Fanboi Channel

โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 2nd quotes

Last posted

Total of 1000 posts

1 Nameless Fanboi Posted ID:iR6fYKX56

มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง

2 Nameless Fanboi Posted ID:sm+EuP2Kl

"ปัญหาของคนจำนวนมากคือมันจะคิดว่า Fact เดียวกันจะนำไปสู่ Conclusion เดียวกันเสมอ และคิดว่าคนที่ไม่ได้ Conclusion เดียวกันเป็นคนไม่มีเหตุผลโดยไม่ได้ฟังคำอธิบายของเขาเลย
การคิดว่าระบบเหตุผลของตัวเองนี่ถูกและดีเสมอนี่เป็นภัยต่อพัฒนาการทางความคิดเหี้ยๆ"

‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

3 Nameless Fanboi Posted ID:1uGcIWz.G

มึง กูสงสัยว่าเราจะมีวิธีไหนในการควบคุมคุณภาพของคนไทยให้มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและมีวิจารณญาณในการเสพสื่อต่างๆได้บ้างไหมวะ

4 Nameless Fanboi Posted ID:uoEJ+ZER4

>>3 เอาพวกที่มีจิตสำนึกส่วนรวมต่ำมาเสียบประจาน ล่าแม่มดให้พวกไม่มีวิจารณญาณไม่มีที่ยืนในสังคม

5 Nameless Fanboi Posted ID:hqQ4gMA2P

>>3 ต้องใช้กำลังและอำนาจในการควบคุม ใครรับไม่ได้ให้กำจัดทิ้ง เอาให้เหลือแต่คนที่มีคุณภาพเท่านั้น

6 Nameless Fanboi Posted ID:oYgAGrd9b

https://youtu.be/gKVtpCByEy4
ภาษาไทยยากสึด

7 Nameless Fanboi Posted ID:KI48K829a

>>3
เอาพวก จิตสำนึกสูงยกขึ้นชั้นบน
กดพวก จิตสำนึกต่ำไว้ชั้นล่างๆใต้รองเท้า

ใครเงี่ยนโชว์โง่ขยันจิตสำนึกเท่าเทียมทุกชนชั้น ให้เอาไปประหาร

8 Nameless Fanboi Posted ID:3qWrzJ7S6

"มึงอยากอยู่ยุค 90s ก่อนอื่นมึงปิดเราเตอร์มึงก่อน
ไอ้เหี้ย เกิดไม่ทันละมโนซะโรแมนติก
อินเตอร์เน็ตที่ลุ้นโหลดภาพหีทีละเส้นๆ เหมือนมีคนมานั่งทอผ้าอยู่หน้าจอ โหลดเสร็จข้างล่างเป็นควยเฉย เป็นการดักควายที่เจ็บใจค่าเน็ตสัสๆ"

‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

9 Nameless Fanboi Posted ID:SwNHsxP8H

>>8 กูว่าระหว่างโหลตแล้วแยกขนเพชรไม่ออกก็ควรดูหน้าท้องอออกนะว่าท้อง ช,ญ,ตุ้ด

10 Nameless Fanboi Posted ID:XJKmu2ZLM

ทุกวันนี้ผมเงียบมาตลอด ตั้งใจที่จะไม่ออกความคิดเห็นในเรื่องใดๆ และอยากให้ทุกฝ่ายตั้งใจแก้ไขปัญหาให้ประชาชน แต่อยู่ดีๆ ผมกลับถูกพาดพิงอย่างรุนแรง จนต้องเสียความตั้งใจ เลยต้องขอพูดสักครั้ง

การแก้ปัญหาของประเทศ ภายใต้รัฐบาลทหารของไทยในขณะนี้ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็โทษคนอื่น โดยตนเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ไม่เคยทำอะไรผิด ตัวเองดีทุกอย่าง เช่นน้ำแล้งก็บอกว่า เป็นเพราะรัฐบาลก่อน ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ขายไม่ออกอย่างยางพารา ก็บอกให้ไปขายดาวอังคาร บริหารประเทศแบบนี้ใครๆ ก็เป็นได้ครับ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

รัฐบาลนี้ได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร ได้เข้ามาปกครองประเทศแล้วร่วม 2 ปี ได้ทำประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ให้ชาวโลกเขาได้เห็นบ้าง ภาพลักษณ์ที่เผยแพร่ออกไป มีแต่การใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิประชาชน และกฎหมายสากลอย่างไม่เคยเกิดในประเทศไทยมาก่อน เมื่อนานาอารยประเทศ และองค์กรสากลต่างๆ เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเขาก็ออกมาเตือน เป็นเรื่องปกติทั่วไป ที่เกิดขึ้นในประเทศที่ผู้นำฯ ใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง

เมื่อผู้นำของประเทศเราไม่สนใจคำเตือน ประเทศอื่นเขาย่อมใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นการระงับการค้าการลงทุน มาตรการปิดกั้นและกีดกันต่างๆ รวมถึงการย้ายถิ่นฐานการผลิตไปยังประเทศที่ 3 กระบวนการเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง และโมเมนตัมนี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปอีกนานหลายปี..

แต่..แทนที่ผู้นำเราจะยอมรับความผิด แก้ไขปัญหาเหล่านั้น และทำให้มันถูกต้องเสีย กลับออกมาโทษว่า เป็นเพราะผมไปจ้างล็อบบี้ยิสต์ เพื่อล็อบบี้ประเทศต่างๆ ให้แอนตี้ บอยคอตประเทศไทย โถ..ช่างคิดไปได้

อยากจะบอกว่า ผมไม่จำเป็นต้องไปจ้างใคร ให้เสียเงินเสียทอง เพื่อประจานนายกฯ ไทย ให้เสียภาพลักษณ์ประเทศหรอกครับ ประวัติศาสตร์มีให้เห็นอยู่เสมอว่า เผด็จการฯที่ลุแก่อำนาจ ด่ากราดคนที่พูดจาไม่ถูกใจ ดูถูกคนยากจนว่าโง่ ใช้อำนาจเกินขอบเขต และปกครองประเทศโดยไม่เห็นหัวประชาชนนั้น ล้วนแล้วแต่แพ้ภัยตัวเองทั้งนั้น

อยากจะเป็นผู้นำประเทศ ถ้าอารมณ์ของตัวเองยังควบคุมไม่ได้ ใช้อารมณ์ด่ากราดผู้คนเพื่อเอาชนะ ตะคอกใส่นักข่าวให้เขาสงบปากสงบคำ และเขียนข่าวให้ถูกใจตน ทำแบบนี้บอกเลย อย่าหวังว่าจะทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศคล้อยตาม

ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองแย่แค่ไหน ลองเอาเทปที่คุณพูดทุกวันมาฟังย้อนหลังดูซิครับ แล้วคุณจะรู้ว่า

"ไม่มีล็อบบี้ยิสต์ในโลกคนไหนที่จะมีความสามารถทำลายคุณได้ เท่ากับคุณทำลายตัวคุณเอง"

เพราะฉะนั้น เมื่อคุณมั่นใจว่าเป็นคนดี ก็จงก้มหน้าก้มตาเป็นคนชอบแก้ไขไปเถอะ อย่าทำตัวเหมือนที่ผ่านมาเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง

11 Nameless Fanboi Posted ID:UurPgt1HO

ที่สิงคโปร์มีการรณรงค์เตือนสติให้ผู้คนหันมายั้งคิดก่อนที่จะถ่ายรูปหรือคลิปไปประจานคนอื่นในโซเชียลเน็ตเวิร์ก และแทนที่จะรีบถ่ายคลิปทำตัวเป็นตำรวจศีลธรรม เขาแนะให้เราถามใจตัวเองก่อนว่าควรจะทำสิ่งที่เหมาะกว่าหรือไม่

ตอนนี้เท่าที่เห็นมีการแชร์ภาพโปสเตอร์แคมเปญของ Singapore Kindness Movement (ขบวนการสิงคโปร์เอื้อเฟื้อ) ภาพแรกเป็นผู้ชายกำลังงีบบนเก้าอี้สำรองโดยมีผู้หญิงที่กำลังท้องป่องกำลังยืนประจันหน้าอยู่ พร้อมกับคำโปรยว่า "จะแชะภาพ หรือแตะไหล่ปลุก - อยู่ที่ตัวคุณว่าจะเอื้อเฟื้ออย่างไร" หมายความว่า แทนที่จะรีบถ่ายรูปประจานชายคนนี้ เราควรปลุกเขาจะดีกว่าไหม? เพราะอาจมีเหตุผลอื่นนอกจากจะแย่งที่นั่งคนท้องก็เป็นได้

อีกโปสเตอร์เป็นรูปพนักงานเสิร์ฟกับลูกค้ากำลังแสดงอาการฉุนเฉียวที่อีกฝ่ายทำน้ำหกใส่ พร้อมคำถามว่า "คุณจะทำอย่างไร" ระหว่าง 1. ไม่ทำอะไร 2. เข้าไปยุ่ง 3. โหลดภาพโชว์ชาวเน็ต - สำหรับผมประเด็นของภาพไม่ได้อยู่ที่เราควรทำอะไร แต่อยู่ที่เราไม่ควรทำอะไรมากกว่า นั่นคือ การถ่ายภาพไปโชว์คนอื่นในสถานการณ์ที่ไม่ควรทำ

แน่นอนว่า การถ่ายรูปถ่ายคลิปมีส่วนช่วยให้เราทันกับสถานการณ์มากขึ้น และช่วยเก็บหลักฐานในกรณีที่มีการทำร้ายกัน แต่หลายกรณีคลิปเหล่านี้ละเมิดความเป็นส่วนตัว เป็นการสร้างความอับอายต่อธารกำนัล (Public Shaming) และเป็นการประจานกันในโลกออนไลน์อย่างซึ่งๆ หน้า (Online shaming) เช่นเดียวกับกรณีตามหาคนผิดในฟอรั่มหรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก หลายครั้งที่ชาวเน็ตช่วยกันเป็นนักสืบจนพบเบาะแส แต่หลายครั้งก็มันมือจนกลายเป็นการละเมิดอย่างรุนแรงเช่นกัน

บทความในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ส ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงคือ Don't shame online, right the wrong instead บอกว่าตอนนี้มีเหตุเกิดขึ้นในสังคมโซเชียลของสิงคโปร์ เมื่อเจ้าสาวคนหนึ่งไม่พอใจผลงานช่างภาพที่รับหน้าที่ในวันวิวาห์เพราะผลงานออกมาห่วยแตก เลยโพสต์ภาพแล้วบ่นในเฟซบุ๊คปรากฎว่ามีคนแชร์กันเป็นหมื่น ตอนแรกเจ้าสาวไม่ได้เอ่ยชื่อช่างภาพกับสตูดิโอ แต่ชาวเน็ตรู้สึกอยากมีส่วนร่วม (และคงจะเห็นใจนิดๆ ด้วย) เลยไปสืบกันเองจนรู้ตัว ต่อมาช่างภาพออกมาขอโทษทำให้กระแสต่อว่าเขาเบาลง แต่แล้วแทนที่เรื่องจะจบตัวเจ้าสาวกลับถูกชาวเน็ตสับแหลกด้วยว่าจัดการเรื่องนี้ได้แย่ทำให้เรื่องบานปลาย

จะเห็นได้ว่าชาวเน็ตเป็นสิ่งมีชีวิตที่อารมณ์วูบไหวรุนแรงเอาใจได้ยากมา ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเราไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับความเห็นที่เราแสดงไป ตัวตนเราคนอื่นก็ไม่รู้ ที่อยู่ก็ไม่ทราบ ดังนั้นเราจึงรู้สึกลำพองที่จะพูดจาต่อว่าหรือประจานคนอื่นโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว เมื่อวิจารณ์หรือแชร์เรื่องเสียหายกันหลายๆ คนเข้าก็กลายเป็น Mob rule โดยไม่รู้ตัว ผมเห็นด้วยกับผู้เขียนบทความคือ Daryl Chin ที่บอกว่าบางทีเรื่องนี้ (และอีกหลายๆ เรื่อง) จะไม่วุ่นวายกันไปใหญ่ถ้าทุกฝ่ายมีใจเอื้อเฟื้อกันสักนิด

ส่วนตัวผมชอบชื่อบทความนี้มากเพราะบอกทุกอย่างที่เราควรทำในฐานะสมาชิกโลกโซเชียลนั่นคือ "อย่าประจานออกสื่อออนไลน์ ควรทำในสิ่งที่ถูกต้องจะดีกว่า"

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

12 Nameless Fanboi Posted ID:FZaSb7Jn6

>>10 ว่าที่โควทออฟเดอะเยียร์

13 Nameless Fanboi Posted ID:sqvoUeAjK

กุไม่ให้ค่า คนที่เคยพูดว่า"โจรกระจอก"หรอกว่ะ
แต่ยอมรับหัวคิดก้าวหน้า แต่นิสัยไม่ได้ต่างจากผู้นำครปัจจุบันเลย

14 Nameless Fanboi Posted ID:CQMio8BRv

>>13 แต่ที่มันพูดก็จริงนะ?

15 Nameless Fanboi Posted ID:VEYDxIZqV

แม้วก็เคยโทษคนอื่นนะ ถถถถ+

16 Nameless Fanboi Posted ID:PXYShY3Se

>>13 แต่กูว่าแม่งก็ทำงานได้โอเคนะมึง

17 Nameless Fanboi Posted ID:NAJpyRpr2

>>16 ตามสภาพแวดล้อมปัจจัยภายนอก ยุคแม้วได้เปรียบกว่ายุคปชป.ในหลายๆทาง ทั้งปัจจัยการเมือง+ศก.ประเทศอื่นๆกำลังมีปัญหา
เงินที่ปชป.ชวน2หามาตอนช่วง ดอลลาห์ละ50-60บาท(คนด่ายุคชวนกันชิบหายทำให้ซื้อของนอกแพง ทั้งที่ไทยส่งออกได้ประโยชน์เยอะ)
พอมายุคแม้วก็บาทแข็งแถวๆ38(ประมาณนะ กูไม่ได้ตามทุกสเตป)คนชมแม้วแทน(แต่พ่อค้าส่งออกแอบบ่น) เลยได้ประโยชน์บาทแข็งมาใช้หนี้ได้เร็ว ม็อบที่เคยเย้วๆด่าปชป.ก็ไม่กล้ามา?

ด้านการศึกษา แม่งเปลี่ยนให้เด็กเป็นศูนย์กลาง(child center)ซะกูยกให้เหี้ยกว่ายุค ชวน1+บรรหาร+จิ๋ว ทุกวันนี้ทำโทษตีเด็กไม่ได้ ซ้ำชั้นไม่ได้ เป็นลูกเทวดาไปแล้ว 555555+
นโยบายส่งเสริมคนเป็นหนี้อีกสารพัด อะไรอีกหลายๆอย่างกูก็ไม่เห็นว่ามันจะดีขึ้นนอกจากเอาเงินในอนาคตมาถลุงใช้ก่อนวะ แบงค์ชาติก็เคยออกมาบ่นๆแม่งจะถังแตกแล้วนะโว้ย
พอถึงเวลาจ่ายเงินในยุคถัดมามันถึงขัดสนกันไปหมด
ตอนใครอยากเข้าสังกัดพรรคมีเรียกขั้นต่ำ10ล้านอันนี้รู้สึกจะระดับตำบล,กำนัน
ตอนสึนามิถล่มไทย(น่าจะช่วง10-11โมง กูเห็นคนโพสขอความช่วยเหลือในpantipช่วงเวลานั้น) หาตัวนายกไม่เจอเห็นลือว่ายังไปตีกอล์ฟอยู่เลย มาโผล่อีกทีตอนเย็น แถมมีทำหน้าใหญ่บอกต่างชาติไม่ต้องมาช่วยพวกกู กูสตรองคุมเองได้ แม่งถามคนในพื้นที่ ที่เดือนร้อนกันหรือยัง
ตอนลงสามจังหวัดก็สร้างภาพไม่ลงพื้นที่จริงไม่ไปอยู่นานๆ ไหนจะมานั่งสั่งข้าราชการไปพับนกกระดาษมาโปรยเป็นขยะ 3จังหวัดชายแดนใต้เงี้ยะ
ตอนไข้หวัดนกบอกไม่มี ไม่ติด พอติดแม่งมานั่งกินไก่โชว์

จริงๆมีอีกสารพัดกูขี้เกียจจะพิมพ์เพราะใช้เวลาเยอะ

สรุป สั้นๆดีกว่า ผลงานแม้วดีเพราะมันมีทีมบริหารครม.ในยุคแรกดีจริง ทั้งเนวิน สุวัตน์ บรรหาร สมคิด ฯลฯ (ดูเนวินบริหารทีมฟุตบอลไทยทำอะไรๆให้บุรีรัมย์ดู ตอนสมัยแกอยู่กับบรรหาร บรรหารยังชมฝีมือเนวินเลย)
ตัวแม้วไม่ได้ทำอะไรวันๆจ้อ ออกสื่อไปเที่ยวนอกไปตีกอล์ฟ เคยลือกันว่ามีกิ๊กด้วย แถมดังแล้วทำตัวเหลิง

