แจ้งข่าวถึงสานุศิษย์ ผู้ศรัทธาทุกท่านนะครับ หากต้องการช่วยท่านยามากุจิให้ทำการโหลด
เกม Dungeon and merge มานะครับ
แล้วเขียนหน้ารีวิว ให้1ดาว คอมเมนต์
justice for TOFFANBOICH
Last posted
Total of 137 posts
แจ้งข่าวถึงสานุศิษย์ ผู้ศรัทธาทุกท่านนะครับ หากต้องการช่วยท่านยามากุจิให้ทำการโหลด
เกม Dungeon and merge มานะครับ
แล้วเขียนหน้ารีวิว ให้1ดาว คอมเมนต์
justice for TOFFANBOICH
บทความวิเคราะห์กวีโม่ง บทที่ 1
>>>/lounge/17585/980
การพูดถึงโคมยี่เป็งและศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในเนื้อเรื่องนี้เป็นการใช้สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยเพื่อเพิ่มความลึกซึ้งให้กับเนื้อหาของเรื่อง ในแง่ของวัฒนธรรมไทย โคมยี่เป็งมักเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยและการเริ่มต้นใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ผู้คนปล่อยโคมขึ้นไปในอากาศเป็นสัญลักษณ์ของการขอพรและการปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีในปีที่ผ่านมา ส่วนศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของการคุ้มครองและความเป็นสิริมงคลในทางศาสนา ซึ่งการนำสัญลักษณ์เหล่านี้มารวมกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในเนื้อเรื่องทำให้เกิดความรู้สึกเหนือจริง โดยที่พล็อตเรื่องสมัยใหม่อย่าง ทหารรับจ้าง เทคโนโลยีลับ สามารถผสมผสานกับวัฒนธรรมและการเชื่อมโยงเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างลงตัว แสงสีขาวที่เกิดจากการระเบิดในเนื้อเรื่องนี้มีความหมายลึกซึ้งทางสัญลักษณ์ ซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับการทำลายล้างและการเริ่มต้นใหม่ แสงสีขาวที่ฉายออกมาจากปฏิกิริยาทางเคมีไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงพลังที่เกิดขึ้นจากการระเบิด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการ "เวียนจบ" และการเริ่มต้นใหม่ที่สะท้อนแนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับวงจรของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตมนุษย์ (Benjamin, 2003) การสร้างแสงสีขาวรุนแรงจากการระเบิดถือเป็นการปลดปล่อยพลังงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงวัตถุและจิตใจของตัวละคร แสงสีขาวในเหตุการณ์นี้จึงทำหน้าที่เป็นสัญญะของการทำลายล้างและการเกิดใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน ส่งสัญญาณให้โม่งผู้อ่านทราบว่าเนื้อเรื่องกำลังจะจบลง
การใช้ควอตซ์และผงอะลูมิเนียมในปฏิกิริยาเคมีเพื่อสร้างแสงสีขาวจ้าในเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ ควอตซ์ (SiO₂) เป็นสารที่มีจุดหลอมเหลวสูง และโดยปกติจะไม่ทำปฏิกิริยากับผงอะลูมิเนียมในสภาวะปกติ. อย่างไรก็ตาม เมื่อควอตซ์ถูกบดให้เป็นผงละเอียดและนำไปผสมกับผงอะลูมิเนียมและสารเคมีอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นปฏิกิริยาที่มีอุณหภูมิสูงได้, จะสามารถสร้างแสงสีขาวจ้าในลักษณะเดียวกับการใช้ในปฏิกิริยาของ Thermite reaction (Mills, 2005) ปฏิกิริยาระหว่างผงอะลูมิเนียมและเหล็กออกไซด์ (Fe₂O₃) ใน Thermite reaction จะปล่อยพลังงานสูงมาก ซึ่งทำให้เกิดแสงที่มีความสว่างจ้าและสามารถแยงตาได้ สมการเคมีของปฏิกิริยานี้เป็นดังนี้:
2Al + Fe₂O₃ → 2Fe + Al₂O₃
ส่วนการระเบิดที่เกิดจากการยิงกระสุนไปที่บอลลูนที่มีผงอะลูมิเนียมผสมอยู่จะกระตุ้นให้เกิดการเผาไหม้และการระเบิดในระดับสูง โดยพลังงานที่เกิดจากการยิงกระสุนสามารถคำนวณได้จากสูตรพลังงานจลน์:
E = 1/2 * m * v^2
โดยที่:
- m = มวลของกระสุน = 4 กรัม = 0.004 กิโลกรัม
- v = ความเร็วของกระสุน = 900 เมตร/วินาที (ความเร็วทั่วไปของกระสุนขนาด 5.56 มม.)
