบพูดเรื่องซ่อมพัดลมน่ะ ซ่อมทีแม่งสองร้อย ซื้อทีมึงห้าร้อย บางคนซ่อมห้าครั้งยังสะดวกกว่าซื้อใหม่ครั้งเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น มึงคิดว่าถ้าเงินเหลือแล้วคนเราจะเอาไปทำไรให้ชีวิตก้าวหน้าแต่ในทางที่มึงคิดเหรอ สัส ชีวิตดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มึงไปอ่าน Poor Economics ของอภิจิต บาเนอร์จี กับเอสเทอร์ ดูโฟลร์ โน่น บทแรกมันมีวิจัยเรื่อง Nutrition-Based Poverty Trap ว่าคนเราน่ะ (ในเล่มคือพวกจนมากๆ) เงินเหลือแม่งก็ไม่เอาไปพัฒนาชีวิตหรอกโว้ย มันเอาไปหาความบันเทิง จะทางแดกหรือทางห่าไรก็เหอะ
สัส นี่กูแถมให้ว่า recreation เป็นสิทธิมนุษยชน มึงรู้มั้ย ซัสสสสสส
แล้วหนังสือแม่งยังบอกอีกว่า การเข้าถึง saving ของคนจนมันไม่ใช่ง่ายๆ
อีเหี้ย มึงเงินเหลือก็ไปซื้ออ่านสิ อีเมกะเคลฟเวอร์
แล้วมึงลองกลับมานึกดู ไอ้ชีวิตคนจนอย่างที่กูพูดไปข้างต้น คนที่ไม่ว่าจะทำอะไร (รวมทั้งประหยัด) ก็ไม่เห็นทางที่จะขยับชีวิตได้ คนแบบนั้นคนไหนมันจะคิดอะไรไปมากกว่าการอยู่รอดไปวันๆ วะ อะไรช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดได้แม่งเอาทั้งนั้นแหละ
ควย
ป.ล. หนังสือห่านั่นมันไม่ได้มาด่าคนจนนะ มันคือดูว่ามีมายาคติไรบ้างที่เข้าใจคนจนผิด ทั้งด้านดีด้านไม่ดี เพื่อหาคำตอบที่แท้จริง ได้แก้ปัญหาถูก (อ้อ กูยังอ่านไม่จบ)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องนี้มันมาจากคติเสื่อผืนหมอนใบของคนจีนวะ คนรุ่นนั้นมาแต่ตัวแถมส่งเงินกลับบ้านยังเจริญได้ คนรุ่นถัดมาถึงเชื่อว่าการประหยัดอดออมทำให้คนรวยด้จริง ทุกวันนี้เศรษฐีหลายคนก็รวยมาได้ด้วยวิธีนี้ ประหยัดอดออมแล้วลงทุนทำในสิ่งที่ตัวเองเป็น ไปลิสรายชื่อเจ้าสัวได้เลยว่าปากกัดตีนถีบขนาดไหนกว่าจะรวย
กูรู้จักคนงานรายวันค่าแรง300 แต่เขาเก็บเงินปีเดียวได้เป็นแสน มากกว่ารายเดือน17,000อย่างกูอีก มันก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกคน แต่ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ ในบางเคส คนที่รวยที่สุดทุกวันนี้บางคนก็จนที่สุดมาเหมือนกัน ดังนั้นจะว่าสสส.ผิดก็ไม่ถูกหรอก เพราะวิธีนี้มันเป็นทางที่ง่ายที่สุดที่ทำได้ด้วยตัวเองแล้ว
โมเดลการตลาดยุคปัจจุบัน
1. สร้างเพจการตลาดขึ้นมา
2. เลือกเอา success stories
แบบไม่ซับซ้อน ของแบรนด์ดัง
(เพื่อสร้าง Like/Share/View)
3. เล่าเรื่องนู่นนี่นั่น แปลของฝรั่งมา
หรือเอาเคสฝรั่งมาเล่า
4. เอาทฤษฎีการตลาดแบบผิวๆมาเล่า
(ห้ามเล่าเคสแบบจ้างที่ปรึกษาเป็นล้านๆ