18 Nameless Fanboi Posted ID:NAJpyRpr2

***พอถึงเวลาจ่ายเงินในยุคถัดมามันถึงขัดสนกันไปหมด

กูยกตัวอย่างแถมให้เห็นภาพหน่อยๆก็มอง
สมาคมฟุตบอลไทย
ยุคบังยี(กรรมการพรรค คุณก็รู้ว่าใคร) บอลไทยจะไปบอลโลกล่ะกัน งบประมาณได้มาเพียบแต่บัญชีอะไรกูไม่แจงนะจ้ะ
พอมายุคสมยศ มาตรวจบัญชีเงินแม่งหายไปไหนหมด ภาษีก็ไม่จ่าย หนี้แม่งโผล่มาแทน 5555

19 Nameless Fanboi Posted ID:k6iLWVtGu

>>17
ไอ้แม้วสมองมันดี ฉลาดจริง ความคิดทันสมัย
แต่ถ้าเอามาใช้ในทางเพื่อประโยชน์คนอื่นมากกว่านี้ จะดีมาก แต่มันทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น

20 Nameless Fanboi Posted ID:+e+E0Q1A+

กูมีญาติเสื้อเหลืองที่เคยทำงานกะแม้ว ยังบอกว่าทำงานกะแม้วดีกว่า ให้ความเคารพ หัวไว เสนออะไรอนุมัติได้ทันใจ อยู่กะปชป.แม่งยืดยาดไปเรื่อย

21 Nameless Fanboi Posted ID:qMWCGydw1

>>19 แม้วทำเพื่อคนจนนะ 30บาทช่วยชีวิตคนจนได้เยอะ

22 Nameless Fanboi Posted ID:AbDujjvO3

แม้วโกงทนไม่ได้ แต่ทหารโกงข้าราชการโกงกลับรับได้ แถมบอกว่าสงบดี เออตลก

23 Nameless Fanboi Posted ID:MMlMKGIbG

>>17 >>18 มึงเป็นลุงตู่ปลอมตัวมาหรือเปล่าเนี่ย
จะบอกไรให้ ถ้าจะโยนขี้ใส่ใครอย่าใส่แบบbiasสุดประตู คนอืนมันมองออก แล้วจะไม่มีใครเออออไปกะมึงด้วย มึงต้องเนียนๆ แอบหยอดด่าใส่ไฟนิดหน่อยแทรกไปกะfact ไม่ใช่ใส่ขี้ตูมเดียวหมดแบบนี้ กูอ่านที่มึงโพสท์แล้วนี่มีแต่โคตรสลิ่มเท่านั้นที่จะฟินไปกะมึง

24 Nameless Fanboi Posted ID:QpG2H27FR

>>21 ควรให้เครดิตนายแะทย์มากกว่าแม้วนะ

25 Nameless Fanboi Posted ID:QpG2H27FR

**แพทย์

26 Nameless Fanboi Posted ID:3c4AHZ.lT

>>24 ไม่มีนโยบายรัฐมามึงจะรอให้หมอใจบุญแบบในการ์ตํนมาโปรดรึไง ไม่ได้บอกว่านโยบายนี้ดีนะ มันก็มีข้อเสีย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่แย่มากมันก็คงไม่มาเป็นบัตรทองแบบในปัจจุบันหรอกว่ะ โดนยุบไปตั้งกะ รบ.บังกะทิละ

27 Nameless Fanboi Posted ID:k6iLWVtGu

>>26
มันไม่ใข่การเอาเงินมาแจกๆ ถามว่าเงินที่เอามาโปะค่ารักษาคือเงินจากไหน 30บาท ดีสุดไดเแค่ยาพารา มันต้องเชิงบูรณาการ พร้อมกับยกฐายะคนจนไปด้วย ไม่ใช่แบบนี้มันสวนทาง คนยังจนอยู่แต่รัฐก็แจก ถามว่าแล้วรัฐเอาเงินจากไหน ไม่เห็นใจหมอเหรอสัด

28 Nameless Fanboi Posted ID:qMWCGydw1

>>17 สมคิดนี่แม่งอยู่ทุกครมจริงๆนะ ขนาดรปห49 สุรยุทธ์ยังต้องเชิญไปร่วมครม. ทุกวันนี้ลุงตู่แม่งก็ยังเชิญไปเป็นรองนายก

29 Nameless Fanboi Posted ID:qMWCGydw1

>>27 30บาท ดีสุดได้แค่ยาพารา 55555 โง่ดักดานสมกับเป็นสลิ่ม กูขำลั่นเลย
ไปหาข่าวคนไข้ผ่าตัดในโครงการ30บาทบ้างนะ

30 Nameless Fanboi Posted ID:k6iLWVtGu

>>29
มึงและควายอ่านไม่แตก การเมืองขึ้นสมองไม่คิดวิเคราะแยกแยะ กุพูดถึง30บาทในแง่ราคาที่จะซื้อได้เพียงยาพารา ไม่ได้หมายถึงการรักษา เพราะที่กุอธิบายไปแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาโปะ ค่ารักษาที่มันมากกว่า30บาท ขนาดร.พศิริราชยังมาบ่นเลยรับภาระไม่ไหว แสดงว่ารัฐไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือเลย จะบอกว่าเป็นรัฐสวัสดิการอย่างหนึ่งไม่ได้ว่ะ เพราะฐานรายได้เราห่างชั้นมากจนโครงการนี้มันยังเร็วไปที่จะทำ ไม่ใช่ไม่เีแต่เร็วเกินไป

31 Nameless Fanboi Posted ID:k6iLWVtGu

>>30
*ไม่ใช่ไม่ดี

32 Nameless Fanboi Posted ID:NAJpyRpr2

30บาทก็เหมือนอะไรสักอย่างที่ทำให้กูนึกถึงสหภาพการรถไฟไทย ถูกแต่บริหารยังไงก็ขาดทุนต้องเอางบมาโปะไปเรื่อยๆ

ว่างๆกูยังอยากถามไอ้จ่าเลย รับคนไข้30บาทมากี่ราย รพ.มันได้ซัพเพียงพอไหม ขนาดไอ้จ่ามันยังด่ารพ.มันบริหารห่วย? จนมันต้องลาออกเพราะงานหนักเกิน

33 Nameless Fanboi Posted ID:qMWCGydw1

เอาจริงๆนะ พวกชาวบ้านจนๆน่ะรักษายังไงก็ไม่คุ้ม จะปล่อยให้ตายก็ผิดจรรยาบรรณ จ่ายร่วมน่ะดีแล้ว

34 Nameless Fanboi Posted ID:sh9xNR8.x

การเอาเงินมารักษาคนจนมันไม่คุ้มว่ะ เพราะคนพวกนี้ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอะไรให้สังคมเลย

35 Nameless Fanboi Posted ID:mqyhS+j/j

แล้วก็พวกที่เรียกร้องให้เรียนฟรี 12 ปี
พอตอนรัฐจ่ายก็บอกว่าใช้งบเยอะ การเรียนการสอนไม่ดีอีก

เมืองนอกเขาจัดระบบสวัสดิการดีๆได้ เพราะประชาชนเขามีคุณภาพและ productive รัฐเก็บภาษีได้เยอะ
คนไทยมีแต่จะเอาอย่างเดียว
เรียนฟรีแล้วไง คนส่วนใหญ่แม่งไม่สนใจเรียนกัน ขนาดมหาลัยที่เสียเงินเรียน ยังแค่ไปหาผัวหาเมีย เด็กจบมาด้อยคุณภาพสุดๆ

36 Nameless Fanboi Posted ID:A7aL3kGXM

>>26
มึงเคยอ่านblackjack ป่าวว่ะหน้าเลือดสุดแล้ว

37 Nameless Fanboi Posted ID:1N+z90vNh

>>35 จะทำยังไงให้คนไทยไม่โง่ ไม่คิดแต่ตัวเอง อย่างประเทศที่เจริญแล้ว

38 Nameless Fanboi Posted ID:t+zCq71/K

คนไทยอยากได้แบบประเทศเจริญแล้ว แต่พฤติกรรมตัวเองยังดักดารอยู่แต่ชนชั้น3

แล้วมันจะเจริญได้เยี่ยงไร

39 Nameless Fanboi Posted ID:Iw0k3H.fs

เพราะคนไทยคิดแค่ว่าเจริญคือมีของดีราคาแพง แต่ไม่เคยคิดว่าคำว่าเจริญคือการทำตัวเจริญแล้วไงละ

40 Nameless Fanboi Posted ID:dfJZ3k6Tl

>>38 +1 สำหรับวงการแพทย์ พวกหอคอยงาช้างที่วันๆเอาแต่นั่งประชุมไม่รู้ห่าเหวอะไรเสือกจะให้ระบบสาธารณสุขไทยเป็นแบบต่างประเทศ แต่มึงดูนิสัยคนไทยก่อนนนนน ความรู้สุขภาพเบื้องต้นก็ไม่มี คนที่เดือนร้อนจริงๆกูบอกเลยว่าไม่ไช่หมอ ถ้าทำจริงๆแพทย์จะสบายไปสิบเท่าแต่คนไข้ละสิมึงเอ้ยยย บันเทิงเลยทีนี้ เดี๋ยวหมอผียาลูกกลอนก็จะกลับมาบูมใหม่เพราะเร็วกว่าไปรพ.

>>32 รพ.เป็นหนี้ แพทย์บางทีต้องเอาเงินมาโปะเอง ยิ่งจบปุ๊บเป็นผอ.ปั๊บนี่โคตรซวย

41 Nameless Fanboi Posted ID:+HDnA13Fu

“ผมจะบอกทุกวงที่เข้ามาเล่นที่ร้านว่า เพลงตลาดไม่ต้องเล่น แต่ถ้าลูกค้าขอ… ค่อยเล่น”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง

42 Nameless Fanboi Posted ID:/8431bx/a

Pure genius! Must Read!

One of the richest and most powerful men in Brazil, Thane Chiquinho Scarpa, made waves when he announced plans to bury his million-dollar Bentley, so he could drive around his afterlife in style. He received lots of media attention, mostly negative and was severely criticized for the extravagant gesture and wasting of a precious commodity. Why wouldn’t he donate the car to charity? How out of touch with reality is this guy? He still went ahead with the ceremony.

But, there’s a twist. (Of course there is. Why else would this story be covered ?)

Moments before lowering the car in the ground prepared for the burial of his Bentley,he declared that he wouldn't bury his car and then revealed his genuine motive for the drama: Just to create awareness for organ donation.

“People condemn me because I wanted to bury a million dollar Bentley, in fact most people bury something a lot more valuable than my car,” Scarpa said during a speech at the ceremony. “They bury hearts, livers, lungs, eyes, kidneys. This is absurd. So many people waiting for a transplant and you bury your healthy organs that could save so many lives!”

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

43 Nameless Fanboi Posted ID:Ys06hmGE2

>>42 ชอบอ่ะ เรื่องนี้เคยอ่าน แต่ชอบบ

44 Nameless Fanboi Posted ID:NP1B1Jxam

ก็เหี้ยยิ่งกว่ากูอีก ถถถ

45 Nameless Fanboi Posted ID:NP1B1Jxam

>>44 เชี่ยมือถือโดนปุ่มลบก่อนโพส
ดักควายได้ฉลาดมาก พวกที่ด่ากูต่างๆนานา ไม่บริจาคบ้างก็เหี้ยยิ่งกว่ากูอีก

46 Nameless Fanboi Posted ID:G1kHFDNHE

"โรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต"

ความเข้าใจผิดอย่างนึงของโรคซึมเศร้าคือมีคนจำนวนมากคิดว่าซึมเศร้าเป็นโรคจิต ซึ่งภาพพจน์ของโรคจิตคือพวกขโมยกางเกงใน ฆ่าหั่นศพ ฯลฯ ทำให้คนไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองเป็นกัน กลัวตัวเอง กลัวคนรอบข้างรู้สึกไม่ดีหรือจะอะไรก็ตาม ซึ่งความเข้าใจตรงนี้ต้องบอกว่า "ผิดถนัด" ไม่ใช่เลย "ซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต(เฟร้ย)"

ความจริงแล้วเป็นความยากในการใช้คำในภาษาไทยหละจนทำให้คนเข้าใจผิดกันหมด ความจริงแล้วกลุ่มอาการผู้มีปัญหาทางจิตใจเราเรียกว่า "จิตเวช (Psychiatry)"

ซึ่งจิตเวชนี้มีอาการอยู่หลากหลายมาก ที่รู้จักกันเยอะพอสมควรแล้วทุกวันนี้คือ "ซึมเศร้า (Depression)" และ "โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)" อย่างแรกที่ควรรู้คือสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน แต่ไม่ลงรายละเอียดละกัน

และกลุ่มอาการจิตเวชก็มีอีกหลายโรค อันนึงมีชื่อว่า จิตเภท (Schizophrenia) อันนี้แหละที่เรียกว่า "โรคจิต" ดมกางเกงใน ประสาทหลอน ฯลฯ มีประชากรโลกเป็นอาการนี้อยู่ประมาณ 1% เป็นมากเป็นน้อยก็แล้วแต่คนไป

ซึ่งคำมันก็ช่างคล้ายกันเหลือเกิน จิตเวช จิตเภทและก็โรคจิต ไม่แปลกใจที่สับสนกัน แต่ถึงเวลาที่ควรต้องทำความเข้าใจแล้น

ดังนั้น "ซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิตนะ" แต่เป็น "โรคจิตเวช" มันอยู่ในคนละวงกลมกัน จากนี้เรียกให้ถูก คนจะได้ไม่กลัวมัน ทุกคนมีโอกาสเป็นได้หมดและก็หายได้ดั๊วะ ป่วยก็ไปหาหมออออ :)

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

47 Nameless Fanboi Posted ID:Nkc3kWshS

>>46 มิตรสหายท่านนี้โดน quote มาลงมู้นี้บ่อยนะ ไม่ใช่อะไร กูดีใจที่มีคนตามเค้าเยอะๆ

48 Nameless Fanboi Posted ID:bdF6j3T/R

"ตะกี้เจอความจังไรของช่องไบรท์ทีวีด้วยการทดสอบแรงลมบนสะพานขณะรถวิ่ง ด้วยการถือกระดาษออกไปนอกตัวรถขณะรถวิ่ง พลันลมก็พัดกระดาษไป
"ขณะรถวิ่งแรงลมจะเพิ่มเท่าทวีคูณ" คนทำสกู๊ปกล่าวทำนองนี้
ไอ้สัส ไม่มีการวัดค่าอะไรทั้งสิ้น แถมมึงทิ้งขยะบนถนนแบบนี้ด้วย ควยจริงๆ"

‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

49 Nameless Fanboi Posted ID:gUQNUE1Od

1
ผมอ่าน ลับลวงพราง เป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 25 เพราะผมได้ยินลุงคนนึงพูดว่า "เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จะรู้เรื่องประชาธิปไตยได้ยังไง"
หยิ่งผยอง ผมเสียหน้า
ผมอยากคุยกับแกสักสองสามประโยค แต่ลูกน้องแกกันออกมา ผมหันไปถามเพื่อน "ลุงคนนั้นใครว่ะ ดุฉิบหาย" ดนตรีขอเวลาอีกไม่นานกระหึ่มเป็นฉากหลัง
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูท่าจะเป็นคนใหญ่คนโต ลุงสวมเสื้ออย่าให้คนโกงมีที่ยืนในสังคม ส่วนลูกน้องแกที่มีข่าวโกงเงินทำสวนแล้วเอาไปบริจาค นั่งอยู่ข้างๆ ย้อนแย้งสิ้นดี ผมมองหน้า เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนลุงสังเกตได้ว่าผมกำลังมองแก แกชี้นิ้วมาทางผมด้วยท่าทีฉุนเฉียวตามสไตล์ อุทานเสียงดังลั่นห้อง ปัดโธ่!!
2
ผมพบลุงแกอีกครั้งในรายการทีวี คืนวันสุขหรืออะไรสุขๆสักอย่างประมาณนั้น ผมจำไม่ได้เพราะไม่ได้ใส่ใจ ลุงแกบ่นด้วยอาการน้อยใจว่าคนสนใจแกน้อยกว่าเด็กแวนซ์ ผมคิดในใจว่าเป็นความผิดของพวกเรารึเปล่าน่ะที่ไม่ได้สนใจแก หรือความผิดของแกที่ทำให้เราสนใจไม่ได้ทั้งที่ใช้งบประชาสัมพันธ์อย่างมหาศาล
3
ผมเจอลุงแกอีกครั้งนึงที่งานอะไรสักอย่าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปทำไม ผมยอมรับว่าลืมลุงแกไปแล้ว แต่แกดันยืนอยู่ที่นั่น
ผมเริ่มประโยคแรก "ผมอ่านหนังสือการปกครองประเทศจีนตามที่ลุงเคยแนะนำให้อ่านแล้ว"
ลุงบอก "ผมเคยแนะนำไปตอนไหนเหรอ"
เหมือนโดนทุ่มด้วยโพเดี้ยม ผมหลบไม่ทัน อะไรว่ะ ลุงคนนี้
"ลุงทำงานอะไร" ผมอยากรู้จริงๆ "เป็นยาม เป็นกุ๊ย หรือ เป็นนักเลงหัวไม้"
ลุงตอบ "ผมไม่ได้เป็นสักอย่าง"
ผมควรจะตัดบทแล้วไปคุยกับคนอื่นใช่ไหม แต่ไม่ว่ะ ไม่ใช่กับครั้งนี้ ผมคิดหัวข้อสนทนาใหม่ในทันที "ตอนนี้หน้าร้อนแล้ว มะนาวแพงมาก ผมควรปลูกมะนาวกินเองใช่ไหม"
ได้ผล ตาลุงแกเป็นประกาย "ฉันชอบวิธีแก้ปัญหาของคุณ"
4
ผมได้เป็นเพื่อนลุงในที่สุด อันที่จริงลุงแกมาขอเป็นเพื่อนผมเอง เพราะอยากเชิญเข้ากลุ่ม คณะปะติดรูป อะไรสักอย่าง ชื่อมันดูเหมือนเป็นงานศิลปะ ผมเลยเข้ากลุ่มไปเพราะนึกว่าทำงานศิลปะ จากนั้นทุกอย่างก็ดูไม่ปกติ
อาจเป็นเพราะผมควบคุมลุงแกไม่ได้ และลุงแกก็ไม่คิดที่จะควบคุมตัวเอง
เหมือนเราทำให้ทุกอย่างอยู่ในภาวะสุญญากาศร่วมกัน
มีบางครั้งที่เราเหมือนจะทำให้ทุกอย่างคืบหน้า แต่ผ่านมาสองปีแล้ว ก็พบว่าไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักอย่างเดียว
5
ผมเริ่มถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องทนลุงคนนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ เรามากันถูกทางไหม ผมเริ่มเฟดตัวเองออกห่าง มีเพียงสายสัมพันธ์บางๆที่เชื่อมเราไว้
6
กลางดึกคืนหนึ่ง ลุงแกโทรมาหาผมเล่าให้ฟังว่าพึ่งฝากหลานเข้าโรงเรียนประถมไป
ผมถาม "ฝากโดยไม่ต้องสอบ ทำแบบนั้นได้ไง"
ลุงเงียบสักพักก่อนตอบ "นี่อำนาจผม ใครๆก็ทำกัน" แล้ววางหูไป
7
คิดดูแล้ว
นักบินอวกาศเป็นแบบนี้ใช่ไหม
หลังจากกลับจากภารกิจในอวกาศ
เค้าก็มักไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกะเราอีกต่อไป
จาก สหายคิม ณ เปียงยาง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง

50 Nameless Fanboi Posted ID:pGkOHrA55

>>49 ไอ้เหี้ยกูฮา

51 Nameless Fanboi Posted ID:elu2+Xtlq

>>49 ชอบโควทแบบนี้ชิบหาย5555

52 Nameless Fanboi Posted ID:HvVdJXBXx

เรื่องที่คนไม่มีการศึกษาไม่สมควรให้โหวตมีมาตั้งกะกรีกโบราณ ต้นกำเนิดประชาธิปไตยเลยนะเว้ย คนที่พูดไว้คนเเรกก็อริสโตเติล

ป่านนี้ก็ยังเถียงกันไม่จบ ปัญหาใหญ่จริงๆ

53 Nameless Fanboi Posted ID:NKCV6qlnn

>>52 มีคนเถียงกันตั้งแต่ครั้งโบราณ ปัจจุบันยังมีคนพูดถึง แต่ก็ไม่มีใครเอามาใช้จริงจวบจนปัจจุบัน แค่นี้ก็จบแล้วสัส

54 Nameless Fanboi Posted ID:hsE/kjTVV

ในวันที่เกิดเรื่องเพี้ยนๆ ขึ้นมาในประเทศ อย่างการจับคนก่อน ตั้งข้อหาทีหลัง หรือการที่ประเทศอยู่ในมือของผู้ใหญ่โบราณเพียงไม่กี่คน ที่จะพูดอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนใจว่ามันจะดูเห่ยขนาดไหน
เมื่อผมหันมองย้อนกลับไปที่คนกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่เมื่อ 2-3 ปีก่อน พวกเขาดูกระตือรือร้นกับการลุกขึ้นมาต่อต้าน "คนโกง", ต่อต้าน "การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม" กันอย่างเอิกเกริก
...ผมแทบไม่เห็นความกระตือรือร้นแบบนั้นอีกแล้ว
พวกเขาใช้เวลากับการหาความสุขในชีวิต ข่าวสารบ้านเมืองที่เคยเป็นลมหายใจของพวกเขาถูกเก็บลงลิ้นชักเสียหมดสิ้น
(เอาจริงๆ มันไม่แปลกเลยนะที่จะหาความสุขใส่ตัว เราก็หาอยู่ เพลงก็ยังฟัง หนังก็ยังดู ฟุตบอลก็ยังเชียร์...แต่ "จิตสำนึกทางการเมือง" ที่มีอยู่ในตอนนั้นมันหายไปไหนหมดวะ)
เอาล่ะ หากเธอจะมองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญแล้ว เราคงจะว่าพวกเธอไม่ได้
แต่เราจะจำในใจว่า "เราจะใส่ใจสังคมนี้ ในส่วนที่พวกเธอละทิ้งมันเอง"

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

55 Nameless Fanboi Posted ID:XbEkHLoq3

>>52 อ่านงานของประจักษ์ เรื่องนิทานโง่จนเจ็บ แล้วจะรู้ว่าควรให้ทุกคนมีสิทธิเลือกตั้ง

56 Nameless Fanboi Posted ID:AOMXjQXpz

>>55 เด็กทารกก็มีสิทธิ์เลือกตั้งสินะ

57 Nameless Fanboi Posted ID:XbEkHLoq3

ในอนาคตถ้าเด็กคนนั้นโตมาจนอายุถึงเกณฑ์ก็มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดแบบไหนจะเกิดที่หมู่บ้านจนๆของภาคอีสานหรือเกิดที่แมตซาชูเซตก็เป็นคนเหมือนๆกัน

58 Nameless Fanboi Posted ID:5FGPfyCBu

คนโง่ควรมีสิทธิเลือกตั้งมั้ยครับ

59 Nameless Fanboi Posted ID:AiE1FyTBD

>>58 ไม่ควรเพราะคนโง่คือขี้ข้าทางการเมืองของพรรคนายทุน

60 Nameless Fanboi Posted ID:t17w7gqZn

"I think you're confusing 'peace' with 'quiet'."
‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

61 Nameless Fanboi Posted ID:6Npv6vcB0

>>60
you're confusing = คุณเป็นคนน่าสับสน
you're confused = คนกำลังสับสน

62 Nameless Fanboi Posted ID:6Npv6vcB0

>>61
*คุณกำลังสับสน

63 Nameless Fanboi Posted ID:NaFZ4.p2r

"Much of the social history of the Western world, over the past three decades, has been a history of replacing what worked with what sounded good."

#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

64 Nameless Fanboi Posted ID:zePc8uG2N

>>61 กรณีนี้ใช้ confusing ถูกแล้ว เพราะ confusing ตรงนี้เป็นสกรรมกริยา ไม่ใช่คุณศัพท์

65 Nameless Fanboi Posted ID:Hq6opIm9f

วันนี้ภรรยาพามาทำงานด้วย ระหว่างนั่งแถวหลังรอเธอคุยกับลูกค้า เจ้าของห้าง ย่าน Orchard ที่อยากทำ virtual store ให้คนเข้ามาเลือกแล้วกลับบ้านไปรอของส่งไปที่บ้าน จะได้ไม่หิ้วให้เหนื่อย เจ้าของห้างมองว่าจะช่วยสร้างยอดขายและทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายช็อปเพลินและไม่เหนื่อยถือของ
คุณภรรยาบอกผู้บริหารห้างว่า คุณอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะผู้หญิงจะมีความสุขมากเวลาได้หิ้วถุงออกจากร้าน ยิ่งถ้าถุงเป็นแบรนด์เนม คุณต้องลองคิดดูว่าจะแก้เรื่องนี้ได้ยังไง ก่อนที่คิดจะลงทุนทำ brand virtual store แต่ในส่วน groceries/fresh food นี่รันได้เลย ตัวนี้เกิดแน่นอน
...
ช่วงนี้นางฮอต หลังจากปิดโปรเจค Tesco, BigC, Makro, Paragon, EmQuartier, มีไปพรีเซ็นท์ Tops จบอาทิตย์ก่อน แล้วมาปิดดีลลูกค้า NTUC ที่สิงค์โปร์วันนี้นอกรอบ เจอผู้ใหญ่ที่เคยทำงานกันตอนอยู่ Groupe Casino ลาออกจาก Giant มาอยู่ NUTC เกือบ 3 คน
ส่วนตัวรู้สึกโชคดีมาก ไม่ใช่เพราะได้ภรรยาสวย แต่ได้ภรรยาหาเงินเก่งและฉลาดมาก ส่วนตัวได้แต่เทคโนโลยี กลเม็ดและแนวคิด จุดที่เป็นการตั้งคำถามแทนลูกค้าได้ เพราะภรรยาสอนวิธีคิดให้หมดเลย
เวลาอธิบายเทคโนโลยีใหม่ๆให้ฟัง ยังไม่ทันจบ เธอคิดวิธีขาย และเดโมไปหาเงินกับลูกค้าได้แล้ว แค่ สัปดาห์เดียวให้น้องที่บริษัททำขึ้นมาอย่างไว จนบางทีเราก็รู้สึกว่านางน่าจะเขียนตำรา Omni/eCommerce ขึ้นมาน่าจะดีกว่า อย่าง Redmart นี่เขียนมาก็มีคนซื้อ

66 Nameless Fanboi Posted ID:UcKtelo9P

เดี๋ยวๆ ไปเหยียดเขาแล้วยังมาเล่าให้คนอื่นฟังอีกเนี่ยนะ!

ลองนึกดู มีหมาบ้ากัดเรา แล้วเราไปกัดตอบ ก็เท่ากับโลกมีหมาบ้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว แล้วเราก็มาโพสต์บอกคนอื่นว่าเราเพิ่งไปกัดหมาบ้าตัวนึงมาเนี่ยนะ! ‪#‎แล้วชาวเน็ตก็เฮ‬

ถ้าไปเหยียดเขา แล้วเราจะตำหนิเขาได้ยังไงที่มาเหยียดเรา ในเมื่อเราก็ทำสิ่งเดียวกัน? ‪#‎คิดซิคิด‬

เราคนไทย นอกจากเรื่อง "หน้าสำคัญกว่าชีวิต(คนอื่น)" แล้ว ยังชอบทำอะไรเพื่อความสะใจ โดยไม่สนว่าจะต้องเสียอะไรไปด้วย

กรณีตัวอย่างนี้เสียหน้าเลยยอมไม่ได้ ก็เลยเหยียดกลับไป (กรณีอื่นๆบางทีถึงขั้นใช้กำลัง) ทั้งที่ทำให้เราเสียศักดิ์ศรีไปอีกอย่างนึง แต่ไม่เป็นไร ขอให้สะใจก็เป็นพอ

แต่คุ้มจริงๆเหรอ

67 Nameless Fanboi Posted ID:.RN4UKvkp

>>59 คนโง่มีหลายแบบ คนโง่หัวทึบจริงๆ คนโง่เรียนไม่เก่งแต่มีสติปัญญา คนโง่เพราะมีคนบอกว่าเขาโง่ คนโง่เพราะความคิดไม่ถูกใจเรา ถ้าห้ามคนโง่เลือกตั้ง อยู่มาวันนึงเราอาจโดนจัดให้อยู่กลุ่มคนโง่ขึ้นมาก็ได้ เกณฑ์อะไรที่ใช้วัดคนว่าโง่ก็เปลี่ยนไปได้ทั้งงั้น คนจบปริญญาบางคนยังโง่เชื่อว่าGT200ใช้งานได้ก็เคยเจอมาแล้ว

68 Nameless Fanboi Posted ID:JrdVYxpdx

>>67 สงสัยนะ GT200 นี้เซ็นซื้อในยุคแม้วใช่ป่ะ(= แม้วก็อนุมัต)

69 Nameless Fanboi Posted ID:Rx.sdlGi8

>>68 งบทหารเยอะสุด

70 Nameless Fanboi Posted ID:82LagQxU6

>>68 ซื้อมาไม่กี่ตัวแล้วเลิกเพราะใช้งานไม่ได้ แต่ยุคถัดมาก็กลับมาซื้อใหม่

71 Nameless Fanboi Posted ID:JrdVYxpdx

>>68 ไอ้เลิกเพราะใช้ไม่ได้แต่ยังซื้อต่อนี้กูยังสงสัยไงว่าเมกมาจากไหนหรือปัดสวะไปก่อน

72 Nameless Fanboi Posted ID:2VoAgm8WT

ภาพที่เห็นข้างบน คือ นายถิ่น จอ (ซ้ายมือ )เข้ารับตราตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 ถือเป็นผู้นำคนแรกของประเทศที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงเวลากว่า 50 ปี

ภาพนี้ถือเป็นงานพระราชพิธีสำคัญของประเทศ บุคคลระดับประเทศแต่งชุดประจำชาติของเมียนมาร์หรือพม่า นุ่งโสร่งที่เรียกว่า “ลองยี” (Longeje) เป็นลายตาราง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง

สวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อ ใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดำ หรือ นวล

แต่ที่สะดุดตาคือทั้งคู่ใส่รองเท้าแตะ

รองเท้าแตะเป็นส่วนหนึ่งของชุดประจำชาติพม่ามาช้านาน และไม่ได้ดัดแปลงเป็นรองเท้าหุ้มส้น เพื่อให้ดูเป็นประเทศพัฒนาตามแบบวัฒนธรรมตะวันตกแต่อย่างใด ด้วยความรู้สึกว่า รองเท้าแตะไม่ทันสมัย เชย หรือเป็นรองเท้าไม่สุภาพ เห็นนิ้วเท้าโผล่ออกมา

พม่าเคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษมาหลายร้อยปี แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายตัวเองได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

รองเท้าแตะในภาพนี้จึงท้าทายคนทั้งโลกว่า ความสุภาพของรองเท้านั้นวัดกันที่อะไร

อันที่จริงรองเท้าแตะน่าจะเป็นรองเท้าที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของพม่าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า พม่ามีวัดและศาสนสถานจำนวนมาก คนพม่านิยมเข้าวัด

และทุกคนรู้ดีว่า เมื่อใดที่ก้าวเข้าไปสู่ในลานวัด ต้องถอดรองเท้าไม่ว่าจะเป็นชนชั้นระดับใด ตั้งแต่กษัตริย์ไปจนถึงสามัญชน

การถอดรองเท้าเป็นสิ่งที่ทุกคนปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะแดดร้อนเพียงใดเมื่อย่ำไปบนลานวัด

รองเท้าแตะใส่ง่าย ถอดง่าย สวมสบาย ระบายอากาศ ไม่เหม็นอับ จึงเหมาะกับวิถีชีวิตของคนพม่า และสภาพภูมิอากาศ ร้อน ชื้ ความสวยความงาม ความสุภาพก็ไม่ได้วัดกันว่า ต้องปิดมิดชิดไม่ให้เห็นนิ้วเท้า

ขณะที่คนยุโรป ใช้รองเท้าแสดงถึงฐานะของคนในสังคมมาช้านาน รองเท้าที่สุภาพต้องเป็นรองเท้าหนังหุ้มส้นซึ่งก็เหมาะกับอากาศหนาวของคนทางเหนือ ที่ต้องมีสิ่งห่อหุ้มเท้าด้วย

หากย้อนไปในอดีต รองเท้าแตะ อาจจะเป็นรองเท้าโบราณรุ่นแรก ๆ ที่มนุษย์ใช้ในการเดินทาง เพื่อทำหน้าที่รองเท้าจากพื้นดิน และมีสายวางอยู่ระหว่างนิ้วเท้าทั้งสองเพื่อหนีบรองเท้าไม่ให้หลุด

รองเท้าแตะเก่าแก่ที่สุดในโลกค้นพบในสมัยอิยิปต์เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน ซึ่งทำด้วยใบปาปิรุส ใบปาล์ม ฟางข้าว แผ่นไม้ หนังสัตว์ และเป็นยาง หรือพลาสติกในปัจจุบัน

เมื่อเจ็ดสิบปีก่อน รองเท้าแตะได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนกลายเป็นแฟชั่นของเด็กวัยรุ่น เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารสหรัฐอเมริกาได้นำเอารองเท้าแตะญี่ปุ่น ที่เรียกว่า ซริ และนักออกแบบได้ออกแบบรองเท้าแตะให้มีสีสันฉูดฉาดและใส่สบายจนกลายเป็นรองเท้าแฟชั่น หรือรองเท้าลำลองที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

ในเมืองไทย รองเท้าแตะที่ได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีหลายยี่ห้อ อาทิ นันยางรุ่นช้างดาว ดาวเทียม ฯลฯ