แทนค่าลงในสูตร:
E = 1/2 * 0.004 * (900)^2
E = 0.002 * 810,000 = 1,620 จูล
การคำนวณนี้จะได้พลังงานที่ปล่อยออกมาเป็น 1,620 จูลจากการยิงกระสุนขนาด 5.56 mm ซึ่งเป็นพลังงานที่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาระเบิดในสารเคมีผสมและทำให้เกิดแสงสีขาวจ้า โดยเฉพาะเมื่อมีตัวละครรุมยิงใส่สารเคมีดังกล่าว
สำหรับควอตซ์ในเนื้อเรื่องทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการบดวัสดุให้เป็นผงละเอียด ซึ่งเพิ่มพื้นที่ผิวของผงอะลูมิเนียมและวัสดุอื่นๆ ทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีสามารถเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Mills, 2005) แม้ว่าควอตซ์เองจะไม่ได้ทำปฏิกิริยาโดยตรงในการเผาไหม้ แต่บทบาทของมันในการเพิ่มพื้นที่ผิวให้กับสารอื่นๆ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การระเบิดมีความรุนแรงและปล่อยพลังงานได้มากขึ้น
อ้างอิง
ตัวอย่างวีดีโอการทดลอง Thermite Reaction : https://youtu.be/EDUwc953GOA
Benjamin, W. (2003). The Origins of German Tragic Drama. Verso.
Foster, H. (1990). The Return of the Real: Art and Theory at the End of the Century. MIT Press.
Foucault, M. (1969). The Archaeology of Knowledge. Pantheon Books.
Mills, T. (2005). Thermite Reaction: Chemistry and Applications. Wiley-VCH.
Shklovsky, V. (2017). Theory of Prose. Dalkey Archive Press.
Todorov, T. (1975). The Fantastic: A Structural Approach to a Literary Genre. Cornell University Press.
บทความพิเศษวิเคราะห์โม่งห้อง Vtuber
[หน้ากาก 🎭 2D ตอนที่ 1]
ตามทฤษฎีของ Sigmund Freud เกี่ยวกับ นาร์ซิสซิซึม (Narcissism) การมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกและการมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความต้องการในการควบคุมโลกภายในและภายนอก โดยการยกตัวเองขึ้นเป็นมาตรฐานที่ผู้คนอื่นๆ ควรยอมรับในฐานะที่ "เหนือกว่า" ในการมองว่า "หุ่นของกู" หรือ "หุ่นของกูน่ะดังด้วยตัวเอง" เป็นการยืนยันความเหนือกว่าและความสามารถที่ตนเองเชื่อว่าเหนือกว่าผู้อื่น Freud เชื่อว่าอัตตาของบุคคลที่มีลักษณะนาร์ซิสซิสต์มักต้องการการยอมรับจากภายนอกเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองและมีความพึงพอใจในความสำเร็จที่พวกเขามองเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรได้
อีกส่วนที่น่าสนใจในข้อความนี้คือ ความต้องการที่จะควบคุมและปกป้องสิ่งที่โม่งท่านนี้ชื่นชอบ เช่น "หุ่นของกู", ยังสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะรักษาความพึงพอใจจากสิ่งภายนอกที่ควบคุมได้ ตัวอย่างเช่นการกล่าวว่า "พวกมึงไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย" หรือ "ไม่ต้องเกาะกระแสใคร" แสดงถึงการพยายามปกป้องสิ่งที่ตนเองให้ความสำคัญ และต้องการรักษาความสมบูรณ์แบบไว้ในมือของตนเอง บุคคลที่มีความต้องการในการควบคุมแบบนี้มักมีความกลัวที่จะสูญเสียความมั่นคงในสิ่งที่ตนรักหรือสนับสนุน พวกเขาจึงพยายามป้องกันสิ่งเหล่านั้นจากสิ่งที่อาจทำลายความสมบูรณ์นั้น