หรือซับซ้อนๆเด็ดขาด เด๋วคนรู้สึกว่ายาก
เขาจะหมดแรงบรรดาลใจ คิดว่าทำเอง
ไม่ได้ เรียนจากมึงก็คงไม่ได้แน่
แล้วจะไม่ซื้อคอร์ส)
5. ขายคอร์สสัมนา เอาความสำเร็จจากเพจ
ที่แม่งอัดโฆษณาเรื่องตลาดนี่ละ เป็นเรื่อง
เล่าความสำเร็จ (เพจผมมีคนห้าแสนไลค์)
(จะไม่ถึงได้ไงก็มึงอัดโฆษณาเป็นแสน สัส)
6. พอเริ่มเวลโนน ก็ไปเป็นที่ปรึกษา วิทยากรบรรยา แล้วเอา profile ตรงนั้นกลับมาขายคอร์สรอบใหม่
7. ออกหนังสือสักหน่อย ไม่ก็ขายไฟล์วิดีโอสอนการตลาด
8. ทำกำไรจากสัมนาให้ได้รอบละห้าแสน-ล้าน
(ทำได้จริงๆ ลองคูณๆดูสิครับ)
9. เรียกแทนตัวเองว่าครู อาจารย์
ถ้าให้ชิ้กๆหน่อย เรียกว่า "โค้ช"
10. ตั้งเป็นบอสัดที่ปรึกษา/จัดอบรม
แล้วขยับไปขายคอร์สให้ภาคธุรกิจ
(พวกนี้มีเงินแน่นอนครับ)
อันนี้เขียนจากที่สังเกตหลายๆเจ้ามาน่ะครับ
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>84 มึงไม่เคยทำงานสินะ ถึงไม่รู้จักคำว่าOT บอกให้ก็ได้ว่ากูอยู่อิตาเลี่ยนไทย 1วันทำงาน10-12ช.ม. ได้วันละประมาณ500X6=3000 วันอาทิตย์ได้2แรง8ช.ม.=600 อาทิตย์นึงได้3600X51=183600 บางคนได้มากกว่านี้อีกถ้าหน้างานมีโบนัสงานด่วนให้ บางคนได้เงินเดือนพอๆกับนายช่างด้วยซ้ำ
เลิกใส่กางเกงขาสั้นแล้วค่อยมาพูดใหม่นะ อายเขาปล่าวๆ
300=8ช.ม. มากกว่านั้นคือOT แต่ห้ามเกิน12ชม. บางวันทำได้14ชม.แต่รวมทั้งอาทิตย์ห้ามเกินที่กฎหมายกำหนด
มันพูดเองว่ายามค่าแรงวันละ 300
มึงสิ่ไม่เข้าใจ มันคิดOT,หรือค่าควงกะเวลาวันหยุดก็มี แต่คนมันไม่กินไม่ดื่มในช่วง12ชม.เหรอวะ แล้วที่กูคูณให้ดู 365วันเลยแล้วความเป็นจริงเป็นไปได้ไหม? กูจะไม่เถียงหรอกว่าจะมีซักคนที่มันเก็บ100,000/ปีได้ไหม แต่กูขอบอกเข้าขั้นหายากแรร์ทีเดียว
.....แล้วใครบอกทำตลอด คนงานก็มีพักเที่ยง ทำ6.00-17.00=10ชม. รายเดือน8.00-17.00=8ชม. รายวันส่วนใหญ่รวยเพราะทำOTนี่ละ ถ้าขยันก็ได้เดือนละ13000ทั้งนั้นละ
แล้วมึงนั่นละมึนเอง เพราะเอา300X360ตรงๆ เวลางานของรายวันมันไม่ได้คิดแบบนี้หรอก เด็กน้อยจริงๆ ตอนแรกบอกว่าอยู่ได้ไงนปีละ9500 ทีนี้ดันบอกเก็บได้แต่น้อย
จะบอกให้ว่าคนในอิตาเลี่ยนถ้าประหยัดทุกคนเก็บได้มากกว่านี้อีก คนที่เก็บได้ปีละกว่า50000มีตั้งเป็นสิบ เกินแสนก็หลายคน ขึ้นอยู่กับปีด้วย
คนเขาทำงานนะเมิง ไม่ใช่ วันๆนั่งชิว สตาร์บัคแล้วมโน
ไอ้พวกที่ไม่เชื่อว่าเก็บได้มี 2 อย่าง 1 คือเด็กยังไม่เคยทำงาน 2คือไอ้พวกบริหารเงินไม่เป็นใช้เงินฟุ่มเฟือยแล้วคิดว่าคนอื่นต้องเหมือนมัน
Startup ไทย"ตอนนี้"อยู่ในช่วงฟองสบู่หรือยัง?