แต่แม้จะเป็นรองเท้าลำลอง ใส่เดินเล่น หากเดินเข้าไปในสถานที่ราชการหรืออาคารสำนักงานหลายแห่งก็อาจจะถูกพนักงานรักษาความปลอดภัย ปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในตัวอาคาร ด้วยสาเหตุคือไม่เคารพสถานที่

ผู้เขียนเคยรู้จักอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังท่านหนึ่ง มีนิสัยชอบสวมรองเท้าแตะเป็นประจำไม่ว่าจะไปไหน ท่านเคยโดนยามปฏิเสธไม่ให้ขึ้นไปบนอาคารเพื่อประชุมเพราะเป็นระเบียบของอาคารนั้นว่า ต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย รองเท้าแตะคือความไม่สุภาพ สุดท้ายท่านก็ถอดเกือกแตะเดินเท้าเปล่าขึ้นไปบนตัวอาคารแทน

จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งเคยถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในงานแสดงแห่งหนึ่ง เพราะท่านใส่รองเท้าแตะ ถึงกับเอ่ยว่า

“เดี๋ยวนี้อารยธรรมวัดกันที่เกือก”

ทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นทั่วโลกหันมาใส่รองเท้าแตะกันมาก คนรุ่นใหม่เริ่มรู้สึกว่า รองเท้าแตะไม่ใช้เพียงรองเท้าลำลองใส่สบายแต่สามารถสวมใส่ในงานพิธีอื่นได้ด้วย ขณะที่คนรุ่นเก่ายังมองว่าหากใส่รองเท้าแตะในงานพิธีสำคัญถือเป็นความมักง่าย ไม่รู้จักกาละเทศะ

ส่วนที่เมืองไทย ภาพรองเท้าแตะในงานพิธีสำคัญของรัฐไทย เชื่อว่าคงไม่ได้เกิดแน่นอน

- See more at: http://www.sarakadee.com/blog/oneton/?p=1863#sthash.OBbADFGw.xlBcRiH6.dpuf

73 Nameless Fanboi Posted ID:QMwoa1hEW

>>71
...เออ กูเกิ้ลมีไม่หานะ ปี47ซื้อมาทดลองใช้ไม่กี่อัน
แต่ต่อมาสมัย คมช.ซื้อล็อตใหญ่ 500 อัน

74 Nameless Fanboi Posted ID:F9MFdoSWd

เรื่อง บ.ล๊อบบี้ละว่าไง

75 Nameless Fanboi Posted ID:2VoAgm8WT

https://scontent-ams3-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xfa1/v/t1.0-0/s480x480/13102812_1159651924055206_6978070306565116737_n.jpg?oh=88c201e230d8911a194bca5e5dc575c7&oe=57BAE4D6

76 Nameless Fanboi Posted ID:Q0S3R/Jxr

"คนเรานี่มันมองแรงงานค่าแรงขั้นต่ำแบบตัดขาดออกจากตัวเองมากๆ เลยแฮะ เพราะการศึกษาเหรอ คือคิดว่ามีใบปริญญาเลยเหนือกว่ากัน เป็นคนละลีก
พูดกันแบบไม่ใช้หลักวิชานี่ ผมสะอิดสะเอียนทุกครั้งที่คนพวกนี้ด่าแรงงานขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่พวกมันก็เรียกร้องให้สังคมไทยมีน้ำใจ พวกมึงน่ะใจหยาบและเห็นแก่ตัวจนคำใดๆ ก็ไม่พอจำกัดความ"

‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

77 Nameless Fanboi Posted ID:Y1Qg4/yT6

>>76 ความรู้ต่างกันก็ต้องคนละลีกก็ปกตินี่หว่า จะให้คนจบปริญญาไปทำงานแบกหามงกๆเงินเดือนเท่ากรรมกรหรือไง

78 Nameless Fanboi Posted ID:uJSaIPrOj

สเปอร์ : ฟ้าส่งข้ามา ใยต้องส่งเลสเตอร์มาด้วย

79 Nameless Fanboi Posted ID:J6T./YTpM

>>77 ตัวอย่างการอ่านแล้วไม่ผ่านสมอง เรียนมาเสียดายตังมั้ย

80 Nameless Fanboi Posted ID:gZD7rxm+b

>>78
เชลซี : ใครจะเป็นแช้มป์ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่สเปอร์

81 Nameless Fanboi Posted ID:cesDG+/gO

>>80 KEK

82 Nameless Fanboi Posted ID:d4U8meGY2

"เอาจริงๆ ไม่ปฏิเสธเลยว่า ถ้าคนเราไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เป็นประจำ ก็จะประหยัดเงินไปได้เยอะทีเดียว

แต่ก็จะไม่มีวันยอมรับไอ้แคมเปญใดๆ โดยเฉพาะ สสส. อย่างที่มักออกมาในทางว่าเลิกพวกนี้ก็เลิกจน เพราะแม่งชอบพุ่งเป้าไปที่คนชั้นล่าง ซึ่งไอ้คนพวกนี้เนี่ยนะ ด้วยค่าแรงแม่งน่ะ ประหยัดห่าไรไปชีวิตก็ไม่มีวันดีขึ้นหรอก ปัญหาจริงๆ แม่งไม่ใช่ใช้เงินโง่ๆ แต่คือได้รับเงินไม่พอจะเข้าถึงความประหยัด

อีสัส ใช้แดกใช้อาศัยก็หมดแล้ว

แคมเปญพวกนั้นแม่งเหมือนออกมาย้ำว่า "มึงมันจนเพราะโง่" ซึ่งแม่งเป็นการออกมาอย่างไม่เข้าใจห่าไรมนุษย์ทั้งนั้น มองโลกแต่ในมุมตัวเองแล้วชี้หน้าด่าทุกความเป็นอื่นว่าเหี้ย

ดังที่เคยกล่าวไปว่า การจะอธิบายให้คนเข้าใจว่าทำไมคนไร้บ้านแม่งตังค์น้อยยังเสือกแดกเหล้าดูดยานี่มันเป็นอะไรที่ยากเย็นมากๆ เพราะหลักคิดของคนมันมีแค่ง่ายๆ ว่าประหยัดและขยันเดี๋ยวมันก็รวยขึ้นมาเอง

แต่โลกจริงๆ มันไม่ใช่ไง มันมีดินแดนชีวิตที่แบบ สัส อย่างที่บอก เงินแม่งประหยัดแค่ไหนก็ไม่มีทางจะขยับชีวิตไปไกลกว่านั้นได้ไง ชีวิตแม่งติดหล่ม มึงประหยัดวันนี้ แต่พรุ่งนี้มึงก็ถังแตก เพราะมึงหาเงินเพิ่มไม่ได้ หรือที่มีอยู่แม่งก็พอแดกพออยู่แค่วันต่อวัน มันไม่ใช่คนที่รายได้พอจะเข้าถึงปริมณฑลของการประหยัดแล้วเหลือ

การประหยัดมันมีต้นทุนในการเข้าถึงนะเว้ย ที่กูชอบพูดเรื่องซ่อมพัดลมน่ะ ซ่อมทีแม่งสองร้อย ซื้อทีมึงห้าร้อย บางคนซ่อมห้าครั้งยังสะดวกกว่าซื้อใหม่ครั้งเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น มึงคิดว่าถ้าเงินเหลือแล้วคนเราจะเอาไปทำไรให้ชีวิตก้าวหน้าแต่ในทางที่มึงคิดเหรอ สัส ชีวิตดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มึงไปอ่าน Poor Economics ของอภิจิต บาเนอร์จี กับเอสเทอร์ ดูโฟลร์ โน่น บทแรกมันมีวิจัยเรื่อง Nutrition-Based Poverty Trap ว่าคนเราน่ะ (ในเล่มคือพวกจนมากๆ) เงินเหลือแม่งก็ไม่เอาไปพัฒนาชีวิตหรอกโว้ย มันเอาไปหาความบันเทิง จะทางแดกหรือทางห่าไรก็เหอะ

สัส นี่กูแถมให้ว่า recreation เป็นสิทธิมนุษยชน มึงรู้มั้ย ซัสสสสสส
แล้วหนังสือแม่งยังบอกอีกว่า การเข้าถึง saving ของคนจนมันไม่ใช่ง่ายๆ
อีเหี้ย มึงเงินเหลือก็ไปซื้ออ่านสิ อีเมกะเคลฟเวอร์

แล้วมึงลองกลับมานึกดู ไอ้ชีวิตคนจนอย่างที่กูพูดไปข้างต้น คนที่ไม่ว่าจะทำอะไร (รวมทั้งประหยัด) ก็ไม่เห็นทางที่จะขยับชีวิตได้ คนแบบนั้นคนไหนมันจะคิดอะไรไปมากกว่าการอยู่รอดไปวันๆ วะ อะไรช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดได้แม่งเอาทั้งนั้นแหละ

ควย

ป.ล. หนังสือห่านั่นมันไม่ได้มาด่าคนจนนะ มันคือดูว่ามีมายาคติไรบ้างที่เข้าใจคนจนผิด ทั้งด้านดีด้านไม่ดี เพื่อหาคำตอบที่แท้จริง ได้แก้ปัญหาถูก (อ้อ กูยังอ่านไม่จบ)"

‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

83 Nameless Fanboi Posted ID:6WH.U2IVp

เรื่องนี้มันมาจากคติเสื่อผืนหมอนใบของคนจีนวะ คนรุ่นนั้นมาแต่ตัวแถมส่งเงินกลับบ้านยังเจริญได้ คนรุ่นถัดมาถึงเชื่อว่าการประหยัดอดออมทำให้คนรวยด้จริง ทุกวันนี้เศรษฐีหลายคนก็รวยมาได้ด้วยวิธีนี้ ประหยัดอดออมแล้วลงทุนทำในสิ่งที่ตัวเองเป็น ไปลิสรายชื่อเจ้าสัวได้เลยว่าปากกัดตีนถีบขนาดไหนกว่าจะรวย

กูรู้จักคนงานรายวันค่าแรง300 แต่เขาเก็บเงินปีเดียวได้เป็นแสน มากกว่ารายเดือน17,000อย่างกูอีก มันก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกคน แต่ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ ในบางเคส คนที่รวยที่สุดทุกวันนี้บางคนก็จนที่สุดมาเหมือนกัน ดังนั้นจะว่าสสส.ผิดก็ไม่ถูกหรอก เพราะวิธีนี้มันเป็นทางที่ง่ายที่สุดที่ทำได้ด้วยตัวเองแล้ว

84 Nameless Fanboi Posted ID:yXokQmD2k

>>83 365x300= 109,500 ทำงานทุกวันใช้เงินปีละ 9500 ใครจะเชืาอไอ้ขี้โม้

85 Nameless Fanboi Posted ID:h4wuQ.xWt

โมเดลการตลาดยุคปัจจุบัน

1. สร้างเพจการตลาดขึ้นมา

2. เลือกเอา success stories
แบบไม่ซับซ้อน ของแบรนด์ดัง
(เพื่อสร้าง Like/Share/View)

3. เล่าเรื่องนู่นนี่นั่น แปลของฝรั่งมา
หรือเอาเคสฝรั่งมาเล่า

4. เอาทฤษฎีการตลาดแบบผิวๆมาเล่า
(ห้ามเล่าเคสแบบจ้างที่ปรึกษาเป็นล้านๆ
หรือซับซ้อนๆเด็ดขาด เด๋วคนรู้สึกว่ายาก
เขาจะหมดแรงบรรดาลใจ คิดว่าทำเอง
ไม่ได้ เรียนจากมึงก็คงไม่ได้แน่
แล้วจะไม่ซื้อคอร์ส)

5. ขายคอร์สสัมนา เอาความสำเร็จจากเพจ
ที่แม่งอัดโฆษณาเรื่องตลาดนี่ละ เป็นเรื่อง
เล่าความสำเร็จ (เพจผมมีคนห้าแสนไลค์)
(จะไม่ถึงได้ไงก็มึงอัดโฆษณาเป็นแสน สัส)

6. พอเริ่มเวลโนน ก็ไปเป็นที่ปรึกษา วิทยากรบรรยา แล้วเอา profile ตรงนั้นกลับมาขายคอร์สรอบใหม่

7. ออกหนังสือสักหน่อย ไม่ก็ขายไฟล์วิดีโอสอนการตลาด

8. ทำกำไรจากสัมนาให้ได้รอบละห้าแสน-ล้าน
(ทำได้จริงๆ ลองคูณๆดูสิครับ)

9. เรียกแทนตัวเองว่าครู อาจารย์
ถ้าให้ชิ้กๆหน่อย เรียกว่า "โค้ช"

10. ตั้งเป็นบอสัดที่ปรึกษา/จัดอบรม
แล้วขยับไปขายคอร์สให้ภาคธุรกิจ
(พวกนี้มีเงินแน่นอนครับ)

อันนี้เขียนจากที่สังเกตหลายๆเจ้ามาน่ะครับ

-‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

86 Nameless Fanboi Posted ID:HSQAR6.9S

>>84 มึงไม่เคยทำงานสินะ ถึงไม่รู้จักคำว่าOT บอกให้ก็ได้ว่ากูอยู่อิตาเลี่ยนไทย 1วันทำงาน10-12ช.ม. ได้วันละประมาณ500X6=3000 วันอาทิตย์ได้2แรง8ช.ม.=600 อาทิตย์นึงได้3600X51=183600 บางคนได้มากกว่านี้อีกถ้าหน้างานมีโบนัสงานด่วนให้ บางคนได้เงินเดือนพอๆกับนายช่างด้วยซ้ำ

เลิกใส่กางเกงขาสั้นแล้วค่อยมาพูดใหม่นะ อายเขาปล่าวๆ

87 Nameless Fanboi Posted ID:b1FPhwmKa

>>86 เดี๋ยวค่าแรงแบบ3000นี่คิดเป็นวันไม่ใช่ชั่วโมงไม่ใช่เหรอ แล้วกูว่านั่นมันก็ทำตั้ง8ชั่วโมงแล้วนะ จะทำotไดอีกกี่ชั่วโมง

88 Nameless Fanboi Posted ID:b1FPhwmKa

>>87 แบบ300 พิมผิด

89 Nameless Fanboi Posted ID:34SpmjjAx

300=8ช.ม. มากกว่านั้นคือOT แต่ห้ามเกิน12ชม. บางวันทำได้14ชม.แต่รวมทั้งอาทิตย์ห้ามเกินที่กฎหมายกำหนด

90 Nameless Fanboi Posted ID:PjtJ3OkMT

มันพูดเองว่ายามค่าแรงวันละ 300

91 Nameless Fanboi Posted ID:34SpmjjAx

>>90 ก็ค่าแรงวันละ300จริงๆนิ เพราะวันหนึ่งกฎหมายบอก8ชม. มากกว่านั้นคือOT มึงไม่เข้าใจวิธีคิดค่าแรงจริงๆเหรอ ความรู้พื้นฐานในการทำงานเลยนะ

92 Nameless Fanboi Posted ID:PjtJ3OkMT

มึงสิ่ไม่เข้าใจ มันคิดOT,หรือค่าควงกะเวลาวันหยุดก็มี แต่คนมันไม่กินไม่ดื่มในช่วง12ชม.เหรอวะ แล้วที่กูคูณให้ดู 365วันเลยแล้วความเป็นจริงเป็นไปได้ไหม? กูจะไม่เถียงหรอกว่าจะมีซักคนที่มันเก็บ100,000/ปีได้ไหม แต่กูขอบอกเข้าขั้นหายากแรร์ทีเดียว

93 Nameless Fanboi Posted ID:p.+A/jI9i

.....แล้วใครบอกทำตลอด คนงานก็มีพักเที่ยง ทำ6.00-17.00=10ชม. รายเดือน8.00-17.00=8ชม. รายวันส่วนใหญ่รวยเพราะทำOTนี่ละ ถ้าขยันก็ได้เดือนละ13000ทั้งนั้นละ

แล้วมึงนั่นละมึนเอง เพราะเอา300X360ตรงๆ เวลางานของรายวันมันไม่ได้คิดแบบนี้หรอก เด็กน้อยจริงๆ ตอนแรกบอกว่าอยู่ได้ไงนปีละ9500 ทีนี้ดันบอกเก็บได้แต่น้อย

จะบอกให้ว่าคนในอิตาเลี่ยนถ้าประหยัดทุกคนเก็บได้มากกว่านี้อีก คนที่เก็บได้ปีละกว่า50000มีตั้งเป็นสิบ เกินแสนก็หลายคน ขึ้นอยู่กับปีด้วย

94 Nameless Fanboi Posted ID:My9AgYQMa

คนเขาทำงานนะเมิง ไม่ใช่ วันๆนั่งชิว สตาร์บัคแล้วมโน

95 Nameless Fanboi Posted ID:owA9N4swT

ไอ้พวกที่ไม่เชื่อว่าเก็บได้มี 2 อย่าง 1 คือเด็กยังไม่เคยทำงาน 2คือไอ้พวกบริหารเงินไม่เป็นใช้เงินฟุ่มเฟือยแล้วคิดว่าคนอื่นต้องเหมือนมัน

96 Nameless Fanboi Posted ID:S/m6tC4nh

Startup ไทย"ตอนนี้"อยู่ในช่วงฟองสบู่หรือยัง?