การใช้ภาษาที่รุนแรง, เช่น "(╬ಠ益ಠ)" หรือ "(ノಠ益ಠ)ノ彡┻━┻", มักเป็นการสะท้อนถึงความเครียดหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่สิ่งที่รักอาจถูกละเมิดหรือสูญเสียไป การป้องกันตัวเอง (defense mechanisms) ของบุคคลที่ไม่สามารถรับรู้ถึงความเสี่ยงในการสูญเสียสิ่งที่เขาควบคุม จึงแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงและปิดกั้นการติดต่อทางอารมณ์ ต่างกับท่านยามากุจิซึ่วไม่เสพหน้ากาก 2D และท่านเป็นผู้ควบคุมตนเองได้เสมอ ไม่เคยปล่อยโอกาสให้อารมณ์ใดๆมาเล่นท่านได้
อีกส่วนที่น่าสนใจคือ กรณีการมองโลกในมุมของ "คู่ขัดแย้ง" หรือที่ Freud เรียกว่า splitting เป็นการมองสิ่งต่างๆ เป็นขาวหรือดำหรือการแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ในลักษณะที่ไม่สามารถผสมผสานได้ โดยการมองว่า "เมฆ" คือ "สิ่งที่ไม่ดี" และ "หุ่นของตนเอง" คือ "สิ่งที่ดีที่สุด" แสดงให้เห็นถึงการรักษาความรู้สึกปลอดภัยจากการเป็น "ผู้ชนะ" และการหลีกเลี่ยงการพิจารณาว่าทุกสิ่งในโลกมีความหลากหลายและไม่สามารถแบ่งแยกได้เป็นแค่สองขั้ว นอกจากนี้ยังเป็นกลไกการป้องกันจิตใจที่บุคคลใช้เพื่อลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโลกภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนกับในโลกบนดินที่มีกระแส woke และ anti-woke ผู้คนมักเลือกที่จะเลือกฝักฝ่ายที่มีขั้วชัดเจนมากกว่าจะเดินในหนทางของตัวเอง เพราะกลัวที่จะต้องรับผิดชอบในเส้นทางที่ตนเองเดิน การเข้าร่วมฝ่ายจึงเป็นการแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นกลไกทางสมองที่มีมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์
อย่างไรก็ตาม ฟรอยด์เองก็เป็นบุคคลที่มีความหลงตัวเองและบางครั้งอาจเชื่อถือไม่ได้ในแวดวงจิตวิทยาปัจจุบัน เนื่องจากทฤษฎีบางข้อของเขามีความขัดแย้งและไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด ถึงกระนั้น การศึกษาและวิเคราะห์ข้อความจากโม่งด้านบนที่เป็นการโรลเพลย์ (roleplay) และไม่ได้โพสต์ข้อมูลจริงจัง ก็สามารถนำมุมมองที่น่าสนใจมาสู่การถกเถียง แม้ว่าจะไม่ได้มีสาระสำคัญหรือมีการแสดงความคิดเห็นที่จริงจัง แต่ก็สามารถเปิดโอกาสให้เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการแสดงความคิดเห็นในโลกใบนี้ได้มากยิ่งขึ้น เฉกเช่นที่ท่านยามากุจิกล่าว จงฝึกฝนและเรียนรู้เสมอ เพราะหากโลกนี้เป็นเกมก็จงทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ
อ้างอิง
Freud, S. (1914). On Narcissism: An Introduction. SE, 14: 67-102.
Freud, S. (1923). The Ego and the Id. SE, 19: 12-66.
Kernberg, O. F. (1975). Borderline Conditions and Pathological Narcissism. Jason Aronson.
Fairbairn, W. R. D. (1952). Psychoanalytic Studies of the Personality. Routledge.
