วันศุกร์ที่ 22 เดือน 11 : >>134
[ท่านยามากุจิ และน้องสาว]
>>>/game/19067/303-305/
คำพูดของท่านยามากุจิในที่นี้สะท้อนถึงการมองเห็นความแตกต่างระหว่าง "คนที่เข้าใจ" กับ "คนที่เป็นแค่ผู้ติดตาม" ของวัฒนธรรมอะนิเมะและมังงะ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็วในสังคมปัจจุบัน
การที่น้องสาวของท่านสะสมฟิกเกอร์, ดูการ์ตูน JJK (Jujutsu Kaisen), One Piece และอ่านมังงะ Tokyo Ghoul อาจจะดูเหมือนเป็นการแสดงออกถึงความเป็น "คนที่หลงใหล" หรือมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับโลก 2D ในระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง อาจมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น การเสพสื่อเหล่านี้สามารถมองได้หลายมุมมากๆ
1️⃣ การแสดงออกทางอัตลักษณ์: วัฒนธรรมอะนิเมะและมังงะในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่การเสพความบันเทิง แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการแสดงออกถึงตัวตนในสังคมของคนรุ่นใหม่ อาจเป็นการแสดงความคิดที่ "ไม่เหมือนใคร" หรือแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง (Ono, 2020) ขึ้นกับสื่อที่เลือกเสพ หรือเข้าไปมีส่วนร่วม(fandom, subculture, fanboi)
2️⃣ ความหลงใหลในฟิกเกอร์และมังงะ: การสะสมฟิกเกอร์หรือการติดตามมังงะเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงความรักและความสนใจในโลกที่สร้างขึ้นจากความคิดและจินตนาการ มันไม่จำเป็นต้องเป็นการ "บ้า" หรือหมกมุ่นในบางสิ่ง แต่สามารถหมายถึงการชื่นชอบในสุนทรียะของศิลปะและการเล่าเรื่องที่มีความลึกซึ้งและมีความหมาย (Nakamura, 2013) ที่ให้ความสนุกเพลิดเพลิน หรือน่าสนใจแก่ผู้เสพ
คำพูดของท่านยามากุจิมีความลึกซึ้งในด้านการสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง และความหมายที่ซ่อนอยู่ในการมีน้องสาวในชีวิต มันไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับบทบาททางสังคมที่สังคมคาดหวังจากพี่ชาย แต่ยังเกี่ยวข้องกับความรู้สึกเชิงอารมณ์และจิตวิทยาที่เกี่ยวกับความเป็น "ครอบครัว" ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาอัตลักษณ์ของบุคคลในสังคม (Bowlby, 1969) ท่านยามากุจิได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างพี่ชายและน้องสาว ซึ่งแสดงถึงการพึ่งพาและการให้ความรักที่มีคุณค่าทางจิตใจ ลึกลงไปในจิตวิทยาของมนุษย์ ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางอารมณ์และช่วยให้บุคคลรู้สึกว่ามีที่ยืนในโลก (Ainsworth, 1989) น้องสาวไม่ได้เป็นเพียงแค่ "สมาชิกของครอบครัว" แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไปได้ในการมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใครในชีวิตของพี่ชาย
ที่ท่านยามากุจิเสนอว่า "ไม่มีพี่สาว" แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขาดหายอะไร ข้อความนี้สามารถตีความได้ว่า ท่านเข้าใจถึงความหลากหลายและความพลิกผันของชีวิต ทุกความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปในชีวิตไม่ได้หมายความว่าจะนำไปสู่ความรู้สึกของการขาดแคลนเสมอไป แต่บางครั้งการยอมรับสถานการณ์และการปรับตัวกลับกลายเป็นการเติบโตทางจิตใจที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองและสังคมรอบข้างได้ดีขึ้น (Neff & Germer, 2013)
การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ถ้าหายไปมันคงขาดอะไรสักอย่าง" นั้นก็เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่สำคัญต่อการมีบุคคลที่เข้าใจและสนับสนุนในชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบทบาทของสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ได้จำกัดแค่ในเชิงบทบาททางสังคม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเติมเต็มจิตใจและความรู้สึกของการเป็น "ผู้ใหญ่" หรือ "ผู้รับผิดชอบ" ในชีวิตจริง นั่นคือการรับผิดชอบ คือ ไม่โทษสิ่งอื่น และยอมรับในหนทางที่ตัวเองเลือก (อ่าน >>113 )
อ้างอิง:
Allison, A. (2006). Millennial monsters: Japanese toys and the global imagination. University of California Press.
Nakamura, L. (2013). Cybertypes: Race, ethnicity, and identity on the internet. Routledge.
Ono, K. (2020). Japanese popular culture and globalization. In J. A. Lent (Ed.), Handbook of Japanese popular culture and society (pp. 98-113). Routledge.
Ainsworth, M. D. S. (1989). Attachment beyond infancy. American Psychologist, 44(4), 709–716.
Bowlby, J. (1969). Attachment and loss: Volume I. Attachment. Basic Books.
Neff, K. D., & Germer, C. K. (2013). A pilot study and randomized controlled trial of the mindful self-compassion program. Journal of Clinical Psychology, 69(1), 28-44.