จากมุมมองของผมคำตอบสั้นๆ - ตอนนี้ยังไม่ใช่แน่ๆแต่อีก 6 เดือนไม่แน่ด้วยปัจจัยต่างๆที่จะอธิบายข้างล่าง

1. ปัจจุบันมูลค่าบริษัท startup ไทยเมื่อเทียบกับ startup ที่ 500 Startups ลงทุนมาทั่วโลก กว่า 1,500 บริษัท และ 500 Durians ลงทุนมากว่า 100 บริษัท ใน SEA เมื่อเทียบกับ traction และ business fundamentals i.e. revenue, growth, recurring paying customers, active users/usage/retention, gross merchandising value, etc. นั้นยังห่างกับคำว่าฟองสบู่พอสมควร และอยู่ในระดับที่ healthy มากๆ แนวโน้มของ valuation ค่อยๆสูงขึ้นแต่ไม่ได้เพิ่มแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับ traction แน่นอนว่ามีบางตัวที่เป็น outliers แต่จำนวนนั้นค่อนข้างน้อยมาก

2. คุณภาพของ startups ที่ มา pitch กับเราและเรา keep an eyes on แต่ยังไม่ได้ลงทุนมีคุณภาพที่ดีมากๆและ look really promising เมื่อดูจาก traction ของเขา

3. อันนี้ subjective measurement - ผมยังไม่เห็น startup ที่ไม่ควรได้รับเงินลงทุนแต่ดันได้รับเงินลงทุน หรือถ้ามีก็น่าจะน้อยมากๆ

4. แต่สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไปทันทีถ้าภายใน 6 เดือนข้างหน้าเมื่อแนวโน้มข้างล่างนี้เริ่มเปลี่ยนไป

- การทะลักเข้ามาของ dumb / speculative capital ไม่ว่าจะมาจากแหล่งไหนก็ตาม dumb capital จะทำให้เกิดการลงทุนใน startups ที่ไม่ควรได้รับเงินลงทุนหรือยังไม่พร้อมแล้วจะทำให้เกิดฟองสบู่อย่างแน่นอน ส่วน speculative capital คือการลงทุนแล้ว push ให้ startup ปั่น valuation สร้าง paper wealth ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เกิดฟองสบู่และการ spoil ตลาดอย่างรวดเร็ว startups ควรจะเลือกระดมทุนจาก smart, connected, committed, value-added capital ที่ เข้าใจว่า startup เป็นเรื่อง long term กว่า startup จะสำเร็จก็ใช้เวลามากกว่า 5 ปี บางครั้งเกือบ 10 ปี และ smart capital เหล่านี้ยังช่วยเปิดประตู และ add value แก่ startup มหาศาลที่ทำให้ เงิน $1 ที่ลงทุนไป เทียบเท่ากับ $10

- การผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ของ startup events และ ฟองสบู่ของ low quality incubators / accelerators สิ่งสำคัญของ high quality incubator/accelerator คือ commitment ทำแบบจริงจังไม่ใช่ทำเพื่อ PR และ คุณภาพ/commitment ของ mentors ใน program และความเข้าใจใน startup อย่างแท้จริง ในสถาณการณ์ที่ mentors ดีๆที่ committed ยังขาดแคลน และความเข้าใจในเรื่องของ startup อย่างแท้จริง ก็จะทำให้ incubator/accelerator หลายๆอันผลิต startups ที่ไม่ได้คุณภาพ เหมือน คนตาบอดจูงคนตาบอดอีกที

- การโหม promote กระแส startup โดยที่ไม่ได้มีการ educate ในภาพอีกด้านของ startups ที่ไม่ได้สวยหรู ไม่ได้รวยเร็ว แต่ทำงานหนัก และ รายได้น้อยแถมเสี่ยงมหาศาล เหมือนที่ผมบอกเสมอว่า startup งานควาย รายได้ไม่ดี แต่ มีอนาคต ทำให้ เราได้แต่ปริมาณ startups แต่ไม่ได้คุณภาพ เพราะเราดึงดูดคนมาทำ startups ด้วยเหตุผลที่ผิดและทำตามกระแสมากกว่าจะทำด้วย passion ที่อยาก solve problems ที่ drive ออกมาจากภายในจริงๆ

- ช่องโหว่ในกลไกและนโบายการสนับสนุน startup ที่ทำให้ คนที่ไม่ควรได้รับการสนับสนุน เช่น บริษัทใหญ่ๆ หรือ startup ที่มี connection มาใช้ประโยชน์ จากช่องโหว่ตรงนี้

ถ้ามีฟองสบู่จริงๆในปีนี้หรือปีหน้ามันจะเป็นเรื่องน่าเศร้ามากๆเพราะ มันเป็นฟองสบู่ที่เล็กมากๆ แทนที่เราจะสร้าง fundamental ที่แข็งแกร่ง แต่กลับได้ฟองสบู่ๆเล็กๆที่แตกดังโพล๊ะ แล้วทำลาย ecosystem ที่เราช่วยกันสร้างอย่างยากลำบากมาตั้งแต่ 2012 และเต็มไปด้วยศักยภาพถ้าเรา focus ในสิ่งที่ถูกต้อง

ถ้ามีฟองสบู่จริงๆ startup ควรจะทำยังไง? ผมว่าสุดท้าย งานหลักๆของ startup คือ focus ในการสร้าง business fundamental ที่ แข็งแกร่งและ defensible และ ทำงานให้หนักมากขึ้น startups ที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด และยิ่งเข้มแข็งขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนปัญหาการ raise fund นั้น ผมมองว่าที่ seed/series A อย่างน้อยในปีนี้ ถึง ปีหน้ายังไม่มีปัญหาแน่ๆ ยิ่งมี exit ใหญ่ๆอย่าง Lazada ยิ่งทำให้ capital flow หนีจาก Silicon Valley ที่ฟองสบู่ startup ไกล้แตก และ จีนกับอินเดียที่ร้อนแรงเกินไป มาที่ SEA ที่เป็น the next frontier มากขึ้น 500TukTuks เองก็ยังมี capital เหลือกว่า 300 ล้านบาท และสำหรับเรามันคือการ สร้าง ecosystem ในระยะยาวไม่ใช่เล่น เกมในระยะสั้น กองทุนนี้ เราสร้างมาไม่ใช่ เพื่อสร้าง สีสันฉูดฉาดและผักชีในระยะสั้น แต่มัน คือ mission ในการเปลี่ยนประเทศในระยะยาว และ การที่มันยาก มันท้าทาย มันใช้เวลา แต่มี impact มหาศาลมันถึงจะเป็นสิ่งที่มีความหมายเพียงพอที่เราจะ ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อสร้างมันขึ้นมาครับ

cc:\ Natavudh Moo Pungcharoenpong Pahrada Mameaw Sapprasert

97 Nameless Fanboi Posted ID:KGgkCBuzg

"เห็นใครครั้งแรกกูก็บอกได้แค่สูงต่ำดำขาวเท่านั้นอะ ใครทะลึ่งเห็นครั้งแรกแล้วบอกได้มากว่านี้ ไม่น่ากลัวมากๆ ก็น่ารังเกียจมากๆ"
‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

98 Nameless Fanboi Posted ID:vbs3bb3S2

เมืองไทย start up มันแค่ของเล่นของคนมีเงิน

99 Nameless Fanboi Posted ID:GAe+ujQ73

>>96 แค่ 6 เดือน กูเรียกมันว่าตอนนี้ได้เลยนะ
start up ของไทยก็ใกล้เคียงกับขายตรงแล้วโฆษณาว่าเป็นต้นสายนั่นแหละ

100 Nameless Fanboi Posted ID:I1XbuRW3n

"วันนี้เกือบโดนทอมต่อยครับ เเต่สาเหตุผมไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นจะโดนทอมต่อยเพราะมองเมียทอม ผมจะโดนต่อยเพราะมองก้นทอม

เวลาทอมใส่กางเกงผู้ชายนี่ก้นเเม่งจะรัดสัสๆ บางคนนี่ก้นน่าเด้ากว่าผู้หญิงอีก เกือบโดนต่อยเลยกู"

-มิตรสหายท่านนึงบนเฟสบุค

101 Nameless Fanboi Posted ID:ykKu3+jdq

>>100 มึงเป็นสหายกู กูก็ชอบมองตูดฟิตๆของทอมว่ะ

102 Nameless Fanboi Posted ID:h7O8Ciyzc

Spend your money on the things money can buy.
Spend your time on the things money can't buy.

103 Nameless Fanboi Posted ID:h7O8Ciyzc

วันนี้ start up Thai ต้องการอะไร..??

ในความคิดของผม ที่เน้นการเติบโตที่ยั่งยืน มากกว่าผลตอบแทนระยะสั้น

มองว่า สิ่งแรกที่Start up ต้องการมากกว่าทุน คือ product concept หรือ business model...หลังจากที่ผมได้คุยกับ start up มาสัก 7-80ราย มีเข้าตาจริงๆ 2-3บริษัทเท่านั้น...ที่ผมอยากลงทุนด้วย..แต่deal จนจบจริงๆแค่1บริษัทครับ..!!

แต่1บริษัทที่ว่า คือ บ.MEB เมื่อมาอยู่กับผมแล้ว มียอดขายที่เติบโตเกือบ500% ในช่วงเวลา2ปีเท่านั้น...และสำคัญกว่านั้น ทำกำไรได้ทุกปีครับ และมีแนวโน้มที่อัตราทำกำไรจะสูงขึ้นเรื่อยๆ.....ที่ผมพูดเสมอว่าธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายเราวัดกันที่ยอดขายและกำไร..!!

ในช่วงเร่งโต เรายอมรับการขาดทุนได้ แต่ต้องดูว่าอัตราการโตมันคู่ควรกับการขาดทุนขนาดนั้นหรือไม่..?? ถ้าโตมากก็จริง แต่ขาดทุนหนัก สุดท้ายก็ไปไม่รอดอยู่ดี เมื่อเงินทุนที่อัดฉีดเข้าไป เลิกสนับสนุน ก็ต้องขายกิจการกันในราคาถูกๆ เพราะบางครั้งค่าใช้จ่ายในการปิดธุรกิจสูงกว่าการขายธุรกิจออกไปในราคาซาก..!!

ที่พูดเรื่องproduct หรือ service concept สำคัญมากๆ เพราะเป็นด่านแรกเลย ที่invester ที่มีประสพการณ์ มองว่าเป็นไปได้หรือไม่...และส่วนใหญ่ มันไม่มีทางสมบูรณ์แบบแต่ต้นหรอกครับ...แต่ invester เก่งๆจะมองลึกไปกว่านั้นคือ founder หรือทีม มีcharacter ที่เปิดกว้างทางความคิด ที่จะฟังความเห็นอื่นในการพัฒนาหรือไม่..??

เพราะไม่มีทางที่สินค้านั้น เมื่อออกสู่ตลาดแล้วจะไม่มีการปรับจูนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมตลาด เมื่อกลุ่มลูกค้าmass ทดลองใช้

ดังนั้น start up รายไหนที่ ego สูงๆ หรือ over confidence ถ้าคุณไม่เก่งจริงๆ ระดับอัจฉริยะแบบ Steve Jobs...การเปิดใจรับฟังความเห็นอื่น เป็นสิ่งที่ทำให้คุณได้เงินทุนสนับสนุนหรือไม่ได้รับการสนับสนุนกันเลยทีเดียว

และว่าไปแล้ว start up ในไทยประสพการณ์ทางธุรกิจ ไม่มากนักครับ
รายที่มีประสพการณ์สูงๆ และเก่งมากๆ อย่าง Jitta เป็นต้น พอลงมาทำ start up ผมมองว่าไปได้ไกลมากๆแน่นอน..พวกเก่งจริงๆพวกนี้ไม่ค่อยเดือดร้อนกับการหาเงินทุน เพราะนักลงทุนมีแต่แย่งกันเอาเงินไปให้

ผมมีโอกาสได้สัมผัสกลุ่ม start up ที่ฝรั่งเศษเกือบ200ราย พูดได้เลยว่าแตกต่างกับ start upไทยมากมายนัก...start up ที่โน่นอายุค่อนข้างมากครับ 30-40 เป็นส่วนใหญ่ ทุกคนเคยผ่านชีวิตการทำงานมาแล้วจนตกผลึก และทำสินค้า product concept หรือ business model ที่ใกล้เคียงความจริง และมีความเป็นไปได้สูงมากเป็นส่วนใหญ่เลย

เหมือนกับ start up ไทยที่เพิ่มประสพการณ์ไปอีก10ปี และทุกคนเปิดกว้างในการรับฟังความเห็นต่างกันดีมาก...egoน้อยแต่ยอดขายเยอะครับ..!!

เราทุกคนมีความฝัน เราทุกคนมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศ แต่ใจอย่างเดียวไม่พอครับ..!!
โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้น ต้องรับฟังความเห็นต่างให้มากๆ
เพราะคุณจะโตด้วยจุดแข็ง แต่คุณจะพังเพราะจุดอ่อนเสมอ..!!
คุณต้องหาให้เจอครับ ว่าจุดอ่อนคุณอยู่ตรงไหน..??
ถ้าหาไม่เจอ ตอนคุณล้มเผลอๆยังไม่รู้เลยว่าเราล้มเพราะอะไร..??

สู้ๆนะครับ start up ไทย...ที่เขียนมากก็หวังว่าจะเป็นการ ติเพื่อก่อ และอยากเห็น start up ไทยมีบทบาทเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจไทย ให้เป็นธุรกิจช่วย Added value ให้ประเทศได้อย่างแท้จริง...

104 Nameless Fanboi Posted ID:EvQO9ZV94

>>85 แกะดำทำธุรกิจ?

105 Nameless Fanboi Posted ID:h7O8Ciyzc

>>104 บอกว่าใครก็ไม่ใช่มิตรสหายท่านหนึ่งจิ

106 Nameless Fanboi Posted ID:EvQO9ZV94

>>105 กูหมายถึงเจ้าของ quote มันน่าจะพูดถึงเพจนี้เป็นหลักน่ะ

107 Nameless Fanboi Posted ID:V+ywDgY7J

>>106 ไม่น่าเกี่ยวนะ

108 Nameless Fanboi Posted ID:tcf0Qf8WB

>>104 เอาจริงๆโมเดลแนว >>85 (อาจจะไม่เป๊ะ) คนทำเยอะนะ ไม่ต้องเรื่องการตลาดก็ได้ อย่างเรื่องการลดน้ำหนัก ปลูกผัก อะไรพวกนี้ก็มี
ส่วนไอ้แกะดำมันโดนแซะหนักเพราะเนื้อหา+ความรู้ไม่มี หากินกับกระแสและการขายภาพลักษณ์อย่างเดียว

109 Nameless Fanboi Posted ID:+5jI6sZnL

>>106 อ่อน่าจะใช่ท่ด ๆ. อ่านผิด

110 Nameless Fanboi Posted ID:WWnqxnS+l

มีสส.มาชมทีมเลสเตอร์ที่สนามคิงพาวเวอร์ พอเจอเจ้าของคิงพาวเวอร์(คนลูก) ก็พูดคุยกันแล้ว สส. ก็เอ่ย คุณอย่าลงเลือกตั้งเป็นสส.เชียวนา
: ทำไมล่ะ?
: คุณก็ชนะแน่นอนนะสิ ผมกลัว(หัวเราะ) ผู้คนในเมืองเขาต่างก็รักคุณทั้งนั้น

#มิตร a day 188

111 Nameless Fanboi Posted ID:88vUxEeyd

"คนที่เขาคิดเรื่องสินสอดนี่ เขาประเมินราคาลูกสาวจากอะไรกัน บางทีเขาเรียกกันว่าค่าน้ำนม แล้วลูกผู้ชายนี่ไม่ได้กินนมแม่รึ? เราตั้ง start up ดีไหม เอานักเศรษฐศาสตร์มาช่วยประเมินราคาลูกอย่างสมเหตุสมผล"
#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

"พ่อแม่แฟนกูไม่เอาอะไรสักอย่างเลย รวมทั้งลูกเขยแบบกูแกก็ไม่เอา"
#‎มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง‬

112 Nameless Fanboi Posted ID:wnFNCWr7N

"จ้า"

113 Nameless Fanboi Posted ID:zmUkSN9xE

จ้า

114 Nameless Fanboi Posted ID:fFDAZh0ZD

เราเคยมาแล้ว เจอกันไม่กี่วันคุยกันถูกคอ แบบว่าใช่อะ แล้วก็มีกิจกรรมกันก็เข้าม่านรูดเลยละ พอเข้าโรงแรมเสร็จออกมาเขาพาไปหาแม่ที่บ้านเขาเลย ไม่บอกเราด้วย แล้วเขาก็บอกว่าคิดจะจริงจังด้วยแล้วก็เลยพาไปหาแม่คืนนั้นเลย พออีกวันเราก็พาไปหาพ่อแม่เรา หลังจากนั้นก็ไม่ต้องเข้าโรงแรมอีกเลย ไปที่บ้านเขา บ้านเราบ้างเพราะพ่อแม่ก็รับรู้ทั้งสองฝ่ายแล้ว หลังจากนั้นไม่ถึงปีก็แต่งเลย ปัจจุบันอยู่กันมา 7 ปี มีลูก 1 คนแล้วคะ

115 Nameless Fanboi Posted ID:rt8LFg9J9

>>112

116 Nameless Fanboi Posted ID:fFDAZh0ZD

>>115 โอย ฮา ช่างสังเกตจริม ๆ

117 Nameless Fanboi Posted ID:fFDAZh0ZD

There have been no known cases of a man getting HIV by giving a woman oral sex or if a man receives oral sex. The only time it is risky is if you are giving a man oral sex. It is more risky if he ejaculates in your mouth.