เจ็ตแพ็คบินได้ ด้วยพลังโฟลจิสตัลสกัดเย็นจากคูคูซอเรียน มอไซค์ของเทพไฟนี่ทั้งบิน ทั้งไต่กำแพง ทั้งแล่นบนน้ำได้นี่ สกัดเย็นจากซอเรี่ยน 3 ชนิดแน่นอน 🦕🦕🦕🔪
>>130 เออ ไปเขียนเรื่องคนอื่นบ้าง ไม่ต้องเขียนเรื่องกุก็ได้ กุไม่อยากเป็นหนังสือ ที่ถูกอ่าน
เหมือนพวกที่อยู่มิติสูงกว่า มองเห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ พวกคนเงามืดสนิท เราเห็นหน้าพวกมันไม่ได้ แต่สิ่งที่กุรู้มีอย่างเดียว พวกมิติสูงกว่ามองเราเป็น landscape เหมือนเราเป็นปศุสัตว์ และกำลังหัวเราะเยาะกุอยู่ เป็นศัตรู nemesis ของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ เพราะปกติกุไม่เป็นศัตรูกับใคร i have no enemy แต่สัญชาตญาณ ได้ส่งต่อมาหากุว่านั่นคือศัตรูแน่นอน
ทำไมเว็บช้าวิเคราะห์สิ
วันศุกร์ที่ 22 เดือน 11 : >>134
[ท่านยามากุจิ และน้องสาว]
>>>/game/19067/303-305/
คำพูดของท่านยามากุจิในที่นี้สะท้อนถึงการมองเห็นความแตกต่างระหว่าง "คนที่เข้าใจ" กับ "คนที่เป็นแค่ผู้ติดตาม" ของวัฒนธรรมอะนิเมะและมังงะ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็วในสังคมปัจจุบัน
การที่น้องสาวของท่านสะสมฟิกเกอร์, ดูการ์ตูน JJK (Jujutsu Kaisen), One Piece และอ่านมังงะ Tokyo Ghoul อาจจะดูเหมือนเป็นการแสดงออกถึงความเป็น "คนที่หลงใหล" หรือมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับโลก 2D ในระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง อาจมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น การเสพสื่อเหล่านี้สามารถมองได้หลายมุมมากๆ
1️⃣ การแสดงออกทางอัตลักษณ์: วัฒนธรรมอะนิเมะและมังงะในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่การเสพความบันเทิง แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการแสดงออกถึงตัวตนในสังคมของคนรุ่นใหม่ อาจเป็นการแสดงความคิดที่ "ไม่เหมือนใคร" หรือแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง (Ono, 2020) ขึ้นกับสื่อที่เลือกเสพ หรือเข้าไปมีส่วนร่วม(fandom, subculture, fanboi)
2️⃣ ความหลงใหลในฟิกเกอร์และมังงะ: การสะสมฟิกเกอร์หรือการติดตามมังงะเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงความรักและความสนใจในโลกที่สร้างขึ้นจากความคิดและจินตนาการ มันไม่จำเป็นต้องเป็นการ "บ้า" หรือหมกมุ่นในบางสิ่ง แต่สามารถหมายถึงการชื่นชอบในสุนทรียะของศิลปะและการเล่าเรื่องที่มีความลึกซึ้งและมีความหมาย (Nakamura, 2013) ที่ให้ความสนุกเพลิดเพลิน หรือน่าสนใจแก่ผู้เสพ
คำพูดของท่านยามากุจิมีความลึกซึ้งในด้านการสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง และความหมายที่ซ่อนอยู่ในการมีน้องสาวในชีวิต มันไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับบทบาททางสังคมที่สังคมคาดหวังจากพี่ชาย แต่ยังเกี่ยวข้องกับความรู้สึกเชิงอารมณ์และจิตวิทยาที่เกี่ยวกับความเป็น "ครอบครัว" ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาอัตลักษณ์ของบุคคลในสังคม (Bowlby, 1969) ท่านยามากุจิได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างพี่ชายและน้องสาว ซึ่งแสดงถึงการพึ่งพาและการให้ความรักที่มีคุณค่าทางจิตใจ ลึกลงไปในจิตวิทยาของมนุษย์ ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางอารมณ์และช่วยให้บุคคลรู้สึกว่ามีที่ยืนในโลก (Ainsworth, 1989) น้องสาวไม่ได้เป็นเพียงแค่ "สมาชิกของครอบครัว" แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไปได้ในการมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใครในชีวิตของพี่ชาย
ที่ท่านยามากุจิเสนอว่า "ไม่มีพี่สาว" แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขาดหายอะไร ข้อความนี้สามารถตีความได้ว่า ท่านเข้าใจถึงความหลากหลายและความพลิกผันของชีวิต ทุกความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปในชีวิตไม่ได้หมายความว่าจะนำไปสู่ความรู้สึกของการขาดแคลนเสมอไป แต่บางครั้งการยอมรับสถานการณ์และการปรับตัวกลับกลายเป็นการเติบโตทางจิตใจที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองและสังคมรอบข้างได้ดีขึ้น (Neff & Germer, 2013)
การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ถ้าหายไปมันคงขาดอะไรสักอย่าง" นั้นก็เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่สำคัญต่อการมีบุคคลที่เข้าใจและสนับสนุนในชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบทบาทของสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ได้จำกัดแค่ในเชิงบทบาททางสังคม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเติมเต็มจิตใจและความรู้สึกของการเป็น "ผู้ใหญ่" หรือ "ผู้รับผิดชอบ" ในชีวิตจริง นั่นคือการรับผิดชอบ คือ ไม่โทษสิ่งอื่น และยอมรับในหนทางที่ตัวเองเลือก (อ่าน >>113 )
อ้างอิง:
Allison, A. (2006). Millennial monsters: Japanese toys and the global imagination. University of California Press.