จากมุมมองของผมคำตอบสั้นๆ - ตอนนี้ยังไม่ใช่แน่ๆแต่อีก 6 เดือนไม่แน่ด้วยปัจจัยต่างๆที่จะอธิบายข้างล่าง
1. ปัจจุบันมูลค่าบริษัท startup ไทยเมื่อเทียบกับ startup ที่ 500 Startups ลงทุนมาทั่วโลก กว่า 1,500 บริษัท และ 500 Durians ลงทุนมากว่า 100 บริษัท ใน SEA เมื่อเทียบกับ traction และ business fundamentals i.e. revenue, growth, recurring paying customers, active users/usage/retention, gross merchandising value, etc. นั้นยังห่างกับคำว่าฟองสบู่พอสมควร และอยู่ในระดับที่ healthy มากๆ แนวโน้มของ valuation ค่อยๆสูงขึ้นแต่ไม่ได้เพิ่มแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับ traction แน่นอนว่ามีบางตัวที่เป็น outliers แต่จำนวนนั้นค่อนข้างน้อยมาก
2. คุณภาพของ startups ที่ มา pitch กับเราและเรา keep an eyes on แต่ยังไม่ได้ลงทุนมีคุณภาพที่ดีมากๆและ look really promising เมื่อดูจาก traction ของเขา
3. อันนี้ subjective measurement - ผมยังไม่เห็น startup ที่ไม่ควรได้รับเงินลงทุนแต่ดันได้รับเงินลงทุน หรือถ้ามีก็น่าจะน้อยมากๆ
4. แต่สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไปทันทีถ้าภายใน 6 เดือนข้างหน้าเมื่อแนวโน้มข้างล่างนี้เริ่มเปลี่ยนไป
- การทะลักเข้ามาของ dumb / speculative capital ไม่ว่าจะมาจากแหล่งไหนก็ตาม dumb capital จะทำให้เกิดการลงทุนใน startups ที่ไม่ควรได้รับเงินลงทุนหรือยังไม่พร้อมแล้วจะทำให้เกิดฟองสบู่อย่างแน่นอน ส่วน speculative capital คือการลงทุนแล้ว push ให้ startup ปั่น valuation สร้าง paper wealth ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เกิดฟองสบู่และการ spoil ตลาดอย่างรวดเร็ว startups ควรจะเลือกระดมทุนจาก smart, connected, committed, value-added capital ที่ เข้าใจว่า startup เป็นเรื่อง long term กว่า startup จะสำเร็จก็ใช้เวลามากกว่า 5 ปี บางครั้งเกือบ 10 ปี และ smart capital เหล่านี้ยังช่วยเปิดประตู และ add value แก่ startup มหาศาลที่ทำให้ เงิน $1 ที่ลงทุนไป เทียบเท่ากับ $10
- การผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ของ startup events และ ฟองสบู่ของ low quality incubators / accelerators สิ่งสำคัญของ high quality incubator/accelerator คือ commitment ทำแบบจริงจังไม่ใช่ทำเพื่อ PR และ คุณภาพ/commitment ของ mentors ใน program และความเข้าใจใน startup อย่างแท้จริง ในสถาณการณ์ที่ mentors ดีๆที่ committed ยังขาดแคลน และความเข้าใจในเรื่องของ startup อย่างแท้จริง ก็จะทำให้ incubator/accelerator หลายๆอันผลิต startups ที่ไม่ได้คุณภาพ เหมือน คนตาบอดจูงคนตาบอดอีกที