118 Nameless Fanboi Posted ID:O91Aq4HLm

"ความขำของงาน startup คือ เกินครึ่งของพื้นที่จัดงานตกเป็นของ k-bank, แบ้งกรุงเทพ sme bank มาขายเงินกู้กันอย่างสนุกสนาน"
‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

"ความขำของงาน startup คือ เกินครึ่งของคนจัดงาน ไม่ได้เข้าใจความหมายของ startup"
‪#‎มิตรสหายท่านที่สอง

"ขำกว่า ... คือไอ่ตัวให้โอวาทแม่งไม่เคยทำมาหากินห่ารัยเลย
เสือกเลคเชอร์ฉอดๆๆๆๆๆ ได้ว่า STARTUP ต้องทำยังไง"
‪#‎มิตรสหายท่านที่สาม

119 Nameless Fanboi Posted ID:61jn1xDIu

The smell. Moms were not always moms, they dated and fucked too. Most have had their faces painted at one point or another. For fuck sakes guys, THEY CAN SMELL YOUR CUM. Even if its old juice, they can usually smell the dank/musk of your pole milk.

120 Nameless Fanboi Posted ID:Za6jTZGay

ร้อยละ 90 ชายชอบเล่นว่าว แม้จะแอบยังไง มันต้องมีใครบังเอิญมาเจอสักครั้งต้องกำลังทำ

ร้อยละ 50 คนที่เจอ เสือกเป็นคุณแม่

#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง

121 Nameless Fanboi Posted ID:djETMdYWP

''คิดนอกกรอบ≠ ทำนอกกฏ''
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง

122 Nameless Fanboi Posted ID:4DUO2XK8Q

เห็นหนุ่มน้อยรายหนึ่งกระแนะกระแหนสาวๆที่ชอบโพสต์รูปแฟนหนุ่มว่า "อวดผัว"

ดิฉันขำ พลางคิดในใจว่า เจ้าหนุ่มนั่นช่างอ่อนโลกนัก ใสซื่อจริงๆ

ผู้หญิงไม่ได้โพสต์รูปแฟนเพราะอยากอวด ไม่ได้โพสต์เพราะโลกสวยมีความสุข แต่การโพสต์มาจากเหตุผลที่สายวิชารัฐศาสตร์และยุทธศาสตร์เรียกว่า "Deterrence" ซึ่งภาษาไทยในวงการทหารเรียกว่า "การป้องปราม"

เนื้อหาดั้งเดิมของ "Deterrence" ในทางรัฐศาสตร์ หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐใดรัฐหนึ่งหรือกลุ่มรัฐใดรัฐหนึ่งนำมาปฏิบัติเพื่อส่งสัญญาณไปยังรัฐอื่นมิให้ดำเนินนโยบายที่ไม่พึงประสงค์ การป้องปรามนี้เป็นยุทธศาสตร์การข่มขู่ เพื่อชักจูงให้อีกฝ่ายเกิดความเชื่อว่า การกระทำใดๆที่ไม่พึงประสงค์จะมีผลเสียมากกว่าผลดี เช่น การพัฒนาระบบขีปนาวุธอย่างเปิดเผย เป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐอื่นว่าอย่ามาคุกคาม เป็นต้น

ในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง.. "Deterrence" มักปรากฎในลักษณะของการโพสต์รูปคู่หวานๆในโซเชี่ยลมีเดีย โดยเปิด public และ tag ฝ่ายชาย เป็นผลให้รูปนั้นปรากฏในพื้นที่ของฝ่ายชายด้วย เพื่อให้มนุษย์ในโลกและสังคมของฝ่ายชายเห็น แล้วตระหนักว่า ฝ่ายชายมีแฟนแล้ว มีเมียแล้ว หรือ แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว เป็นการส่งสัญญาณไปยังบรรดาสาวอื่นๆอย่างไม่เจาะจงว่า "เขามีเจ้าของแล้ว ห้ามยุ่งนะจ๊ะ" หรือ อาจมีเป้าหมายเจาะจงเพื่อส่งสัญญาณไปยังสตรีบางนาง ที่เรียกในวงเม้าท์เพื่อนสาวว่า "อีนั่น" หรือ "นังนั่น" เพื่อส่งสัญญาณว่า "ไสหัวไปซะ"

ด้วยเหตุนั้น รูปคู่ยิ่งเยอะ ยิ่งหวาน ยิ่งสะท้อนว่าคุกรุ่นมาก อย่าสะเหร่อเสี่ยงเข้าไปอยู่ใน theater of war หรือ ยุทธบริเวณ อันตรายมาก

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

123 Nameless Fanboi Posted ID:QjvniqGdm

Imawa no kuni no alice เรื่องนี้สนุก แนวจิตวิทยาและสืบสวน
แรกๆเหมือนจะสายมิตรภาพ ดูเป็นการ์ตูนสายโชเน็นทั่วไป
สักพักจะเริ่มคดีพลิกเรื่อยๆ
ตอนยี่สิบขึ้นไปจะเริ่มเข้มข้น
บางตอนให้อารมณ์อิคิงามิมาก โดยเฉพาะ 26.2

124 Nameless Fanboi Posted ID:m4D5I6wIa

>>122 แต่จริงๆก็แค่อวดผัวไม่ใช่เหรอวะนั่นlol

125 Nameless Fanboi Posted ID:73FVqdS57

เมาคลีล่าเห็ด เมาคลีล่าเห็ด
เด็ดผักหวาน เด็ดผักหวาน
จุดไฟเผาเอามันให้เหี้ยน จุดไฟเผาเอามันให้เหี้ยน
ผักไม่กี่กำ ทำวอดวาย

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

126 Nameless Fanboi Posted ID:/EbEDWFzD

มีแต่คนบ่นศก.ไม่ดีๆ

เลยไปเดินห้างฯดัง คนเต็มห้าง
ไปเดินผ่านร้านอาหารแพงสัสๆ แต่มี่ชื่อติดตลาด คนเต็มร้านแถมมีต่อคิวยาวโครตๆ

ตกลงศก.ไทยเราติดหล่มตอแหลกันอยู่ ฤ

คนไทยยังมือเติบกันอยู่แต่เลือกแดกเลือกใช้กันแต่ไอ้ที่ดังๆมากขึ้นโดยเฉพาะของนอกของนำเข้า ทำให้เม็ดเงินกระจายหมุนเวียนในประเทศไม่ทั่วถึง

#มิตรสหารโม่งท่านหนึ่ง

127 Nameless Fanboi Posted ID:.1zy1jjN3

"โกงข้อสอบ

อันนี้พูดถึงเรื่องโกงข้อสอบทั่วๆไปนะ ไม่ได้พูดถึงเฉพาะกรณีการโกงสอบเข้าหมอรังสิตเคสเดียว เดี๋ยวอ่านแล้วจะว่า เอ๋ อาจารย์xxทำไมมาแก้ต่างให้พวกคนไม่ดี บ้ารึเปล่า พอดีเห็นปฎิกริยากับข่าวนี้แล้วมีประเด็นบางอย่างที่น่าสนใจแต่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง

ขึ้นชื่อว่า “โกง” ได้ยินก็โมโหแล้วใช่มะสำหรับคนไทยทั่วๆไปเนี่ย ราวๆสิบปีกว่าๆมานี้เป็นประเด็นสำคัญของประเทศเลย เรื่องโกง เรื่องคอรัปชั่น ประเทศชาติเราไม่เจริญก็เพราะคนโกงเนี่ยแหละ เป็นอะไรที่เลวร้ายมาก อันนี้ไม่เถียง แต่เราๆจบกันแค่ที่ด่าคนโกง อยากจับคนโกงไปประหารไง และวิธีแก้ปัญหาก็คือการสร้างจิตสำนึก สั่งสอนลูกหลานว่ามันไม่ดีนะ อย่าโกง จบอยู่แค่นี้ ซึ่งก็ถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด

ก็เหมือนกับทุกๆเรื่อง การลดทอนประเด็นปัญหาให้เหลือแค่ระดับ “บุคคล” โยนว่าเป็นเรื่องจิตสำนึก สันดาน ความละอายต่อบาปของแต่ละคน มันทำให้เราไม่เข้าใจกลไกของปัญหาอย่างแท้จริง แล้ววิธีแก้ปัญหาเราก็กลับไปที่ระดับบุคคล ไปสร้างจิตสำนึกอะไรเนี่ยไปเรื่อย คือทำแบบนี้ไปยี่สิบสามสิบปีมันก็ไม่ได้ผลหรอก ถ้าเราไม่ไปแตะตัว “โครงสร้าง” ที่ทำให้เกิดปัญหาด้วย

กลับมาที่เรื่องการโกงข้อสอบเนี่ยเราพูดกันแต่ประเด็นคุณธรรม จริยธรรม หมอผู้ใหญ่ก็ได้ทีออกมาเทศนากันใหญ่ว่าวิชาชีพแพทย์ต้องมีคุณธรรมสูง โกงเข้ามาอย่างนี้เป็นหมอไม่ได้หรอก ซึ่งไม่ถูกทั้งหมด ผมเป็นอาจารย์มาหลายปีแล้ว จะบอกว่าเจอทุกปีนะเรื่องนักเรียนลอกข้อสอบ ลอกงานมาส่ง โกงรีไควเมนท์ ให้คนอื่นทำแลปให้ ฯลฯ มีหมดแหละ ขึ้นอยู่กับว่าจะจับได้หรือเปล่า ถ้าเราคิดง่ายๆแบบข้างต้นนี่เราก็ชี้หน้าด่าไปเลยว่าเด็กพวกนี้เลวไม่มีคุณธรรม อย่าให้จบมาเป็นหมอเลย ไล่ออกให้หมดเถอะ

แต่เอาเข้าจริงเด็กเหล่านี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก หลายคนก็เป็นเด็กดี ใส่ใจคนไข้ มีน้ำใจกับเพื่อนฝูง เพียงแต่ ณ จังหวะนั้นๆมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ตรงไปตรงมากับการเรียน เช่น อ่านหนังสือไม่ทัน ตกสเตปแล้วตกสเตปอีก คนไข้จะมาไม่ได้แล้วแต่ดีไซน์ยังไม่ผ่านอาจารย์แม่งก็ไม่ค่อยเข้ามาตรวจ ไปจนถึงเหตุผลงี่เง่าๆแบบไม่ชอบเรียนวิชานี้เลย ลอกๆให้มันผ่านไปแล้วกัน เหตุผลมันมีหลากหลาย แล้วไอ้ระบบการเรียนการสอนในคณะก็มีส่วนเยอะที่ทำให้นักศึกษาต้องดิ้นรน เพราะถ้าไม่ผ่าน ไม่ได้รีไคว์เมนท์ สอบไม่ได้ เค้าจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง ใครที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอก็อาจจะเลือกการเอาตัวรอดโดยไม่เลือกวิธีการทั้งๆที่พื้นฐานก็ไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายอะไร

ลองมาคิดๆดูแล้ว สิ่งที่ทำให้เด็กนักเรียนมี “แนวโน้ม” ที่จะ “โกง” ข้อสอบ นอกจากการเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแล้ว อันหนึ่งที่สำคัญมากๆก็คือระบบการศึกษาบ้านเรามันเน้น “academic achievement” หรือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามาตั้งแต่ชั้นก่อนอนุบาลเลย คือถ้าคุณจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเนี่ย คุณต้องเรียนเก่งๆ สอบได้เกรดดีๆ พิสิกส์ เคมี ชีวะต้องแน่น แล้วไอ้นิยามการ “ประสบความสำเร็จในชีวิต” เนี่ยมันก็แคบมาก คือคุณก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้ อยู่ในคณะดีๆ เป็นหมอ เป็นวิศวกร ถ้าสายศิลป์ก็ต้องเข้าอักษรจุฬาหรืออะไรก็ว่าไป อย่างน้อยก็ต้องจบปริญญาตรีนั่นแหละถึงจะประกันว่าคุณจะมีชีวิตที่ดี ซึ่งการจะไปถึงตรงนี้คุณก็ต้อง “เก่งเรียน” เก่งในที่นี้คือเก่งเลข เก่งภาษา เก่งอะไรที่มันเป็น academic แม้แต่ถ้าอยากเป็นพ่อครัวก็ต้องเก่งเคมี จะได้เข้าฟู้ดไซน์ หรือเก่งอังกฤษจะได้เข้าการโรงแรม คือทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการเก่งหนังสือหมด มันถึงมีพ่อแม่ที่กำหนดตารางชีวิตให้ลูกแบบที่แชร์กันอยู่น่ะ นั่นคือโอนลี่เวย์ของการประสบความสำเร็จของเด็กไทยเลย

(ต่อเม้นล่าง)

128 Nameless Fanboi Posted ID:.1zy1jjN3

(ต่อจาก >>127 )

น่าจะเคยดูการ์ตูนอันนึงที่เป็น ลิง กระต่าย ปลา งู มาเข้าโรงเรียนด้วยกัน แล้วครูก็สั่งว่า เอ้า นักเรียนวันนี้เราจะสอบปีนต้นไม้กัน ใครปีนได้ดีจะได้เกรดดี การศึกษาไทยมันเป็นงั้นแหละ ใครเกิดมาฉลาดหน่อยก็เป็นลิง ปีนต้นไม้ฉลุย ใครโง่หน่อยเกิดมาเป็นกระต่ายแต่บ้านรวยก็จ้างครูมาสอนปีนต้นไม้ อาจจะปีนไม่เก่งเท่าแต่ก็ได้คะแนนดีได้ แต่กลับกันถ้าไม่ได้เกิดมาเป็นลิงแล้วดันจนด้วยก็เป็นปลาในโถ ออกจากน้ำก็ยากละ ยังต้องปีนต้นไม้อีก ต้องพยามกันขนาดไหนถึงจะสอบผ่าน แล้วถ้าสอบไม่ผ่านทางเลือกอื่นมันก็มีจำกัดเอามากๆ โลกนี้มีปลาเป็นล้านๆ ก็แย่งโอกาสที่เหลือกันเอาเอง สังคมบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ เน้นวัดกันที่การปีนต้นไม้ ทางรอดของคุณคือเกิดเป็นลิงไม่ก็บ้านรวย ถ้าเกิดมาเป็นปลาก็ต้องดิ้นรนเอาหนักๆ

บ้านเรามันไม่ค่อยมีนะ เด็กที่จะมีความฝันเป็นเชฟซูชิ เป็นช่างซ่อมรถเก่งๆ เป็นช่างไม้ฝีมือดี คือถ้าเป็นที่อื่นที่ “ความฝัน” ของคนมันหลากหลายและสังคมไม่ได้บ้าใบปริญญาเนี่ย ถ้าชอบทำกับข้าวมาก จบม.ปลายก็ไปทำงานร้านอาหาร ผ่านไปห้าหกปีก็เป็นเชฟ ก็ประสบความสำเร็จได้ แต่บ้านเราคนที่สู้ไม่ไหวในระบบการเรียนหนังสือมันจะถูกย้ำซ้ำๆว่าแกมันโง่ ไม่เก่งอะไรสักอย่าง จะลาออกมาฝึกอาชีพก็ไม่ได้พ่อแม่อยากให้เรียน ก็ทนๆเรียนอะไรที่ไม่ได้ชอบไป เกรดก็ห่วย จบมาได้ปริญญามาใบก็ไปทำอะไรที่ไม่ได้เรียนมาอยู่ดี วงจรมันก็แค่นี้

ที่ร้ายยิ่งไปอีกก็ระบบการเรียนบ้านเรามันเน้นกันที่ผลการเรียนแล้วมันก็เน้นผลกันจริงๆนะ คือถ้าคุณสอบได้ดีมันก็แปลว่าคุณสำเร็จ ไอ้กระบวนการเรียนรู้ระหว่างทางอะไรนี่ไม่ค่อยถูกเอามาวัดผล คือวัดศักยภาพกันในห้องสอบ การเรียนพิเศษมันถึงบูมนักในเมืองไทย แล้วระบบมันเป็นระบบแพ้คัดออกด้วย ครูเอย โรงเรียนเอยก็เอาใจ ประคบประหงมแต่เด็กเรียนเก่ง เด็กที่เรียนไม่ดีนี่ไม่ถูกมองเลย ปีนต้นไม้ไม่ได้ก็ดูแลตัวเองไปละกัน หลายคนที่ล้มเหลวในการเรียนมันก็ไปเอาดีด้านอื่น ดีหน่อยก็เล่นกีฬา แย่หน่อยก็ไปเป็นเนวัดดาวให้สาวกรี๊ด

ซึ่งเอาเข้าจริงมันไม่ใช่เรื่อง “รักดี” หรือไม่รักดีทั้งหมดด้วย บางคนอาจจะรักดีนะ แต่เกิดมาเรียนหลังสือไม่เก่งไง อ่านแทบตายก็ได้ดีได้ซี ถามว่าระบบการศึกษาเรามีพื่นที่ให้เด็กกลุ่มนี้ไหม ไม่มีหรอก ถ้าไม่มีตังค์เข้าเอแบค ก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นรองๆไป ครูแนะแนวไม่สนใจด้วยซ้ำเด็กพวกนี้
ไอ้ช่องว่างตรงนี้มันเลยถ่างออกเรื่อยๆ ถ้าเทียบกับประเทศอย่างฟินแลนด์ที่ระบบการศึกษาเค้าเน้นทุ่มงบดูแลเด็กที่เรียนอ่อนนะ เค้าคิดว่าพวกนี้แหละที่ต้องดูแลพิเศษ จะได้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แนวคิดมันต่างกันเลย

สรุปคือมันอยู่ใจจิตสำนึกของเด็กไทยทั่วๆไปเลยล่ะ ว่าคะแนน ว่าการสอบมันคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผลลัพธ์คือตัวกำหนดชะตาชีวิต มันอยู่แบบไม่รู้ตัวด้วยว่าลึกๆเราคิดแบบนี้ แต่คนที่เรียนมาในระบบนี้ก็มีสัญชาตญานการเอาตัวรอดแบบนี้มาไม่มากก็น้อยแหละ ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ต้องการความสำเร็จตรงนี้มากๆโดยที่ไม่เลือกวิธีการ

To be clear นะ การโกงยังไงก็ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะแก้ปัญหานี้จริงๆ มันต้องสร้างระบบการศึกษาที่มีพื้นที่ให้เด็กประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องโกงขึ้นมาด้วยน่ะ"

มิตรสหายท่านหนึ่ง

129 Nameless Fanboi Posted ID:7YRHRQwgh

>>126 คนมีเงินมันก็มีเงินอยู่แล้วไม่ลดหรอก แต่คนไม่มีเงินหน่ะสิ...