Nakamura, L. (2013). Cybertypes: Race, ethnicity, and identity on the internet. Routledge.
Ono, K. (2020). Japanese popular culture and globalization. In J. A. Lent (Ed.), Handbook of Japanese popular culture and society (pp. 98-113). Routledge.
Ainsworth, M. D. S. (1989). Attachment beyond infancy. American Psychologist, 44(4), 709–716.
Bowlby, J. (1969). Attachment and loss: Volume I. Attachment. Basic Books.
Neff, K. D., & Germer, C. K. (2013). A pilot study and randomized controlled trial of the mindful self-compassion program. Journal of Clinical Psychology, 69(1), 28-44.
วันศุกร์ที่ 22 เดือน 11 : >>134 >>135
[ท่านยามากุจิในความมืด]
>>132
* เงาดำเป็นสิ่งที่ท่านยามากุจิกล่าวถึงหลายครั้ง แต่เนื่องจากความไม่สะดวกของผู้วิเคราะห์ ครั้งนี้จึงขอจำกัดขอบเขตุให้อยู่ในเฉพาะส่วนความเห็น >>132 เท่านั้น บทความเต็มจะตามมาภายหลัง *
อย่างแรกคำว่า “ศัตรู" หรือ "nemesis" ที่กำลังหัวเราะเยาะมนุษย์ สิ่งนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในเรื่องของ power dynamics หรือการที่อำนาจถูกกระจายไปในรูปแบบที่ไม่สามารถเข้าใจได้จากมุมมองของมนุษย์ปกติ การที่ท่านยามากุจิเห็นว่าพวก "มิติสูงกว่า" เป็นศัตรูของมนุษยชาติ แสดงถึงการมองเห็นโลกในมุมมองที่มนุษย์มีบทบาทเป็นแค่ตัวละครในเกมใหญ่ที่ถูกควบคุมจากอำนาจที่เหนือกว่า เช่นเดียวกับที่ Michel Foucault (1975) กล่าวถึงการที่อำนาจในสังคมมักมีการกระจายออกไปอย่างไม่เห็นได้ชัด และไม่สามารถมองเห็นได้จากสายตาปกติ การที่เราเป็น "ศัตรู" อาจเป็นเพียงการสะท้อนถึงการที่มนุษย์ต้องเผชิญกับอำนาจที่เหนือกว่า และถูกควบคุมอย่างไม่รู้ตัว
คำพูดที่ว่า "สัญชาตญาณ ได้ส่งต่อมาหากุว่านั่นคือศัตรูแน่นอน" นั้นสะท้อนถึงแนวคิดในด้าน Instinctive Knowledge หรือการรับรู้ที่มาจากภายในจิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้โดยใช้เหตุผลหรือการคิดเชิงตรรกะ ความรู้สึกนี้คล้ายกับที่ Carl Jung (1959) กล่าวว่าเกี่ยวกับ "collective unconscious" หรือจิตใต้สำนึกร่วมของมนุษย์ที่สามารถเก็บบันทึกประสบการณ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งท่านยามากุจิเป็นอัจฉริยะบุคคลที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดีจะสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้
การที่ท่านยามากุจิเห็นพวก "เงามืด" เป็นศัตรูของมนุษยชาติ อาจจะเกี่ยวข้องกับการมองเห็นถึงความไม่มั่นคงของโลกและความรู้สึกที่ว่า มนุษย์ กำลังตกอยู่ในภาวะที่เกินควบคุม โดยที่ "ศัตรู" หรือ "nemesis" ที่ท่านพูดถึงนั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของภัยที่มองไม่เห็นหรือไม่ได้รับการยอมรับในมิติทางสังคมและจิตวิทยาของมนุษย์ ไม่สามารถถูกเข้าใจได้ตามหลักการทั่วไป ส่วนการที่ท่านไม่ได้เป็น "ศัตรูกับใคร" ตามที่ท่านกล่าวถึง อาจจะสะท้อนถึงความเข้าใจในเรื่องของ "the other" หรือ "คนอื่น" ในทางปรัชญา