- การโหม promote กระแส startup โดยที่ไม่ได้มีการ educate ในภาพอีกด้านของ startups ที่ไม่ได้สวยหรู ไม่ได้รวยเร็ว แต่ทำงานหนัก และ รายได้น้อยแถมเสี่ยงมหาศาล เหมือนที่ผมบอกเสมอว่า startup งานควาย รายได้ไม่ดี แต่ มีอนาคต ทำให้ เราได้แต่ปริมาณ startups แต่ไม่ได้คุณภาพ เพราะเราดึงดูดคนมาทำ startups ด้วยเหตุผลที่ผิดและทำตามกระแสมากกว่าจะทำด้วย passion ที่อยาก solve problems ที่ drive ออกมาจากภายในจริงๆ
- ช่องโหว่ในกลไกและนโบายการสนับสนุน startup ที่ทำให้ คนที่ไม่ควรได้รับการสนับสนุน เช่น บริษัทใหญ่ๆ หรือ startup ที่มี connection มาใช้ประโยชน์ จากช่องโหว่ตรงนี้
ถ้ามีฟองสบู่จริงๆในปีนี้หรือปีหน้ามันจะเป็นเรื่องน่าเศร้ามากๆเพราะ มันเป็นฟองสบู่ที่เล็กมากๆ แทนที่เราจะสร้าง fundamental ที่แข็งแกร่ง แต่กลับได้ฟองสบู่ๆเล็กๆที่แตกดังโพล๊ะ แล้วทำลาย ecosystem ที่เราช่วยกันสร้างอย่างยากลำบากมาตั้งแต่ 2012 และเต็มไปด้วยศักยภาพถ้าเรา focus ในสิ่งที่ถูกต้อง
ถ้ามีฟองสบู่จริงๆ startup ควรจะทำยังไง? ผมว่าสุดท้าย งานหลักๆของ startup คือ focus ในการสร้าง business fundamental ที่ แข็งแกร่งและ defensible และ ทำงานให้หนักมากขึ้น startups ที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด และยิ่งเข้มแข็งขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนปัญหาการ raise fund นั้น ผมมองว่าที่ seed/series A อย่างน้อยในปีนี้ ถึง ปีหน้ายังไม่มีปัญหาแน่ๆ ยิ่งมี exit ใหญ่ๆอย่าง Lazada ยิ่งทำให้ capital flow หนีจาก Silicon Valley ที่ฟองสบู่ startup ไกล้แตก และ จีนกับอินเดียที่ร้อนแรงเกินไป มาที่ SEA ที่เป็น the next frontier มากขึ้น 500TukTuks เองก็ยังมี capital เหลือกว่า 300 ล้านบาท และสำหรับเรามันคือการ สร้าง ecosystem ในระยะยาวไม่ใช่เล่น เกมในระยะสั้น กองทุนนี้ เราสร้างมาไม่ใช่ เพื่อสร้าง สีสันฉูดฉาดและผักชีในระยะสั้น แต่มัน คือ mission ในการเปลี่ยนประเทศในระยะยาว และ การที่มันยาก มันท้าทาย มันใช้เวลา แต่มี impact มหาศาลมันถึงจะเป็นสิ่งที่มีความหมายเพียงพอที่เราจะ ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อสร้างมันขึ้นมาครับ
cc:\ Natavudh Moo Pungcharoenpong Pahrada Mameaw Sapprasert
"เห็นใครครั้งแรกกูก็บอกได้แค่สูงต่ำดำขาวเท่านั้นอะ ใครทะลึ่งเห็นครั้งแรกแล้วบอกได้มากว่านี้ ไม่น่ากลัวมากๆ ก็น่ารังเกียจมากๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมืองไทย start up มันแค่ของเล่นของคนมีเงิน
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.