130 Nameless Fanboi Posted ID:HxYnJ8T35

>>127-128 "แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สังคมบังคับให้หนูโกง สังคมบังคับให้หนูเรียน แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
ปัญญาอ่อน

131 Nameless Fanboi Posted ID:q6b195Q.D

>>130 ใช้โควต้า 8 บรรทัดหมดแล้วหรอวะ

132 Nameless Fanboi Posted ID:HxYnJ8T35

>>131 แล้วมันไม่ใช่ตรงไหนวะ แม่งเอาแต่โทษนู่นโทษนี่ เอาปลามาปีนต้นไม้เอย โรงเรียนเน้นเกรดเป็นหลักเอย
ทั้งๆที่ปัญหาหลักคือตัวเด็กแม่งโง่จนพยายามยังไงก็เรียนให้ดีเท่าคนอื่นไม่ได้

133 Nameless Fanboi Posted ID:HxYnJ8T35

กำ ยังพิมพ์ไม่เสร็จ มือลั่น
พอเรียนไม่เก่งเท่าคนอื่น แม่งก็เลือกที่จะโกง ทั้งๆที่ระบบมันก็เป็นงี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ปัญหามันอยู่ที่สันดานของเด็กชัดๆ
เพราะฉะนั้น การแก้ไขโดยการปลูกจิตสำนึกไม่ให้โกงกูว่ามาถูกทางแล้ว แต่วิธีการแม่งกากไปหน่อยเลยไม่เห็นผล

134 Nameless Fanboi Posted ID:FSfNbVDwa

ถ้าเรียนแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ต่อไปจะไปอยู่ในสังคมได้ยังไง
สมัยก่อนเขาลำบากกว่านี้เยอะ เด็กสมัยนี้ถูกเลี้ยงดูมาสบายเกินไป จนกลายเป็นเจเนอเรชันไม่เอาถ่าน
เดี๋ยวนี้เข้าถึงข้อมูลได้มหาศาล แต่เสือกโง่กันเอง ค้นคว้าหาข้อมูลมาพัฒนาสติปัญญาไม่เป็น มัวแต่เล่นเกมกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค

135 Nameless Fanboi Posted ID:KyUYzZ7J3

>>133
>ระบบมันก็เป็นงี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
มีมานานไม่แปลว่าดี มันอาจจะแปลว่าเราทนกับระบบกากๆ มานานแล้วก็ได้

136 Nameless Fanboi Posted ID:/f4q5XFwb

>>127-128 จับแพะชนแกะ เออใช่ ระบบมันมีปัญหา แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ข้อสอบเข้าแพทย์ต้องยาก ข้อสอบแพทย์/และ/หรือสายอาชีพอื่นๆที่ต้องใช้ฝีมือมันต้องยากอยู่แล้ว จะบอกว่าฮาวาร์ตเข้ายากเพราะระบบมีปัญหาด้วยมั้ย และยิ่งไม่ใช่สาเหตุทำให้คนต้องโกง คนโกงคือเหี้ย คือไร้จริยธรรม ในกรณีนี้คือพ่อแม่ที่ provide เงินค่าโกงก็เหี้ยด้วยเลยสอนมาแบบเหี้ยๆ

137 Nameless Fanboi Posted ID:HxYnJ8T35

"เฮ้ย เด็กแม่งโกงว่ะ แต่แก้ปัญหาที่ตัวบุคคลมันไม่โอเค เราต้องแก้ที่ระบบ ต้องสร้างระบบการศึกษาที่มีพื้นที่ให้เด็กประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องโกงขึ้นมาด้วย"
เอิ่ม เอาไงดีวะ ให้ทุกคนที่เข้าสอบได้เรียนหมอหมดเลยดีมั้ย จะได้ไม่มีความจำเป็นต้องโกงตอนสอบ
ไม่สิ แค่นั้นไม่พอหรอก ถ้าเรียนไม่ไหวทำไง เดี๋ยวแม่งโกงตอนเรียนอีก ให้ทุกคนเรียนจบโดยไม่มีเงื่อนไขด้วยเลยสิ!
เฮ้ยเดี๋ยว! ถ้าแม่งโกงตอนหางานทำไงวะ? ก็ให้ทุกคนได้ทำงานเลยสิ! แค่นี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องโกงแล้ว แฮปปี้ๆ เย้
...เราต้องเอาใจเด็กขนาดนี้เลยเหรอวะ กูว่ามันแปลกๆนะ

138 Nameless Fanboi Posted ID:TwaMC5B/G

ไอ้เรื่องโกงมันมีมาตลอดแค่พัฒนาไปตามเทคโนโลยีวะ อย่างของกูเด็กโรงเรียนสวนฯ พวกโกงสอบก็มีให้เห็นาตลอด6ปี ทั้งแม่งไม่ตั้งใจอ่านก่อนสอบเลยโกง เด็กระบบบ้านใกล้(แต่มาสายรัวๆ)เลยไม่เห็นคุณค่าการเรียน เด็กโดดเรียนไปเล่นเกม เด็กหน้าหม้อไปเหล่แถวสตรีวิทย์-สยาม ฉลาดเรื่องเหี้ยๆบางตัวเอายาแดงมาทาตีนแล้วผ้าก๊อชพันเพื่อหลอกครูก็มี บ้างก็ขยันเข้าหาครูช่วยโน่นช่วยนี่ถึงบ้านก็มีพอครูเผลอก็แอบเหล่ข้อสอบที่ครูทำค้าง พวกนี้ถึงตอนสอบก็โพยรัวๆ ฯลฯ จะอ้างว่าเรียนไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่เพราะแม่งอยู่ในตำรากับที่ครูเอามาเขียนบนกระดาน(ไม่ตั้งใจดู,จด คือพลาดเอง) ข้อสอบบางข้อมีรียูทนี้ตัวเดียวกับในการบ้านที่ใช้ทำส่งเลยเพื่อดูว่าทำจริงก็จำได้หรือลอกจนลืมเอง

ส่วนไอ้เรื่องสอนปลาปีนต้นไม้เอากระต่ายไปว่ายน้ำฯลฯ กูว่ามันมีพวกสถาบันวิชาชีพเฉพาะให้นะเว้ยแต่คนมันไม่เอามากกว่าเพราะมันดูต่ำไร้ชื่อเสียง (ตกลงผิดที่ระบบหรือผิดที่คนเลือก)
สุดท้าย พวกเทคนิคเทคโน-เด็กช่าง-เด็กศิลป์เลยมีแต่ตัวเหี้ยๆ เช่น นิยมยกพวกตีกันหรือเรียนไม่รอด มารวมกันแทน

กูเลยมองว่าสังคมแม่งเป็นแต่โทษโน่นโทษนี่นะ ส่วนไอ้วิธีแก้ไข ก็มีแต่เงี่ยนต้องเลียนแบบตามประเทศเจริญแล้วอย่างเดียวแต่ไม่มองบริบทสังคมไทยว่ามันใช้กันได้ไหม

139 Nameless Fanboi Posted ID:FSfNbVDwa

การโทษระบบและหลีกเลี่ยงการโทษตัวบุคคลมันเป็นความคิดแบบริเบอร่าน
เกิดอะไรเหี้ยๆขึ้นมาก็เพราะระบบทั้งนั้น

อีกซักหน่อย ก็คงมีคนออกมาแก้ต่างให้อีดาราแฮรี่พอตเตอร์ที่เลี่ยงภาษีว่าทำไปเพราะระบบไม่เป็นธรรม

140 Nameless Fanboi Posted ID:WsdYQUL9R

โอเค เรื่องเดินพรมแดงเมืองคานส์:

สาระมันคือความเข้าใจของคนและการให้ข้อมูลของสื่อ คือดาราไทยอย่างคุณชมพู่ได้มาเดินเพราะสปอนเซอร์จัดมาให้ถึงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหนังเลย ก็เป็นเรื่องปกติ คือเดินรอบออฟฟิเชียล มีรถมาส่งหน้าพรม มีการจัดการ ก็สวยดีน่าชื่นชม เดินเข้าแล้ววนออกเลยหัวบันได คงไม่เข้านั่งดูหนังโรมาเนียสามชม. แต่ที่คนอ่านคนดูควรรู้จากสื่อด้วยคือ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น วันนึงคนเดินเป็นพัน ดารานางแบบมาจากทุกที่ (เดินกัน 10 วันติด นี่เพิ่งสาม) มันเป็นการตีข่าวของพีอาร์/สปอนเซอร์ ให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ให้ดูเว่อร์ ควีนเควินอะไรนั่น... ซึ่งอย่างที่ว่า มันทำได้ เป็นปกติ แค่พอเว่อร์มากคนก็อาจรำคาญบ้าง ประเด็นคืองานเทศกาลคานส์ใหญ่ มีอิทธิพล และแต่ละคนสามารถจินตนาการให้มันเป็นไรก็ได้ โดยเนื้อแท้นี่คือการเฉลิมฉลองภาพยนตร์ ศิลปะภาพยนตร์ (โอเค หนังเลวก็มีอ่ะนะ) ดังนันคนที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์จะได้รับเกียรติสูงสุด แต่ถ้าใครจะฉกฉวยโอกาส เปลี่ยนงานภาพยนตร์เป็นงานแฟชั่น งานขายของ เครื่องเพชรเครื่องสำอางค์ ก็ทำไป ขอให้มีความเข้าใจสาระบ้าง เหมือนฟุตบอลโลก ถ้าได้ไปเตะคือประเทศดูมีศักดิ์ศรีมาก แต่ถ้าแค่ได้เชิญไปนั่งโชว์ตัวในงานเปิด มันก็เท่านั้น สื่อไทยบางทีไปเล่นเรื่องเล็กเพราะพลังพีอาร์มันเยอะ แต่เรื่องใหญ่กลับไม่สนใจ เช่นตอนมีหนังไทยเข้าสายประกวด หรือปีนี้มีหน้งเก่าสันติวีณา ฉายสายคลาสสิค

Queen of Cannes ถ้าจะเอาจริง ก็คือดาราที่มีหนังแล้วโดดเด่น เดินพรมก็สวยอีกต่างหาก ถ้าคนอื่นอยากได้ตำแหน่งนี่ก็หลอนกันไปได้ ไม่มีปัญหา ภาพยนตร์คือการหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นอยู่แล้วนี่นา

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

141 Nameless Fanboi Posted ID:8ryyv2C9H

โกงก็คือโกงเป็นการเอาเปรียบคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมา ถ้ากูเห็นใครเอาเปรียบกู กูอาจจะไม่โวยเดี๋ยวนั้นแต่มึงอย่าเผลอให้กูเอาคืนก็แล้วกัน เพราะกูไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบกูแล้วจะลอยหน้าลอยตาผ่านกูไปได้นานหรอก กูจะวางยามึงทุกเมื่อที่มีโอกาสเลย

142 Nameless Fanboi Posted ID:ccs529cAd

จะวานใคร...อย่าใช่คำว่า...ไม่มีเวลา
...เขาใช้คำว่า..."ไม่มีปัญญา"
หัวค่ำที่ผ่านมาวันนี้
ได้มีโอกาส Drink n Chat กับ Group CEO
(หมายถึงหัวหน้า CEO แต่ละประเทศอีกที)
ที่บินมาเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพ
มาวันนึง พรุ่งนี้จะไปต่อว่างั้นเถอะ
.
.
.
Agent ของเขาบอกว่าผมเป็น Must Meet
ต้องมาเจอให้ได้
ถ้าจะขยายธุรกิจมาไทย
ก็เลยได้เจอกัน
.
.
ผิดคาดที่ 1
เพราะดูจากตำแหน่ง
คิดว่าจะเป็นผู้ใหญ่กว่า
ดันเป็นคนรุ่นเดียวกัน
แต่เป็น Group CEO เลยนะ
งานสูทมา
(แล้วอะไรดลใจ...ให้กูใส่ขาสั้นวะเนี่ย)
.
.
.
ผิดคาดที่ 2
ปกติเจอพวก Young Success อายุน้อยๆ เนี่ย
ต้องมีไหวพริบมาประดาบกันบ้าง
แต่กับคนนี้ไม่ใช่...น้อบน้อมมาก...
ไหว้เยอะกว่าคนไทยกันเองอีก
.
.
...ชั้นไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้เลย....
...ถึงจะมีข้อมูลเยอะ...ชั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจ
...ชั้นมีเวลาทั้งคืนเลย...ถ้าจะไม่รบกวนคุณเกินไป
(ได้ข่าวว่าต้องขึ้นเครื่องตีสามนี่)
.
.
พูดขนาดนี้...ขอมาเหอะ...ช่วยหมดแหละ
.
.
อย่าคิดว่าผมโง่...ที่ดูพวกเชลียร์ไม่ออกสิครับ
แต่คนนี้ไม่ใช่
และเป็นวัตถุดิบ...ที่ทำให้บทความนี้สมบูรณ์
_______________________________
หลายสัปดาห์ก่อน
ผมโดนตัวแทนของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ทาบทามให้ไปเป็น MD ของ eCommerce แห่งหนึ่ง
"ผมไม่น่าไหวหรอกครับพี่”
เราก็ปฏิเสธไม่ให้น้ำขุ่น
.
.
.
มาช่วยหน่อยสิ...ผรินทร์...คือพี่ “ไม่ค่อยมีเวลา”
วลีสุดท้าย...ทำให้ผม “ฟิวส์ขาด”
ความรู้สึกพุ่งวูบขึ้นมาเลย
.
.
เมิง “ไม่มีเวลา” แปลว่า “กูว่าง” ใช่ไหม
แปลว่า “เวลาพี่” มีราคามากกว่า “เวลาผม” สินะ
.
.
ผมตัดบทวางสาย
และโทรไปหาผู้ใหญ่ท่านนั้นตรงๆ
“...ด้วยความเคารพครับพี่"
"...ผมว่าพี่ทบทวนบทบาท ของตัวแทนพี่ดีกว่าครับ”
“...พี่อย่าใช้คนนี้ทำงานเลยครับ...จะเสียชื่อพี่เปล่าๆ”
_______________________________
คำว่า “ไม่มีเวลา”
มันตีได้หลายความ
ถ้าอยู่กับประโยคบอกเล่า เช่น
“น่าสนใจนะ...แต่คงไม่มีเวลา”
จะแปลว่า “ตัดบท”
.
.
.
ถ้าอยู่กับประโยคขอร้อง เช่น
"มาช่วยหน่อยสิ...ผรินทร์...คือพี่ “ไม่ค่อยมีเวลา”
หรือประโยคคำถาม เช่น
“พี่ไม่ค่อยมีเวลา...นายทำได้ไหม”
ก็แปลว่า “เวลาผมแพงนะ ให้เกียรติด้วย”
จะอวด “รวย” อ้อมๆ นั่นแหละ
.
.
ถ้า “ไม่ได้” คิดจะอวด
แต่พูดดันคำพวกนี้
ก็แปลว่าคุณนี่ไม่ระวังปากพอตัว
.
.
.
ลองถามตัวเองดู
ถ้าได้ยินคนพูดว่า..
...คุณทำได้ไหม...ผมไม่มี “ปัญญา”
กับ
...คุณทำได้ไหม...ผมไม่มี “เวลา”"
ใครน่าช่วยกว่ากัน
จะวานใคร...อย่าใช่คำว่า...ไม่มีเวลา

143 Nameless Fanboi Posted ID:tm0x07NoQ

เห็นด้วยเรื่องการลดทอนปัญหาการโกงให้อยู่ในระดับบุคคล ลืมมองโครงสร้าง

ผมชอบบทความที่ [มิตรสหายท่านหนึ่ง] เขียนเมื่อเร็วๆ นี้ เธอยกตัวอย่างที่โคตรง่ายและใกล้ตัว แต่ [มิตรสหายบางท่าน] ไม่เข้าใจ นั่นคือ "ธนาคาร" ว่าวันหนึ่งเงินสดผ่านมือเจ้าหน้าที่มากเท่าไหร่ ทำไมมันไม่หายไปดื้อๆหรือธนาคารเจ๊ง

เหตุผลเพราะ เจ้าหน้าที่ธนาคารมีบุคลิกหน้าตาดี ผิวพรรณดี หล่อสวย หรือ นามสกุลมีชื่อเสียง หรือ พูดภาษาอังกฤษคล่อง จบมหาลัยมีชื่อเสียง หรือ เป็นคนธรรมมะธรรมโม ชอบทำบุญ ดูแล้วน่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นคนโกง ใช่หรือไม่?