สำหรับคำพูดของท่านยามากุจิ "ไม่อยากเป็นหนังสือ ที่ถูกอ่าน" สะท้อนถึงการไม่อยากเป็นสิ่งที่ถูกตีความหรือถูกควบคุมจากภายนอก มันเป็นการพูดถึงการต่อต้านการถูกจัดการเป็น "วัตถุ" หรือ "เนื้อหา" ที่ถูกตรวจสอบและตีความโดยผู้อื่น ซึ่งคล้ายกับความคิดใน Deconstruction ของ Jacques Derrida (1976) ที่กล่าวถึงการแยกแยะการตีความที่มีอำนาจเหนือสิ่งที่ถูกตีความอยู่เสมอ การที่มนุษย์หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งถูก "อ่าน" หรือถูกตีความก็เท่ากับการจำกัดตัวตนและเสรีภาพในการแสดงออกของมนุษย์นั่นเอง
อ้างอิง:
Derrida, J. (1976). Of Grammatology. Johns Hopkins University Press.
Foucault, M. (1975). Discipline and Punish: The Birth of the Prison. Pantheon Books.
Jung, C. G. (1959). The Archetypes and the Collective Unconscious. Princeton University Press.
Nietzsche, F. (1883). Thus Spoke Zarathustra. Dover Publications.
>>133 เท่าที่สังเกตุจะเป็นมากช่วง 6 โมงเดาว่าน่าจะเป็นเพราะคนเข้าเยอะครับ หรือไม่ก็มีการเรียกใช้ api จากสาเหตุอื่น เช่น มีการโจมตี DDoS เกิดขึ้นจนทางเซิฟไม่สามารถที่จะรับมือไม่ได้กับคำขอที่ส่งเข้ามาได้
สำหรับเรื่องนี้ต้องให้แอดมินเสินลองตรวจสอบดูครับ เพราะนอกจากที่กล่าวไปยังมีได้อีกหลายสาเหตุ
- การอัพเดทที่ผิดพลาด ปัญหาด้านการ Maintenance คิดว่าไม่น่าจะใช่สาเหตุนี้
- การตั้งค่า WAF, DNS, และอื่นๆ
- ท่านเสินลดสเปคคอมเซิฟเวอร์ลงเลยเกิดปัญหาทรัพยากรไม่พอ
อ้างอิง : trust me bro
ในเชิงพลังงานและจิตหลัก
การ "ดูดซับ" หมายถึงการใช้จิตหลัก (Core Self) ของคุณเป็นศูนย์กลางในการควบคุมพลังงานภายนอก:
การหลอมรวม: ไม่ว่าพลังงานนั้นจะเป็นความรัก ความหลง หรือความเจ็บปวด คุณใช้มันเพื่อสร้าง "ตัวตนที่แข็งแกร่ง" ที่ไม่ถูกทำลายโดยสิ่งรอบข้าง
การบริโภคพลังงาน: เช่นเดียวกับที่ร่างกายใช้พลังงานจากอาหาร จิตใจสามารถใช้พลังงานจากอารมณ์หรือประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างตนเอง
ตัวอย่างวิธีทำ:
1. ตั้งสมาธิ: จินตนาการว่าความรู้สึกเหล่านั้นเป็นพลังงานที่คุณสามารถดูดซับได้
2. ดึงพลังงานเข้าสู่จิตหลัก: มองว่าความรู้สึกนี้คือ "อาหาร" ที่คุณกำลังหลอมรวมเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังสร้างสรรค์
คุณอาจเป็นผู้สร้างแนวคิดเฉพาะตัว
หากคุณกำลังใช้งานแนวคิดนี้ในลักษณะเฉพาะตัว คุณอาจเป็นคนพัฒนาวิธีนี้เอง โดยปรับแต่งมาจากความเข้าใจในชีวิตและปรัชญาที่คุณยึดถือ สิ่งนี้ถือเป็นกระบวนการที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะการใช้จิตหลักดูดซับพลังงานนั้นมักขึ้นอยู่กับมุมมองส่วนบุคคลและประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของคุณเอง
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.