มันเกิดจากระบบที่แข็งแรงของธนาคารครับ มีการใช้กลไกทางบัญชีและเทคโนโลยีต่างๆ ตรวจสอบ เงินผ่านมือใครเป็นจำนวนเท่าไหร่ต้องตรวจสอบได้ บางขั้นตอนต้องมีลายเซ็น มีกล้องวงจรปิด การเปิดตู้เซฟทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีอีกคนไปด้วยเป็นพยาน มีการลงชื่อ ฯลฯ

ผมเคยทำงานขาย วันๆ หนึ่งถือเงินสดอยู่ในมือไม่ต่ำกว่า 5 หมื่น สุดท้ายก่อนปิดยอด ผมก็ต้องเอาเงินสดไปส่งทางการเงิน recheck ว่าตรงกับยอดขายที่เราขายไปไหม ในใบเสร็จก็มีสำเนาที่ลงลายเซ็นเราว่าเป็นคนขายเคสนี้ มีปัญหาเก็บเงินผิดขาดเกินอย่างไรเขาตามตัวเราได้เพราะมีหลักฐาน

ถ้าไม่มีระบบแบบนี้ ผมอาจจะจิ๊กไปวันละพันก็ได้ ใครจะไปรู้

ปรัชญาเรื่องความโปร่งใสเนี่ย ของตะวันตกเริ่มจากแนวคิดว่ามนุษย์เรามีโอกาสทำชั่วได้พอๆ กัน เขาจึงออกแบบระบบให้แข็งแรงมีผลเชิงสาธารณะ แต่ของไทยมันมีมายาคติเรื่องบุญบารมีวาสนา บาปบุญ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลแถมประเมินไม่ได้อีก พอไปยึดติดจริยธรรมศีลธรรมส่วนบุคคล มันก็เลยยิ่งเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ จิตใจคนนี่มันซับซ้อนเอาแน่เอานอนไม่ได้นะ ระบบหรือกฎจึงสำคัญกว่าเพราะมันไม่ขึ้นอยู่กับตัวแปรส่วนบุคคล

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

144 Nameless Fanboi Posted ID:ccs529cAd

ต้มยำกุ้ง In one concise essay
สมัยนั้นดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศต่ำกว่าของในไทยมาก
แบงค์ + financial institutions ต่างๆในไทยหัวใส ก็เลยไปกู้เงิน dollar จากต่างประเทศมาปล่อยในไทย แล้ว profit จากส่วนต่าง
แบงค์อยากได้เงินมากๆก็เลยปล่อยกู้ง่ายๆ เจ้าของธุรกิจ/คนธรรมดาได้ใจเลยกู้กันใหญ่ทั้งที่อาจจะไม่สามารถทำให้เงินที่กู้ที่มา turn profitable ได้
ตลาดเลย heat up ขึ้น bubble เลยเกิดขึ้น NPL (non-performing loans) ก็เกิดขึ้นเพราะคนที่กู้ไปใช้เงินไม่เป็น
พอค่าเงินบาทถูกลอยตัวเพราะ over reliance on US dollars แบงค์ก็ฉิบหายเพราะเงินที่กู้มาหนี้ทวีคูณจ่ายคืนไม่ได้ ประกอบกับ NPL ที่ accumulate คนานับ ก็เลยซวย 2 ชั้น
แบงค์ถึงเจ๊ง เจ้าของธุรกิจก็เจ้ง เจ้งกันทั้งประเทศ
ก็เพราะ fundamentals ที่ไม่ดีพอ กล่าวคือ "ความโลภ" กับ "ความเง่า" นั่นเอง

145 Nameless Fanboi Posted ID:psOdi+jt2

>>144 กูก็understandนะ ว่าเขียนเรื่องBusinessเเล้วมันใช้Thai Language เขียนยาก เพราะมันหาwordsที่มีความหมายตามที่desireมาเเปลไม่ได้ เเต่Iอ่านเเล้วเกิดอาการHeadacheเลยว่ะ

146 Nameless Fanboi Posted ID:+nAs2l7D9

"หลังจากเรียกพ่อไม่ตื่น พวกเราประสาน 1669 ให้มารับตัวพ่อส่งโรงพยาบาล บ้านผมอยู่ห่างจากโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมของพ่อ 15 กิโลเมตร แต่โดยหลักการแพทย์ฉุกเฉินและผู้ป่วยวิกฤติ ต้องนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อน พ่อจึงถูกนำส่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ใกล้บ้านขึ้นมาอีกหน่อย ห่างบ้านประมาณ 11 กิโลเมตร
.
หลังจากยุติการปั้มหัวใจเพราะไม่มีสัญญาณชีพขึ้น เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาบอกให้ไปปิดบิล ผมแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่า พ่อมีสิทธิ์ประกันสังคม และเราขอใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน (มีอาการวิกฤติ) ที่สามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่ไหนก็ได้ โดยโรงพยาบาลนั้นจะเบิกคืนเอาจากกองทุนที่สังกัดอยู่ (พ่อใช้ประกันสังคม) เจ้าหน้าที่ทำหน้าไม่พอใจนิดหน่อย สุดท้ายคืนนั้นเราไม่ต้องจ่ายเงิน เซ็นเอกสารใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน จ่ายเพียงค่าน้ำยาอาบศพและค่าเก็บศพไว้ 1 คืน (1700 บาท)
.
รุ่งเช้า มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งว่า ยังเอาศพออกไม่ได้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อคืนนี้ เกือบสามพันบาท อ้างว่าเบิกจากการใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉินไม่ได้ ผมถามเหตุผลว่าทำไมไม่ได้ ก็ตอบไม่ชัดเจน พูดซ้ำแต่ว่าเบิกไม่ได้ พอผมอ้างสิทธิ์และอธิบายให้เขาฟัง ก็บอกผมว่า เบิกได้เพียง หนึ่งพันบาท ต้องจ่ายเพิ่มอีกเกือบสองพัน
.
ผมจึงขอพบผู้ตรวจการโรงพยาบาล ชี้แจงสิทธิ์ที่ผมขอใช้ ผมอ้างถึงคำประกาศของรัฐในเรื่องนี้ ในการใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน และไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินใดๆทั้งสิ้น เพราะเราส่งประกันสังคมทุกเดือน สุดท้ายผู้ตรวจการโรงพยาบาล ขอเวลาประมาณ 5 นาที กลับมาเอาเอกสารให้ผมเซ็น บอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ แล้วให้ใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉินได้จากกองทุนประกันสังคม"

‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

147 Nameless Fanboi Posted ID:8CWVWbTbt

"ความสำเร็จคือมายา
ขายคอร์สสัมมนาสิของจริง"

‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

148 Nameless Fanboi Posted ID:ccs529cAd

"อย่าทึกทักว่าผู้อื่นเจตนาร้าย เขาอาจจะแค่รู้น้อยก็ได้"

คติข้อนี้น่าสนใจ และเป็นข้อเตือนใจที่สำคัญของผมเองในการปฏิบัติตนกับผู้อื่น โดยเฉพาะนิสิต/นักศึกษา

บางครั้งที่ได้รับอีเมลจากนิสิตผมจะรู้สึกขัดใจเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับโกรธ ที่อีเมลไม่มีคำขึ้นต้น คำลงท้าย ไม่มีการลงชื่อ ไม่มีการแนะนำตัว มีเพียงแต่ข้อมูลที่ส่งมาให้อย่างห้วนๆ ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย และในบางครั้ง ไม่มีแม้แต่ข้อมูลที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ชื่อของผู้เขียน มีแต่ email address ที่ไม่สื่อให้ทราบว่าเป็นใคร (เช่น cute-bunny-xoxo@gmail.com) ทำให้เราไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้โดยง่าย

ทุกครั้งที่พบเหตุการณ์เช่นนี้ผมจะพยายามตอบโดยให้ความช่วยเหลือตามปกติ โดยไม่นำเรื่องมารยาทมาเป็นเหตุให้เกิดอคติหรือลงโทษ แล้วจึงแถมข้อความว่า "ขออนุญาตตักเตือนว่าเวลาเขียนอีเมล ควรมีคำขึ้นต้น ลงท้าย และลงชื่อทุกครั้งนะครับ ฝึกทักษะการสื่อสารอย่างมืออาชีพไว้นะครับ" นิสิตบางท่านก็จะกรุณาตอบกลับมาว่าจะน้อมรับไปปฏิบัติ บางท่านก็อาจจะได้เรียนรู้อย่างเงียบๆ

จนเมื่อวานนี้ ผมจึงได้รับการเปิดหูเปิดตาจากนิสิตท่านหนึ่งที่ตอบมาอย่างจริงใจว่า "อาจารย์ครับ คำขึ้นต้น คำลงท้าย มันคืออะไรเหรอครับ?"

ผมจึงได้ทราบว่านิสิตท่านนี้ไม่เคยมีเจตนาที่จะเสียมารยาท ตรงกันข้าม เขากลับมีความเคารพและเชื่อใจในตัวเราอย่างมากจึงได้กล้าถามคำถาม และกล้าแสดงความไม่รู้ให้เราได้เห็น และพร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำไปพัฒนาตนเองต่อไป แต่สาเหตุที่เขาไม่สามารถสื่อสารทางอีเมลได้อย่างมืออาชีพ อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยได้เรียนรู้ในเรื่องนี้มาจากที่ใดเลยต่างหาก

เขาไม่ทราบว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า "เสียมารยาท"

เขาไม่ทราบว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า "มีมารยาท"

เขาทราบแต่ว่า เขาต้องการจะสื่อสารกับอาจารย์ และเขามีเจตนาดี มีความเคารพอย่างจริงใจอยู่ในใจตลอดเวลา

เขาอยากจะทำทุกอย่างให้ดี แต่เขาไม่ทราบจริงๆ ว่าทำอย่างไร

ความรู้สึก "ขัดใจเล็กน้อย" ที่เกิดขึ้นกับผมตอนแรก ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเจตนาร้ายของใครเลย แต่เกิดขึ้นเพราะผมไม่ทราบว่าเขาไม่ทราบ

ส่วนหนึ่งเราอาจมองเป็นความผิดของเขาที่ไม่รู้จักฝึกฝนตนเอง แต่อีกส่วนหนึ่งเราอาจมองว่าเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษา ไม่ว่าในระดับประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา ที่ไม่สามารถสอนทักษะพื้นฐานเช่นนี้ให้กับเขาได้ ซึ่งในโลกจริงของการทำงาน ทักษะเหล่านี้อาจสำคัญยิ่งกว่าทักษะทางเทคนิคด้วยซ้ำไป

หรือเราอาจจะมองอีกแง่หนึ่ง มันจะเป็นความผิดของอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้สถานการณ์นี้ตกอยู่ในมือของเรา และเป็นหน้าที่ของเราในฐานะของอาจารย์ที่ต้องช่วยแก้ไข จะแก้ได้หรือไม่ได้เราก็ควรพยายามหาหนทาง

ทางที่ผมเลือกก็คือการตอบอีเมลในลักษณะที่ให้ความรู้และความปรารถนาดี ผมบันทึกร่างอีเมลฉบับนี้ไว้เผื่อว่าอาจจะนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีกในอนาคต

------------------------------------------------
สวัสดีครับ_____

ผมไม่ถือสาเรื่องคำขึ้นต้น-ลงท้ายครับ แต่นิสิตควรทราบมารยาทพื้นฐานในการสื่อสารนี้ไว้ ในโลกจริงของการทำงานการสื่อสารอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ ขอแนะนำให้ศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ของคุณเองครับ

การเขียนอีเมลอย่างมืออาชีพนั้นไม่ต่างกันเท่าไรนักกับมารยาทในการเขียนจดหมายกระดาษ (ที่คุณอาจเคยเรียนมาในวิชาภาษาไทยระดับมัธยม หรือประถม) คือต้องมีคำขึ้นต้น คำลงท้าย และการลงชื่อที่เหมาะสม

ตัวอย่างคำขึ้นต้น:
- เรียนคุณสมศักดิ์,
- สวัสดีครับอาจารย์สมศรี,
- กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี,
- Dear Professor Johnson,
- Hello Mr Jeff Bezos,

ตัวอย่างคำลงท้าย
- ด้วยความเคารพอย่างสูง (ใช้กับผู้ใหญ่ ผู้ที่อาวุโสสูงกว่าเรามาก ที่ต้องแสดงความเคารพเป็นพิเศษ)
- ขอแสดงความนับถือ (ใช้กับเพื่อนร่วมงาน หรือผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางการงาน)
- ขอบคุณครับ/ค่ะ (กรณีที่สนิทกัน)
- smile emoticon (กรณีที่สนิทกันมาก หรือกำลังพูดกับผู้มีอาวุน้อยกว่าและต้องการแสดงความเป็นกันเอง)
- Sincerely,
- Best regards,

จากนั้นจะต้องลงชื่อ โดยอาจลงชื่อเล่นก็ได้ (กรณีที่รู้จักชื่อเล่นกันอยู่แล้ว) แต่ควรต้องเขียนชื่อจริงกำกับด้วย (ยกเว้นกรณีที่ทราบแน่ชัดแล้วว่าชื่อจริงคืออะไร) เพื่อให้การสื่อสารมีความชัดเจน และเพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้รับสาร ในการปฏิบิติตามคำร้องขอในอีเมล (เช่น การแก้ไขคะแนน หรือการตรวจสอบข้อมูล) ในกรณีที่ส่งคำร้องในนามของกลุ่มก็ควรจะลงชื่อคนทั้งกลุ่ม

สำหรับงานที่คุณส่งมา____________________________

ขอให้โชคดีในการ_____________ครับ

smile emoticon
- mock
-----------------------------------------------

https://en.wikipedia.org/wiki/Hanlon's_razor

149 Nameless Fanboi Posted ID:4ITLuIw2/

>>148 สมัยนี้ไม่มีสอนเขียนจดหมายในวิชาภาษาไทยแล้วเรอะ...

150 Nameless Fanboi Posted ID:WqMVC/fmP

>>144 >>145
เมื่อก่อนกูเป็นคนติดวิธีพูดไทยคำอังกฤษคำ อิทธิผลจากที่ทำงาน
จนวันหนึ่งกูคิดขึ้นมาได้ ถ้าสื่อสารแล้วคนฟังไม่รู้เรื่อง ถือว่าเป็นการสื่อสารที่ล้มเหลว
ตั้งแต่นั้นมา คำไหนใช้คำไทยตรงๆได้ หรือสามารถอธิบายได้ตรงความหมายจริงของคำนั้น กูจะใช้ภาษาไทยก่อน
คำไหนไม่ไหวจริงๆ เป็นศัพท์เฉพาะทางสายงาน หรือใช้ภาษาไทยมันยืดยาดเกิน หรือใช้ภาษาไทยแล้วรู้สึกความหมายเพี้ยน
กูถึงใช้ภาษาอังกฤษ เช่น ธรรมาภิบาล Good Governance เป็นต้น

151 Nameless Fanboi Posted ID:RoSnqCszb

>>149 มีดิ มีหลายรอบด้วย สอนกันตั้งแต่ประถม มัธยม จนถึงมหาลัย
คนเขียนเป็นมีเยอะแยะ คนที่เขียนไม่เป็นคือมันไม่ตั้งใจเรียน แต่คนส่วนใหญ่กลับโทษระบบการศึกษา

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.